ร่างกายไม่ใช่เรา จิตนี่ก็ไม่ใช่เราแล้วอะไรล่ะที่เป็นเรา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 3 พฤศจิกายน 2015.

  1. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ลุงแมวๆ เห็นคำตอบรึยัง ร่างกายนี้ก็ของเรา. จิตนี้ก็ของเรา. อะไรๆก็ของเรา
    ของเราถุก คนอื่นผิด ของเราดี คนอื่นไม่ดี ของเราตรง ของคนอื่นคต
    5555555. เห็นใหม นี่แหละตัวกรุละ. นี่แหละของกรุละ นี่แหละจิตกรุละ555555
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ลองอีกสัก ดอก ไหม

    เห็น ครูกะศิษย(ที่ผลิกกลับขย่มหัวครู ผู้มีคุณ) ถกธรรมกันเป็นวรรคเป็นเวร [ ในห้องกฏแห่งกรรม ]
    ว่า สติปัฏฐาน มรรค8 แยกกัน หรือ สังขยะ(รวมกันเป็นเนื้อเดียว)

    ตายฮ่าน !!!!

    มรรค8

    ลำพังแค่ มรรค8 หน่าฮับ พระพุทธองค์ตรัสฏีกา ให้ ใคร่ครวญให้แยบ
    คายว่า มรรคแต่ละข้อ จะมี ผลสองส่วน

    ส่วนแรก เป็นไปเพื่อ ตบแต่งขันธ์ ....

    ส่วนที่สอง เป็นไปเพื่อ อนาสวะ ....


    แปลว่าอะไร

    แปลว่า หากไปเจริญมรรค8 ส่วนตบแต่งขันธ์ ส่วนนั้นอยู่ ไม่ได้กำหนดรู้
    มะอึง ภาวนาอีกสองแสนโกฏิล้านมหากัปปป มะอึง ก็ไม่พ้น ขันธ์5 ไม่มี
    สามัญผล ฮ่านอะไร

    ดังนั้น เอาแต่ มรรค8 ที่เป็นไปเพื่อตบแต่งขันธ์ นี่ทำการสดับ กระทำไว้ในใจ ยกขึ้นกำหนดฮู้ รึจัย์ง !!

    หรือยัง มั่วนิ่ม ลอก มรรค8 ไปดุ่ยๆ คิดว่า จะพ้นทุกข์ได้
    ตายฮ่านเอาหน่าคร้าบ ท่าน เว้นไว้แต่ ประสงค์เป็นนอแรด เป็นช้างเดินป่าลำพัง เลยเสร็จอวิชชาพาไปไม่จบ !!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2015
  3. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    555555. มรรคคืออะไร ได้กล่าวไว้แล้ว ในนั้น ส่วนสติปัฏฐาน4นั้นมิได้กล่าวเหตุเพราะมันยาวและลึกในแต่ละตัว จึงละไว้พอเข้าใจ การสนทนาธรรมยกเหตุปัจจัยขึ้นและผลแห่งเหตุปัจจัยนั้น มิใช่เอาชนะ เอาแพ้ มิใช่อวดภุมิ มิใช่ใช้วาทะศิลป มิใช้การคาดคะเนจับผิด การเสวนากันมันเป็นการปรับเปลี่ยนมุมมองมิใช่ให้เชื่อรึไม่เชื่อ มิใช่ให้เอออวยรึย้อนแย้ง ให้เอาเหตุ-ผลมาอธิบาย ในเรื่องนั้นๆเพียงเรื่องเดียว มิใช่ยำรวมโดดไปนั้นทีโดดไปนี่ที การสนทนามิใช่ใครเก่งกว่าใคร มิใช่ใครเหนือกว่าใคร และมิใช่ใครคือเจ้าของธรรม ยอมรับในเหตุในผลซึ่งกันและกัน สิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี
    ผมโดดไปเล่นแต่มิได้มีจิตไปยึด ท่านเองก็เก่งในเรื่องบางเรื่องแต่อย่าได้เอาตรงนั้นไปทิมแทงให้ใครเค้าเจ็บ มันจะสร้างอมิตร เราพบกันเดียวก็จากกันแล้ว ควรมีเจตนาดีและแสดงสิ่งดีๆต่อกันมิดีกว่ารึ บางเรื่องท่านก็แย้งได้ดีมีเหตุมีผล แต่อย่าไปคิดแทนเค้าว่าเค้าต้องคิดแบบนั้นแบบนี่ อย่าถือทิฏฐิในตนด้วยรุ้ . อย่างน้อยๆ. ขอให้สติระลึกรุ้ตลอดเวลาว่า สิ่งที่ท่านไม่ชอบคนอื่นเค้าก็ไม่ชอบเช่นกัน
    เราสนทนากันได้เฮฮ่าบ้าง สนุกบ้าง สอดแทรกสาระบ้าง. คำตอบที่ท่านโพสผมโพสอยุ่ในนั้นหมดแล้วไปอ่านดุ เห็นต่างมุมยกขึ้นกล่าวพร้อมเหตุและผล ด้วยตนอย่ายกเอาตำรามาอ้าง 55555
    ผมแค่ชี้ หากสิ่งที่ชี้มิถูกมิต้องตรงธรรม สามารถยกสิ่งที่ถุกที่ต้องขึ้นกล่าวได้ด้วยเหตุและผลในเรื่องนั้นๆ. อย่าเอามายำรวมกัน นั้นมิใช่วิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม แต่ละเรื่องแต่ละกาลตามกาล เข้าใจความหมายนะครับ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2015
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กล้าออกมา ชวนทำยุทธ หัด ถีย์ ก็ต้อง เผื่อใจเอาไว้ด้วย หน่าฮาบ

