ภาพงานบุญต่อเนื่องของชมรมคนรักหลวงปู่ทวด

ในห้อง 'กระทู้เก่า' ตั้งกระทู้โดย jummaiford, 12 เมษายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ไว้จะเล่ารายละเอียดประวัติหลวงปู่ถมให้ฟัง
     
  2. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=NavTitol width="2%"></TD><TD width="96%" height=20>
    </TD><TD noWrap align=right width="2%"></TD></TR><TR><TD bgColor=#999999 colSpan=3>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=bottom width=15>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=15 background=themes/LerdsinSilver2004/imatges/finestra/2-1.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top rowSpan=3>[​IMG] </TD><TD vAlign=top width="100%" background=themes/LerdsinSilver2004/images/column-bg.gif height="50%">"รัตนตรัย"ใน วัดเชิงท่า
    เรื่อง/ภาพ: กฤช เหลือลมัย
    [​IMG]
    ในพิพิธภัณฑ์แนวประวัติศาสตร์ศิลปะไทยทั่วๆไป การจัดแสดงพุทธรูป ใบลานคัมภีร์ ตลอดจนเครื่องสังฆภัณฑ์ชิ้นสวยๆ งามๆ เป็นสิ่งที่พบเห็นได้เสมอ โดยก็มักมีแผ่นป้ายกำกับอธิบายรายละเอียดการกำหนดอายุ รูปแบบศิลปะ สถานที่พบ และวัสดุที่นำมาทำของชิ้นนั้นๆ เหมือนๆ กันไปแทบจะทุกแหล่งแห่งที่
    จนกระทั่งเคยมีคำถามว่า ไม่มีใครสนใจจะลองจัดแสดงในรูปแบบอื่นๆ เช่นว่าแสดงให้เห็น "ที่มา" หรือสาระเนื้อหาของสิ่งเหล่านั้นกันบ้างเลยหรือ
    "พิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์" คือคำตอบสุดท้าย (ณ เวลานี้)


    ภายในอาคารตึกสองชั้นขนาดกะทัดรัดในวัดเชิงท่า วัดโบราณที่น่าชมแห่งหนึ่งในเขตอำเภอเมือง ลพบุรี แบ่งเป็นห้องเล็กสองส่วนในชั้นล่าง และห้องยาวตลอดในชั้นบน เมื่อเข้าประตูไป ผู้ชมจะถูกบังคับให้เริ่มเข้าชมห้องทางซ้าย ซึ่งอธิบายประวัติวัดประกอบภาพถ่ายเก่าของกลุ่มพระสงฆ์ พระเถระผู้ใหญ่รูปสำคัญๆ ของวัดเชิงท่าไว้ตามผนัง มีตู้กระจกใหญ่จัดแสดงเครื่องบริขารต่างๆ ทั้งยังมีธรรมาสน์ และรูปประติมากรรมพระสงฆ์สาวกสองรูป ในห้องกระจกตรงกลางมีเครื่องถ้วยโบราณซึ่งผู้มีจิตศรัทธามอบถวายวัดตั้งแสดงอยู่เป็นจำนวนมาก
    [​IMG]
    ..นี่คือที่แห่ง "พระสงฆ์"..สรณะอันเกษมของข้าพเจ้าฯ
    ห้องถัดไปที่เดินวนถึงกันได้ จัดแสดงคัมภีร์ใบลานที่จดจารทั้งสาระจากพระไตรปิฎก และคัมภีร์สำคัญๆ ในพุทธศาสนา ตลอดจนผ้าทอมือแบบต่างๆ ที่ส่วนหนึ่งก็เห็นได้ชัดว่าสวยงามประณีต และอาจเคยถูกใช้ในกิจการทางโลกย์มาก่อน หากแต่บางส่วนก็เป็นผ้าห่อมัดคัมภีร์ที่ยังคงทำหน้าที่นั้นอยู่จวบจนปัจจุบัน ส่วนโถงด้านในสุดเป็นตู้พระธรรมลายรดน้ำปิดทองแบบต่างๆ
    [​IMG]
    ..ล้วนเป็นที่สถิตแห่ง "พระธรรม"..สรณะอันเกษมของข้าพเจ้าฯ
    จากชั้นล่าง บันไดไม้ไม่กี่ขั้นก็นำผู้ชมขึ้นสู่พุทธภูมิ อันเป็นห้องยาวโล่งตลอด มีตู้กระจกสองข้างเป็นประหนึ่งแดนแห่งพุทธภูมินั้น โดยเริ่มตั้งแต่เรื่องราวในมหาชาติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มิถุนายน 2008
  3. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    [​IMG]

    มวลสารที่ทัน สมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศน์เทพวราราม


    ชนวนโลหะพระพุทธชินราชอินโดจีน2485
    เเละชนวนพระกริ่งวัดสุทัศน์รุ่นต่างๆ
    เเละพระกริ่งหลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา
    เเละชนวนเหรียญพระศรีอาริย์ วัดไลย์ ที่สมเด็จท่านอธิษฐานไว้เป็นการเฉพาะ
     
  4. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]

    อีกหนึ่งสุดยอดของดีที่ทันเเละถึงกระเเสจิตเเห่งองค์พระอริยบุคคลปราชญ์
    เเห่งยุคเเละหาได้ยากยิ่งนั่นคือเสาฐานพระวิหารหลวงวัดเจดีห์หลวง
    อายุกว่า700ปี

    1เจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์
    2หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    3ครูบาเจ้าศรีวิชัย


    รับมอบจาก พระพุทธพจน์วราภรณ์ เจ้าอาวาส

    หมายเหตุคงเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่รวมมวลสารที่เกี่ยวเนื่องด้วยวงพระป่าที่นับว่าเป็นบูรพาจารย์เลยทีเดียว
     
  5. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    [​IMG]

    ไม้หลังคากุฏิหลวงปู่เสาร์สมัยท่านเเท้ๆทันท่านเเละท่านได้พำนักเป็นเวลาสามปีเต็ม
     
  6. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ไว้ว่างๆจะมาเขียนต่อนะครับรุ่นนี้ผมอยากทำให้วัดบ้านเกิดหลวงปู่ทวด
     
