วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    เป็นคำภาวนาที่ผุดขึ้นมาหลังจากได้อ่านโพสข้างบนของพี่คณานันท์

    "สัพพัญญุตานัง สัพพัญญุตญาณ"


    _/\_
     
  2. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    "สัมมาสัมโพธิญานัง สัมมาสัมโพธิญาณ"

    _/\_

    ส่วนคำภาวนานี้พระท่านมาบอกในสมาธินานแล้ว
     
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถ้าใครอ่านแล้วคิดว่าธรรมะเป็นของยากก็ขอให้คิดซะใหม่นะครับว่า
    ธรรมะละเอียดลึกซึ้งจริง แต่เข้าถึงได้ไม่ยาก ถ้ารู้อารมณ์และวิธี
    อย่างอานาปานุสติกรรมฐาน หากเราจับลมหายใจเป็นเพชร ก็ถือว่าเป็นกสิณ
    พอได้กสิณ1กอง ก็ไล่อีก 10 กองจบภายใน1นาทีก็ยังได้
    พอได้กรรมฐานเป็นฌาณ4 แค่1กอง ก็ไล่อีก 39กองให้จบได้ภายในไม่ถึง1ชั่วโมง
    ขอแค่เรารู้อารมณ์และขยันทำเท่านั้นเอง
    อารมณ์สมถะนั้น ถ้าฝึกจริงก็ไม่ยาก
    ส่วนวิปัสสนาญาณนั้นก็ละเอียดสูงขึ้นมาอีก
    แต่ถ้าเรารู้วิธีการวางอารมณ์ และรู้เรื่องสังโยชน์ดี
    ไม่ใช่สักแต่ท่องนั่งจำนะ ต้องรู้ว่าอารมณ์ของสังโยชน์เป็นอย่างไร และจะตัด บรรเทาได้ด้วยกรรมฐานกองไหน
    ซึ่งกรรมฐานทั้ง40 กอง ก็จับเป็นวิปัสสนาได้ทุกๆกอง
    สมถะต้องคู่กับวิปัสสนา ไม่มีการแบ่งแยกออกจากกัน
    ถามว่าถ้าผมจะจับลมหายใจ เป็นอานาปานุสติกรรมฐาน
    ทำไมผมถึงจับลมหายใจหล่ะ หากเราใช้ปัญญาพิจารณาเพิ่ม
    เราก็จะเห็นว่า ที่เราทำอย่างนี้ก็เพราะเราเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    เรากำลังปฏิบัติตามพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติกรรมฐาน
    ขณะที่เรากำลังจับลมหายใจอยู่นี้ เราก็มีศีล5 บริสุทธิ์ เป็นสีลานุสติกรรมฐาน
    ที่เราทรงอานาปานุสติกรรมฐานก็เพราะเราไม่ประมาทต่อความตาย
    ก็เพราะว่าถ้าตายตอนนี้ด้วยอานิสงค์ของอานาปานุสติกรรมฐานก็จะทำให้เราเข้าใกล้พระนิพพาน เป็นการควบมรณานุสติ กับอุปสมานุสติกรรมฐาน
    ถ้าเราคิดแบบนี้ก็เท่ากับว่าเราจับลมหายใจอยู่เราก็ทรงกรรมฐานทีเดียว 7 กอง

    ก็เท่ากับว่าแค่จับลมหายใจอย่างเดียวด้วยความเคารพที่มีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวกกับปัญญานิดหน่อย
    เราก็ได้กรรมฐานไปแล้วถึง 7 กอง ง่ายไหมครับ
    ดังนั้นถ้าใครคิดว่ายาก ลองคิดใหม่นะครับ
    ไม่ยากอย่างที่คิดหรอกครับ หากรู้การวางอารมณ์และตั้งกำลังใจให้เป็นสัมมาทิฏฐิ
    เคล็ดลับที่สำคัญที่สุดก็คือ อารมณ์สบายครับ
    บางคนฝึกมานานแต่ไม่ก้าวหน้าเพราะว่าเครียดไป เอาจริงเกินไป หลงว่าฉันดีแล้ว เจ๋งแล้ว
    บางคนฝึกมาแป้ปเดียว แต่ว่าทำใจสบายๆ โดนเพื่อนลากมาก็เลยลองฝึกเล่นๆ ไม่คิดมาก
    กลับก้าวหน้าไปไกล เพราะว่าเขาไม่เครียด ไม่มีตัวอยาก และก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองดี

    ดังนั้นถ้าใครวางกำลังใจยังไม่ดี คิดว่าธรรมะเป็นของยากก็ดี ฉันฝึกมานานแล้วยังไม่ได้อะไรก็ดี หรือฉันเจ๋งเกินครูแล้วก็ดี
    ขอให้ลองตั้งกำลังใจใหม่ แล้วลองดูอีกครั้งครับ คราวนี้ทำสบายๆ ไม่เครียด
    หวังว่าจะได้รับความสุขใจจากธรรมะกันโดยถ้วนหน้านะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2008
  4. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    (ธรรมะของอาจารย์คณานันท์ )

    แต่ขอให้ตั้งกำลังใจ เพื่อส่วนรวมเป็นสำคัญ

    ตั้งกำลังใจว่า


    จะนำวิชาความรู้เหล่านั้น มาใช้ ประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ก็ดี

    ช่วยให้บุคคลทั้งหลายบรรเทาเบาบางจากความทุกข์ลงไม่มากก็น้อยก็ดี

    เพื่อทำให้ผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งความดีก็ดี
    --------------------------------------------------------------
    จะขอตั้งกำลังใจในการทำความดีนี้ตลอดไปค่ะ^-^
     
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม กันด้วยประการฉะนี้

    สาธุ ขอให้รักษากำลังใจกันไว้ให้มั่นคงในความดี
     
  6. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    นิทานเรื่อง งูตัวดำffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>​
    มีพญานาคสีดำตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งก่อนที่จะมาเป็นพญานาคนั้นเขาเคยเป็นมัคทายกวัดมาก่อน โดยเขาทำหน้าที่เป็นคนนำคนสวด เป็นผู้นำคนอื่นเขาทำความดีที่วัด เขาได้ฟังพระเทศน์มากกว่าคนอื่นเขา เวลาขอศีลพระเขาก็เป็นคนกล่าวนำ เวลาอุทิศส่วนกุศลก็เป็นคนกล่าวนำ เวลาพระเทศน์ก็เป็นคนกล่าวนำ เขาอยู่กับวัดมานานมาก เรียกว่าพวกแก่วัด ทีนี้อยู่ในวัดมานานเขาก็เลยมีทิฐิมาก ไม่ค่อยจะยอมฟังคนอื่นเท่าไร คิดว่าตัวเองนี่มีความรู้เยอะ และก่อนหน้านี้เขาก็เคยบวชเป็นถึงเปรียญ มีความรู้ทางศาสนามาเยอะ ตัวเขาก็ถือว่าเขามีภูมิความรู้ดีกว่าใครๆ ดังนั้นพระที่บวชมาใหม่ๆนั้นก็มักจะถูกเขาตำหนิ ว่าเอา ชอบเที่ยวไปสอนพระ แต่ว่าบังเอิญเขาไปสอนเอาพระอรหันต์เข้า เรื่องของเรื่องมันหนักก็ตรงนี้ล่ะ พระอรหันต์องค์นั้นเป็นเณร เขาไปเถียงกับเณรเข้า เขาเห็นว่าเณรยังเป็นเด็ก ยังอายุน้อยอยู่ แต่เณรที่เป็นพระอรหันต์ท่านรู้แจ้งในความจริงแล้ว ท่านก็พยายามที่จะชี้แจงในสิ่งที่เป็นความจริง แต่มัคนายกคนนี้ก็จะคอยเถียงว่า ไม่จริง ไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องอย่างนี้ เณรน่ะไม่รู้จริง แต่ตอนที่เถียงกับเณรนั้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรกับหรอกนะ เพราะเขาก็มีความเคารพในพระเหมือนกัน แต่ว่าความคิดของมัคนายกเขายังไม่รู้จริง แต่ดันไปยึดเอาแต่ความคิดของตัวเองมาเป็นใหญ่ เที่ยวเอาความคิดเห็นของตัวเองไปชี้นำคนอื่นเขา พอคนอื่นเขาแย้งมาเขาก็จะแย้งกลับ กล่าวถ้อยคำทุ่มเถียงกัน ไม่ค่อยจะยอมใคร แกก็เป็นของแกแบบนั้นไปเรื่อยๆ <O:p></O:p>
    จนวันหนึ่งแกก็ตายจากความเป็นคนไป เพราะโรคท้องมันกำเริบ พอจิตออกจากร่างปั๊บก็กลายเป็นพญานาคสีดำ ที่ตัวมีสีดำก็เพราะว่าจิตของเขาหมอง เพราะมัวแต่ไปครุ่นคิดในสิ่งที่มันโต้เถียงที่มันขัดแย้งอยู่ในใจของเขาอยู่ มันทำให้ใจของเขาขุ่นมัวอยู่เรื่อยๆ แต่มันก็ยังดีที่ว่าเขาก็ไม่ได้ทำสิ่งที่เลวร้ายอะไร เพราะศีลเขาก็ตั้งใจรักษา แต่ว่าศีลที่เขารักษามันก็ยังไม่ได้บริสุทธิ์จริง ตัวเขาเองก็กราบพระไหว้พระแต่ก็ไม่ได้ถึงในคุณของพระจริงเพราะไปมองตัวเองว่าเป็นผู้ที่มีความรู้เยอะกว่าคนอื่น ทำให้จิตของเขามันก็ยังมีเศร้าหมองอยู่ ไม่แจ่มใส ความเศร้าหมองมันก็สะสมไปเรื่อยๆ จิตมันก็เลยคล้ำไป ทำให้เวลามาเกิดเป็นพญานาคขึ้นมามันก็เลยมีสีดำทั้งตัว แต่ที่จริงแล้วพญานาคทั่วๆไปนี่เค้าจะมีสีถ้าไม่ทองก็ออกมรกต คือมีสีสันมีเครื่องแต่งกายที่ดูเหมือนเป็นเพชรนิลจินดา มีความสว่างสวยสด แต่พญานาคมัคนายกนี่ไม่ใช่ เวลาอยู่ในถ้ำเขาก็อยู่คนเดียวเพราะสมัยที่เขาเป็นคนนั้นเขาไม่เอาใคร ไม่เกื้อกูลกับใคร ตัวเขาถือว่าเขาเป็นใหญ่ในวัด คิดว่าวัดนี้มันเป็นวัดของเขา ทุกคนก็ยอมให้เขา ตัวเขาก็เลยย่ามใจคิดว่าตัวเขานี่เป็นผู้มีอำนาจพอในการตัดสิน ชี้เป็นชี้ตาย ใครมาที่วัดก็ต้องมาพึ่งพาเขา ตัวเขาก็คอยแต่จะติว่า
     
  7. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    พี่ขออนุญาตขยายตัวหนังสือนะจ้ะปู...

    โมทนาด้วยจ้ะ...



