ลุงเทพอภิบาลลุงเป็นใครค่ะ?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย dakini, 21 กันยายน 2012.

  1. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ผมว่าที่มีนิกายหลากหลายเพราะว่า มีแต่ผู้ที่เน้นแต่ปฏิบัติ แล้วพอได้เห็นได้พบเจอในสิ่งที่ปฏิบัติขึ้นมา
    ซึ่งมันต้องมีความแตกต่างหลากหลายมากมาย คนนั้นเห็นอย่างงั้น คนนี้เห็นอย่างนี้ เจออย่างนี้

    โดยที่ก็ไม่รู้ได้เลยว่าสิ่งที่บุคคลเหล่านั้นได้เห็น ได้พบเจอขึ้นมา จากการที่ปฏิบัตินั้นเป็นความจริง เป็นเรื่องจริง เป็นสาระแก่นแท้
    เลยมีการแบ่งเป็นนิกายนั้นนิกายนี้ขึ้นมา ตามที่ตนเองได้รู้ ได้เข้าใจ และคิดว่าเป็นทางที่ถูกต้อง

    ในทางกลับกันถ้าเราเดินตามทางคำสอนของศาสดาถูกต้อง ปฏิบัติไปแล้วไปเจอกับอะไรก็เอาไปเทียบเคียงกับพระไตรปิฏก ว่าทางที่เราดำเนินไปนั้นถูกต้องหรือมั้ย อย่างน้อยก็ถือว่ามีทางให้เทียบเคียงมีแผนที่ให้ดู
    (แต่ถ้าจะบอกว่าพระไตรปิฏกเชื่อถือไม่ได้ก็แล้วแต่นะ)


    เพราะว่าขนาดพุทธในประเทศไทย บางเรื่องก็ยังดูเหมือนขัดแย้งกันเห็นไม่ตรงกันเลย

    แต่ถ้าจะเดินไปด้วยกัน คงเดินไปถึงอย่างมากก็แค่สวรรค์ ไม่ก็พรหม แต่ถ้าโชคร้ายหน่อยก็อบาย

    เพราะเห็นเดี่ยวนี้เห็นหลายคนพร้ำพูดกันนักกันหนาว่า ช่างโชคดีที่ที่ได้เกิดมาเจอพระพุทธศาสนา
     
  2. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    ข้าฟังก็แล้ว......

    อันตัวข้า ชอบคุยเรื่อง ศาสนา ปรัชญา การเมือง นะ เพื่อประเทืองปัญญา และ ต่อยอดภูมิความรู้ และ พัฒนาจิตใจและความเข้าใจ

    หากปัจจัยทั้งหลายที่เข้ามามันส่งผลทางลบมันตรงข้ามกับวัตถุประสงค์ที่ข้าคิดไว้

    ข้าก็ไม่จำเป็นต้องชี้แจงอันใดต่อ

    หากแต่ตัวข้าคุยด้วยเหตุผล ของปรัชญาด้านต่างๆ นิกายต่างๆ ข้าก็ไม่ได้ยกนิกายไหนมาเหนือนิกายใด ข้าก็คือผู้ที่ชอบศึกษาศาสนา ทุกนิกายจึงพอเล่าได้ว่า อันไหนคือปรัชญาของฝ่ายไหน แต่หากข้าจักกล่าว ถึงมหายานวัชรยานมากหน่อย เพราะมีให้ศึกษาเป็นภาษาไทยและความเข้าใจมีน้อยมาก ในขณะที่ข้าก็ศึกษาเถรวาทมานานนัก จึงศึกษามหายานและวัชระยานต่อ เพราะสงสัยในปรัชญา แค่นั้นเอง ข้าจึงเข้าใจอยู่บ้าง แลมันไม่เหมือน ที่ข้าเคยเข้าใจมาก่อนหน้าแค่นั้นเองเพราะก่อนหน้านั้นเราไม่ได้ศึกษากับผู้ที่ปฏิบัติในนิกายนั้นจริงๆ
    จึงคุยได้ว่า อ้อนี่เป็นปรัชญาเถรวาท นี่เป็นมหายาน นั้นคือวัชรยาน

    แต่ข้อความข้ามันอาจทำให้ผู้อ่านเกิดความขัดแย้ง แล จนกลายเป็นผิดวัตถุประสงค์ที่ข้าคิดไว้ จึงไม่มีประโยนช์ด้านการเพิ่มพูนความรู้
    ข้าก็ขออภัยทุกท่าน เพราะข้า เรื่มเองก่อเอง ข้าจึงขอรับผิดเอง
    และโปรดให้อภัยข้านะ จักได้ไม่เป็นการจองเวรแก่กัน
     
  3. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    (^_/\_^) ยังโชคดีที่ข้าน้อยยังมีแขนสองข้างครบให้ได้ประนมมือพบปะท่านผู้อาวุโส ได้สดับคำกล่าวของท่านแล้วข้าน้อยก็พอเข้าใจบ้าง ท่านเมพขิงๆ 555+
     
  4. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    ข้าฟังแล้ว ศาสนา ท่านอาจารย์เสถียร เคยได้กล่าวไว้ในสุนทรีภาพ ของพุทธศาสนาประมาญว่า มันมีศาสนาที่เกิดจากความกลัว และ ศาสนาที่เกิดจากปัญญา
    เอาเป็นว่าข้าเข้าใจดีแล้วกัน

