ศาลาพักใจ มลายทุกข์ ของ ชาวสโมสรก๊วนบุญ (คณะเบิกบานบันเทิงบุญ)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย พรหมประกาศิต, 23 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    เจ๊พูดได้งงเจงๆ
    ไม่รู้เรื่องเลย
     
  2. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    อ่ะ...งั้นว่าใหม่ ว่ากันตรง ๆ ช่วยนำสีผึ้งไปถวายสมเด็จฯ เกี่ยว ท่าน โปรดอธิฐานจิตให้หน่อย ได้ป่ะ(ping)
     
  3. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    ถวายเฉยๆได้งะ
    ถ้าให้ท่านเสกแล้วเอากลับมาเจ๊ไปขอเองดีก่าจ้ะ
    เด๋วพาปาย
     
  4. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ถือว่ารับปากแล้วนะจ๊ะ อีกประมาณ 3 เดือน เจอกัน
     
  5. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    จัดมัดตราสังเลยวุ้ย
    เป็นหมอผีท่าจะรุ่งนะเนี่ย
     
  6. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    เขาสอนว่าอย่างไรบ้างอ่ะค่ะ ท่านพรหมฯ ลืมบอกไปท่านหล่อม๊ากเลยค่ะ เห็นชัดเจนทุกอย่าง ยกเว้นใบหน้าท่านอ่ะค่ะ 55
     
  7. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    "ในหลวง"ตรัสต่อคณะทูต ประเทศแย่ คนไทยทำโง่ตามต่างปท.

    ไม่รู้ว่าชาติเจริญมานานแล้ว ทรงย้ำพอเพียงต้องทำจริงจัง "หมั่นไส้ตัวเอง"ก็เลยเลิกพูด



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม เวลา 16.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลง ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นำคณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทย ที่ปฏิบัติราชการอยู่ในต่างประเทศ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง เฝ้าฯรับพระราชทานพระบรมราโชวาท ในโอกาสที่กระทรวงจัดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทย ประจำปี 2550 ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม-1 กันยายน 2550

    </TD></TR></TBODY></TABLE>ในหลวงพระราชทานพระบรมราโชวาทคณะทูต ทรงแนะอธิบายเมืองไทยเจริญมานานแล้ว มีภาษาไทยเป็นของตัวเอง มีวัฒนธรรมมานานกว่าหลายประเทศในยุโรป อย่าเห่อตามฝรั่ง ลืมภาษาไทย ชาวต่างชาติตั้งใจเข้าใจผิด ทำโง่ เท่ากับคนไทยทำโง่ตาม ทรงหมั่นไส้ตัวเองที่ยังพูดเรื่องพอเพียงแล้วจะพอเพียงได้อย่างไร

    เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 29 สิงหาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นำคณะเอกอัคร ราชทูตและกงสุลใหญ่ไทย เฝ้าฯรับพระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยมีความตอนหนึ่งว่า

    โอกาสนี้ นายนิตย์ พิบูลสงคราม เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าฯ ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ ยังทรงชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของภาษาที่แสดงให้เห็นถึงความมีอารยธรรมและความเจริญของชาติไทยที่มีมาช้านาน

    "ท่านทูตคงกลุ้มใจที่คนที่ไปอยู่ต่างประเทศ ไม่กี่วัน ลืม ไม่นาน กลับมาพูดภาษาไทยไม่ได้ เพราะว่านึกว่าไปต่างประเทศนั้นต้องไปเรียนรู้ความเป็นไม่เป็นไทย ฉะนั้นก็เห็นใจท่าน เพราะว่าท่านเป็นทูต คนที่ไปต่างประเทศไม่กี่วันและไปพบกับท่านทูต พูดภาษาไทยไม่ได้ แต่ว่าต่างประเทศ ฝรั่งไปพบท่าน มาเมืองไทยไม่นานกลับไปพูดภาษาไทยได้ อันนี้ก็ชอบกล ประหลาดมาก แต่ว่าต้องเข้าใจว่าคนที่ไม่ได้ไปต่างประเทศ แต่ก็ได้มีโอกาสไปต่างประเทศ เขามีปมด้อย คนไทยนั้นส่วนใหญ่ไม่มีปมด้อย คนไทยมีความภูมิใจที่เป็นคนไทย เพราะว่าอยู่เมืองไทย เป็นคนไทย เขาได้สามารถศึกษาว่าเมืองไทย คนไทย มีความดี แต่ผู้ที่ไปต่างประเทศนึกว่า เราก็พูดอย่างเดียวกับผู้ที่ไปเมืองฝรั่ง ไม่ใช่พวกที่ไปเมืองแขก เมืองจีน แต่ว่าพวกที่ไปฝรั่งเพราะเห่อว่าฝรั่งเขาเจริญ ฝรั่งเขาเจริญเพราะว่าบ้านเมืองของเขามีความก้าวหน้าหลายอย่าง คนไทยก็เลยมีปมด้อยว่าเราไหนว่าไม่มีความเจริญ ปัญหาที่เกิดขึ้นว่าจะทำยังไงสำหรับแก้ไข ก็เล่าให้ท่านฟังแล้วว่าข้าพเจ้ามาเมืองไทย ไม่รู้ภาษาไทย แล้วก็ออกไป อายุ 5 ขวบ กลับมาอายุ 11 ก็ไม่ค่อยรู้ภาษาไทย ที่จริงรู้ภาษาไทยก็โดยที่สมเด็จพระบรมราชชนนีท่านไม่พูดภาษาฝรั่งกับเรา ท่านพูดภาษาไทย ก็เลยรู้ภาษาไทย แต่เขียนภาษาไทยไม่ค่อยได้ อ่านไม่ค่อยได้ ตอนอายุ 11 ก็ได้เรียน จนกระทั่งอายุ 18 ก็เขียนภาษาไทย อ่านภาษาไทยไม่ค่อยได้ มาอ่านภาษาไทยได้ทีหลัง แต่ก็อยู่ที่ความเป็นไทยนี่ลำบาก ก็พยายามที่จะเรียนภาษาไทย แต่ผู้ที่ไปแล้วไปหาท่านทูตแต่พูดภาษาไทยไม่ชัด นั่นส่วนใหญ่เขาก็รู้ภาษาไทย ออกไป 2-3 วัน ลืมภาษาไทยแล้ว เพราะว่าเป็นคนที่ไม่ศึกษา วิธีที่จะทำท่านทูตก็คงต้องล้างสมองเขา วิธีที่จะปฏิบัติ ต้องล้างสมองเขาว่าประเทศไทยมีภาษาไทยมานานแล้ว นาน มีวัฒนธรรมไทย มีนานกว่าประเทศต่างประเทศในยุโรปหลายประเทศ ก่อนนี้ในต่างประเทศ เป็นที่เขาเรียกว่า Middle Age หมายความว่าเป็นยุคที่ไม่เจริญ เมืองไทยนี่ยุคกลางของเราเจริญแล้ว ถ้าอยากจะให้แก้ไข

