วันสิ้นยุคเป็นปี 2030,กับข่าวลือต่างๆที่เกิดขึ้นจักรวาลมีข่าวมาแจ้ง

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ดูท่านอยู่นะครับ, 6 มีนาคม 2008.

  1. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    คุยกับคน 2

    ทุกทิวา ราตรี ที่พ้นผ่าน บ้างต่อต้าน พาลพาโล เพราะโง่เขลา

    บ้างติดตาม ถามทวง คอยล้วงเอา ข่าวโลกเศร้า วันคนสิ้น ไม่ยินธรรม

    มนุษย์ป่วย ด้วยภัยนร้าย ทางกายภาพ มิฉุกคิด เพราะผิดบาป หรือสาปซ้ำ

    กลับด่าทอ ฟ้าดิน ไม่สิ้นคำ เจ้า ยิ่งย้ำ ภัยวิกฤติ ยิ่งฤทธิ์แรง

    วิกฤติโลก เกิดเพราะพิษ จิตสำนึก ความรู้สึก เป็นหนึ่งเดียว แสนเหี่ยวแห้ง

    มีแต่ลบ รบรา คิดฆ่าแกง เก่งตะแบง แข่งสร้างกรรม ชอบทำลาย

    พระพ่อ มิอาจรอ ต่อไปแล้ว ผู้แตกแถว เกลือกกลั้ว แต่ชั่วร้าย

    คงต้องยอม เปิดกว้าง ให้วางวาย บุตรทั้งหลาย ที่ยึดธรรม จะดำรง
     
  2. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    คุยกับคน 3

    กว่าหกหมื่น แปดร้อยปี ที่เลยล่วง ฤดีดวง ล้วนผ่านพบ โลภโกรธหลง

    ต่างผิดพลาด เผลอพลัน ไม่มั่นคง จิตสูงส่ง จึงเคว้งค้วาง อยู่กลางตม

    กามกิเลส เวทย์ตัณหา ไฟราคะ คือขยะ แห่งจิตหบาย ที่ทับถม

    คือซาตาน คือมารร้าย ไม่น่าชม คือปุ่มปม คอยกางกั้น ปัญญาญาณ

    ความฉลาด จึงขาดหาย กลายเป็นโง่ มีกายโต แต่ขลาดเขลา ไม่เอาถ่าน

    ทุกภพชาติ งมงาย ไม่เว้นวาร เป็นทาสมาร ก่อผลกรรม หลงลำพอง

    ปัญญาญาณ จึงถูกปิด เพราะจิตบาป เจ้าจิตหยาบ มิล่วงรู้ จึงฟูฟ่อง

    โลภโกรธหลง โง่งมงาย เป็นก่ายกอง จิตญาณร้อง เตือนเช่นไร มิได้ยิน
     
  3. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    มนุษย์ทำให้โลกเสียสมดุลด้านใดบ้าง

    1.เสียสมดุลด้านน้ำหนักมวล เพราะมนุษย์ใช้สมองซีกซ้าย นำซีกขวา
    แรงเหวี่ยงหมุนรอบแกนแม่เหล็กโลกมีอัตรา = 840 ไมล์ / วินาที
    ค่าวัดอัตราการหมุนของคลื่นแม่เหล็ก = 240 ไมล์ / วินาที
    ค่าของการหมุนรอบตัวเอง 240 / 840 = 0.333 ไมล์

    2.เสียสมดุลในการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
    ถ้าน้ำหนักมากใช้แรงเหวี่ยงมาก ก็หมุนช้าลง เริ่มต้นที่ 22 ชั่วโมง/วันขณะนี้ 24 ชั่วโมง/วัน

    3.เสียสมดุลด้านพลังงาน
    จากจิตสำนึกด้านบวกเพื่อกระตุ้นอัตราเร็วของการหมุนรอบตัวเองของแกนแม่เหล็กโลก โดยเราจะต้องผ่านบททดสอบ พันธะกรรมของตนเองให้ได้ คือ อดทน อดกลั้น ให้อภัย จะให้สั่นสะเทือนด้านบวก คือ คิดดี ทำดี = สั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวก

    4.เสียสมดุลของระยะไกลสุดในการเหวี่ยงตัวเองออกสู่อวกาศของคลื่นแม่เหล็กโลก

    5.เสียสมดุลของแนวแกนแม่เหล็กโลกกับแกนหมุนรอบตัวเองของโลกไป 3 องศา
     
  4. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    มนุษย์ทั้งหลาย

    เรา สร้างภพภูมินรกสวรรค์ขึ้นมาเป็นอุบาย

    เพียงเพื่อต้องการให้บทเรียนแห่งการมีสำนึก

    แก่ผู้กระทำผิดบาป ได้ชำระจิตวิญญาณของพวกเขา
    ในภพแห่งอบายภูมิเหล่านั้นเท่านั้น

    นรก..........จึงมิใช่ดินแดนที่น่ากลัวของคนดี

    สวรรค์.........ก็มิใช่สถานที่อันเหมาะสมทั้งของตนดีและคนชั่ว

    เจ้าดูมนุษย์พวกนั้นสิ

    เขาเที่ยวเอานรกออกเร่ขาบ เพื่อการซื้อบุญของคนกลัวบาป

    แล้วนำเอา สวรรค์ มาขายให้แก่คนบาป ที่อยากขึ้นสวรรค์

    จนไม่รู้ว่าจะ นิพพาน ไปทางไหน ไปอย่างไร

    นี่เขาต้องรอให้ใครนิมนต์ไปนิพพานด้วยเช่นนั้นหรือ

     
  5. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    กระบวนการและเทคนิคเพื่อการชำระโลก

    1. ให้มนุษย์ด้วยกันชำระความกันเอง

    2.ให้เจ้ากรรมนายเวรทวงหนี้กรรมคืนได้

    2.1 รวมพลังร่วมกันเอาคืน
    2.2 เอาคืนแบบของใครของมัน

    3. พระพ่อผู้สูงส่งลงพระหัตถ์เอง

    วันเวลาที่ 11 : 11 รหัสลับชำระโลก


    ขบวนการชำระโลก

    1.ให้มนุษย์ชำระหนี้กรรมกันเอง

    1.1เข่นฆ่าพวกเดียวกันเอง

    1.2 หลอกลวง คดโกง เอาเปรียบกันซึ่งหน้า เศรษฐกิจสังคมพังพินาศย่อยยับสิ้นทั้งโลก เพราะ มนุษย์ชั่วเอง

    2.ให้เจ้ากรรมนายเวรเอาชีวิตคืน

    2.1 ด้วยอุบัติเหตุ

    2.2 ด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ และสายฟ้า (ภัยธรรมชาติ)

    2.3 ด้วยการฝ่ามิติแปลงเป็นกายหยาบมาเอาชีวิตคืนเอง

    2.4 ด้วยตัวเชื้อโรคร้ายเก่ามาใหม่ และใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก

    3.ให้ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ชำระ

    3.1 แผ่นดินไหว แผ่นดินยุบ แผ่นดินแยก

    3.2 พายุหมุนจากทะเล และคลื่นยักษ์

    3.3 ลาวาจากภูเขาไฟระเบิด ทั้งใหม่และเก่า

    3.4 คลื่นความร้อนจัดและเย็นจัด (ความแล้ง - ความหนาวเย็น)

    3.5 พายุน้ำแข็ง (ลูกเห็บ - หิมะ)

    3.6 น้ำท่วมใหญ่ ฝนตกหนักทุกพื้นที่ น้ำป่าไหลหลาก

    3.7 โลกจะถูกลดการรับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ให้น้อยลง จะเกิดโรคร้าย ขาดน้ำบริสุทธิ์ และอาหาร

    3.8 การไร้ที่อยู่อาศัย ไร้ที่ทำกินของผู้คน

    3.9 คลื่นสั่นสะเทือนทางเสียง ระดับ 30 เดชิเบล
     
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,692
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** เราไม่ควรห่างเหินสัจจะ ****

    รักษา สมดุล...ด้วย สัจจะ
    รักษา ธรรมชาติ....ด้วย สัจจะ
    รักษา ธรรมะ...ด้วย สัจจะ
    รักษา ความดี....ด้วย สัจจะ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  7. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    กฤตสติ อาวุธปราบกิเลสตัณหาของผู้มีสติ