  7. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    [​IMG]
    เศษไม้หลักเมืองนครดั้งเดิมที่เหลือจากการเเกะสลัก
     
  8. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
  9. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    (good)อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าพระกริ่งชุดนี้คาดว่าน่าจะได้มวลสารครบตามตำนานแบบดั้งเดิมให้สมพระเกียรติเเห่งองค์พระกริ่งดีหลวงและสมพระเกียรติหลวงพ่อทวดสมเด็จสังฆราชสองแผ่นดิน
     
  10. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    [​IMG]

    มวลสารสำคัญอีกประการหนึ่งซึ่งทันหลวงปู่บุญ วัดกลางบางเเก้ว

    1.ใบเสมาสมัยอยุธยา วัดกลางบางเเก้ว
    2 หีบเหล็กหรือหีบมหาสมบัติที่ใส่ของใช้หลวงปู่บุญ
    3 ดินฐานชุกชีโบสถ์วัดกลางบางเเก้ว
     
  11. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ผงเถ้าเเบงค์พันล้านมวลสารที่ผ่านพิธีนับไม่ถ้วนของวัดดีหลวง
     
  12. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ถวายหนังสือขอจัดสร้างพระกริ่ง



    [​IMG]



    [​IMG]
     
  13. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    [​IMG]

    ชนวนพิเศษคือชนวนหล่อพระศรีอาริยเมตไตรองค์สำคัญของวัดเชิงท่าจำนวนมาก
     
  14. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    พระศรีอาริยเมตไตร (พระอชิตเถระ)


    ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์พุทธเจ้าเสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานคร วสนฺโต เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบถ เข้าพรรษาอยู่ในบุพพาราม อันพระวิสาขา สร้างถวายสิ้นทรัพย์ ๒๗ โกฏิฯ

    ครั้งนั้น พระองค์ทรงปรารภซึ่งพระอชิตเถระ ผู้หน่อบรมพุทธางกูรอริยเมตไตรยเจ้าให้เป็นเหตุ พระโลกเชษฐ์จึงตรัสพระธรรมเทศนา สำแดงซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง ๑๐ องค์ อันจะมาตรัสเป็น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลฯ ครั้งนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถรเจ้า จึงกราบทูลอาราธนา พระองค์ก็นำมาซึ่งอดีตนิทาน แห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ พระองค์ ที่จะลงมาตรัสในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไป

    เป็นใจความว่า เมื่อศาสนาพระตถาคตครบ ๕๐๐๐ ปีแล้ว ฝูงสัตว์ก็มีอายุถอยลง คงอยู่ ๑๐ ปีเป็นอายุขัย ครั้งนั้นแล จะบังเกิดมหาภัยเป็นอันมาก มีสัตถันตะระกัปป์ มนุษย์ทั้งหลายจะวุ่นวายเป็นโกลาหล เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะจับไม้และใบหญ้าก็กลับกลายเป็นหอก ดาบ แหลน หลาว อาวุธน้อยใหญ่ ไล่ทิ่มแทงกัน ถึงซึ่งความฉิบหายเป็นอันมาก ฝูงมนุษย์ทั้งหลายที่มีปัญญา ก็หนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ในซอกห้วย หุบเขา เมื่อพ้น ๗ วันล่วงไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่เร้นซ่อนอยู่นั้น เห็นสงบสงัดเสียงคนก็ออกมาจากที่ซ่อนเร้น ครั้นเห็นซึ่งกันและกัน ก็มีความสงสารรักใคร่เป็นอันมาก เข้าสวมสอดกอดรัดร้องไห้กันไปมา บังเกิดมีความเมตตากรุณากันมากขึ้นไป ครั้นตั้งอยู่ในเมตตาพรหมวิหาร แล้วก็อุตสาหะรักษาศีล ๕ จำเริญกรรมฐานภาวนาว่า อยํ อตฺตภาโว อันว่าร่างกายของอาตมานี้ อนิจฺจํ หาจริงมิได้ ทุกฺขํ เป็นกองแห่งทุกข์ฝ่ายเดียว อนตฺตา หาสัญญา สำคัญมั่นหมายมิได้ ด้วยกายอาตมาไม่มีแก่นสารฯ
     
  15. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    <CENTER>ประวัติการสร้าง "พระศรีอาริยเมตไตรย" วัดท่าซุง



    </CENTER>

    ประวัติการสร้างพระศรีอาริยเมตไตรย

    โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    <CENTER>
    <TABLE cellPadding=10>
    <TBODY><TR><TD><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><TD>[​IMG] <CENTER></CENTER></TD>
    </TR></TBODY></TABLE>
    </CENTER>


    ผู้เรียบเรียง...พระชัยวัฒน์ อชิโต


    คำปรารภ
    <DD>การจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ก็เพื่อเป็นการรวบรวมประวัติการสร้างพระศรีอาริยเมตไตรย และมณฑป อันเป็นที่ประดิษฐาน ตามความประสงค์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน นับตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังไม่ถึงกำหนดเวลา ในการสร้าง ท่านก็ได้มรณภาพไปเสียก่อน พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นลำดับมา จึงได้สืบสานงานของท่านต่อ จนกระทั่งสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

    <DD>หลังจากการอัญเชิญรูปหล่อพระศรีอาริย์ มาประดิษฐานไว้บนมณฑปแล้ว ท่านก็ได้กั้นเป็นห้องกระจก พร้อมทั้งติดม่านมู่ลี่ไว้เป็นอย่างดี แล้วจึงเปิดให้ญาติโยมทั้งหลายได้เข้าไปกราบไหว้บูชา ต่อมาท่านก็ได้มีความดำริที่จะให้เรียบเรียงประวัติการสร้าง เพื่อจัดพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ สำหรับไว้แจกเป็นที่ ระลึกแก่บรรดาผู้ที่เข้ามากราบไหว้ภายในมณฑป

