ยุคก่อนมีพระพุทธรูป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 6 ธันวาคม 2012.

  1. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    รอให้เกลาสำนวนก่อนก็ได้ ไม่ต้องรีบก็อปปี้หรอกครับ
    55555
    พอดีผมใช้สมองคิดและพิมพ์ไม่เหมือนคุณไม่ใช่สมอง แถมมีแต่ข้อความที่ไปลอกเขามาทั้งนั้น
    เหอๆๆๆ
    หาได้ยังครับ กระทู้ที่คุณใส่ร้ายผมว่าผมบอกว่าคุณบรรลุธรรมแล้ว
    บ้าเปล่า
    ผมเนี่ยนะ
    จะพูดว่าปลาไหลบรรลุธรรม
    โอ๊ยๆๆ ผมยังสติดีอยู่ครับ
    ปลาไหลแบบนี้มันจะบรรลุธรรมได้ไง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  2. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    [​IMG]


    พระประธานประจำสวนโมกข์ หลวงพ่อพุทธทาส เอามาตั้งไว้เป็นประธานเวลาทำกิจสงฆ์
    ไม่รู้จักหรือครับ?

    วัดสามแยกไม่มีพระประธานหรือครับ แล้วบวชกันยังไงครับ บวชกับต้นโพธิ์แบบขุนแผนหรือ???
     
  3. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    โอ๊ย...จะเอาอะไรกับ เขาละครับ
    พระบ้านอุรุเวลา
    พระวัดสามแยก
    เขามีไว้ทำแบบนี้ครับ
    ในรูปข้างล่าง
    ไม่ได้มีไว้ทำพระประธาน
    เพื่อเป็นกุศโลบายให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
    พระสาวกที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว
    แต่มีไว้เพื่อสนองความวิปริตบางอย่างในความคิด
    ผมว่า จะไม่กัดอุรุเวลาแล้วล่ะ แต่เอาเป็นว่าดูจากพฤติกรรมก่อนว่ามีจิตสำนึกบ้างไหม?
    ว่าจะเลิกชั่วคราว หรืออาจจะไม่เลิกก็ได้ อยู่ที่ความประพฤติ
    ที่เลิกนี่ไม่ใช่เพราะสงสารอะไรหรอก พอดีนึกถึงคำของซุนวูในพิชัยสงครามว่า
    "พึ่งเปิดโอกาสให้ศัตรูของท่านได้มีทางหนีสักหนึ่งทาง อย่าปิดโอกาสรอดของข้าศึกเสียหมด"
    เพราะอะไรนะหรือ เพราะหมาจนตรอก มันมักกัดแบบสู้ตายถวายหัว เพราะไม่มีอะไรจะเสียนะซี่ เราก็จะพลอยได้รับผลกระทบไปโดยไม่จำเป็น
    นี่ก็เริ่มเห็นอาการของมันจากคนแถวๆๆนี้แล้วล่ะ55555
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 72edac0b.jpg
      72edac0b.jpg
      ขนาดไฟล์:
      117.4 KB
      เปิดดู:
      62
    • 1ae54110.jpg
      1ae54110.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.6 KB
      เปิดดู:
      67
    • f9303ba3.jpg
      f9303ba3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.8 KB
      เปิดดู:
      72
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  4. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    [​IMG]

    เห็นกล่าวหาคนสร้างพระฯ ว่าอย่างโน้น อย่างนี้
    ที่เขาสร้างโดยเจตนาอันประเสิรฐ์ก็มี อย่าใจมืดบอดนักเลย
    รู้ไหมว่าใครสร้าง อุรุ

    จบป่ะ
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมศรัทธาและเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
    ทรงจำแนกพระธรรม ใครศรัทธาสิ่งใด สร้างสิ่งใด ย่อมสร้างได้ครับ
    คนศรัทธาไม่เท่ากัน บังคับกันไม่ได้ครับ
    เหมือนคนศรัทธาพระธรรม เขาย่อมเคารพพระธรรม
    คนศรัทธาต้นไม้ว่าเป็นเจดีย์ เขาย่อมน้อมน้อมย่อมเคารพต้นไม้
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    มนุษย์ทุกคนมีปัญหาเรื่อง ความกลัว เรื่องความทุกข์ที่ไปบีบคั้น แม้ความเจ็บไข้ และความ
    ตาย ฯลฯ เขาจึงล้วนแต่ต้องการที่พึ่ง ต้องการสรณะ นับตั้งแต่ เด็กทารกก็มีบิดามารดาเป็นสรณะ เป็นต้น
    สิ่งใดที่ทำให้เบาใจได้ ทำให้หายกลัวได้ ทำให้จิตพ้นจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาได้
    สิ่งนั้นเรียกว่า สรณะ หรือที่พึ่ง