    ส่วนที่แก้วเมืองกล่าวมานั้น ก็คงเป็นการประชดกระมั้ง ข้าก็อณุโมทนาด้วย
    เพราะหากเราแทงเขากลับมันจักไม่จบแลบรรยากาศแห่งเว็บพระพุทธศาสนาจะหม่นเอา

    อย่าสนเทห์เลย ข้าก็เทพธรรมบาลอวตารมา เพียงเพราะไม่อยากให้เข้าใจผิดว่าเทพธรรมบาลคือเทพอภิบาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2012
  5. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    ศึกษาไว้เถิด ศาสนาพุทธนี่ แปลกกว่าศาสนาอื่นอย่างนะ อ่านตำราจนเข้าใจท่องจำได้ทุกตัวอักษร ก็ยังไม่มีทางสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของศาสนาได้

    เพราะความเข้าใจเหล่านั้นไม่อาจเข้าใจถ่องแท้ด้วยสมองมนุษย์
    ครูบาอาจารย์ท่านจึงให้ปฏิบัติพัฒนาจิตเพื่อให้เข้าใจสัจะธรรม
    จะด้วย สมรรถะก็ดี วิปัสนาก็ดี โยคะก็ดี ลวนส่งผลสู่ญาณปัญญา

    จักยกตัวอย่้าง พระจูฬปันถก ที่ไม่น่าจะสดัปธรรมเข้าใจได้ พุทธองค์ทรงได้ให้อุบายการปฏิบัติฝึหจิตแก่ พระจูฬปันถก จนบรรลุได้
     
  6. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    ข้าไปนอนดูลมหายใจเข้าจมูกซ้ายออกจมูกขวาก่อนดีกว่า
     
  7. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512

    ส่วนใหญ่ผู้ไม่ชอบมหายานหลายคนนั้นปรารถนาโพธิญาณ เท่าที่ถามมาคนมักจะบอกว่ามหายานเป็นอะไรที่สุดๆ คือแปลกๆ
    อย่างสวดมนล้างกรรมหลายแสนล้านโกฏิกัป ฯลฯ

    พูดมาก ผิดมาก แต่ผมก็ไปทางเถระวาทมากกว่าครับ
    ผมอาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องเถระวาทกับมหายาน
    แต่ผมนับถือพระพุทธเจ้า ที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้เป็นพระสมณโคมดมสัมมาสมัพุทธเจ้า อะไรก็ตามที่แย้งกับความสอนพระองค์ ผมถือว่าผมไม่มีสิทธิที่จะไม่ฟัง
     
  8. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    อย่างโพธิสัตว์ เถววาทคือ บุคคลปรารถเป็นพระพุทธเจ้า
    มหายาน คือพระอรหันห์ หรือบ้างก็ว่าคือ พระพุทธเจ้าที่สิ้นกิเลสไปแล้ว แล้วปรารถช่วยคนต่อ ถึงเรียกว่าโพธิสัตว์
    ทางเถระวาทกล่าวว่า อรหันห์แล้วเข้านิพพาน แล้วมหายานอรหันห์แล้วเป็นโพธิสัตว์ต่อ

    โดยรวมแล้วคำสอนจะคล้ายๆกัน แต่ต่างกันที่ความเชื่อ
    เพราะกุสโรบายของคนในหรือครูบาอารย์ในอดีต
    ต้องการให้คนทำดีและไม่ต้องการให้คนหลงตน
    ก็เลยแต่งๆเพิ่มไปบ้างคนละนิดพอเยอะคน มันก็เยอะข้อความ
    อย่างปัจจุบันก็มีบูชาโดเรม่อน
    อนาคตก็ไม่รู้จะแต่งอะไรเพิ่มอีก

    พุทธดำรัสกล่าวว่า ในอนคตจะมีภิกษุจะแต่งคำสอนพระองค์ใหม
    และจะมีคนเอาพระธรรมไปดัดแปลงเป็นของตน

    ศาสนาจะเสื่อมก็ด้วยพุทธบริษัท4

    ทุกอย่างมีเกิดมีดับ ศาสนาก็ต้องมีวันสุดท้ายเหมือนกัน
    เมื่อก่อนก็กะตือรือร้นว่า ไม่อยากให้เสื่อมเร็ว
    แต่ตอนนี้ผมมองแบบเห็นแก่ตัว ไม่ทุกไม่ร้อน คือ ช่างมัน
    ใครจะทำอะไรก็ปล่อยเขาไป ขอแค่เราไม่เป็นคนทำก็พอแล้ว





    ไม่เห็นเหรอธรรมชาติเล่นงานเราใหญ่แล้ว
    จากเมืองที่ไม่เคยมีภัยพิบัติเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2012
  9. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    [​IMG]
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .............แล้วเจตนา ล่ะ ลุง เจตนา ที่ลุง...กระทำหรือระบายหรือสุมควันนั้นขึ้นมา ให้คนอย่างผมเห็น มันมีเป็นรูปธรรมนั้น ย่อมมี แน่ ถูกใหม?ลุง......สิ่งนั้นถ้าเรียกให้ดูเท่ห์ คือ การ ปลุก หรือ....ลุง?:cool:(พยามใช้สำนวนนักเขียน)ที่จริงผมไม่ค่อยเชื่อว่าลุงคือ พจนา จริงจริง..มันมีคนที่ชอบ สวมรอยอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2012
  11. เอื้อมบุญ

