ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดพ่อสมหวังบรรจุธาตุพระปัจเจก(ขอทรัพย์พระปัจเจก) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    อรุณสวัสดิ์นะครับ

    วันนี้เดี๋ยวมาติดตามพูดคุยกันนะ
     
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    แจ้งการส่ง EMS
    พี่ศิระ EU 4956 2223 3 TH

    พี่อัครพงศ์ EU 4956 2224 7 TH

    พี่วีระพล EU 4956 2225 5 TH
     
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    พูดคุยรอบเย็น

    เกี่ยวกับตะกรุดกันเสื่อมนั้น หลายคนบอกว่าไม่ทันและไม่พอ ซ้ำเรียกร้องว่าเป็นของจำเป็นที่ต้องมีกันจริงๆ ซึ่งในตอนนี้ก็ยังไม่มีเปิดให้จองเพิ่มแต่อย่างใด ด้วยจำนวนการสร้างที่น้อยจึงมีหลายคนไม่ได้ ประกอบกับเวปมีปัญหาวันนั้นด้วยยิ่งบ่นกันเข้ามามากว่าจองแล้วแต่ข้อความมันไม่ไป

    อันนี้ขอบอกว่าแปลกจริงๆเพราะมีทั้งคนที่ส่งได้และส่งไม่ได้ ก็ให้ถือเสียว่าเป็นโชคเป็นวาสนาของเขาดั่งคำที่ว่าตะกรุดจะเลือกเจ้าของเอง ดังนั้นแม้ว่าคนหลายๆคนจะส่งข้อความคลิ้กไม่ไป บางคนเข้าเวปไม่ได้ แต่ก็ยังมีคนที่ส่งมาได้อย่างน่าประหลาดเช่นกัน


    * วันนี้ผมติดงานรับปริญญาพวกน้องๆ ใครจะปรึกษาหรือสอบถามสิ่งใดก็ PM กันไว้นะครับ เดี่ยวจะมาตอบให้


    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    การแผ่เมตตาให้ตัวเอง

    หากพูดถึงการ “แผ่เมตตา” หลายคนมักนึกถึงบทสวดที่ขึ้นต้นว่า...สัพเพ สัตตา...ซึ่งเป็นการสวดแผ่เมตตาแบบทั่วไป แต่แม้หลายคนจะเคยแผ่เมตตามาก่อนด้วยบทสวดมนต์ที่สืบทอดกันมา เชื่อไหมว่า ก็ยังมีคนที่แผ่เมตตาไม่เป็น

    อะไรคือการแผ่เมตตาเป็น และแผ่เมตตาไม่เป็น

    กล่าวคือ มีบางคนแผ่เมตตาโดยเข้าใจว่า คือการส่งกระแสจิตและความปรารถนาดีออกไปสู่คนอื่น สิ่งอื่น แต่ไม่เคยแผ่เมตตาแก่ตนเอง ไม่รู้ว่า การแผ่เมตตาที่ถูกต้องนั้น ควรแผ่แก่ตนเองเป็นลำดับแรก

    ทำไมจึงต้องแผ่แก่ตนเองเป็นอย่างแรก ก็เพราะถ้าตัวเรา จิตใจเรา ชีวิตของเรา ยังไม่ได้ประกอบไปด้วยความสุข ความอิ่ม ความเบิกบาน ความสงบ แล้วเราจะเผื่อแผ่สิ่งที่ดีต่างๆ ต่อคนอื่นได้อย่างไร

    เปรียบว่า ถ้าเรากำลังขาหักถูลู่ถูกังอยู่ตรงนี้ แล้วจะพยุงคนที่ล้มตรงโน้นได้ไหม?

    เราก็ย่อมต้องสำรวจกาย สำรวจใจ ดูความพร้อมของตนเอง และถึงหากร่างกายไม่อำนวยต่อการช่วยเหลือผู้อื่น จิตอันเป็นกุศลก็จะสอนให้เราร้องเรียกขอความช่วยเหลือ หาวิธีช่วยคนทุกข์คนนั้นอย่างเป็นรูปธรรม

    คือการไม่เพิกเฉยต่อความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หรือแม้แต่จะเป็นสัตว์ข้างถนน เป็นศัตรูที่เราเกลียดชัง เมื่อเห็นความทุกข์ทรมานของผู้อื่น ความเจ็บปวดของผู้อื่น แล้วมีความเข้าอกเข้าใจ เวทนาสงสาร ก็คือการเข้าสู่ความรู้สึกนึกคิดที่ก้าวล่วงความเห็นแก่ตัว

    มีความปรารถนาอยากให้ผู้อื่นเป็นสุขอย่างที่เราเป็น

    การแผ่เมตตาจึงเริ่มต้นด้วยการให้ตนเอง แล้วแผ่ออกไปเป็นชั้นๆ กว้างออกไป กว้างออกไป ดังที่มีคำบทแผ่เมตตาว่า

    อหํ สุขิโต โหมิ นิทฺทุกฺโข อเวโร อพฺยาปชฺโฌ อนีโฆ สุขี อตฺตานํ ปริหรามิ ฯ

    (อะหัง สุขิโต โหมิ นิททุกโข อะเวโร อัพยาปัชโฌ อะนีโฆ สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ)

    ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข ปราศจากความทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีความคับแค้นใจ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด ฯ

    จากนั้น จึงต่อด้วยบทแผ่เมตตาต่อเพื่อนทุกข์ทั้งหลาย

    สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น

    อะเวรา โหนตุ จงเป็นผู้ไม่มีเวรแก่กันและกันเถิด

    อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นผู้ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

    อะนีฆา โหนตุ จงเป็นผู้ไม่มีทุกข์กาย ทุกข์ใจเถิด

    สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงเป็นผู้มีสุข พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด

    จะว่าไปแล้ว การแผ่เมตตาแก่ตนเองและเพื่อนทุกข์ทั้งปวง คือการสร้างความสมดุลให้กับจิตของเราอย่างหนึ่ง เพราะในชีวิตจริง เราต่างก็มีข้อดี ข้อเสีย ทำถูก ทำพลาด บางครั้งเป็นผู้ให้ บางครั้งเป็นผู้รับ บางหนเป็นผู้ถูกกระทำ แต่บางเวลาก็เป็นผู้กระทำเสียเอง

    การแผ่เมตตาให้ผู้อื่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ไม่เคยรักและเมตตาตัวเอง มีแต่จดจ่อตั้งแง่ สร้างเงื่อนไขคาดโทษตัวเองอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เหมือนการพยายามเค้นตักน้ำจากบ่อขุ่นคลั่ก จะรินแจกจ่ายมอบความสดชื่นแก่คนอื่นได้อย่างไร

    มีหลายคนยังเข้าใจอีกว่า การแผ่เมตตาให้ผู้อื่นสำคัญกว่าการแผ่เมตตาให้ตนเองเพราะถือว่าเป็นผู้มีจิตกุศล เป็นนักทำความดี ไม่เห็นแก่ตัว เห็นความสำคัญของผู้อื่นมากกว่าตนเอง ความคิดเช่นนี้ บางครั้งก็พาหลงเข้าไปในกิเลส หรืออย่างที่เรียกว่า “เมาอัตตา” ได้เช่นกัน