    ที่พึ่งมีได้หลายระดับ มากมาย ตามความโง่หรือความฉลาด ของมนุษย์เอง
    และมันต้องเป็นที่พึ่งที่เหมาะสมสำหรับคนนั้นๆ เช่น
    การมีไสยศาสตร์เป็นที่พึ่งของคนที่ยังไม่มีความรู้ทางจิต ส่วนคนที่รู้จัก
    การทำจิตใจให้ถูกต้อง จนรู้ธรรมะเป็นที่สุด เป็นสรณะที่พึ่งได้

    เรื่องที่แต่ละคนจะรู้สึกสบายใจ เบาใจอะไรนี้ มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่เขารู้สึกในเวลานั้น
    ว่ามันเป็นของจริงสำหรับเขา

    ความจริงนั้นมันยืดหยุ่นได้เสมอไป มันจะจริงอยู่เพียงที่ใจเขารู้จัก เท่าที่ความรู้ของเขา
    มีอยู่เพียงไร เท่าไร มันก็จะจริงอยู่เพียงแค่ที่เขาจะเห็นด้วยตนเองได้เท่านั้น
    เขาไม่อาจจะเห็นความจริงที่ลึก ที่สูง ที่ไกล ออกไปได้
    ฉะนั้นความจริงมันจึงเฉพาะคน เฉพาะเวลา เฉพาะเหตุผล ที่มีอยู่ในเวลานั้น เท่านั้น
    อย่าไปเข้าใจว่า เป็นจริงที่เด็ดขาดลงไป ดังนั้นสรณะของแต่ละคนจึงแตกต่างกันออกไป

    ธรรมะเป็นยอดสุดของที่พึ่ง เป็นยอดสุดของสรณะ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่ต้องการที่พึ่ง
    ถ้ายังต้องการที่พึ่งอยู่ก็ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะท่านถึงที่พึ่งอันสูงสุดแล้ว จึงไม่รู้สึกว่าต้องการ
    ที่พึ่ง ฉะนั้นจึงไม่ได้มีอะไรเป็นที่ผูกพันกันยุ่งเหยิง เหมือนกับพวกที่ยังไม่หลุดพ้น ยังมีความทุกข์อยู่

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์หมายถึงสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ มันมีทั้งศักดิ์สิทธิ์จริง และศักดิ์สิทธิ์มายา
    แต่ก็ล้วนมีผลทำให้เบาใจได้เป็นระดับๆไป
    คนโง่อาจใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเพียงมายา เช่น ใช้คาถาปลุกเศก รดน้ำมนต์ เป็นต้น
    สำหรับคนฉลาดใช้อย่างนี้ไม่ได้ ต้องหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างอื่นแทน

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นปัญหายุ่งยากที่สุด แม้กระทั่งในสมัยวิทยาศาสตร์ เพราะมันพิสูจน์ยาก
    แต่โดยหลักเกณฑ์ของมันก็เป็นเพราะความเชื่อของคน
    ด้วยอำนาจความเชื่อนั่นแหละ ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ แล้วความเชื่อนั้น
    มันก็ขึ้นอยู่กับความโง่ หรือความฉลาดด้วย

    เรื่องไปรดน้ำมนต์ เราไม่ได้ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ว่า ไม่มีอะไรเสียเลย มันก็มีไปตาม
    ข้อเท็จจริงของมัน มีผลไปตามสัดส่วนของความโง่ หรือความเชื่อ
    คือถ้าเชื่อแล้ว มันก็มีความเบาใจ สบายใจ หายกลัว หายทุกข์ร้อน
    นี้มันก็มีประโยชน์มาก แต่ถ้าไม่เชื่อแล้ว ก็เป็นเรื่องอาบน้ำธรรมดาไปเสีย นั่นเอง

    การปัดเป่า เสกเป่า นี้ก็เหมือนกัน ถ้าเชื่อมันก็มีผลในทางใจ รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที
    ถ้าไม่เชื่อ มันก็ไม่มีอะไร มันอยู่ที่กำลังใจ ที่สูงต่ำกว่ากัน

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์มายาเป็นที่พึ่งที่มาจากภายนอก อาจได้มาจาก ภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง
    ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บ้าง เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์บ้าง
    ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สรณะอันเกษม ไม่ใช่สรณะอันสูงสุด ไม่ทำให้
    เกลี้ยงเกลาไปจากความทุกข์ได้จริง เป็นเพียงที่พึ่งหลอกๆ มีความเบาสบายชั่วคราวเท่านั้น

