ยิ่งปฏิบัติธรรมยิ่งยวด ยิ่งมาก ยิ่งห่างไกลธรรมมาก สมาธิอะไรก็ไม่ต้องไปทำ ไร้สาระ!

พระอาภาโพธิสัตว์องค์นั้น
จะมั่นคงหนักแน่นดุจต้นไม้
ที่หยั่งรากลงดิน เป็นคฑาที่
มีพลังอำนาจมั่นคงที่สุด ซึ่ง
ปักลงดินแล้วไม่ถอนกลับคืน


ในขณะที่พระศรีอาร์ฯ จะบำเพ็ญ
"จักรแก้ว-จักรวาล" เคลื่อนอยู่
ไต่ระดับไปเรื่อยๆ จนคฑาที่รอง
รับจักรของท่าน ต้านทานไม่ไหว
ก็จะมีคฑาที่มีพลังอำนาจสูงขึ้น
มารองรับต่อไป จนถึงที่สุดแล้ว
ก็จะได้พบ "คฑาจักรวาล" ซึ่งมี
ในพระอาภาฯ ผู้บำเพ็ญในต้นไม้
เหมือนต้นไม้ อยู่กับต้นไม้นั่นเอง


อ่ะ เหมือนหนังอีกแล้ว? โม้โครตๆ

 

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=GkpIwUnDLd8&feature=related"]เซียนกระบี่พิชิตมาร ภาค 3 ตอน 24 - YouTube[/ame]


พระอาภาโพธิสัตว์ไปอยู่ในต้นไม้แบบนี้อ่ะ
เกิดเป็นต้นไม้แบบนี้ เพื่อบำเพ็ญบารมีให้
แน่วแน่ยั่งยืน แข็งแกร่ง แล้วก็มีไฟรอบด้วย
โดยตัวตนที่ลงมาข้างล่าง ถูกเซียวเหยาที่
เป็น "ตัวตนเบื้องบน" แอบส่งลงมา ทว่า ก็
ทำให้ตัวตนข้างบน "หายไป" ไม่มีใครเห็น
จนกระทั่ง "จิ่งเทียน" มาตามหาจนเจอไง
เหมือน "มโนธาตุของพระพุทธเจ้า" ที่คน
ไม่มีใครพบเจอได้ เพราะคิดว่านิพพานไป
หมดแล้ว ตัวตนไม่มีเหลืออะไรอีกแล้วเลย
หลงลืมกันไปนั่นเอง จึงต้องบำเพ็ญแบบนี้

 

ดาวมฤตยู ผู้เกิดจากพลังภาคลบของผู้คน อยู่ได้ด้วยความหวาดกลัวของผู้คน ก็ลงมาทำ
ให้เกิดภัยพิบัติแล้ว ทุกท่าน มาพร้อมกันแล้ว ต่อไป ตัวตนข้างบนก็จะกำกับบทให้ข้างล่าง

 

ส่วนคนนี้ ก็อยู่ในเจดีย์กักมารนานเกินไป
ก็เลยมีสองบุคคลิก อะไรแบบนั้นอ่ะป่าว?

 

พระพุทธเจ้าสอนไว้ หลวงปู่ หลวงตาก็สอนไว้ สอนเหมือนกัน
นักปฏิบัติต้องเดินตามอริยมรรค ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติฯ
ต้องเดินไปตามลำดับ เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด มันเข้าทางมารครับ

 

เดินอยู่ทุกวันอยู่แล้วคร้าบ ไม่ต้องไปกำหนด ก้าวหนอ ย่างหนออะไรหรอก
หายใจก็หายใจอยู่ตลอด ไม่ต้องไปกำหนด เข้าพุทธ ออกโธ อะไรมันหรอก


การทำงานปกติ มันคือ การฝึกพละห้าแบบสายเทพครับ มารก็ใช้แบบเดียว
กัน พวกที่ไปนั่งสมาธิ ปฏิบัติอะไรนั่น เป็นพวกสายฤษี แต่ไม่ว่าสายไหนก็
เข้าถึงธรรมได้ทั้งน้านแหละ จะไปยึดว่าต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้เพื่ออะไร?