    1. รู้ล่วงหน้ามาแล้วว่าตนจะต้องเผชิญกับสิ่งนั้น

    2. เชื่อมั่นมาก่อนว่าตนต้ิงเผชิญกับสิ่งนั้น

    3. รู้ที่มาที่ไปในสิ่งที่ตนกำลังเผชิญอยู่

    4. รู้จักยอมรับความจริงใดๆที่เกิดขึ้นนั้น

    5. รู้จักปรับตนเองให้กลมกลืนกับสภาวะนั้น

    3. รู้และมั่นใจเสมอว่าตนต้องฟันฝ่ามันไปได้ ทำให้มีพลังใจและยืนหยัดอยู่ได้

    การที่เราจะรอด กรณีชำระโลก

    1. ยอมรับข่าวสารความรู้ใหม่นี้

    2. มีสำนึกที่ถูกต้องดีงาม

    3. เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของโลก

    4. มีปณิธานแห่งนิพพาน

    5. มีสติ

    6. มีกฤตสติ

    การปฏิบัติตนอย่างมีสำนึก

    1. การเตรียมสะภาวะจิตวิญญาณ

    1.1 ขออภัย

    1.2 ให้อภัย

    1.3 ให้ความรักแก่ทุกสรรพสิ่ง

    1.4 ฝึกมีสติ และใช้กฤตสติ

    1.5 รักษาสุขภาพทางจิตให้มั่นคงและสมดุลเสมอ

    2. การเตรียมเครื่องยนต์แห่งกรรม หรือว่า ร่างกาย

    2.1 อุปกรณ์ช่วยชีวิตและป้องกันอุบัติภัย

    2.2 สิ่งอุปโภคบริโภคจำเป็นเพื่อยังชีพ

    2.3 ยาสามัญประจำบ้าน ยาแก้ท้องเสีย เท้าเปื่อย

    2.4 สุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์

    ชำระโลกแล้วจะเหลืออะไร

    1. แผ่นดินครึ่งส่วน แผ่นน้ำ 3 ส่วนครึ่ง

    2. รูปธรรมมนุษย์ และสัตว์ไม่เกินกึ่งหนึ่ง สัตว์บางชนิดสูญพันธ์ไป เช่น หนู กระต่าย

    3. พืชพันธ์ ไม้ใหญ่ถูกชำระหายไปเกือบสูญสิ้น

    4. ผู้มีจิตสว่างทั้งคนและสัตว์ ผู้คนอายุยืนยาว

    5. ฟ้าใหม่ที่ไร้ประจุลบอิสระและไร้เจ้ากรรมนายเวร

    6. สังคมใหม่ ที่ต้องสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์เผ่าดาวอื่น
     
  8. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    มนุษย์ทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง บ้างพิการทุพพลภาพ บ้างเดือนร้อนนอนสาหัส บ้างหลั่งเลือด บ้างเอาชีวิตกัน มนุษย์ฆ่ามนุษย์สุดโหดร้ายเหมือนมิใช่จิตมนุษย์ มนุษย์เอาเปรียบเบียดเบียนมนุษย์ดุจมิใช่พี่น้องกัน มนุษย์ทุจริตคดโกงมนุษย์ด้วยกันเหมือนมีมันฉลาดรู้อยู่ผู้เดียว และมนุษย์ทำตนงมงายเหมือนไม่มีสมองมนุษย์เอาเสียเลย
    มนุษย์ไม่รู้เบื้องหลังความเป็นมาที่โหดร้ายของมึง คือ ผู้อื่น ไม่รู้ความงมงายของตน หรือ กูเอง ภาพรวมทางสังคมหลายเดือนวันที่ผ่านมา จึงเป็นความสับสนในจิต และเป็นความว่างเปล่าในความคิด เหตุเพราะมนุษย์มีก้อนสมองที่เบาหวิวว่างเปล่าจาก ปัญญาญาณ มนุษย์ไม่รู้ที่มาที่ไป มนุษย์ไม่รู้ความลับเบื้องหลังมิติของตนเองและผู้อื่น มนุษย์ไม่รู้อะไรๆทั้งของตนเองและผู้อื่น นอกจากการ สู่รู้- สู่เห็น และบทบาทที่เรียกว่า อวดดี เท่านั้น มนุษย์ไม่รูู้็ว่าทำไม เขา ต้องเป็นผู้ฆ่าหรือผู้ถูกฆ่า ทำไมเขาจึงต้องตายเดี่ยวแต่รอดหมู่ มนุษย์ไม่รูู้็ว่าทำไมต้องตายหมู่แต่รอดอยู่คนเดียว

    มนุษย์หลงเชื่อตามการแย่งสาวกของเจ้าลัทธิ มนุษย์หลงเชื่อความรู้ใหม่ทั้งๆที่มันมิใช่ความรู้ที่เป็นแสงสว่างหรือพลังงานด้านบวกในความรู้นั้น ขณะที่มนุษย์ต่างพากันปฏิเสธความรู้ใหม่ที่เต็มไปด้วยไฟแสงสว่างและความร้อนด้านบวกอันเป็น สัญญลักษณ์ของ ความรัก ในทันทีที่เขาเข้าใกล้มัน พวกเขาล้วนโง่ งมงาย หรือเขาป่วยไข้ด้วยโรคอะไรกันหนอ.....
    นานเท่าที่ดวงอาทิตย์จะมี จุดระเบิดดวงที่ 11 ปรากฏขึ้นบนด้านที่หันเข้าหาโลก นานเท่าที่ความพร้อมของตัวแทนแห่งมนุษย์จะมี ระหัส 11 ปรากฏขึ้นในดวงจิตและปัญญาญาณ นานเท่าใดนั้นมนุษย์ทั้งหลายย่อมไม่รู้ แต่คำว่านานเท่าใด ในความหมายของคำๆนี้ก็คือ ไม่นาน อยู่นั่นเอง ก่อนอาทิตย์อัสดงหนึ่งวัน ถ้วนทุกสรรพสิ่งบนโลกล้าดูประหนึ่งแผ่นผื้นผิวน้ำเมื่อยามคลื่นลมสงบ พอยามอัสดงนกกาฟ้าคนและต้นไม้จะมีจิตวิญญาณภายในพลันวูบตกต่ำทางคลื่นจิตอย่าง
    ผิดสังเกตุ โดยไม่อาจคิดสั่นสะเทือนเพื่อยกระดับสู่สุขหยาบๆแบบจิตมนุษย์ดังแต่เดิมได้ด้วยเงื่อนไขเดิมๆ พวกเขาพากันถามตนเองว่า ไฉนใจหายๆ ทำอะไรที่เคยสนุกมันกลับไม่สนุกเอาเสียเลย บางคนกลับแลหงอยเหงาเหมือนอ้างว้างเดียวดาย บางคนเหมือนว่ามีบางสิ่งที่ลืมไป แต่นึกไม่ออกว่าลืมอะไร ขณะที่บางคนรู้สึกเสมือนมีใครมาคอยพร่ำเรียกให้ลุกปลุกให้ตื่นทั่งค่ำคืน และอีกหลากหลายที่จะได้พบเจอ
    ท่ามกลางสิ่งแปรปรวนภายนอกภายในเหล่านั้น มนุษย์จะแตกตื่นรู้โดยไม่ต้องสู่รู้ว่า บัดเดี๋ยวนั้น แผ่นดินของโลกกูหายไปไหน แห่งแล้วแห่งเหล่า และจะนับนิ้วดูได้ว่า เพื่อนมนุษย์ของกูหายไปไหนที่ละหลายหมื่นแสน
    แหละแล้วก็มาถึง 7 วัน 1 ราตรี : วาระสุดท้ายที่โลกจะสะเทือนทุกด้านพร้อมกันหมด

    มิอาจมีคำใดสาธยาย ถึงเสียงแซ่แห่งพระพ่อผู้สูงส่ง ที่จะหวีดหวิวปัดกวาดชำระโดยเหวี่ยงหวดลงมาจากฟ้า ณ เวลาที่ 11 :11 นั้น เก้านาฬิกาเศษหลังอรุณที่ควรจะรุ่ง แต่ไฉนใยฟ้าจึงมือมิดดั่งราตรี ไม่มีแม้แสงตะวัน ไม่มีแม้เสียงสำเนียงคณานก ทุกอย่างเงียบเชียบเป็นเสียงเงียบ ทั้งคลื่นลมและแผ่นดินต่างหลับไหล มนุษย์เท่านั้นที่ไม่รู้ว่าทุกอย่างที่เงียบเชียบนั้น มันคือ ช่องว่าง ที่ถูกเปิดออก เพื่อรอบรรจุสรรพสำเนียงที่ ดังที่สุด ทั้งแผ่นดินเอาไว้ในนั้นโดยที่มนุษย์ทุกคนต้องได้ยินมัน นานถึง 7 วันโดยมิมีเพียงเสี้ยวนาทีที่ว่างเว้น นานจนช่องว่างนั้นจะถูกเติมเต็ม
     
  9. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    วิญญาณไม่ใช่จิตวิญญาณ

    วิญญาณ คือ อะไร มนุษย์โดยทั่วไป มักรู้จักคำว่า วิญญาณ จากความรู้ในเรื่องของ ขันธ์ 5 เสียเป็นส่วนใหญ่
    ขันธ์ 5 หรือ ขันธ์ทั้งห้า ก็ คือ คำอธิบายถึงกระบวนการสั่นสะเทือนทางจิตของมนุษย์ในมิติทางพลังงานรวม 5 ระดับ