    การตั้งธงมุ่งจะบรรลุสู่การเป็นคนดี หวังได้รับการยกย่องสรรเสริญทั้งจากมนุษย์และเทวดา ขณะอีกด้านกลับเบียดเบียนตัวเองอยู่กับความทุกข์ความเครียด ไม่ลดละปล่อยวางอะไรสักอย่าง การแผ่เมตตาเช่นนั้นก็เหมือนคนว่ายน้ำไม่เป็นแล้วกระโดดลงไปช่วยคนตกน้ำ สถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็น่าจะพิจารณาดูได้

    การแผ่เมตตาที่ถูกต้อง ยังประกอบไปด้วยความเปิดกว้างของจิตใจ

    เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เราเมตตาตนเองเท่ากับคนใกล้ตัว เมตตาคนใกล้ตัว เท่าๆ กับเมตตาคนไกล จากนั้น ก็ยังเผื่อแผ่ความเมตตาทั้งกับคนใกล้และไกล ทั้งที่รัก ที่ชัง ไม่รัก ไม่ชัง เป็นมิตร เป็นศัตรู คือการส่งมอบความปรารถนาดีหวังให้ผู้อื่นมีจิตเป็นกุศลอย่างที่พึงมี ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

    เมื่อจิตแผ่ความเมตตาออกเป็นชั้นๆ กระเพื่อมดั่งคลื่นที่มองไม่เห็นไปจนสุดขอบฟ้าจักรวาล นั่นคือสภาวะที่จิตของเราจะขยับสูงขึ้นไป ขึ้นไป จนถึงระดับที่เรียกว่า “เมตตาอัปปมัญญา” คือความเมตตาที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ไม่เลือก ไม่เจาะจง

    อุปมาดั่งธรรมชาติ อากาศ ลม ฝน แสงแดด ที่เคลื่อนตัวโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ซึ่งก็แล้วแต่ว่าผู้รับนั้นได้รับตาม “กรรม” ใดของตน

    ก่อนนอนทุกคืน หากเราแผ่เมตตาให้แก่ตนเองแล้วจึงแผ่เมตตาให้ผู้อื่น จิตยามหลับใหลย่อมเอมอิ่มเพราะตนเองได้เป็นทั้งผู้รับและผู้ให้ สิ่งนั้นก็คือความรัก ความกรุณา ความอาทร ความเมตตา ซึ่งมีรสละเอียดอ่อน เป็นอาหารทิพย์ที่มีสรรพคุณเป็นมงคลแก่ชีวิต

    ซึ่งสิ่งเดียวกันนี้ เมื่อเผื่อแผ่และแบ่งปันต่อผู้อื่น ย่อมเป็นกุศลในครรลองนั้น.

    5_222.jpg

     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    ใครจะฝากคำถามอะไรก็ PM ไว้นะครับ วันนี้เดี๋ยวทยอยตอบให้
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    ช่วงหลังๆมีคนถามหาสีผึ้งกับน้ำมันชนิดต่างๆกันเยอะมาก อันนี้ต้องเรียนอีกครั้งว่าที่เคยให้จองหมดทุกรุ่นจริงๆ อันนี้ติดตามไว้เพราะรายการจำพวกสีผึ้งหรือน้ำมันนี้นานทีปีหนจะมี :)
     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้มาติดตามพูดคุยกันนะ
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    แจ้งการส่ง EMS
    พี่สรวุฒิ EU 4956 2399 3 TH

    พี่นฤชา EU 4956 2400 0 TH

    พี่ภิญโญ EU 4956 3121 8 TH
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    จะฝากคำถามอะไรก็ PM ไว้นะครับ เดี๋ยววันนี้จะไล่ตอบให้ครบ
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    ตอบ pm ครบนะครับวันนี้
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    พูดคุยยามเช้า
    อรุณสวัสดิ์ครับ ก่อนที่จะคุยเรื่องน้ำมันหรือสีผึ้ง วันนี้ก็จะนำมาเกริ่นด้วยประวัติของหลวงปู่ทาบก่อน ซึ่งหลายคนจะรู้ว่าท่านเป็นต้นตำรับสีผึ้งเขียว อันนี้ก้ติดตามให้ดีๆเพราะมีความเชื่อมโยงกัน

    ประวัติหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง


    หลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง หรือพระครูอรรถโกศล เป็นคนระยองโดยกำเนิด เกิดที่บ้านนาตาขวัญ ต. นาตาขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เมื่อวันศุกร์ เดือนหก ปีฉลู ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๒๐ โยมบิดา ชื่อ อุ่น เพชรนคร โยมมารดา ชื่อ ฉิม พื้นเพเป็นชาวจังหวัดจันทบุรี ท่านมีพี่น้องถึง ๘ คน หลวงพ่อทาบเป็นน้องคนสุดท้อง

    สมัยท่านเป็นเด็กมีคนเล่าให้ฟังว่า ท่านเป็นคนใจบุญสุนทาน เมื่อโยมของท่านจับปลามาขังไว้เพื่อประกอบอาหาร ท่านมักจะปล่อยลงน้ำไปหมดด้วยความสงสาร จนถูกโยมบิดามารดาดุเอาหลายครั้งหลายหน แต่เมื่อมีโอกาสท่านมักจะปล่อยปลาลงน้ำไปเสมอๆ จนโยมท่านต้องงดนำปลาเป็นๆ มากักขังไว้ หลวงพ่อทาบท่านได้เริ่มต้นเล่าเรียนเมื่ออายุได้เพียง ๔-๕ ขวบ พออายุได้ ๒๐ ปี เข้าสู่วัยฉกรรจ์ ท่านก็ถูกเกณฑ์เป็นทหารเรือรับใช้ชาติตามหน้าที่ของลูกผู้ชายอยู่ถึง ๔ ปี จึงได้ปลดประจำการ หลังจากนั้นท่านก็บวชอุทิศส่วนกุศลให้แก่โยมบิดามารดาทั้งสองคนโดยมีพระครูสมุทรสมานคุณ (แหยว) เจ้าอาวาสวัดป่าประดู่เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์มาก เจ้าอาวาสวัดนาตาขวัญเป็นพระกรรมวาจารย์ และพระอาจารย์รวม วัดบ้านแลง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้วหลวงพ่อทาบเป็นพระหนุ่มที่เคร่างครัดสำรวมขยันขันแข็งมาก ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัยและสามารถแปลมูลกัจจายน์มงคลทีปนี้ได้ในพรรษาแรก นอกจากนี้หลวงพ่อทาบก็ยังได้ศึกษาวิชาอาคมกับหลวงพ่อมาก พระกรรมวาจารย์ของท่านอีก จากนั้นท่านก็ไปอยู่รับใช้พระอุปัชฌาย์อีกประมาณ ๒ ปี ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากพระอุปัชฌาย์จนหมดสิ้น

    พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อทาบ คือ พระครูสมุทรสมานคุณ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดระยอง ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อแหยว เป็นผู้มีวิชาอาคมขลังยิ่งรูปหนึ่งในจังหวัดระยองยุคนั้น โดยเฉพาะทางด้านเมตตามหานิยม เล่ากันว่าผ้ายันต์พัดโบกของท่านนั้น ใช้โบกไปทางไหนผู้หญิงก็จะต้องตามไปทางนั้นทันที เรียกว่าหลวงพ่อมีชื่อเสียงทางผ้ายันต์หรือผ้าพัดโบกมาก

    เมื่อหลวงพ่อทาบ บวชได้พรรษาที่ ๕ พ้นจากการเป็นพระนวกะแล้ว ท่านก็เริ่มออกเดินธุดงค์เพื่อหาความสงบวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร และแสวงหาพระอาจารย์ดี ๆ ไปตามที่ต่าง ๆ ในช่วงเวลานั้น หลวงพ่อทาบชอบพอกันหลวงพ่อทิมมาก เคยไปธุดงค์และแสวงหาพระอาจารย์ด้วยกันหลายครั้งหลายหน

    หลวงปู่ทิม(วัดละหารไร่) เคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าสมัยท่านเป็นทหารเรือลูกหมู่อยู่นั้น มีทหารเรือรุ่นเดียวกับท่านอยู่คนหนึ่ง หน้าตาอัปลักษณ์ แอบไปหลงรักหญิงสาวหน้าตาดีอยู่คนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ ๆ กับกองทหาร ผู้หญิงคนนี้มีทหารหลายคนไปเกี้ยวพาราสีกันอยู่ โดยเหตุที่เพื่อนของท่านหน้าตาไม่ดี จึงถูกตราหน้าว่า “แม้ชายผ้าถุงก็อย่าหมายได้เห็น” เพื่อนของท่านเกิดความอับอายเพื่อนฝูงจึงกล่าวกับท่าน (หลวงปู่ทิม) ว่า “พวกมึงคอยดู กูออกทหารเมื่อไร กูจะพาอีนี่กลับไปบ้านด้วย มันจะต้องร้องตามกู แล้วพวกมึงคอยดู...”

    เมื่อเพื่อนทหารผู้นั้นถูกปลดประจำการพร้อมกับท่าน หญิงสาวขวัญใจทหารในกองร้อยที่ทุกคนหมายปองก็หอบผ้าหอบผ่อนตามพลทหารเพื่อนของท่านกลับไปบ้านค่ายด้วยท่ามกลางความงุนงงของเพื่อนทหารโดยทั่วไป และได้อยู่กินกับเพื่อนทหารผู้อัปลักษณ์ของท่านคนนั้นอย่างมีความสุข มีลูกหลานอยู่ในบ้านค่ายมาจนทุกวันนี้ หลวงปู่ทิม ท่านถามเพื่อนของท่านว่าใช้อะไรจึงทำให้ผู้หญิงตามมาทั้งๆ ที่เขาไม่เคยรักเราเลย เพื่อนของท่านตอบว่า ใช้ผ้าพัดโบกของหลวงพ่อกาจ ซึ่งท่านทำให้ไว้คราวลงมาเป็นทหาร

    ดังนั้นในยุคที่หลวงปู่ทิมเป็นพระหนุ่มที่ใฝ่หาวิชาอาคมใส่ตัว จึงจดจำเรื่องอานุภาพของผ้าพัดโบกหลวงพ่อกาจได้อย่างฝังใจ และชวนหลวงพ่อทาบเพื่อนเกลอไปขอร่ำเรียนวิชาพัดโบกจากหลวงพ่อกาจด้วยกัน แต่หลวงพ่อกาจให้ท่านเรียนวิชาได้เพียงคนเดียว ส่วนหลวงพ่อทาบไม่ได้เรียน ผมถามว่าเป็นเพราะเหตุใด หลวงปู่ทิมท่านตอบว่า “ก็นี่ (หลวงปู่ทิมท่านมักเรียกสรรพนามแทนตัวท่านว่า “นี่”) รู้ว่าหลวงพ่อกาจท่านชอบสูบกัญชา นี่จึงเอากัญชาติดมือไปถวายท่านด้วยหนึ่งห่อ หลวงพ่อกาจเลยสอนวิชาให้ ส่วนท่านพี่ทาบไม่เอากัญชาติดมือไปด้วย หลวงพ่อท่านก็ไม่ยอมสอนให้

    หลังจากที่ได้ยินได้ฟังเรื่องอิทธิฤทธิ์ของผ้าพัดโบกของหลวงพ่อกาจ แล้ว ผู้เขียนก็แสวงหาผ้ายันต์พัดโบกของหลวงพ่อกาจมาศึกษาก็ได้พบของจริงเข้าจนได้ พัดโบกหลวงพ่อกาจ ที่ผู้เขียนพบเป็นของครูตุ๋ย ครูโรงเรียนวัดกระบกขึ้นผึ้ง ซึ่งได้มาจากผู้เฒ่าผู้แก่แถววัดกระบกขึ้นผึ้ง ผ้ายันต์ผืนนี้เป็นสีแดงเขียนด้วยหมึกจีนสีดำ ในหมึกจีนสีดำนั้นเมื่อส่องด้วยแว่นขยายแรงสูงดูแล้วเข้าใจว่าหมึกดำคงจะผสมด้วยว่านยาต่างๆ อันเป็นเคล็ดลับ ซึ่งน่าจะได้แก่ ว่านสาวหลง ไม้ไก่กุก ไม้กาฝากรัก ว่านช้างผสมโขลง ว่านดอกทอง เป็นต้น ลายมืออักขระขอม คงเป็นลายมือของหลวงพ่อกาจ เพราะท่านผู้เฒ่าเจ้าของผ้าพัดโบกผืนนั้น ยืนยันว่าพัดโบกผืนนั้นหลวงพ่อกาจลงเอง กลางอักขระเลขยันต์เป็นรูปเทวดาหญิงชายสององค์ยืนกอดกัน ต่อมาวิชาพัดโบกนี้หลวงปู่ทิมได้นำมาประยุกต์ดัดแปลงเสียใหม่ โดยไม่ใช้รูปเทวดาแต่งชุดทั้งองค์มาปรากฏให้เห็น แต่ก็ใช้ผ้าสีแดงทำเช่นกัน

    ส่วนผ้ายันต์พัดโบกของหลวงพ่อทาบ นั้นท่านก็ได้สร้างขึ้นไว้ครั้งหนึ่งจำนวนมากพอสมควร แต่เป็นยันต์พิมพ์เพื่อแจกแก่ผู้ทำบุญในงานผูกพัทธสีมาของวัดกระบกขึ้นผึ้ง โดยใช้ผ้าสีขาว ปัจจุบันผ้ายันต์ชุดนี้ของหลวงพ่อทาบก็หายากแล้ว ใครมีใครก็หวง เพราะอานุภาพใช้ดีทางเมตตาค้าขายไม่เสียทีที่หลวงพ่อทาบได้สมญาว่า เทพเจ้าแห่งเมตตานิยมสีผึ้งเขียวอันลือลั่น