 

มาให้กำลังใจพี่ผมยาวที่พูดในคลิบนะครับว่าดีและถูกต้องผมก็ดำเนินทางแบบนี้มาสักพักแล้ว ซึ่่งคำสอนที่พี่พูดนั้นมีมานานแล้วครับซึ่งเหมือนอยู่ในหนังสือมุตโตทัยของหลวงปู่มั่นผมศึกษาตำราเล่มนี้เกือบ 1 ปี กว่าจะเข้าใจครับตั้งแต่ปีพ.ศ.2534 นี่ก็ผ่านมาร่วม 10 กว่าปีแล้ว เพัยงแต่พีผมยาวพูดอธิบายได้เห็นภาพมากขึ้นดีครับที่ออกมาให้คนได้รับทราบมั่งครับถ้าคนที่ปฎิบัติธรรมจริงๆ ถ้าคนดูได้อ่านหนังสือมุตโตทัยจะเข้าใจในสิ่งที่พี่พูดไม่ถึง 1 นาทีครับแล้ว+กับพี่บอกเพิ่มเติมยิ่งเข้าใจมากขึ้นถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อนอาจจะยากครับแล้วแต่บารมีแต่ละคนฝากบอกเพื่อนๆสมาชิกในเวปครับว่าถูกต้องหมดครับเพียงแต่คนที่ออกมาพูดไม่ใช่พระก็เชื่อได้ครับเพราะยังไงพระก็สิ่งสมมติถ้าเราอยู่เหนือสิ่งสมมติ อาศัยสิ่งสมมตุมารับรู้ ผมไม่ได้บอกว่าพี่เอารูปแบบการคิด+พูด จากหนังสือนะครับเพียงแต่ว่าเรื่องที่พี่พูดตรงตามหนังสือที่ผมศึกษาเท่านั้นและนำไปปฎิบัติอยู่ทุกวันนี้เท่านั้นครับยกตัวอย่างในหนังสือบางข้อ
จิตเดิมเปนธรรมชาติใสสวาง แตมืดมัวไปเพราะอุปกิเลส <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>
ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ <o></o>
ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เสื่อมปภัสสรแจงสวางมาเดิม แตอาศัยอุปกิเลสเครื่องเศราหมองเปนอาคันตุกะสัญจรมาปก
คลุมหุมหอ จึงทําใหจิตมิสองแสงสวางได ทานเปรียบไวในบทกลอนหนึ่งวา "ไมชะงกหกพันงา(กิ่ง) กะปอมกา
กิ้งกาฮอย กะปอมนอยขึ้นมื้อพัน ครั้นตัวมาบทัน ขึ้นนําคูมื้อๆ" โดยอธิบายวา คําวาไมชะงก ๖,๐๐๐ งานั้นเมื่อตัด
ศูนย ๓ ศูนยออกเสียเหลือแค ๖ คงไดความวา ทวารทั้ง ๖ เปนที่มาแหงกะปอมกา คือของปลอมไมใชของจริง
กิเลสทั้งหลายไมใชของจริง เปนสิ่งสัญจรเขามาในทวารทั้ง ๖ นับรอยนับพัน มิใชแตเทานั้น กิเลสทั้งหลายที่ยังไม
เกิดขึ้นก็จะทวียิ่งๆ ขึ้นทุกๆ วัน ในเมื่อไมแสวงหาทางแก ธรรมชาติของจิตเปนของผองใสยิ่งกวาอะไรทั้งหมด แต
อาศัยของปลอม กลาวคืออุปกิเลสที่สัญจรเขามาปกคลุมจึงทําใหหมดรัศมี ดุจพระอาทิตยเมื่อเมฆบดบังฉะนั้น อยา
พึงเขาใจวาพระอาทิตยเขาไปหาเมฆ เมฆไหลมาบดบังพระอาทิตยตางหาก ฉะนั้น ผูบําเพ็ญเพียรทั้งหลายเมื่อรูโดย
ปริยายนี้แลว พึงกําจัดของปลอมดวยการพิจารณาโดยแยบคายตามที่อธิบายแลวในอุบายแหงวิปสสนาขอ ๙ นั้น
เถิด เมื่อทําใหถึงขั้นฐีติจิตแลว ชื่อวายอมทําลายของปลอมไดหมดสิ้นหรือวาของปลอมยอมเขาไปถึงฐีติจิต เพราะ
สะพานเชื่อมตอถูกทําลายขาดสะบั้นลงแลว แมยังตองเกี่ยวของกับอารมณของโลกอยูก็ยอมเปนดุจน้ํากลิ้งบนใบ
บัวฉะนั้น <o></o>
ขออนุโมทนาครับ