    กระบวนการของขันธ์ 5

    1.เมื่อ ตา หู จมูก ลิ้น หรือ กายสัมผัส ได้สัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งใดรายรอบตนเองเข้าก็จะถ่ายทอดคลื่นรหัสสัญญาณที่ตนสัมผัสนั้นไปยังตาที่สาม หรือ ต่อมไพนีล ทันที
    จากนั้นต่อมไพนีล อันเป็นศูยน์ปฏิบัติการทางจิตก็จะสั่นสะเทือนเกิดขึ้นเป็น การรับรู้ รหัสสัญญาณที่ถูกถ่ายทอดมาให้ เพื่อแปลความหมายของรหัสคลื่นสัญญาณเหล่านั้นว่าอะไรเป็นอะไร
    การที่ต่อมไพนีลหรือตาที่สาม แปลความหมายออกมาได้ว่า สิ่งที่ตนสัมผัสรู้้ดูเห็นอยู่ในขณะนั้น เป็นอะไร นี่เอง คือ กระบวนการของจิตที่เกิดสภาวะแห่งการรับรู้ขึ้นในขันธ์ที่ 1 นั่นคือการเกิด รูป ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอัตตาตัวตนทั้งหลาย
    ดังนั้น ขันธ์ที่ 1 จึงหมายถึง สภาวะแห่งการรับรู้ของตาที่สามที่ก่อให้เกิด รูป นั่นเอง

    2. เมื่อจิตรับรู้รูปหรือตัวตนของสรรพสิ่งนั้นๆแล้ว จิตอีกกลุ่มหนึ่งก็จะนำเอารูปหรือตัวตนของสรรพสิ่งที่รับรู้ได้นั้นมาเป็นเงื่อนไขเพื่อสั่นสะเทือนตนเองให้เกิดเป็น ความรู้สึก ที่มีต่อรูปนั้นหรือตัวตนของสรรพสิ่งที่รับรู้นั้นต่อไป ขันธ์ตอนที่ 2 นี้เรียกว่า การรับเอา หรือการปรุงแต่งรูปที่เป็นตัวตนมายาอันเกิดจากการรับรู้ของขันธ์ที่ 1 นั่นเอง
    โดยคำว่า ความรู้สึก ในที่นี้มีความหมายตรงกับคำว่า เวทนา นั่นเอง

    3. เมื่อจิตเกิดการรับเอาเป็น สวยไม่สวย ก็จะมีจิตอีกกลุ่มหนึ่งไปปรุงแต่งเป็น อยากได้ และไม่อยากได้ ที่เรียกว่า กิเลส
    กิเลสนี่เอง คือ บ่อเกิดตัณหาอันเป็นที่มาแห่งอารมณ์ขยะของมนุษย์นี่เอง
    อารมณ์ของมนุษย์จึงแปลเปลื่ยนไปได้หลากหลาย ทำให้ต้องมีจิตอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องจดจำหรือหมายอารมณ์นั้นไว้
    การจำได้หมายรู้อารมณ์ใดๆได้ของจิตกลุ่มนี้ก็คือ ขันธ์ที่ 3 ที่เรียกว่า สัญญา นั่นเอง

    4. คลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนของจิตระดับต่างๆซึ่งก่อให้เกิดเป็นอารมณ์ชนิดต่างๆ กันไปนั้น ปกติแล้วจะเริ่มต้นจากการเกิดเป็นความรู้สึกหรือ กิเลส ขึ้นมาก่อน เช่น ชอบไม่ชอบ พอใจไม่พอใจ หรือเอาไม่เอา เป็นต้น เมื่อตัดสินใจเลือกเอาข้างหนึ่งข้างใดแล้วแรงสั่นสะเทือนของจิตก็จะถูกยกระดับให้สูงขึ้นไปจากเดิมอีกขั้นหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อทำความรู้สึกหรือกิเลสนั้นให้เกิดมีตัวตนขึ้น โดยแรงสั่นสะเทือนของจิตที่ยกตัวสูงขึ้นในระดับของการทำให้กิเลสมีตัวตนขึ้นมานี้ รวมเรียกว่า ตัณหา
    ดังนั้น ทั้งกิเลสและตัณหาก็คือ อารมณ์รู้สึก ของมนุษย์ซึ่งรวมเรียกว่า สังขาร อันเป็นขันธ์ที่ 4 นั่นเอง

    5.ขันธ์ที่ 5 เรียกว่า วิญญาณ ยาวมากๆอธิบายลำบากหาอ่านได้ในหนังสือของอาจารย์ครับ

     
  10. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    กำลังดีเลยครับ หากมีเวลา รบกวนนำมาขยายความต่อได้เลยครับ
     
  11. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    มนุษย์ล้วนเริงร่าและโลดแล่นไปบนพื้นผิวดาวเคราะห์โลกทุกข์และสุขอยู่กับชีวิตรายวัน ด้วยบทบาทที่ไม่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้ คือ
    1. ต่อสู้หรือแข็งขันกับผู้อื่นเพื่อการกินดีอยู่ดี มีชีวิตที่มั่นคง และมั่งคั่ง
    2. ต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมเพื่อความอยู่รอดและมีอายุขัยยืนยาว
    3. ต่อสู้กับความไม่รู้ของตนเอง เพื่อให้ได้รู้มากกว่าที่คนอื่นรู้
    4. ต่อสู้กับคนอื่นเพื่อใช้อำนาจทำลายอำนาจผู้อื่นเพื่อความเหนือกว่า

    มนุษย์ไม่เคยสงสัยเลยว่า ตนเองเป็นใครกันแน่ นอกจากรู้จักแต่พ่อแม่ญาติมิตร และเพื่อนร่วมโลกคนอื่นๆกันเท่านั้น รู้เพียงว่าพ่อแม่ของตนชื่ออะไร หน้าที่ของตนคืออะไรบ้าง และตนสามารถที่จะทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรไม่ได้บ้างเท่านั้นเอง

    จิตมนุษย์ จึงเต็มไปด้วยจิตหยาบ
    เพราะจิตหยาบ จึงทำให้เกิดการคิดแบบจิตมนุษย์
    เมื่อยังคงคิดแบบจิตมนุษย์ มนุษย์จึงย่อมขาดสติ
    เมื่อขาดสติ ความสามารถในการใช้ปัญญาญาณจึงบกพร่อง
    เมื่อสติปัญญาบกพร่อง การคิดและการตัดสินใจสู่การกระทำใดๆจึงบกพร่องตามไปด้วย
    ถ้ามนุษย์ยังไม่เคยคิดไม่เคยถามตนเองเลยว่า ตนเองเป็นใคร
    มนุษย์ก็ย่อมยังคงว่ายวนอยู่กับความทุกข์ จากความสุกๆดิบๆ ในวิถีชีวิตที่ตนเองเป็นผู็กำหนดอยู่เช่นนี้อีกนานแสนนานแน่นอน

    มนุษย์เป็นใคร มาเกิดบนโลกนี้ทำไม

     
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,692
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ทุกสิ่งสำเร็จและสิ้นสุดด้วยสัจจะ ****

    จงหมั่น...ขจัดนิสัยสันดานตน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  13. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    มนุษย์ไม่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ เพราะเข้าใจว่าไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องงมงาย แต่ตัวมนุษย์เองกลับกลัวผี เวลามีศพคนตายมนุษย์ผู้อยู่ข้างหลังกลับทำพิธีสวดส่งวิญญาณผู้ตายให้ไปสู่สุคติ ไม่เชื่อเรื่องจิควิญญาณแต่มนุษย์กลับเชื่อเรื่องทรงเจ้าเข้าผี ไม่เชื่อเรื่องโลกวิญญาณแต่เวลาขับขันหาที่พึ่งไม่ได้กลับอธิฐานร้องขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถามตนเองกันบ้างหรือไม่ว่า กำลังสับสนในความเป็นมนุษย์ของตนกันอยู่หรือเปล่า
    ผู้มอบโอกาสให้จิตวิญญาณเข้ามาสู่รูปธรรมมนุษย์ หรือได้รับโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์ทรงรู้ดีว่า มนุษย์จำนวนมากไม่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณด้านแก่นแท้ของตนเองแน่นอน จึงทรงมอบบทเรียนบางบทผ่านมารดาบางคนเพื่อให้มวลมนุษย์เกิดสำนึกรู้เรื่องนี้ไว้ ด้วยการมอบให้ตั้งครรถ์จนถึงกำหนดคลอด โดยสิ่งใหม่ที่มารดานั้นสร้างขึ้นและคลอดออกมาเป็นเพียงแค่ก้อนเนื้อก้อนหนึ่งที่มีแค่พลังงานชีวิตอยู่ข้างใน ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากมารดาเท่านั้นเองไม่มีพลังงานพิเศษที่เรียกว่า จิตวิญญาณ ชิ้นเนื้อชิ้นนั้นมนุษย์เรียกว่า ลูกกรอก ซึ่งเลี้ยงอย่างไรก็เลี้ยงไม่โต และไม่อาจแสดงออกถึงการเป็นสรรพสิ่งหนึ่งที่มีชีวิต เหมือนทารกทั่งไปได้เลย
     