     
  8. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    แวะมาอ่านครับ....ได้อ่านแล้วรู้สึกดีมากครับ.....อนุโมทนาบุญกับพี่ๆ,เพื่อนๆ,และน้องครับ...สวัสดีครับ
     
  9. c486

    c486 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +300
    ขออนุโมทนากับคุณดอกขจรและคุณChdhorn ด้วยค่ะที่นำสิ่งดีดีมาให้อ่านกัน
     
  10. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    กลับมาจากวัดท่าซุง แล้วน่ะค่ะ ^^
    ทางวัด กำหนดให้ถือศีลบวชเนกขัมมะ ฝึกมโนมยิทธิได้ 7 วันค่ะ

    " มาดูกันค่ะว่า มีโปรแกรมอะไรบ้างใน แต่ละวัน "

    <TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <O:p</O:p
    ตั้งแต่เช้ามืด ก็มีจะเสียงที่เปลี่ยมไปด้วยพระเมตตา แม้ท่านจะสิ้นลมหายใจไปแล้ว
    แต่ พระธรรมคำสั่งสอนของท่าน ที่เมตตา บอกสอนลูกหลานยังคงอยู่ยัง คงสอนลูกหลาน
    ใน ทุก ๆ เช้า และ ระหว่างวัน ด้วยค่ะ เป็นเสียงตามสาย มายังที่พัก ของ นักบวช ทุก ห้อง

    4 : 00 น . เสียงพระธรรมเทศนา ตามสาย โดย หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ ฯ

    [​IMG]

    ( บริเวณหน้าโบส์ท )

    6 : 00 - 7 : 00 น . พระมาบิณทบาต หน้า โบสท์

    [​IMG]

    ( ศาลานวราชบพิตร สถานที่ ที่ลงทะเบียนบวชฯ และ ทำวัตรเช้า )

    8 : 30 - 9 : 00 น. ทำวัตรเช้า ที่ ศาลานวราชบพิตร

    [​IMG]

    ( พระประทานภายในศาลาราชบพิตร )

    10 : 00 น. เสียงพระธรรมเทศนา ตามสาย โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำฯ

    [​IMG]

    ( หน้าวิหารแก้ว 100 เมตร ( อนุสาวรีย์ฯ รัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 5 และ รัชกาลที่ 6 )
    ข้างหลังอนุสาวรีย์ เป็น มณฑปพระปัจจเจกพุทธเจ้า )

    12 : 00 – 14 : 00 น. เจริญพระกรรมฐาน ฝึกมโนมยิทธิ วิหารแก้ว 100 เมตร
    <O:p</O:p

    [​IMG]

    ( ภายในวิหารแก้ว 100 เมตร )


    16: 00 น. เสียง ตามสาย เรื่อง กฎระเบียบ ทางวัด โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำฯ<O:p</O:p

    [​IMG]

    ( องค์ประประทานฯ ใน วิหารแก้ว 100 เมตร )

    17 : 00 – 18 : 45 น. ทำวัตรเย็น และ เจริญพระกรรมฐาน ณ วิหารแก้ว 100 เมตร
    21 : 00 น. เสียงพระธรรมเทศนา ตามสาย โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำฯ


    <O:p
    [​IMG]

    มีรถรางรอรับไปวิหาร 100 เมตร หน้าโบสถ์
    รถออกเวลา 11 : 30 , 16 : 30 น. ค่ะ


    <O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  11. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    เรื่อง พ่อนก

    ในยามท้องฟ้ามันครึ้ม ก็มีแม่นก พ่อนก ลูกนกอีก ๔ ตัว มันจะบินกลับบ้านเพราะรู้ว่าฝนฟ้าจะตกมันก็รีบกลับบ้านเพราะรู้ว่าไม่ปลอดภัย ในระหว่างที่บินอยู่นั้นเองก็มีลมหมุนมาพัดทำให้ทั้งพ่อนก แม่นก ลูกนกพลัดหลงกันไปคนละทาง ลูกบินกลับบ้านไม่ถูกเพราะไม่รู้ทาง ต้องให้พ่อแม่นำไป แม่อยากจะบินกลับบ้านก็ไปไม่ได้เพราะห่วงลูก ก็ต้องบินเที่ยวหาลูก ส่วนพ่ออยากจะบินกลับบ้านก็บินไปไม่ได้เพราะต้องห่วง บินเที่ยวหาเมียหาลูก แสดงว่าแม่นี่ลำเอียง แม่เอาแต่ลูก ส่วนพ่อเอาทั้งแม่ทั้งลูก พ่อรักมากกว่าใคร ใช่มั้ย ทีนี้ลูก ๔ ตัวก็กระเด็นไปคนละทิศละทาง ไม่มีใครเจอกันเมื่อฟ้าเริ่มสงบ ลูกต่างคนต่างก็กระเด็นไปอยู่คนละทิศละทาง ต่างคนก็ต่างไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่างๆกัน ชีวิตแต่ละชีวิตที่เคยอยู่ด้วยกันนั้นมันเหมือนกับเริ่มต้นใหม่ ในตอนต้นนั้นทั้งพ่อและแม่ต่างคนก็ต่างอยู่ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ต่อมาก็มาผูกสมัครรักใคร่ มาเป็นสามีภรรยากัน แล้วก็สร้างรังอยู่ด้วยกันแล้วก็มีลูกน้อยออกมา ๔ ตัว แล้วก็เตรียมอยู่ด้วยกัน ช่วยกันทำมาหากิน ก่อนจะมีลูก แม่ก็เตรียมกกไข่ พ่อก็คอยเตรียมหาอาหารมาให้ภรรยา แต่คนท้องก็หงุดหงิด นกท้องก็หงุดหงิดเหมือนกัน พ่อก็ต้องคอยเอาใจหาเกสรดอกไม้หอมๆมาฝากภรรยาคอยเอาใจ ภรรยาก็ยิ้มหวานคอยดูแลลูก และก็ผลัดกันออกไปหาอาหารให้อีกฝ่ายเฝ้าลูก ต่างคนก็ต่างสามัคคีกันจนลูกฝึกบินได้ เที่ยวบินออกไปจนโต <O:p></O:p>
    ทีนี้ก็มาวันหนึ่งก็ต้องพลัดพรากจากกันเหมือนเริ่มต้นใหม่ ผู้เป็นพ่อก็อยู่ที่หนึ่ง อยู่คนเดียว ผู้เป็นแม่ก็อยู่ที่หนึ่ง อยู่คนเดียว ผู้เป็นลูกก็อยู่คนเดียว เกิดมาคนเดียว ท่องเที่ยวไป ทีนี้นก ๔ ตัวสาบานกันไว้ว่าเราจะตายพร้อมกันในสมัยเป็นมนุษย์ แต่พ่อกับแม่ไม่ได้สาบานกันไว้ ผู้เป็นพ่อก็เที่ยวตามหาแม่กับลูก ผู้เป็นแม่ก็เที่ยวตามหาลูก แต่หาไปๆก็ท้อ ท้อนักก็เลยหาผัวใหม่ไปเจอนกเพศชายเข้าก็เลย เอาเถอะวะอย่าไปหาลูกหาเต้าอะไรอยู่เลย หาสามีใหม่หาลูกใหม่เถอะวะ ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นไม่หาเมียใหม่ เที่ยวหาแต่ลูกแต่เมียบินตั้งแต่ปีกยังอ่อนๆจนปีกแข็ง จนขนผิวที่เคยมีสีสันที่มีขนเงางามกลับแข็งกระด้างลงทุกวัน บินมันอยู่อย่างนั้นเที่ยวหาไปตั้งใจจดใจจ่อเที่ยวจะหาลูกหาภรรยาไป ส่วนผู้เป็นลูกทั้ง ๔ ก็มีอยู่ทางเดียวก็คือต้องเอาตัวให้รอดเพราะว่ายังเล็กนัก ปีกเค้ายังไม่แข็งพอที่จะบินไปได้ไกลๆ และสัตว์ร้ายมันก็มีอยู่เยอะ ศัตรูที่ไม่รู้จักก็มาก ต่างคนก็ต่างต้องพยายามเอาตัวรอด แต่ว่าบุญที่เค้าทำมาน่ะมันมีเพราะเค้าไม่ค่อยได้ทำปาณาติบาตอะไร บุญเค้าก็ยังมี ไปที่ไหนก็รอดพ้นอันตรายไปได้ เจ้าลูกนกทั้งสี่ตัวนี้มีข้อรัดวงแหวนที่ขาเป็นสัญลักษณ์ที่พ่อนกจะจำได้ทันทีหากเจอลูก ลูกตัวหนึ่งบินไปอยู่ในถ้ำที่มีพญานกแฝกอยู่อีกตัวนึงบินไปอยู่ในที่ที่เป็นโพรงไม้ที่มีพญาอินทรีย์อยู่ อีกตัวบินไปอยู่ในป่าที่มีใบไม้หนาทึบก็ไปเจอนกเค้าอยู่ อีกตัวนึงไปตกอยู่บนพื้นดินที่มีพญาเต่าอยู่ ทั้งสี่ตัวก็ใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์เหล่าๆนี้ไม่มีใครทำร้ายเค้าเพราะว่าเค้าไม่เคยทำร้ายใคร เค้าก็เลยอยู่กับสัตว์ต่างเผ่าพันธุ์ได้ สัตว์ต่างๆก็เอ็นดูคอยช่วยเหลือดูแลเค้า ก็เลยอยู่กับพวกเค้าไปเพราะหมดทางที่จะบินไปหาใครได้ <O:p></O:p>