 

rabbit_run_awayไม่เหนื่อยบ้างหรือท่านเจ้าของกระทู้

 

ไม่เลยครับ กลับตรงข้าม
ยิ่งมีกำลังใจดียิ่งขึ้นครับ


ทำความดี ก็ต้องได้ดีแน่นอน

 

ผู้ใดมีจิตตั้งมั่น ผู้นั้นย่อมชนะทุกสิ่ง..(โดยเฉพาะตัวเอง) ตามเชียร์จร๊าา..สู้ๆอย่าได้หวั่น อิอิ..

 

ข้างบนคงรอให้คนฟัง
มีความพร้อม หลายๆ
คนก่อน จึงค่อยส่งข้อ
มูลมาอีกน่ะครับ

 

ธรรมของอาจารย์แดงฯ
คนบางคนอาจมองว่ามี
ธรรมตรงไหน? ตกลงจะ
ให้ทำอะไร? นี่เพราะยัง
ไม่เกิดปัญญานะครับ


คือ ธรรมของอาจารย์
เหมือนคุยเล่นไปเรื่อยๆ
แต่มันมี "จุดเล็กๆ" ที่มี
โผล่มาเป็นช่วงๆ ถ้าเรา
ได้เข้าถึงตอนนั้นก็ปิ๊งได้
นะครับ ยาวเยอะเหมือน
หาแก่นได้ยาก จับความ
ได้ยาก ก็จริง แต่มีอะไรๆ
ในนั้นอยู่ครับ บางทีมันก็
แค่ "วลีเดียว" ที่อยู่ในนั้น
เองครับ

 

คนละเรื่องกัน และอยู่คนละโพสนะ
เลือกอ่านเอาครับ เฉพาะที่มันใช่ที่
เรามารอรับข้อมูลๆ มันเหมือนให้เรา
ก็พอครับ มันไม่ใช่ว่าต้องรับทั้งหมด

 

"ดู ก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใดแล ที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย, ธรรมและวินัยนั้นแล จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย โดยกาลล่วงไปแห่งเรา "

 

ต้องได้รับการโปรดจึงจะเข้าถึงธรรมเป็นกลางไม่ได้(มีมรรค8)ถ้าไม่บรรลุธรรมขั้นต้นเสียก่อน
ข้าฯเข้าใจถูกต้องไหมครับ

 

อ้าว..แล้วพวกฝึกกำลังยุทธ กำลังภายในที่ท่านชอบเอามากล่าวเอามาแสดงธรรมล่ะ เค้าไม่ฝึกสมาธิกันดอกหรือ..
เรานึกว่าเค้าฝึกกัน นึกว่าเค้าใช้ฐานของสมาธิในการฝึกซะอีก

 

ก็ฝึกโดยไม่ต้องฝึกไงครับ
เหมือนหลวงจีนกวาดลาน
ไม่ได้ไปฝึกวรยุทธ์อะไรนะ
ได้แต่กวาดลานวัดไปวันๆ
แค่นั้นแหละ ก็ฝึกแล้วครับ


แต่ว่า "มันต้องมีเคล็ดครับ"

 

ช่าย มีปัญญาแล้วจึงได้ธรรมแท้
แต่ถ้ายังไม่เกิดปัญญาจริงๆ มันก็
เป็นแบบพราหมณ์ มาเลียนแบบ
จากพุทธเฉยๆ เท่านั้นเองครับ ..

 

ฉับพลันกับเชื่องช้า
1.บางองค์มาหาพระพุทธเจ้า ท่านเทศน์ไม่กี่คำก็บรรลุ ไม่ต้องไปปฏิบัติอะไร
2.บางองค์ท่านก็ให้ไปรักษาศีล ภาวนา จึงจะบรรลุ

 

อ่านซะเหนื่อยเลย !