    เราจะต้องศึกษายุคกลางของเราว่าเจริญแล้ว และบอกกับพวกที่เขานึกว่าเมืองไทยไม่เจริญให้เข้าใจ แล้วก็ที่ประเทศไทยนี้มีภาษาไทย มีตัวอักษรไทยมาตั้งแต่สมัยที่เป็นยุคกลางของฝรั่ง หมายความว่า Middle Age ของคนฝรั่ง ของเราหลายร้อยปี มีภาษา มีตัวอักษร ของฝรั่งไม่มี เราไม่พูดถึงอเมริกา ไม่พูดถึงแอฟริกา แต่ในยุโรปซึ่งเป็นประเทศที่เจริญ แต่ตอนนั้นไม่ได้เจริญ เราเจริญก่อน แต่ว่าที่เมืองไทยจะไม่เจริญเพราะว่ามีคนอย่างพวกที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเมืองไทยเจริญมานานแล้ว ก็วิธีที่จะทำคือ ต้องรู้สึกยกย่องและต้องพยายามที่จะทำให้เข้าใจว่าเมืองไทยนี้เจริญมานานแล้ว

    โดยเฉพาะท่านที่เป็นข้าราชการกระทรวงต่างประเทศพึงทำหน้าที่อธิบายว่า คนไทยเป็นอย่างไร เพราะถ้าไม่มีใครอธิบายความเป็นอยู่ของประเทศไทยได้ ชาวต่างประเทศมักเข้าใจผิด และตั้งใจเข้าใจผิด เพราะไม่เข้าใจ ที่จริงเข้าใจ ชาวต่างประเทศไม่ได้โง่ แต่ทำโง่ เท่ากับว่าคนไทยทำโง่ไปตามเขา เมืองไทยก็แย่ เท่ากับว่าเมืองไทยทำโง่ตามความเป็นอยู่ต่างประเทศ เรียกว่าแย่ ชาวต่างประเทศย่อมทำให้คนไทยโง่จะได้เอาเปรียบได้ ดีใจที่ได้พบท่านในวันนี้และรู้ว่าท่านเข้าใจในหน้าที่ เคยพูดว่า วันนี้เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศไม่ทำหน้าที่ตนเองจะลำบาก เพราะเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศต้องเข้าใจและมีความรู้ในประเทศที่อยู่ และเข้าใจความรู้ในต่างประเทศ

    พูดถึงประหยัด พอเพียงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะพอเพียงจะต้องทำจริงจังและก็พอเพียง ทฤษฎีนี้ใช้ได้ นี่ตั้งใจไม่ต้องการจะพูดเรื่องพอเพียง ก็หมั่นไส้ตัวเอง ทุกวันๆ เปิดวิทยุเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว ลงท้ายคนก็ว่าพระเจ้าอยู่หัวจะพอเพียงเมื่อไหร่ ก็เลยเลิกพูดถึงเรื่องพอเพียง แค่นี้ก็พอ ถ้าท่านทูตพูดเรื่องพอเพียงก็ดี คนก็อาจจะหมั่นไส้ทูตได้ เอะอะอะไรก็พอเพียงๆ ซึ่งความจริงพอเพียงเรารู้ว่าสมควรจะพอเพียง ไม่ใช่ฟุ่มเฟือย จะได้หยุดเรื่องพอเพียงไว้แค่นี้ก็พอ ความสุขที่มีก็คือ พอเพียงนั่นเอง ถ้าคนพอเพียงคนก็มีความสุข เราก็มีความสุข ถ้าคนดีที่อยากได้โน่นอยากได้นี่ เราเห็นแล้วว่ามันไม่พอเพียง เราก็ไม่มีความสุข

    ความสุขของคนแสดงออกมาด้วยความพอเพียงมันสำคัญตรงนี้ ให้ทำตัวเองให้พอเพียง แต่ว่าคำว่าพอเพียงนั้นไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรคือพอเพียง ก็มีบางคนก็พูดดี ไม่ได้หมายความว่า ให้รัดเข็มขัดไว้แน่นๆ รัดเข็มขัดลำบาก บางคนพุงใหญ่ พุงใหญ่จะพอเพียงก็ยาก อย่างนั้น ตอนออกจากโรงพยาบาล น้ำหนัก 65 แล้วหมอก็ หู..น้ำหนัก 70 ได้ไม่ได้พูดถึงพอเพียงเลย คือ เขาจะให้พุงใหญ่เหมือนกัน เหมือนกับท่านทูต ท่านทูตบอกว่าพุงมันใหญ่นะ ท่านปลัด ตอนนี้ท่านทูต ท่านปลัด ถ้าชั่งเมื่อเช้าได้ 66 เท่ากับว่าไม่เปลี่ยนแปลงจากที่ออกจากโรงพยาบาล พวกแพทย์พวกหมอก็เอ็ดตะโร น้ำหนักไม่ขึ้น เขาบอกว่าต้องขึ้น อย่างนี้ไม่พอเพียง ก็หมายหมายความมันมากเกินไป แต่ว่าท่านทูตมากเกินไป แต่เวลาถาม ก็ลดลงไม่ได้ ก็เลยยอมจำนนว่าท่านลดไม่ได้ ไม่เป็นไร แต่เราขอให้ท่านสามารถทำงานให้ดีๆ แล้วก็ภูมิฐานดี"

    [FONT=Tahoma,]หน้า 1[/FONT]
     
  8. พรหมประกาศิต

    พรหมประกาศิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +13,541
    อารายฟะ ...ไปแอบเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่ (evil2) เด๋วเจอ...(ping)
     
  9. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    วันอาทิตย์ ที่ 2 กันยายน 2550
    เรื่องของหมา และคนที่เกี่ยวข้อง

    Posted by jao , ผู้อ่าน : 18 , 10:07:43 น.
    [​IMG] พิมพ์หน้านี้

    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    เห็นสองชีวิต ที่มีพรหมลิขิตคล้ายกัน แตกต่างที่ไปและที่มา คนหนึ่งเป็นหมูเศรษฐกิจ อีกชีวิตเป็นหมา
    ตกสวรรค์ สุดท้ายปลายทางคือ โปรตีน
    ภาพชุดนี้ เป็น ภาพที่ มีเพื่อนชวนทำนิทรรศการ เราจึง หา แนวทางในการค้นภาพ ตามวิถีของคนถ่ายภาพข่าว ผมจึงเดินทางด้วยรถยนต์ใช้บทเรียนแรกๆของการทำงานการถ่ายภาพข่าว จับเส้นทางที่น่าจะมีเรื่องราว ชีวิตสองข้างทาง ถนนหลวง เส้น อยุธยา ลพบุรี เรียบคลองชลประทาน กับระยะทาง 80 กม. ในเวลา1 ชั่วโมง วันสุดท้ายของเดือน 8 ปี 2550 ของการถ่ายภาพ (นั้นเป็น กรอบในการทำงาน)
    กรอบ ของชีวิต ในหนึ่งชั่วโมง ที่ระวิ่งผ่านเส้นทาง ภาพที่เห็นได้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย มีหลายภาพที่เจอ และอยากถ่าย แต่ กฏที่ตั้งไว้คือต้องถ่ายบนรถ ผ่านกระจกด้านหน้ารถ จอดไม่ได้ ทำให้ต้องเก็บประเด็นภาพไว้ตามต่อ จนเมื่อมาเห็นสองภาพดังกล่าว วิถีแห่งวิชาชีพมันแตก มันแตกเพราะคำถามในใจมีมากมายเหลือเกิน กับแววตาดำๆ ของ หมาบ้าน ที่กำลังถูกส่งไปยังเขียง ณ.บ้านท่าแร้ รถจึงวิ่งนอกเส้นทาง ตามเอาเรื่องราว ปกติปัจจุบันสุดๆ ของ บรรดา มะ หมา ว่า ยังมีชะตากรรม แต่ต่างหรือ พัฒนาเรื่องราวเพิ่มเติม มากน้อยเท่าไร