    แต่ผู้เป็นพ่อนั้นไม่เคยละวาง เที่ยวบินหาไปตลอดเวลาทั้งกลางวันทั้งกลางคืน นอนก็นอนแป๊บเดียว เที่ยวบินไปซ้ายขวาหน้าหลังปากก็ร้องหา ภรรยาของเราอยู่ที่ไหนหนอ ลูกของเราอยู่ที่ไหนหนอ ทำอยู่อย่างนี้ เพียรทำอยู่อย่างนี้วันแล้ววันเล่า ไม่เคยห่วงใยอาลัยในสังขาร ไม่สนใจอาหาร ไม่สนใจการหลับการนอน สนใจแต่เพียงว่าลูกของเราอยู่ที่ไหนภรรยาของเราอยู่ที่ไหน เค้าจะมีสุขทุกข์อย่างไร เค้าจะเป็นอยู่อย่างไร แต่รู้ว่าทั้ง ๕ จะยังไม่ตายแน่ ยังไงก็ไม่ตายแน่ เค้าเชื่อว่าเค้าจะยังได้พบ จนวันหนึ่งเค้าไปพบภรรยาของเค้า เค้าดีใจนะที่ได้พบ แต่เค้าก็ยั้งใจที่จะไม่เข้าไปใกล้เพราะเค้ารู้ว่าภรรยาของเค้ากำลังมีความสุข เค้าจึงจึงคลายใจว่าเราไม่ห่วงอีกแล้ว เราไปหาลูกของเราเถอะ เรายังไม่รู้ว่าลูกของเราเป็นอย่างไร เค้าก็บินไปตามหาลูกต่อไป ปีแล้วปีเล่าก็บินไป <O:p></O:p>
    ทีนี้ว่าจู่ๆมันก็มีลมแรงๆมาจากทิศไหนก็ไม่รู้พัดเค้าบินมาตก ปรากฏว่าเค้าได้เจอกับลูกคนแรกของเค้าที่อยู่กับเต่า เค้าจำได้ ลูกก็จำได้ว่าคือพ่อ เค้าก็ดีใจ แล้วก็ถามทุกข์สุขกันไป เจอแม่มั้ย พ่อก็นิ่ง ไม่พูดอะไรกลัวลูกเสียใจ ขืนบอกว่าเจอแม่มีผัวใหม่ลูกก็จะเศร้าใจ ก็ไม่พูดอะไร บอกว่ายังไม่เจอเลยลูกเอ๊ย แต่เชื่อว่าแม่เค้าคงมีความสุข อยู่ในที่ปลอดภัยแล้วล่ะ ไปตามน้องๆกันเถอะ แล้วก็ไปกันสองตัว ต่างคนก็ต่างบินไป ก็เที่ยวหาไป ผู้เป็นลูกก็ไม่ได้มีความตั้งใจอย่างพ่อ ก็บินไปอย่างนั้น ความอดทนก็ย่อมน้อยกว่า ผู้เป็นพ่อก็ต้องคอยประคับประคองความคิดของลูกไปตลอด “พ่อเหนื่อยแล้ว” “พ่อ หิวแล้ว กินก่อนเถอะนะ” “พ่อ หยุดซะทีเถอะ” “พ่อ เหนื่อยแล้ว พักก่อนเถอะนะ” อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ผู้เป็นพ่อรู้ว่าลูกของตนมีความเข้มแข็งอยู่น้อย ความตั้งใจมั่นยังไม่เหมือนเค้า แต่เค้าก็เชื่ออยู่ว่าลูกเรายังต้องการพบพี่พบน้อง แต่ในความอดทนของเค้ายังมีน้อย ก็ได้แต่พูดให้กำลังใจว่า <O:p></O:p>
    “ลูกนะ เรามีกันแค่นี้นะ คนอื่นน่ะเค้าก็ไม่ใช่เป็นพี่น้องกับเรา เค้าจะมายินดีอะไรกับเรา ถ้าเราตามเค้าไม่พบก็ถือว่ามันสุดวิสัย แต่ในเมื่อเรายังไม่ตาย เรายังมีปีก ๒ ข้างบินไปได้ วันหนึ่งก็ต้องหาเค้าเจออย่างที่พ่อมาเจอลูกไง” พ่อก็พยายามเข็น รู้ไหม ทำไมเค้าเอาลูกไปด้วย ที่เค้าพูดกับสิ่งที่เค้าคิดน่ะมันไม่เหมือนกัน ที่เค้าพูดน่ะเค้าพูดตามกำลังใจของลูก แต่ที่เค้าคิดน่ะคือเค้าต้องการสอนลูกให้มีความเพียรและตั้งใจอดทน ทำอะไรก็มั่นคง ไม่ใช่มีความต้องการปรารถนาจะเจอลูกอย่างเดียว แต่ว่าในการลงมือทำมันไม่ได้ทำได้เหมือนที่ใจอยากจะเจอ นี่คือเจตนาของพ่อนะ ไม่ใช่เจตนาที่อยากให้ลูกได้มาพบกันเหมือนที่พูดกับลูกไป พ่อตั้งใจอย่างนั้น ก็พยายามเลี้ยงกำลังใจ อดทน อดทน ลูกก็ป้อแป้ ป้อแป้ กำลังใจไม่เท่าพ่อ ไปเดาะแดะๆ คือมันไปมั่งไม่อยากจะไปมั่ง คือมันไม่อยากจะไปน่ะ มันไกล มันไม่มีทิศมีทาง มันลำบาก ใจก็คิดถึงลุงเต่าๆ ห่วงลุงเต่า “พ่อ ลุงเต่าจะอยู่ยังไง ท่านอุปการะหนูมานะ” ผู้เป็นพ่อก็คิดว่าลูกของเราคงกำลังใจแค่นี้ เราอย่าฝืนใจเลยก็เลยบอกกับลูกว่า ได้ลูก เดี๋ยวพ่อไปส่ง ผู้เป็นพ่อก็บินไปส่ง บินกลับไปอีกเป็นเดือนนะไปส่ง เดี๋ยวเมื่อไหร่พ่อเจอน้องๆแล้วจะพามาหาหนูนะ <O:p></O:p>
    แล้วพ่อก็บินไปๆ เรื่อยๆ แล้วก็มีลมแรงๆวูบหนึ่งพัดเข้ามาอีก เค้าก็พุ่งหลาวลงไป ก็ไปเจอเอาต้นไม้ใหญ่ๆ แล้วก็ไปเจอเอาลูกอีกตัวหนึ่งที่อยู่กับพญานก ลูกก็จำพ่อได้ พ่อก็ชวนเหมือนที่ชวนลูกคนโตว่า ไปนะ ไปหาพี่กัน พ่อรู้ว่าพี่ชายหนูอยู่ไหน พ่อเจอพี่เค้าแล้ว เค้าก็ไป ตามพ่อไปหาพี่ชาย แต่ก็ไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้นก็บอก “ไม่เอาแล้วพ่อ มันเหนื่อย ไปแล้วมันก็ไม่มีอะไรกิน อยู่ที่นี่สบายเหลือเกิน ลุงๆ น้าๆ ให้อาหารการกินสบายเหลือเกิน แล้วหนูก็มีเพื่อนๆเยอะด้วย ไปหาพี่มีก็มีแต่พี่คนเดียว” เอ้า พ่อก็ไปส่งกลับ บินกลับไปอีก <O:p></O:p>
    ลูกทั้งสี่ตัวก็ไม่มีตัวไหนยินดี ไม่มีความยินดี ไม่มีความตั้งใจเหมือนอย่างผู้เป็นพ่อ ผู้เป็นพ่อก็พบสัจธรรมความเป็นจริง ก็บินถลาออกจากนอกพื้นที่ บินไปอย่างไม่มีทิศทาง ตั้งใจว่าเราจะพาตัวเราไปด้วยกำลังแห่งปีก สัจธรรมนี้คือความจริงเราได้พบแล้วว่าเราไม่อาจจะเอากำลังใจของเราไปให้คนอื่นเป็นได้อย่างเรา เขาคือเขา เราคือเรา เราคือตัวเรา เขาคือตัวเขา ถึงจะเอาความรักเข้าไปเค้าก็ไม่อาจทำกำลังใจได้เหมือนอย่างที่เรามีกำลังใจ ไม่มีสิ่งใดๆจะทำให้ใจดวงอื่นจะทำได้เยี่ยงอย่างเรา นอกจากตัวของเค้าเองมีความปรารถนาด้วยตัวเอง ในระหว่างที่เค้าบินไปนั้นเค้าก็ถือตั้งสัจจะวาจาว่า ในสัจจะแห่งเราผู้มีความเพียรอันแน่วแน่ว่า ด้วยความเพียรอันแน่วแน่ของเรานี้ขอเราจงได้พบกับที่ที่เราคุ้นเคยเถิดขอให้ปีกของเราจงมีกำลังเข้มแข็งบินจากนี้ไปโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เค้าก็บินไป บินไปโดยที่ไม่มีการพักผ่อน แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเลย <O:p></O:p>
    จนล่วงเวลาไป ๑๐ ปีเค้าก็ยังบินไม่หยุดจนไปถึงที่ๆหนึ่งที่เป็นเกาะร้างไม่มีมนุษย์อยู่ เค้าก็บินไป ใจก็คิดว่าอยากจะไปอยู่ตรงนั้น แล้วก็พุ่งตัวไป ที่นั่นไม่มีสัตว์ แต่มีรุกขเทวดาอยู่หลายองค์ พอไปอยู่ที่นั่นปั๊บ เค้าก็รำพึงรำพันอยู่ในใจของเค้า หวนคิดถึงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองตั้งแต่ต้นมา เค้าเป็นผู้เดียวคนเดียวแล้วเค้าก็บินอยู่คนเดียว พลัดพรากจากผู้เป็นที่รักอยู่ผู้เดียว จากนกที่เป็นคู่ของเค้า นกก็รำพึงรำพันอยู่ในใจของเค้า ไม่ได้พูดอะไรออกมาหรอก เพียงแต่ใช้จิตรำพึงรำพัน แต่รุกขเทวดานั้นมีความเป็นทิพย์ ล่วงรู้ว่านกนั้นคิดอะไร เค้าคิดคำนึงตั้งแต่เริ่มต้น ท่ามกลางและที่สุด สุดท้ายก็มีเพียงเราแต่เพียงผู้เดียว สิ่งที่ทำมาทั้งหมดได้แก่เราแต่เพียงผู้เดียว ความเข้าใจหรือกำลังใจที่เรามีความเพียรแก่กล้าก็มีแก่เราเพียงผู้เดียว ความอดทนก็ได้แต่เราเพียงผู้เดียว ไม่ได้แก่ใคร เค้าจึงพูดได้ว่าเป็นสัจธรรมที่ถูกต้องแล้วหนอ เค้าก็พูดดังๆออกมาว่านี่คือสัจธรรมความจริงที่ปรากฎแก่เราแล้ว รุกขเทวดาก็สาธุ สาธุในธรรม <O:p></O:p>
    พอสาธุปั๊บ นกก็เอ๊ะใจ ก็แว๊บหันไปดูว่าใคร ก็เห็นรุกขเทวดา นกก็เลยพูดถามในใจว่า “ท่านผู้เจริญท่านสาธุอะไร ท่านดีใจเรื่องอะไร?” รุกขเทวดาที่เป็นผู้ใหญ่ในที่นั้นก็บอกว่า “เราสาธุที่ท่านเห็นความจริง” นกก็เลยเอ่ยถามว่า “แล้วท่านไม่เคยเห็นความจริงเช่นนี้รึ?” รุกขเทวดาก็ตอบว่า “เรายังไม่เคยเห็นความจริงเช่นนี้เลย เรายังไม่เคยเห็นใครกล้าพูดคำนี้ออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำเช่นนี้เลย” นกก็เลยถามว่า “แล้วท่านพอใจสัจธรรมข้อไหนล่ะ?” แล้วรุกขเทวดาก็ตอบว่า “เราพอใจในความเพียรของท่าน” อีกองค์ก็บอกว่า “เราพอใจในความรักของท่าน” อีกองค์ก็บอกว่า “เราพอใจในความอดทนของท่าน” อีกองค์ก็บอกว่า “เราพอใจในความปรารถนาของท่าน” นกก็เลยบอกว่าทำไมท่านจึงมีความพอใจแตกต่างกัน รุกขเทวดาก็บอกว่า “เราเห็นคุณค่าของความรัก” อีกองค์บอก “เราเห็นคุณค่าของความเพียรเป็นยิ่ง” อีกองค์บอกว่า “เราเห็นคุณค่าในความอดทน” นกก็เลยพูดกลับไปว่า “ท่านผู้เจริญ สิ่งนี้ไม่อาจเกิดขึ้นเพราะการพรรณนาความดีเท่านั้นนะ มันต้องเกิดจากการที่ได้กระทำด้วยหัวใจแท้ๆจึงจะได้รับถึงความรู้สึกอิ่มเอิบเช่นเรา” แล้วรุกขเทวดาก็ยกมือสาธุ ๆ นกก็คิดว่าเราจะอยู่ในร่างของนกไปได้อีกนานแค่ไหนก็ช่างเถอะ แต่ ณ เวลานี้เราพอใจแล้ว มันดื่มด่ำในสมาธิที่เกิดจากธรรมที่เกิดขึ้นกับเรา เรียกว่า ทรงอยู่ในโพชฌงค์ ๗ ประการ นกนะ อย่าดูถูกนกนะ นกนี่ทรงโพชฌงค์เลยนะ มีอะไรบ้างรู้มั้ย <O:p></O:p>
    โพชฌงค์ คือองค์แห่งการตรัสรู้ ๗ ประการเหล่านี้คือ สติ ความระลึกได้ ธรรมวิจยะ ความใคร่ครวญในธรรม วิริยะ ความเพียร ปิติ ความอิ่มใจ ปัสสัทธิ ความสงบ สมาธิ ความตั้งมั่น และอุเบกขา ความวางเฉย นกเค้าก็ทรงอยู่ในโพชฌงค์ ๗ ประการเป็นสมาธิจนถึงอุเบกขาตั้งอยู่ในฌาน ๔ ทรงตัว สิ่งที่ทำให้เค้าเกิดความอิ่มใจ สติเค้าคำนึงอยู่แต่ในสัจธรรมที่เค้าได้พบ สองคือใคร่ครวญในธรรมแล้วเกิดความปิติชุ่มชื่นใจอิ่มเอิบ พอเกิดความชุ่มชื่นใจอิ่มเอิบแล้วปัสสัทธิ ก็เกิด พอมันสงบปุ๊บก็เกิดกลายเป็นสมาธิ พอเข้าสู่สมาธิปุ๊บก็เกิดการวางเฉยทุกอย่าง นิ่ง แยกกายแยกจิต พอเข้าสู่อุเบกขาธรรมปั๊บ ก็ทรงตัวเข้าสู่ฌาน ๔ ละเอียดปุ๊บจิตก็ไม่ถอนมานับแต่นั้นเป็นต้นมา เป็นอันว่าร่างนั้นจิตนั้นก็แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง พอมาคลายสมาธิอีกทีก็อยู่ที่พรหมแล้ว
    นำมาจากนิทานบ้านตลิ่งชัน เล่ม๑ โดยท่านจิตโต
    <!-- / message -->
     