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์แท้จริงหมายถึงธรรมะ (รวมทั้ง พระพุทธ พระธรรมะ พระสงฆ์) ที่มีผลกำจัดทุกข์ได้จริง
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกชนิด ทั้งชนิดที่แท้จริง และชนิดมายา ก็มีผลสมควรแก่กรณี สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับ
    คนโง่ ก็ต้องใช้กับคนโง่, สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนฉลาด ก็ต้องใช้กับคนฉลาด, สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับ
    คนครึ่งๆกลางๆ ก็ต้องใช้กับคนครึ่งๆกลางๆ, ถ้าผิดฝาผิดตัวแล้ว มันก็ตีกันยุ่ง แล้วจะไม่มีประโยชน์

    เราไม่ได้ปฏิเสธว่า ไม่มีผี ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่มันมีอยู่หลายชนิด ซึ่งคนที่ไม่รู้ก็จะเข้าใจได้ยาก
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงอยู่ในฐานะเหนือการพิสูจน์ เรื่องอย่างนี้เป็นมาแล้วก่อนพุทธกาลนานไกล เป็นมาจนถึงปัจจุบัน

    ความศักดิ์สิทธิ์นี้มีจริง เพราะเป็นเรื่องทางจิตใจ มันง่ายที่จะมี ถ้าทุกคนเชื่อลงไปในสิ่งนี้ว่าเป็น
    อย่างนี้ มีผลอย่างนี้ ความเชื่อนั้นแหละเป็นอำนาจอะไรอย่างหนึ่ง ที่ฝังอยู่ในบรรยากาศนั้นๆ พอใคร
    เข้ามาในที่นั้น มันก็ครอบงำ แล้วคนนั้นก็จะรู้สึกเป็นอย่างนั้น รู้สึกเหมือนที่เชื่อกันนั้น ได้จริงๆเหมือนกัน
    ฉะนั้นในเมื่อคนยังโง่มาก มันก็สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันขึ้นมาเอง

    สำหรับคนสมัยนี้ เวลานี้เขาศึกษากันแต่ในเรื่องวัตถุ เขาจะแก้ปัญหาต่างๆด้วยเรื่องทางวัตถุ
    ก่อนเสมอ เช่นโรคภัยไข้เจ็บก็แก้กันด้วยหยูกยาก่อน หรือเรื่องอะไรต่างๆก็แก้ด้วยเครื่องใช้เครื่องมือ
    จนกระทั่งไปแก้ปัญหาทางจิตโดยใช้วิทยาศาสตร์ แต่แล้วก็ไม่สำเร็จ พอเผลอเข้านิดเดียว
    นักวิทยาศาสตร์ที่มีความโง่เขลาในทางวิญญาณ ก็กลายเป็นเหยื่อของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ที่อธิบายไม่ได้ไปเสียแล้วโดยไม่รู้ตัว อย่างนี้ก็มีอยู่มาก

    นักวิทยาศาสตร์เอกที่ไปเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนาอะไรก็ตาม ก็ยังต้องรดน้ำมนต์ ยังทำ
    อะไรแปลกๆอย่างนี้ก็มีอยู่มากเหมือนกัน กระทั่งถือฤกษ์ถือยาม ถืออะไรไปตามประสาของความขลาด
    ซึ่งความขลาดความกลัวนี้มาจากความอยาก และวิทยาศาสตร์ทางวัตถุช่วยเพิ่มความอยาก
    จนสับสนวนเวียน จนเกิดความกลัวก็ต้องเอาอะไรมาหลอกกัน ด้วยเรื่องศักดิ์สิทธิ์ หรือ
    ไสยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์จึงกลายเป็นทาสของไสยาศาสตร์ไปโดยไม่รู้สึกตัว

    สรณะที่แท้จริงนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ผู้ใดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    เห็นอริยสัจสี่ด้วยปัญญา ผู้นั้นได้ชื่อว่า ได้ที่พึ่งอันเกษม ได้ที่พึ่งอันสูงสุด ซึ่งจะให้พ้นทุกข์ทั้งปวงได้"

    การถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นหมายความว่า ต้องเห็นอริยสัจสี่ด้วยปัญญา
    คือเกิด experience อยู่ในใจจริงๆ เป็นความเห็นแจ้งแทงตลอดว่า
    ทุกข์มีลักษณะอาการอย่างนี้ๆ สมุทัย คือตัณหา เหตุให้เกิดทุกข์ เราก็รู้จักตัวจริง และ รู้ความ
    ที่จะกำจัดมันได้, นิโรธ ความดับแห่งทุกข์ ที่มันปรากฏอยู่ในใจเราเสมอๆ ก็ให้แจ่มแจ้งอยู่ในใจ
    ของเราเสมอๆ และมรรค ทางแห่งการปฏิบัติก็ต้องทำให้มีอยู่ในเนื้อในตัวเราจริงๆ