    ส่วยมะ หมา /เส้นทางการลำเลียงหมาสู่บ้านท่าแร้ /ทวีชัย เจาวัฒนา
    ตำนานโปรตีนจากเนื้อสุนัข หรือ เนื้อหมา แหล่งเดียวเห็นจะได้ที่ใครๆก็ต้องรู้จัก บ้านท่าแร่ จ.สกลนคร
    โรงงานผลิตเนื้อสุนัขที่ได้รับอนุญาติอย่างถูกต้อง และเปิบเผย กินกันเป็นปกติ เมนูดังๆ ก็จะเป็น ลาบ น้ำตก
    ต้มเครืองใน เนื้อแดดเดียว ปรับจากการใช้เนื้อวัว เนื้อหมูมาเป็นเนื้อหมา
    สุธรรม วัย 29 ปี คนขับรถ และรับซื้อสุนัขเป็นๆ วัย 29 คนสกลนคร แนะนำว่าเนื้อสุนัข สะอาด อร่อย
    เป็นที่นิยม โด่งดังไปถึงจีน และเวียดนาม ผลิตไม่พอต่อการส่งออกเพราะราคาดี สูงถึงกก.ละ 150 บาท(ในบางฤดู) ถ้าขายกันธรรมดาก็ อยู่ประมาณ กก.ละ 40-60 บาท ถือว่ามีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ
    เมืองไทย สุนัข เร่ร่อนจะมีมาก คนเลี้ยงแล้วเบื่อแล้วก็ทิ้ง ปล่อยกับวัด ปล่อยข้างถนน วงเวียนชีวิตของหมาไทย เป็นเช่นนี้มาหลายสิบปี ไม่โดนรถชน ไม่โดนยาเบื่อ ไม่โดนคนไล่ตี ตาย กลายเป็นหมาเน่าข้างถนน เดือนๆเป็นพันๆ ชีวิต โดยเฉพาะ กรุงเทพ จะมีชะตากรรมของหมาข้างถนนมาก ที่สุด
    จำนวนสุนัขเรร่อนที่กรุงเทพ ตกเดือนละ 500 ตัว สำหรับสุธรรม ที่มีหน้าที่เดินทางมารับ และแลกซื้อ ถามว่ามากหรือไม่นั้น สุธรรม บอกเพียงว่า นี้เป็นออรเดอร์ของตนเท่านั้น แต่มีพ่อค้าสุนัขเป็นเหมือนตนอีกประมาณ 10-12 เจ้า กระจายกันทั่วกรุงเทพ ความต้องการมากน้อยก็อยู่ปริมาณที่ร้านอาหาร เป็นตัวกำหนด ช่วงเทศกาลและ หน้าหนาวจะมียอดสั่งสุนัข มาก วิ่งขึ้น วิ่งลง เพื่อขนสุนัขอย่างเดียว บางช่วงต้องวิ่งไปรับไกลออกจากเส้นทางก็มี เนื่องจากสุนัขโตไม่ทัน หมายถึงหมาเร่ร่อน จังหวัดใหญ่ๆ ก็จะมีสัมปทานวิ่งอยู่แล้ว เส้นทางใคร

    ก็เส้นทางมัน มีมากมีน้อยก็แบ่งๆกันไป
    แหล่งที่ไปรับซื้อก็จะเป็นลูกค้าประจำที่เขาจะจับไว้ หรือขังไว้รอเรา ในหมู่บ้าน ชานเมือง เพราะเขาเลี้ยงไม่ไหว หรือคนปล่อยออกมา มันจะกัดชาวบ้านบ้าง เขาก็จะขังเอาไว้ สัปดาห์หนึ่งก็จะวิ่งประมาณ 2-3 เที่ยว
    รปภ ของหมู่บ้านต่างๆ เด็กวัดต่างๆ จะรวมสุนัขไว้ข้างไซด์ ราคาก็ตัวละ 40-60 บาท ไปถึงก็จะจับขึ้นรถทันที ส่วนมากจะมาจับเวลากลางคืน และจะวิ่งในช่วงหัวรุ่ง หรือเช้าๆ ลัดเลาะไปตามเส้นทางย่อยๆ ที่ไม่มีด่าน
    ตำรวจ หรือเป็นถนนสายหลัก
    เส้นทาง บางบัวทอง ลัดเลาะ ถนนตัดอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี เรียบคลองชลประทาน ผ่านด่านขุนทด ขึ้นไป

    จนถึง วังสะพุงแล้ว เลาะจนถึง ท่าแร้ ตรงนี้จะผ่านด่านที่ต้องจ่ายจริงๆ ประมาณ 3 ด่าน แต่เป็นด่านเล็กๆ ไม่เคร่งครัด พอจะคุยกันได้ ครั้งหนึ่งก็ 100 บาท รับได้ ถือว่าต่างคนต่างมีภาระหน้าที่ บางครั้งก็มีแถมกระทิงแดง หรือ เอ็ม 150 ในช่วงกลางคืนที่เห็นตรวจทำหน้าที่ดึกๆ
    ถังพลาสติกที่แขวนไว้บนหลังคารถเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของการแลกสุนัขในช่วงแรกๆ แต่สภาพปัจจุบันคนมักจะแลกเป็นเงินมากกว่า สังเกตุว่าที่แขวน ถังจะแตก เกือบหมดเพราะ แขวนไว้กับรถมาหลายเดือนแล้ว คนไม่แลกเป็นถัง เอาแต่เงิน
    หมาหลง หรือหมาที่มีเจ้าของ พันธุ์ดีๆ แพงๆหายากๆ มีหลงฝูงมาที่ท่าแร้บ้างหรือไม่ สุธรรม ยอมรับว่าก็มีบ้างแต่น้อยมากๆ ถ้าหมาสวยๆ หมาฝรั่งส่วนมากจะมีคนมาขอไปเลี้ยงอีกที ของดีไม่ค่อยจะเหลือส่งเขียง
    พวกพุดเดิ้น ชิสุ ตัวเล็กๆ นี้ไม่มีเลย เพราเราเน้นใช้เนื้อ หมาเด็ก น้ำหนักน้อยไม่มีราคาก็ว่าได้ตัวหนึ่งไม่ถึง 2 กก. เร่ออกมาได้เนื้อไม่กี่ขีด ไม่คุ้ม ทำอะไรไม่ได้ หมาไทย หมาบ้านนี้ ดีที่สุด
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    นี่ก็อีกหนึ่งของความคิดถึงของเพื่อนบ้านไกลโพ้นนนนน*****