  12. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    เรื่อง พ่อนก

    ในยามท้องฟ้ามันครึ้ม ก็มีแม่นก พ่อนก ลูกนกอีก ๔ ตัว มันจะบินกลับบ้านเพราะรู้ว่าฝนฟ้าจะตกมันก็รีบกลับบ้านเพราะรู้ว่าไม่ปลอดภัย ในระหว่างที่บินอยู่นั้นเองก็มีลมหมุนมาพัดทำให้ทั้งพ่อนก แม่นก ลูกนกพลัดหลงกันไปคนละทาง ลูกบินกลับบ้านไม่ถูกเพราะไม่รู้ทาง ต้องให้พ่อแม่นำไป แม่อยากจะบินกลับบ้านก็ไปไม่ได้เพราะห่วงลูก ก็ต้องบินเที่ยวหาลูก ส่วนพ่ออยากจะบินกลับบ้านก็บินไปไม่ได้เพราะต้องห่วง บินเที่ยวหาเมียหาลูก แสดงว่าแม่นี่ลำเอียง แม่เอาแต่ลูก ส่วนพ่อเอาทั้งแม่ทั้งลูก พ่อรักมากกว่าใคร ใช่มั้ย ทีนี้ลูก ๔ ตัวก็กระเด็นไปคนละทิศละทาง ไม่มีใครเจอกันเมื่อฟ้าเริ่มสงบ ลูกต่างคนต่างก็กระเด็นไปอยู่คนละทิศละทาง ต่างคนก็ต่างไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่างๆกัน ชีวิตแต่ละชีวิตที่เคยอยู่ด้วยกันนั้นมันเหมือนกับเริ่มต้นใหม่ ในตอนต้นนั้นทั้งพ่อและแม่ต่างคนก็ต่างอยู่ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ต่อมาก็มาผูกสมัครรักใคร่ มาเป็นสามีภรรยากัน แล้วก็สร้างรังอยู่ด้วยกันแล้วก็มีลูกน้อยออกมา ๔ ตัว แล้วก็เตรียมอยู่ด้วยกัน ช่วยกันทำมาหากิน ก่อนจะมีลูก แม่ก็เตรียมกกไข่ พ่อก็คอยเตรียมหาอาหารมาให้ภรรยา แต่คนท้องก็หงุดหงิด นกท้องก็หงุดหงิดเหมือนกัน พ่อก็ต้องคอยเอาใจหาเกสรดอกไม้หอมๆมาฝากภรรยาคอยเอาใจ ภรรยาก็ยิ้มหวานคอยดูแลลูก และก็ผลัดกันออกไปหาอาหารให้อีกฝ่ายเฝ้าลูก ต่างคนก็ต่างสามัคคีกันจนลูกฝึกบินได้ เที่ยวบินออกไปจนโต <O:p></O:p>
    ทีนี้ก็มาวันหนึ่งก็ต้องพลัดพรากจากกันเหมือนเริ่มต้นใหม่ ผู้เป็นพ่อก็อยู่ที่หนึ่ง อยู่คนเดียว ผู้เป็นแม่ก็อยู่ที่หนึ่ง อยู่คนเดียว ผู้เป็นลูกก็อยู่คนเดียว เกิดมาคนเดียว ท่องเที่ยวไป ทีนี้นก ๔ ตัวสาบานกันไว้ว่าเราจะตายพร้อมกันในสมัยเป็นมนุษย์ แต่พ่อกับแม่ไม่ได้สาบานกันไว้ ผู้เป็นพ่อก็เที่ยวตามหาแม่กับลูก ผู้เป็นแม่ก็เที่ยวตามหาลูก แต่หาไปๆก็ท้อ ท้อนักก็เลยหาผัวใหม่ไปเจอนกเพศชายเข้าก็เลย เอาเถอะวะอย่าไปหาลูกหาเต้าอะไรอยู่เลย หาสามีใหม่หาลูกใหม่เถอะวะ ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นไม่หาเมียใหม่ เที่ยวหาแต่ลูกแต่เมียบินตั้งแต่ปีกยังอ่อนๆจนปีกแข็ง จนขนผิวที่เคยมีสีสันที่มีขนเงางามกลับแข็งกระด้างลงทุกวัน บินมันอยู่อย่างนั้นเที่ยวหาไปตั้งใจจดใจจ่อเที่ยวจะหาลูกหาภรรยาไป ส่วนผู้เป็นลูกทั้ง ๔ ก็มีอยู่ทางเดียวก็คือต้องเอาตัวให้รอดเพราะว่ายังเล็กนัก ปีกเค้ายังไม่แข็งพอที่จะบินไปได้ไกลๆ และสัตว์ร้ายมันก็มีอยู่เยอะ ศัตรูที่ไม่รู้จักก็มาก ต่างคนก็ต่างต้องพยายามเอาตัวรอด แต่ว่าบุญที่เค้าทำมาน่ะมันมีเพราะเค้าไม่ค่อยได้ทำปาณาติบาตอะไร บุญเค้าก็ยังมี ไปที่ไหนก็รอดพ้นอันตรายไปได้ เจ้าลูกนกทั้งสี่ตัวนี้มีข้อรัดวงแหวนที่ขาเป็นสัญลักษณ์ที่พ่อนกจะจำได้ทันทีหากเจอลูก ลูกตัวหนึ่งบินไปอยู่ในถ้ำที่มีพญานกแฝกอยู่อีกตัวนึงบินไปอยู่ในที่ที่เป็นโพรงไม้ที่มีพญาอินทรีย์อยู่ อีกตัวบินไปอยู่ในป่าที่มีใบไม้หนาทึบก็ไปเจอนกเค้าอยู่ อีกตัวนึงไปตกอยู่บนพื้นดินที่มีพญาเต่าอยู่ ทั้งสี่ตัวก็ใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์เหล่าๆนี้ไม่มีใครทำร้ายเค้าเพราะว่าเค้าไม่เคยทำร้ายใคร เค้าก็เลยอยู่กับสัตว์ต่างเผ่าพันธุ์ได้ สัตว์ต่างๆก็เอ็นดูคอยช่วยเหลือดูแลเค้า ก็เลยอยู่กับพวกเค้าไปเพราะหมดทางที่จะบินไปหาใครได้ <O:p></O:p>

    แต่ผู้เป็นพ่อนั้นไม่เคยละวาง เที่ยวบินหาไปตลอดเวลาทั้งกลางวันทั้งกลางคืน นอนก็นอนแป๊บเดียว เที่ยวบินไปซ้ายขวาหน้าหลังปากก็ร้องหา ภรรยาของเราอยู่ที่ไหนหนอ ลูกของเราอยู่ที่ไหนหนอ ทำอยู่อย่างนี้ เพียรทำอยู่อย่างนี้วันแล้ววันเล่า ไม่เคยห่วงใยอาลัยในสังขาร ไม่สนใจอาหาร ไม่สนใจการหลับการนอน สนใจแต่เพียงว่าลูกของเราอยู่ที่ไหนภรรยาของเราอยู่ที่ไหน เค้าจะมีสุขทุกข์อย่างไร เค้าจะเป็นอยู่อย่างไร แต่รู้ว่าทั้ง ๕ จะยังไม่ตายแน่ ยังไงก็ไม่ตายแน่ เค้าเชื่อว่าเค้าจะยังได้พบ จนวันหนึ่งเค้าไปพบภรรยาของเค้า เค้าดีใจนะที่ได้พบ แต่เค้าก็ยั้งใจที่จะไม่เข้าไปใกล้เพราะเค้ารู้ว่าภรรยาของเค้ากำลังมีความสุข เค้าจึงจึงคลายใจว่าเราไม่ห่วงอีกแล้ว เราไปหาลูกของเราเถอะ เรายังไม่รู้ว่าลูกของเราเป็นอย่างไร เค้าก็บินไปตามหาลูกต่อไป ปีแล้วปีเล่าก็บินไป <O:p></O:p>
    ทีนี้ว่าจู่ๆมันก็มีลมแรงๆมาจากทิศไหนก็ไม่รู้พัดเค้าบินมาตก ปรากฏว่าเค้าได้เจอกับลูกคนแรกของเค้าที่อยู่กับเต่า เค้าจำได้ ลูกก็จำได้ว่าคือพ่อ เค้าก็ดีใจ แล้วก็ถามทุกข์สุขกันไป เจอแม่มั้ย พ่อก็นิ่ง ไม่พูดอะไรกลัวลูกเสียใจ ขืนบอกว่าเจอแม่มีผัวใหม่ลูกก็จะเศร้าใจ ก็ไม่พูดอะไร บอกว่ายังไม่เจอเลยลูกเอ๊ย แต่เชื่อว่าแม่เค้าคงมีความสุข อยู่ในที่ปลอดภัยแล้วล่ะ ไปตามน้องๆกันเถอะ แล้วก็ไปกันสองตัว ต่างคนก็ต่างบินไป ก็เที่ยวหาไป ผู้เป็นลูกก็ไม่ได้มีความตั้งใจอย่างพ่อ ก็บินไปอย่างนั้น ความอดทนก็ย่อมน้อยกว่า ผู้เป็นพ่อก็ต้องคอยประคับประคองความคิดของลูกไปตลอด
     