    ถ้าเห็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ก็คือเห็นธรรมะที่เป็นที่ดับทุกข์ได้จริง
    มิฉะนั้นแล้ว จะเป็นการเห็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่เปลือกนอก
    เช่นเห็นพระพุทธรูป ว่าเป็นพระพุทธ เห็นคัมภีร์ใบลานว่าเป็นพระธรรม เห็นลูกชาวบ้าน
    นุ่งห่มสีเหลืองว่าเป็นพระสงฆ์ เป็นต้น ซึ่งนั่นไม่เรียกว่าการเห็นที่แท้จริง

    ในสมัยพุทธกาลมีคนไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้มีการสนทนาโต้ตอบกัน จนบุคคลนั้น
    เห็นธรรม เข้าใจธรรม เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ จนเห็นว่ามันดับทุกข์ได้จริงๆแล้ว จึงได้ออกปาก
    เปล่งวาจาถึงสรณาคมน์ ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ฯลฯ
    ดังนั้นการเข้าถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ จึงเป็นเรื่องจริง
    ทำครั้งเดียวก็ใช้ได้ตลอดกาลตลอดชีวิต

    แต่เดี๋ยวนี้ คนเรายังไม่ทันรู้อริยสัจสี่ ยังไม่ทันรู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    ก็ออกปากว่าสรณาคมน์ไปตามที่เขาบอก โดยทำเป็นพิธี ว่าไปอย่างนกแก้วนกขุนทอง
    คือต้องพูดซ้ำๆซากๆ เดือนหนึ่งไม่รู้กี่สิบครั้งกี่ร้อยครั้ง มันจึงเป็นสรณาคมน์ที่งมงาย

    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แท้จริง ที่ลึกเข้าไปในใจแล้ว ก็เหมือนกันหมด นั่นก็คือ
    คุณธรรมที่เป็นความดับทุกข์ได้เหมือนกันหมด ซึ่งจะเรียกว่า ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ
    สิ่งนี้จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องทำให้มีขึ้นมาเองในใจของเรา ทำพระพุทธเจ้า
    ให้มีขึ้นมาเองในจิตในใจของเรา ทำพระธรรมให้มีขึ้นมาเองในใจของเรา ทำพระสงฆ์ให้มีขึ้นมาเอง
    ในใจของเรา ทำการรู้อริยสัจสี่ให้มีขึ้นมาเองในใจของเรา อย่างนี้เรียกว่า
    เป็นการกระทำของตนเอง เพื่อตนเอง และโดยตนเอง

    นี่คือสิ่งที่กล่าวกันว่า “มีตนเป็นดวงประทีป มีธรรมเป็นดวงประทีป” “มีตนเป็นสรณะ
    มีธรรมเป็นสรณะ” นั่นก็คือ การได้ถึงสรณาคมน์เป็นความดับทุกข์ หรือเป็นนิพพานอยู่ในตัว

    ขอให้ทุกคนรีบแก้ไขให้การถึงสรณาคมน์นี้ ด้วยจิตใจจริงๆ โดยไม่ต้องออกปากว่าก็ได้
    ถ้าว่าด้วยปากให้เป็นพิธี ซึ่งทำให้มีเหตุผลทางจิตวิทยา ชี้ชวน ชักชวนผู้อื่นให้เข้ามาสนใจ
    หรือว่าเป็นการย้ำในการถึงแล้วของเราให้แน่นแฟ้นอยู่เสมอ อย่างนี้ก็พอจะไปได้
    ถ้ารู้ว่ายังไม่ถึง ก็จงรีบๆทำให้ก้าวหน้า และให้ถึงในที่สุด

    ธรรมโฆษณ์ บรมธรรม ภาคปลาย "บรมธรรมกับสรณาคมน์"
     
  7. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    หลังจากเจอพระสมเด็จจิตรลดาเข้าไป
    [​IMG]

    ถ้าไม่ใช่พระทำละครับ

    บรรทัดไหนในพระไตรปิฎกครับ ที่ว่าสร้างพระพุทธรูป หรือพระเครื่องคือการทุศีล ผิดศีล

    ไปประชุมกันทั้งสำนักสามแพร่งก่อนมาตอบก็ได้นะ (kiss)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  8. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    นักวิชาการสมัยก่อนระบุในตำราว่าพระพุทธรูปสร้างในยุคหลังพุทธกาลหลายร้อยปีเพราะมีการผสมผสานจากวัฒนธรรมของชาวกรีกที่แพร่หลายเข้ามา แต่ปัจจุบันมีการค้นพบโบราณสถานที่ mes aynak ที่มาอายุ 2600 ปีมาแล้วและมีพระพุทธรูปถูกกลบฝังอยู่มากมาย ทำให้นักวิชาการสมัยนี้ต้องประเมินกันใหม่ว่ามีการสร้างพระพุทธรูปกันตั้งแต่ยุคพุทธกาลแล้ว ว่างๆก็อัพเดทข้อมูลบ้าง มันล้าสมัยไปนานแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • mes aynak.jpg
      mes aynak.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.4 KB
      เปิดดู:
      48
  9. thanakorn_b

    thanakorn_b สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +8
    ถ้าจะคุย กันเพื่อเพิ่ม โลภ โกรธ หลง ก็พอเถอะครับ
     