    วันศุกร์ ที่ 31 สิงหาคม 2550
    อังกฤษรำลึก 10 ปี ไดอาน่า
    Posted by ThelastKGB , ผู้อ่าน : 118 , 19:10:29 น.
    [​IMG] พิมพ์หน้านี้

    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>เจ้าชายวิลเลี่ยมและแฮรี่ พระโอรสของเจ้าหญิงไดอาน่า ทรงเป็นประธานในพิธีรำลึก
    การสิ้นพระชนม์ครบรอบ 10 ปีของเจ้าหญิงไดอาน่าที่โบสถ์ การ์ดแชพเพิ่ล ( Guards
    Chapel )ติดกับพระราชวังบัคกิ้งแฮม ทางตอนกลางของกรุงลอนดอนเมื่อเวลาเที่ยง
    วันตามเวลาท้องถิ่น หรือ 6 โมงเย็นที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย
    [​IMG]
    งานนี้มีบุคคลสำคัญได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีราว 500 คน ในจำนวนนั้นก็มีทั้งสมเด็จพระรา
    ชินี อลิซาเบ็ธที่ 2 แห่งอังกฤษ , เจ้าชายฟิลิป พระสวามี , เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ อดีตพระ
    สวามีเจ้าหญิงไดอาน่า , เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด , นายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ , อดีตนายก
    รัฐมนตรีโทนี่ แบลร์ , เอิร์ล ชาร์ลส์ สเปนเซอร์ , เลดี้ ซาร่าห์ แม็คคอร์โควเดล และ เลดี้
    เจน เฟลโลวส์ พระอนุชาและพระขนิษฐาของเจ้าหญิง รวมทั้ง เซอร์ เอลตัน จอห์น นักร้อง
    ชื่อดัง
    งานนี้ ดัชเชช ออฟ คอร์นวอล หรืออดีต นางคามิลล่า ปาร์กเกอร์ โบวส์ พระชายาคนใหม่
    ของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ไม่ได้มาร่วมงานด้วย หลังจากหลายฝ่ายติงว่าไม่เหมาะเนื่องจาก
    เจ้าหญิงไดอาน่าเคยบอกว่า นางปาร์กเกอร์ โบวส์ เป็นผู้ทำลายชีวิตครอบครัวของพระองค์

    ในพิธีครั้งนี้ เจ้าชายวิลเลี่ยม และแฮรี่ ที่มีพระชนมายุ 15 และ 12 ปีช่วงที่เจ้าหญิงสิ้นพระชนม์ ทรงขึ้นกล่าวสดุดีเจ้าหญิง โดยเจ้าชายวิลเลี่ยมทรงขึ้นอ่านข้อความจากพระคำภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งพูดถึงจดหมายของเซ็นต์ปอลที่มีถึงชาวอีเฟเซียน ส่วนเจ้าชายแฮรี่ ทรงอ่านข้อความส่วนพระองค์ที่ใจความตอนหนึ่งบอกว่า เจ้าหญิงคือพระมารดาที่ดีที่สุดในโลก
    ที่ไม่ได้มาร่วมงานอีกคนก็คือ โมฮัมเหม็ด อัล ฟาเอ็ด พ่อของ โดดี้ อัล ฟาเอ็ด พระ
    สหายคนสนิทของเจ้าหญิง โดยเขาไปประกอบสงบนิ่งเป็นเวลา 2 นาที ที่ห้างสรรพ
    สินค้าแฮร็อด ของเขา เนื่องจากเชื่อว่า อังกฤษลอบสังหารเจ้าหญิงและลูกชายของ
    เขา เพราะไม่อยากให้เจ้าหญิงเข้าพิธีสมรสกับมุสลิม
    เมื่อปีที่แล้ว ฝ่ายสอบสวนอังกฤษบอกว่าไม่มีอะไรอยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุที่กรุงปารีส
    ขณะที่ฝรั่งเศสก็บอกว่า ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของคนขับรถของทั้งสองนั้นสูงกว่า
    ที่กฏหมายกำหนด ประกอบกับการขับรถอย่างเร็วเพื่อหนีพวกปาปารัสซี่ เป็นสาเหตุ
    การตายของทั้งสอง
    สำหรับการรำลึกถึงการจากไปของเจ้าหญิงไดอาน่าในที่อื่น ก็ยังมีทั้งที่วังเคนซิงตัน
    อดีตที่ประทับของเจ้าหญิงในกรุงลอนดอน ที่กรุงปารีส และอื่นๆ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    อันนี้ไม่อยากบรรยาย คิดและพิจารณากันให้ถ่องแท้เถิด****


    <!--check entry comment -->
    คำสารภาพสุดท้ายของนักโทษประหาร
    Posted by หัวผักกาด , ผู้อ่าน : 88 , 10:45:35 น.
    [​IMG] พิมพ์หน้านี้

    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>กลับมานำเสนอนวนิยายดีๆ น่าสนใจแก่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาวโอเคฯ อีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ ยุทธ บางขวาง ตั้งใจเสนอชีวิตนักโทษประหารในเรือนจำ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจและรับรู้ถึง
    คำสารภาพสุดท้ายของนักโทษประหาร

    [​IMG]
    เรื่องจริง ! จากประสบการณ์ตรงของ พี่เลี้ยง นักโทษประหาร วาระสุดท้ายก่อนก้าวสู่หลักประหาร ความจริงที่พวกเขา"คาย"ออกมา
    สำหรับนาทีสุดท้ายของนักโทษประหาร พวกเขาพูดอะไรกันบ้าง จริง เท็จ อย่างไร มีเพียงไม่กี่คนที่ได้ยินหนึ่งในนั้นคือ... พี่เลี้ยง นักโทษประหาร

    เพราะสัญชาตญาณดิบ เลือดเย็น อารมณ์ชั่ววูบ รัก โลภ โกรธ หลง หรือกรรมเก่า อุทาหรณ์จากหลักประหารเพื่อเตือนสติทุกครั้งที่คิดจะกระทำผิด
    นอกจากจะมาแนะนำหนังสือน่าอ่านแล้ว วันนี้ ยังขอนำเสนอบรรยากาศก่อนการประหารชีวิตในเรือนจำ เพราะมีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศดังกล่าวถึง 2 ครั้งในเรือนจำกลางบางขวาง ทั้งการประหารชีวิตด้วยปืนครั้งสุดท้าย และการประหารชีวิตด้วยการฉีดยาครั้งแรก
    [​IMG]

