ลุงเทพอภิบาลลุงเป็นใครค่ะ?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย dakini, 21 กันยายน 2012.

  1. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เห็นแล้วให้นึกถึง เป็นหนังสืออีกเล่มที่ ทั้งขีดทั้งเขียน แล้วยกมาอ่านซ้ำๆ
    เลยต้องลองไปคุยกองหนังสือมาเปิดอีกรอบ
    ...เมื่อรู้สึกว่ามีกิเลสก็จงมี เมื่อโกรธก็จงโกรธ แต่จงเฝ้ามองดูมัน หยอกล้อกับมัน แสวงหาความจริงจากมัน เพราะถ้าเธอไปกดมันไว้ ถ้าเธอบอกกับตัวเองว่า "ฉันจะโกรธไม่ได้ ฉันมีกิเลสไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ผิด" ถ้าเธอคิดดังนั้น จิตใจของเธอก็จะถูกจำกัดไว้ด้วยแวดวงแห่งความคิด และความนึกคิดของเธอเหล่านั้นก็จะกลับตื้นเขิน เธออาจจะฉลาดมาก อาจจะมีความรู้ครอบจักรวาล แต่ถ้าไร้ซึ่งพลังแห่งความรู้สึกอันลึกซึ้งและดื่มด่ำเสียแล้ว ความเข้าใจของเธอก็จะเป็นเหมือนดอกไม้ที่ไร้กลิ่นหอม...
     
  2. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ไอ้เล่มที่เอามาลงๆๆ กันนี้เป็นเรื่องแรกๆๆๆ ของไอ้คุณพจนาแกนั้นแล วิถีแห่งเต๋านี่สมัยยังเรียนที่ธรรมศาสตร์ จ๊ะแปลจากภาษาอังกฤษเล่มแรกๆๆแล
    ที่แปลมาตอนนั้นขายดีมาก จนแปลกใจ แต่ก็นั้นแลหนังสือขายดีไม่จำเป็นต้องดีจริงจึ่งมิได้ภูมิใจแต่อย่างใด
    ส่วนอินเดียแดงไอ้เจ้าคุณพจนาไม่เคยแปลจ๊ะ มีแต่ให้น้องๆๆเขาแปล แลแก้ไขให้นิดๆๆหน่อยๆๆ มิอ้างคุณความดีดอก
    ส่วนเรื่องกฤษณมูรติ มันคงไปปลุกวิญญาณขบถในตัว เหล่าๆๆหนุ่มหัวเทาเลาๆๆ แล้วสิท่า เหมือนครั้งกระนั้นละสิ
    ลุงเห็นขุดขึ้นมา นะ ก็นอกจากเล่มแด่หนุ่มสาวก็แปลเล่มบันทึกเอาไว้อีกเล่ม ปัจจุบันไอ้คุณพจนาหันมาจับงานทิเบตของตรุงป้่าอยู่จ๊ะ
    ล่าสุดก็มหาบรูพาสูรย์ที่พึ่งแปลไป........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กันยายน 2012
  3. Jaithai

    Jaithai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +13
    เป็นว่าวันหนึ่งข้าพบว่า
    เรื่องราวเกี่ยวกับตัวข้ามันไร้สาระ ข้าก็เลยโยนมันทิ้งไป

    ถ้าอยากโยนทิ้งมั่ง ต้องทำยังไงคะ
    ตอนนี้จะครึ่งคนแล้ว ยังหาสาระและตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไม่เจอเลย
    (การศึกษาทุกด้านน้อยค่ะ)
     
  4. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    มันไม่ได้อยู่ที่การศึกษานั้นมากนั้นน้อยดอกอีหนู ยิ่งศึกษาจนรกมันก็ยิ่งละเลือนอีหนู มันยิ่งรู้นั้นนี่ มันก็ยิ่งมีสิ่งที่มันหลอกตัวเองว่าเป็นนั้นเป็นนี่เยอะตามอีหนู ทีนี้พอถึงที่สุดมันก็จักงง เอาตีนก่ายหน้าตัวเองว่า ตกลงกูเป็นใครว่ะนี่ เอ็งเข้าใจไหม?ที่ข้าพูดนี่ ถ้าไม่เข้าใจก็ลืมๆๆมันไปเถิดอย่าเสียเวลาเลย... ยิ่งมันมีสิ่งที่มันคิดว่ามันเป็นเท่าไหร่มันยิ่งสับสน เช่นสมมุติว่า เอ็งเรียนมาหลายด้าน เอ็งก็จักสับสนว่าเอ็งเป็นอาชีพไหนกันแน่ เช่นเป็นวิศวะ เป็นหมอ เป็นจิตรกร เป็นนั้นนี่ และสุดท้ายมันก็จักสงสัยว่าื หรือเป็นมันหมดเลยหว่า..... ไม่มั๊งใครมันจักเป็นหมดนั้นได้ มันต้องมีสักอย่างสิที่คือเรา

    นั้นแล อันที่จริงของจริงมันจะซับซ้อนกว่านี้เพราะคนๆๆหนึ่งๆๆ หรือ ปัจเจกบุคคลหนึ่งๆๆมันมีหลายสถานภาพ แล บทบาทซ้อนทับกันอยุ่ แต่นั้นแล หลายๆๆคนมักคิดว่าคนที่ไม่มีความรู้ ไม่ได้จบมหาลัยดีๆๆมีชื่อเสียนั้นแลเป็นคนโง่ ไม่ก็ ถ้าจบที่เมืองไทยไม่จบที่มหาลัยชั้นนำของเมกาก็ถือว่าแค่กึ่งดิบกึ่งดีเท่านั้น ถ้าถามเรื่องนั้นนี้แล้วตอบไม่ได้นี่เรียกไม่มีปัญญา นี่มันเลอะเทอะปัญญากับความรู้มันเป็นคนล่ะเรื่อง คนที่ตรงตามมาตรฐานของสังคมอาจจักมีความฉลาดแบบผิดทางก็ได้ คือคนพวกนี้อาจจักไม่รู้จักว่าจักรักได้อย่างไร? จักแบ่งปันได้อย่างไร? จะขึ้นเหนือตัญหาได้อย่างใด? จักเบิกบานอย่างแท้จริงในทุกๆๆลมหายใจเข้าออกได้อย่างไร? สิ่งเดียวที่คนพวกนี้รู้ก็อาจจักเป็น จะเอาเปรียบแลหาประโยชน์กับผู้อื่นเพื่อตัวของเขาเองได้อย่างไร? ทำนองนี้แล
    คนที่ฉลาดไม่จำเป็นต้องมีความรู้เยอะดอก อีหนู อย่างคนที่รู้พระไตรปิฏกทั้งเล่มแต่อาจจะไม่ได้รู้พระพุทธศาสนาดีกว่าคนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ก็ได้ืตัวอย่างนั้นมีอยู่มาก ที่มีปราชญ์ทางศาสนาที่ไม่รู้หนังสือ แต่กับรุ้หัวใจของพระศาสนา เพราะ ความจริงนี่มันไม่ได้อยู่ในตำรานั้นๆๆดอก มันก็แค่เป็นบันทึกของถ้อยคำที่พยายามจะใช้ชี้บอกความจริง หาใช่ตัวความจริงไม่ แลลางทีก็อาจจักเป็นความเท็จเสียด้วยซ้ำ อันที่จริงมนุษย์ไม่อาจจักหาความจริงได้ที่ไหนดอกนอกจากในชีวิตประจำวันของเขานี่เอง แลไม่มีใครค้นพบมรรคาดอกมีแต่คนที่ค้นพบว่าแท้ที่จริงแล้วจิตวิญญาณของตนนั้นดำเนินอยู่บนมรรคาอยู่แล้วนั้นแล ไอ้จิตที่ไร้เดียงสาไม่แบกข้อมูล และ ไมู่รู้อะไรมาก แต่ซื่อ แลฉับไว นั้นแหละ จึ่งจะเป็นจิตที่มีปัญญาจริงๆๆและพบกับสัจจะได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะมันไม่ได้มีกรอบที่ขีดไว้สำหรับความเข้าใจ ที่มันอาจจักหยั่งวัดไปได้ถึงจึ่งไร้ซึ่งขอบเขต แลอาจหยั่งวัดสิ่งที่เรียกกันว่านิรันดร์ภาพ

    แต่ไอ้เจ้าความฉลาดมันก็มักจักพูดว่าแกไม่รู้ แกก็จะโง่ ดังนั้นจงเรียน และ เรียน เสพข้อมูลให้มากที่สุดเพื่อเพิ่มพูนภาพลักษณ์ของตัวตน และแล้วมันก็จักเฉื่อยชาแลก็ถูกข้อมูลทับตาย มันย่อยเอามาใช้ไม่ทันดอกอีหนู ก็เหมือนไอ้โรงเรียนทุกวันนี้แลหลักสูตรครอบจักรวาล ไอ้ที่เอ็งเอามาใช้จริงๆๆมันจักสักแค่ไหนเชียวอีหนู แลไอ้กระดาษแผ่นเดียวมันดีแล้วหรือที่เอามาใช้หยั่งวัดคุณภาพหรือศักยภาพของคน ช่างเหลวไหลยิ่งนักใครล่ะจักบอกได้ ผู้รู้ใดจักบอกได้ว่ามนุษย์คนหนึ่งมีศักยภาพแค่ไหน? ก็ในเมื่อแม้แต่พระพุทธเจ้ามนุษย์ทุกคนก็มีศักยภาพที่จะพาตัวเองไปถึงจุดนั้นได้ ไอ้ข้อมูลที่เอ็งจำๆๆไว้นี่ส่วนใหญ่เอ็งไม่ค่อยได้เอามาใช้ดอก แลต่างคนก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ข้อมูลชนิดนั้นๆหากินต่างๆๆกันไปนั้นแล

    ส่วนเรื่องจักโยนทิ้งอย่างใด? ข้ามิรู้ดอก เพราะมันเหมือนวันหนึ่งเอ็งเห็นความไร้สาระของการดูดบุหรี่ เอ็งก็โยนมันทิ้งไปไม่สนใจมันอีก ไม่หยิบมาสูบอีกนับสิบปี นั้นแล ดั้งนั้นมันจึ่งขึ้นอยู่กับว่า เอ็งเห็นหรือไม่ เกี่ยวกับทุกๆๆสิ่งที่หลอมรวมขึ้นมาเป็นตัวเอ็งนี่ว่ามันเป็นความจริงแท้จริงๆๆ หรือเป็นเพียงมายาภาพ หรือว่าแม้แต่กระทั้งเจ้าตัวมายาภาพนั้นมันก็หามีอยู่จริงไม่ เรื่องนี้เอ็งต้องค้นหามันด้วยตัวเองอีหนูไม่มีใครบอกเอ็งได้ดอก ผู้นำทางที่ดีไม่ใช่คนที่ให้สูตรสำเร็จ หรือมอบปัญญาของเขาให้ใครได้ดอก แต่เขาจักต้องเป็นเพียงแค่ผู้ที่ให้ความรักและความเชื่อใจในคนที่ตามเขาต่างหาก แลเขาจักต้องเป็นผู้ที่ช่วยให้คนเหล่านั้นได้หยั่งทราบความลับในดวงใจของเขาด้วยตัวเขาเอง เพราะ ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถเปิดเผยสิ่งใดแก่ผู้อื่นได้ นอกจากสิ่งนั้นจะนอนเนื่องอยู่แล้วในดวงหทัยของคนเหล่านั้น แลปีกที่คนๆๆหนึ่งใช้โบยบินนั้นก็มิอาจจักมอบให้คนอื่นใช้เพื่อโบยบินได้ มนุษย์นั้นจักเริ่มเข้าใจตัวเองได้ ก็ต่อเมื่อเขาเริ่มที่จะสังเกตุตัวเอง โดยไม่ต่อต้านบิดเบือนมัน และ ทบทวนตัวเองอย่างต่อเนื่องทุกเมื่อเชื่อวันโดยจักต้องไม่สะสมอีหนู แล เขาจักทำเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อ เขาจักต้องสลัดทิ้งความกลัวเสีย นี่คือเรื่องที่สำคัญมากผู้คนมักคิดว่าเขารู้จักตัวเขาเองแต่จริงๆๆเขาไม่รู้ดอก ไม่ก็อยากรู้แต่กลัวว่าพอรู้ขึ้นมาจริงๆๆแล้วฉันจะไม่ใช่ในสิ่งที่ฉันเคยคิดว่าฉันเป็นมาก่อน ดังนั้นเขาจึ่งพูดว่าฉันอยากรู้จักตัวเองแค่เพียงให้ดูดีทางโวหาร อันที่จริงแล้วหาได้เป็นจริงดังปากว่าไม่ นั้นแล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กันยายน 2012
  5. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    สาธุ..............คุณลุง