    <DD>ส่วนเนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้ จะมีวัตถุประสงค์ในการสร้างตามที่หลวงพ่อได้เล่าไว้ พร้อมกับมีเรื่องของ พระศรีอาริย์ที่กล่าวไว้ในหนังสืออนาคตวงศ์ ซึ่งเป็นหนังสือเก่าแก่มีคุณค่าเล่มหนึ่งในทางพระพุทธ ศาสนา ทำให้ได้รับทราบประวัติความเป็นมาเรื่อง "พุทธวงศ์" คือวงศ์ของพระพุทธเจ้าในอนาคต ได้แก่ พระโพธิสัตว์ ที่จะมาตรัสรู้ในกาลข้างหน้าอีก ๑๐ องค์ ซึ่งนับเป็นผู้ที่จะสืบสันตติวงศ์ต่อจากองค์สมเด็จพระสมณโคดม แต่หลวงพ่อบอกว่า ยังมีผู้ปรารถนาพุทธภูมิบารมีเต็มรอเวลาที่จะได้รับการบรรจุเป็นพระพุทธเจ้าอีกนับแสน

    <DD>ฉะนั้น เรื่องของพระโพธิญาณ ย่อมเป็นที่ต้องการของคน แต่การบำเพ็ญบารมีมิใช่เป็นเรื่องง่าย ส่วนผู้ที่มีกำลังใจเข้มแข็ง สามารถสร้างสมบารมีจนเต็มครบถ้วน แล้วจึงได้รับการบรรจุเป็นอันดับ ๑ ภายในกัปนี้ นับว่าหายากมากทีเดียว การสร้างรูปพระมหาโพธิสัตว์ที่จะได้มาตรัสรู้เป็นองค์ต่อไปไว้บูชา จึงถือว่ามี อานิสงส์มาก ดังที่จะเห็นได้ว่าหลังจากหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว คณะศิษย์ทั้งหลายอันมีพระภิกษุที่อยู่ภายในวัดก็ดี หรือที่อยู่ต่างวัดก็ดี ตลอดถึงบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างก็มาช่วยกันสร้างจนสำเร็จ ตามเจตจำนงของหลวงพ่อครบถ้วนทุกประการ

    <DD>เป็นอันว่า...ภายในบริเวณวัดท่าซุงแห่งนี้ จึงเป็นที่สถิตย์ ประดิษฐานอันสำคัญ เพื่อเป็นสถานที่กราบไหว้สักการบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๓ กาล ที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต คือ

    <DD>๑. พระพุทธรูป "สมเด็จองค์ปฐม" นับเป็นพระพุทธเจ้า ทั้งหลายในสมัย"อดีตกาล"
    <DD>๒. พระพุทธรูปยืน ๓๐ ศอก คือสมเด็จพระสมณโคดม นับเป็นพระพุทธเจ้าในสมัย "ปัจจุบันกาล"
    <DD>๓. พระศรีอาริยเมตไตรย เป็นพระโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้
    เป็นพระพุทธเจ้าในสมัย "อนาคตกาล" ดังนี้

    พระชัยวัฒน์ อชิโต
    ๑ ตุลาคม ๒๕๔๐


    <HR>
    ประวัติการสร้าง
    พระศรีอาริยเมตไตรย
    พระพุทธบัญชา

    <DD>"...ทีนี้จะมาพูดกันถึงด้านอานิสงส์ต่าง ๆ ที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทำเฉพาะอย่างยิ่งกรรมบถ ๑๐ กับศีล ๕ พระศรีอาริย์ ท่านเคยสั่งไว้ว่าเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๓๕ วันนั้น ตอนกลางคืนมันจะตาย..ล้างท้อง.! ตามธรรมดา.."ล้างท้อง" ไม่มี อาการอย่างอื่นมาแทรก มันก็สบายนอนหลับ แต่วันนั้นแปลก.. พระออกไปหมด คนออกไปหมด เหลือคนเดียว..!

    <DD>เวลาประมาณทุ่มครึ่ง..มีอาการเสียด..ปวดท้องอย่างมาก อากาศก็ร้อนจัดมันก็บังคับให้ไปถ่าย...ไปเข้าส้วม เข้าก็ออกนิด หน่อย กลับมาอีกมันก็ปวดท้องอีก...ปวดมวนอีก.! เดินอย่างนี้ เกือบ ๑๐ เที่ยว เดินก็เดินจะไม่ไหว

    <DD>พอถึงเวลาสองทุ่มเศษ..ก็มีความคิดในใจว่า ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ มันมีความทุกข์อย่างนี้ เราอย่าสนใจอะไรกับขันธ์ ๕ ในเมื่อขันธ์ ๕ มันจะป่วย..ก็เชิญมันป่วย ขันธ์ ๕ มันจะตาย..ก็เชิญมันตาย การป่วยการตายนี่...ใครช่วยไม่ได้ ใครจะแบ่งเบาภาระไม่ได้ จึงตัดสินใจเอนกายลงนอน....นอนแล้วใจนึกถึงพระ....ภาวนาตามปกติ...จิตจับ "นิพพาน" เป็นอารมณ์

    <DD>หลังจากนั้นเมื่อไหว้พระเสร็จ ก็ออกจากร่างกาย..ขอบคุณ เทวดาที่ท่านอารักขา มีเทวดา..มีนางฟ้า..มากท่านมายืนอารักขา ใกล้ ๆ ขอบคุณท่านแล้วก็ไปที่เทวสภา ที่นั่นมีเทวดามีพรหม ประชุมกันเต็มหมด เมื่อไปคุยกับท่านขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การช่วยเหลือในงานต่างๆ แล้วหลังจากนั้นก็ไปนิพพาน ไปเฝ้า องค์สมเด็จพระประทีปแก้วคือ "องค์ปัจจุบัน"

    <DD>เมื่อไหว้ท่านแล้ว ท่านแนะนำรีบไปหา "องค์ปฐม" ประเดี๋ยวท่านจะมาที่วิมานของเธอ ไปวิมานของท่านก่อน ก็ไปวิมานของท่านก่อน เมื่อไปถึงแล้วไหว้ท่านเสร็จ ท่านบอกไปวิมานของเธอ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์มาพร้อมที่นั่น แล้วก็กลับมาที่วิมาน