    เพราะแต่ละ ฉับ ต้องหมายเอา หัวหลุดกระเด็น เป็นหลักเป็นเกณฑ์
    ตามอุปมาอุปมัย " กายคตาสติ " ถือหม้อน้ำมันฮ้อนนนนนนนน

    มาดูกัน

    โพสนี้ เปิดจุดอ่อนให้ ฟันฉับประเด็นใดได้บ้าง

    ประเด็น สุนัขสีหนารถ ( ทันเป่า ทันก็ ฟังต่อ ) ....

    ประเด็น สุนัขสีหนารถ คือ อาการกล่าวธรรม แต่ วกกลับไปแสดง "ธรรมกีดกัน"

    ธรรมกีดกันคืออะไร คือ ห้ามโน้น ห้ามนี่ อย่าอย่างงั้น อย่าอย่างงี้ เปล่ง
    เสียงก้องฟ้าแต่แอบม้วนหางไว้ใต้ไอ้จ่อย

    เฮฮาบ้าง สนุกสนานบ้าง แต่ต้อง สงบ ( ซึ่งจะเป็นเรื่อง ภายใน ไม่มีใคร
    ไปดูของกันและกันได้ ต่อให้ อริยะเจ้าหน้าไหน ก็มา ดูให้ไม่ได้ เว้นไว้
    แต่จะพูดไปเพื่อ กระตุ้นให้อยาก หรือ กระตุ้นให้สนใจพิสูจน์ ก็อนุโลมให้
    พยากรณ์กันแบบสุ่มสี่สุ่มห้า )

    ทีนี้ หากเอาเรื่อง จริตที่ผิดปรกติรายบุคคลออก เหลือแต่ ประเด็นธรรมะ

    "มรรค เป็นส่วนผล" อันนี้ มันแหม่งๆ [ ห่างไกลการเพียรปรารภ และ ห่างไกล ธรรมความไม่ประมาท หารสธรรม ไม่เจอเอาเลย]