  14. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ในบรรดาสรรพชีวิตทั้งหมดบนโลกใบนี้ กำลังเผชิญกับความเลวร้ายของมหันตภัยที่มีสาเหตุจากความไม่สมดุลของธรรมชาติ ซึ่งความไม่สมดุลของโลกนั้น มาจากการกระทำของมนุษย์เกือบทั้งหมด เนื่องจากมนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐชนิดเดียว ที่ปรับธรรมชาติเข้าหาตัวเอง หรือกล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ว่ามนุษย์เป็นตัวการสำคัญที่สุดที่ทำลายธรรมชาติให้เสียสมดุลไป ขณะนี้มนุษย์มีความ โหดร้าย รุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยพลังงานเสีย ได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และความหลง ทั้งในด้านวัตถุนิยม และความรู้สึกนึกคิดที่เบียดเบียน จ้องทำร้าย ซึ่งกันและกัน รวมทั้งทำลายสรรพชีวิตอื่นๆ อยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่มีความเมตตา ไม่คำนึงถึงสภาพแวดล้อมที่สมดุล ทำให้เกิดพลังงานฝ่ายเลว กระทบทำลายการสอด ประสานที่สมดุลของสนามแม่เหล็กโลก โดยที่มนุษย์ทุกคนไม่รู้ตัว ดังนั้นจะเห็นได้ว่า มนุษย์ยังดำเนินการสร้างความเลวร้ายมากขึ้นๆ ยิ่งทำลายความสมดุลได้มากเท่าใด ก็บอกตนเองว่า ได้พัฒนาโลกนี้ให้เจริญขึ้นมากเท่านั้น ณ เวลานี้วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๐ เกิดเส้นแรงสนามแม่เหล็กขาดสะบัดมากมาย จนโลกเกือบทนไม่ไหว ระดับ ความรุนแรงกำลังเข้าสู้ระยะวิกฤติเต็มทนแล้ว สัญญาธาตุรู้ที่อยู่คู่กับทุกอณูในสรรพสิ่ง บอกข้าว่า ก่อนมหันตภัยอีก ๑๒ ปีข้างหน้ามันไม่ใช่จุดเริ่มต้นเสียแล้ว แต่มันเริ่มต้น จากวันนี้ และเดี๋ยวนี้เลย ความรุนแรงจะเพิ่มมากยิ่งขึ้นจนวิบัติได้ อย่างที่มนุษย์ เห็นด้วยตาเปล่าได้ราวในเดือนกรกฎาคม และจะรุนแรงมากที่สุด ระหว่างตั้งแต่เดือน กันยายน-ตุลาคมเป็นต้นไป และจะเบาบางลงในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ มนุษย์ทั้งหลาย ต้องล้มตาย และอดอยากมากมาย ถ้าความสมดุลเป็นเช่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลง

    ประเทศไทยจะมีน้ำท่วมในที่ลุ่มมาก เกิดทั้งแผ่นดินแยก แผ่นดินยุบ ภูเขาทลายลง ความร้อนปะทุจากใต้พื้นดิน ถนนสิ่งก่อสร้างจะพังทลายลงให้เห็น หรืออาจจะไม่มีโอกาส ได้เห็น เนื่องจากมนุษย์จะต้องเสียชีวิตเป็นกลุ่มๆ ตามแรงกรรมที่เป็นวิบากของตน ข้าขอเตือนไว้ ถ้ายังไม่รีบลดความเลวร้ายของตนตั้งแต่วันนี้ โลกย่อมดูดกลืนกินพวก เจ้ามนุษย์บาปหนัก (วิบากมาก) ก่อน แล้วไล่เรียงไปจนหมด หรือเกือบหมดโลกนี้ทีเดียว พร้อมกับวาระสุดท้ายที่โลกจะอยู่ในสถานะวิกฤติที่ว่างเปล่า หลังจากการเกิดสภาวะ ยุคน้ำแข็ง หรือความร้อนสูงจนน้ำท่วมโลก มนุษย์จะพบกับความร้อนใต้พิภพที่พอจะทำให้ เลือดในตัวมนุษย์เดือด ก็เป็นได้อย่างง่ายดาย มนุษย์อย่าได้คิดแคบๆ คิดแต่เรื่อง ความอยากของตนเองเท่านั้น อย่าเห็นแก่ตัว จนไม่สามารถพบกับความจริงที่เป็น ข้อเท็จจริงได้เลย การคิดแต่เรื่องของตน ทำให้เกิดความไม่สมดุลของธรรมชาติที่เลวร้าย ใหญ่หลวงนัก เป็นที่น่าเสียดายที่มนุษย์มีสมองอันประเสริฐ แต่กลับนำเอาสมอง อันแสน ประเสริฐนั้น มาใช้ทำลายกันเองอย่างเมามัน และยังทำลายสัตว์สิ่งที่มีชีวิตทั้งหมด ให้ย่อยยับตามลงไปด้วย ข้าไม่เชื่อและเห็นจริงกับสัตว์ประเสริฐชนิดนี้ว่า เป็นผู้ที่ทำให้ โลกใบนี้เจริญขึ้นศิวิไลซ์ขึ้น เห็นแต่ความหายนะที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยการกระทำ ของสัตว์ชนิดนี้ต่างหาก มากไปกว่านั้น ข้าก็ไม่เชื่อว่า สัตว์ประเสริฐที่เรียกกันว่ามนุษย์ จะดีกว่าสัตว์สรรพชีวิตทั่วไป เพราะเห็นว่า มนุษย์นี่เองที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ธรรมชาติ สร้างขึ้น ให้วิบัติไปภายในระยะเวลาที่รวดเร็วกว่าที่คาดคิดเอาไว้ มนุษย์บาปทั้งหมดทุกคน จนเตรียมตัวรับกรรมที่พวกเจ้าก่อขึ้น ได้ตั้งแต่บัดนี้ อย่างสยดสยองเป็นแน่ มนุษย์อีก ส่วนหนึ่ง กำลังปฏิบัติสวดภาวนาทำจิตตนให้กว้างขึ้นๆ เพื่อส่งกระแสเมตตาต้านแรงกรรม หรือวิบากของโลกอย่างแข็งขัน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่คิดแต่เรื่องของตน ลดความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่อย่างต่อเนื่อง ข้าเห็นแล้วก็ต้องขออนุโมทนาในกรรมดี และขอ อวยพรให้มนุษย์พวกนี้ เป็นมนุษย์ที่หลงเหลือ เพื่อการเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ อันศิวิไลซ์ โดยแท้จริง หลังจากมหันตภัยล้างโลกในครั้งนี้ผ่านพ้นไป มนุษย์เหล่านี้ จะพบความสะอาด ของโลกอีกครั้ง โดยไม่มีมนุษย์ที่แปดเปื้อนกรรมหนักจิตมัว อย่างทุกวันนี้ให้เห็น และจงนำพามนุษย์น้อยๆ ทั้งหลายที่เกิดใหม่ให้มีสภาวะจิตเมตตาต่อมนุษย์ด้วยกัน ต่อสรรพชีวิต และต่อมวลสารทั้งหลายของโลกนี้ สร้างความสมดุลในตัวมนุษย์ ทั้งร่างกาย และจิต

    สัญญาธาตุรู้ที่อยู่คู่กับทุกอณูในสรรพสิ่งยังบอกข้าอีกว่า เมื่อโลกนี้เสียสมดุล จนกระทั่ง เกิดภัยพิบัติขึ้น รุนแรงมากขึ้นๆ และอาจจะรุนแรงถึงขั้นมหันตภัยล้างโลกได้แน่นอน ทีเดียว ผลความเลวร้ายนี้ยังส่งกระทบไปทั่วทั้งจักรวาล ไปทั่วดาราจักรทางช้างเผือก และขยายกว้างออกจนถึงเอกภพทีเดียว พวกเจ้านึกดูเอาเองก็แล้วกันว่า ความผิดของ พวกเจ้านั้น มันมโหฬารอย่างยิ่งใหญ่เพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับความสุขแบบมนุษย์ ที่พวกเจ้าเสพทรัพย์ ยศ สรรเสริญ เสพอารมณ์แห่งตัณหาเพียงไม่กี่อึดใจ ร่างของเจ้า ก็จมดินไปในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี กับความเป็นไปของโลกที่นานจนเจ้านึกไม่ถึง และไม่สามารถหยั่งรู้ได้ ต้องจบลงด้วยน้ำมือของพวกเจ้าอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ แม้จะมีศาสนามากมายยังฉุดรั้งจิตมนุษย์ไม่อยู่เลย