    ลัทธิชั่วอนุตรธรรม

    พระโอวาทรัชกาลที่ 5 (อู่ซื่อหวัง)

    ชั้นจ้งเหอปัน วันเสาร์ ที่ 5 พฤศจิกายน 2554

    ณ สถานธรรมจี้ฉือ อ.พังโคน จ.สกลนคร
    (โอวาทภาษาจีน) ยรื่อจือ เจี่ยนตัน ผูซู่เจี๋ยเจี่ยน เซิงหัวเหม่ยเฉว จื้อหว่อ เยาฉิว

    สือไต้จิ้นปู้ สือเจียง ชุยชู่ ป่าว่อตังเชื่ย กั่นเอินจือจู๋

    (แปล) ง่ายไว้ในทุกวัน สมถะประหยัด ความเป็นอยู่เรียบง่าย เรียกร้องจากตนเอง

    ยุคแห่งความเจริญ เวลาช่างเหลือน้อย รักษาทุกขณะ สำนึกคุณ รู้จักพอ

    เราคือ

    องครักษ์ ติดตามพุทธะจี้กง สนองพระบัญชา

    พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน กชกร

    องค์อนุตตร อมตพฤกฒา ถามปราชญ์เมธีทุกท่าน เกษมฤา

    ท่านทั้งหลาย สุขกายสุขสบายใจ ดีไหม บำเพ็ญธรรมะ เป็นเรื่องในชีวิตประจำวันที่เราทุกคนต้องปฏิบัติกันอยู่เป็นประจำ ถือว่าเป็นเรื่องยุ่งยากต่อชีวิตของพวกเราใช่ไหม (ไม่ใช่) เวลาล่วงผ่านไปเร็วเหลือเกิน สิบปีผ่านไป ที่เราเคยปรากฏกายในวันที่ขอรับวิถีธรรมวันนั้น ก็ได้เคยกล่าวต่อทุกๆท่านแล้วว่า ข้าพเจ้า ในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าทิ้งกายสังขารไปกว่าหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ไม่อาจทิ้งพวกเราที่เปรียบเสมือนเช่นเป็นลูก เป็นหลาน ประชาชนที่รัก จำได้ไหมสิบปีก่อน ข้าพเจ้าเคยพูดถึงว่าภาระหน้าที่ในการที่จะช่วยให้ กรุงเทพมหานครนั้น ได้ผ่านพ้นวิกฤติน้ำท่วม สิบปีผ่านไป เหตุการณ์ที่เคยได้กล่าวล่วงหน้าไว้แล้วถึงสิบปี ได้ปรากฏต่อหน้าทุกๆท่าน ในวันนี้ หลายๆคน รู้แล้วว่าข้าพเจ้าเป็นใคร หลายๆคนที่ไม่เคยพบ ก็อาจจะยังสงสัย เราท่านทั้งหลายต่างสักการบูชาข้าพเจ้า ต่างสรรเสริญเรียกข้าพเจ้าว่า เสด็จพ่อ ร.5



    ทุกๆคนดู ณ วันนี้ แผ่นดินเกิดภัยพิบัติ มหันตภัยใหญ่คุกคามชีวิตของประชาชนทั้งหลาย โดยท่านทั้งหลายคิดว่า ตัวข้าพเจ้าอยู่เบื้องบนนั้น จะมีความสุขสักเพียงใด แท้ที่จริงแล้ว เหตุการณ์อุทกภัยในครั้งนี้จะคร่าชีวิตผู้คนอย่างมหาศาล แต่เป็นเพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนเมตตา พวกเราผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลายที่มีจิตศรัทธา กราบวิงวอนขอต่อเบื้องบน สวดมนต์อุทิศบุญกุศลให้กับผู้ประสบภัย นั้น จริงๆแล้วในวันนี้ กรุงเทพมหานครหรือประเทศสยาม คงจะไม่ใช่เจอภัยที่ค่อยๆ คืบคลานมาอย่างเรียกว่า ยังมีโอกาสป้องกันได้ แต่ที่จริงแล้ว มวลน้ำมหาศาลนั้น จะถล่มมาทีเดียวเลยก็ได้ แต่เป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มิอาจทนดูพวกเราประเทศสยาม ผู้ซึ่งมีจิตเป็นพุทธะ ต่างนับถือพระพุทธศาสนา มีจิตที่เมตตา ไหว้พระสืบต่อกันมานาน วันนี้จึงค่อยๆ ค่อยๆ เข้ามาด่านแล้วด่านเล่า ให้เรานั้นยังมีโอกาสเตรียมรับมือ ให้ผู้คนนั้นยังมีโอกาสอพยพหนีตาย เราที่นั่งอยู่ตรงนี้ทุกๆท่าน อย่าได้มองดูว่า ภัยนั้นเป็นเรื่องธรรมดา หากมิใช่ความเมตตาของเบื้องบน วันนี้ กรุงเทพมหานครคงจมอยู่ใต้บาดาลแล้ว ทุกคนจะยังวันนึงผ่านวันนึง ไม่บำเพ็ญได้อยู่ไหม ดิน น้ำ ลม ไฟ มหันตภัยทั้งสี่นี้ ประเทศบ้านเมืองเราก็ได้พบ ปีแล้วปีเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งที่ไม่เคยเกิด ก็ได้เกิด สิ่งที่ไม่เคยเห็น ก็ได้เห็น ผู้คนต่างลุกขึ้นมาตีรันฟันแทง ทะเลาะเบาะแว้งกันเอง คนในชาติก็ยังอย่างนี้แล้ว แล้วเราจะยังมีความเข้มแข็งอะไรที่จะไปปกป้องประเทศชาติ ไม่ให้ชาติอื่นเข้ามารุกรานประเทศเรา จริงอยู่ ในการบำเพ็ญธรรม ไม่ได้มาพูดถึงเรื่องที่จะต้องให้ประเทศชาตินั้น ได้เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ เป็นประเทศที่เป็นมหาอำนาจ เราเองนั้นก็ไม่เคยคิดที่จะยึดเอาอำนาจของความเป็นพระเจ้าแผ่นดินนั้น มารังแกประชาชน ประเทศไทยปัจจุบันเป็นอะไรไปแล้วหรือ ในแผ่นดินของเรานั้น มีการเลิกทาสให้ทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่ให้ยึดถือยศถาบรรดาศักดิ์ แต่ไม่ว่ายุคใดสมัยใด ก็ยังมีที่หลงอำนาจ ขาดคุณธรรม ถามพวกเราหน่อยว่า มีชาติไหน ประเทศไหน ที่มีผู้ปกครองประเทศที่ไร้ซึ่งคุณธรรม แล้วนำพาประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองได้บ้าง (ไม่มี) ประวัติศาสตร์ชาติไทยแต่โบราณ เราทุกคนก็ล้วนแล้วแต่รู้ดีเป็นอย่างยิ่ง (คุยกับอาจารย์หลิวเหล่าเตี่ยนฉวนซือ) ทุกคนเชิญนั่ง

    ตั้งแต่ยังไม่มีโลก ยังไม่มีกำเนิดฟ้า กำเนิดดิน จนกระทั่งกำเนิดฟ้ากำเนิดดิน มีสามบูรพกษัตริย์ 5 มหาราชันย์ ปกครองประชาราษฎร์ด้วยเมตตา ด้วยคุณธรรม การสืบทอดราชสมบัติ ก็คือ จะต้องสรรหาคนดีมีคุณธรรม มาสืบราชบัลลังก์ปกครองประเทศชาติ ยุคสมัยก็เปลี่ยนไป จิตใจผู้คนก็เปลี่ยนตาม ผู้ที่หลงในอำนาจ ทรัพย์สิน ต่างก็ใช้อำนาจของตนนั้นมาซื้อใจของผู้คน ไม่ใช่เพียงแค่ปัจจุบัน ตั้งแต่อดีตโบราณก็เป็นเช่นนี้ แต่ก็เพราะว่าคนดียังหลงเหลืออยู่ในแผ่นดิน ประเทศชาติจึงสามารถยังคงอยู่จนมาถึงปัจจุบันได้ พวกเราทุกคนมีจิตสำนึก ในบุญคุณของบูรพกษัตริย์ไทย ผู้เสียสละชีวิต ยอมอุทิศกาย ทหารหาญกล้าทั้งหลายต่างยอมพลีชีพเสียเลือดเสียเนื้อ ปกป้องแผ่นดินนี้ไว้ เพื่ออะไรกัน บำเพ็ญธรรม หากเราไม่มีความจงรักภักดีต่ออาณาจักรธรรม อยากรู้ อยากเห็น อยากลอง ไปบำเพ็ญผิดเพี้ยน ก็ทำให้เรานั้น ถูกตัดสายทองออกไปโดยไม่รู้ตัว วันนี้ในใจของพวกเรานั้นคิดอะไรกัน อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นกับเรา ทุกวันนี้นำความศรัทธาจริงใจมาบำเพ็ญกันแล้วหรือ มีแต่สร้างบุญแต่ภายนอก โลภหลงในบุญกุศล แก่งแย่งกันเพื่อจะเป็นที่รักของใคร เวลาสิบปีในโลกมนุษย์ เราบำเพ็ญขัดเกลาตัวเองอยู่เบื้องบน เวลาแค่สิบวัน ยาวนานไหม สิบวันของเราเท่ากับมนุษย์โลกสิบปี สิบวันของพวกเราพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว สิบปีของท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ตรงนี้ บำเพ็ญมามากกว่าสิบปีก็มี ยี่สิบปีก็มี บำเพ็ญภายในได้ถึงขั้นไหนกันแล้ว ทุกๆวันที่ทำงานตั้งแต่เช้าตราบกระทั่งพักผ่อน สายตาของเราก็มองแต่เพียงข้างนอก สิ่งที่เราเห็นเป็นรูปธรรม เราจึงลงมือไปทำกัน แต่สิ่งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อริยะเจ้าเพียรพร่ำสอนบอกกล่าวพวกเรา จะต้องบำเพ็ญคุณธรรมภายใน พวกเราได้ใส่ใจกันเท่าไหร่ เรารู้หรือไม่ว่า วันนี้ที่ประเทศไทยได้มีส่วนเล็กส่วนน้อยที่รอดพ้นจากภัยพิบัติมาได้ ยื้อเวลาที่น้ำไม่ต้องเข้ามาโถมกระหน่ำทีเดียวให้ผู้คนล้มตายนั้น ก็เป็นเพราะว่าจิตเมตตาของพวกเรา ที่แสดงออกมาเพียงเล็กน้อย สามารถทำให้ผู้คนรอดพ้นจากความตายได้อย่างมากมายเหลือเกิน แล้วทำไมเราไม่มีความเพียรที่จะบำเพ็ญจิตข้างในของเราให้มันมากกว่านี้หล่ะ คุณธรรมของเรา ทำไมไม่ฝึกฝนให้มันมากกว่านี้หล่ะ เวลาไม่คอยใครแล้ว ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้านั้นก็ร้อนรนใจ เฝ้าเพียรวิริยะฝึกฝนตนเพื่อที่จะใช้สิ่งที่ตัวเองเพียรบำเพ็ญอยู่ ได้มากอบกู้ประเทศชาติให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ แต่แรงของคน คนเดียว มันไม่สู้กับคนทั้งชาติร่วมใจร่วมพลังกันหรอก เราท่านที่รู้หลักธรรม รู้ถึงคุณประโยชน์ในการบำเพ็ญธรรม ทำไมท่านทั้งหลายจึงไม่ร่วมช่วยกัน เราล้วนแล้วแต่เคยฟังตำนานของวีรบุรุษผู้กล้าหาญไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดก็ตาม ประเทศชาติตกต่ำจนถึงที่สุด ก็จะมีวีรบุรุษผู้กล้าหาญลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อที่จะขับไล่ทรราชให้ออกไปจากแผ่นดิน วันนี้เราไม่ต้องไปถือดาบตีรันฟันแทงกับผู้ใด ขอแค่บำเพ็ญที่ใจของเรา เอาอุปนิสัยความเคยชิน ความโลภของเรา ความโกรธของเรา ความหลงของเรา ละให้มันลดน้อยลงไป ก็สามารถที่จะมีบุญกุศลนั้นมาหนุนส่งให้ประเทศชาติรอดพ้นจากภัยในครั้งนี้ได้ ชีวิตประจำวันที่เราบำเพ็ญอยู่ ต่างกินอยู่กันอย่างเรียบง่าย ขอแค่เรานั้นอาศัยเวลาเพียงเล็กน้อยในการศึกษาหลักธรรม ฝึกฝนเพียรขจัดขัดเกลาจิตตัวเองให้มันผ่องใสแค่นั้นเอง เวลาที่เหลืออยู่ของเราท่านทั้งหลาย มิอาจมีใครหยั่งรู้ได้ เราจะมีความสุขอันจอมปลอมบนโลกใบนี้ซักกี่มากน้อย ในเมื่อความสุขที่มันไม่จีรังยั่งยืน มันอยู่กับเราได้พริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไป ในเมื่อสุขก็ผ่านไปแล้ว ทุกข์ก็พบเจอแล้ว ท่านทั้งหลายจะอดทนฝึกตนเองทนกับความทุกข์อีกหน่อยไม่ได้หรือ ทนกับคำครหานินทาอีกนิดนึงได้ไหม หากไม่ใช่พวกเราศิษย์อนุตตรธรรม ศึกษาธรรมะ บำเพ็ญปฏิบัติฉุดช่วยผู้คนแล้วหล่ะก็ วันนี้ประเทศชาติคงไม่อาจที่จะยืนหยัดอยู่จนทุกวันนี้ได้ การสืบสันติวงศ์จะสามารถสืบต่อหรือไม่นั้น เราไม่ต้องไปพูดถึง เพียงแค่ว่าวันนี้ เราเป็นผู้บำเพ็ญธรรม หน้าที่ของเราก็คือ ฉุดช่วยผู้อื่น ฉุดช่วยตัวเอง นำเอาคุณงามความดีในตัวของเรานั้น ไปซาบซึ้งสะเทือนใจให้ผู้คนได้เปลี่ยนแปลงแก้ไข วันนี้ประชาราษฎร์ถูกกลืนกินไปด้วยอำนาจแห่งเงิน พวกเราทุกคนก็ต่างหลงอยู่ในอำนาจของเงินทองใช่ไหม พวกเราทุกคนนั่งอยู่ตรงนี้ซื้อได้ด้วยเงินใช่ไหม (ไม่ได้ค่ะ/ครับ) แต่ผู้ที่หูหนวก ตาบอด ก็ถูกอำนาจแห่งเงินนั้น ปิดหูปิดตา