    <DD>พอถึงวิมานเห็นพระพุทธเจ้าเต็มไปหมด ไม่รู้ว่ากี่แสนองค์ ท่านใหญ่สูงสวยงามมาก พระพุทธเจ้าสวยงามเหมือน ๆ กัน ความจริงตอนเย็นตอนก่อนที่จะป่วยก็มีความรู้สึกว่า เมื่อวานนี้ (๑๕ มีนาคม ๒๕๓๕) เราหล่อสมเด็จองค์ปฐมแล้ว ภารกิจใหญ่ของเราใกล้จะหมด วิหารก็ใกล้จะเสร็จเหลือแต่เครื่องประดับ และต่อไปก็ทางเดิน ๑๐๐ ไร่ก็ใกล้จะเสร็จ เข้าใจว่าอย่างช้าอีก ๔ ปี ก็เสร็จ เราก็หมดภาระในการงาน เมื่อหมดภาระในการงาน เรื่องกังวลต่าง ๆ ก็ไม่มี

    <DD>ความจริงถึงแม้จะมีงานก็ไม่มีกังวล ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าหาเงินได้ก็ทำงานสร้างต่อไป หาเงินไม่ได้ก็เลิก มันจะไปค้างแค่ไหนก็ช่างมัน ก็ถือว่าไม่ใช่ภาระที่เราต้องเข้าไปผูกพัน ความรู้สึกตอนนี้มีอยู่ ใกล้ ๆ จะภาวนา พอเข้าไปถึงวิมานแล้ว สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสว่า "เธอคิดหรือว่างานที่เธอจะทำมันใกล้จะ เสร็จ" ก็บอกว่า "มันน้อยแล้วครับ ช่างก็น้อยลง และงานก็เหลือ น้อย" ท่านบอก "ยังไม่เสร็จ.! ฉันมีความต้องการให้หล่อพระศรีอาริย์" ถามว่า "หล่อทำไม?" ท่านก็เลยบอกว่า

    <DD>" ต้องหล่อ... เพราะเงินที่เขาทำบุญหล่อฉันมันเหลือ เวลานี้ยังมีญาติโยมส่งเงินมาอีก...หล่อ องค์ปฐม" ท่านจึงสั่งให้สร้างมณฑปพระศรีอาริย์ ขึ้นในสถานที่ใกล้ๆ มณฑปของท่าน ทำแบบเดียวกับ มณฑปหลวงพ่อปาน ท่านบอกว่า

    <DD>" ที่ตรงนั้น... ฉันดลใจเธอไม่ให้ปลูกต้นไม้ ฉันต้องการให้สร้างมณฑปพระศรีอาริยเมตไตรย เพราะคนจำนวนมากที่มีบารมียังไม่เข้มข้น และคนจำนวนแสนที่ติดตามพระศรีอาริย์ ต้องการเป็นสาวกของท่าน ก็มาเกิดสมัยนี้เป็นแสน ทั้งพระศรีอาริย์ ก็ฝากเธอไว้ว่า ให้ช่วยแนะนำให้เข้าใจตามเกณฑ์ที่เขาเหล่านั้นจะเกิดทันท่าน" เลยถามว่าจะหล่อพระศรีอาริย์เป็นอย่างไร?
    <DD>ท่านก็เรียกพระศรีอาริย์มา... พระศรีอาริย์ก็มา ในเมื่อพระศรีอาริย์มาแล้ว ก็ถามท่านว่าจะให้หล่อแบบไหน? แต่ความจริง พระศรีอาริย์สีสดสวยมาก เครื่องประดับแพรวพราวและสว่าง เป็นพิเศษ...สวยจัด! สีหลายสี..เครื่องประดับ แต่ว่าเวลาจะหล่อ จริง ๆ ท่านยืนให้ดู

    <HR>
    รูปลักษณะที่จะหล่อ

    <DD>ท่านบอก.. หล่อเป็นรูปยืนครับ และเครื่องประดับทั้งหมด ไม่ต้องการให้มีสี ต้องการเป็นแก้วใสอย่างเดียว ส่วนที่เป็นเนื้อ ให้เป็นเนื้อ... เนื้อของท่านก็เป็นเนื้อสีขาว จึงถามว่า

    <DD>"ถ้าจะเอาแก้วปิด ก็จะเหมือนเครื่องประดับที่เสื้อที่กางเกง จะทำอย่างไร?" ท่านบอก "ปิดทองก็ได้ ปิดแผ่นเงินก็ได้"

    <DD>ถ้าปิดแผ่นเงินจะคล้ายคลึงเนื้อของท่าน ส่วนที่เป็นเครื่องแต่งกาย ให้ใช้กระจกเงาใส ท่านแสดงให้ดูท่ายืน มือขวาถือ "จักร" แต่ห้อยเฉย ๆ มือซ้ายถือ "พระขรรค์" ก็ถามว่า "มีจักรมี พระขรรค์ทำไม?" ท่านบอก "ผมห้อยเฉย ๆ ไม่ใช่ท่าของนักรบ"

    <DD>"จักร" ก็หมายถึง "ธรรมจักร" ก็หมายความว่า หากคนใด ที่มีกิเลสหนามาก มีทิฏฐิมานะหนามาก ต้องใช้จักรปราบปราม คือ "ธรรมจักร" คนใดที่มีกิเลสน้อยก็ให้ใช้ "พระขรรค์" เคาะ หรือให้ถู หรือขูดก็หาย อย่างเทศน์พระสูตรก็ดี หรือชาดกก็ดี เลยถามว่า "จะให้หล่อเป็นพระหรือเป็นเทวดา?"

    <DD>ท่านบอกว่า "เวลานี้ผมเป็นเทวดา..ให้หล่อเป็นรูปเทวดา อย่าเพิ่งหล่อรูปเป็นพระ" (เป็นอันยืนยันได้ว่า ขณะนี้ท่านยังเป็น เทวดา ยังมิได้จุติลงมาอย่างที่บางคนเข้าใจ ขอให้ระวังอุปาทาน) ก็ถามท่านว่า " ถ้าคนต้องการไปเกิดในสมัยของท่าน จะต้องทำบุญอะไรไว้.? ท่านบอกว่า "คนของผม...ผมฝากท่านไว้แล้วนะ ให้แนะนำด้วย มีหลายแสนคน...คนที่จะเกิดในสมัยของผม"

    <HR>
    คำสอนของพระศรีอาริย์

    <DD>ถามว่า "แนะนำแล้วทุกอย่าง แต่ว่าไม่รู้ข้อเจาะจง ให้เจาะ จงไปว่าทำบุญอย่างไร...จึงจะทันศาสนาพระศรีอาริย์?"