    สมุทัย มีสองส่วน มีส่วนที่ทำให้พ้น ให้ดับ โดย...อะไรนะ ถ้าจำไม่ผิด
    กล่าวสอน ทีเจโซ ไปว่า ทำสัญญาให้ถูกจะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิ
    เลยไปสรุปว่า ......อะไรเป็นเหตุ มรรค เป็นผล
    [ ไอ้ท่อนนี้นะ เขาเรียกว่า สัทธรรมปฏิรูป ไง เอาสัญญาทับ เอาธรรมฐิติ
    ไปทับ ไม่มีการ สัมผัสด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ไม่มีการประกอบ ก็เลย เอา
    มรรค ไปเป็นตูด ไปสำคัญว่า มรรคเป็นผล .......แถวๆนี้ เรียก วิปัสสนึก ]

    ถ้าจะภาวนาไปแบบนั้น ก็ ให้อาศัย สัทธรรมของพระพุทธองค์ มรรคมีผล
    สองส่วน ส่วนหนึ่งเพื่อตบแต่งมรรค เจริญให้ตายก็ไม่พ้นสังสารวัฏ

    ดังนั้น มรรคที่เป็นตูด เนี่ยะ กำหนดรู้ไว้ด้วยว่า ไม่พ้นสังสารวัฏ หน่าฮับ

    ยังไม่ได้ขึ้น โพชฌงค์เลย ไม่ขึ้นสติปัฏฐานเลย ไม่มีการกระทำ ไม่มีการประกอบ
    แค่เห็น ธรรมฐิติ อันเกิดจาก ศรัทธา แล้ว ธรรมไปตั้งในจิต แล้วสำคัญว่า รู้ทั่วถึงธรรม เรือหาย หน่าครับท่าน !!!
    [ ศรัทธาไม่ตรงด้วย ร้อยละร้อย ศรัทธาลงตัวบุคคล โดนใครหลอก มาแล้วหละ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2015
  5. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    555555. เอางั้นยกสิว่า อะไรคือเหตุแห่งทุกข. แล้ว อะไรคือเหตุแห่งดับ ผลไว้ทีหลัง ทุกขเกิดจากเหตุ รึมันลอยมาเอง แล้วเหตุคืออะไร?ตอบสิ 55555
    ดับต้องดับที่เหตุ แล้วอะไรคือเหตุ ตอบสิครับ5555
    ป.ล.ตะลิงปิงรึเปล่า. นันมิดับ วิมุติ
    บอกแล้วอย่าไปเรียงตามตำราที่รุ้ ทางมีหลายสาย ทุกสายล้วนมุ่งสุ่จุดหมาย อย่าเอาสายนี้ไปสลับกับสายนั้นเดินไปเดินมามันก็วนๆเวียนๆงงๆๆ มุ่งเพียงสายเดียว จุดหมายเหมือนกัน เค้าคุยสายนี้อย่าไพล่ไปยกสายอื่นว่ายังมีโน้น. นั้น. นี้ มาย้อนมาแย้ง สายใดก็มุ่งไป
    คนที่ดับนันทิได้เค้าก็แจ้งธรรมได้ หลุดพ้นได้ คนที่มีปัญญาก็แจ้งธรรมได้หลุดพ้นได้ คนที่มีญาณรึฌานก็หลุดพ้นได้แจ้งธรรมได้ และในแต่ละวิธีก็แตกต่างกัน เค้ารุ้ในสิ่งที่เค้าทำ เค้าไม่รุ้ในสิ่งที่เค้าไม่ได้ทำ แต่เค้ามิได้เถียงในสิ่งที่คนอื่นทำแล้วรุ้
    ส่วนคุณวิธีการที่แสดงมันต้องพิจารณาตนเองมิใช่พิจารณาคนอื่น รึกรุเป็นแบบนี้ใครไม่พอใจที่กรุเป็นก็เรื่องของมรึง กรุจะทำ. ถ้าคิดแค่นั้นรึให้แต่คนอื่นยอมรับในกรุ แล้วทำไมมรึงไม่ยอมรับในคนอื่นบ้างละ นั้นมันตัวกรุ เมื่อมีตัวกรุมันก็ไม่มีธรรม แล้วยังจะกล่าวธรรมไปทำไม เพื่ออวดเพื่อโชว์เพื่อด่าคนมีธรรมรึ ในเมื่อธรรมง่ายๆยังไม่รุ้ ความละอายชั่วกลัวบาปในตนยังไม่มี แค่พื้นยังไม่มีจะพุดเรื่องผนังเรื่องหลังคาได้รึ555555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2015
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    พินาเอาจิฮับว่า....