    อารมณ์โกรธ เราท่านทั้งหลายมี ตอนที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ในบางครั้งบางคราวก็มีความโกรธ โกรธในสิ่งที่ไม่ถูกตา ไม่ถูกใจ แล้วสุดท้ายเป็นยังไง สุดท้ายก็ยังต้องมาเคี่ยวกรำ ในยามที่ไม่มีกายสังขาร ฝึกฝนบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ง่ายๆ ความโกรธทุกคนมี โกรธแล้วทำลายอะไร (บุญกุศล) ความโกรธเปรียบเหมือนกับเปลวไฟใช่ไหม เผาผลาญบุญกุศลใช่ไหม (ใช่) แต่ที่เห็นได้ชัดเจนนั้นก็คือ โกรธแล้วก็ทำร้ายร่างกายตัวเอง ทำให้สุขภาพย่ำแย่ โกรธแล้วทำไม อวัยวะในร่างกายตรงไหนได้รับความโกรธของเรามากที่สุด มีทั้งตับ มีทั้งหัวใจ ผลข้างเคียงที่เราได้รับมากที่สุด นั่นก็คือ ตับใช่ไหม ทำไมผู้คนล้มป่วยเป็นมะเร็งตับ เสียชีวิตกันเยอะแยะ ก็เพราะความโกรธของคนเราใช่ไหม ผู้บำเพ็ญธรรมมีความโกรธได้ไหม (ไม่ได้) แล้วทุกๆวันเรามีความโกรธไหม โกรธเรื่องอะไร ไม่ได้ดั่งใจ ไม่พอใจ วัดระดับความพอใจของแต่ละคนสูงต่ำไม่เท่ากัน เรากับเขาสวยหล่อเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) สูงต่ำดำขาวเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) อุปนิสัยความเคยชินเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) เพราะฉะนั้นจะให้ทุกคนทำได้ดั่งใจเราทุกคนได้ไหม (ไม่ได้) ทำไมบางทีเรายังทำให้คนอื่นโกรธได้ เราโกรธเป็นคนเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่) คนอื่นโกรธเป็นไหม (ได้) ทำไมเราบำเพ็ญ ทำไมไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำไมเราจึงเอาแต่ใจตัวเอง ผู้ร่วมบำเพ็ญธรรมทั้งหลาย กาลเวลาตอนนี้มองดูซิ เป็นเวลากี่โมงกี่ยามแล้ว ดูเวลาตอนนี้กี่โมงแล้ว ตอนนี้เข้าสู่ฤดูอะไรแล้ว (ฤดูหนาว) ฤดูหนาว ตะวันตกดินเร็วกว่าฤดูร้อนใช่ไหม ตอนนี้ดวงตะวันคล้อยต่ำแล้ว จะร่วงลงตกดินแล้วใช่หรือไม่ใช่ (ใช่) พวกเรารออะไรกันหรือ ในการบำเพ็ญธรรม รออะไร บำเพ็ญมากี่สิบปีแล้ว เราเอาเวลาที่บำเพ็ญธรรม สิบปี ยี่สิบปี สร้างบุญกุศลภายนอกมากมาย เดินไปถึงหนตำบลไหน ในการปฏิบัติงานธรรม มีใครไม่รู้จักเรา มีไหม (ไม่มี) ผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลายต่างรู้จักเรา ผู้ซึ่งเป็นพุทธบริกร เป็นเจ้าตำหนักพระ เป็นผู้บรรยายธรรม ใช่หรือไม่ใช่ ถ้าผู้ไหนไม่ได้ร่วมอยู่กับเราในชีวิตประจำวัน เพียงแค่พบผ่าน มานั่งฟังบรรยายธรรมะที่ธรรมสถาน ฟังแล้วก็กลับบ้านเรา เห็นเราก็มองเราเป็นเหมือนกับผู้บำเพ็ญที่เป็นแบบอย่างที่ดีงาม ใช่ไหม (ใช่) แต่หลายคนที่อยู่ที่นี่ บำเพ็ญธรรมร่วมกันมา ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงานใหญ่ ก็มีเราเป็นหนึ่งในการขับเคลื่อนของงานธรรมงานนั้น เราต่างรู้นิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี ใช่ไม่ใช่ (ใช่) ในการปฏิบัติงานธรรม ราบรื่นหรือขรุขระ ไร้ซึ่งปัญหาหรือมากด้วยปัญหา ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีปัญหาเลย มีไหม (มี) ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากที่ไหน (ตัวเราเอง) ทำไมเวลาเราตอบ เราก็ตอบได้ แต่ทำไมเวลาเจอเหตุการณ์นั้นๆ เราจึงแก้ไขปัญหาเดิมๆอยู่ไม่ได้ เป็นเพราะว่าเราไม่ละวางอัตตาตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่) ชื่อของเรา หน้าตาของเรา ควรจะวางไว้ที่ใดจึงจะเหมาะสม วางไว้ที่ใด เมื่อก่อนตอนเราเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เราก็ไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ธรรมะ เราก็วางตัวเป็นเหมือนเจ้าชีวิตของประชาชน ประชาชนต่างยำเกรงในคำว่า พระเจ้าแผ่นดินหรือพระเจ้าอยู่หัว ต่างนอบน้อมก้มศีรษะให้กับเรา แต่บัดนี้ ย้อนมองกลับไปแล้ว เรารู้สึกเสียใจ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขได้ ชื่อเสียง ยศ ตำแหน่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะลงโทษผู้คนในสิ่งที่เราไม่พอใจได้ ตัวเราเองนั้น ก็ได้ทำ ถือว่าปฏิบัติตนนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีในทุกๆเรื่อง ข้าพเจ้าเองก็ยอมรับในสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยสร้างกรรมเอาไว้ มีสนม มากมายก็ถือว่าทำผิดศีลแล้ว อายุจึงได้สั้น ไม่ได้มีโอกาสมีอายุยืนยาวมาอยู่ปกครองหรืออยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนเป็นเวลานาน ซึ่งโทษใครได้ไหม ก็ต้องโทษตัวเอง แต่ในสิ่งที่เรานั้นได้สร้างคุณงามความดีให้กับประเทศชาติ ก็พอมีหลงเหลือ วันนี้เราจึงมีโอกาสได้มารับวิถีธรรม ได้มาบำเพ็ญฝึกฝนตัวเอง มีโอกาสได้เป็นองครักษ์พิทักษ์ ติดตามพระพุทธะจี้กง ชาติที่แล้วเป็นถึงเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ แต่ละสังขารไป ก็มิอาจที่จะหลุดพ้นได้ ก็ต้องรอคอยวันเวลาถึงหลายสิบปีจึงมีโอกาสได้ขอรับวิถีธรรม สิบปีผ่านไปก็ยังบำเพ็ญอยู่ ไม่ได้หยุดหย่อน ก็ต้องขัดเกลาตัวเองอยู่ หยุดก็ไม่ได้ เพราะว่าเรานั้นได้กล่าวเอาไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในเรื่องของน้ำท่วมกรุงเทพมหานคร ถ้าใครผู้ใดได้อยู่ในเหตุการณ์สิบปีแล้วก็จะได้รู้ ท่านทั้งหลายยังจำได้ไหม วันนี้เห็นแล้วใช่ไหม เราทุกคนยังนิ่งนอนใจอยู่ได้ไหม เราท่านทั้งหลายยังจะไม่ร่วมใจร่วมพลังบำเพ็ญกันอยู่ได้หรือไม่ ประเทศชาติเป็นของใครคนใดคนหนึ่งใช่ไหม เป็นของหลานเรา เหลนเรา รัชกาลที่ 9 คนเดียว ใช่ไหม (ไม่ใช่) เป็นของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ราชกุมาร ราชกุมารีในปัจจุบันใช่ไหม ประเทศชาติเป็นของเราทุกคน เรายิ่งเป็นผู้บำเพ็ญธรรม หากมีความจงรักภักดี มีคุณธรรม เราก็สามารถที่ช่วยต้านภัยพิบัติให้กับปวงชน ไม่ใช่เฉพาะเพียงแค่คนไทยด้วยกันเท่านั้นเอง

    เราท่านทั้งหลายรู้ไหมว่าประเทศไทย 20 ปีก่อนนั้น นับย้อนหลังไป 20 ปี มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ ทุกสิ่งทุกอย่างมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าประเทศจีนอีก แต่ 20 ปีผ่านมา เราดูซิ ประเทศไทยทำไมยิ่งนับวันยิ่งตกต่ำลง ตกต่ำลง เป็นเพราะเหตุใดหรือ ทำไมประเทศจีนนั้นยิ่งนับวันเจริญเฟื่องฟู เราอาจจะยังไม่รู้ ก็มีคนกลุ่มหนึ่ง เริ่มต้นศึกษาในคัมภีร์ที่เราศึกษากันในอาณาจักรธรรม มี ตี้จื่อกุย หลุนอวี่ ก็มีการมารวมกลุ่มกันจากกลุ่มเล็กๆ รวมกลุ่มกันมาพูดถึงเรื่องหลักคุณสัมพันธ์ มาพูดถึงเรื่องธรรมะ เพียงแต่ว่าไม่มีการได้เข้าไปศึกษาให้ลึกซึ้งเหมือนกับพวกเราศิษย์อนุตตรธรรม เพราะว่ายังไม่มีการเปิดกว้าง บ้างก็ยังมีที่ต่อต้าน แต่ก็เริ่มๆเข้าสู่วิถีที่เหล่าเทพเซียนทั้งหลายได้ใช้อิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ในการที่จะส่งเสริมผู้คนให้ค่อยๆเข้ามาศึกษาในหลักธรรม ถึงแม้ว่าจะมีการสอนการศึกษาถึงเรื่องความกตัญญู พวกเราก็มีความซาบซึ้งหลั่งน้ำตากัน ใช่ไหม (ใช่) พวกเราจงรู้ว่า ตอนนี้ ประเทศที่เขากำลังเจริญกำลังมีการพัฒนา นั่นก็คือว่าธรรมะนั้นได้ลงไปโปรดถึงแล้ว แต่พวกเราเองเป็นชาวพุทธ เราก็กราบไหว้แค่เพียงภายนอก ศึกษาแค่เพียงภายนอก วันนี้เรานั้นมองเห็นทะลุปรุโปร่งแล้ว ข้าพเจ้าจึงย้ำเตือนให้ผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลายในยุคขาวนี้ ขอวิงวอนทุกท่านเลย ขอให้ย้อนมองส่องตน บำเพ็ญจิตภายใน อย่าได้เพียงแค่สร้างกุศลภายนอก เพราะเวลาไม่ได้คอยท่าใครแล้ว ดีไม่ดี (ดี) ขอฝากอะไรสั้นๆไว้ให้กับพวกเรา