    เอื้อมบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    385
    ค่าพลัง:
    +617
    ลูกธนูที่ถูกปล่อยจากหน้าไม้
    อันตรายน้อยกว่าหอกที่ถูกแทงจากข้างหลัง


    (ยืมเค้ามา)















     
  12. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    บ๊ะ ข้่าบอกว่า ชื่อพจนา ส่วนใช่หรือไม่ พวกเอ็งมันเอาไปชนกันเอง แลมิมีส่วนรู้เห็นอันใดดอก แลมาหาว่าสวมรอยได้อย่างใด อันที่จริงมันก็มิ สำคัญดอก มิได้เป็นนายกสักหน่อย อย่างเรื่องไก่ เห็นมีคนติดใจมาก แลบอกว่ามันมิได้เอาไว้ชน มันก็ยังไม่วายหาเรื่องมาบอกว่าเลื้ยงไปทำไม แลบอกปล่อยไปเถอะ เอ้า.....ไก่บ้านนะ มันอยู่มานานแค่ไหนแล้วเล่ากับคนไทย เอาไปปล่อยไหนล่ะ ป่าหรือไร?บ๊ะ ไก่มันไม่ใช่ไก่ป่าดอก เพราะมันเอามาเลื้ยงเป็นสัตว์บ้านมานานมันชินกับการหากินตามลานบ้านแล้วล่ะ มันก็เหมือนเอ็งเอาหมาบ้านแมวบ้านไปปล่อยป่านั้นแล มันกลายเป็นสัตว์เลี้ยงในวิถีคนตจว.มานานแล้ว อย่างเรื่องพระเนเรศวรนี่ชัดเลย ตั้งแต่เจ้ายันไพร่นั้นแลคนไทยยุคก่อนเขาจักเลี้ยงไก่ กันจักเอาไว้ชนหรือไม่ไม่รู้ แต่ไก่ไทยเขาก็พัฒนาพันธุ์มันมาให้เป็นไก่นักสู้ มันก็เลยกลายเป็นไก่ชนไป
    เอาเป็นว่าช่างหัวมันเถอะ อย่าไปสนใจให้มากนักมันปวดหัว นาเด็กๆๆๆๆ อ่านเอาแปลกเอาฮาไปเถอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กันยายน 2012
  13. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    จักกล่าวอย่างนั้นมันก็ไม่ผิดดอก เรื่องนิกายนี่มันน่าหัว เพราะแค่ที่อินเดียเองมันก็มีนิกายนับไม่ทั่วอยู่แล้ว ก่อนจักเข้าไปยังที่ประเทศอื่นๆๆนั้นแล ในยุคพระเจ้าอโศกนั้นก็มีนิกายเกิดขึ้น ถึง 17-18 นิกายใหญ่ๆๆๆ นั้นแล ตอนนั้นนิกายมหายานยังไม่เกิดขึ้นมาเลย จักมีก็แค่ความคิดบางอย่างที่ยังดำรงอยู่ปนๆๆกันบ้างมันพึ่งมาขยายใหญ่ขึ้นก็หลังจากนั้นอีกสักพัก โดยท่านนาครชุน ท่านอสังคะและวสุพันธ์นั้นแล จนมันเข้าไปถูกจริตคนอินเดียในยุคนั้นแล และไปไกลทางเหนือไปทางญวณ ทางจีน ทางธิเบต มองโกเลีย ภูฏาน ญี่ปุ่นในเวลาต่อมา

    ก่อนหน้านั้นเขาก็ถือว่าเป็นเถรวาททั้งหมด ความจริงจักเรียกเถรวาทก็ไม่ถูกเพราะ เถรวาทจริงๆก็เป็นหนึ่งในนิกายที่แตกลงมาอีกจาก17-18 นิกายใหญ่ๆๆๆ(เจ้านิกายคือบุตรของพระเจ้าอโศกซึ่งไปเผยแพร่ที่ลังกา ก่อนจักแตกลงยังไทย ยังพม่า ยังลาว แถวๆๆนี้แล) เหล่านั้น ก่อนหน้านั้นเขาจักเรียกว่านิกายหีนยาน ไม่ก็ฝ่ายใต้ นั้นแล เพียงแต่พอมาในยุคหลังๆๆๆ เขาอยากจะเอาชื่อใหม่มาตั้งเพราะชื่อหีนยานมันดูเหมือนถูกดูแคลนยังไงไม่รู้ เขาก็เลยเรียกใหม่ตามชื่อนิกายที่ลังกาว่า เถรวาท นั้นแล

    ที่นี้ไอ้เรื่องพระโพธิสัตว์นี้ มันหมายตามคำว่า ผู้กล้าที่มุ่งสุ่การตรัสรู้นั้นแล เพราะคำว่าโพธินี้ เราได้มาจากชื่อต้นโพธิ์ ซึ่งเป็นต้นไม้ตะกูลมะเดื่อ ที่มันไม่มีแก่นที่ภายใน เหมือนเรื่องหัวใจคำสอนของศาสนาพุทธที่เน้นเรื่องความไร้แก่นสารของสิ่งทั้งปวง หรือ พูดให้ถูกก็คือโพธิหมายถึงการมีปัญญาญาณตระหนักรู้ในเรื่องนี้ ส่วนคำว่าสัตว์มาจากคำว่าสัตตวะ แปลว่าผู้กล้านั้นแล