    เหตุที่ทำให้หลวงพ่อทาบมีชื่อเสียง

    เหตุที่จะทำให้หลวงพ่อทาบมีชื่อเสียงโด่งดังจนเป็นเอกในด้านเมตตามหานิยมและเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป ก็มาจากสีผึ้งเขียว เมื่อหลวงพ่อทาบมีอายุล่วงเข้า ๘๐ พรรษาเศษแล้ว ท่านใช้เวลารวบรวมมงคลวัตถุต่าง ๆ เป็นเวลานานถึง ๔ ปีเศษ หลังจากนั้นท่านก็เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนในแถมละแวกวัดกระบกขึ้นผึ้งและคนในถิ่นใกล้เคียง จนเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนในย่านนั้น เมื่อเจ้าอาวาสวัดกระบกขึ้นผึ้งมรณภาพลง ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ท่านขึ้นเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดกระบกขึ้นผึ้ง ท่านไม่สามารถขัดศรัทธาของชาวบ้านได้ จึงจำใจต้องรับตำแหน่งนั้น การพัฒนาวัดกระบกขึ้นผึ้งในสมัยท่านไปด้วยดี เพราะได้รับแรงศรัทธาจากประชาชน จนหลวงพ่อทาบสามารถสร้างกุฏิ วิหาร โบสถ์ ได้อย่างรวดเร็วในยุคของท่าน

    นอกจากงานพัฒนาทางวัดแล้วหลวงพ่อทาบยังได้สงเคราะห์ญาติโยมที่เดือดร้อนทางใจและตกทุกข์ได้ยาก โดยการทำน้ำมนต์อาบขจัดทุกข์ขจัดโศก จนบุคคลเหล่านั้นประสบความสำเร็จ ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงพ่อทาบจึงเลื่องลือระบือออกไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ จนจัดเป็นเกจิอาจารย์ที่มีเกียรติคุณอย่างยิ่งรูปหนึ่งในบ้านค่าย

    ในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ หลวงพ่อทาบ ได้รับแต่งตั้งได้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบล อันเป็นการแสดงออกถึงความสามารถในการปกครองของท่าน และในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก็ได้รับสมณะศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตรที่พระครูอรรถโกศล ท่ามกลางความยินดีปรีดาของชาวบ้านและศิษยานุศิษย์น้อยใหญ่ ถึงกับมีการแห่แหนสัญญาบัตรพัดยศจากวัดป่าประดู่เข้ามายังวัดกระบกขึ้นผึ้ง

    การขอรับสีผึ้งจากหลวงพ่อทาบในสมัยก่อน สำหรับผู้ที่จะมาขอสีผึ้งเขียวของท่านนั้น กว่าจะได้ก็แสนจะลำบากยากเย็น เล่ากันว่าผู้ต้องการจะได้สีผึ้งเขียวของท่านจะต้องมานอนค้างคืนกันที่วัดหลาย ๆ คืน และหลาย ๆ ครั้ง จนหลวงพ่อทาบเห็นความมานะอดทนว่า ต้องการได้จริง ๆ ท่านจึงจะให้ แต่ท่านจะหยิบให้เพียงเท่าหัวไม้ขีดไฟเท่านั้น สีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบเมื่อใครได้มาแล้วเหมือนกับได้ของวิเศษที่เปี่ยมไปด้วยส่วนผสมแห่งเมตตามหานิยม คนเล่นของในสมัยนั้นจึงนำสีผึ้งหลวงพ่อทาบที่ได้มาเพียงแค่หัวไม้ขีดไฟมาเลี่ยมทองหุ้มใส่สายสร้อยหรือแขวนติดตัว แต่ก่อนจะมอบสีผึ้งเขียวให้แก่ผู้ใด หลวงพ่อทาบจะสั่งสอนวิธีใช้ให้ สำหรับเรื่องผู้หญิงนั้น ถ้าจะใช้สีผึ้งนี่ก็ขอให้ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ ได้เขาสมใจแล้วก็อย่าไปทิ้งไปขว้าง มิเช่นนั้น จะเกิดวิบัติ

    อานุภาพสีผึ้งหลวงพ่อทาบ

    นักเลงรุ่นเก่าชาวระยองยอมรับว่าสีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบนั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ ไม่เคยทำให้ใครผิดหวังโดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่งใน ต.ตาสิทธิ์ ติดกับวัดหลวงปู่ทิมเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าเมื่อสมัยหนุ่ม ๆ ข้าก็ได้อาศัยสีผึ้งเขียว ของหลวงพ่อทาบนี่แหละ จึงได้แม่อ้ายยอด มาจนทุกวันนี้ แม่อ้ายยอดเมื่อสาวๆ มันสวยอย่าบอกใครเชียว หนุ่ม ๆ มาจีบกันหัวกระไดแทบไม่แห้ง แต่ลุง (ตัวคนเล่า) มันพูดจาไม่เก่ง รูปก็ไม่หล่อ แรกๆแม่อ้ายยอดไม่เคยมองลุงเลย ความที่อยากเอาชนะไอ้พวกหนุ่มรุ่นเดียวกัน ลุงจึงดั้นต้นไปขอสีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบ ไปก็หลายครั้งหลายหนอยู่จนท่านจำได้และเห็นมาบ่อย ๆ หลวงพ่อทาบท่านเลยสงสารควักให้มาหัวไม้ขีดหนึ่งสั่งว่าเพียงเอาห่อติดตัว เวลาจะใช้กับผู้หญิงคนใดก็เพียงแต่ทำใจให้นึกเห็นใบหน้าเขาและเข้าไปหาเถอะไม่ช้าก็สำเร็จ และก็ได้ผลจริงๆไม่นานแม่อ้ายยอดเกิดสงสารเห็นใจลุง ทั้งที่ก่อนนั้นเขาไม่เคยชายตามองลุงเลย พวกหนุ่มบ้านอื่นงงเป็นไก่ตาแตก

    ท่านผู้เฒ่าเล่าเสริมต่อไปว่า หลังจากได้แม่อ้ายยอดมาเป็นเมียและอยู่กับมาจนบัดนี้แล้ว ลุงเคยถามเขาว่า เพราะเหตุใดจึงเกิดมารักลุง ทั้งๆ ที่แต่แรกไม่เคยสนใจลุงเลย แม่อ้ายยอดบอกกับลุงว่าเป็นเพราะอะไรไม่รู้ วันไหนถ้าไม่เห็นหน้าลุงใจคอมันหงุดหงิด ร้อนรุ่ม พอได้เห็นหน้าลุงแล้วสบายใจ และไม่ช้าลุงก็ชวนมันมาอยู่กับลุงเสียเลย ผมได้ถามลุงผู้เฒ่าว่า แล้วสีผึ้งนั้นอยู่ไหน? ขอผมดูหน่อย ท่านผู้เฒ่าบอกว่า เมื่อลุงได้เมียแล้วก็ไม่ได้ใช้อีกเลย เพราะหลวงพ่อท่านสั่งนักสั่งหนาว่าถ้าใช้กับผู้หญิงแล้วต้องเลี้ยงเขาเป็นลูกเมีย ห้ามทิ้งขว้าง ลุงได้แม่อ้ายยอดมาครองคนเดียวก็นับว่าพอใจแล้ว เลยหุ้มทองเก็บไว้ จนอ้ายยอดลูกหัวปีของลุงมันเป็นหนุ่มแล้ว ลุงจึงมอบให้มัน ก็ดูซิอ้ายยอดลูกชายลุงมีเมียตั้ง ๓ คน และอยู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น หลานลุงมีเป็นพรวน มีเมียมากมันก็ไม่ดีหรอกหลาน หาเท่าไรไม่พอเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย แต่ก็ดีไปอย่าง อ้ายยอดมันได้เขาแล้วมันก็ไม่ทิ้งไม่ขว้าง เลี้ยงเป็นลูกเป็นเมียทุกคน อ้ายยอดลูกลุงน่ะ มันไม่เท่าไหร่หรอก มีเพียงแค่ ๓ คน เท่านั้น แต่ลูกศิษย์หลวงพ่อทาบที่เคยบวชอยู่กับท่านคนหนึ่งซิ เดี๋ยวนี้ย้ายไปอยู่จันทบุรี มีเมียอยู่บ้านเดียวกันถึง ๖ คน ทุกคนปรองดองกันดี ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันเลย แต่ลูกเป็นกระบุง แต่เขาก็มีฐานะดีนะ เรื่องสีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบ ถ้าใช้เรื่องผู้หญิงรับรองได้เยี่ยมจริง ๆ