    (กล่าวถึง อ. เซื่ย) ท่านผู้นี้เป็นผู้มีบุญคุณต่อข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ต้องขอสำนึกในบุญคุณท่านที่เป็นผู้ถ่ายทอดวิถีอนุตตรธรรมให้กับข้าพเจ้า ถ้าหากว่าท่านผู้นี้ไม่รับรอง ข้าพเจ้าก็ไม่มีโอกาสได้รับวิถีธรรม เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนต้องสำนึกในบุญคุณของเบื้องบน ฟ้าดิน บรรพจารย์ อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมทั้งหลาย ผู้แนะนำรับรอง ของพวกเราทุกคน ต่างก็เป็นผู้มีบุญคุณกับเรา อย่าได้ลืมในบุญคุณ เข้าใจไหม (เข้าใจค่ะ/ครับ)

    เรารู้ถึงความทุกข์ร้อนของประชาชนทุกคน ในยามนี้ที่ประสบพบเจอกับภัยพิบัติ แต่เราท่านทั้งหลายในที่นี้ล้วนแล้วแต่ยังอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่ได้รับความเดือดร้อนทางกายจากภัยต่างๆ ก็หวังว่าเราทุกคนที่อยู่กันอย่างสงบสุขร่มเย็นนั้น จะมีจิตใจเมตตาวิงวอนขอต่อเบื้องบน นำจิตศรัทธาจริงใจนั้น เผื่อแผ่ไปยังผู้ที่ประสบความทุกข์ ผู้คนเหล่านั้นได้สร้างกรรมสร้างเวรมา จึงพบเจอกับภัยในครั้งนี้ แต่ก็ยังมีบุญวาสนาหลงเหลืออยู่ บารมีตั้งแต่บูรพกษัตริย์ชาติไทยสืบต่อเนื่องกันมา รวมถึงจิตเมตตาของพวกเราทุกคนผู้บำเพ็ญธรรม เขาเหล่านั้นจึงได้รับส่วนบุญกุศล ถึงแม้ว่าจะต้องทนทุกข์อยู่กับความยากลำบากในการที่เจอน้ำท่วม แต่ก็ยังสามารถเอาชีวิตรอดพ้นอยู่ได้ แต่ตอนนี้ผู้คนเหล่านั้นเขาอยู่อย่างลำบากทุกข์ยาก จะหลับจะนอน จะกินจะอยู่ แต่ละวันผ่านไปก็มีความทุกข์ บางคนถึงกับทำใจไม่ได้ ก็ฆ่าตัวตายก็มี ดูซิว่าภัยในครั้งนี้ ก็ได้ทำให้ผู้คนถึงขนาดปล่อยไม่ได้ คิดไม่ตก ต้องถึงกับจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ บ้างก็ด้วยความห่วงในทรัพย์สินของตัวเอง ไม่ยอมอพยพออกจากบ้าน เพื่อที่จะเฝ้าสมบัติอันเป็นที่รักของตัวเอง ที่ได้หามาจากน้ำพักน้ำแรง อยู่ที่บ้านไม่มีความระมัดระวังก็โดนไฟฟ้าดูดเสียชีวิตไปก็มี ถึงแม้ว่าน้ำท่วมในครั้งนี้จะไม่ได้พัดให้ผู้คนสูญหาย ล้มหายตายจากไป ยังมีวันเวลาที่เราสามารถที่จะหลบหนี หนีภัยไป ไม่ได้ตายจากน้ำท่วม แต่ก็มีการตายเกิดขึ้นจากสาเหตุต่างๆนานา เพราะฉะนั้นเราท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ตรงนี้ เป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่มีความโชคดี ได้รับรู้วิถีธรรม แล้วภูมิลำเนา ถิ่นฐานบ้านเกิดของเราก็อยู่ในที่ที่รอดพ้นจากภัยในครั้งนี้ หากว่าเราไม่รักษาโอกาสในการบำเพ็ญธรรมเพื่อที่จะดำรงชีพต่อไปในอนาคตภายหน้า ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่า จะใช้คำไหนมาบอกเตือนกับพวกท่านทั้งหลายแล้ว ท่านทั้งหลายมีความโชคดี รับวิถีธรรม บำเพ็ญธรรม มีภูมิลำเนา ถิ่นฐานบ้านเกิดที่เราสามารถที่จะฟื้นฟูให้มันเจริญงอกงามได้ จิตใจของผู้คนแห้งแล้ง ไร้น้ำใจ มีแต่ความเห็นแก่ตัว ภูมิลำเนาบ้านเราจึงมีความแห้งแล้ง แท้ที่จริง ถ้าจะฟื้นฟูให้มันมีความชุ่มฉ่ำขึ้นมา ก็ได้อยู่ ใช่ไหม ในภาวะวิกฤติคับขัน เราดูซิ ที่เราพบเห็นข่าวสารต่างๆที่ประกาศอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จากคนที่ไม่เคยพูดคุยกันเลย บ้านที่อยู่ใกล้กันในชุมชนที่อยู่ในเมือง เขาอยู่แบบต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเอาตัวรอด แต่คนไทยแท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ผู้ที่แล้งน้ำใจ เป็นผู้ที่มีจิตใจดีงาม เพียงแต่ว่าเรามีความเห็นแก่ตัวมากเกินไป ความมีน้ำใจของเราจึงได้ น้อยลง น้อยลง จนทำให้บ้านเมืองเราเกิดความแตกแยก พอเราพบเจอวิกฤติในครั้งนี้ จากคนที่ไม่เคยพูดคุยกัน บ้านอยู่ใกล้กันแต่ไม่เคยคบค้าสมาคมกัน แต่พอถึงยามวิกฤติ ต่างร่วมด้วยช่วยกัน คนละไม้คนละมือ ช่วยกันเพื่อให้คนได้รอดพ้นจากความตาย อันนี้แหละคนเรา พูดตามหลักความจริงแล้ว ก็จะเป็นอย่างนี้ ด้วยความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่ถึงที่สุดแล้ว เมตตาจิตของคนไทยมันไม่บังเกิด แต่จิตเมตตาของพวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้บังเกิดแล้ว แต่ไม่นำออกมาใช้ จะมีประโยชน์อะไรไหม เมตตาต่อคนอื่นไม่พอหรอก ต้องเมตตากับตนเอง อย่าโกรธให้มากนัก ความโกรธของเราให้ น้อยลง น้อยลง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราเห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างนี้ ก็คงกินไม่ได้นอนไม่หลับ ต้องเรียกผู้อยู่ใต้บัญชาของเรามา บ่นๆๆ ว่าๆๆ ซะหน่อยละ แต่ตอนนี้ทำได้ไหม บ่นไปก็เท่านั้น ว่าไปก็เท่านั้น มันไม่ได้ช่วยส่งผลอะไรให้ดีขึ้นเลย เพราะฉะนั้น หวังว่าพวกเราทุกคนจะตั้งใจในด้านหนึ่งที่เราได้มีโอกาสบำเพ็ญธรรม ก็ขอให้ใช้เวลาที่เรามี บำเพ็ญสร้างบุญกุศลภายในของเรา ให้มันยิ่งส่องแสงความสว่าง บารมีธรรม คุณธรรมของเราจึงจะสามารถปกป้องลูกหลาน คนในชาติเราได้ วิถีการดำเนินชีวิตของพวกเราจึงจะมีแต่ความสว่างไสวต่อไปในอนาคตภาคหน้า เราไม่บังคับให้ทุกคนเชื่อหรอก แต่ว่าเรื่องราวเหตุการณ์สิบปีที่แล้ว ที่เราเคยพูดว่ากรุงเทพมหานครจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ เราพูดไปสิบปีที่แล้ว แล้ววันนี้ก็ปรากฏความจริงให้ทุกท่านได้เห็นแล้ว ดังนั้น ภัยพิบัติ มหาภัยพิบัติที่จะมากวาดล้างคนบนโลก เก็บกวาดคนชั่ว ให้หลงเหลือคนดีที่เบื้องบนกำลังคัดร่อนอยู่ ไม่ได้โกหก หลอกลวงพวกเราเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ว่าจะช้าหรือจะเร็วนั้น ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจผู้คน ถ้าหากว่าพวกเราศิษย์อนุตตรธรรมผู้บำเพ็ญธรรม สามารถกล่อมเกลาตัวเอง กล่อมเกลาจิตใจเวไนยให้เปลี่ยนแปลงใจ บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญตัวเอง ภัยพิบัติต่างๆทั้งหลายก็จะยืดระยะเวลาออกไป แต่ถ้าพวกเราก็ยังบำเพ็ญวันนึง ผ่านวันนึงอยู่ ไม่ได้สร้างสรรค์สิ่งที่ดีๆให้กับผู้คน แถมยังสร้างบาปกรรมให้กับตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โลกเราก็ไม่พ้นกับภัยพิบัติอย่างแน่นอน

    วันนี้มาปรากฏ เตือนใจของผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลาย ไม่มี ไม่ได้ถือเอายศถาบรรดาศักดิ์ หรือว่าเอาความเป็นพระเจ้าแผ่นดินของเรา มาบังคับขู่เข็ญให้พวกเราทุกคนเชื่อ ตอนนี้ข้าพเจ้าเองเป็นผู้ร่วมบำเพ็ญในธรรมกาลยุคขาว เปรียบเสมือนกับท่านทั้งหลายในที่นี้ เพราะว่าการบำเพ็ญธรรมไม่มีแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ ไม่มีแบ่งแยกรวยจน หญิงชาย ดังนั้นตอนนี้ ท่านทั้งหลายกับข้าพเจ้า ก็ล้วนแล้วแต่เสมอภาค เพียงแต่ว่า ข้าพเจ้านั้นมีความโชคดี ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่มีกายสังขาร แต่ได้รับวิถีธรรม ได้รับโอกาสจากเบื้องบน ผู้ที่มีบุญคุณให้ข้าพเจ้านั้นได้มีโอกาสได้ฝึกฝนบำเพ็ญ ติดตามเป็นองครักษ์พิทักษ์พระพุทธจี้กง ในยามที่พระพุทธจี้กงมีงานก็เรียกใช้ข้าพเจ้า เหมือนกับเป็นการออกไปตรวจราชการอย่างหนึ่ง ออกไปดูก่อน ช่วยก่อน ก็จึงกลับมารายงาน ในสิ่งที่ข้าพเจ้าทำได้ ความสามารถหรือว่าอิทธิฤทธิ์ที่ข้าพเจ้าพอมี บุญกุศลที่ข้าพเจ้าพอจะช่วยได้ ข้าพเจ้าก็ทำไป ในสิ่งที่นอกเหนือจากขอบเขตอำนาจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ต้องกลับมารายงานพระพุทธจี้กง ให้พระพุทธจี้กงท่านเป็นผู้ไปจัดการ เป็นพระเจ้าแผ่นดินในยุคก่อน ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินตลอดไป ก็ต้องปล่อยวางอัตตาตัวตน ถ้าปล่อยไม่ได้ วางไม่ได้ วันนี้จะได้มีโอกาสรับใช้เบื้องบนไหม (ไม่มี) พวกเราท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน มีโอกาสได้เป็นบุคลากรของธรรมกาลยุคขาว ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ธรรมดาเลย ก็ขอให้ทุกท่านมีความภูมิใจว่า วันนี้เราเป็นหนึ่งในงานสามโลก ฉุดช่วยถึงสามโลก เรามีส่วนร่วมช่วยแปรเปลี่ยนโลกใบนี้ จากที่เลวร้ายให้กลับกลายเป็นดี จะดีได้มากน้อยเพียงไหนก็ต้องอาศัยพวกเราที่มีกายสังขาร เพราะว่าจะให้ข้าพเจ้าไปฉุดช่วยผู้คน การที่จะไปแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ แต่ละคน แต่ละคน แต่ละคน ช้าไปไหม (ช้า) แต่พวกเราทุกคนมีกายสังขาร วาจาของเราทุกคนมีโองการสวรรค์ทั้งนั้น ผู้ที่ตั้งปณิธานทานเจศักดิ์สิทธิ์ กล่าวอะไรออกไป มีใจออกฉุดช่วยผู้คน แค่ขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง พระองค์นั้นก็ติดตามช่วยเหลือเราไม่เคยขาด ขอให้พวกเราทุกคนจงเชื่อมั่นในโองการสวรรค์ที่เราทุกคนมีอยู่ในตัว จงเชื่อมั่นในหลักสัจธรรมแท้ที่ฟ้าเบื้องบนได้ประทานให้เราในยุคนี้ ครานี้หาความโชคดีที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว อาศัยเวลาสั้นๆแค่นี้ กราบขอบคุณท่านผู้ที่มีบุญคุณ กราบขอบคุณผู้ที่ร่วมปฏิบัติงานในครั้งนี้ พวกเราท่านทั้งหลายติดตามผู้บำเพ็ญธรรม ติดตามผู้ที่มีคุณธรรม บำเพ็ญ เดินในหนทางนี้ต่อไป อย่าได้ผิดเพี้ยนไปอีก สายทองเส้นนี้ที่เราได้รับสื่อตรงถึงพระอนุตตรธรรมมารดา อย่าได้หลงอยู่ในชื่อเสียงที่เขาจะมอบให้เรา อย่าได้หลงในอำนาจเงินที่เขาจะมาซื้อใจเราให้ไปเป็นพรรคพวกเขา จงเชื่อมั่นในคุณงามความดีของตัวเอง ในคุณความดีของบรรพชน ปู่ย่าตายายที่เหลือให้กับเรา จงเชื่อมั่นในโองการสวรรค์ ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญธรรมต่อไปจนกว่าลมหายใจสุดท้ายจะหมดลง ดีไม่ดี (ดี) หากท่านใดมีความทุกข์ร้อนให้เราช่วยเหลือ ก็สามารถบอกเราได้ หากสิ่งไหนที่เราช่วยได้ เราก็จะช่วยทุกท่านอย่างเต็มกำลัง ในสิ่งไหนที่เหลือบ่ากว่าแรงกำลังของเราที่มี ข้าพเจ้าก็จะขอให้ พระอนุตตรธรรมมารดา พระพุทธจี้กง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนั้น เป็นผู้มาหนุนส่งช่วยเหลือพวกท่านที่กำลังตกทุกข์ลำบากอยู่ แต่ในการบำเพ็ญธรรม ขอให้พวกท่านทั้งหลายจงจำไว้ว่า ไม่มีผู้บำเพ็ญธรรมท่านใด บำเพ็ญด้วยความสุขสบาย ล้วนแล้วแต่พบเจอกับอุปสรรคปัญหา การทดสอบต่างๆนานา ไม่ว่าจะเกิดจากคนรอบข้างก็ดี เรื่องราวต่างๆก็ด้วย รวมถึงกระทั่งตัวเองก็มีส่วน มีผลอันยิ่งใหญ่ หวังว่าพวกเราทุกท่านจะผ่านพ้นอุปสรรคในการบำเพ็ญธรรมได้อย่างสบายๆ ดีไหม (ดี)