  13. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    รายงาน การปฏิบัติ จากการไป ฝึกมโนยิทธิ ที่วัดท่าซุง ค่ะ
    ตามความเข้าใจที่ได้ไปฝึกมา น่ะค่ะ ผิดถูกประการใด ประทานโทษด้วยน่ะค่ะ

    ในช่วงการฝึกของแต่ ละวัน ตามที่วัดกำหนด นั้นคือ ช่วง 12:00
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 990.jpg
      990.jpg
      ขนาดไฟล์:
      125.3 KB
      เปิดดู:
      289
    • DSC05037.jpg
      DSC05037.jpg
      ขนาดไฟล์:
      130.8 KB
      เปิดดู:
      226
    • DSC04878.jpg
      DSC04878.jpg
      ขนาดไฟล์:
      122 KB
      เปิดดู:
      53
  14. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    ส่วน ห้อง " ญาณ 8 '' คือ ในบริเวณวิหารแก้ว 100 เมตร หน้าพระประทานก็จะ มีการสอน ค่ะ

    ญาณ 8 มีดั่งนี้ค่ะ
    <O:p
    1. ทิพจักขุญาน รู้เห็น เทวดา นรก สวรรค์ <O:p</O:p
    2. จุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้วไปเกิด ณ ที่ใด <O:p</O:p
    3. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์ จิต ของคนและ สัตว์<O:p</O:p
    4. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วในกาลก่อนได้<O:p</O:p
    5. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ ในอดีต<O:p</O:p
    7. ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันว่า อะรเป็นอะไร<O:p</O:p
    8. ยถากัมมุตาญาณ ผู้ผลกรรมของสตว์ บุลคลเทวดา และ
    พรหมได้ว่าเขามีสุข มีทุข์ เพราะผลกรรมอะไร
    <O:p</O:p
    <O:p

    จากการได้ฝึกห้อง ญาณ 8 นั้น พระครูฝึกท่านก็แนะนำให้<O:p</O:p
    ขอบารมีพระท่านไปเที่ยวดู นรก สวรรค์ ว่าเป็นเช่นใด ?<O:p</O:p
    ผลบุญ ผลกรรม อะไรทำให้มาอยู่ใน นรก หรือ สวรรค์ ชั้นนี้ค่ะ<O:p</O:p
    ได้ ย้อนอดีตไป ดู ว่า เคยเป็นอะไร มาก่อน ?<O:p</O:p
    ได้ ย้อนได้ดูว่าเคยเกิด บนชั้น เทวดา พรหม หรือไม่ ?<O:p</O:p
    ดูว่า เคยลง นรก หรือไม่ ?
    ดู ว่าเคยเกิดเป็น ขอทาน หรือเปล่า ? เป็นต้นค่ะ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ผลจากการฝึกนั้นก็ ทำให้เราได้กำหนดรู้ อริยสัจ 4 คือ
    <O:p</O:p

    1. ทุกข์ : เห็น ทุกข์ จากการเวียนวายตายเกิด เห็นทุกข์ จาก ชั้นนรก ที่ทรมานมาก
    ไม่มีแม้แต่โอกาส ได้สร้างบุญ กุศล ความดี แม้แต่ เทวดา ที่เต็มไปด้วยความสุข
    แต่เมื่อ หมดบุญ ก็ต้องลงมาเสวยผลกรรม อยู่ดี ทุกข์ อีก

    2. สมุทัย : เห็น ปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์ ทุกขะเกิดขึ้นมาได้ เพราะ สมุทัย

    คือ ตัณหา 3 ประการ คือ
    <O:p</O:p
    - กามตัณหา : อยากได้มา<O:p</O:p
    - ภวตัณหา : อยากให้คงอยู่<O:p</O:p
    - วิภวตัณหา : ไม่อยากให้สลายไป

    <O:p</O:p
    3. นิโรธ : การปฏิบัติให้เข้าถึงความดับแห่งทุกข์ ( ทุกข์จะหมดไปนั้นต้องอาศัย )<O:p</O:p
    4. มรรคปฏิปทา มี สัมมาทิฐิ เป็นต้น และ มี สัมมาสมาธิ เป็น ปริโยสาน ค่ะ


    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  15. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    โมทนาทุกท่านในธรรมและ การปฏิบัติความดีด้วยครับ
    นิทานเรื่องนี้และหลายๆเรื่องของท่านจิตโตดีมากๆ ขอบคุณครับ กราบโมทนาความดีที่ทุกท่านนำสิ่งดีมาฝากเสมอๆครับ
     
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    "The Arts of Well Sleeping"
    ว่าด้วยศาสตร์แห่งการนอนอย่างโคตรสุข

    เก็บรวบรวมข้อมูลโดย: ประสบการณ์การนอนอย่างโชกโชน สนุก ตื่นเต้น แอ็คชั่น ผจญภัยและยาวนานของผมเอง บวกกับพระเมตตาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของคุณครูบาอาจารย์โดยมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่สุด
    เชื่อถือได้ไหม?? ลองทำเอง แล้วจะติดใจครับ

    การนอนหลับนั้น ในบางครั้งเราจะรู้สึกว่า นอนเหมือนไม่ได้นอน หรือนอนแล้วรู้สึกนอนเต็มอิ่มสุดๆ
    เราจะมีวิธีการและเทคนิคอย่างไร เพื่อที่จะนอนให้อิ่มที่สุด โดยใช้ระยะเวลาที่น้อยที่สุด ออกแนววิชาเศรษฐศาสตร์ไหมครับ เพื่อความคุ้มค่าสุงสุด

    เวลาเรานอนหลับนั้นผมขอแบ่งแยกออกเป็นสองแบบหลักๆ

    1.หลับแบบฟุ้งซ่าน หมดสติ ขาดสติ สลบไสล น็อคเอาท์ K.O.
    เกิดจากการที่ร่างกายของทำงานหนักมากจนรู้สึกเหนื่อย และสลบไป หรือนอนอย่างไร้สติ
    ลักษณะคือก่อนนอนจะอารมณ์ประมาณว่า ไม่ไว้แล้วนะคร้าบบ หลับแล้ว
    ขณะนอนอยู่ ก็จะฝันมั่วไปหมด
    เมื่อตื่นแล้วก็จะรู้สึกว่า โอย ปวดหัว และเหมืนไม่ได้นอน ทั้งๆที่ผ่านมาเป็น10ชั่วโมง
    จะเกิดบ่อยกับคนที่ทำงานหนัก หรือทำอะไรหนักๆก่อนนอน

    2.หลับอย่างสงบ สบาย ด้วยอารมณ์ของสมาธิ
    เกิดจากการที่เราประคองจิตก่อนนอนจนหลับไป หรือทำสมาธิก่อนนอน แผ่เมตตาก่อนนอน
    ลักษณะก่อนนอนคือ เราประคองสติเอาไว้จนกว่าจะนอนหลับ
    ขณะนอน จะฝันดี เกี่ยวกับกุศล หรือได้ถอดกายทิพย์ออกไปเที่ยว
    หลังจากนอน จะมีความรู้สึกว่าอิ่ม นอนพอ พลังงานเต็ม ไม่ปวดหัว ใช้เวลานอนน้อยชั่วโมง

    ทีนี้พอเราเริ่มเห็นลักษณะของการหลับทั้ง2วิธีแล้ว
    เราจึงจะต้องพยายามฝึกให้ตัวเองหลับแบบที่2ซึ่งจะเอิบอิ่ม และได้พักผ่อน
    รวมถึงหลีกเลี่ยงการนอนในแบบที่1 ซึ่งจะทำให้เสียเวลา และนอนไม่พอ

    ทีนี้มาถึงก่อนนอนว่าเราควรจะทำอะไรบ้าง เพื่อที่จะนอนอย่างสงบสุขที่สุด
    ก่อนนอนให้เราเจริญสมาธิตามแบบที่ธนัดจนหลับไป ซึ่งกรรมฐานแต่ละกองจะให้อานิสงค์การนอนที่แตกต่างกัน เช่น

    1.หากเราจับคำภาวนาจนหลับเช่น พุทโธเป็นต้น จิตจะมีความตื่นตัวสูง และฝันดี แต่ว่าอาจจะนอนไม่อิ่ม
    เพราะจับคำภาวนาตลอดทำให้จิตไม่ดิ่งเข้าฌาณลึก

    2.หากเราจับภาพนิมิตรและภาพพระจนหลับ จะทำให้เราฝันเกี่ยวกับพระและกุศลอยู่เสมอ
    ถ้าวางอารมณ์หนักไปจะทำให้นอนไม่หลับ เพราะภาพกสิณมีความสว่าง ทำให้ไม่ง่วง และตื่นตอนกลางคืนบ่อย
    แต่ไม่เป็นกับทุกคนนะครับ แต่เกิดกับผม ทั้งนี้แล้วแต่จริตคนด้วย

    3.จับลมหายใจ วิธีนี้ผมคิดว่านอนได้อิ่มที่สุด เข้าฌาณพักได้ลึกที่สุด
    วิธีก็คือจับลมสบายจนลมหายใจหยุด ตามที่อาจารย์คณานันท์ได้สอนเอาไว้ หรือจับลมหายใจอย่างไรก็ได้
    จนกระทั่งลมหายใจหายไป แล้วหลับด้วยอารมณ์ นิ่งดิ่งลึกของจิต

    เมื่อพอจะทราบคร่าวๆถึงความแตกต่างของการนอนด้วยการเจริญกรรมฐานที่ต่างกองกันแล้ว

    ผมจึงจะขอแนะนำขั้นตอนแบบเต็มสูบก่อนการนอนของผมทุกครั้ง

    1.ให้กราบพระและอธิษฐานจิตให้เราปลอดภัย ผมอธิษฐานว่า "ขอให้คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพรหมเทพเทวดาพระโพธิสัตว์สัมมาทิฏฐิ จะขอใครย่อยก็ไล่ไปครับ
    ได้โปรดเมตตาสงเคราะห์เสด็จมาคุ้มครองจิตของลูกทั้งยามหลับและยามตื่น อย่าให้ดวงจิตใดเข้ามาทำอันตรายลูกได้"

    2.ผู้ใดได้มโนมยิทธิหรือใครยังไม่ได้ก็ให้ลองทำเพิ่มดังนี้
    ให้เรายกจิตของเราขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ใครยังไม่มีมโนให้จับภาพพระให้ใสเป็นแก้วครับ แล้วอธิษฐานแยกกายทิพย์ของเราออกไปจำนวนไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ จินตนาการว่าตัวเราแยกออกมาเยอะๆ
    แล้ว "ขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดเมตตาส่งกายทิพย์ของลูกไปทำงานตามพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" จากนั้นให้เห็นว่ากายทิพย์ของเราแยกออกไปทำงาน
    แล้วผมก็อธิษฐานเพิ่มอีกดังนี้ "ขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดเมตตาสงเคราะห์ส่งกายทิพย์ของข้าพเจ้าไปท่องเที่ยว ไปฝึกวิชา ไปรับรู้ข้อมูล หรือนอนหลับอยู่บนพระนิพพาน หากตายเมื่อไหร่ก็ขอมาที่นี่ ตามพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยครับ"
    แล้วอัตตราการถอดกายทิพย์ของท่านจะสูงขึ้น