    ข้ามีความหวังอยู่กับมนุษย์ไม่กี่คนที่เหลืออยู่กับภาระอันหนักหน่วงนี้ มนุษย์ที่มีดวงจิต เต็มเปี่ยมด้วยศรัทธา กับการรักษาสมดุลแห่งธรรมชาติของโลกนี้ ความหวังที่ว่ามันริบหรี่ เต็มทนแล้วเช่นกัน มนุษย์จงตื่นเถิด มนุษย์จงตื่นเถิด มนุษย์จงตื่นเถิด มนุษย์จงตื่นจาก การหลับใหลมาพบกับความจริงข้อเท็จจริงของธรรมชาติ หลุดพ้นจากอัตตา และห่างไกล พ้นจากมายาทั้งปวง มนุษย์จงตื่นจากการหลับใหล มาพบกับความยิ่งใหญ่ ของตนเถิด คือ ดวงจิตอันประภัสสร มนุษย์ใดที่กระทำการด้วยดวงจิตที่ศรัทธาเต็มดวงจิต ต่อสมดุล ต่อธรรมชาติแล้ว จะพบกับความยิ่งใหญ่อันมนุษย์ทั่วไปไม่มีเสมอเหมือน อย่าอยู่อย่าง คนใจแคบ อย่ามีจิตยึดติดอยู่กับอัตตาของตนเพียงเท่านั้น อย่าคิดแต่เรื่องของตนว่า ชอบ หรือไม่ชอบ พึงใจหรือไม่พึงใจ โดยไม่สำเหนียกถึงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่มีต่อสรรพชีวิต และสมดุลของโลก จักรวาล ดาราจักร และเอกภพ จงมีจิตที่กว้างขึ้นๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด จงมีจิตที่กว้างขึ้นๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด จงมีจิตที่กว้างขึ้นๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์จงตื่น จากการหลับใหล มาพบกับความเป็นไปของสถานการณ์ที่เป็นจริงไปตามข้าเถิด จงใจกว้าง ส่งสาระนี้ขยายให้ทั่วโลกเถิด จงเมตตาต่อตนเอง และสรรพชีวิตทั้งปวงๆ

    กุญแจไขปริศนาแห่งมหันตภัยของโลกในตอนนี้ และตลอดไป คือ จงตื่นขึ้นจากความหลง มัวเมาทั้งปวง ตั้งสติศรัทธามั่นในการรักษาสมดุลของโลก จนร่วมกันสวดภาวนา ประพฤติตน ลดอัตตาของตนให้พ้นจากความอยากทั้งหลาย เพื่อการพบกับความเป็น หนึ่งเดียวของจิตมนุษย์ทั้งปวง จงเป็นผู้ที่ร่วมกันช่วยกันสร้างพลังงานสมดุลค้ำจุนโลก ด้วยชีวิตจิตใจของเจ้าที่เต็มเปี่ยมด้วยการมีเมตตา มีการให้อภัย มี โพธิจิต อย่างมีสติ พร้อมที่จะนำไปใช้ในการการปฏิบัติ และการดำเนินชีวิตแห่งอนาคตร่วมกัน พร้อมทั้ง ขยายความเมตตาสู่สรรพชีวิตทั่งปวง และโลกใบนี้ ให้เกิดความสมดุลโดยรวดเร็ว อย่างเร่งรีบ ให้ทันเวลา ให้ทันเวลา ให้ทันเวลา ไม่มีพื้นที่บนโลกนี้ให้เจ้าอยู่ แล้วเจ้า จะอยู่กัน ณ ที่ใด จากการสำรวจของข้า ไม่มีที่ใดเลยที่เหมาะกับมนุษย์ เหมือนดาวดวงนี้ หรอก ปัจจุบันนี้ข้าเห็นแต่ความโลภที่กระตุ้นให้มนุษย์สร้างยานอวกาศ เพียงเพื่อจัดสรร พื้นพิภพบนดวงจันทร์อย่างเห็นแก่ตัว หรือก็อยากได้ทองคำ และธาตุพลังงานกัมมันตรังสี ของดาวอังคาร หรือเพื่อท่องเที่ยวอวกาศเพียงเท่านั้น มนุษย์ที่มีอำนาจมาก หรือมีทรัพย์ มาก ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว และลึกลับซ้อนเร้นซับซ้อนมากที่สุดเช่นกัน ข้อมูลข่าวสารนี้ ไม่ใช่ การทำนายเพื่อให้มันเกิดขึ้น แต่เป็นข้อมูลเพื่อให้มนุษย์เตรียมตัวรับมือ กับความเป็นจริง บนข้อเท็จจริงแห่งธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงที่กล่าวไว้ข้างบนจะเกิดขึ้นตามนี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการกระทำการเคลื่อนไหวของมนุษย์ทุกคนร่วมกัน หรือกล่าวได้ว่า เป็นความสมดุลของตาชั่งแห่งธรรมชาติ ที่ชั่งวัดน้ำหนักระหว่างกรรมดีกับวิบากชั่ว ที่มนุษย์สร้างขึ้นนั่นเอง
    สัญญาณการเตือนมหันตภัยของโลก เหตุร้ายมหันตภัย จะมีความรุนแรงขึ้นมากในเดือน กรกฎาคมปีนี้ (๒๕๕๐) ถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า (๒๕๕๑) จะรุนแรงมากที่สุด ในเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมปีนี้ โดยทั่วไปมนุษย์ไม่สามารถรับการเปลี่ยนแปลง หรือสัญญาณของเหตุร้ายได้ เนื่องจากปรับสภาพแวดล้อมเข้าหาตัวเองตลอดเวลา จนกระทั่งสัญชาตญาณการรับรู้หายไป แต่สัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ป่ายังสามารถ รับคลื่นบอก ภัยทางธรรมชาติได้ดี จะเห็นว่าขณะนี้สัตว์ทั้งหลายมีพฤติกรรมแปลกๆ ก็เพราะมัน ต้องการมีชีวิตรอดพ้นจากภัยธรรมชาติทั้งหลายนั่นเอง และเมื่อถึงเวลาเกิดมหันตภัยในครั้งต่อไปนี้ จะมีสัญญาณบอกเหตุร้ายของมหันตภัย ขณะก่อตัวขึ้น : เริ่มต้นด้วยการที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดง มาทางทิศตะวันตก เฉียงใต้ แล้วเกิดพายุฝนกระหน่ำ ๓ วัน ๗ วันมาในทิศเดียวกัน จากนั้นจะเกิดเสียงดังสนั่นคำรามจากใต้พิภพ (มนุษย์นึกว่าฟ้าร้อง) พร้อมมีความร้อนใต้พิภพผุดขึ้นมานาน ๓ วัน แล้วเกิดแผ่นดินไหว รุนแรงไปทั่วโลก แผ่นดินสะบัดเหมือนแผ่นผ้าปลิวลม พื้นดินที่ราบลุ่ม สั่นเป็นระลอกคลื่น ผืนดินแยกออก ยุบตัวลง ภูเขาถล่ม ตึกสิ่งก่อสร้างทั้งหลาย และเขื่อนพังทลาย น้ำท่วม ท่อก๊าซระเบิด พายุฝนตกหนักต่อเนื่อง เพิ่มความรุนแรงของน้ำท่วมที่เผชิญอยู่อย่างรุนแรงมากขึ้น เกิดความอดอยาก ของผู้คนไปทั่วโลกหลังจากมหันตภัยจบลง และในอีกไม่นานนัก ก็จะเกิดเช่นนี้อีกหลายครั้ง จนกว่าโลกปรับตัวสมดุลเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ต่อไป ตั้งแต่เวลานี้ขอให้มนุษย์ทั้งหลาย ร่วมกันสร้างสนามพลังงานแห่งธรรมชาติที่เข้มแข็ง มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดการเกิดมหันตภัยที่จะมาถึง หรือก็ให้มันไม่สามารถ เกิดขึ้นได้เลย ในระยะเวลาดังกล่าว จะถือได้ว่าเป็นชัยชนะแห่งมวลมนุษยชาติ ในยุคปัจจุบัน
     