  10. ตันติปาละ

    ตันติปาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    4,421
    ค่าพลัง:
    +4,649
    ขออนุญาตินำมาให้อ่านครับ

    ปางห้ามพระแก่นจันทร์

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    ปางพระห้ามพระแก่นจันทร์ เป็นพระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถยืน ห้อยพระหัตถ์ขวาลงข้างพระวรกาย ฝ่าพระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นเสมอพระอุระ (อก) และยื่นออกไปข้างหน้าเป็นกิริยาทรงห้าม
    ประวัติ

    ตามคัมภีร์อรรถกถา (คัมภีร์ชั้นหลังพระไตรปิฎก) กล่าวว่าเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จจำพรรษา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น มีตำนานกล่าวว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์แห่งนครสาวัตถีทรงลำลึกถึงพระพุทธองค์มาก ด้วยความเคารพรักและศรัทธาจึงสั่งให้ช่างหลวงทำพระพุทธรูปลักษณะคล้ายองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยไม้แก่นจันทร์หอมอย่างดี ประดิษฐานไว้ในพระราชนิเวศน์เพื่อสักการบูชา พระไม้แก่นจันทร์องค์นี้ถือว่าเป็นพระพุทธรูปองค์แรกในพระพุทธศาสนา เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมา และได้มาทรงเยี่ยมพระเจ้าปเสนทิโกศล พระพุทธรูปไม้แก่นจันทร์ องค์ดังกล่าวก็ได้แสดงปาฏิหาร ลอยจากพระแท่น เพื่อให้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ทรงห้ามรูปเปรียบพระองค์ ไม่ให้ลอยไปที่อื่น และยังได้ทรงบอกถึงอานิสงค์ในการสร้างรูปเปรียบของพระองค์ให้พระเจ้าปเสนทิโกศลรับฟังอีกด้วย




    สรุปว่า ยังไม่เห็นบทใหนที่พระพุทธเจ้าห้ามสร้างรูปเปรียบพระองค์ ถ้าผิดพลาดก็โปรดอภัย
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปที่เป็นอดีต รูปที่เป็นอนาคต เป็นอนัตตา จักกล่าวถึงรูปที่เป็นปัจจุบันไปไยเล่า?
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในรูปที่เป็นอดีต
    ไม่เพลิดเพลินในรูปที่เป็นอนาคต ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด
    เพื่อความดับรูปที่เป็นปัจจุบัน."

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๗

    พระสูตรนี้ไงครับ รูปเป็นอนัตตา คุณฟังธรรมไม่เข้าใจเอง ผมอธิบายให้ฟังนะครับ
    คำว่า "อนัตตา" หมายถึง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สรรพสิ่งที่มีในธรรมชาตินี้เป็นสังขตธรรมทั้งหมด
    ผมยกคำว่า "สังขตธรรม" ขึ้นมาคุณคงไม่รู้จัก อธิบายง่ายๆ อย่างนี้นะครับ สังขตธรรม หมายถึง
    สิ่งที่มี การเกิดปราฏก มีความเสื่อมปรากฏ เมื่อตั้งอยู่มีความแปรปวน เช่น รูปร่างกายของคุณ คุณเกิดมา
    คุณแก่ คุณเจ็บ นั่นแหละครับ สังขตธรรม อย่ารูปพระสมเด็จจิตรลดาที่คุณเอามาลง นั่นก็รูปๆ หนึ่ง
    พระสมเด็จจิตรลดา ชื่อบอกอยู่แล้วครับ พระสมเด็จจิตรลดา แล้วเป็นรูปพระพุทธเจ้าหรือครับ
    รูปพระสมเด็จจิตรลดา ก็เป็นรูปพระสมเด็จจิตรลดา รูปใดๆ ในโลก คุณสมมติว่าเป็นรูปอะไร
    รูปนั้นก็เป็นอย่างที่คุณคิด แต่ไม่ใช่รูปพระพุทธเจ้าเป็นแน่ คุณลมแอบมานาน เปิดตัวแล้วหรือครับ
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    นอกจากคำพูดเปล่าๆ ของคุณ มีหลักฐานหรือไม่ครับ
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    วิกิพีเดีย เชื่อได้หรือครับ คุณอ่านวิกิพีเดียแล้วคุณสรุปเลยหรือครับ
    พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระไตรปิฎกคุณไม่ต้องอ่านหรือครับ
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    รูปนี้ ไม่มีใครสร้าง อัตภาพนี้ ไม่มีใครก่อ รูปเกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุ ดับไป เพราะเหตุดับ ฯ
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๕ หน้าที่ ๑๖๖/๒๘๙
     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "ดูกรอานนท์ ข้อนั้น เราได้บอกเธอทั้งหลายไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า
    จักต้องมีความจาก ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น
    เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน?
    สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา
    การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้"