    3.เมื่อธิษฐานพร้อมทั้งสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้ว
    ให้เราทำสมาธิตามที่เราถนัดวิธีไหนก็ได้
    แต่ก่อนจะออกจากสมาธิให้แผ่เมตตา ให้เย็นที่สุด ให้มีความสุขที่สุด
    จนเราแทบจะร้องครางออกมาว่า เย็นอะไรแบบนี้ โอ้วเย็นๆๆ เย็นเหลือเกิน เมตตาเย็นๆๆ
    ประมาณนั้น 555
    หลังจากนั้นให้เราค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิ
    แล้วก็นอน

    4.พอเราล้มตัวลงนอนแล้วให้เราแผ่เมตตาไปซักพักจนในสบาย ชุ่มเย็น
    จากนั้นให้เราจับลมสบาย จนลมหายใจหยุด
    แล้วดิ่งอารมณ์ในความสบาย นิ่ง เย็น ไปเรื่อยๆ จนหลับ ก่อนหลับจะรู้สึกถึงอาการของการเข้าฌาณคือจิตจะแยกกับกายนิดๆ แล้วก็หลับ ไม่ก็ออกไปเที่ยวแล้วแต่แต่ละครั้ง ไม่เหมือนกันทุกครั้งครับแล้วแต่พุทธประสงค์

    หากถามว่าทำไมจึงไม่แผ่เมตตาจนหลับ?
    เพราะว่าการแผ่เมตตาจะยั้งให้จิตอยู่ในฌาณหยาบ ซึ่งจะทำให้ไม่หลับ
    จิตจะหลับจริงๆก็ต่อเมื่อเราดิ่งลงฌาณละเอียด

    แล้วทำไมถึงให้จับลมหายใจล่ะ?
    เพราะจากเท่าที่ผมมีประสบการณ์ในการนอนมาอย่างโชกโชน น่าภูมิใจไหมล่ะ
    หากจับลมหายใจจะทำให้จิตดิ่งลึกที่สุด สำหรับผมเป็นแบบนี้ แต่ละคนก็อาจจะต่างกัน

    แล้วถ้าจะทำเกินแผ่เมตตาได้ไหม?
    ได้ครับ ใครจะไล่ขึ้นอรูปฌาณ จนถึงไปสัมผัสอารมณ์พระนิพพาน หรือจะแผ่เมตตาด้วยอารมณ์พระนิพพาน ก็ได้ครับ

    คำอธิษฐานต้องแบบนั้นเป๊ะไหม?
    ไม่จำเป็นครับ อธิษฐานตามถนัดของเรา แต่ขอบารมีพระคลุมทุกครั้งนะครับ
    ที่ผมเขียนเป็นแค่ไกด์ไลน์และก็คือแบบที่ผมใช้ทุกวันครับ

    ทำไมต้องแผ่เมตตาก่อนนอน?
    เคยนอนตื่นมาแล้วรู้สึกเจ็บคอไหมครับ หรือหายใจไม่สะดวก
    หากแผ่เมตตาก่อนนอนจิตจะชุ่มเย็น ทำให้ตื่นมาแล้วไม่เจ็บคอ หายใจไม่ติดขัด นอนหลับฝันดี เจริญในธรรม หงุดหงิดยากขึ้น ตื่นมาแล้วไม่พาล

    เป็นอันจบคัมภีร์การนอนอย่างโคตรสุขของผม
    เนื่องจากพักหลังๆ ผมนอนหลับเยอะเกินไปจนเก็บข้อมูลได้ครบ เอ้ยไม่ใช่ๆ
    เพราะว่าพักหลังๆมีคนที่ทำงานหนักจนนอนไม่พอ
    ผมจึงมาแนะนำเทคนิค "การนอนให้พอ ในระยะเวลาที่ไม่พอครับ"
    คำคมดีไหมครับ บาดใจไหมเอ่ย หรือบาดทั้งกายบาดทั้งใจ

    สุดท้ายจริงๆ ขอให้นอนหลับอย่างมีความสุขนะครับ ถ้านอนไม่สุข เดี้ยวตื่นมาจะพลอยหงุดหงิดง่ายๆเอา ทำให้เมตตาเสื่อม ไม่ดีๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2008
  17. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    สาธุจ้า แต่ของพี่ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าท่าน และแยกกายทิพย์ขอพระบารมีของพระพุทธเจ้าท่านส่งไปทำงาน(ทำตามที่อ.คณานันท์แนะนำ) พอกราบท่านเสร็จยังไม่ทันจะทำอะไรต่อก็หลับแล้วจ้า
     
  18. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    นิทานนี้นำมาจากหนังสือ รวมนิทานบ้านตลิ่งชัน โดยท่านจิตโต