    ส่วนอุปายะของพระโพธิสัตว์มันอยู่ตรงนี้ คือทำให้พระคุณของพระพุทธเจ้าเป็นบุคลาธิษฐาน นั้นแล คล้ายเรื่องธรรมาธรรมะสงคราม ของพระบาทสมเด็จพระมงกถฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง ที่ทำให้อกุศล แลกุศลกลายเป็นบุคคลขึ้นมาสู้กันนั้นแล นี่ก็เป็นการยืมเอามาจากความคิดมหายาน ซึ่งนิกายมหายานยืมเอามาจากชาดกนิทานอีกที ดั่งเรื่องนี้พระองค์ท่านก็ยืมความคิดมาจากธรรมชาดกเอกาทศนิบาต เช่น ความเมตตากรุณา เขาก็ทำให้เป็นมนุษย์เสียในนามอวโลกิเตศวร ปัญญาเขาก็ทำในนามมัญชุศรี นั้นแล เพื่อไว้บูชาหนึ่ง เพื่อไว้ระลึกถึงหนึ่ง เพื่อไว้เป็นอุดมคติที่ต้องก้าวไปให้ถึงหนึ่งนั้นแล

    อีกประเด็นคือ เขามีความเข้าใจว่ารากฐานของมนุษย์ทุกคนนั้นคือความเห็นแก่ตัว คือทำอะไรๆๆก็มักจักยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง แล้วจึ่งทุกข์ ถ้าพูดแบบพระบาลีก็ อุปทานขันธ์นั้นแลที่ทำให้ทุกข์ ดังนั้น เขาจึ่งให้พยายามปฏิบัติตามอุดมคติพระโพธิสัตว์คือ ให้ช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะให้เห็นแก่ผู้อื่นมากกว่าตนเองให้ได้ มันก็เป็นการลดความยึดมั่นถือมั่นไปนั้นแล อย่างที่พ่อหนุ่มพูดมาก็ไม่ผิดดอก ดั่งที่เขามักเอานิทานชาดกมาเป็นกุศโลบาย อย่างพระพุทธองค์ก่อนตรัสรู้เคยสละเนื้อให้นกอินทรี เคยสละชีวิตให้แม่เสือที่กำลังหิวจัดจนจะกินลูกของตัวเอง ทรงให้อภัยพระราชาที่กำลังสั้งแล่เนื้อพระองค์ อะไรทำนองนี้แล

    ดั่งตอนหนึ่งของพระสูตรอวตัมสกสูตรที่มีการเขียนไว้ว่า "ดูกร สมันตภัทร โพธิสัตวืคือผู้ซึ่งละเลยตนเอง หลงลืมตนเอง แต่ถือเอาประโยชน์สุขของสัตว์โลกเป็นปฐม ยอมลงมาเพื่อร่วมทุกข์สุขกับสัตว์โลก ช่วยเหลือเกื้อกลุปลดปล่อยพวกเขา ทำลายล้างความมืด แลนำแสงจรัสเข้ามา ท่านดำรงอยู่ทุกๆๆที่แม้แต่ขุมนรกที่ลึกที่สุด เพื่อบรรเทาความป่วยไข้ของสัตว์นรก และปิดทางสุ่นรก เขาคือผู้ชื่นชมยินดีในความหลุดพ้นของสัตว์โลกทั้งหลาย"

    นั้นแล และตอนท้ายพระสูตร พระสมัตรภัทรก็ถามพระพุทธเจ้า(อามิตาภะ) ว่าถ้าเช่นนั้นพระโพธิ์สัตว์คือใคร? พระพุทธเจ้าตอบว่า "ก็พวกเธอทุกๆๆคนไง"นั้นแล

    ดังนั้นเมื่อเราพิจารณาประเด็นนี้เราจักเห็นจุดแข็งแลจุดอ่อนนั้นแล จุดแข็งก็อย่างที่ได้บรรยายไป มันเป็นแนวคิดที่ทรงพลังมากซึ่งถ้ามนุษย์ทุกคนลองปฏิบัติตามนี้โลกนี้ก็จักเปลี่ยนไปอย่างมาก แต่จุดอ่อนคือผู้คนอาจจักไม่เข้าใจแลมองว่าพระโพธิสัตว์เป็นสิ่งที่อยู่ไกลไปจากตัวเอง คือเป็นบุคคล ตัวตนที่อยุ่ภายนอก คล้ายๆๆเทพเจ้าที่คอยบันดาลความสุขปักเป่าความทุกข์ แลงอมืองอเท้าไม่พึ่งตนเอง อย่างเช่นเวลาทำบาปทำกรรมอันใดมาก็เข้าใจว่าตัวเองไปสวดอ้อนวอนก็จักล้างบาปได้ ซึ่งผิดไปจากวัตถุประสงค์นั้นแล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กันยายน 2012
  14. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529