  15. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    มีการเปลี่ยนแปลง และมีการเตรียมตัวของสรรพชีวิตมากมาย รวมทั้งมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการเตือนภัยจากมหันตภัย ที่มันมาถึงโลกและจักรวาลของเราแล้ว บางส่วนที่สามารถรับข้อมูลข่าวสารได้ ซึ่งมีทั้งการถ่ายทอดความรู้สู่บุคคลรอบข้าง หรือส่งสารสู่สาธารณะทั่วไปก็มี แต่ก็ยังน้อยเกินไป และยังไม่ทราบถึงวิธีการของมนุษย์ที่ช่วยในการลดความรุนแรง หรือจนสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ให้มหันตภัยนั้นไม่เกิดขึ้นได้ การแผ่เมตตา และการปฏิบัติต่อโลก เพื่อให้เกิดความสมดุลโดยด่วนที่สุดนั้นสำคัญมากที่สุด และจงพิจารณาการเตือนภัยทั้งหลาย ให้เป็นข้อการปฏิบัติในการสร้างสมดุลของธรรมชาติ คือ การสร้างสนามพลังงานแห่งธรรมชาติร่วมกันทั้งโลกไม่เลือกชาติ ไม่เลือกศาสนา ไม่เลือกไม่ถือวรรณะ ไม่ถือเป็นของเราหรือของเขา จงเลือกแต่ทุกชีวิตเป็นหนึ่งเดียวร่วมกัน โดยไม่มีความแตกต่างใดๆ ทุกๆ สรรพชีวิตเหมือนกัน คือ ได้รับผลจากความไม่สมดุลของธรรมชาติถ้วนหน้ากัน มหันตภัยไม่เลือกตามหน้าตามนุษย์และสรรพชีวิต แต่ความโหดร้ายของมันนั้น เป็นไปตามกรรมเวรของแต่ละบุคคลแต่ละชีวิต จนถึงเวลานี้ กรรมเวรของมนุษย์ รวมกันได้ผลออกมาเป็นมหันตภัยล้างโลกเลยทีเดียว สรุปมนุษย์ทุกคนคือ ต้นตอของสาเหตุในการทำลายล้างโลกในครั้งนี้ ที่ร้ายกว่านั้น สรรพชีวิตอื่นที่บริสุทธิ์ ยังต้องรับผลนั้นไปด้วย จงตระหนักถึง ผลแห่งการทำลายล้างโลก จักรวาล ดาราจักร และเอกภพแห่งนี้เป็นสำคัญ อย่างน้อยที่สุด จงเหลือพื้นที่บนดาวดวงนี้ให้ลูกหลาน เด็กเล็กๆ ทั้งหลาย ที่บริสุทธิ์ให้สามารถต่อมีลมหายใจของตน เพื่อการเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ต่อไปด้วยเถิด

    ทั้งหลายทั้งมวลเหล่านี้ข้าได้สัญญาณมาส่งถึงมนุษย์ทั้งหลายให้ตื่น และจงตื่นขึ้นมาสร้างสมดุลแห่งสนามพลังงานแห่งธรรมชาติ ที่เรียกกันว่า Natural Morphic Field โดยการคิดเห็นจริงจากการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน เป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้

    ๑. เส้นแรงสนามแม่เหล็กของโลกขาดและมีการสะบัดของเส้นแรงตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวแผ่นดินยุบ มีพายุที่รุนแรงขึ้น เกิดขึ้นในพื้นที่เดิม และพื้นที่ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน เกิดคลื่นยักษ์ถล่มมนุษย์ที่มีกรรมหนักให้ร่างจมลง จบชีวิตก่อนกำหนด
    ๒. มนุษย์พบเห็นว่าดาวศุกร์มีความสว่างมากขึ้น เสมือนดวงดาวนี้มีขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจากโลกปรับตำแน่งของตนคือแกนขั้วของโลกเปลี่ยนแปลงองศาไปนั่นเอง เพื่อให้ตนนั้นสมดุลให้มากที่สุด
    ๓. มนุษย์จะสามารถพบเห็นค้นพบดวงดาวมากขึ้นในขณะนี้ และพบดาวดวงเล็กๆ มากมาย จากการทำมุมของโลกกับดวงอาทิตย์นั้นเปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง เป็นสัญญาณบอกถึงการเปลี่ยนตำแหน่ง และการหมุนรอบดวงอาทิตย์ และการหมุนรอบตัวเองของโลกใบนี้ที่เปลี่ยนไป มีผลต่อปฏิทินของโลกที่มนุษย์ใช้อยู่ ขาดความเที่ยงตรง ปี ๒๕๔๓ เป็นต้นมาโลกค่อยๆ หมุนรอบดวงอาทิตย์ จนปีปัจจุบัน ๒๕๕๐ การหมุนครบรอบ ๑ ครั้ง เป็นเวลาตามปฏิทินมนุษย์จำนวน ๓๕๔ วันเท่านั้น
    ๔. การพบเห็นมนุษย์ต่างดาวน้อยลงกว่าเดิม ด้วยมนุษย์ต่างดาวสำรวจโลกใบนี้ประมาณ ๓๐๐ ปีที่แล้ว และพบว่าโลกนี้กำลังพบกับมหันตภัยล้างโลก จึงเดินทางกลับไป เป็นส่วนใหญ่ หลงเหลือแต่ผู้ที่ไม่สามารถเดินทางกลับได้ ด้วยยานสำหรับการเดินทางเสื่อมสภาพลง

    ๕. โลกเผชิญกับภาวะโลกร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วจากความร้อนบนพื้นผิว เนื่องจากความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่มีสาเหตุจากโลกมีป่าไม้ลดลงมาก มีก๊าซบางชนิดทำลายชั้นบรรยากาศ

    ๖. โลกเผชิญกับภาวะโลกร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วจากความร้อนใต้พื้นพิภพ เนื่องด้วยน้ำมันดิบ ที่หล่ออยู่ใต้ผิวโลก มีหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อนระหว่างชั้นใต้ผิว จนถึงแกนโลกกับพื้นที่ผิวโลก เมื่อน้ำมันใกล้หมดลง หมายถึงความร้อนจากใต้พิภพ ก็ผุดขึ้นมาแล้ว มีพลังงานความร้อนประทุขึ้นมา มากกว่าที่ได้รับจากความร้อน จากบนผิวเปลือกโลกมากมายนัก ทุกคนใช้น้ำมัน ดังนั้นทุกคนทำให้ความร้อนผุดขึ้นมา ร่วมกัน อีกสาเหตุหนึ่งการใช้เครื่องจักรหนัก การระเบิดหิน การขุดเจาะพื้นหินแข็ง มีผลให้เกิดรอยรั่วรอยร้าวของแผ่นหินกันความร้อนภายใต้พิภพ ความร้อนผุดขึ้น จากใต้พิภพอย่างมากมายเช่นกัน สุดท้ายแสดงด้วยหิมะบนที่สูงและภูเขาน้ำแข็งละลาย


    ๗. สัตว์ใต้ผิวโลกและบนผิวโลกเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

    ๗.๑ สัตว์ใต้ทะเลลึกหนีความร้อนขึ้นมาอาศัยบริเวณน้ำตื่นหรือชายฝั่ง เช่น ปลาโบราณ ปลาหมึกขนาดใหญ่ ปูน้ำลึก การเข้ามาเกยตื้นของสัตว์น้ำหลายชนิด เป็นต้น

    ๗.๒ สัตว์ที่อยู่ใต้พื้นดินทำรังหรือขุดรูที่ตื่นขึ้นและบางชนิด เริ่มอาศัยอยู่บนผิวดิน หรือโพรงไม้ เช่น ตุ่น งูบางชนิด และยังมีพิษมากขึ้นด้วย เป็นต้น

    ๗.๓ สัตว์พาหะนำโรคเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เพื่อรับเชื้อโรคที่รุนแรงมากขึ้น ยุงบางชนิดบินได้สูงขึ้น รับเชื้อไวรัสที่กำลังปรับตัวให้สามารถทำลายมนุษย์ทั้งโลก ได้อย่างเฉียบพลันในอนาคตอันใกล้นี้ หนูมีขนที่เริ่มตั้งขึ้นวิ่งเร็วขึ้น มีอาการตกใจมากขึ้น เพื่อรอรับเชื้อกาฬโรคสายพันธุ์ใหม่เช่นกัน ริ้นทะเลและตัวคุ่น (ภาษาภาคเหนือ) คือ แมลงวันดูดเลือดเพิ่มขีดความสามารถในการขยายพันธุ์ และกำลังปรับตัวให้อาศัยอยู่ได ้ในพื้นที่กว้างขึ้น สัตว์ทั้งหมดบนโลกนี้ก็กำลังปรับตัวเพื่อการมีชีวิตรอดเช่นกัน โดยสัตว์มีความสามารถที่จะรับรู้ข่าวสาร จากสัญญาณธาตุรู้ของจักรวาลได้โดยตรง ไม่ต้องแปลออกมาเหมือนที่ให้มนุษย์อย่างนี้