    <DD>(นี่..สำหรับคนมี "บารมีอ่อน" นะ คนมี "บารมีเข้ม" ให้ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าคน "บารมีอ่อน" ตั้งใจไปนิพพานชาติพระ ศรีอาริย์ หรือวางแผนไว้ ๒ อย่างก็ได้ว่า ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าพลาดชาตินี้ ขอให้ได้นิพพานสมัยพระศรีอาริย์ก็ได้)

    <DD>ท่านบอกว่า "ให้ทุกคนที่ต้องการเกิดทันสมัยผม ให้รักษาศีล ๕ เป็นปกติ รักษา กรรมบถ ๑๐ เป็นปกติทุกวัน ไม่คลาดเคลื่อนอย่างนี้เป็นอุคฆฏิตัญญู ไปเกิดในสมัยผมฟังเทศน์แค่ หัวข้อเล็ก ๆ สั้น ๆ ก็บรรลุมรรคผลทันที

    <DD>ถ้าบางท่านปฏิบัติอ่อนกว่านั้น รักษาได้ กรรมบถ ๑๐ เหมือนกัน ศีล๕ ก็ครบ แต่ว่าบางทีก็มีอาการเผลอเล็กน้อย อย่างนี้เป็นวิปจิตัญญู หมายความไปเกิดสมัยผมเทศน์หัวข้อฟังไม่เข้าใจ ต้องอธิบายเล็กน้อยจึงบรรลุอรหันต์

    <DD>บางท่านที่มีบารมีอ่อนกว่านั้น วันธรรมดา ๆ อาจจะบก พร่องบ้างเป็นของธรรมดา แต่สำหรับวันพระต้องรักษาให้ครบ ถ้วนทั้ง ศีล ๕ และ กรรมบถ ๑๐ หมายความตามธรรมดา คน เรามีอาชีพต่างกัน บางคนปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็ต้องฉีดยา ฆ่าเพลี้ยฆ่าสัตว์ที่มารบกวนพืชพันธุ์ธัญญาหารบ้าง บางคนมี อาชีพไปในทางการประมง ต้องทำการประมงฆ่าปลาฆ่าสัตว์บ้าง ถ้าอย่างนี้ถือว่าวันธรรมดาบกพร่องได้ และวันพระต้องครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างนี้ถ้าเกิดในสมัยผม เขาเรียกว่า เนยยะ เทศน์ครั้งเดียวสองครั้งยังไม่มีผล ต้องฟังเทศน์หลาย ๆ หน สามารถ เป็นพระอริยะได้

    <DD>เอาละ... บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านทั้งหลายมานั่งอยู่กันที่ตรงนี้และฟังเทศน์แล้ว เรื่องของพระศรีอาริยเมตไตรย ถ้าจะว่ากันไปก็คงไม่แตกต่างกับเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าทุกท่านรักษาศีล ๕ ครบถ้วน กรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน ที่มีบารมีเข้มข้นสามารถจะไปนิพพานได้ในชาตินี้ ถ้าบังเอิญชาตินี้พลาดไปนิพพาน ไปเกิดเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี หรือพรหมก็ตาม อีกไม่นานนักพระศรีอาริย์ก็ตรัส เราก็ฟังเทศน์ จากพระศรีอาริย์ภายในไม่ช้าก็บรรลุอรหันต์สามารถไปนิพพานได้"

    <HR>
    งานพิธีเททองหล่อพระศรีอาริย์

    <DD>ครั้นหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วในปี๒๕๓๕ จึงได้จัดงานทำบุญประจำปีและงานพิธีหล่อพระศรีอาริย์ วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๓๗ อันเป็นวันเริ่มงาน เวลา ๑๗.๐๐ น. พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ เป็นประธานในการทำพิธีบวงสรวงเนื่องในพิธีสุมทอง

    <DD>และวันที่ ๑๓ ตอนเช้า เวลา ๐๗.๐๐ น. ได้ทำพิธีบวงสรวงอีกครั้งหนึ่ง เนื่องในพิธีเททองหล่อรูปพระศรีอาริย์ ณ ปะรำ พิธีหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร เสร็จแล้วไปรับแขกที่ศาลา ๒ ไร่ เมื่อถวายภัตตาหารและเครื่องไทยทานแด่พระมหาเถรานุเถระแล้ว จึงเดินทางมาที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ก่อนพิธีเททองมีญาติโยมพุทธ
    บริษัทเข้ามาถวายทองคำบ้าง ทองเหลืองบ้าง ส่วนผู้ที่ทำบุญ ๕๐๐ บาท ได้รับล็อกเก็ต ๑ องค์เป็นที่ระลึกด้วย

    <DD>ครั้นถึงเวลา ๑๔.๐๐ น. หลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ซึ่งเป็นองค์ประธาน เททองในวันนี้ (แทนหลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา) เดินทางมาถึงปะรำพิธี นั่งพักสักครู่จึงเริ่มพิธีเททอง โดยเจ้าหน้าที่ยกเบ้ามาให้ใส่ทองยังหน้าปะรำพิธี พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา

    <DD>สำหรับ "ทองคำ" ที่ญาติโยมพุทธบริษัทถวายมาร่วมหล่อรูปพระศรีอาริยเมตไตรยในครั้งนี้ ชั่งได้น้ำหนัก ๕๐ กิโลกรัมเศษ หลังจากเทไปได้ ๓ เบ้า หลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงให้พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ นำทองคำที่เหลือไปใส่เบ้าในเตาหลอมจนหมดสิ้น เสร็จแล้วหลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึง เดินทางกลับ ก่อนเดินทางกลับท่านบอกกับพระครูปลัดอนันต์ว่า "จัดงานได้เรียบร้อยดี..!" ได้ยินแล้วเป็นที่ชื่นใจมาก ดังนี้

    <HR>
    พระอนาคตวงศ์

    <DD>บัดนี้ จะได้วิสัชนาในเรื่อง "พระอนาคตวงศ์" โดยพุทธ ภาษิตปริยาย มีเนื้อความตามพระบาลีว่า