    ไอ้สวดล้างกรรมนี่มันก็มีนั้นแลพ่อหนุ่ม แต่มันเป็นแค่ส่วนเดียวของนิกายมหายาน คล้ายๆๆเถรวาทก็มีการสวดทำนองนี้เหมือนกัน มันก็เหมาะสำหรับคนบางพวกนั้นแล อันนี้เป็นอิทธิผลจากนิกายสุขาวดี ซึ่งมีลักษณะเป็นศรัทธาธิกะ นั้นแล

    [​IMG]

    อย่างไรก็ตามพวกสุขาวดีนี้ก็มีทั้งที่ฉลาด แลโง่นั้นแล พวกฉลาดมันก็มีการตีคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งนัก พวกที่ไม่ได้มีสติปัญญามากมันก็สอนเรื่องสวดนั้นแล แต่มันเป็นการสวดแบบที่ต้องพิจารณาให้ลึกๆๆๆ อย่างเช่นเมื่อเราสวดถึงพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ในส่วนนิกายนี้เขาจักเน้นไปที่พระพุทธเจ้านามว่า อามิตาภะมากกว่า พระศากยมุนี เมื่อสวด แต่เมื่อศึกษาคำสอนในระดับพวกที่ฉลาดๆๆเขาก้จักหันมาศึกษาพระสูตรมหายานคู่ไปกับคำสอนของพระพุทธเจ้าศากยมุนีใพระไตรปิฏกนั้นแล ทีนี้การสวดมันก็ไม่ใช่ว่าจักง่ายดอก มันต้องสวดด้วยใจบริสุทธิ์มันจึ่งจักเห็นผล สวดแบบขอพร ขอนั้นนี่ แบบอาซิ้มนี่มันยังเรียกว่าไปผิดทาง การสวดมันคล้ายการตั้งจิตว่าเราจักไม่ทำบาปอีก เราจักสำนึกบาปอย่างแท้จริงต่ององค์อามิตาภะ คล้ายๆๆที่พวกคริสต์เตียนนั้นแล ทีนี้เวลาทำตามนี้พวกอาซิ้ม ก้จักไม่กล้าทำบาป ก็จักใจบุญ มันก็รอดตัวได้เพราะศรัทธานั้นแล เวลาจักดับจิตจิตมันก็สงบมันไม่คิดเรื่องบาปเรื่องกรรมนักเพราะมันไม่ได้ทำ มันกลัว และมันก็ไม่กลัวความตายด้วยเพราะคิดว่าพระอามิตาภะจักมารับไปแดนสุขาวดีมันก็ดับจิตแบบเป็นกุศล มันก็ไปเกิดในภพภูมิที่ดีนั้นแล

    ทีนี้นี่เป็นแบบง่ายนั้นแล มันมีแบบสติปัญญาด้วยคือแดนสุขาวดีนั้นแบบโง่จักคิดว่าหมายถึง แดนที่อยู่ที่ไหนสักแห่งที่เวลาตายแล้วถ้ามีกุศลพอก็จักไปเกิดเพื่อเรียนพระธรรมกับพระพุทธเจ้าอามิตาภะก่อนจักตรัสรู้ต่อไป ในอนาคต ดังเรื่องกามนิตที่ เสฐียรโกเศศ–นาคะประทีป แปลมาจากงานเขียนของกวี Der Pilger Kamanitaก็ได้อิทธิผลมาจากตรงจุดนี้ เรื่องนี้ถูกจริตคนไทยมากจนถึงทุกวันนี้ มีจุดผิดเพียงอย่างเดียวคือนางวาสิฏฐี แม้จักอยู่ในแดงสุขาวดียังเป็นหญิงซึ่งตามพระสูตรเขาว่าจักไม่มีเพศเพราะไม่มีความเป็นทวิลักษณ์ ที่นี้แบบฉลาดมันก็จักพบว่าแดนสุขาวดีนั้นหมายถึงดวงจิตที่ขัดเกลา หรือ ปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้าจนบริสุทธิ์ จนสว่างไปด้วยปัญญา หรือก็คือแดนสุขาวดีที่แท้อยู่ในใจตนนั้นแล เกี่ยวกับแดนสุขาวดีนี้ ฮุ่ยเหน็ง สังฆปรินายกที่6แห่งนิกายเซน(คนล่ะนิกายนะเด็กๆๆแต่เขาอธิบายคำสอนแท้ๆๆของนิกายสุขาวดีให้ฟังสมัยก่อนเขาใจกว้างเรื่องนิกายนัก) ได้อธิบายไว้ดังนี้ แลข้าเทพอภิบาลยืมมาขยายต่อ จงสดับเถิด