    ๘. มนุษย์มีอารมณ์รุนแรงขึ้นทุกคนทั่วโลก มีการตายด้วยวิธีแปลกๆ และเป็นกลุ่มใหญ่เป็นหมู่คณะทั้งกระทำเองและธรรมชาติลงโทษ มนุษย์มีวิธีเอาเปรียบกัน เบียดเบียนกันที่รุนแรงและใช้ศาสนาเป็นอาวุธในการทำสงครามไปทั่วโลกแล้วขณะนี้ สุดท้ายมนุษย์ทำร้ายตนเองจนสิ้นโลกไปด้วยสภาวะยุคน้ำแข็ง หรือไม่ก็ความร้อนใต้ผิวโลกร้อนจนพืชสัตว์ตายไปจนหมดและมนุษย์กินกันเอง จนสิ้นทุกตัวตนด้วยโรคร้ายเป็นวาระสุดท้ายของยุคนี้อีกเพียง ๑๐-๑๑ ปีเท่านั้น

    ๙. มนุษย์มีความต้องการเสพในวัตถุที่ตนมองเห็น หรือสัมผัสได้มากขึ้นๆ โดยไม่สนใจ ความเที่ยงธรรม และความสมดุลบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง แต่ในขณะเดียวกัน มนุษย์มีความเข้าใจพลังงานแห่งธรรมชาติน้อยลงๆ เช่นกัน เป็นสาเหตุจากการปรับ สภาพแวดล้อมเข้าหาตนอย่างเดียว จนสัญชาตญาณของตนพิการใช้งานไม่ได้ สุดท้ายมองสิ่งที่มีชีวิตอื่นในแง่ร้าย และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเท่านั้น

    ๑๐. เกิดภัยพิบัติต่อไปนี้บนโลกนี้ทุกวัน เช่น แผ่นดินไหว แผ่นดินยุบ แผ่นดินแยก มีพายุ ลมฝนฟ้าคะนองรุนแรง น้ำอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ เป็นสัญญาณเตือนมนุษย์ให้ระวังไว้ว่า เหตุมหันตภัยครั้งยิ่งใหญ่กำลังจะมาเร็วๆ นี้ อย่างที่มนุษย์คาดไม่ถึงทีเดียว

    เพียงเท่านี้คงพอสำหรับการสื่อสารแจ้งข่าวบอกแก่มนุษย์ทั้งหลายได้ว่า มหันตภัยเกิดขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้จริงจากสัญญาณอะไรบ้าง จงตื่นมาพบกับสถานการณ์ความเป็นจริงของธรรมชาติ จงตื่นมาเพื่อค้นพบตนเอง จงตื่นมาร่วมสร้างความสมดุลของธรรมชาติ ไปกับข้าคือธาตุรู้ในทุกอณูของสรรพสิ่ง
     
  16. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    มนุษย์เป็นใคร มาเกิดบนโลกนี้ทำไม

    มนุษย์ทุกคนล้วนมีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้ จิตวิญญาณเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่สมดุลจากแดนสุญญตา
    ได้รับโอกาสมาปฏิสนธิทางวิญญาณในเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์
    ในฐานะของ นักรบแห่งแสงสว่าง บนโลกนี้โดยถือเอา พันธะสัญญา ที่ให้ไว้ต่อพ่อผู้ให้กำเนิดตนเองมาด้วย พร้อมบทละครซึ่งเขียนขึ้นมา ที่ตนต้องแสดงให้สมบทบาท หน้าที่ที่มนุษย์ทุกคนต้องทำ
    1. จะเป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก

    2. จะไม่เบียดเบียนกันเองและทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในระบบโลก

    3. จะยกระดับกาย จิตใจ และจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้

    4. จะสืบทอดเผ่าพันธ์มนุษย์โลกไว้

    5. จะทำตนเป็นเงื่อนไขด้านบวกของผู้อื่นและช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ

    6. จะนำตนเองและฉุดช่วยผู้อื่นคืนสู่แดนสุญญตาที่จากมาให้ได้

     
  17. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    สมรภูมินักรบแห่งแสงสว่าง

    ใครคือนักรบแห่งแสงสว่าง = ตัวเราเอง มนุษย์ทุกคน

    นักรบแห่งแสงสว่างจะต้องสร้างความพร้อมดังนี้

    1. มีพลังกาย

    2. มีพลังใจ(กำลังใจ)

    3. มีพลังจิตวิญญาณ
    มัชฌิมาปฏิปทา ( ทางสายกลาง ) = การทำตัวเองให้เป็นมนุษย์ที่สมดุลใน 2 มิติทั้งทางกายภาพและพลังงาน

    4. มีพลังสติปัญญา

    แสงสว่าง คือ อะไร

    แสงสว่างทางปัญญาจะต้องเริ่มต้นพัฒนาตั้งแต่ขั้นที่ 1

    1. ทำตนเองให้รู้ในสิ่งที่ตัวเองยังไม่รู้

    2. เรียนรู้ในสิ่งที่รู้ให้มากขึ้น หรือ หาความรู้เพิ่มเติม

    3. ทำตนเองให้รู้จริง - เห็นจริง

    4. ทำตนเองให้รู้แจ้ง - เห็นแจ้ง

    การสร้างพลังกาย

    1. ด้วยอาหารบริโภคและน้ำดื่ม คือ ธัญพืช น้ำนม น้ำผึ้ง น้ำผลไม้

    2. ด้วยการสั่นสะเทือนอวัยวะร่างกาย ถ้าไม่มีการสั่นสะเทือน ไม่มีพลังงานเกิดขึ้น

    3. ด้วยการพักผ่อนเมื่อเหนื่อยล้า

    4. ด้วยการไม่ทำร้ายสุขภาพของตนเอง

    การสร้างพลังใจ

    1. มีความเชื่อมั่นในตนเองว่าเราทำได้

    2. มีความมุ่งมั่นในการกระทำ

    3. มีความศรัทธาต่อทุกสิ่งที่มุ่งมั่นจะทำ

    การสร้างพลังจิตวิญญาณ

    1. ควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ได้
    จิตวิญญาณมีอารมณ์เดียว คือ ความรัก

    2. กำจัดขยะในจิตเสียให้สิ้น
    ขยะทางอารมณ์ คือ โลภ โกรธ หลง

    3. มีความรักให้ผู้อื่นเป็นอาจิณ
    คือ การให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน


    การสร้างพลังสติปัญญา

    1. รู้จักคิด

    2. ฉลาดคิด

    3. คิดให้เป็น ใช้เหตุ - ผล มีระบบขั้นตอนในการคิด
    3.1 ไม่คิดแบบจิตมนุษย์

    3.2 ไม่ตีกรอบความคิด

    3.3 ไม่กำหนดเป้าหมายในการคิด เช่น จำนวนนับ ปริมาณ

    3.4 ไม่คิดโดยยึดติดกับตัวตน เช่น ไม่มองหาตัวตนของสิ่งนั้น

    3.5 ไม่คิดทางลบ

    3.6 ไม่เบื่อหน่ายท้อแท้ที่จะคิด

     
  18. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    เจ้ากรรมนายเวรกับการล่วงพ้นพันธะสัญญากรรม

    เจ้ากรรมนายเวร
    เจ้ากรรม = สมาชิกผู้ร่วมก่อกรรม
    นายเวร = ผลกรรมที่ร่วมกระทำ

    การสร้างกรรมของมนุษย์ แบ่งได้

    1. กรรมในมิติกายภาพ หรือ ทางกาย

    2. กรรมในมิติของแก่นแท้ หรือทางจิต

    การเกิดกรรมในมิติกายภาพ

    1. การต่อสู้

    2. การตอบโต้

    3. การต่อต้าน

    4. การหลบเหลี่ยง

    การเกิดกรรมในมิติของแก่นแท้

    1. ขาดสำนึกที่ถูกต้อง

    2. การล่วงละเมิดผู้อื่นด้วยอารมณ์รู้สึกด้านลบ

    3. การก่อเกิดประจุลบตรงตาที่สาม

    4. ถ่ายทอดรหัสลบไปยังสมองซีกซ้าย

    5. ประจุลบจากสมองถ่ายสู่เม็ดเลือดแดง

    6. ผลกรรมที่จะแสดงออกทางกาย

    6.1 อายุสั้น

    6.2 กิเลส

    6.3 ปัญญาทึบ


     
  19. ปทุมารียา

    ปทุมารียา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2005
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +363
    [FONT=&quot]ขอบคุณค่ะ ที่นำมาให้อ่านค่ะ[/FONT]

    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ขอออกตัวว่ายังอ่านไม่หมด แต่หากมีเวลาจะทยอยอ่าน.... จากที่อ่าน ผู้เขียน (อ.ปริญญา) ท่านก็ออกตัวแล้วนะคะ ว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ... เพราะฉะนั้น ผู้อ่านสารก็ควรพิจารณาด้วย ... สิ่งต่างๆ มีทั้งคุณและโทษ ดังนั้น การใช้ปัญญาในการพิจารณาเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ... เลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งทีดีมาประพฤติปฏิบัติ

    จริงอยู่ที่แต่ละคนมีความสามารถในการรับรู้สารต่างกัน ความชอบต่างกัน
    แต่ [/FONT][FONT=&quot]“ความจริงคือ ความจริง” กรรมมีจริง ผลของกรรมมีจริง
    สิ่งที่อยากบอก คือ “ ไม่ควรประมาทในกรรมต่างๆ ทั้งทางกายวาจาใจ ว่า กรรมเล็กน้อยไม่ให้ผล .. บางครั้งกรรมที่ท่านกระทำด้วยไม่ตั้งใจ หรือไม่ทราบถึงผลกรรม มันอาจมีผลมากก็ได้” ... จึงอยากให้พิจารณาไตร่ตรองมากๆ[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]วันนี้ วันวิสาขบูชา... ข้าพเจ้าขอระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงฆ์คุณ และ ขอถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ..