    วันนั้น ยังคงจำได้ไม่ลืม ท้องฟ้าโปร่ง อากาศแจ่มใส เริ่มด้วย เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้เบิกตัวนักโทษประหารออกมาจากแดนคุมขัง โดยนักโทษบางคนถึงกับหมดเรี่ยวแรง ต้องหิ้วปีกมาเพื่อเขียนพินัยกรรมหรือโทรศัพท์สั่งเสียญาติ จากนั้น เจ้าหน้าที่นำอาหารมื้อสุดท้าย ยังจำได้เลยว่าเป็นต้มข่าไก่ เขียวหวานลูกชิ้นปลากราย แกงหน่อไม้ และยังมีขนมหวานอีกหลายอย่าง มาให้นักโทษได้รับประทาน ซึ่งบรรยากาศขณะนั้น มันเหมือนมีก้อนอะไรเหนียวๆ บางอย่างอยู่ในลำคอ ไม่สามารถกลืนลงไปได้ หดหู่เหลือเกิน
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ต่อจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้อ่านฎีกาและนำนักโทษไปฟังพระเทศน์ก่อนจะขึ้นรถส่งวิญญาณ (รถไฟฟ้าที่ใช้ในสนามกอล์ฟ) ไปสู่แดนประหาร แต่ก่อนถึงแดนประหาร เจ้าหน้าที่ได้นำนักโทษแวะกราบไหว้ศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเรือนจำ ขณะนั้นเอง ท้องฟ้าจากที่เคยสดใส กลับมืดครึ้มคล้ายฝนจะตก ในทันตา (เรื่องจริงๆ นะไม่ได้โอเว่อร์) เหมือนฟ้าดินกำลังรับรู้ (พูดแล้วขนลุก) [/FONT]
    [​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เมื่อเสร็จการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าหน้าที่นำนักโทษเข้าสู่หลักประหาร ซึ่งเป็นลักษณะเป็นไม้กางเขนมีความสูงขนาดไหล่ มัดนักโทษด้วยด้ายดิบ ให้ยืนหันหน้าเข้าหลักประหารที่มีไม้นั่งคร่อม ป้องกันไม่ให้นักโทษยืนตัวงอ หรือเข่าอ่อน ข้อมือทั้งสองผูกมัดติดกับหลักประหารในลักษณะประนมมือ กำดอกไม้ธูปเทียนไว้ โดยเจ้าหน้าที่ นำฉากประหารที่มีเป้าวงกลมติดอยู่กับฉาก พร้อมตั้งเล็งให้เป้าอยู่ตรงจุดกลางหัวใจของนักโทษ ห่างจากด้าน หลังผู้นักโทษประมาณ 1 ฟุต เพื่อกำบังมิให้เจ้าหน้าที่ผู้ลั่นไกปืนเห็นตัวนักโทษ แท่นปืนประหารตั้งอยู่ ห่างจากฉากประหารประมาณ 4 เมตร [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เมื่อพร้อมแล้วเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณ โดยโบกธงสีแดง ผู้ทำหน้าที่ลั่น ไกปืน (เราไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าภายในห้องขณะประหารนะ ทางเรือนจำให้รออยู่ที่ศาลาหน้าแดนประหารเท่านั้น) จากนั้น คณะกรรมการประหารชีวิตได้ร่วมกันตรวจสอบจนแน่ใจว่านักโทษถึงแก่ความตายอย่างแท้จริง แล้ว เจ้าหน้าที่จัดพิมพ์ลายนิ้วนักโทษประหารเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อยืนยันว่าไม่ประหารชีวิตผิดตัว[/FONT] ​


    [​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นั่นคือการประหารด้วยปืน ครั้งสุดท้าย แต่เราก็ได้รับโอกาสอีกครั้งที่จะให้เข้าชมการประหารด้วยการฉีดยา ซึ่งขั้นตอนตั้งแต่เบิกตัวนักโทษจนถึงการกราบไหว้สิ่งศักดิ์นั้น เหมือนการประหารด้วยปืนทุกประการ แต่ที่แตกต่างคือการนำเข้าแดนประหาร การฉีดยา เจ้าหน้าที่จะปิดตานักโทษด้วยผ้าดำ รวมทั้งให้นักโทษถือดอกไม้ธูปเทียนไหว้ โดยหันหน้าไปทางวัดแพรกใต้ที่อยู่ติดแดนประหาร [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]จากนั้นนำนักโทษเข้าอาคารฉีดสารพิษ โดยยังคงล่ามโซ่ตรวนไว้และให้นักโทษนอนบนเตียงประหารชีวิต ซึ่งมีผ้าขาวสำหรับห่อศพวางรองอยู่ และทำการขึงแขนนักโทษให้ติดกับเตียงทั้ง 2 ข้างในท่ากางแขน และนำเข็มฉีดยาปักไปที่ข้อมือทั้ง 2 ข้าง และทำการฉีดยาจำนวน 3 เข็ม เข็มที่ 1 คือยานอนหลับ เข็มที่ 2 เป็นยาคลายกล้ามเนื้อ และเข็มที่ 3 คือยาหยุดการเต้นของหัวใจ ก่อนให้แพทย์และให้คณะกรรมการประหารชีวิต มาช่วยตรวจ [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ต่อจากนั้น จะนำนักโทษที่เสียชีวิตแล้วใส่ในโลงเย็น ความเย็น –18 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 12 ชั่วโมง ก่อนให้แพทย์ตรวจเป็นครั้งสุดท้าย และให้ญาติรับไปบำเพ็ญกุศล โดยขั้นตอนทั้งหมด ใช้เวลาประมาณ 25 นาที[/FONT]​
    [​IMG]

    วันนี้ อาจเป็นเรื่องที่ค่อนข้างหดหู่เศร้าใจไปหน่อย แต่อยากให้เป็นอุทาหรณ์ ว่า การตัดสินใจเลือกชีวิตที่ผิดพลาด ผลสุดท้ายจะจบลงอย่างไร เร่งทำความดีจะดีกว่า เพื่ออนาคตที่สดใสต่อไป เริ่มจะเขียนอะไรไม่ออกล่ะ เพราะยังรู้สึกได้ถึงความโศกเศร้า ไม่ลืม (แต่ชีวิตเรายังอยู่นะ ต้องดำเนินต่อไป เพราะพระอาทิตย์ยังคงขึ้นทางทิศตะวันออก และยังตกลับไปทางทิศตะวันตก)
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. anko

    anko เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    972
    ค่าพลัง:
    +8,252
    ยิ้มจ๋า ถามอะไรหน่อยจิ คือว่าไม่ได้เข้าเวบมานานแล้วอ่ะ แล้วพอเข้ามากระทู้ของพี่ชา(ปานโสม)มันหายไปอ่ะ หายไม่เจอ มันเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าเอ่ย
     
  13. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ยิ้มก็ไม่ทราบจ๊ะ anko เพราะความจำก็ไม่ค่อยดี ดีนะเนี้ยยังพอจำตังเองได้อยู่ (b-2love)
     
  14. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ฝากเตือนอีกรอบ...เผื่อจะลืม ๆ กันไป****


    "ถึงพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ
    ถ้ามีโทรศัพท์เข้ามือถือของเรา ขึ้นต้น ด้วย ' 8223658232 ' จำนวนหมายเลขโทรศัพท์ 10 หลัก

    โชว์ที่หน้า จอมือถือของเราห้ามรับเด็ดขาด เนื่องจาก 'CAT' สำนัก งานให&shy;่แจ้งว่าถ้า เห็นเบอร์ในลักษณะนี้ไม่ควรรับ
    เพราะว่าเป็นโทรศัพท์มาจากประเทศ เกาหลีซึ่งเป็นหมาย เลขที่เรียกเก็บเงินปลายทางซึ่งจะมี ค่าใช้จ่ายถ้าเรารับ
    โดยมีคนกลุ่มหนึ่งมักจะสุ่ม โทรศัพท์มาที่มือถือประเภทเหมาจ่ายซะส่วนให&shy;่และทาง CAT ฝากแจ้งว่า
    ถ้ามีเบอร์ที่ขึ้น **หรือ ## และตามด้วยเบอร์โทรศัพท์ 10 หลัก ก็ไม่ควรรับฯจึงแจ้งมา เพื่อทราบค่ะ[FONT=MS Sans
    Serif]"[/FONT]
     