    กำลังถามหา " ปฏิปทา อุบายนำออก "

    หรือ ถามหา " ปัญญาก๊อปปี้สุกเอาเผากิน "
     
  7. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    - ปรมัตถธรรม หรือสภาวธรรม นี้มี ๔ ประการคือ ๑ จิต ๒ เจตสิก ๓ รูป ๔ นิพพาน
    - จิต เจตสิก รูป ก็คือขันธ์ห้า
    - นิพพาน ก็คือนามธรรมอันคงที่

    - ธรรมชาติอันคงที่ เกาะติกกับ ขันธ์ห้า ด้วยกิเลสสังโยชน์
    - ขันธ์ห้า หรือที่เรียกว่า ใจกับกาย เป็นตัวแปรปรวน ไม่คงที่ ไปตามสภาพ วิบากกรรม

    - ตัวธรรมชาติอันคงที่ ก็ยังรับรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ที่มีผลมาจากการแปรปรวนของขันธ์ห้า ไม่สามารถแยกตัวออกมาได้เพราะมี กิเลสสังโยชน์ ผูกมัดใว้
    - การตรัสรู้ ก็คือการที่ ตัว ธรรมชาติอันคงที่ รู้ว่าขันธ์ห้า (กายกับใจ ) เป็นของไม่น่ายึดเอา ว่าเป็นเราเป็นของเรา เรียกว่าวิปัสสนาญาณนั้นแหละ

    - สรูป กายไม่ใช่เรา ใจไม่ใช่เรา
    - แม้แต่ธรรมธรรมอันคง ที่ก็ไม่ใช่เรา แต่ทางผู้ศึกษาศาสนาพุทธทางยุโรป อธิบายว่า นามธรรมอันคงที่นี้แหละคือเรา

    - ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิต่อให้นั่งภาวนาพันปีก็ไม่สำเร็จพระอรหันต์

    - นามธรรมอันคงที่ นี้ เมื่อพระอรหันต์ ดับขันธ์ สิ่งนี้ยังคงอยู่ตลอดไป เป็นอมตะธาตุ หรือที่เรียกว่า ผู้ไม่มีวันตาย

    - ดูกร เมื่อเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน มัจุราช ก็หาท่านไม่เจอ
     
  8. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ถามก็ให้พิจารณาเอง แล้วมันจะคุยทำส้นสิบทำไมวะ ยังนี้มาด่ากันเลย5555เอาคำว่าธรรมมาบังแล้วด่า สุ้เอาคำว่าธรรมออกแล้วมาบรรเลงด่ากันเลย มันกว่าดีไหม ไอ้หน้าสนสิบ555555มันโว้ย ถามไม่ตอบให้พินาเอง กรุพินาแล้วเลยถามเพื่อให้ยกเหตุยกผลมาสนทนาเสื่อกไม่ตอบให้กรุพินาเองงั้นกรุก็ไม่ตอบแล้วยกธรรมออกต่างคนต่างพินาเองทีนี้ก็เหลือมรึงกับกรุมาล่อกัน555555มันโว้ย ให้กรุเป็นเ_ี้ยกรุก็เป็นเ_ี้ยให้มันหน่อย 5555เดียวมันจะเสียใจที่ไม่เป็นตามความอยากมัน5555555
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แหม มี ปล. ปลิงทำลิงติง