    และขอบอกว่า สำหรับข้าพเจ้าแล้ว คำสอนของพระสัมพุทธเจ้าประเสริฐสุด ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง และไพเราะในที่สุด ทุกอย่างชัดเจนในคำสอนของพระสัมพุทธเจ้าหมดแล้ว ผู้รู้ รู้ได้เฉพาะตน ผู้ปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตน

    ปัญญาไม่เกิดแก่ผู้ไม่พิจารณา แต่การจะรู้แจ้งแทงตลอดได้นั้น เกิดจากการปฏิบัติตามหลักอริยสัจสี่ คือ มรรคมีองค์ [/FONT][FONT=&quot]8 : ซึ่งไม่ขอขยายความ (ผู้มีปัญญาย่อมตามรักษาจิต)[/FONT]


    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
    [FONT=&quot] <o></o>[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ขอฝากไวให้้พิจารณา<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][FONT=&quot]พระพุทธเจ้าชี้ชวนให้รักษาพระศาสนา เราพิจารณาแล้วปฏิบัติตามเถอะ[/FONT][FONT=&quot]

    ๗. อาณิสูตร

    [๖๗๒] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่า
    ทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมา
    โครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก
    มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟัง
    จักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษา
    แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มี
    อักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จัก
    ปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญ
    ธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ
    [๖๗๓]

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้ว
    อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธาน
    ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขา
    กล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบ
    ด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่ง
    จิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้ ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ

    จบสูตรที่ ๗

    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

    ปล. อ้างอิง จากข้อความข้างล่างนะคะ ...ที่มาของข้อเสนอแนะ ... รู้สึกว่า ...มันจะแปลกๆ หากมีเวลา ..อยากให้พิจารณานานๆค่ะ
    คือ บางทีเราไม่ตั้งใจชักชวนให้ล่วงล้ำคำสอนพระพุทธเจ้า แต่บางครั้งคำพูดที่ออกไป ...การแปลความของผู้รับสารอาจเข้าใจผิด ซึ่งอาจเป็นโทษได้ค่ะ ...


    หมายเหตุ.. หากผิดพลาดประการใด หรือ ทำให้ใครไม่พอใจก็ขออภัยด้วย

    [/FONT] ดูท่านอยู่นะครับ <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1023874", true); </script>
    สมาชิก

    <!-- message --> ขอขอบพระคุณ คุณ ชานนคนไทย

    นะครับที่ได้มาต่อเติมเสริมความรู้ แต่ความรู้ที่อาจารย์ท่านสอนมา นี้ ขอให้ค่อยๆ อ่านและค่อยๆ ติดตามไปเรื่อยๆ นะครับ
    1.ความรู้ใหม่เหล่านี้ ให้คิดและพิจารณา ตามไปก่อนครับ
    2.ความรู้ใหม่เหล่านี้ สอนมาเพื่อเสริมความรู้เก่าที่ศาสดา ได้สอนไว้บ้างแล้ว
    3.ความรู้ใหม่เหล่านี้ มาเปิดเผยให้เกิดการรู้จริง ในบางสิ่งที่มนุษย์ควรจะรู้ครับ
    4.ถ้าไม่รู้จริง คำตอบและ คำสอนคงไม่มากมายขนาดนี้หรอกครับ
    5.ความรู้เหล่านี้ ส่วนมากจะเหมาะสมกับ ฆารวาส มากกว่านะครับ

    ส่วนที่ท่านเอามาโชว์นั้น พระพุทธองค์ ท่านสอนไว้ให้พระท่านศึกษาเพื่อ นำพา จิตของพระท่านนั้นให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน พวกเราเป็นแค่ฆารวาส ไม่มีเวลาไปทำไปปฏิบัติเหมือนอย่างพระ เพราะการปฏิบัติเยี่ยงพระสงฆ์ อันดับแรกคือ ศีลต้องบริสุทธิ์ 227 ข้อ เสียก่อน การปฏิบัติถึงจะมีความก้าวหน้าได้ครับ

    ขอให้ติดตามไปเรื่อยๆ นะครับ การเผยความรู้ที่แท้จริง เพื่อนำพาท่านๆ ไปสู่การรู้แจ้ง โดยไม่ต้องไปเสียเวลาในการปฏิบัติที่ต้องใช้เวลาอย่างมากมาย ท่านอ่านตามแล้วทำความเข้าใจ ท่านจะเกิดการรู้จริงในเรื่อง นั้นๆ ไปเองครับ พอรู้มากๆ ก็จะเกิดการรู้แจ้งแทงตลอดได้แทบทุกเรื่อง ขอให้อ่านไปก่อนนะครับ

    และคำ สอนที่เป็นบาลี ไม่ควรนำมาโชว์เพื่ออวดอ้างความรู้ของท่านนะครับ ฆารวาสอย่างผม ไม่สามารถจำได้หรอกครับ และท่านอื่นๆคง ปวดหัวไปด้วย
    ขอบคุณอีกครั้งนะครับ



    stefa <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1024484", true); </script>
    สมาชิก

    [​IMG]

    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    <!-- message --> คำ สอนที่เป็นบาลี ไม่ควรนำมาโชว์เพื่ออวดอ้างความรู้ของท่านนะครับ ฆารวาสอย่างผม ไม่สามารถจำได้หรอกครับ และท่านอื่นๆคง ปวดหัวไปด้วย
    ขอบคุณอีกครั้งนะครับ
    (deejai) (deejai) (deejai) (deejai)

    คำพูดง่ายๆ ธรรมดา สื่อความหมายได้ดี
    ชัดเจน แจ่มกระจ่าง กว่าเป็นไหนๆ

    คนทุกประเภท อ่านแล้วสามารถเข้าถึงความรู้ได้ดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤษภาคม 2008
  20. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : เคยได้ยินมาว่า พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นสัตว์มาแล้วก็มี ถามว่าจิตวิญญาณมนุษย์ที่เคยเกิดเป็นสัตว์มีจริงใหม

    ตอบ : จิตวิญญาณของมนุษย์ที่เคยเกิดเป็นสัตว์ไม่ได้หมายถึงตถาคตของท่าน แต่สมัยก่อนจิตที่เคยเกิดเป็นสัตว์ไม่ใช่เป็นจิตวิญญาณแต่เป็นจิตหยาบ จิตหยาบของมนุษย์เราที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ แต่เดิมมาจากเดรัจฉานทั้งนั้น สำหรับมนุษย์เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว จิตวิญญาณของมนุษย์มีโอกาสจะกลับไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ ถ้า
    1. มีความใกล้ชิดผูกพันธ์กันลึ้กซึ้งถึงจิตวิญญาณมาก

    2. ทำจิตสำนึกของตัวเองให้ต่ำลงๆ จนใช้จิตหยาบสัญชาติญาณของเดรัจฉาน จิตวิญญาณของท่านก็จะได้รับการถ่ายทอดคลื่นพลังงานที่เป็นคุณสมบัติของจิตหยาบที่เป็นเดรัจฉาน ที่ใช้แค่สัญชาติญาณอย่างเดียวซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์หยาบๆที่เต็มไปด้วย กิเลส ตัณหา มนุษย์ที่มีจิตวิญญาณเช่นนั้นมีโอกาสกลับไปหาความเหมาะสมของสัตว์เดรัจฉานได้เช่นเดียวกัน โลกมนุษย์ปัจจุบันถ้าไม่ได้รับการแก้ไขปรับปรุงจิตสำนึก มีโอกาสที่จิตวิญญาณจะตกต่ำลงเช่นนั้นมากทีเดียว
     

แชร์หน้านี้

Loading...