    ท่านพระอาจารย์เสียน มนูญโญ เจ้าอาวาสวัดกระบกขึ้นผึ้ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานแท้ๆ ของหลวงทาบ ตลอดจน คุณปถม อาจสาคร อดีตสหกรณ์อำเภอบ้านค่าย และคุณประชา ตรีพาสัย เพื่อนผู้เขียนซึ่งจูงใจให้ผู้เขียนไปรู้จักกับหลวงปู่ทิมจนได้สร้างพระชุดชินบัญชรอันเป็นที่รู้จักกันทุกวันนี้ เคยเล่าเรื่องอานุภาพของสีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันแพร่หลายทั่วจังหวัดระยองให้ฟังว่า

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ จ.ระยอง ได้จัดให้มีการประกวดนางสาวระยองขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อคัดคนส่งไปประกวดนางสาวไทยที่กรุงเทพฯ ในงานรัฐธรรมนูญที่วังสราญรมย์ อ. บ้านค่าย ก็สรรหาสาวงามส่งเข้าชิงชัยตำแหน่งนางสาวระยอง เหมือนกับอำเภออื่น ๆ เช่นกัน เมื่อได้สาวงามชาวอำเภอบ้านค่ายแล้ว ทางอำเภอก็นำสาวงามผู้นั้นมาขัดสีฉวีวรรณแล้วสอนกิริยามารยาทจนเป็นที่เรียบร้อย พอใกล้วันประกวดนางงามระยอง เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นไปได้ก็เกิดขึ้น สาวงามซึ่งจะเป็นตัวแทนสาวบ้านค่ายขึ้นเวทีประกวด เกิดสิวเห่อขึ้นเต็มหน้า เป็นที่ตกอกตกใจของคณะกรรมการอำเภอบ้านค่ายไปตามๆ กัน จะหาคนใหม่ก็ไม่ทัน ทุกคนต่างก็จนปัญญาไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ต้องส่งสาวผู้นี้เข้าประกวดอยู่ดี เพราะเตรียมการไว้แล้ว แต่โอกาสที่สาวบ้านค่ายจะเป็นนางงามระยองคงหมดหวังแน่ ก่อนถึงวันประกวดคณะกรรมการอำเภอบ้านค่ายทนเสียงอ้อนวอนของผู้ปกครองเด็กไม่ได้ จึงยอมให้ผู้ปกครองเด็กสาวคนนั้นนำไปหาหลวงพ่อทาบ หลวงพ่อทาบท่านทำน้ำมนต์ให้อาบ แล้วให้สีผึ้งเขียวมาหนึ่งหัวไม้ขีดไฟ และยังปลุกเสกแป้งผัดหน้าให้อีกหนึ่งห่อ ทั้งกำชับให้เอาสีผึ้งติดตัวขึ้นไปบนเวทีประกวด และเวลาประกวดก็ให้ใช้แป้งที่ท่านปลุกเสกผัดหน้าขึ้นไปเดินบนเวทีทุกครั้ง ผลการตัดสินสาวงามระยองปี พ.ศ. ๒๕๐๓ นั้น ปรากฏว่าสาวน้อย อ. บ้านค่าย ได้ตำแหน่งนางสาวระยอง ทั้งๆ ที่ใบหน้าสิวขึ้นเยอะ ท่ามกลางความดีอกดีใจของชาวบ้านค่าย และความงุนงงของชาวอำเภออื่น ๆ และในปีต่อ ๆ มาอีก ๒-๓ ปี ชาวอำเภอบ้านค่ายก็ได้นางสาวระยองติดต่อกัน และนางงามบ้านค่ายทุกคนต่างไปขอให้หลวงพ่อทาบรดน้ำมนต์ปิดนะหน้าทอง ได้สีผึ้งเขียวติดตัวและปลุกเสกแป้งผัดหน้าให้เช่นกัน

    อาจารย์ปถม อาจสาคร เล่าว่า แป้งผัดหน้านั้น หลวงพ่อทาบท่านลงนะนวลจันทร์ และตั้งแต่นั้นมาชื่อเสียงในด้านเมตตามหานิยมของหลวงพ่อทาบ ก็ยิ่งโด่งดังขึ้น จนคนระยองถึงกับผูกวลียกย่องไว้ว่า “อิทธิฤทธิ์หลวงพ่อเพ่ง เมตตามหานิยมหลวงพ่อทาบ อาคมหลวงพ่อทิม”

    get_auc1_img.jpg
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    ใครจะพูดคุยรึสอบถามอะไรก็ PM ไว้นะครับ
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    พูดคุยรอบเย็น

    ก็มาพูดคุยกันต่อนะครับ

    ดังที่กล่าวเกริ่นไว้รอบเช้า หลายๆคนหากพูดถึงหลวงปู่ทาบคงคิดถึงสีผึ้งเขียวอันเป็นยอดของมวลสารมหาเสน่ห์ที่กล่าวกันว่าหากได้ครอบครองแม้เพียงหัวไม้ขีดก็มีอานุภาพรุนแรงอย่างยิ่ง

    แต่ความจริงแล้ว ก่อนที่ท่านพ่อทาบจะทำสีผึ้งเขียวนั้น ท่านทำสีผึ้งชนิดหนึ่งมาก่อน ซ้ำยังมีอานุภาพรุนแรงกว่าสีผึ้งเขียวมากนัก สิ่งนั้นคือสีผึ้ง...