  15. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    นี่มันไม่ใช่ขึ้นต้นแย้วเจ๊
    พอสิบเลย
     
  16. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ท่านพรหมฯ ไม่รีบมาดูแลบ้านตัวเอง แขกเหรื่อจะแยกย้ายไปหม๊ดแล้วนา หุหุ และขอโมทนาบุญท่านพรหมฯ ด้วยจ๊ะ ตกลงยังจำหนู๋ยิ้มได้ป่าว นำมาฝากจ๊ะ*****ปล. เช่นเคยเจ๊า ไปก๊อบฯเขามา 55

    http://www.oknation.net/blog/TonKaew/2007/09/06/entry-2


    สเก็ตซ์ภาพ...แล้วเล่าเรื่องแสวงบุญอินเดีย(พุทธคยา)

    Posted by ก้อนหิน8887 , ผู้อ่าน : 80 , 21:33:05 น.
    [​IMG] พิมพ์หน้านี้

    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>จากที่ก้อนหินเล่าการไปแสวงบุญอินเดียเนปาล สถานที่สังเวชฯตำบลแรก คือลุมพินี อันคือสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงประสูติ
    คราวนี้ก้อนหิน จะพาไปสังเวชนียสถาน ที่เรียกว่าถิ่นที่พระมหาบุรุษตรัสรู้ คือพุทธคยา พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลโพธิคยา รัฐพิหาร มีเมืองปัตนะเป็นเมืองหลวง
    [​IMG]
    จากจุดที่ยืนอยู่ ก้อนหินยืน ณ ตรงหน้า พระวิหารมหาโพธิ์เจดีย์ มองเห็นพระเจดีย์ทรง 4 เหลี่ยมจัตุรัส ตั้งตระหง่านสูงประมาณ 170 ฟุต จากพื้นดิน เป็นหินทรายสีน้ำตาลนวลๆ งามมากจับใจ ยอดแหลมคล้ายยอดพระเจดีย์ทั่วไป บริเวณโดบรอบมีเจดีย์เล็กๆ ลดหลั่นรายล้อม พื้นบริเวณทางเดินโดยรอบเป็นหินอ่อนสีขาว พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างในครั้งแรกเริ่มต้น และต่อมาได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติม ซ่อมแซมมาเรื่อยๆ
    [​IMG]
    ภายในพระวิหารมหาโพธิ์เจดีย์ จะมีห้องปฏิบัติอยู่ชั้นบน และชั้นล่างในระดับเดียวกับพื้น ซึ่งเดินเข้าไปได้เลย แต่ต้องถอดรองเท้า เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย แกะสลักด้วยหินตามแบบศิลปะสมัยปาละ ทาสีทอง คนไทยนิยมเรียกว่า พระพุทธเมตตา
    ด้านข้างพระวิหารมหาโพธิ์เจดีย์ จะมีรัตนจงกรมเจดีย์ รูปทรงเป็นหินแกะสลักทำเป็นดอกบัวศิลปะภารหุต 19 ดอก วางเรียงกันเป็นแนว
    ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นสถานที่ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับนั่งตรัสรู้ ในอดีตกาลสถานที่ที่แห่งนี้ได้เคยมีพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ทรงมาตรัสรู้แล้วถึง 3 พระองค์ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ พระนามว่า โกนาคมนะ พระนามว่า กัสสปะ องค์ปัจจุบันพระนามว่า โคตมะ และในอนาคตกาลจะเป็นที่ตรัสรู้ของพระศรีอริยเมตไตรย (ประวัติของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ก้อนหินได้เล่าไว้แล้วนะคะ หวังว่าคงจำกันได้นะคะ)
    ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เดิมพระพุทธเจ้า ทรงใช้หญ้ากุสะ 8 กำมือปูลาดนั่ง แล้วทรงนั่งประทับบนหญ้านั้น ต่อมา พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างเป็นแท่นหินสลัก เรียกว่า พระแท่นวัชรอาสน์
    [​IMG]
    พระพุทธเมตตา ประดิษฐานภายในพระวิหารมหาโพธิ์เจดีย์
    [​IMG]
    พระแท่นวัชรอาสน์
    [​IMG]
    รัตนจงกรมเจดีย์
    [​IMG]

    ชาวศรีลังกา จำนวนมาก สวดมนต์หน้าต้นพระศรีมหาโพธิ์
    [​IMG]
    บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ บรรยากาศในตอนกลางคืน สงบมากๆ ครั้งหนึ่งในชีวิตเพียงได้ทำความสงบอยู่ ณ ที่นี้ถือว่าสุดๆๆ ของชีวิตแล้ว ล่ะค่ะ สงบ เงียบ
    [​IMG]
    วัดไทยพุทธคยา
    [​IMG]

    พระพุทธรูปขนาดใหญ่มากๆๆ วัดญี่ปุ่น
    [​IMG]
    และนี้คือฐานของศิวะลึง ซึ่งในอดีตชาวฮินดู สร้างเป็นรูปศิวะลึงขนาดใหญ่มาก อยู่ตรงหน้า พระพุทธเมตตา ภายในพระวิหารโพธิเจดีย์ เป็นที่เสียใจและอาดูร์สังเวช ของชาวพุทธที่ไปกราบไหว้สักการะพระพุทธเมตตา และได้มีการเรียกร้องยาวนาน ให้เอาออกไป ปัจจุบันได้เอาออกไปแล้วเหลืออยู่แค่นี้ (ดอกไม้อันนั้น ชาวฮินดู นำมาวางบูชานะคะ)

    [​IMG]
    ชาวอินเดีย ที่มาต้อนรับ ชาวไทยที่ไปแสวงบุญ เรียกง่ายๆว่า มาขอเงินนะคะ (ขอทาน)
    [​IMG]
    ไปครั้งแรก ก้อนหินต้องรบรากับคุณแขกๆๆ พวกนี้ ก็เป็นที่หนุกหนาน ล่ะค่ะ ดำๆๆ ทั้งนั้น
    ก้อนหิน ยังพาเที่ยวไม่ทั่วนะคะ อย่าเบื่อนะในบริเวณตำบลคยา ยังมีแม่น้ำเนรัชรา บ้านนางสุชาดา กุฏีพระพุทธเจ้าบนเขาคิชกูฏ และนาลันทา พรุ่งนี้ก้อนหินพาพี่ๆ เพื่อนๆ ไปแสวงบุญ ต่อนะคะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    อีกหนึ่งบท.... อุ๊ย...มัน ช๊อตตตตตตตต ตรงไหนเฟ้ย

    The message you have entered is too short. Please lengthen your message to at least 1 characters.