    ก็ขอน้อมจิตศรัทธา ความจริงใจของพวกเราทั้งหลายจงดลบันดาลให้ผู้ประสบภัยในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยก็ดี ประเทศเพื่อนบ้านก็ด้วย ที่เกิดอุทกภัยในครั้งนี้หรือเกิดภัยพิบัติมาคุกคาม ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด อะไรก็ช่าง ขอให้นำจิตศรัทธาของพวกเราในชั้นเรียนนี้ จงดลบันดาลให้ ผู้ประสบภัยเหล่านั้น ได้ผ่านพ้นจากความตาย ให้เขาเหล่านั้นได้พบเจอวิถีอนุตตรธรรม ได้มีโอกาสรับวิถีธรรม บำเพ็ญในกาลต่อไปข้างหน้า อวยพรให้พวกเราทุกท่านมีความสุขกาย สุขใจ บำเพ็ญให้ตลอดรอดฝั่ง ไม่รบกวนเวลาท่านทั้งหลาย

    กราบลา องค์อนุตตรธรรมมารดา

    อวยพรให้ทุกคนโชคดี


    http://witeejit.wordpress.com/2011/12/09/พระโอวาทอู่ซื่อหวัง-ณ-ส/#more-1247
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 5%20-2~1.PNG
      5%20-2~1.PNG
      ขนาดไฟล์:
      80.8 KB
      เปิดดู:
      35
    • 5_1_~1.PNG
      5_1_~1.PNG
      ขนาดไฟล์:
      205.6 KB
      เปิดดู:
      26
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2013
  6. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    ขอบพระคุณผู้อาวุโสไท่ อิอิ เคี๊ยกๆๆๆๆ
     
  7. Jaithai

    Jaithai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +13
    ขอถามอีกเรื่องนะคะลุง.....
    สมมุติว่าเป็นตัวลุงนะคะ..... ลุงพบว่าสิ่งที่ตัวลุงทำอยู่เป็นกิจวัตรมันเป็นสิ่งที่
    ไร้สาระ ลุงจะโยนมันทิ้งไป แต่สิ่งที่ลุงกำลังจะโยนมันทิ้งไป มันจะดูแปลกแยก
    กับคนหมู่มากในสังคมที่ลุงอยู่ (ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่จะดูประหลาด
    ในสายตาคนอื่น หรือบ้านั่นเอง) ลุงจะมีวิธีโยนมันทิ้งยังไงคะ
    ขอบคุณนะคะที่ตอบให้....
    ได้ข้อสรุปแล้วว่าหนูไม่ได้โง่...แค่ไม่รู้เป็นบางเรื่องเท่านั้นเอง
     
  8. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    อีหนูเอ๋ย ไอ้คำว่าบ้านี่มันมีหลายความหมายนะอีหนู คนที่ชื่นชอบอะไรมากๆๆจนคลั่งไป เขาก็เรียกว่าบ้า อย่างพวกบ้าดารา แลคนที่ทำตัวแปลกแยกจากคนอื่นๆๆๆจากสังคมเขาก็เรียกว่าบ้าเช่นกัน นี่ยังไม่นับพวกที่ไม่ยึดกฏเกณฑ์หลักของเหตุแลผลอีกนะ คนพวกนี้เราก็เรียกว่าบ้า แล เลื่อนลอยเช่นกัน ไอ้คนยึดเหตุผลมากเกินไปเราก็เรียกว่าบ้านาหนูเอ๋ย แลคนที่มันป่วยทางจิตมันก็บ้า คำๆๆนี้จึ่งอาจจักมีได้หลายนัยยะนั้นแล
    ปัญหาคือเอ็งคิดว่าคนทุกวันนี้ปกติหรือ? เอ็งมองดูสังคมสิ บางคนบ้ากาม เถลิงตัวเองอยู่บนตัญหา(ยิ่งเด็กทุกวันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ทีเดียวอีหนู) บางคนบ้าวัตถุ เงินทอง ชื่อเสียง บางคนบ้าลัทธิทางการเมืองหรือทางจิตวิญญาณ มีความขัดแย้งอยู่ทุกหนแห่ง คนดีๆๆไม่ได้รับการยกย่อง มีแต่คนบ้าเท่านั้น เอ็งเปิดตำราประวัติศาสตร์ดูเถิด เจงกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช นาร์ดีร์ ชาร์ แทมบาเลน จิ้นซี เหล่านี้บ้าหรือไม่ นี่ไม่นับเรแกน ทรูแมน อินทิราคานธี แม็คคาร์ที่ เหมาเซตุง เหล่านี้วิกลจริตหรือไม่? คนเหล่านี้อยากจักอยู่เหนือโลก อยากจักพิชิตธรรมชาติ อยากเป็นที่หนึ่งอยู่เหนือใครๆๆ แต่เราเรียกว่าวีรบุรุษ ทั้งๆๆที่มันก็แค่ฆาตรกรโรคจิต คนเหล่านี้ต่างตรงไหนกับฮิตเลอร์ หรือมุโสลินีเล่า......มันก็แค่เรื่องของสัตว์ที่มันชนะได้เขียนประวัติศาสตร์มันก็เท่านั้น

    ทุกวันนี้ การดิ้นรนต่อสู้กันคือตรรกะปกติของสังคมมิใช่หรือระบบเศรษฐกิจการเมืองหลักคือ อันใดล่ะ ระบบเสรีนิยม เมื่อผู้เล่นเข้ามาแข่งขันกันเขาจะร่วมจัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้เกิดแก่สังคมได้ มันแน่ล่ะหรือ ดูสิทุกวันนี้เอ็งต้องตื่นตั้งแต่กี่โมงเพื่อไปขึ้นรถเพื่อไปติดกลางไฟแดงแต่เช้า หรือ ไปอัดแน่นกับคนบนรถไฟฟ้า รถเมล์ ตกเย็นก็มิต่างกัน เอ็งรู้ภาษาอังกฤษพอหรือไม่ ยุคนี้เอ็งต้องรู้จีน รู้ญี่ปุ่น รู้เกาหลี รู้ฝรั่งเศส อีกมิใช่หรือ ในอนาคตเด็กเราอาจจะต้องรู้ถึง 5 ภาษาเป็นอย่างน้อยไม่งั้นมันแข่งกับเขาไม่ได้ อีกคณิตศาสตร์เล่า การสร้างแบบจำลองแลวิเคราะห์สมัยล้วนต้องยืนอยู่บนคณิตศาสตร์ชั้นสูงทั้งนั้น ซึ่งทุกวันนี้เด็กทุกวิชาชีพต้องหันมาเรียนเสียแล้ว ไม่ได้จำกัดแค่ในสาขาวิทยาศาสตร์เท่านั้น กล่าวโดยสรุปคือทุกคนล้วนดิ้นรนต่อสู้กันจึ่งพยายามพัฒนาศักยภาพ(แบบจอมปลอม)ขึ้นมาให้มากขึ้นและมากขึ้น แลมันเป็นวงจรป้อนกลับที่ทำให้คนเหล่านี้ไม่มีแม้แต่ดอกาสที่จักพักเพราะเมื่อหยุดก็มีคนหายใจรดต้นคอ ดั้งนั้นแล เวลาจึ่งกลายมาเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในยุคนี้ไงอีหนู คนรุ่นก่อนเขาไม่ค่อยบ่นเรื่องมีเวลาไม่พอเหมือนยุคนี้ดอก

    เอ็งเห็นหายนะหรือไม่? เห็นสงครามที่ได้เกิดขึ้นหรือไม่? แลเอ็งจักหาโลกที่สงบสุขแลปกติได้อย่างใดล่ะ เอ็งดูความทะเยอทะยานสิมันเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆๆในใจเราทุกๆๆคนไม่ใช่หรือ? เอ็งดูตัญหาเถิดมันถูกทำให้กลายเป็นสถาบัณไปแล้ว ดูมนุษย์ทุกวันนี้มันบ้าขนาดจักไปดาวนั้นนี่เพื่อเอาทรัพยากรเพื่อครองจักรวาล ทั้งๆๆที่โลกใบนี้ใบเดียวมันยังเอาดีไม่ได้ มันยังทำลายเสียไม่เหลือดี มันตัดขาดสายสัมพันธ์สิ้นทั้งๆๆที่โลกคือแม่พระธรณีมารดาแห่งเรา แห่งชีวิต คือ ส่วนหนึ่งของข่ายใยที่มีพลวัติที่มนุษย์ต้องอาศัยความเกื้อกลุของสิ่งนี้จึงจักดำรงอยู่ได้ ไหนจักปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรงยิ่งกว่าที่คนทั่วๆๆไปคิด แลมาพูดว่าเราไปใช้ถุงผ้า ไปปลูกต้นไม้กัน นั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย นอกจากเป็นเพียงปลอมใจตัวเองแลหลอกตัวเอง

    นี่คือภาพคร่าวๆๆ ของความวิกลจริต แลเอ็งจักพูดว่าเอ็งกลัวคนอื่นมองว่าเอ็งบ้าได้อย่างใด? ก็ในเมื่อมันก็บ้ากันทุกคนเอ็งต้องเชื่อมั่นในตัวเอ็งเองอีกหนู เมื่อตัดสินใจไปแล้วจงมีศรัทธา ศรัทธามิใช่ความเชื่อ แต่คือการวางใจในชีวิตแลให้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตเป็นผู้นำทาง สิ่งใดที่มันขัดกับสิ่งที่เอ็งเป็นนั้นแล ย่อมผิดพลาดนี่คือ ข้อสังเกตุง่ายๆๆในการใช้ชีวิต ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนอื่นมองดอกแต่มันคือเอ็งกลัวที่จักเปลี่ยนแปลงตัวเอ็งเองมิใช่หรือ? กลัว จักไปพบสิ่งใหม่ที่ตัวเองไม่คุ้นเคยมิใช่หรือ บ๊ะลุงพูดถูกหรือไม่? ดังนั้นเราจึ่งมักมีข้ออ้างอย่างถ้าเช่นลงมือเปลี่ยนตัวเอง แต่คนอื่นไม่ลงมือโลกก็คงไม่เปลี่ยนไปดอก ไม่ก็พรุ่งนี้ฉันจะทำอะไรทำนองนี้