    เพียงสีผึ้งเขียวก็กล่าวขานดุจตำนานของวงการสีผึ้งแล้ว ทว่าสีผึ้งที่ท่านพ่อทาบหุงก่อนสีผึ้งเขียวที่มีอานุภาพรุนแรงถึงขนาดให้ใครไม่ได้ ต้องเปลี่ยนไปทำสีผึ้งเขียวแจกจ่ายแทน แม้กระนั้นสีผึ้งเขียวท่านก็ยังหวงอยู่ด้วยให้ใครก็ให้เพียงหัวไม้ขีด

    เพราะอะไรสีผึ้ง... ดังกล่าวจึงหายไป บ้างก็กลายเป็นตำนานที่มีเฉพาะคนรู้เท่านั้นจะหวงแหนยิ่งกว่าเพชรหรือมรดกสำคัญ แต่ก็เพียงแค่คนที่รู้ซึ่งคนส่วนใหญ่จะไม่พึงรู้และสาปสูญไปจากความทรงจำผู้คน โดยหากพูดถึงท่านพ่อทาบก็จะนึกออกเพียงสีผึ้งเขียวเท่านั้น

    * นั่นคือสีผึ้ง... ที่มีอานุภาพแรงกว่าสีผึ้งเขียวร้อยเท่าพันเท่า หากอยากรู้ว่าเป็นอะไร อันนี้ต้องติดตามกันนะครับ สายสีผึ้งห้ามพลาด....


    get_auc1_img.jpg
     
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525

    สอบถามกันเข้ามามาก ว่าจะให้บูชาหรอรายการนี้ ซึ่งแน่นอนว่าหลายๆท่านถามเรื่องน้ำมันกับสีผึ้งมา โดยทางพ่ออาจารย์ท่านก็มีดำริว่า"ถ้าอยากได้ของแรงๆกันจริงๆ ก็เอาของเก่าที่เป็นตำนานไปเลย เราจะแบ่งให้คนละเล็กน้อย เพราะของที่เราทำนี่เรายังอยู่จะเอาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ของโบราณคนทำท่านไม่อยู่แล้ว เอานี่ดีกว่า"

    ซึ่งของดีที่ว่านั่นก็คือสีผึ้งง่อยหกเมียของท่านพ่อทาบ สีผึ้งที่แรงมากถึงขนาดท่านพ่อทาบต้องเททิ้งก่อนจะเกิดเป็นสีผึ้งเขียวซึ่งหลายคนก็บอกว่ายังแรงอยู่ดี แต่อันที่จริงแล้วเทียบกับง่อยหกเมียไม่ได้เลย

    วันนี้ติดตามพูดคุยกันดีๆนะ เพราะไม่ใช่เพียงแค่สีผึ้ง แต่มาทั้งน้ำมันและแร่อาถรรพ์ทีเดียวท่านว่าแรงแบบเพิ่มออฟชั่น เหมาะกะคนพิเศษที่ชอบของพิเศษ (รายการนี้ปกติพ่ออาจารย์ท่านหวงมากเพราะนอกจากง่อยหกเมียแล้วยังมีสิ่งแทนครูของยอดบรมครูแห่งยุคสมัยด้วย
    )...ติดตามกันแล้วจะทราบว่าหวงเพราะอะไร

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    แจ้งการส่ง EMS
    พี่วิชัย EU 4954 0761 0 TH

    พี่ชัยวัฒน์ EU 4954 0762 3 TH
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    พูดคุยยามเย็น

    ก็จะมาคุยกันต่อจากเรื่องเมื่อเช้านะครับ ดั่งที่กล่าวไว้ว่าไม่ได้มีเพียงแค่สีผึ้ง เนื่องจากพ่ออาจารย์ท่านได้ใช้มวลสารพิเศษของหลวงปู่เฒ่ายิ้มไปด้วยในการสร้างสรรค์ จะพิเศษอย่างไรต้องติดตามเรื่องพูดคุยกันให้ดีถ้าไม่อยากตกขบวน..... หากแต่หนนี้จะนำประวัติเพียงคร่าวๆพอสังเขปของหลวงปู่เฒ่ายิ้มมาลงให้ทราบกันคร่าวๆอีกรอบหนึ่งก่อน

    เมื่อกล่าวถึงสิ่งมงคลเครื่องรางของขลังอย่าง “ลูกอม” ต้องยกให้ “หลวงพ่อเฒ่ายิ้ม” หรือ “หลวงปู่ยิ้ม” แห่งวัดศรีอุปลาราม (วัดหนองบัว) อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ดั่งคำขวัญที่ชาวเมืองพูดกันติดปาก “ลูกอมต้องวัดหนองบัว (หลวงพ่อยิ้ม) แหวนพิรอดต้องวัดบ้านทวน (หลวงพ่อม่วง) ถ้าเป็นเจ้าชู้ต้องวัดเหนือ (หลวงพ่อดี) ถ้าเป็นอ้ายเสือต้องวัดใต้ (หลวงพ่อเปลี่ยน)”

    “หลวงพ่อเฒ่ายิ้ม” ท่านเป็นบุรพาจารย์รูปสำคัญของวัดหนองบัวซึ่งมรณภาพไปเมื่อ ๙๐ ปีที่แล้ว และเป็นหนึ่งในพระอาจารย์ของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือ “เสด็จเตี่ย” ที่ทรงโปรดและกริ่งเกรงในวิทยาคม

    มีพระคณาจารย์ดังซึ่งสืบสายพุทธาคมจากตำรับตำราของท่านอย่างรู้ลึกรู้จริง พระมงคลสิทธิคุณ หรือหลวงพ่อลำใย ปิยวัณโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดทุ่งลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งปัจจุบันท่านละสังขารไปแล้ว

    หลวงพ่อเฒ่ายิ้มเป็นชาววังด้ง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี โดยกำเนิดในสมัยรัชกาลที่ ๓เมื่อปีมะโรง เดือน ๕ วันอังคาร ปี ๒๓๘๗ บิดาชื่อ นายยิ่ง มารดาชื่อ นางเปี่ยม ไม่ปรากฏนามและจำนวนพี่น้อง

    ในวัยเด็กมีอุปนิสัยใจคอกล้าหาญ พูดจริงทำจริง เด็กรุ่นเดียวกันหรือแก่กว่าต่างยกให้เป็นลูกพี่ แม้จะมีเพื่อนฝูงคบหามาก แต่ก็ไม่เคยทำตัวเกเรให้เป็นที่อิดหนาระอาใจแก่ครอบครัว ตรงกันข้าม ได้ช่วยเหลือพ่อแม่ประกอบอาชีพค้าไม้ไผ่ ล่องไปขายยังปากอ่าวแม่กลองด้วยความขยันขันแข็ง ต่อมาได้เข้าอุปสมบทที่วัดหนองบัว โดยมีพระอาจารย์กลิ่น เจ้าอาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์แดง วัดเหนือ กับพระอาจารย์อินทร์ วัดทุ่งสมอ เป็นคู่สวด ได้รับฉายา “จันทโชติ”