    http://www.oknation.net/blog/talkwithMetha/2007/09/06/entry-1

    วันพฤหัสบดี ที่ 6 กันยายน 2550
    แผ่นดินสุริยะวรมัน : จากแผ่นดินแห่งตำนาน สู่สงครามและสันติภาพ

    Posted by เมธา , ผู้อ่าน : 116 , 14:16:03 น.
    [​IMG] พิมพ์หน้านี้

    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>แผ่นดินสุริยะวรมัน :
    จากแผ่นดินแห่งตำนาน สู่สงครามและสันติภาพ


    [​IMG][​IMG][​IMG]
    photo : 3 ภาพบนจาก www.manager.co.th







    เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ผมได้มีโอกาสเดินทางเข้าประเทศกัมพูชา ดินแดนแห่งสุริยะวรมันที่ 2 ซึ่งหลังสิ้นพระชนม์ได้ถูกขนานนามเป็นอวตารหนึ่งของพระนารายณ์ จากแผ่นดินอันยิ่งใหญ่ก่อนอาณาจักรสุโขทัยในครั้งโน้น ขอมศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ทลายยุคเรืองรุ่งละทิ้งปราสาทราชวังมากมายตามเส้นทางบูรพาทิศนี้ สู่ดินแดนแห่งสงคราม 4 ฝ่ายในประวัติศาสตร์ใหม่ของกัมพูเจียได้อย่างไร จากสีหนุ พอลพต มาสู่วันนี้ของฮุนเซ็น เป็นเรื่องที่ผมเก็บความตื่นเต้นในใจไว้เมื่อก้าวเท้าผ่านแดน แม้ว่าจะเคยไปเมืองหลวงพนมเปญมาแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม แต่หนนี้ เราจะได้เดินทางเต็มที่ระหว่างรอยเท้าของเรา


    วันแรกในบ่อนคาสิโนชายแดนปอยเปตที่ผุดขึ้นนับสิบ บ้างก็ของชาวไทยมาถือหุ้นใหญ่ บ้างก็ของนักธุรกิจ-การเมืองของกัมพูชา แน่นอนทั้งสองฝ่ายต่างเป็นที่รู้จักของชาวไทยและชาวขแมร์เป็นอย่างดี ผมย่างเท้าเข้าไปที่แกรนด์ ไดมอนท์ คาสิโนอลังการของ ตระกูล อ. ซึ่งชั้นล่างเป็นคาสิโนโอ่โถง ผู้คนส่วนมากที่สุดแทบจะไม่มีชาติอื่นนอกจากคนไทย ไกลแผ่นดินชายแดนไม่เท่าไหร่ ไม่ยากเย็นเกินไปเลยที่มนุษย์จะเข้ามาเที่ยวแดนนรกแห่งนี้.. แน่นอน นรกสำหรับคนจนที่สิ้นเนื้อประดาตัว แม้บางคราวมันอาจคือสวรรค์ของนักเสี่ยงโชคก็ตาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้มีอันจะกินต่างหากที่มีโอกาสเข้ามา.. และบางครั้งบางคราวที่นี่ผู้คนจะหนาแน่นขึ้นเมื่อเมืองหลวงถูกตำรวจจับตาเข้ม หลายบ่อนจึงต้องมาเช่าชั้น V.I.P.ของบ่อนคาสิโนที่นี่บ่อยครั้ง.. และสำหรับแขกประจำบ่อนแล้วเขามีรถรับส่งกรุงเทพฯ-ปอยเปตเลยทีเดียว ยังไม่นับลูกค้าประจำของคาสิโนที่นี่ อัตราการแลกชิพสูงและหรือเป็นแขกประจำแล้ว จะมีโควต้าห้องพักให้ฟรีอีกต่างหาก

    ผมได้แต่ทึ่งในอาณาจักรแห่งใหม่ของชายแดนกัมพูชาแห่งนี้ ตึกรามใหญ่โตแทบจะยิ่งใหญ่กว่าพนมเปญในปัจจุบัน เมืองที่อธิบดีกรมตำรวจของกัมพูชาต้องบินมาจัดการปัญหาบ่อยครั้ง พนันได้ว่ามีเงินหมุนเวียน ณ ที่แห่งนี้วันละหลายสิบหลายร้อยล้านบาทเลยทีเดียว (แต่ถ้าเป็นที่เกรนติ้งไฮแลนด์ มาเลเซีย น่าจะวันละหลายพันล้านบาท)
    แน่นอนเงินเหล่านี้แพร่สะพัดในหมู่นักธุรกิจและผู้มีอำนาจการเมืองของกัมพูชา ท่ามกลางประชาชนที่ยากจนข้นแค้นมากแผ่นดินหนึ่งของโลก ผมได้แต่ตั้งคำถามว่า
     
  18. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    โปรดพิจารณาด้วยตนเอง

    ขออนุญาตมาเล่าเหตุการณ์ที่ประสบกับตนเองเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา....

    คืนวันนั้นเวลาประมาณเกือบ 2 ทุ่ม ขากลับบ้านสังเกตเห็นว่ารถตนเองน่าจะมีปัญหาเรื่องระบบเบรค เนื่องจากเห็นพี่ชายขับรถแล้วพยายามดึงเบรกมือเพื่อช่วยในการหยุดตลอดเวลา ยิ้มก็ภาวนาของตนเองไปเรื่อย ๆ ขอบารมีหลวงพ่อคุ้มครองให้กลับถึงบ้านปลอดภัย

    เมื่อผ่านถึงสี่แยกใหญ่หนึ่งของ กทม. (ถนนก็ยังเปียกนิด (เนื่องจาก ฝนตก) รถของยิ้มวิ่งเป็นคันแรกด้วยความเร็วไม่มากประมาณ 40-60 ต่อ ชม. ) สังเกตเห็นว่าไฟเป็นเหลือง พี่ชายก็เริ่มดึงเบรคมือเป็นช่วง ๆ เมื่อใกล้ถึงจุดต้องจอดท่าจะยังไม่หยุด คุณเธอจึงดึงให้แรงขึ้นช่วงนั้นเองปรากฎว่ารถเกิดการเสียการทรงตัว ท้ายรถปัดจากซ้ายไปขวาเกินครึ่งวงกลม กินไป 3 ช่องจราจร

    ใจตอนนั้นก็เฝ้าสังเกตุว่าอะไรจะเกิดขึ้น มองไปด้านหลัง เจ้าประคุณเอ๋ย รถที่ตามมาด้านหลัง ทำไมเข้าอยู่ห่างจากเราไปประมาณ 2-3 ช่วงคันรถ มีแต่แท๊กซี่คันเดียวที่วิ่งมาไล่ ๆ กัน ค่อย ๆ วิ่งเฉียดหน้าเราไป แบบภาพ สโลว์โมชั่นเล๊ย

    กลับถึงบ้านเสร็จธุระแล้ว ต้องกราบพระคุณ คุณพระบารมีท่านคุ้มครอง นึกไม่ออกว่าแคล้วคลาดมาได้อย่างไร นึกไม่ออก ???????(u)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2007
  19. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    วันนี้ยังหายใจ คืนนี้ไม่แน่
    มาลาไปนอนก๊าบป๋ม Y^-^
     