    ดูตัวอย่างเรื่องทางจิตวิญญาณก็ได้มีคนพวกนี้มากมิใช่หรือ? พวกแรกคือพวกอยากเป็นผู้วิเศษอยากให้คนเคารพ พึ่งพอใจว่าตัวเองบริสุทธิ์แลเหนือผู้อื่น เราคืออรหันต์ คือนั้นนี่ คนพวกนี้แลคือท้าวพกาพรหมในครั้งพุทธกาล(เวลาอ่านจักต้องตีประเด็นให้ได้มิใช่เชื่อตามตัวอักษร) ซึ่งถูกพระพุทธเจ้าทรมาณให้ล่ะทิฏฐิ แต่เอ็งดูทุกวันนี้ คนพวกนี้มันมากนัก แลมันก็โง่ขนาดพึ่งพอใจที่จักหลอกตัวเองให้อยู่ในโลกแห่งความฝันที่ตัวเองสร้างขึ้น พวกที่สองก็พวกที่มองธรรมะเป็นงานศิลป์ล้ำค่า ที่ตัวเองมิอาจจักเอื้อมไปคว้ามา เพราะมันล้ำค่าเกินไป คนพวกนี้ก็หลอกตัวเองเช่นกัน เพราะมันไม่รู้หรือว่าสำหรับผู้มีค่าพอที่จักได้เห็นตะวันแลเป็นบุตรแลธิดาแห่งชีวิต ก็มีคุณค่าพอที่จักพบสัจธรรม ที่จักกลายเป็นพระพุทธเจ้าทั้งนั้น

    ดังนั้นอันที่จริง ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่รู้วิธีแก้ไขปัญหาโลกใบนี้ หรือ ไม่รู้ถึงความผิดปกติของมันดอก อีหนู ทุกคนรู้หมดนั้นแล ... เอ็งไปหยิบหลักธรรมมาสักข้อแลปฏิบัติสิ โลกมันเปลี่ยนแน่ ถ้าทุกคนทำ อย่างแค่หิริโอตัปปะ เอ็งคิดดูเถิดถ้าทุกคนมันละอายมันกลัวบาป มันจักก่อสมครามมันจักเบียดเบียนกันไหม? ระบบทุนนิยมแลวัตถุนิยมมันจักอยู่ได้หรือ แต่ทุกคนกลัวที่จะพรากจากสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคย หรือ กลัวจักถูกดึงเอาพื้นที่ตัวเองเหยียบอยู่ออกไปต่างหาก....ดังนั้นโลกจึ่งเป็นอย่างที่มันเป็นมิเคยเปลี่ยนแปลงอันใด จิตสำนึกของมนุษย์ก็ยังคงเป็นอย่างที่มันเป็นตั้งแต่อดีต คือรุนแรง ขุ่นข้นไปด้วยตัญหาราคะ มานะ แลทิฏฐิ แม้ว่าจะมีความเมตตาธรรม มีความละอายอยู่บ้างในบางครั้ง แต่สิ่งเหล่านั้นก็หาได้มีอิทธิผลใดๆๆไม่กับสิ่งที่มนุษย์เป็นเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กันยายน 2012
  9. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    สมัยหนึ่ง ท่านเทพอภิบาล ได้ใช้ยูสเซอร์หนึ่ง บรรยายเรื่องราวทั้งโลกทั้งธรรมเป็นฉบับ แบบดั้งเดิม แต่คนไม่ยอมรับ ถากถางลุงแก ลุงแกจึงปรับปรุงวลีใหม่ ให้มันเป็นศัทพ์ที่ออกตรงจริตคนไทย ผมนับถือความพยายามของท่านมากครับ ทุกวันนี้ท่านทำสำเร็จแล้ว
     
  10. Jaithai

    Jaithai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +13
    แลเอ็งจักพูดว่าเอ็งกลัวคนอื่นมองว่าเอ็งบ้าได้อย่างใด? ก็ในเมื่อมันก็บ้ากันทุกคนเอ็งต้องเชื่อมั่นในตัวเอ็งเองอีกหนู เมื่อตัดสินใจไปแล้วจงมีศรัทธา ศรัทธามิใช่ความเชื่อ แต่คือการวางใจในชีวิตแลให้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตเป็นนำทาง สิ่งใดที่มันขัดกับสิ่งที่เอ็งเป็นนั้นแลย่อมผิดพลาดนี่คือข้อสังเกตุง่ายๆๆในการใช้ชีวิต ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนอื่นมองดอกแต่มันคือเอ็งกลัวที่จักเปลี่ยนแปลงตัวเอ็งเองมิใช่หรือ? กลัว จักไปพบสิ่งใหม่ที่ตัวเองไม่คุ้นเคยมิใช่หรือ บ๊ะลุงพูดถูกหรือไม่? ดังนั้นเราจึ่งมักมีข้ออ้างอย่างถ้าเช่นลงมือเปลี่ยนตัวเอง แต่คนอื่นไม่ลงมือโลกก็คงไม่เปลี่ยนไปดอก ไม่ก็พรุ่งนี้ฉันจะทำอะไรทำนองนี้

    แทงใจมากเลยค่ะลุง....
    ถ้ามองให้ลึกลงไป ก็คงไม่ได้กลัวว่าคนอื่นจะมองเราบ้า...แต่เรากลัวว่าตัวเองจะแปลกแยกจากคนอื่นอาจจะกลัวว่าต้องเสีย
    สิ่งที่เคยมีเคยเป็นไปก็ได้เนอะ กลายเป็นว่าเรายึดติดมากไปใช่ปะลุง
    สรุปแล้วก็คงเป็นความกลัวของตัวเราเองมากกว่า เลยไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ซักที
    ไม่รู้ต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน...ที่จะก้าวข้ามไอ้สิ่งที่เรายึดติดได้
    ขอบคุณนะคะ...
     
  11. เอื้อมบุญ

    เอื้อมบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    385
    ค่าพลัง:
    +617
    ""สมัยหนึ่ง ท่านเทพอภิบาล ได้ใช้ยูสเซอร์หนึ่ง บรรยายเรื่องราวทั้งโลกทั้งธรรมเป็นฉบับ แบบดั้งเดิม แต่คนไม่ยอมรับ ถากถางลุงแก ลุงแกจึงปรับปรุงวลีใหม่ ให้มันเป็นศัทพ์ที่ออกตรงจริตคนไทย ผมนับถือความพยายามของท่านมากครับ ทุกวันนี้ท่านทำสำเร็จแล้ว ""



    อ๋อ.........นึกว่าใคร?
    ที่แท้ก้อ..."ใครนี่เอง"


    อุ อุ อุ อุฯ ....:d
     
  12. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    อ๋อ ผมก็คิดว่าผมก็รู้แล้วล่ะครับ 555+
    แต่ไม่รู้ว่าจะผิดรึเปล่า อิอิ
     
  13. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    พวกเอ็งก็เดากันไปเรื่อย......อันที่จริง ข้าจ้างให้เอ็งก็เดาไม่ถูกดอก...เด็กๆๆ
    เอ็งอาจจักประติดประต่อได้เท่านั้นเองว่าใครต้องสงสัยบ้าง? แต่.. บ๊ะ
    เอาเป็นว่าไม่ต้องคิดมากดอก....เดามากมันก็จักปวดสมองเปล่า...
    เอามาเดาเรื่องข้านี่ ไม่รู้ว่ารอยหยักในสมองมันจะเพิ่มขึ้นหรือไม่? ถือซะว่าข้ามันก็แค่ลุงแก่ๆๆๆที่มีอันใดอยากจักเล่าก็เล่าให้ฟังก็แล้วกัน....
    .อย่างเรื่องอินเดียแดง(ในอเมริกาเหนือ)นี่น่าสนใจนักมีคนพูดขึ้นมาลอยๆๆ เลย อยากจักเล่าให้ฟังนิดหน่อยว่า
    วิธีทำความเข้าใจธรรมะของพวกนี้ นั้นเหมือนศาสนาพุทธมาก(โดยเฉพาะนิกายวัชรยาน) จนลุงเองก็เคยแปลกใจมาก่อนเมื่อเห็นครั้งแรกๆๆๆ อย่างใครเคยอ่าน
    THE JOURNEY TO IXTLAN : LESSONS OF DON JUAN ของCarlos Castanedaบ้างล่ะ
    [​IMG]
    เล่มนี้เคยดังช่วงยุคปี70มาก.....แลยังขายดีจนถึงทุกวันนี้ เป็นเล่มที่นาย
    Carlos Castaneda เล่าถึงหมอผีอินเดียนชื่อDON JUAN(คนในรูป)
    [​IMG]

    แลหมอผีDON JUAN นี้พูดหรือสอนเหมือนพระพุทธเจ้ายิ่งถ้าเราลองเอามาเปรียบเทียบด้วยใจเป็นกลาง และ ยิ่งกว่านั้นมันไปเหมือนกับ
    ครูทางจิตวิญญาณแลศาสดาท่านหนึ่งในศตวรรษที่20 คือเจ.กฤษณมูรติอย่างน่าประหลาด......
    เร็วๆๆนี้ เห็นรายการพื้นที่ชีวิตก็ไปสัมภาษณ์พวกนี้มาอยากให้ลองศึกษาคำพูดของเขาดูแลเปรียบเทียบกับพุทธปรัชญา แลเราจะเห็นความแหลมคมของเขา
    อันที่จริงข้ามีเพื่อนที่เป็นพวกนี้แท้ๆๆอยู่บ้าง(อย่างเพื่อนผู้หญิงของข้าคนหนึ่ง ชื่อ dhyani ywahoo ก็ตั้งศูนย์สอนภาวนาตามแบบอินเดียนชื่อซันเลย์ที่หลายๆๆประเทศมาแล้ว คนนี้ก็อินเดียนแท้ๆๆ
    แต่พวกนี้เมื่ออยู่กับคนเอเซียเราจักแยกไม่ออกดอกนะว่าไหนอินเดียนแดงไหนคนเอเซียคล้ายกันมากทีเดียว)

    แต่นั้นแล ธรรมชาติคือครูที่ยิ่งใหญ่....และยิ่งใหญ่กว่าพระพุทธเจ้ามาก เพราะพระพุทธเจ้าเองก็เรียนจากธรรมชาติ
    ตลอดชีวิตพระองค์ก็ทรงอยู่กับธรรมชาติ(ไม่เหมือนพวกที่อ้างว่าเป็นสาวกในยุคนี้ที่อยู่ในกุฏิปูนปรับอากาศ ตกแต่งราวโรงแรมห้าดาว)
    ที่นี้พวกอินเดียแดงก็อยู่กับธรรมชาติแลสั่งสมภูมิปัญญามานาน พวกนี้เรียนรู้กับธรรมชาติดังนั้นจึ่งไม่แปลกดอกที่ข้อสรุปมันจักตรงกัน และ พวกนี้หาใช่คนเถื่อน อย่างในหนังคาวบอย หรือ อย่างที่พวกผู้รุกรานชาวมะกัน
    ใส่ร้ายป้ายสีบิดเบือนทางประวัติศาสตร์ใม่
    แต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอารยธรรมโดยเฉพาะทางจิตวิญญาณสูงยิ่ง(แม้จักไม่เจริญทางเทคโนโลยี อย่างพวกที่ทิเบต ภูฏานก็เป็นเช่นนี้)
    อันที่จริงพวกนี้ ถึงขั้นมีความเข้าใจในเรื่องอิทัปปัจจยตา ตถตา เสียด้วยซ้ำต่างที่ภาษาพูดเท่านั้น เอ็งคิดดูเถิดว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งใด? ก้เรื่องพวกนี้ไม่ใช่หรือ
    แลพวกอินเดียนก็เข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน น่าทึ่งสำหรับคนเมืองอย่างพวกเอ็งหรือไม่? (เหมือนที่พวกมะกันรุ่นใหม่ที่มันหันมาศึกษาศาสนาธรรมของพวกนี้แล้วรู้สึกทึ่งนั้นแล)

    หากสนใจเรื่องนี้ ก็ฝากไว้แล้วกันถ้าลุงมีเวลาจักมาเล่าเอาคำสอนมาเปรียบเทียบให้ฟังว่าที่ว่ามันเหมือนมันเหมือนอย่างไร?
    มันไม่ใช่ลัทธิหมอผีไสย์ศาสตร์วูดูอะไรทำนองนั้นอย่างในโทรทัศน์ดอกนะ นี่ข้าพูดเรื่องศาสนาอินเดียแดงจักมีใครมาหาว่าข้าสอนศาสนาหมอผีอินเดียนหรือไม่ ดังที่เล่าเรื่องนิกายวัชรยานคราวก่อน
    ก็หาว่าข้าเป็นนิกายวัชรยานซะแล้ว นี่ถ้าไอ้คนที่มาหาว่าข้าเป็นนิกายเซนคราวก่อนเห็น มันคงจักงงว่าข้าอยู่นิกายไหนกันแน่ นี่แลมนุษย์เราชอบทึกทักเอาเองซะจริง บ๊ะ -
    [​IMG]

    " You want somebody to tell you about the book or help you to analyse the book, to understand the book. So you invent a priest, a guru, a yogi,
    the sannyasi who will tell you all about it, and so escape from yourself. "

    J.Krishnamurti.