    <DD>เอกัง สะมะยัง... ครั้งหนึ่งสมเด็จพระสรรเพชรพุทธเจ้า เสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานครวะสันโต.. เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบถ เข้าพระพรรษาอยู่ในบุพพาราม อัน นางวิสาขา สร้างถวายสิ้นทรัพย์ ๒๗ โกฏิฯ

    <DD>ครั้งนั้นพระองค์ทรงปรารภซึ่ง พระอชิตเถระ ผู้เป็นหน่อบรมพุทธางกูร "อาริยเมตไตรยเจ้า" ให้เป็นเหตุ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชฏฐ์จึงตรัสพระธรรมเทศนาแสดง ซึ่งพระโพธิสัตว์ ทั้ง ๑๐ องค์ อันจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ครั้งนั้นพระธรรมเสนา สารีบุตรเถรเจ้า จึงกราบทูลอาราธนา พระองค์ก็นำมาซึ่ง "อดีตนิทาน" แห่งองค์สมเด็จพระพิชิตมารทั้ง ๑๐ พระองค์ ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไปเป็นใจ ความว่า (บางคำ "ผู้เขียน" ขอเกลาสำนวนที่ฟุ่มเฟือยออกไปบ้าง)

    <DD>"...เมื่อศาสนาพระตถาคตครบ ๕๐๐๐ ปีแล้ว ฝูงสัตว์ก็มีอายุ ถอยลงคงอยู่ ๑๐ ปีเป็นอายุขัย ครั้งนั้นแล... จะบังเกิดมหาภัยเป็นอันมาก มี "สัตถันตรกัป" คือเป็นกัปที่มนุษย์ทั้งหลายจะวุ่นวายเป็นโกลาหล เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะจับไม้และใบหญ้าก็กลายกลับเป็นหอกดาบแหลนหลาว อาวุธน้อยใหญ่ไล่ทิ่มแทงกัน ฝูงมนุษย์ทั้งหลายที่มีปัญญา ก็หนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ในซอกห้วยหุบเขา จะเหลืออยู่ก็แต่มนุษย์ที่มีปัญญา นอกกว่านั้นแล้วก็ถึงซึ่งพินาศฉิบหายเป็นอันมาก

    <DD>เมื่อพ้น ๗ วันล่วงไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่นั้น เห็นสงบสงัดเสียงคนก็ออกมาจากที่ซ่อนเร้น ครั้นเห็นซึ่งกันและกัน ก็มีความสงสารรักใคร่กันเป็นอันมาก เข้าสวมสอดกอดรัด ร้องไห้กันไปมา บังเกิดมีความเมตตากรุณากันมากขึ้นไป ครั้นตั้งอยู่ใน "เมตตาพรหมวิหาร" แล้วก็อุตสาหะรักษาศีล ๕ จำเริญ กรรมฐานภาวนาว่า

    <DD>"อะยัง อัตตะภาโว.. อันว่ากายของอาตมานี้ อนิจจัง.. หาจริงมิได้ ทุกขัง... เป็นกองแห่งทุกข์ฝ่ายเดียว หาสัญญาสำคัญมั่น หมายมิได้ ด้วยกายอาตมาไม่มีแก่นสาร..."

    <DD>เมื่อมนุษย์ทั้งหลายปลงปัญญาเห็นในกระแสพระกรรมฐานภาวนาดังนี้เนือง ๆ อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็วัฒนาจำเริญขึ้นไป ที่มีอายุ ๑๐ ปีเป็นอายุขัยนั้น ค่อยทวีขึ้นไปถึง ๒๐ ปีเป็นอายุขัย ค่อยทวีขึ้นไปทุกชั้นทุกชั้น จนอายุได้ร้อย พัน หมื่น แสน โกฏิ จนถึงอสงไขยหนึ่ง

    <DD>ครั้นนานไปเห็นว่าไม่รู้จักความตายแล้ว ก็มีความประมาท มิได้ปลงใจลงในกอง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา อายุก็ถอยน้อย ลงมาทุกทีจนถึง ๘ หมื่นปี ฝนก็ตกเป็นฤดูคือ ๕ วันตก ๑๐ วันตก ใน "ชมพูทวีป" ทั้งปวงมีพื้นแผ่นดินราบคาบสม่ำเสมอ เป็นอันดี

    <HR>
    เกตุมดีราชธานี

    <DD>ครั้งนั้น กรุงพาราณสี เปลี่ยนนาม ชื่อว่า เกตุมดี โดย ยาวได้ ๑๖ โยชน์ โดยกว้างได้ ๑ โยชน์ มีไม้กัลปพฤกษ์เกิดทั้ง ๔ ประตูเมือง มีแก้ว ๗ ประการ ประกอบเป็นกำแพงแก้ว ๗ ชั้นโดยรอบพระนคร

    <DD>ครั้งนั้น มหานฬการเทพบุตร ก็จุติลงมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักรพรรดิ เสวยศิริราชสมบัติในเกตุมดีราชธานี เป็นพระราชาที่ทรงธรรม ครอบครองแผ่นดินมีมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต และในท่ามกลางพระนครนั้นมี "ปราสาท" อันสำเร็จแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ ผุดขึ้นมาจากมหาคงคา ลอยขึ้นมายังนภากาศ มาตั้งอยู่ในท่ามกลางพระนคร ปราสาทแก้วนี้ ในสมัยพุทธกาลเป็นปราสาทแห่ง "พระเจ้ามหาปนาท" (ในตอนนี้ จะขอแทรกประวัติไว้ด้วยดังนี้)

    <HR>
    ประวัติพระเจ้ามหาปนาท

    <DD>อันว่าปราสาทของพระเจ้ามหาปนาทนั้น เป็นปราสาทที่ท้าวสักกเทวราช ตรัสสั่ง วิษณุกรรมเทพบุตร ลงมาสร้างถวายพระราชา กล่าวคือ..สมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นนั้น ยังมีช่างเสื่อลำแพน ๒ คนพ่อลูก ได้พากันสร้างบรรณศาลาแล้วด้วย ไม้อ้อและไม้มะเดื่อ เพื่อถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วทั้ง ๒ คนก็ช่วยกันอุปถัมภ์บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นด้วยปัจจัย ๔