    หลังบวชแล้วได้ขยันร่ำเรียนหนังสือขอม บาลี มงคลทีปนี มูลกัจจายน์ พระเจ้าสิบชาติ สูตรสนธิ จนช่ำชอง และสามารถท่องจำพระปาติโมกข์จนสวดได้ในพรรษาที่ ๒ จากนั้นได้ออกเสาะหาพระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญพุทธาคมตามวัดต่างๆ ใน จ.สมุทรสงคราม ขอถ่ายทอดวิชาความรู้ไว้ได้มากมายหลายแขนง วัดแรกที่มุ่งตรงไปพักคือ วัดบางลี่น้อย อำเภออัมพวา เรียนทำน้ำมนต์โภคทรัพย์ โหราศาสตร์กับหลวงพ่อพระปลัดทิม ผู้เป็นอุปัชฌาย์เก่าแก่ของชาวบางช้าง เมื่อคล่องแคล่วแล้วก็ไปศึกษาต่อที่วัดลิงโจน (วัดปากสมุทรสุดคงคา ในปัจจุบัน) ได้วิชาทำธงกันอสุนีบาตสายฟ้าและพายุคลื่น, วิชาลงอักขระหวาย, ลูกอมหมากทุย เป็นต้น

    รูปต่อมาที่ท่านร่ำเรียนวิชาด้วยก็คือ หลวงพ่อกลัด วัดบางพรหม อำเภออัมพวา ได้รับการถ่ายทอดด้านมหาอุดและมหานิยมคงกระพันชาตรี จากนั้นไปเรียนทางแพทย์แผนโบราณกับหลวงพ่อแจ้ง วัดประดู่ พระอาจารย์รูปสุดท้ายคือ หลวงพ่อกลิ่น พระอุปัชฌาย์ของท่านได้ถ่ายทอดด้านกรรมฐานและคาถาอาคมให้อย่างหมดไส้หมดพุง อาทิ คาถากำบังกายหายตัว, ดำดิน ดำน้ำ เป็นต้น เมื่อสิ้นหลวงพ่อกลิ่น ท่านก็รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนองบัวสืบต่อมา

    ผลงานของท่านดีเด่นทั้งด้านการปกครองและพัฒนา ทั้งได้ปฏิบัติกรรมฐานจนบุคคลทั่วไปยอมรับ พระสงฆ์สามเณรยกย่องให้เป็นปรมาจารย์ด้านกรรมฐาน ตลอดอายุขัยจึงแวดล้อมไปด้วยศิษยานุศิษย์ จากบันทึกประวัติและคำบอกเล่าของผู้ใกล้ชิด กล่าวกันว่าท่านเป็นพระที่ชอบสันโดษ ไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงแต่อย่างใด มีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวเป็นยอด มุ่งทำอะไรแล้วต้องสำเร็จลุล่วงทุกอย่าง

    “หลวงพ่อเฒ่ายิ้ม” หรือ “หลวงปู่ยิ้ม” แห่งวัดศรีอุปลาราม (วัดหนองบัว) อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี มีนิสัยพอใจในทางหมอและเวทมนตร์ รวมทั้งชอบทางรุกขมูลธุดงควัตร หลังออกพรรษาจะเข้าป่าทำสมาธิใน ป่าลึก บางครั้งบางปีก็เข้าไปถึงเขตประเทศพม่า สิ่งที่แปลกมหัศจรรย์คือท่านรู้ภาษานก กา และสัตว์ป่าสารพัดชนิด เล่าขานกันว่า เวลาท่านรุกขมูลมักจะมีสัตว์ป่ามาแวดล้อม ป้องกันภยันตรายอันจะเกิดแก่ท่าน นับแต่ช้าง เสือ ตลอดจนสัตว์เล็กสัตว์น้อยไม่มียกเว้น เต็มพรืดไปทั้งดง

    จากการที่ได้เข้าไปทำสมาธิท่ามกลางความวิเวกในป่าสูงดงทึบทุกปี ทำให้จิตของท่านกล้าแข็งขึ้นตามลำดับ จะทำเครื่องมงคลชนิดใดก็ขลังไปเสียทุกอย่าง จนกิตติศัพท์เลื่องลือไปไกลหลายหัวเมือง ในสมัยนั้นทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตที่ผ่านจังหวัดกาญจนบุรี จะต้องมาหาท่าน เพื่อขอของคุ้มตัวจนบางครั้งท่านต้องหลบออกไปจำวัดตามร่มไม้นอกวัด

    กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ หรือ “เสด็จเตี่ย” ซึ่งทรงโปรดวิชาทางเวทมนตร์คาถา เสด็จไปหาท่านถึงวัดและถวายตัวเป็นศิษย์เรียนวิชาด้วยความเคารพเลื่อมใส ทั้งนี้ หลวงพ่อยิ้มได้ถวายมีดหมอประจำพระองค์หนึ่งเล่ม และเล่าขานกันว่ามีดเล่มนั้น “ลอยน้ำ” ได้ ท่านไม่เป็นผู้หวงวิชาความรู้ แต่ใครจะมาขอเรียนตะกรุดลูกอม จะต้องทดลองนั่งกรรมฐานจนไส้เทียนขาดด้วยพลังจิตเสียก่อน จึงจะประสิทธิ์ประสาทวิชาให้

    ศิษย์ที่มีชื่อเสียงขจรขจายก็คือ พระโศภณสมาจาร (เหรียญ) ศิษย์ก้นกุฏิซึ่งท่านใช้ให้ลงอักขระ เครื่องรางของขลัง, พระมงคลเทพรังษี (ดี) วัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) พระกาญจนวัตรวิบูลย์ (สอน) วัดลาดหญ้า, พระครูวัตตสารโศภน (ดอกไม้) วัดดอนเจดีย์

    ส่วนทางจังหวัดสมุทรสงคราม มี พระราชมงคลวุฒาจารย์ (ใจ) วัดเสด็จ, พระอธิการ แช่ม โสรส วัดจุฬามณี และ พระครูสกลวิสุทธิ (เหมือน รตนสุวรรณ) วัดกลางเหนือ อำเภอบางคนที

    หลวงพ่อเฒ่ายิ้ม ท่านถึงแก่มรณภาพ เมื่อปี ๒๔๕๔ รวมสิริอายุ ๖๖ ปี พรรษา ๔๖

    ด้วยเหตุที่หลวงพ่อเฒ่ายิ้มเป็นพระคณาจารย์ยุคเก่า ดำรงตนอยู่ในช่วงที่ผู้คนต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจในรูปของวัตถุ เรื่องราวของท่านจึงมักถูกสื่อออกมาในด้านบุญฤทธิ์จิตตานุภาพเป็นส่วนใหญ่ เครื่องมงคลที่ท่านสร้างขึ้นมีหลายรูปแบบ เช่น ลูกอมทำด้วยทองคำ เงิน ทองแดง กระดาษ, เชือกคาดเอวทำด้วยผ้าและหวาย, ตะกรุดคาดเอว, ขี้ผึ้งสีปาก มีดครู, ผ้าประเจียด ผ้าเช็ดหน้า หมวก เสื้อ ธง เป็นต้น

    นอกจากนี้ ยังมีพระผงยืนห้ามญาติ ด้านหลังมียันต์อกเลา พระผงแบบนั่งสมาธิ สมเด็จเล็บมือ และปางห้ามญาติ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักนิยมกันมากได้แก่ “ลูกอมทองคำ” ทั้งนี้ เป็นที่เชื่อถือกันว่า ผู้ใดมีลูกอมของหลวงพ่อยิ้มไว้เป็นกรรมสิทธิ์ของตนแล้ว ไม่ต้องเกรงภัยอันตรายแต่อย่างใด โดยกล่าวเป็นคำขวัญกันว่า “ใครมีลูกอมหลวงพ่อยิ้ม จะต้องยิ้มได้เมื่อภัยมา”