    ตามพระสูตรแล้ว บรรพชิตและฆราวาสต่างเอ่ยพระนามของพระอมิตาภะโดยหวังว่าจะไปบังเกิดในดินแดนทางทิศตะวันตกอันเป็นดินแดนบริสุทธิ์ ดังในพระสูตรนี้ที่กล่าวถึง เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสพระสูตรนี้ที่กรุงสาวัตถีว่า แดนบริสุทธิ์นั้นมิได้อยู่ไกลไปจาก(กรุงสาวัตถี)ก็ระยะทางเป็นไมล์ก็ได้ 108,000 ไมล์เท่านั้น อันว่าระยะทาง108,000 ไมล์นี้แท้ที่จริงก็คือ อกุศล 10 และ มิจฉัตตะ 8 ภายใน ตัวเรานั่นเอง ดังนั้นสำหรับพวกที่มีใจต่ำแดนสุขาวดีนี้ย่อมอยู่ไกลแสนประมาณ แต่สำหรับพวกมีใจสูงย่อมอยู่ใกล้นิดเดียว อันว่า อกุศล 10 ประการนั้นเกิดจาก จิต ถึงสามประการคือ โลภ โกรธ หลง เกิดจากวาจา มีถึงสี่ประการคือ โกหก หยาบ นินทา และเพ้อเจ้อ และกายกระทำชั่ว สามอย่างคือ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักขโมยและผิดในกามตัณหา ส่วนมิจฉัตตะหมายถึงหนทางที่ตรงกันข้ามกับ มรรคมีองค์แปดคือมิจฉาปัญญา มิจฉาสมาธิ มิจฉาสติ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวาจา เป็นต้น เพราะฉะนั้นในขณะที่คนมีปัญญาชำระใจของตนเองให้บริสุทธิ์ เขาจึ่งจักพบดินแดนแห่งพุทธะ เพราะพระพุทธองค์เคยตรัสว่า "เมื่อใจบริสุทธิ์ดินแดนแห่งพระพุทธเจ้าก็บริสุทธิ์พร้อมกัน" แต่คนที่ไร้ปัญญาไม่เข้าใจในนัยยะนี้ เพียงเข้าใจว่า แค่พากันกันออกนามพระอมิตาภะและอ้อนวอนขอไปเกิดในแดนบริสุทธิ์ก็เพียงพอแล้ว อาศัยแค่ศรัทธาเข้าว่า ย่อมมิอาจจะไปถึงได้ ดังที่กามนิตได้ตระหนักถึงในตอนท้ายๆๆนั้นแล คนสามัญและคนโง่ไม่เข้าใจในธรรมญาณ และไม่รู้จักว่าแดนบริสุทธิ์มีอยู่พร้อมแล้วในตัวของตัวเอง ดังนั้นจึงปรารถนาไปเกิดทางทิศตะวันออกบ้าง ทางทิศตะวันตกบ้าง แต่สำหรับคนที่มีปัญญาแล้วที่ไหนๆก็เหมือนกันทั้งนั้น ตามที่พระพุทธองค์ ตรัสเอาไว้ว่า "เขาจะไปเกิดที่ไหนไม่สำคัญเขาคงมีความสุขและบันเทิงรื่นเริงอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อใจบริสุทธิ์จากบาป แดนสุขาวดีก็จักอยู่ไม่ไกลจากที่ตรงนี้ แต่มันลำบากอยู่ที่คนเราใจโสมมตาบอดจึ่งไม่เห็นสิ่งนี้ เพียงเอยปากสวดออนวอนอย่างคนหลงละเมอ ด้วยหวังว่าจักได้ไปเกิดที่นั่น

    ดังนั้นในมิติแห่งธรรมแล้ว หากพวกเอ็งอยากไปเกิดในแดนสุขาวดี สิ่งที่พวกเอ็งควรทำเป็นข้อแรกก็คือ จัดการกับอกุศล 10 ประการเสียให้หมดสิ้นเมื่อนั้น ก็เป็นอันว่าเราได้เดินทางเข้าไปแล้ว 100,000 ไมล์ขั้นต่อไปเราจัดการกับมิจฉัตตะ 8 เสียให้เสร็จสิ้นก็เป็นอันว่าหนทางอีก 8,000 ไมล์นั้นเราได้เดินผ่านทะลุไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้แดนบริสุทธิ์และพบอมิตาภะจะอยู่ที่นี่ที่ซึ่งเอ็งสามารถเห็นแจ้งชัดในธรรมญาณอยู่เสมอ และดำเนินการตรงแน่วอยู่ทุกขณะแล้ว พริบตาเดียวเราก็ไปถึงแดนบริสุทธิ์ได้และพบอมิตาภะอยู่ที่นั่น การเข้าถึงดินแดนอันบริสุทธิ์ถูกต้องนั้นอยู่ที่การบำเพ็ญให้เห็นแจ้งชัดในธรรมญาณของตนเองเพียงสถานเดียวจึงเป็นการที่ตนเองอย่างแท้จริงตรงตามพระพุทธวจนะที่กล่าวว่า ตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตน