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=b5ID588B59k"]The End Of Time: A Dialogue 1 - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 ตุลาคม 2012
  14. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529

    นั้นแลอีหนูความกลัว เราจะก้าวข้ามมันได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจโครงสร้างของมัน ข้ายังจักไม่อธิบายตอนนี้ ฝากเป็นการบ้านให้เอ็งไปสำรวจดูแลหาคำตอบเองว่ามันเกิดมาจากอะไร? ดีไหม?อีหนู? มองให้เห็นความเป็นมายาภาพของมันที่ความคิดแลเวลานั้นสร้างขึ้นมา อันที่จริงอย่างที่ลุงเน้นย้ำทุกครั้งว่า สัจจะมันมีอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคนนั่นแหละ และอีกด้านหนึ่งของมายาก็คือสัจจะ เมื่อเรามองมายาดีๆ เราก็จักเห็นสัจจะ ในมุมกลับกันถ้ามองสัจจะดีๆ ก็จักเห็นมายา มันมีสองด้านนั้นแหละ และณจุดที่เราเห็นสิ่งนี้จนกระจ่างชัด มันก็จะไม่มีอะไรเลย จะเป็นความว่าง และแม้แต่สัจจะเราก็จักไม่ยึดติด ที่ข้าไม่ชอบให้คำตอบหรือวิธีการเพราะว่า ข้าชอบที่จะพูดกระตุ้นให้คนหันมาค้นหาตัวเองเองมากกว่า เอาอย่างทีอย่างที่เดิบๆ เพียวๆนี่แหละ แต่ไม่ใช่แบบสัญชาตญาณดิบดอกนะ ดูทุกวันนี้สิ คนมันปรุงแต่งเยอะ สังคมมันเป็นสังคมปรุงแต่ง แสดงอะไรออกมานี่ก็แสดงออกมาโดยการปรุงแต่งทั้งนั้น มันจึ่งมีแต่ความเท็จมากกว่าความดีความจริงความงาม เอ็งมีศักยภาพพออย่างไม่ต้องสงสัยเพื่อแต่ต้องสนใจที่จะค้นจักสำรวจตัวเองอย่างจริงจังตั้งแต่ตรงนี้ก็เท่านั้น ถ้าเอ็งทำเอ็งก็จักพบคำตอบได้ในที่สุด แลไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจักมีความสามารถไม่พอเล่า เอ็งมีความสามารถพอสำหรับการนี้ มนุษย์ทุกคนนะมันมีความยิ่งใหญ่ในตัวเอง จงใช้มันและกันนี่ตอนนี้เอ็งก็ใช้มันอยู่บ้างไม่เช่นนั้นเอ็งคงไม่มานั้นค้นหา ตั้งคำถามเพื่อสำรวจตัวเองดอก

    อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราเข้าใจความกลัวอย่างจริงๆๆ ไม่ใช่เมื่อได้ยินคำตอบของใคร แลการวิเคราะห์เอาทางสมอง แต่เห็นจริงๆๆๆ ความกลัวก็จักจบลงไปเองอีหนู มันเป็นการเดินทางม้วนเดียวจบสำหรับการเป็นอิสระจากความกลัว มันเหมือนเราเห็นมันแล้วว่า มันคือเหวที่ข้างหน้า เราก็หยุดรถไม่ขับตรงไปต่อนั้นแหละ อันที่จริง มันไม่ได้หมายความว่า เราจักกลายเป็นคนกล้าที่ไม่มีความรู้สึกแปลกๆๆอย่าขาก้าวไม่ออก สมองตื้อ เมื่อกลัวอีกดอก อีกหนู มันเป็นไปไม่ได้ เพราะบางส่วนของความกลัวมันอยู่ลึกลงไปและตราตรึงอยู่ตั้งแต่ครั้งมนุษย์ชาติได้วิวัฒนาการผ่านมา(ทั้งนี้เพื่อความอยู่รอด) มันมาอย่างอัตโนมัติเหนือการควบคุมของความคิด เสียดวยซ้ำไป แต่ในที่นี้การเป็นอิสระจากความกลัวกลายเป็นว่า เมื่อความกลัวบังเกิดขึ้นมันก็ครอบงำเราไม่ได้อีกมันไม่เป็นปัญหาใดๆๆอีกนั้นแล(เพราะเรารุ้แล้วว่าเราไม่ได้เป็นสิ่งที่แยกขาดไปจากความกลัวเราคือตัวความกลัวนั้น)
    แลตรงจุดนั้นการแสวงหาจักต่างออกไปทีเดียว เพราะมีแต่ผู้ที่เป็นอิสระจากความกลัวนี่แลที่สามารถค้นหาแลตรวจสอบชีวิตของตนได้ นี่แลคือวิปัสสนา แลปัญญาก็เริ่มจากตรงนี้นั้นแล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กันยายน 2012
  15. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    นั้นแลเจ้าเทพเฒ่า พรานที่ดีจักต้องรู้จักเปลี่ยนยุทธวิธีในการทำมาหากินนั้นแลชาวประมงที่ดีก็จักต้องรู้จักเปลี่ยนเครื่องมือจับปลาในบางครั้งเมื่อมันใช้ไม่ได้ผล เพียงแต่ในเว็ปพลังจิตนี้เครื่องมือราคาถูกดูจักจับปลาได้ดีกว่าเครื่องมือซับซ้อนราคาแพง นั้นแล แต่เครื่องมือราคาถูกนี้อาจจักตกได้เยอะกว่านี้หากใช้เหยื่อล่อ อย่างเรื่องไสย์มาช่วย แต่พอดีข้านั้นเห็นว่าหากใช้เหยื่อประเภทนี้อาจจักตกปลาได้เยอะ แต่มิค่อยได้ปลาดี แลปลาเหล่านี้ก็ยังจะพาตัวเองดิ่งลงเหวเพราะธรรมเนียมเก่าๆๆยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกนั้นแล....ทุกวันนี้ทุกคนมักมองว่าศาสนาคือทางแก้ปัญหา แต่ทุกคนไม่รู้ดอกว่าศาสนา(อย่างที่เป็นอยู่และสูญเสียความหมายที่แท้จริงไปอย่างทุกวันนี้)นั้นแล เป็นส่วนหนึ่งที่ก่อปัญหาใหญ่ทีเดียว
     
  16. Jaithai

    Jaithai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +13
    อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราเข้าใจความกลัวอย่างจริงๆๆ ไม่ใช่เมื่อได้ยินคำตอบของใคร แลการวิเคราะห์เอาทางสมอง แต่เห็นจริงๆๆๆ ความกลัวก็จักจบลงไปเองอีหนู

    อันนี้เป็นปัญหาใหญ่เลยลุง...
    เคยมีหลวงพ่อองค์หนึ่ง....สอนธรรมให้หนึ่งข้อ
    ให้รู้ตามความเป็นจริง และก็ให้เห็นตามความเป็นจริงตอนฟังมันก็ไม่ยาก
    พอกลับบ้านมา มันทำไมยากยังงี้ จะทำไงให้มันเห็นตามความเป็นจริงยังงั้น
    เพราะที่รู้และที่เห็นทุกวันนี้นะ มันปรุงจนไม่รู้ว่าจริงมันอยู่ตรงไหน
    เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง หลวงปู่องค์หนึ่งท่านเขียนว่า....
    ให้เอาจิตต้น ไม่ให้เอาจิตปลาย...ความหมายก็คงเหมือนกับ
    ให้รู้ตามความเป็นจริงให้เห็นตามความเป็นจริง ก็พอจะเข้าใจ(ทางสมองอย่างที่ลุงว่า)
    ทั้งสองประโยค แต่ในภาคปฏิบัตินี่สิลุงมันจะรู้จริงเห็นจริงอย่างที่
    เข้าใจหรือเปล่าอันนี้แหละยากที่สุดเลยลุง
     
  17. Jaithai

    Jaithai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +13
    เวลาเขียนตอบกับลุง...รู้สึกแปลกๆนะ
    บอกไม่ถูก อธิบายไม่ได้ อย่างเช่นประโยคนี้(ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนอื่นมองดอกแต่มันคือเอ็งกลัวที่จักเปลี่ยนแปลงตัวเอ็งเองมิใช่หรือ?)
    และที่ลุงเขียนตอบมาครั้งหลังสุด มันไม่ได้กระแทกแต่สมองนะลุง
    ใจมันกระตุกๆ อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
     
  18. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .......วิถีนักรบแห่งอินเดียน นะหรือลุง...ผู้ล่าและเหยื่อ...ต่างกันที่ พวกเขาใช้ สมุนไพร " เปโยติ"ค้นหา ความหลุดพ้นนะสิลุง...อิอิ:cool:
     