    ถ้าจะกล่าวว่า มีปัญญาก็บรรลุได้ มีฌาณก็บรรลุได้ มีศีลก็บรรลุได้

    อันนี้ มั่วแน่นอนฮับ

    ลองไปหา สัทธรรมที่ พระสารีบุตร ไปเสวนากับ ปุณมันตลีบุตร

    ว่าด้วยเรื่อง หลุดพ้นเพราะศีลหรือ เพราะปัญญาหรือ เพราะ....หรือ

    หรือแม้นกระทั่ง เพราะวิมุติญาณทัศนะ หรือ

    แล้ว สหายธรรมที่เป็นเลิศทางการแสดงธรรม ตอบพระสารีบุตรว่า " สันติ !! สิ " อะไรประมาณนี้

    แต่....ของจริงเป็นยังไง ทำไมถึง มีสายเดียว ไม่มีสายอื่น ไม่มีศาสดาอื่น
    เด็ดขาด ก็ต้องไป หาเบิ่งเอาเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2015
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้

    ดูกร ท่านเทวดา ท่านจายเย็ลลล จิฮับ คนเขามีหน้าที่

    อีกทั้ง มุข ไม่ตอบ ในทางธรรมะปฏิบัติ เขาจัดว่า เป็นการตอบคำถาม
    อย่างหนึ่ง เหมือนกัน

    อย่าไป ดูถูกการไม่ตอบ สุ่มสี่สุ่มห้า หน่าคร้าบ เกิดไปเจอของจริง
    เข้า แล้วทำ สุนัขสีหนารถแบบนี้ รับรองได้เลย ได้ถือ ศาสดาอื่นก็มี
    นิพพานได้ ไปอีกหลายแสนพุทธันดร แน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2015
  11. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    55555ใครบอกศีลบรรลุได้ประโยคไหนบอก
    ส่วนไม่ตอบคือตอบ ใครสอน_ะรึคิดเอา แล้วนันทิดับจึงหลุดพ้นใครกล่าว
    สารีบุตรที่อ้างนะเค้าคุยกันในกาลไหน?ทางเดียวแล้วคนที่มีอะไร8นี่แหละเค้าบรรลุยังไง?แล้วคนที่ไม่มีอภิญาบรรลุยังไง?ไหนบอกมีทางเดียว?แล้วปัญญาวิมุติเค้าบรรลุยังไง 555555.
    เก่งนักแต่มั่วๆเอาแล้วสันดานไม่เปลี่ยนเลย ไอ้จินตนาการนี่ อย่าจินตนาการในสิ่งที่คนอื่นเค้าไม่ได้ทำ แล้วโพส แล้วเคยบอกแล้วว่าทุกสรรสิ่งมันตามกาล กาลหนึ่งก็อย่างหนึ่งอย่าเอามายำรวมกันแยกตามกาล มันเป็นวงที่ซ้อนๆกันแยกออกมันก็จะเป็นแต่ละวง ในวงหนึ่งก็มีเหตุปัจจัยอย่างหนึ่งในกาลหนึ่ง
    ทุกวงล้วนมีเหตุปัจจัยของมันตามกาล ผุ้ที่สามารถรุ้ได้ทั้งหมดมีพระพุทธเจ้าเท่านั้น นอกนั้นก็รุ้แค่พอเอาตัวรอดได้เท่านั้นรึอาจจะรุ้มากแต่ก็ไม่ทั้งหมดอาจจะแค่ครึ่งเท่านั้น
    ส่วนไม่ตอบคือตอบมีมรึงคนเดียวแหละที่ทำ. ส่วนคนอื่นนั้นเค้ามีเหตุปัจจัยคือกรุไม่รุ้ แต่มรึงไม่ตอบเพราะมรึงไม่คิดจะว่าด้วยเหตุด้วยผลมรึงจะเอาคำกล่าวของคนอื่นมาด่าเค้าแต่เสือกจิตนาการเอง มรึงมันไม่มีความละอายชั่วเกรงกลัวต่อบาปเลย. กรุไม่ชอบแต่ดรุจะทำสิ่งที่กรุไม่ชอบกับคนอื่นมีไรไหม55555นี่คือนายเอกราวี
    ถ้าจะคุยธรรมถกธรรม ให้เอาเหตุเอาผลมาแสดง ในเรื่องเดียวแยกเป็นเรื่องๆอย่ายำรวมกัน แล้วเสวนาธรรม. .ไม่มีแพ้ ไม่มีชนะ ไม่มีธรรมของใคร ไม่ต้องยกรึเอ่ยถึงใครมาเกี่ยวข้องเอาสิ่งที่มันประจักจิตมากล่าวพร้อมเหตุปัจจัยสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี ตามเหตุตามผล สาวผลไปหาเหตุ
    แต่ถ้าจะเล่น หนุกหนานมาเล่นกัน มันๆ จิตนาการอย่างเดียวมาล่อกัน ไม่มีเหตุไม่มีผล เอาเ._ี้ยมาโชว์กัน. เพราะใครจะให้เป็นอะไรก็จะเป็นให้เค้า ไม่ต้องมาจับผิดจับถุก ไม่ต้องเอาธรรมมาบัง5555555
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กั๊กๆๆๆๆ ถามเองหน่าฮับว่า วิธีการตอบด้วยการไม่ตอบใครบัญญัติ