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๙ หน้าที่ ๑๗๘/๔๖๙
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ดูกรอานนท์ !
    บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี
    ก็ข้อนี้ พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ
    ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๐ หน้าที่ ๙๕/๒๖๑
     
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ไก่…ก็เป็นสิ่งสมมติ

    อาตมาเคยเล่าให้ฟังครั้งหนึ่งว่า คนสี่คนเดินเข้าไปในป่า
    ได้ยินเสียงไก่ขัน “เอ๊ก อี๊เอ้ก เอ้ก” ต่อกันไป คนหนึ่งก็เกิด
    ปัญหาขึ้นมาว่าเสียงขันนี้ใครว่าไก่ตัวผู้หรือไก่ตัวเมีย
    สามคนรวมหัวกันว่าไก่ตัวเมีย ส่วนคนเดียวนั้นก็ว่า ไก่ตัวผู้ขัน
    เถียงกันไปมาอยู่อย่างนี้แหละไม่หยุด
    สามคนว่าไก่ตัวเมียขัน คนเดียวว่าไก่ตัวผู้ขัน
    “ไก่ตัวเมียจะขันได้อย่างไร?”
    “ก็มันมีปากนี่” สามคนตอบ
    คนคนเดียวนั้นเถียงกันจนร้องไห้ ความจริงแล้วไก่ตัวผู้นั่นแหละ
    ขันจริง ๆ ตามสมมติเขา แต่สามคนนั้นว่าไม่ใช่ ว่าเป็นไก่ตัวเมีย
    เถียงกันไปจนร้องไห้ เสียอกเสียใจมาก
    ผลที่สุดแล้วมันก็ผิดหมดทุกคนนั่นแหละ ที่ว่าไก่ตัวผู้ ไก่ตัวเมีย
    ก็เป็นสมมติเหมือนกัน

    ถ้าไปถามไก่ว่า “เป็นตัวผู้หรือ” มันก็ไม่ตอบ “เป็นไก่ตัวเมียหรือ”
    มันก็ไม่ให้เหตุผลว่าอย่างไร แต่เราเคยสมมติบัญญัติว่า
    รูปลักษณะอย่างนี้เป็นไก่ตัวผู้ รูปลักษณะอย่างนั้นเป็นไก่ตัวเมีย
    รูปลักษณะอย่างนี้เป็นไก่ตัวผู้ มันต้องขันอย่างนี้
    ตัวเมีย มันต้องขันอย่างนั้น

    อันนี้มันเป็นสมมติ ติดอยู่ในโลกเรานี้
    ความเป็นจริงมันไม่มีไก่ตัวผู้ไก่ตัวเมียหรอก

    ถ้าพูดตามความสมมติในโลก ก็ถูกตามคนเดียวนั้น
    แต่เพื่อนสามคน ก็ไม่เห็นด้วย เขาว่าไม่ใช่ เถียงกันไปจนร้องไห้ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร มันก็เรื่องเพียงเท่านี้