    เรื่องพ่อค้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>​

    ถอยหลังจากนี้ไปประมาณ ๔ อสงไขย สมัยนั้นว่างจากพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าไม่ได้เสด็จลงมาอุบัติในโลก แต่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นเรือนแสน ก็มีพ่อค้าสำเภาผู้มีคุณธรรมสูงคนหนึ่งล่องเรือแล้วถูกพายุพัดเรืออับปางไป ลูกเรือทุกคนตายหมดยกเว้นพ่อค้าที่ไม่ตาย บุญบังคับให้ตายไม่ได้ ต้องมีชีวิตอยู่ แล้วพ่อค้าเขาก็ลอยอยู่ในทะเลโดยเกาะเศษไม้ที่แตกจากเรือ ลอยอยู่อย่างนั้นล่ะเป็นแรมปีไม่ตาย คือเรือมันไปแตกอยู่ในช่วงกระแสน้ำวนที่มันวนไปวนมา อย่าสงสัยนะว่าทำไมไม่ตาย เพราะว่ามันเป็นนิทาน เพราะมันเป็นกระแสน้ำวน มันเลยไปไม่ถึงฝั่งสักที พ่อค้าก็รู้ตัวว่าตกอยู่ในกระแสน้ำวนจึงรู้อยู่แก่ใจว่ายังไงเราคงจะต้องตาย แต่ว่าตั้งแต่แรกนั้นท่านพ่อค้าผู้นี้ยังมีความสงสัยอยู่ภายในจิตใจอยู่ เนื่องจากพ่อค้าผู้นี้ได้เดินทางไปค้าขายในที่ต่างๆแล้วก็ได้ไปพบกับคนหลายๆประเภท ท่านก็สงสัยว่า ทำไมคนเรามันจึงมีความแตกต่างกันอย่างนี้ ทำไมจึงมีความเฉลียวฉลาดแตกต่างกัน มีความต้องการต่างกัน มีความแตกต่างกันมากมายเหลือเกิน ท่านพ่อค้าผู้นี้ท่านอยากรู้คำตอบในเรื่องนี้มากเหลือเกิน กระทั่งเมื่อเรือแตกต้องลอยคออยู่ในกลางกระแสน้ำวนในทะเลอย่างนี้ก็ยังมีจิตคิดสงสัยติดอยู่ในใจมาโดยตลอดว่าอยากจะมีโอกาสได้รู้ได้เข้าใจในสิ่งที่สงสัย เขาจึงตั้งสัตยาธิษฐานขึ้นมาต่อผู้อารักขามหาสมุทรทั้ง ๔ ว่า “เราผู้มีจิตไม่ประทุษร้ายต่อใครด้วยถ้อยคำวาจา เราเป็นผู้ยินดีกับการให้มาโดยตลอด เราเป็นผู้รู้คุณของผู้มีพระคุณ เราผู้ปรารถนาจะรู้ความจริงในสิ่งที่เราต้องการจะทราบ หากเรามีบุญที่จะพึงรู้จักกับผู้มีบุญญาธิการที่จะยังให้ความปรารถนาของเรานั้นสำเร็จเป็นผลได้ ก็ขอให้เราได้หลุดพ้นจากวังวนนี้เถิด” แล้วพ่อค้าผู้นี้เขาก็ลอยตุ๊บป่องๆ ลอยไปก็ลอยวนกลับมา ลอยมาก็วนกลับไปอยู่อย่างนี้ ถามว่าพ่อค้าผู้นี้ไม่กินอะไรเลยไม่ตายรึ ก็ตอบว่าไม่ตาย ขนาดสมัยพุทธกาลยังมีเลย ที่มีท่านที่ทำมาแต่ธรรมทาน แต่ไม่ได้ให้ทานมาในกาลก่อน ตั้งแต่เกิดมาก็ได้กินแค่รกของตัวเองอยู่อย่างเดียวแล้วไม่ได้กินอะไรอีกเลยแต่ไม่ตาย อยู่มาได้จนบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนาถึงจะได้กินอาหารมื้อแรกจากการบิณฑบาตรซึ่งแม้ขนาดออกบิณฑบาตรร่วมกับพระรูปอื่นๆก็ยังไม่มีพุทธบริษัทคนไหนใส่บาตรให้ท่านเลยเพราะว่ากรรมของท่านบังตาเขาให้มองไม่เห็นบาตรของท่าน จนมีพระอรหันต์ท่านหนึ่งทรงเมตตาจับบาตรของพระรูปนี้เอาไว้ให้ชาวบ้านที่ใส่บาตรมองเห็น พระรูปนี้ถึงจะได้กินอาหารมื้อนั้นเป็นมื้อแรก จนท่านได้เข้าใจถึงความทุกข์ของการมีร่างกายจนจบกิจเป็นพระอรหันต์ นี่ดูเถอะท่านต้องอยู่มาตั้งกี่ปีไม่มีอะไรกินยังมีชีวิตอยู่ได้เลย นี่เรื่องเล็ก อยู่ในน้ำไม่มีกินก็ยังไม่ตายเพราะบุญมันช่วยให้ไม่กระหายมากได้ บุญมันทำให้อิ่มเอิบ การไม่ตายนี้จึงเป็นของไม่แปลก
    <O:p></O:p>
    ต่อมาก็มีพายุลูกใหม่พัดเข้ามาอีกจนซัดเอาร่างของพ่อค้าผู้นี้ไปเกยอยู่ที่ชายหาด เขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเดินต่อไปก็เลยนอนอยู่ที่ชายหาดนั้น ก็มีเต่ายักษ์ตัวหนึ่งเดินมาเจอเขา แล้วก็นึกเอ็นดูเขาก็เลยเอาหัวดุนร่างของพ่อค้าคนนี้ขึ้นมาบนหลัง แล้วเต่าตัวนี้ก็เดินต้วมเตี้ยมๆ พาไปตามชายหาด และเต่าก็พาไปสู่ถ้ำๆหนึ่งที่อยู่ระหว่างระดับน้ำขึ้นน้ำลง ถ้าน้ำขึ้นก็จะปิดปากถ้ำ ถ้าน้ำลงก็จะเห็นปากถ้ำ เต่าพาพ่อค้าผู้นี้ไปในช่วงที่น้ำลง แล้วก็เดินเข้าไปในถ้ำที่มีพญานาคปกครองอยู่ แล้วเต่าก็ต้องวางร่างของพ่อค้าลง ส่งพ่อค้าได้แค่นี้เพราะว่าตัวเองบุญน้อย ไม่สามารถจะเข้ามาอยู่ในเขตของผู้ที่มีบุญใหญ่อย่างอาณาเขตของพญานาคได้ แล้วเต่าก็ทำการเคารพพญานาคแล้วบอกพญานาคในใจว่า “เรานำผู้ที่มีบุญมาสู่ท่าน ขอท่านช่วยอุปการะแทนเราด้วยเถิด” แล้วเต่าก็เดินกลับไปด้วยน้ำตาคลอๆ เพราะเต่านั้นมีความผูกพันกับพ่อค้าในอดีตชาติมาก่อน ฝ่ายพญานาคที่มีกายเป็นทิพย์ที่ละเอียดสวยงามก็นำร่างของพ่อค้าเข้าไปข้างในไปหาพระราชาของพญานาค พระราชาที่เป็นพญานาคนี้ท่านชื่อว่า นาคะจิตตะ ท่านก็ทำให้พ่อค้าตื่นขึ้นแล้วให้นาคแปลงเป็นคนนำอาหารทิพย์มาให้เพื่อให้ร่างกายของพ่อค้าฟื้นตัวขึ้น ก็ใช้เวลานานเป็นอาทิตย์กว่าที่ร่างกายของพ่อค้าผู้นี้จะฟื้นตัว พ่อค้านี้เมื่อเห็นท่านผู้มีอุปการะคุณเขาก็จะก้มลงกราบขอบพระคุณ แต่ท่านพญานาคก็กล่าวว่า “อย่ากราบเราเลยท่านผู้เจริญ” พ่อค้าก็กล่าวแย้งว่า “ท่านกล่าวคำอย่างนี้ไม่ถูก ความดีเป็นสิ่งที่ควรกราบ แม้ผู้ใดกระทำต่อเราแม้เพียงเล็กน้อย เราก็สามารถจะก้มลงกราบไหว้ได้เสมอ ท่านผู้มีคุณจงอย่าห้ามเราเลย ขอให้เราได้มีโอกาสกระทำในสิ่งที่เราควรกระทำเถิด” ท่านนาคะจิตตะก็รู้สึกซาบซึ้งในคุณธรรมของพ่อค้าผู้มีคุณธรรมสูงผู้นี้ จึงยกบัลลังค์ของตนให้กับพ่อค้านั่งแล้วตนเองจะนั่งลงต่ำกว่าเพราะว่าพ่อค้าเป็นผู้มีคุณธรรมที่สูงกว่าตนเองจึงไม่ควรนั่งเสมอ แต่พ่อค้าก็กล่าวแย้งอีกว่า “ท่านผู้มีพระคุณ จงอย่ากระทำเช่นนั้นเลย ท่านจงนั่งในที่ๆควรนั่งเถิด ขอให้เรานั่งอย่างนี้เถิด” เมื่อถูกอ้อนวอนก็ต้องยอมด้วยเหตุผลที่พ่อค้ากล่าวว่า “ท่านรู้แต่เพียงผู้เดียว ผู้อื่นหารู้ไม่ จะทำให้ผู้อื่นตำหนิติเตียนท่านได้ ความเสื่อมก็จะเกิดกับท่านที่ได้กระทำในสิ่งที่ควรแก่ผู้ที่ไม่รู้” (หมายความว่า นาคตัวอื่นๆจะมองท่านนาคะจิตตะไปในทางที่ไม่ดี ในทางที่เสียหาย ว่าไปยอมเคารพแก่มนุษย์ ทำให้นาคที่อยู่ในปกครองของท่านนาคะจิตตะเสื่อมความศรัทธาในตัวท่านนาคะจิตตะ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเหตุที่ท่านนาคะจิตตะกระทำนั้นเพราะว่ามนุษย์ผู้นี้เป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงที่นาคควรจะทำการเคารพ) ซึ่งเป็นเหตุผลที่ท่านนาคะจิตตะต้องยอมรับ หลังจากนั้นท่านก็สนทนากัน ท่านนาคะจิตตะก็ถามว่า “ท่านผู้เจริญ ท่านเกิดมาประสงค์อะไร ท่านมีบุญอะไรจึงได้เกิดมาเป็นคน” พ่อค้าก็ตอบว่า “อาศัยเราเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทิตาหนึ่ง อาศัยเราเป็นผู้ไม่เบียดเบียนต่อสัตว์ทั้งหลายหนึ่ง อาศัยเราเป็นผู้มั่นคงในการประกอบความดีหนึ่ง อาศัยจิตของเราปรารถนาจะเรียนรู้ความจริงหนึ่ง เราจึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์” ท่านนาคะจิตตะก็ยกมือ สาธุๆ แล้วถามอีกว่า “เมื่อท่านได้มาอุบัติเป็นมนุษย์แล้วท่านประสงค์สิ่งใดเล่า” แล้วท่านพ่อค้าผู้มีคุณธรรมสูงก็ตอบว่า“เมื่อเรายังเป็นผู้อ่อนวัย เราปรารถนาจะได้เป็นผู้ดูแลเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย เราอยากจะนำสิ่งของมีค่าที่เรามีอยู่ไปให้แก่ผู้ที่ทุกข์ยากลำบาก โดยไม่มองว่าท่านผู้นั้นเป็นใคร เรารู้จักหรือไม่ จะอยู่แดนไหน ลำบากเพียงใด ขอให้เรามีโอกาสได้เคลื่อนตัวไปพบ สิ่งที่เราได้กระทำนี้เมื่อคราวใด เราจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต มากกว่าทรัพย์สมบัติที่เรามี” ท่านนาคะจิตตะก็ยกมือ สาธุๆแล้วถามต่อไปอีกว่า “แล้วหากท่านมิอาจจะได้ทำในสิ่งที่ท่านต้องการได้อีกในชีวิตนี้เล่าท่านจะเสียใจไหม” ท่านพ่อค้าก็กล่าวว่า “เรามิเคยจะรู้สึกความเสียใจต่อสิ่งที่เราตั้งความปรารถนาว่าจะพบหรือไม่พบ หากเราจะเสียใจก็ต่อเมื่อเราล้มเหลวหรือเลิกรากับความตั้งใจของเราเสียแล้ว” ท่านนาคะจิตตะก็ถามต่อว่า “หากท่านได้พบแล้วเล่า ท่านจะรู้สึกยินดีไหม” ท่านพ่อค้าก็กล่าวว่า “เราย่อมยินดีในขันติ (ความอดทน) ของเรา เราย่อมยินดีในสัจจะแห่งเรา” ท่านนาคะจิตตะก็ยกมือสาธุ หลังจากนั้นเมื่อจบการสนทนาแล้ว ท่านนาคะจิตตะก็บอกว่า “ข้าพเจ้าจะพาท่านไปส่งในที่ๆท่านควรจะได้พบและควรจะได้อยู่” ตอนนั้นถ้ำมันปิดแล้วเค้าก็เลยพาเดินแหวกน้ำใต้มหาสมุทรจนไปถึงสถานที่ที่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าพำนักอยู่ แล้วท่านนาคะจิตตะก็บอกว่า “เรามีโอกาสส่งท่านได้เพียงแค่นี้ บุญเรามีน้อย สิ่งที่ท่านได้กล่าวถ้อยคำอันไพเราะ เราจะถือว่าเราเป็นผู้ที่มีบุญใหญ่ที่ได้มีโอกาสได้ฟังถ้อยคำอันประเสริฐนี้ เราจะจำคำของท่านไว้เพื่อไปปฏิบัติต่อในกาลเบื้องหน้า หากเราได้อุบัติเกิดมาเป็นมนุษย์อย่างท่านเมื่อใด เราจะถือคุณธรรมที่ท่านได้กระทำไว้ตลอดไป” แล้วเค้าก็โค้งตัวลง ลาไป พ่อค้าก็น้อมจิตลงมากล่าวขอบคุณและอวยพรว่า “ขอท่านผู้มีพระคุณจงได้พบกับความปรารถนาของท่านเถิด” แล้วก็เดินจากไป
    <O:p></O:p>
    เมื่อเดินไปไม่ไกลนักพ่อค้าก็ได้กลิ่นหอมๆของดอกไม้ในป่า พ่อค้าก็รู้ในใจได้ว่า ป่านี้เป็นที่รื่นรมย์ต้องเป็นที่อยู่ของผู้มีบุญแน่ จึงได้มีสิ่งที่ทำให้คลายความกระสับกระส่ายได้ เพราะหากที่ป่านั้นเป็นป่าที่มีแต่ความอับเฉา ผู้มีบุญไม่อาจจะอยู่ที่นั่นได้เลย นี่คือข้อสังเกต เมื่อเขาได้กลิ่นหอมของดอกไม้ในป่าก็รู้ได้เลยว่าอีกไม่ช้าเค้าจะได้พบกับผู้ที่มีบุญใหญ่ แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่พลบค่ำแล้วจึงไม่ควรที่จะเดินเข้าไป เขาจึงหาที่พักอาศัยก่อน แล้วจึงยกมือขึ้นกล่าววาจาไป๔ ทิศว่า “ท่านองค์ใดก็ตามทีที่ท่านมีคุณอันประเสริฐ อยู่ณ สถานที่นี้ก็ตามที อยู่นอกสถานที่นี้ก็ตามที เราเป็นผู้ที่มีจิตยังหยาบโลน เป็นผู้ที่มีความรู้น้อย ขออาศัยที่นี่เป็นที่พักผ่อนขอท่านเมตตาสงสาร ปกปักษ์อารักขาเราเถิด ขอให้ท่านเมตตายินดีต่อสิ่งที่เรามาเถิด ขอให้ท่านจงเป็นมิตรต่อเราเถิด จงอย่าได้ประทุษร้ายต่อเราเถิด” แล้วยกมือไหว้ไป ๔ ทิศแล้วจึงล้มตัวลงนอนอย่างเป็นสุข แล้วตอนเช้าเขาก็เริ่มเดินไปยังที่พักที่เห็นรำไรว่ามีสมณะผู้มีศีรษะอันเกลี้ยงเกลา ผู้มีผิวพรรณอันผ่องใส ผู้มีแววตาอันเมตตาหาประมาณมิได้ ผู้ห่มผ้าสีอันโศก (สีกรัก สีเศร้าหมอง) ท่านกำลังขบฉันอาหาร ท่านพ่อค้าก็จึงอยู่ห่างๆทำความเคารพอยู่แต่ไกลไม่กล้าเข้าไปรบกวน สมณะรูปนั้นทรงเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า (พระผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยองค์เองแต่ว่าไม่ทรงสอนพุทธบริษัทเหมือนพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน) ก็ทรงตรัสว่า “ดูก่อนท่านผู้เจริญ จงมาดูเราบริโภคอาหาร” แล้วท่านก็ทรงยื่นบาตรให้พ่อค้าดู แล้วเขาก็เห็นว่าในบาตรนั้นมีเศษใบไม้ รากไม้และผลไม้ที่หล่นมาจากต้นช้ำๆ แค่นั้นอยู่ในบาตร พ่อค้าก็ถามว่า “พระคุณเจ้า ทรงบริโภคเพียงเท่านี้หรือ?” พระองค์ก็ทรงตรัสว่า “เราบริโภคอย่างนี้เป็นปกติ”“ทำไมพระคุณเจ้าจึงมีผิวพรรณอันผ่องใส แววตาเปล่งประกาย”พ่อค้าถาม “เราบริโภคธรรมต่างหาก เราไม่ได้บริโภคสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นเรื่องของร่างกายที่มันบริโภค เราไม่ได้อยากให้ร่างกายบริโภค เราไม่วิตกกับร่างกายที่บริโภค เราไม่โหยหาสิ่งที่ร่างกายต้องการเพื่อการบริโภค แต่จิตของเราบริโภคธรรมอันประเสริฐแล้วอยู่เป็นเนืองนิตย์” (หมายความว่าพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นทรงบริโภคธรรมะเป็นปกติ ส่วนพวกเศษใบไม้รากไม้ผลไม้ช้ำๆนั้นร่างกายของพระองค์เท่านั้นที่บริโภค แต่จิตใจของท่านไม่ได้บริโภคสิ่งเหล่านี้เข้าไป ซึ่งนี่เป็นคุณธรรมพิเศษของพระผู้บำเพ็ญความเพียรมาจนครบสิ้นแล้วสามารถแยกกายและจิตออกจากกันได้) พ่อค้าก็ก้มลงกราบด้วยความสนิทใจว่าเราพบแล้ว เราพบผู้รู้แล้ว สิ่งที่เราต้องการจะรู้คงไม่เกินวิสัยของผู้รู้ที่จะตอบแก่เราได้ แต่เวลานี้ไม่เหมาะที่จะถามต่อพระองค์ท่าน พ่อค้าก็เลยยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายน้ำแก่พระคุณเจ้า” แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ตอบว่า “เชิญเถิดท่านผู้เจริญ” แล้วเขาก็ออกเดินไปทั่ว พยายามหาน้ำที่ดีที่สุด บริสุทธิ์ที่สุดที่จะถวายต่อผู้ที่มีความดีสูงสุด เขาเที่ยวตระเวนหาน้ำที่เขาพึงพอใจจนกระทั่งเขาคิดว่า ไม่มีน้ำอะไรที่จะเหมาะสมที่จะถวายต่อความดีของพระปัจเจกพุทธเจ้าได้เลย หากเราจะไม่นำเอาสิ่งที่เราต้องการไปถวายต่อองค์ท่าน ก็ขึ้นชื่อว่าความปรารถนาของเราที่ตั้งใจไว้เราก็ทำไม่สำเร็จ แต่หากเราจะเอาน้ำที่ไม่เต็มหัวใจของเราไปถวายก็ขึ้นชื่อว่าความปรารถนาของเราก็ไม่สำเร็จ พ่อค้าก็เลยคิดต่ออีกว่า น้ำเหล่านี้ก็เหมือนเศษใบไม้ รากไม้ ผลไม้ช้ำๆที่พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านได้ฉันนั่นเอง สิ่งที่พระองค์ท่านจะได้ฉันจากเราก็คือน้ำจากจิตใจของเราที่ได้มีกับพระองค์ด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ น้ำจากลำธารตรงนี้คงจะบริสุทธิ์เพียงพอแล้ว เขาจึงตักน้ำจากลำธารปกตินี่ล่ะไปถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระองค์ก็ทรงตรัสว่า “ท่านคิดถูกแล้ว สาธุ คิดถูกแล้ว” เมื่อพระองค์ทรงฉันเสร็จก็ทรงตรัสถ้อยคำอันเป็นพุทธคาถา ที่แปลออกมาเป็นภาษาเราๆได้ว่า “จิตผู้ติดอยู่กับความสุขจิตนั้นหาหลุดพ้นจากความทุกข์ไม่ จิตผู้ติดอยู่ในความทุกข์ มีโอกาสพ้นทุกข์ไม่ จิตผู้ไม่ติดสุขและก็ไม่ติดทุกข์ย่อมพบความสุข” แล้วก็ทรงอุ้มบาตร แล้วพ่อค้าก็กล่าวขออนุญาตว่า “ขอให้กระผมได้มีโอกาสอุปัฏฐากพระองค์สักครั้งเถิด” แล้วเขาก็นำบาตรไปเช็ดล้าง ในระหว่างที่เขาเช็ดบาตร เขาก็ทบทวนในคำตรัสที่พระองค์ทรงตรัสว่า จิตผู้ติดสุขไม่อาจจะพ้นจากความทุกข์ จิตผู้ติดทุกข์ย่อมพ้นจากความทุกข์ไม่ จิตผู้ไม่ติดสุขและทุกข์ย่อมพบความสุข แล้วท่านก็เช็ดถูบาตรไปเรื่อยแล้วก็ถามตัวเองว่าเราติดสุขไหม เราติดทุกข์ไหม ต้องติดแน่ ต้องติดถึงได้มาที่นี่ ติดในความคิดว่าสิ่งที่ตนเองจะได้รับคำตอบนั้นคือความสุข ติดที่จะคิดว่า สิ่งที่มันยังติดค้างคาอยู่ในใจนั้นเมื่อหลุดพ้นออกไปได้นี้คือความสุข แต่ตัวพ่อค้านั้นไม่ได้ติดในเรื่องการกินการอยู่ การมีการใช้ที่คนอื่นเขาสุข อันนี้ไม่ได้ติด แต่ติดในธรรม ติดในสิ่งที่ในใจเรากำลังครุ่นคิดอยู่ให้มันหลุดออก อันนี้ติดอยู่ ที่คิดว่าเมื่อเราเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการแล้วเราคงเป็นสุข แต่มันไม่ใช่ความสุข เขาก็เลยคิดว่าถ้าหากต้องการให้จิตเราเป็นสุข เราไม่ควรติดสุข คือไม่ติดในความปรารถนาที่จะทำให้จิตของตนนั้นรู้การปล่อยความอยากรู้ ปล่อยความอยากคิดหาเหตุหาผล ปล่อยความต้องการสิ่งที่เป็นความปรารถนาเสียให้สิ้น เราก็จะไม่ต้องวุ่นวายกับความสุข เมื่อนั้นเราจะเป็นผู้ที่ไม่สุข และคิดต่อไปว่าเราเป็นผู้ที่ไม่ทุกข์ใช่ไหม เราก็ยังเป็นทุกข์อยู่ เพราะที่เรามาถึงยังที่นี่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ภายในใจของเรามันมีสิ่งที่ต้องคอยหา คอยคิด คอยที่จะทำสิ่งที่เกิดสุข ที่เราทุกข์เพราะเราอยากให้สิ่งที่เราต้องการนั้นมันเกิดผล ถ้าเราไม่ทำ ความทุกข์ก็ไม่จำเป็นต้องละ เมื่อเราไม่ติดสุขเราก็ไม่ติดทุกข์แน่นอน พอท่านเข้าใจแล้ว ท่านก็จึงตัดสินใจได้ว่าเราจะไม่คิดถามคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจของเราอีกต่อไปแล้ว เมื่อเช็ดบาตรเสร็จก็นำไปถวายต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่า “ขอให้ลูกจงได้ดำเนินจิตของลูกต่อไป” เมื่อให้พรเสร็จ ท่านก็ตรัสต่ออีกว่า “เธอจงตั้งใจไปบำเพ็ญความตั้งใจของเธอให้สมบูรณ์เถิด ณ เบื้องหน้า” แล้วพระองค์ก็ทรงเสด็จจากที่นั่นไป <O:p></O:p>