  20. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    http://www.oknation.net/blog/Kati1789/2007/09/14/entry-1

    /Kati1789
    <!--check entry comment -->วันศุกร์ ที่ 14 กันยายน 2550
    รุนแรงเช่นนี้ ทำเช่นไรกันดี
    Posted by Kati , ผู้อ่าน : 38 , 07:18:19 น. | หมวดหมู่ : SOIREE
    [​IMG] พิมพ์หน้านี้

    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>รุนแรงเช่นนี้ ทำเช่นไรกันดี

    [​IMG]

    ไม่แน่ใจว่า อาการยับยั้งชั่งใจในสังคมไทย
    ถือเป็นพฤติกรรมซึ่งไม่ได้รับนิยมหรืออย่างไร
    จนกระทั่งได้สูญหายกลายพันธุ์ไปแล้วหรือ

    ยิ่งไม่แน่ใจไปใหญ่ เมื่อต้องอ่านข่าวคราว เมื่อได้นั่งไล่เรียงความว่า เรื่องราวความรุนแรงต่างๆซึ่งแวดล้อมสังคมไทยนั้น มีอยู่มากมายต่อเนื่อง รายวัน รายสัปดาห์ จนบ่อยครั้งบางคนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนตื่นเช้าขึ้นมาต้องมีพระอาทิตย์
    ตื่นขึ้นมายามเช้าในเมืองไทย ต้องมีการ ปล้น ฆ่า ข่มขืน ทำร้ายร่างกาย
    แต่สำหรับผู้ที่ถูกกระทำ ผมคิดว่า เขาเหล่านั้นคงไม่คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา

    ยิ่งได้ยินบทสัมภาษณ์ของสารวัตรท้องที่บางยี่เรือ เจ้าของคดีนักศึกษาสาวสาดน้ำร้องในถ้วยมาม่า ใส่นักศึกษาหญิงอีกคนหนึ่ง พร้อมทั้งตบตีจิกข่วน ก่อนด่าทอ และประกาศอาณาเขตว่า พ่อเธอใหญ่
    โดยท่านได้ให้สัมภาษณ์ออกอากาศยามค่ำคืน อย่างประทับใจยิ่ง เมื่อได้รับคำถามว่า เหตุการณ์เช่นนี้รุนแรงมากน้อยเพียงใดนั้น ท่านตอบแบบสบายอารมณ์เพียงว่า ธรรมดา ถ้าหากมาดูตามโรงพัก จะเห็นว่ามีเรื่องทะเลาะวิวาท ทะเลาะเบาะแว้งเช่นนี้อยู่ทั่วไป ธรรมดามากมาก
    ยิ่งได้ยินได้ฟัง ยิ่งเห็นว่า ไม่ธรรมดาครับ
    ขนาดตำรวจไทย สามารถพูดประโยคเช่นนี้ได้ ไม่ธรรมดาครับ
    บ่อยครั้งที่ผมคิดว่า ควรจะสละสัญชาติกันเลยดีไหม หาประเทศเหมาะๆ ที่ยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ และคุณค่าของชีวิตที่สูงกว่านี้ หรือควรจะเก็บเงินเก็บทอง เพื่ออพยพโยกย้ายถิ่น เหมือนฤดูกาลของสัตว์พลัดถิ่น สัตว์อพยพกันเลยจะดีไหม ไปหาแหล่งพักพิงอาศัยของชีวิต ที่จะไม่ต้องถูกทำร้ายทำลายเช่นนี้
    เพราะธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
    เมื่อต้องเผชิญหน้ากับภัยที่มาผลาญชีวิตเช่นนี้
    ล้วนต้องหาทางออกให้กับชีวิต ซึ่งก็มีทางออกไม่กี่ทาง
    จะประนีประนอมยอมความ เป็นบ่าวเป็นทาสได้ก็เป็น จะลุกขึ้นมาต่อสู้ต่อกรได้ก็ต้องทำ จะหลบหนีหายไปเพราะเบื่อหน่ายกับสิ่งอันแวดล้อมเหล่านี้ก็ได้ หรือจะบ้าบอไปกับความชาชิน ถ้ายังไม่มาถึงตัวก็แล้วไป วันนี้รอดไป
    ถ้าวันไหนถึงคราวของตัว ก็ได้แต่รำพึงว่า ว้า แย่จัง วันนี้ซวยจังเลย
    เอากันอย่างนี้จะดีไหมครับ

    [​IMG]

    สำหรับสังคมที่ใช้ความรุนแรงเช่นนี้ ในบ้านนี้เมืองนี้ ที่แม้แต่ผู้พิทักษ์ความสงบสุขในบ้านเมือง แม้แต่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ยังเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องชาชิน เห็นความตายดุจนักบวชปลงตก จนไม่ต้องมาถามไถ่ว่า เขาเหล่านั้น ทำไมจึงถูกทำร้ายทำลาย
    ก็ดันเล่นบทผิดที่ผิดทาง
    ดันมาปลงตกเช่นนักบวช ในขณะที่ตนเอง คือผู้รักษากฎระเบียบของสังคม
    หากเป็นสังคมแห่งอำนาจ ที่พร้อมจะใช้ความรุนแรงเช่นนี้ ในขณะที่ยังไม่สามารถอพยพพลัดถิ่นเช่นนกไซบีเรียหนีหนาวได้ เราจะทำยังไงกันดีครับ

    เราจะเตรียมตัว เตรียมพร้อมตลอดเวลากันดีไหม
    แม้กระทั่งเข้าไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ก็ต้องดูทางหนีทีไล่ จะม้วนหน้าม้วนหลังอย่างไรกันดี หากมีคนเดินเข้ามาชกหน้า จะฉากตัวเบี่ยงตัวหลบหมัดอย่างไร หากถูกต่อยจังๆ
    จะเอามือปัดป้องดีไหม หรือเบี่ยงหน้าอย่างไร ไม่ให้ถูกน้ำร้อนลวกหน้า
    หรือเราจะต้องเข้าไปต่อยคู่กรณีก่อน
    ทำร้ายร่างกายผู้อื่นก่อน ก่อนที่จะถูกทำร้ายร่างกาย
    ทำร้ายคนอื่นก่อน ก่อนจะถูกคนอื่นทำร้าย
    เอาเช่นนี้ดีไหมครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ

    ไม่ทราบเป็นเช่นไร ในท่ามกลางสังคมแห่งอำนาจเช่นสังคมไทย ที่ไม่อาจยับยั้งชั่งใจ ไม่อาจเก็บกดความไม่พึงพอใจ ระเบิดอารมณ์เมื่อใดก็ใส่เลย เอาวาจาด่าทอไม่ได้ ก็เอาแรงเข้าใส่ แรงอย่างเดียวไม่พอ ต้องเครื่องทุ่นแรง เจ็บตัวไม่ได้ก็ฆ่ากันให้ตาย ไม่ตายแล้วต้องถึงโรงถึงศาล ก็งัดอำนาจฝั่งใครฝั่งมันขึ้นมา ใครใหญ่กว่ากันว่ากันไป
    เอาเช่นนั้นดีไหมครับ
    ใครใหญ่กว่าชนะ โอ น้อยออก
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...