    เมื่อถามมา ผมก็ต้องตอบว่า พระพุทธองค์ทรงจำแนกวิธีการตอบ
    คำถามธรรมะไว้ หนึ่งในนั้นคือ "นิ่ง" ซึ่งคนรู้จริงก็นิ่ง คนไม่รู้จริงก็ให้นิ่ง
    ไม่ผิด

    ตอบไปแบบนี้ อย่ามาหาว่า ผมอ้าง คำพระพุทธองค์หน่าฮับ เพราะท่านถาม
    เองว่า ใครบัญญัติเอาไว้ ผมก็ตอบไปตามคำถาม

    ***********

    ส่วน ตะกี้นิ่ง ....จริงๆ ไม่ได้ นิ่ง หน่าฮับ

    ก็ตอบไปแล้วว่า ก็พินาเอาจิฮับ ว่า ทวงถาม ปฏิปทา (ธรรมเสวนาเพื่อการปฏิบัติ)
    หรือ ทวงถามเอาอย่างอื่น(เป็นเรื่องการอวดรู้ หน้า สันติ )

    ถ้า ทวงถามปฏิปทา ก็จะรู้เลยว่า ผมตอบคำถามทุกคำถาม หมดแว้ว

    เพราะ คงไม่มีนักปฏิบัติคนไหน จะมาถามเอา นัยยะปฏิบัติที่ละเอียด
    ละออขนาดเอาไปก๊อปปี้ เขามีแต่ อุปมาอุปมัย ตอบแบบไม่ตอบก็ยังได้

    ตอบแบบถามกลับก็ยังได้ ตอบแบบเลี่ยงบาลีให้ไป พินาเอาเอง ยิ่งสุดยอด ใช้ได้
     
  13. สาสนี

    สาสนี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +210
    กายไม่ใช่ของเรา จิตไม่ใช่ของเรา แล้วอะไรล่ะที่เป็นเรา
    เรา คือ อุปาทานในขันธ์ห้า อุปาทานในขันธ์ห้า เป็นเรา

    ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดร่วมกัน เป็นธรรมดา
    สัพพันตัง นิโรธัมมันติ สิ่งทั้งปวงนั้น ก็มีความดับไปเป็นธรรมดา

    ความเกิดร่วมกันในที่นี้ หมายถึง ตัณหาเกิดร่วมกับขันธ์ห้า และ
    ความดับ หมายถึง ความดับที่ตัณหาได้ ด้วยการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8

    ความเห็นว่าเป็นอัตตา ย่อมเห็นว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา
    อัตาของเราเสวยอารมณ์อยู่ เพราะอัตตาของเรามีเวทนา เป็นคุณสมบัติ
    เวทนาไม่ใช่อัตตาของเรา เพราะอัตตาของเราไม่เสวยอารมณ์