    หลวงพ่อชา สุภัทโท
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธองค์ทรงบังเกิดขึ้นในยุคอุปนิษัทนี้ ทรงค้นคว้าและสั่งสอนในเรื่องความสูงทางวิญญาณ หรือทางนามธรรม. คำสอนของพระองค์นี้มีเนื้อหาสาระอยู่ที่การบังคับตัวเองหรือกิเลส. ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ได้ทรงย้ำอยู่แต่เรื่องการทำความเพียรเพื่อเป็นที่พึ่งของตัวเอง โดยไม่ต้องเกี่ยวกับคนอื่นนอกจากตน, แม้ว่าพระองค์จะทรงช่วยสาวกให้พ้นจากความทุกข์ได้ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงประสงค์ที่จะให้ใครถือว่าพระองค์เป็นพระเป็นเจ้าผู้ช่วยสัตว์นอกเหนืออำนาจธรรมชาติ, พระองค์ทรงขอร้องให้สาวกทุกคนมองหา "ผู้นำ" ที่ตัวธรรมะ, และมองตนเองในฐานะเป็นสรณะที่พึ่ง, แต่มหาชนส่วนใหญ่ในกาลต่อมา เป็นคนเขลาและขลาด จึงรู้สึกว่าธรรมะนั้นเป็นของยาก ไม่อาจจะเกี่ยวข้องด้วยได้, จึงหันมาติดแจในตัวพระองค์ ถือพระองค์ว่าเป็นพระเจ้า ยิ่งกว่าที่จะถือว่าพระองค์เป็นมนุษย์ที่เป็นพระศาสดา; และมองไปแต่ในทางที่ว่า พระกรุณาของพระองค์นั้นสำคัญยิ่งไปกว่าความมั่นใจในการพยายามปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเอง เพื่อตัวเอง ด้วยตัวเอง, ดังที่พระองค์กำชับไว้อย่างแน่นแฟ้น แม้ในวาระสุดท้ายที่เสด็จปรินิพพาน ในฐานะที่เป็นพินัยกรรมแก่สาวกทั้งหลาย. ความหวังแต่จะให้พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด (Saviour) เสียเรื่อยไปนี้เอง ได้นำไปสู่ลัทธิที่บูชาพระองค์อย่างพระเจ้า; ในชั้นแรกก็กราบไหว้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเกี่ยวกับพระองค์ด้วยความรู้สึกเช่นนั้นไปก่อน จนกระทั่งยึดมั่นในพระสารีริกธาตุของพระองค์นานาชนิด เพราะความเขลาและขลาดมาก จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และมีความพอดีหรือถูกต้องเพียงไหนอย่างไร ยิ่งขึ้นทุกที ในที่สุดก็กล้าทำพระพุทธรูปขึ้นบูชาในลักษณะที่เป็นการถอยหลังเข้าคลองของตนเอง ในทางธรรมะหรือทางวิญญาณ, จนรกรุงรังไปด้วยพิธีรีตองทางวัตถุธรรมเกินกว่าความจำเป็น คือเกินกว่าที่จะเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือ Symbol เพื่อการน้อมระลึกในทางนามธรรมเท่านั้น, และทับถมปิดกลบธรรมะที่จะช่วยให้รอดได้จริงยิ่งขึ้นทุกที จนมีผู้กล่าวว่า "พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า" ขึ้นมาด้วยเหตุนี้

    พุทธทาสภิกขุ รวบรวมและอธิบาย
    http://www.buddhadasa.org/html/life-work/theatre/sculpture/sculpture-pre.html
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]

    หลักฐานเท่าที่ปรากฏอยู่จริงในหินสลักต่าง ๆ นั้น ค้นพบได้จากที่ ๓ แห่งคือ ที่สถูปภารหุต ค่อนไปทางทิศเหนือ, ที่กลุ่มสถูปสาญจี ทางภาคกลาง, และกลุ่มสถูปอมราวดี ทางอินเดียใต้, ซึ่งมีหินสลักภาพพุทธประวัติอยู่ด้วยกันมากมาย สำหรับสถูปภารหุตนั้น ถูกทำลายสูญหายไปเสียมาก เมื่อเจ้าหน้าที่ทางโบราณคดีไปพบ เหลืออยู่ประมาณ ๑ ใน ๔ และได้นำมาเก็บรักษาไว้ใน Indian Museum ที่กัลกัตตาทั้งหมด แม้แต่ชิ้นใหญ่ ๆ เช่นซุ้มประตูขนาดมีความสูงตั้ง ๓ วา, จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปดูที่ในป่า ณ ที่เดิม สำหรับสถูปสาญจีนั้น นับว่าโชคดีมาก ที่อะไร ๆ ก็ยังคงอยู่ในที่เดิม จนกระทั่งสามารถจัดเป็นพิพิธภัณฑ์สถานขึ้นโดยเฉพาะ ณ ที่นั้นเอง ควรจะไปดูอย่างยิ่ง สำหรับสถูปกลุ่มอมราวดีทางอินเดียใต้นั้น น่าสังเวชที่ชาวบ้านพบก่อนเจ้าหน้าที่ รื้อแผ่นสวยงามไปขาย จนกระทั่งกระจัดกระจายไปตามที่ต่าง ๆ กระทั่งในต่างประเทศ และตกเป็นของบริษัทการค้าของฝรั่งก็มิใช่น้อย แต่ในที่สุดชิ้นที่สวยงามประมาณ ๒๐๐ ชิ้น ก็ไปรวมกันอยู่ได้ที่บริติชมิวเซียม ในประเทศอังกฤษ โดยความพยายามของเจ้าหน้าที่ทางโบราณคดีประเทศนั้น, ส่วนที่เหลืออีกมากมายนั้นถูกนำไปรวมรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งรัฐมัดราส, จัดเป็นอมราวดีแก็ลเลอรี่ที่ใหญ่โตทีเดียว มีทั้งยุคที่ยังไม่มีพระพุทธรูปเลย, และยุคที่มีบ้างไม่มีบ้าง กระทั่งยุคที่มีพระพุทธรูปเต็มที่ เพราะอาณาจักรอันธระแห่งยุคอมราวดีนี้ ตั้งอยู่นานถึง ๗๐๐ ปี จึงได้มีภาพพุทธประวัติทุกยุค และทุกแบบ ซึ่งน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง สำหรับที่ภารหุตนั้นมีแต่ยุคที่ไม่ทำพระพุทธรูป, ส่วนที่สาญจีนั้นโดยส่วนใหญ่ต้องถือว่าเป็นยุคก่อนมีพระพุทธรูปด้วยเหมือนกัน เพิ่งจะมีพระพุทธรูปและสิ่งต่าง ๆ ในสมัยคุปตะเพิ่มขึ้นบ้าง ไม่เป็นส่วนสำคัญอะไรเลย และไม่มีใครเรียกพระพุทธรูปเหล่านั้นว่าพระพุทธรูปแบบสาญจีกันเลย, ถือว่าเป็นศิลปกรรมแบบสาญจีกันแต่เฉพาะที่ทำในสมัยก่อนมีพระพุทธรูป หรือสมัยสุงคะ กันทั้งนั้น