    นอกจากนี้ เชือกคาดเอวก็ได้รับความนิยมว่า ป้องกันเขี้ยวงาได้สารพัดสัตว์ และมีคนนิยมคาดติดตัวเข้าป่าป้องกันการเจ็บไข้ได้ป่วย ตะกรุดคลอดบุตรง่ายก็เป็นที่ชื่นชอบของหญิงมีครรภ์ เพราะเชื่อกันว่า หากได้รับมาพร้อมกับถวายดอกบัวให้ท่านเสกแล้วเอาไปต้มน้ำกิน ลูกที่เกิดมาจะมีสติปัญญาดี ผู้คนแถบทั่วลุ่มน้ำแม่กลองและจังหวัดใกล้เคียง จึงนิยมศรัทธาท่านมาก ใครมีลูกหลานก็เจาะจงให้ท่านเป็นอุปัชฌาย์แทบทั้งสิ้น

    วัตถุมงคลที่โด่งดังอย่างมากของ หลวงพ่อเฒ่ายิ้ม อีกอย่างหนึ่งคือ”พระปิดตาภควัมบดี สีขาวและดำ” เป็นพระปิดตาที่มีดีทางเมตตาและหาลาภ ซื้อง่ายขายคล่อง ลูกศิษย์ลูกหาที่นำอาราธนาขึ้นคอต่างมีประสบการณ์เล่าขานกันปากต่อปาก จนกลายเป็นฮอตฮิตติดลมบนสนนราคาเล่นหาดีดตัวสูงขึ้นตลอด แต่ผู้ที่เช่าหาบูชามีอัตราเสี่ยงสูง เพราะของเก๊มีสร้างออกมาระบาดหนัก ไม่ชำนาญจริงควรปรึกษาผู้รู้ดูให้


    get_auc3_img_php_12.jpg
     
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้มาติดตามเรื่องพูดคุยกันนะ ห้า่มพลาดถ้าไม่อยากตกขบวน
     
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    เมื่อกล่าวถึงสีผึ้งง่อยหกเมียของท่านพ่อทาบ นั่นคือสีผึ้งสร้างชื่อและมีอานุภาพรุนแรงเป็นที่สุดของท่านอันเป้นตำนานยิ่งเสียกว่าสีผึ้งเขียว ด้วยสีผึ้งนี้แรงจนถึงขนาดที่ท่านต้องเททิ้ง หากถามว่าแรงอย่างไร ต้องบอกว่า อย่าว่าแต่คนธรรมดามนุษย์ที่มีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์เลย แม้คนพิการเป็นง่อยเปลี้ยซึ่งไม่มีใครอยากครองคู่ด้วย หาคู่ยากกว่าคนปกตินับพันนับหมื่นเท่า ยังสามารถมีเมียได้ถึงหกคนด้วยอานุภาพสีผึ้งนี้นับประสาอะไรกับคนอวัยวะสมบูรณ์ปกติ....

    พ่ออาจารย์ท่านได้นำสีผึ้งวิเศษนี้มาหล่อเลี้ยงด้วยน้ำมัน...สำคัญ อันมีอานุภาพยิ่งใหญ่เพื่อเสริมอาถรรพ์ ซ้ำท่านยังได้ฝังแร่ธาตุสำคัญเพิ่ม เสริม เร่งอานุภาพของเครื่องมงคลไว้ด้วย

    แร่นี้เป็นของสืบทอดจากหลวงปู่เฒ่ายิ้ม แห่งวัดหนองบัวผู้มีกฤษดาภินิหาริย์อันยิ่งใหญ่ ซ้ำท่านยังเป็นพระอาจารย์องค์สำคัญของเสด็จในกรม(กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์) และเป็นบูรพาจารย์ของพระเกจิยุคเก่ามากมาย ...รู้กันหรือไม่ ว่าองค์หลวงปู่เฒ่ายิ้มนี้คนในพื้นที่นับถือกันอย่างสุดใจ เมื่อท่านมรณภาพไปอย่าว่าแต่จะหาวัตถุมงคลใดๆของท่านแม้แต่ซากกุฏิยังไม่มีเหลือ ชาวบ้านเขามารื้อมาขอกันไปคนละนิดคนละหน่อยเพื่อเป็นเครื่องระลึกนึกถึงหลวงปู่ท่าน ว่ากันว่าแม้เศษไม้ หรือดินใต้ถุนกุฏิยังมีอานุภาพมากเปรียบดั่งของมีค่าใครเห็นก็แย่งชิงกันวุ่นวาย แม้ไม้เสาโบสถ์ยิงยังไงก็ยังยิงกันไม่ออก นับประสาอะไรกับเครื่องมงคล เครื่องรางและวัตถุมงคลที่ท่านสร้างและเสกไว้อย่างเต็มภูมิวิชา จะไม่ยิ่งมีอานุภาพอันหาประมาณมิได้กระนั้น พระปิดตาบางพิมพ์ราคาพุ่งสูงไปถึงหลักหลายๆล้านบาท ว่ากันว่าของหลวงปู่เฒ่ายิ้มนั้นเก๊ยันเซียน แม้มีเงินก็ไร้วาสนาอาราธนาห้อยของปลอมกันมากมาย .....แต่พ่ออาจารย์ท่านก็ได้เมตตานำแร่วิเศษที่มีประวัติการเกิดขึ้นไม่ธรรมดา ด้วยองค์หลวงปู่ยิ้มนั้นเมื่อท่านจะสร้างเครื่องมงคล ท่านมักจะเสาะหาสิ่งวิเศษที่เหนือกฏธรรมชาติมาเป็นมวลสาร ซึ่งแร่นั้นก็ถือได้ว่ามีคุณอยู่มาก ซ้ำยังได้รับการอธิษฐานจิตมาตลอดสมัยท่านยังดำรงค์สังขารอยู่จวบจนตกทอดมาถึงพ่ออาจารย์ ครานี้อาจจะเรียกว่าอาราธนาบารมีใช้แทนพระองค์ละหลายๆล้านได้เลยทีเดียว

    * ซ้ำวลีที่พ่ออาจารย์เอ่ยถึงเครื่องมงคลชนิดนี้ของท่านก็ยังน่าจับตามองยิ่ง
    "ของสิ่งนี้แม้ได้ใส่ติดตัวเข้าใกล้ใครเนื้อเขาจะพองใจเขาจะเต้น จิตจะพิศวงงงงวยหาความสมประดีมิได้ มันจะดลให้คนมาติดพัน พัวพันไม่เลิกรา ถ้าบังคับตัวเองได้ไม่ปล่อยใจจึงจะดีมาก ใส่ไปได้ไม่มีวันเสื่อมแม้สังวาสก็ไม่ต้องถอด"

    get_auc3_img_php_12.jpg
     
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    พรุ่งนี้มาติดตามกันนะครับ
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,100
    ค่าพลัง:
    +16,525
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้ติดตามกันนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...