    พ.ถ้าในรูปขันธ์ ซึ่งไม่มีการเสวยอารมณ์ จะมีความรู้สึกว่าเป็นเราเกิดขึ้นได้หรือไม่
    ภ.เกิดขึ้นไม่ได้เลย พระเจ้าข้า

    อานนท์ ภิกษุใดไม่เห็นว่าเวทนาเป็นอัตตา ไม่เห็นว่า การเสวยอารมณ์ เป็นอัตตา
    และไม่เห็นว่า "อัตตาของเรายังต้องเสวยอารมณ์ เพราะอัตตาของเรามีเวทนาเป็น
    คุณสมบัติ" ภิกษุนั้นเมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมไม่ถือมั่นอะไรในโลก เมื่อไม่ถือมั่น
    ย่อมไม่สะทกท้าน เมื่อไม่สะทกสะท้าน ย่อมดับได้เฉพาะตน(ดับกิเลสได้ด้วยตนเอง)
    ย่อมรู้ชัดว่าว่า ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
    ที่มา พระสุตตันตปิฎก ฑีฆนิกาย มหาวรรค มหานิทานสูตร (มจร.)

    เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็เห็นความเกิดและความดับ เห็นคุณ โทษ และ อุบายเครื่อง
    สลัดเวทนาออกตามความเป็นจริง ตถาคตจึงหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่น ถือมั่น

    ที่มา ฑีฆนิกาย สีลขันธวรรค พรหมชาลสูตร

    เอามาโยงให้เห็นว่า ทรงตรัสเกี่ยวกับคุณสมบัติ ว่าอัตตาคืออะไร มีความเป็นเรา
    เพราะเหตุใด ถ้าจะให้ลึกซึ้งต้องเข้าใจอุปาทานขันธ์ห้าอย่างแจ่มแจ้ง
     
  14. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    5555555นายเอกราวีเอย ตอบแบบนี้ถ้าหมามันยักหน้ามันก็ตอบได้ ควายมันยักหน้ามันก็ตอบได้เหมือนกัน555555
    เพราะตอบแบบกรุไม่ตอบ ที่ถามถ้าไม่เข้าใจคำถามถามได้มันไม่ได้มีอะไรแค่ถามเหตุแห่งทุกขคืออะไร? ทุกขมันไม่ได้ลอยมาเองรึเกิดเอง เสือกไปไหน แค่นี้ แต่มรึให้กรุไปพินาเองส้นสิบเอย กรุให้ยกเหตุปัจจัยขึ้นกล่าวด้วยเหตุด้วยผล มรึงจะอุปมาอุปมัยอะไรก็ยกมาแล้วบอก มันยากตรงไหน ?
    แล้วยกพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ให้นิ่ง ที่นิ่งคือมีเหตุปัจจัยตามกาล มีครั้งหนึ่งจำไม่ได้แต่คลับคลายคลับคราว่า มีผุ้มาเฝ้าแล้วถาม ท่านจึงนิ่งเหตุเพราะถ้าตอบตอนนั้น ผุ้นั้นยังไม่พร้อมที่จะฟัง ท่านจึงนิ่งเสียแล้วให้ไปทำอย่างอื่นก่อนรึยังไงนี่แหละแล้วเมื่อท่านเห็นว่าผุ้นั้นพร้อมแล้วจึงรับสั่งให้ไปตามมาท่านก็ทรงเทศนาสั่งสอน
    ไอ้หน้าสนสิบเสือกไม่เข้าใจบอกนิ่งคือคำตอบ มรึงจะยกนะมรึงต้องรุ้เหตุปัจจัยก่อนว่ามีเหตุอะไรพระองค์ท่านจึงไม่ตอบ ถ้าพระองค์ไม่ตอบคำถามคนหนึ่งคนใดก็เลือกปฏิบัติสิ ไอ้นี่หานรกสะแล้วมรึง หาว่าพระองค์ลำเอียงนิ่งเพื่อเป็นการตอบคำถามในบางคน แล้วที่พระองค์เฝ้าเหนื่อยกายเที่ยวสั่งสอนมนุษย์ทำไมไม่นิ่งอย่างเดียวละ สอนทำไม เวลามีคนไม่เข้าใจคำตรัสท่านก็อธิบายยกอุปมาอุปมัยขึ้นกล่าวจนคนฟังมีดวงตาเห็นธรรม แม้แต่เดียร์ถีย์พระองค์ยังตรัสตอบเลย ที่พระองค์กล่าวคือการนิ่งนี่เพื่อให้บุคคลนั้นคลายลงเพื่อมีความพร้อมก่อนจึงสั่งสอนได้ มิใช่นิ่งแบบที่มรึงยัดเยียด ไอ้นั้นนะมันมรึงทำแต่เสือกทำไม่เป็นจะลอกเลียนแบบแต่เสือกโง่555555
    ส่วนตอบแบบเลียงบาลีมีมรึงคนเดียวตอบแบบกรุจะทำไครจะทำไมไง ตอบแบบกวนส้นสิบเค้าไงกรุพอใจ555555ตัวตนมรึงนี่แหมร่งสุดยอด ดีๆๆๆกรุชอบ555555
    เวลาคุยกับมรึงต่อไปนี้กรุจะใช้ภาษาที่มรึงเที่ยวใช้กับชาวบ้านทั้งหลายรวมทั้งกรุด้วยมาคุย มันจะได้สมน้ำสมเนื้อกันหน่อยนะไอ้หน้าส้นสิบ เหตุเพราะมรึงชอบถ้ามรึงไม่ชอบมรึงคงไม่ทำกับคนอื่นๆหรอกจริงไหม ไอ้หน้าส้นสิบ ไอ้ธรรมอวดรุ้หน้าสันสิบ555555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2015
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ================