    ถ้าเราไม่ติดสุขเราก็ไม่ต้องคิดเรื่องทุกข์ เราทุกข์เพราะอยากสุขนั่นเอง<O:p></O:p>​
     
  19. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,349
    ค่าพลัง:
    +3,864
    [FONT=&quot]ตาเราเล่า้บ้างแล้ว
    =========================

    19 พย. 51

    คืนนี้เป็นคืนที่รู้สึกว่า หลับ เหมือนไม่ได้หลับค่ะ[/FONT]
    [FONT=&quot]ทราบว่าพระท่านเมตตามาสอนในฝัน และ อ.คณานันท์ ก็มาด้วย ..สอน[FONT=&quot]นานมาก<O></O>[/FONT][/FONT]


    [FONT=&quot]ในส่วนของบทสอนนั้น ไม่สามารถจำรายละเอียดได้ค่ะ ทราบแต่ว่า สอนเกี่ยววิปัสสนาญาณ[/FONT]
    [FONT=&quot]เวลามีเสียงสอนมา ก็จะมีบางช่วง ที่ในฝัน ซันจะตอบไปว่า เข้าใจ เข้าใจ ..เข้าใจแล้วค่ะ ..ประมาณนั้น[/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วก็ ตัดไป เข้าสู่บทฝันที่จำได้[/FONT]
    <O></O>
    [FONT=&quot]ฝันนี้ อยู่ในเหตุการณ์หนึ่งที่มีกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งทุกคนรู้จักกัน คุยกันหลายๆคน คุยไป คุยมา ทะเลาะกันเอง [/FONT]
    [FONT=&quot]บางคนก็กระจัดกระจาย ยืนรอดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ[/FONT]
    [FONT=&quot]ส่วนตัวซันเองก็ยืนมองๆอยู่ ไม่ไกลนัก แต่ไม่ได้เลือกเข้าข้างใด ...เพราะรู้จักทุกๆคนในนั้นหมด[/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วก็มานึกขึ้นได้ว่า ...เราลืมกระเป๋าเป้สัมภาระ วางไว้แถวๆนั้น ในนั้นมีโทรศัพท์มือถือ และเงินด้วย[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็เลยเดินกลับไปหยิบ ....ปรากฏว่าของหายไปหมด ....เราเลยถามคนยืนใกล้ๆ ว่า เห็นของของเรามั้ย[/FONT]
    [FONT=&quot]...เงียบหมด ...เราเลยตะโกนดังขึ้น !! [FONT=&quot]ให้ได้ยินกันหมด ว่า ใครเห็นของ ของเราบ้าง ...ก็เงียบกันหมดอีก[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]เราเริ่มใจเสีย เพราะของสำคัญ ...และทุกๆคนก็ไม่พูดอะไรถึงเบาะแส ของของเราเลย[/FONT]
    [FONT=&quot]จากที่ทะเลาะกันอยู่ ก็ ตกอยู่ในความเงียบกันหมด[/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าไม่มีใครหยิบไป แล้ว ของหายไปไหน[/FONT]
    [FONT=&quot]ความรู้สึกของตัวเอง ในฝัน เริ่มเสียดายของ ...เริ่มโกรธ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2008
  20. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,402
    โอ้...ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนเสียนาน ปาเข้าไป 2725 กระทู้แล้วหรือนี่ สาธุๆในกุศลทั้งหมดทั้งมวลนะครับ ภาคอิสานตอนนี้ยังดูปกติดีครับ งานเลยไม่หนักเท่ากับภาคอื่นๆ แต่ผมเองก็ไกล้ที่จะได้เวลาย้ายไปทำงานในส่วนภาคเหนือแล้ว สู้ๆนะครับ ...สัพ เพ พุท มิ....
     

แชร์หน้านี้

Loading...