    แต่คนโง่มักเข้าใจว่า ผู้อื่นสามารถพาเราไปยังแดนบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นจึงคลั่งไคล้ใหลหลงต่อผู้ที่มีวัตรปฏิบัติแปลกประหลาดมหัศจรรย์มากกว่าที่หันมาบำเพ็ญตนเองโดยหวังผู้วิเศษเหล่านั้นจักนำพาเข้าไปสู่แดนสวรรค์โดยที่ตนเองมิต้องบำเพ็ญปฏิบัติแต่อย่างใด แท้ที่จริงแล้ว พระพุทธเจ้าองค์ไหนเล่าที่จะพาเอ็งไปที่นั่นได้นอกจากตัวเอ็งเองที่จะช่วยตัวเองในการกำจัดอกุศล10 และหากเข้าใจหลักธรรมอันกล่าวถึงธรรมชาติที่ไม่มีการเกิด ก็จะพาเอ็งไปยังแดนสุขาวดีนี้ได้ภายในอึดใจเดียว แต่ถ้าไม่เข้าใจ ก็จะไปถึงที่นั่นด้วยลำพังการออกนามพระอมิตาภะได้อย่างไรกันล่ะ บ๊ะ หลักธรรมอันกล่าวถึงการไม่เกิดนั้นเป็นสิ่งที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายสังขารมีวันเกิดจากพ่อแม่ แต่ธรรมญาณซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงนั้นไม่มีวันเกิดเพระฉะนั้นจึงไม่มีวันดับ ความเข้าใจเช่นนี้ ย่อมทำให้เข้าใจถึงการเวียนว่ายตายเกิด และ หักวงจรของการเวียนว่ายเช่นนี้เสียได้ การหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายจึงไม่ได้อยู่ที่การทำบุญแต่อยู่ที่การปฏิบัติตนเองให้พบสภาวะแห่งธรรมญาณ อันเป็นธรรมชาติแท้ที่ไม่เกิดดับ และ ที่ตรงนั้นในตัวเราจึงเป็นดินแดนแห่งอมิตาภะซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นอมตะนิรันดรนั่นเอง <!-- google_ad_section_end -->

    นี่คือคือคร่าวๆๆเกี่ยวกับนิกายสุขาวดี นั้นแลมหายานมันยังมีอีกหลายนิกายนักมันก็สอนต่างไปบ้างแต่หลักใหญ่ใจความมันอยู่ที่ทุกข์แลการดับทุกข์ นั้นแล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 ตุลาคม 2012
  15. dakini

    dakini สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    ว่า แต่ลุงเป็นใครค่ะ เนียนมาจากไหน? ลุงไขด้วยก็จักเป็นพระคุณค่ะ
    เหมือนลุงจะชอบอำ ปล่อยปรัชญาให้มึนไปสามตลบ ดิฉันสงสัยมากจริงๆๆๆๆ บอกหน่อยนา ......ค่ะ
    เหมือนพระหลายๆๆรูปที่ อยู่ตามวัด ดูจะไม่เทศน์ได้ขนาดนี้ ถามอะไรดูจักตอบไม่ได้แบบนี้
    นอกจากจะเป็นรูปที่แกเรียนมาสูงๆๆปฏิบัติมานานๆ
    ถามอะไรตอบแบบเหมือนมีห้องสมุดอยู่ในหัว ตอบปั๊บ
    มันไวเกินกว่าคนทั่วๆๆ ไปที่เขาไม่ได้ศึกษากับเป็นอาชีพจะตอบได้ ....สงสัยจริงๆๆค่ะ
    ขอบคุณทุกๆๆท่านที่พยายามช่วยต้อนให้แกเอ๋ยปาก ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2012
  16. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    เหะ เหะ เหะ ฮ้าฮ้าฮ้า 55555+
     
  17. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .
    สวัสดีครับ ท่านเทพอภิบาล ผู้เชี่ยวชาญ ล้านคัมภีร์
    และท่านเทพทั้งหลายด้วยนะ เขาว่ามีเป็นพันเลย จิงป่ะเนี่ย
    อยากถามท่านเทพว่าเคยทราบบ้างไหมครับ ว่ามะพร้าวนาฬิเก มีลูกรึเปล่า
    รู้สึกว่าเคยจับกินที่สวนโมกข์ ไม่รู้ใช่ลูกวิเศษอย่างที่คิดไหมน้า
    ตอนนั้นกะลังหาวิธีข้ามทะเลขี้ผึ้ง ง่วนอยู่หลายวันเลยกว่าจะผ่านได้
    ข้ามไปได้เห็นมะพร้ามนาฬิเก เหมือนกับมีลูก เลยจับกินซะ
    ท่านเทพเคยทราบบ้างไม๊ครับ ตำนานของชาวใต้เค้า

    ขอบคุณที่คอยเชียร์ หายเพลียก็หลายครา
    เพียงนึกชื่อมิเห็นหน้า ก็สุขอุรา ชื่นจาย

    กระต่ายป่า ข้างวัด
    ค้างคาวแห่งแสง
    แสงสว่างตราค้างคาว
    .
     
  18. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    อีหนูเอ๋ย คนที่จักต้อนข้าให้เปิดเผยความจริงได้นั้น เป็นอย่าหวังเลย เพราะ
    อันตัวข้านั้น ได้ปล่อยข่าวไปมากมายแล้ว บ้างจริงบ้างเท็จ
    แลใครจักยึดเอาอันใด ก็ตามใจเถิดข้าได้เตือนแล้ว ว่าอย่ามาสนใจข้านักเลย
    เมื่อข้าพูดความจริงบางคนไม่เชื่อข้า เมื่อข้าอำมันดันเชื่อข้า แลจักให้ข้่าทำอันใดเล่า ข้าปวดหัวว่ะ
    จริงเท็จมันสำคัญอันใดหรือ เอ็งว่าไอ้ความคิดเชิงเหตุผลนี่มันมีศักยภาพพอที่จักใช้ตัดสินความถูกต้องได้หรือไร?