    ถ้าท่านถามคำถามนี้กับปุถุชนผู้ยังไม่สิ้นอาสวะ ผู้ยังต้องเพียรปฏิบัติอยู่เพื่อขัดเกลาชำระ อุปาทานขันธ์ เป็นของเขา

    แต่ถ้าท่านถามคำถามนี้กับพระอรหันต์ ท่านพระอรหันต์ย่อมตอบว่า ไม่มีอะไรเป็นของท่าน แม้แต่ความยึดมั่นในความคิดว่าไม่มีก็ไม่มีสำหรับท่าน

    ทุกคำตอบย่อมมีเหตุผลมีด้านและมุมของมัน ท่านต้องรับฟังด้วยปัญญามองให้รอบด้านแล้วท่านจะทราบดีว่าท่านควรสนทนาต่อยอดอย่างไร อันจะได้ประโยชน์สูงสุด แต่ถ้าท่านเจอคนพาล ก็ปล่อยวางเขา เพราะมันเรื่องของคนพาล ไม่ใช่เราไม่ใช่ฉัน นั่นเองครับ

    สาธุครับ
     
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เปลี่ยนลายเซ็นต์ก็ทุเลาโทษแล้ว......ไม่เปลี่ยนเอง
    อวดดิ้อถือดีก็เลยแบน
     
  17. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ตอบ
    เอายอดเลยนะ
    ผู้รู้เป็นเรา.....อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2015
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    มันก็เลย มีดำ มีขาว วนเวียนเข้าไปเป็น ไม่เลิก

    ไม่รู้หนทาง อุบายหลุดพ้น

    เลยจำยอม ทำตามๆกันไป ให้เขาจูงไป คงไม่ผิด ตายฮ่าน ไปนั่งบนตั่งแก้ว คอยรอ มักคุดเทศน์ เรียกเบอร์ รับแขก แจกยิ้ม
     
  19. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ดำ ขาว อะไร
    เห็นแต่ดำ
    ตอบผิดๆ
    มีแต่....ผู้รู้......
     
  20. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    กายเป็นอนัตตา
    อวิชชาอุปกิเลสเป็นอนัตตา
    ถึงจุดนี้จะพบผู้รู้ในตนนั่นแหละครับตัวตนของเรา
     

แชร์หน้านี้

Loading...