    <DD>ครั้นพ่อลูก ๒ คนนั้นตายแล้ว จึงได้ไปบังเกิดในเทวโลก ส่วนบิดายังอยู่ในเทวโลก ฝ่ายบุตรได้จุติจากเทวโลก ลงมาเกิดเป็นพระราชโอรสของ พระเจ้าสุรุจิ และ พระนางสุเมธาเทวี มี พระนามว่า มหาปนาทกุมาร เวลาได้เสวยราชย์แล้ว จึงมีพระนามว่า พระเจ้ามหาปนาท ต่อมาท้าวสักกเทวราชได้ตรัสสั่งให้วิษณุ กรรมเทพบุตรลงมาสร้างปราสาทถวายแก่พระเจ้ามหาปนาทนั้น

    <DD>ทั้งนี้ ด้วยอำนาจแห่งบุญญาธิการที่ได้เคยสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ปราสาทแก้ว ๗ ประการนี้ สูง ๒๕ โยชน์ จำนวน ๗ ชั้น ยาว ๙ โยชน์ กว้าง ๘ โยชน์

    <DD>ครั้นพระเจ้ามหาปนาทสวรรคตแล้ว ปราสาทนั้นก็ได้เลื่อนลงไปสู่กระแสมหาคงคา ในที่ตั้งบันไดปราสาทนั้นได้กลายเป็น บ้านเมืองขึ้นเมืองหนึ่งชื่อว่า ปยาคปติฏฐนคร ที่ตรงยอดปราสาทนั้นได้กลายเป็นหมู่บ้านชื่อว่า โกฏิคาม

    <DD>ในเวลาต่อมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง พระนามว่า พระสมณโคดม อุบัติขึ้นในโลกแล้ว เทพบุตรองค์นี้ ซึ่งมีนามว่า นฬการเทพบุตร จึงได้จุติลงมาเกิดเป็นบุตรเศรษฐี มีนามว่า ภัททชิ เป็นผู้มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ มีปราสาทถึง ๓ หลัง เป็นที่ยับยั้งอยู่ในฤดูทั้ง ๓

    <DD>หลังจากได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เมื่อกราบทูลขอบรรพชาแล้ว จึงเข้าไปนั่งเข้าฌานอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำคงคา ฝ่ายชาวบ้านโกฏิคามได้ยกเรือทานถวายพระภิกษุสงฆ์ เวลาสมเด็จพระพุทธองค์เสด็จลงประทับในเรือแล้ว โปรดให้พระภัททชิไปในเรือลำเดียวกันด้วย พอไปถึงกลางแม่น้ำคงคา สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสถามว่า

    <DD>"ดูก่อน...ภัททชิ.! ปราสาทแก้วที่เธอเคยอยู่ในเมื่อครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาทนั้นอยู่ที่ไหน?"

    <DD>พระภัททชิกราบทูลว่า "จมอยู่ตรงนี้...พระเจ้าข้า"

    <DD>บรรดาภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชนก็พากันร้องกล่าวโทษว่าพระภัททชิอวดมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลจึงตรัสบอกพระภัททชิให้แก้ความสงสัยของภิกษุทั้งหลาย พระเถระถวายบังคมแล้วก็บันดาลปลายนิ้วเท้าลงไปคีบยอดปราสาทอันสูงได้ ๒๕ โยชน์นั้นขึ้นมาจากแม่น้ำคงคา ไปปรากฏอยู่บนอากาศสูงจากพื้น น้ำได้ถึง ๓ โยชน์ แล้วปล่อยไปในแม่น้ำคงคา มหาชนทั้งหลายก็หมดความสงสัย องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า ปราสาท หลังนี้ พระภัททชิ เคยอยู่มาตั้งแต่ครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาท

    <DD>มีคำถามว่า เพราะเหตุใด ปราสาทหลังนั้นจึงยังไม่อันตรธาน

    <DD>มีคำแก้ว่า เป็นเพราะอานุภาพแห่งช่างเสื่อลำแพน ซึ่งเป็นบิดาในชาติปางก่อน อันมีนามกรว่า มหานฬการเทพบุตร จะจุติ ลงมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักร แล้วพระพุทธองค์จึงทรงตรัสต่อไปว่า

    <DD>"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า เมตไตรย อุบัติขึ้นในโลกแล้ว พระองค์จักแสดงธรรมมีคุณอันดีในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด พร้อมทั้งอรรถะพยัญชนะ จักประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง และจักปกครอง พระภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนกันกับเราตถาคตในบัดนี้

    <DD>พระเจ้าสังขจักรนั้น จักเสวยราชย์อยู่ที่ปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท อันมีมาในอดีตกาลนั้น แล้วจักทรงสละปราสาทนั้น ให้เป็นทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทางไกล คนขอ ทานทั้งหลาย แล้วจักปลงผมและหนวด นุ่มห่มผ้าย้อมน้ำฝาด ออกบรรพชาในสำนักของพระศาสดาผู้ทรงพระนามว่า พระเมตไตรย แล้วจักออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว จักไม่ประมาท จะมีความ เพียร จะมีใจตั้งมั่น แล้วจะสำเร็จที่สุดแห่งพรหมจรรย์ อันเป็น สิ่งยอดเยี่ยมและปรารถนาของกุลบุตรทั้งหลายผู้บรรพชาในไม่ช้า"

    <DD>สมัยต่อมาพระเจ้าสังขจักรได้เสวยราชสมบัติในเกตุมดีนั้น ปราสาทแก้วก็ผุดขึ้นมาแต่แม่น้ำคงคา ด้วยอานุภาพแห่งผลบุญที่เคยร่วมกันกับลูกชาย ถวายภัตตาหาร ผ้าไตรจีวร และสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าให้มีความสุขสบาย ด้วยอานิสงส์มหาศาลนี้ จึงได้เกิดมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ประดับไป ด้วยหมู่พระสนม แสนสาวสุรางค์ทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ มีพระราชโอรสมากกว่า ๑ พันพระองค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ แกล้วกล้า สามารถย่ำยีเสียซึ่งเสนาของผู้อื่น