    จากความใหญ่โตมโหฬาร, ความมากมาย, และความประณีตบรรจงในการกระทำ ตลอดถึงความเสียสละอดทน อันจะสังเกตเห็นได้จากศิลปวัตถุนั้น ๆ ทำให้รู้สึกว่าพุทธบริษัทแห่งสมัยนั้น (พ.ศ. ๐๐๑-๖๐๐ ) ไม่มีความรู้เรื่องพระพุทธรูปกันเสียเลยจริง ๆ และไม่มีใครเคยทำพระพุทธรูปขึ้นเลยในระยะนี้ ประชาชนทั่วไปก็ดี พวกช่างหรือศิลปินก็ดี, กษัตริย์หรืออิสรชนก็ดี ตลอดถึงคณะสงฆ์และพุทธบริษัททั่วไปก็ดี มั่นคงอยู่ในคติที่ว่าองค์พระศาสดาหรือ "พระภควัน" นั้น ไม่ใช่สิ่งที่อาจจะแสดงได้ด้วยรูปของมนุษย์, สิ่งที่อาจจะแสดงได้ด้วยรูปของมนุษย์นั้น เป็นเพียงเปลือกนอกของสิ่งที่เรียกว่าพระศาสดาที่แท้จริง อันจะเป็นที่พึ่งของเราได้ ถ้าเราแสดงภาพของพระภควันด้วยรูปร่างมนุษย์เช่นนั้น เราก็เป็นคนตู่พระภควัน หรือแสดงพระภควันในลักษณะที่เป็นของเท็จหรือของปลอมออกมา, เพราะว่าใครจะไปทำภาพของหน้าตาแขนแมนของพระองค์ให้เหมือนของจริงได้, หรือว่าใครจะแสดงอารมณ์ (mood) อันแท้จริงที่พระพักตร์ของพระพุทธรูปนั้นให้เหมือนของจริงหรือถูกต้องได้, ย่อมทำไปตามอารมณ์ของผู้ทำเอง จนมีมากแบบมากชนิด น่าเกลียดน่าชังก็มี เป็นเจ้าชู้ไปก็มี, บูดบึ้งไม่สมกับความเป็นพระภควันไปก็มี มากมายเหลือที่จะกล่าวได้, ยิ่งพยายามยิ่งขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งไกลไปเท่านั้น เพราะทำด้วยมานะทิฏฐิของตนเอง ไม่ได้ทำด้วยจิตว่างเหมือนจิตของพระภควันเอง, และโดยแท้จริงนั้น สิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ในลักษณะที่เป็น mood นั้น จะมีไม่ได้เลยแก่องค์พระภควันที่แท้จริง, จะมีแม้เพียงบางอย่างก็ที่นามรูปอันเป็นชั้นผิวนอกเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับพระภควันที่แท้จริงเลย เมื่อเขารู้จักแยกพระภควันองค์จริง ที่เขาถือเอาเป็นที่พึ่ง ออกจากเปลือกนอกที่ปรากฏแก่คนทั่วไปได้ดังนี้ เขาจึงไม่ทำพระภควันนั้นให้เป็นรูปมนุษย์ มีหน้าตาแขนแมนอย่างนั้น อย่างนี้แต่ประการใด

    พุทธทาสภิกขุ รวบรวมและอธิบาย
    http://www.buddhadasa.org/html/life-work/theatre/sculpture/sculpture.html
     
  20. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    วิกิพีเดียก็เชื่อถือได้
    มากกว่า
    การตีความพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระไตรปิฎก
    แบบ
    มั่วๆๆ ของคุณก็แล้วกัน
    ฮาขี้แตกเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...