    เอาเป็นว่าข้าเป็นใคร ข้าก็ไม่รู้ดอกเพราะข้าเป็นทุกๆๆอย่างมาตั้งแต่ต้นเหมือนเอ็งนั้นแหละ
    เข้าใจไหม? แล้วข้าจักตอบเอ็งได้อย่างไร?
    เอ็งจักว่าเป็นปรัชญา หรือข้อเท็จจริงก็ตามใจเถิด เอาเป็นว่าวันหนึ่งข้าพบว่า
    เรื่องราวเกี่ยวกับตัวข้ามันไร้สาระ ข้าก็เลยโยนมันทิ้งไป แลสร้างหมอกอำพรางตัวก็แค่นั้น

    พูดแบบนี้เข้าใจหรือไม่? ข้าก็ไม่ได้สนใจดอกว่าคนมันจักเข้ัาใจไหม? เอาเป็นว่าคนเรามันจริตต่างกันบางคนมันก็ต้องพูดให้มันคิดหน่อยหนึ่ง บางคนก็ไม่จำเป็นเพราะความคิดมันไม่สำคัญดอกกับคนพวกนี้ สิ่งที่อยู่ลึกๆๆลงไปในตัวบทชีวิตในประสบการณ์ของมันต่างหากที่สำคัญมีคุณค่าต่อคนพวกนี้ ข้าชอบนักพวกนี้ บางคนมันทึบมากๆๆมันก็ ต้องติงต๊องส์บ้าบอไปกับมันมันถึงจักพอได้อันใดได้บ้างนั้นแล นี่เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง พรานที่ดีย่อมรู้จักเปลี่ยนยุทธวิถีอีหนู

    เอาเป็นว่าถ้าข้อความข้ามันรกลูกตารกหัวเอ็งก็โยนๆๆมันทิ้งไปเถิด ไอ้ข้อมูลที่ข้าพยายามพูดมาหลายตอนนั้นมันกินไม่ได้ดอก ลืมๆๆมันไปซะ และกลับบ้านไปนอนสูดลมหายใจเขาออกระลึกถึงมัน ผ่อนคลายบ้าง ก็พอใจข้าแล้ว ล่ะอีหนู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กันยายน 2012
  19. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ไอ้นามล้านคัมภีร์ ข้าไม่น้องรับดอกพ่อหนุ่ม เอาเป็นว่ามันเคยเป็นเครื่องมือหากินของตาเฒ่ามานานก็แล้วกัน
    แต่ใช้หากินเท่าไหร่มันไม่ยอมอิ่มยอมพอสักที สงสัยว่าเมนูจักเป็นคนล่ะอย่างกับอาหารที่เขียนไว้
    ตอนนี้มันก็เลยหาได้มีความจำเป็นอะไรไม่ดอก จักเหลือก็แค่สโนไวท์ หมีพู เล่มสองเล่มเท่านั้นแลที่ยังอ่านอยู่
    นอกนั้นไอ้ที่หนาๆๆๆ เอามาขว้างใส่หัวหมาแมวเป็ดไก่ที่เลี้ยงไว้ในบ้านเล่นนั้นแล
    ส่วนเทพทั้งหลาย นั้นข้าก็รู้จักไม่กี่เทพดอก พ่อหนุ่ม แต่ก็เห็นมันมีมากมายจริงๆๆนั้นแล
    แต่ไม่ทราบว่ามีใครเห็นไหมล่ะว่าลึกๆๆลงไปแล้วมันก็องค์เดียวกันนั้นแล
    ส่วนเรื่องตำนานนั้นมิเคยได้ยินแม้จักเป็นคนที่อยู่มันทุกทิศมาแล้วก็ตามที
    แต่ทำให้นึกถึงไอ้เจ้าเรื่องสิทธารถะขึ้นมา.......เห็นมันโยนมะพร้าวทิ้งไปกลางๆๆเรื่อง
    ก็เลยสงสัยว่า สิทธารถะยุค2012 จักยังทำแบบนี้ไหม?นั้นแล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กันยายน 2012
  20. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    งานแปลของคุณพจนา
    [​IMG]

    ประวัตินักเขียน ชื่อ : พจนา จันทรสันติ
    ประวัติย่อ
    พจนา จันทรสันติ เป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด เคยเข้าเรียนที่ธรรมศาสตร์ ปี่ 2517 เรียนอยู่เทอมเดียวก็ลาออกไปแสวงหาเสีย 2 ปี แล้วสอบเข้าใหม่ที่คณะวารสารศาสตร์ธรรมศาสตร์ แต่ไม่จบ เป็นนักเขียนนักแปลที่มีผลงานมากมาย เป็นนักแสวงหาที่มีบางคนเคยเรียกเขาว่า "ฤาษีในป่าคอนกรีต" มีมากมาย ฯลฯงานแปลความเรียงของเดวิด ธอโร

    นามปากกา
    พจนา จันทรสันติ

    ผลงานรวมเล่ม
    งานแปลเกี่ยวกับปรัขญาจีนโบราณ
    - วิถีแห่งเต๋า
    - กุญแจเซ็น
    - แด่หนุ่มสาว ฯลฯ
    งานแปลที่เกี่ยวกับอินเดียนแดง
    - งานร้อยเรียงชุด ขลุ่ยไม้ไผ่,ทางสายใบไม้ร่วง, คืนหอมฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กันยายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...