  19. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    อันที่จริงมันไม่ใช่ยากดอก แลเรื่องพวกนี้ก็อย่างที่ลุงพูดนั้นแหละว่าใช้สมองขบคิดตามมันไม่ได้ดอก พอตอนฟังนี่มันเหมือนเราเข้าใจพอไปลงมือนี่เราจะรู้เลยล่ะว่าเราไม่เข้าใจมัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เหมือนคนยิงธนูเอ็งมองเขายิ่งเองว่ามันไม่น่ายาก พอทำจริงๆๆจักรู้ว่าเราต้องฝึกอีกมากนักเพื่อจักยิ่งให้แม่น นั้นแล อันที่จริงจักว่าง่านก็ไม่ใช่ ยากก็ไม่ใช่ มันต้องพูดว่าเรานี้ไม่ชินเสียมากกว่า ถูกไหม?เล่าทุกวันนี้ เอ็งมีภาระกิจเยอะเต็มไปหมดหากินเอย รับผิดชอบครอบครัวเอย ไหนจะเพื่อนฝูงอีก ไอ้ครั้นจักมานั้งสำรวจตัวเองตรวจสอบตัวเองนี่มันก็เกือบจักไม่มีเวลา เอาแค่การนั่งแบบนิ่งๆๆจริงๆๆผ่อนคลายหลังตรง กำหนดลมหายใจเข้าออก กว่าจักทำได้อย่างเป็นธรรมชาติจริงๆๆมันก็ต้องใช้เวลาสองปีเป็นอย่างต่ำอีหนู หรือ การกราบนี่บางคนคิดว่าง่าย เอาเข้าจริงกว่ามันจักกราบเป็นจริงๆๆก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนทีเดียว นี่ยังไม่นับรวมถึงการเข้าใจความหมายนะ เพราะเราไม่คุ้นเคยมันก็เท่านั้น นี่คือเรื่องปกติ ประเด็นคือไอ้เจ้าความคิดแสวงหาผลประโยชน์นี่แหละตัวการเลยทีเดียว บางคนมาปฏิบัติมันก็อยากจักเห็นผลเสียแล้ว มันก็ไม่ได้ผลดอกเพราะไอ้ความอยากจักเห็นผลนั้นแหละคือกำแพง มันคิดถึงผลลัพท์เสียแล้วมากกว่าการปฏิบัติซึ่งกำลังเป็นจริงอยู่ขนาดนี้ เข้าใจไหม? คือมันไม่ได้อยู่กับการปฏิบัติจริงๆๆ ใจมันนี่ไปอยู่ที่ไหน?ก็ไม่รู้เสียแล้ว...ความเป็นจริงนั้นอยู่ภายในตัวเรา มันไม่ใช่การสร้างขึ้นมาใหม่ดอก เพราะว่าอะไรที่สร้างขึ้นมาได้นั้นมันไม่ใช่ของจริง แลสิ่งที่สร้างขึ้นมาเป็นได้ก็แค่เพียงผลผลิตของจินตนาการ(หรือการปรุงแต่งทางความคิด) สิ่งที่เราต้องทำก็คือการก้าวล้ำเข้าไปในความเงียบเฝ้ามองมัน ด้วยความตื่นตัวและรู้สึกตัว การรู้ " คือ การนิ่งเงียบ เงียบสนิท
    จนเราไม่อาจจะบอกได้ถึงความแตกต่างระหว่างเสียงที่ได้ยิน หรือเสียงของความเงียบ มันเป็นเสียงเบา ๆ จากภายใน เป็นภาวะที่สลัดทิ้งความคิดทั้งหลาย สงบแลปล่อยวาง ไม่มีก่ารกระเพื่อมไหวติงใดๆๆทั้งนั้น ไม่มีสิ่งที่กวัดแกว่งอยู่ภายใน แลทันใดนั้น ประตูแห่งนิรันดร์ภาพก็เปิดออกและนั่นก็คือ " การระลึกรู้ "เพียงแค่นั้นเอง เราก็จะได้พบหรือได้เห็นถึงสิ่งที่เป็นจริง
    อันการปฏิบัตินั้น อันที่จริงมันก็ต้องอาศัยความอดทนแลวิริยะนั้นแล สองอย่างนี้พวกมหายานเขายกให้เป็นหนึ่งในบารมีหกที่ช่วยให้คนตรัสรู้ อันที่จริงเถรวาทท่านก็พูดเหมือนๆๆกันนั้นแล ขันตินี่ไม่ค่อยมีปัญหาดอก แต่วิริยะนี่ คนมักไม่เข้าใจความหมายมันนัก กล่าวโดยสรุปก็คือการเพลิดเพลินในคุณความดีสิ่งที่ถูกที่ควรที่ตัวเองกำลังทำอยู่ นั้นแล สังเกตุว่าต้องดีด้วย แลคุณความดีที่สุดบนโลกนี้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นอีหนู คือการรู้จักตัวเอง เอ็งไม่จำเป็นต้องเป็นนักบุญเพื่อช่วยโลก แค่เอ็งรู้จักตัวเองเอ็งก็ได้ช่วยโลกแล้ว(แลเอ็งจักช่วยผู้อื่นได้ด้วย) เอ็งก็เข้าถึงหัวใจของศาสนาแล้ว อีหนู แผนที่(ยี่ห้อของศาสนา)ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นเลยแรงปรารถนาอันยิ่งใหญ่ความต้องการอย่างแรงกล้า ในการค้นหาสิ่งที่เป็นจริงต่างหากที่เป็นสิ่งจำเป็น นี่คือความเพียร และถ้าเอ็งมีสิ่งนี้ เอ็งก็จักสามารถย่างก้าวต่อไปได้ด้วยตัวของเอ็งเอง เคลื่อนไหวตัดผ่านเข้าไปในที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลแลไม่มีขอบเขต เป็นการเรียนรู้ที่จะไว้วางใจ และปล่อยตัวเองให้อยู่ในอุ้งมือของชีวิต นี่คือความเพียร
    จักเห็นว่า ไอ้เจ้าความเพียรที่แท้จริงนี่ มันไม่ใช่แบบไอ้พวกบ้าบอในสังคมที่มันกระหายอำนาจเงินทองอะไรทำนองนี้ดอก แบบที่ในสายตาชาวโลกแล้ว
    การตอบสนองต่ออัตตาตัวตนนั้นถือว่าเป็นความสำเร็จ โดยไม่สนใจ ไม่เลือกวิธีการว่าจักทำลายตัวเองคนรอบข้างทั้งมิตรแลศัตรู สังคม ธรรมชาติไปแค่ไหน? คนพวกนี้มันมักถูกยกย่องว่าประสบความสำเร็จ เพราะมันเด่นดังมีเงินมีอำนาจบารมี คนทั้วไปเรียกท่านค่ะท่านขาเพราะเคารพจริงๆๆหรือ? หรือเพราะสยบยอมต่ออำนาจของมัน เพราะหวังประจบสอพลอ แอยากจักเลียนแบบมันเป็นแบบมัน แล้วก็วิ่งวุ่นทะเยอทะยานแลทำลายชีวิตตน นี่เรียกคนบ้า อย่างนี้ไม่เรียกว่าคนมีวิริยะ มันถูกบิดเบือนไปหมดความหมายนี่ ถ้าเอ็งนอนอยู่บ้านไม่ไปแข่งขันเหยียบหัวใคร เบื่อหน่ายมัน มันจะบอกเอ็งขี้เกลียดดูสิคนอื่นเขาไปถึงไหน? มีความเพียรหน่อยสิ นี่มันผิดความหมาย มันคือมานะ ไม่ใช่วิริยะ มันเรียกผู้ซึ่งกำลังวิกลจริตไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จ อันที่จริงการได้รับความเบิกบานนั้นคือความสำเร็จ ซึ่งมันไม่อาจจะเกิดได้จากการแข่งขัน วัตถุ การหลอกตัวเอง แต่เกิดขึ้นได้จากการยอมรับตัวเอง รู้จักตนเองพอใจในตนเอง แลเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย
    ไม่ว่าจะมีใครรู้จักเราหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าเราจะอยู่อย่างไร อยู่โดยที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเราไม่ทันได้สังเกตุเรา แต่หากเรามีความเบิกบาน มีความสุข สงบสันติในใจ นั้นต่างหากจึ่งเรียกว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้ว
    จะเห็นได้ว่า ไอ้ขันติ วิริยะ นี่จักรักษาได้มันก็ต้องมีสติเพื่อคอยเตือนตัวเองแลโน้มนำตัวเองเข้ามาปฏิบัตินั้นแลสติจึ่งเป็นนายต้อนฝูงวัว อันที่จริงหลักธรรมสำคัญๆๆในพระพุทธศาสนามันแยกขาดจากกันไม่ได้ดอกเวลาปฏิบัติมันจักต้องไปด้วยๆๆกัน บางคนเข้าใจว่าวันนี้หนูทำอันนี้ พรุ่งนี้หนูทำอันนั้น นี่มันไม่ได้ทำจริงๆๆดอก ถ้ามันทำจริงมันจะรู้ว่าไม่แยกขาดจากกัน อย่างบทสรุปของการปฏิบัติทั้งหมดย่ออยู่ในศีล สมาธิ ปัญญาใช่ไหม? ตรงดูเถิดว่าทำไมเราถึงมีศีลกันแบบขาดๆๆเกินๆๆไม่ครบวันนี้ข้อพรุ่งนี้ข้อ ก็เพราะเราไม่มีสมาธิ นี่เองถูกไหม?ไม่มีสมาธิพอจักเตือนตัวเองว่าเรากำลังจะศีลขาดแล้ว แลไม่มีปัญญาพอจักเห็นว่าเมื่อศีลขาดแล้วมันเกิดอันใดกับเรา เห็นไหมมันแยกขาดจากกันไม่ได้ อันตัวข้าเมื่อก่อน เจ้าตัวถีนมินธะ นี่คือปัญหามากนักความหดหู่และเคลิบเคลิ้มง่วงเหงาหาวนอน เวลาปฏิบัติไปนี่มันก็ง่วงก็อะไร? เวลาได้นอนกะว่าจักตื่นเช้าๆๆมานั่งปฏิบัติมันก็ไม่ยอมตื่น อะไรทำนองนี้มันก็เป็นปัญหาไป นานทีเดียวอีหนู ตอนแรกข้าก็ไม่เข้าใจดอกว่าทำไม?ไอ้เจ้าตัวนี้ถีนมินธะนี่มันถึงได้ร้ายแรงขนาดจัดอยู่หนึ่งใน นิวรณ์ เมื่อเอามามาพิจารณามันถึงเข้าใจว่า อ้อมันทำให้้เราพลาดจากสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์ไปมากมายจากในชีวิต ข้าก็ไม่เคยแพ้มันอีกเลย ความจริงต้องพูดว่าพอเข้าใจแล้วไม่ต้องสู้กับมันอีก พอมันเกิดขึ้น เราก็พูดกับมันได้เลยว่านั้นแน่ เอ็งมาลวงข้าอีกแล้วเพื่อนยาก ข้าไม่หลงกลเอ็งดอกจักบอกให้ส่วนเรื่องปริยัติ กับ ปฏิบัติมันสมควรจักดุลกัน แต่จริตคนนะมันมักจะโน้มไปทางใดทางหนึ่ง ก็ไม่เป็นไร เพียงมันเข้าใจว่าอะไรที่มันเยอะไปมันก็เป็นภัยร้ายก็พอ อย่างพวกปริยัติจนเพ้อ ปฏิบัติจนเพี้ยนนั้นแล ดังนั้นมันก็ควรจักจัดสมดุลสักหน่อยให้มันเกื้อกลูกันตรวจสอบซึ่งกันและกัน อย่าไปเข้าใจว่า เราจักต้องจำหลักธรรมมันทุกพระธรรมขันธ์จึ่งจักเรียกว่าเข้าถึงธรรม อย่าไปคิดว่าเราต้องปฏิบัติตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงจนชั่วชีวิตชาตินี้ไม่พอเอาชาติต่อๆๆไปด้วยจึ่งจักพบธรรม นี่คือเรื่องไร้สาระ เหมือนที่พระพุทธเจ้าสอนว่า พิณนี่สายของมันไม่ควรจักตรึงหรือหย่อนเกินไปจึ่งจักดีดได้ไพเราะ นั้นแล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 ตุลาคม 2012
  20. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    เป็นหนังสือที่ดีมาก แลต้องอ่านให้จบคนแปลก็มีความสามารถมาก แม้ปัจจุบันแกจักเน้นแปลงานกฤษณะจีเป็นสำคัญ แลจะพบว่า เปโยตินี่เป็นแค่อุปายะ หลอกคนโง่ ของหมดผีดอนฮวน แลวิธีนักรบอินเดียนนั้นผู้ล่า แลเหยื่อก็อยู่ข้างในไม่ใช่ข้างนอกดอก เหมือนศาสตร์แห่งการต่อสู้ทุกชนิดของตะวันออกซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องทางจิตวิญญาณ ที่ต้องมีการไหว้ครู คราวะคู่ต่อสู้ กล่าวคือศัตรูคือตัวเราเองและเราไม่ใช่ผู้ชนะ แต่เป็นเพียงผู้เฝ้าดู ผู้มีศิลปะที่สูงกว่าต่างหากที่ชนะ ตัวศิลปะต่างหากที่ชนะไม่ใช่ตัวคน หากเราหลงคิดว่าเราคือคนชนะ นั้นแลเราแพ้แล้ว มันไม่เหมือนทุนนิยมแลบริโภคนิยมทุกวันนี้ดอกนะ ที่โลกใบนี้คือสงครามที่ทุกคนต้องมาแข่งขันกัน มือใครยาวสาวได้สาวเอง แลทำไมทุกคนบนโลกใบนี้ถึงมองมันดุจว่ามันปกตินักทั้งๆๆที่มันเป็นโลกของคนวิกลจริต ข้าล่ะสงสัยจริง เอาเป็นว่าสำหรับวิถีนักรบอินเดียนนั้น ทุกครั้งที่พรานจักล่า เขาจักทำการคราวะเหยื่อ เรื่อง Avatar ลุงว่าน่าจักได้ไอเดียมาจากตรงนี้ เขาทำเช่นนี้ก็ด้วยตระหนักว่าอานุภาพเดียวกับที่ประหารสัตว์หรือพืชเหล่านั้นก็จะประหารตัวเขาด้วย และเขาเองก็จักถูกกลืนไปด้วยกฎเกณฑ์อันเดียวกันนี้เช่นเดียวกัน
    มนุษย์นั้นต้องดำรงชีพด้วยการล่าสิ่งมีชีวิตเป็นอาหาร เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต จักล่าสัตร์หรือพืชก็ไม่ต่างกันดอก ก็คิดดูว่าพวกเสพผักแลประนาณคนที่ไม่กินแบบตนว่าชั่วมันบ้าแค่ไหน? เพราะ เวลาเอ็งเอานมโคมาเพื่อบรรเทาความกระหาย เอ็งก็ต้องแย่งเอาน้ำนมจากลูกของมันมิใช่หรือ เอ็งกินเมล็ดพันธ์เอ็งก็ตัดโอกาสที่มันจักได้เติบโตเป็นไม้ใหญ่มิใช่หรือ ดังนั้นเขาจักระลึกเสมอถึงความจริงนี้ แลบุญคุณของผู้สังเวย เขาจักทำประดุจดังการสังเวยต่อเทพพระเจ้า และระลึกว่าขณะนี้สิ่งที่สดและบริสุทธิ์จากทุ่งนาป่าเขา ได้กำลังถูกนำมาวางเป็นพลีแก่สิ่งสะอาดและบริสุทธิ์กว่าอันดำรงอยู่ในมนุษย์(หรือพระเจ้า หรือพุทธะ หรือปัญญาตื่นรู้ มันก็แค่ถ้อยคำนะ) ทำนองนี้

    นอกจากนี้เขายังมีความเข้าใจในการเชื่อมโยงกันของสรรพสิ่ง(หลักอิทัปปัจจยตา)อีกด้วย ดังที่เขาถือว่าพื้นดินคือมารดาเขา พวกเขาคือบุตรแลธิดาของนาง อันใดที่พวกเขากระทำต่อนาง อันนั้นก็จะย้อนมาสู่พวกเขาในวันหนึ่ง พวกเขาจึ่งรักแลเคารพ ไม่เหมือนคนเมืองทุกวันนี้ที่มองโลกเป็นเพียงทรัพยากร สิ่งแวดล้อมแค่คำก็สื่อมาชัดเจนถึงความบ้า มันมองตัวเองเหนือกว่าและแยกขาดจากกันนี่ใครล่ะที่ด้อยพัฒนากันแน่ บ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 ตุลาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...