    <HR>
    แก้ว ๗ ประการ

    <DD>พระราชโอรสองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า อชิตราชกุมารเจ้า อชิตราชกุมารนั้น ดำรงตำแหน่งเป็น ปรินายกแก้ว แห่งสมเด็จพระราชบิดา ผู้เป็นพระยาบรมสังขจักร อันบริบูรณ์ไปด้วยแก้ว ๗ ประการคือ จักรแก้ว ๑ นางแก้ว ๑ แก้วมณีโชติ ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ คหบดีแก้ว ๑ ปรินายกแก้ว ๑ อันว่าสมบัติของ พระเจ้าจักรพรรดินั้น ย่อมมีทุกสิ่งทุกประการ เป็นที่เกษมสานต์ ยิ่งนักเหลือที่จะพรรณนาได้ในกาลนั้น

    <DD>ฝ่ายว่า มหาปุโรหิตผู้ใหญ่ ของสมเด็จพระเจ้าสังขจักรนั้น เป็นมหาพราหมณ์ประกอบไปด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก หาผู้จะเปรียบเสมอมิได้ มีนามปรากฏว่า สุตพราหมณ์ นางพราหมณี ผู้เป็นภรรยานั้นมีนามว่า นางพราหมณวดี

    <DD>ในกาลนั้น สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ พระศรีอาริยเมตไตรย รับอาราธนาจากบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายแล้ว ก็จุติลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาถือกำเนิดในครรภ์แห่งนางพราหมณวดี ภรรยาแห่งมหาปุโรหิต พราหมณ์ผู้ใหญ่ ในวันเพ็ญเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง พร้อมด้วยอัศจรรย์ทั้งหลาย ๑๒ ประการ

    <DD>คือเหล่าเทพยดาพากันกระทำสักการบูชา ดังห่าฝนตกลง ในกลางอากาศ แล้วมีปรางค์ปราสาททั้ง ๓ ผุดขึ้นมา เพื่อจะให้ เป็นที่สำราญแห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ปราสาทหลังที่ ๑ ชื่อว่า ศิริวัฒนะ ปราสาทหลังที่ ๒ ชื่อว่า สิทธัตถะ ปราสาทหลังที่ ๓ ชื่อว่า จันทกะ ปรางค์ปราสาททั้ง ๓ นี้เป็นที่จำเริญพระศิริสวัสดิ มงคล ควรจะให้สำเร็จประโยชน์ทุกประการ ปรากฏงามดังดวง พระจันทร์ แล้วหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นอันหอมมิรู้ขาด เดียรดาษ ไปด้วยนางนาฏพระสนม ประมาณ ๗ แสนคน

    <DD>ส่วนสมเด็จพระอัครมเหสีแห่งสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงพระนามว่า พระนางจันทมุขี เป็นประธานแห่งนางบริวารทั้งหลาย ๗แสน มีพระราชโอรสองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พราหมณ์วัฒนกุมาร

    <DD>เมื่อพระมหาบุรุษผู้ประเสริฐทรงพระเกษมสำราญอยู่ใน ปราสาททั้ง ๓ ควรแก่ฤดูโดยนิยมดังนี้ จนพระองค์มีพระชนม์ได้ ๘ หมื่นปี แล้วจึงเสด็จขึ้นสู่รถแก้วอันเป็นทิพย์วิมานมีศิริหา เสมอมิได้ เสด็จไปประพาสอุทยานทอดพระเนตร เห็นนิมิตรทั้ง ๔ ประการนี้เป็น "เทวทูต" ยังธรรมสังเวชให้เกิดขึ้น ก็มีพระทัย น้อมไปในบรรพชา พิจารณาเห็นเพศสมณะนั้นเป็นอารมณ์

    <DD>ในขณะนั้น อันว่าปรางค์ปราสาทแก้วซึ่งทรงพระสำราญ ยับยั้งอยู่นั้นก็ลอยไปในอากาศ พร้อมทั้งพระราชโอรสและหมู่ นางกัลยาทั้งหลายไปกับปรางค์ปราสาท ครั้งนั้นเปรียบประดุจดังว่า พญาหงส์ทองบินไปในเวหา ฝ่ายฝูงเทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็ชวนกันถือเครื่องสักการบูชา ต่างเหาะตามมากระทำ สักการบูชาในอากาศ เนืองแน่นกันมากเป็นอเนกอนันต์ บรรดา ท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลาย ๘ หมื่น ๔ พันพระนครก็ดี และชาวนิคมชนบททั้งหลายก็ดี ก็ชวนมากระทำสักการบูชาด้วย ดอกไม้และของหอมมีประการต่าง ๆ เต็มเดียรดาษกลาดเกลื่อน ไปทั้งชมพูทวีป เหล่าพวกอสูรทั้งหลายก็เข้าแวดล้อมพิทักษ์รักษา ปรางค์ปราสาท

    <DD>ฝ่ายพญานาคราชนั้นกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี พญาสุวรรณราชปักษีกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี อันเป็นเครื่องประดับตน เหล่าคนธรรพ์ทั้งหลายนั้นกระทำสักการบูชาด้วยเครื่องทิพย์ดุริยางค์ฟ้อนรำมีประการต่าง ๆ

    <DD>เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้า เสด็จออกบรรพชานั้น ฝูงเทพยดา อินทร์พรหม ยมยักษ์ และ มนุษย์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ทั้งหลาย กระทำสักการบูชา ฝ่าย พระเจ้าสังขจักรพร้อมด้วยข้าราชบริพารทั้งหลาย ก็ได้เสด็จไป ที่ใกล้แห่งสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ครั้งนั้นมหาชนทั้งหลายทั้ง ปวง มีความปรารถนาจะบรรพชา แล้วก็พากันลอยไปในอากาศ พร้อมด้วยพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ด้วยเดชานุภาพแห่งบรมจักร และอานุภาพแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์นั้น

    <DD>ครั้นเสด็จถึงควงไม้พระศรีรัตนมหาโพธิ คือ ไม้กากะทิง แล้วปราสาทแก้วก็เลื่อนลอยลงจากอากาศใกล้ในที่ปริมณฑล ไม้มหาโพธินั้น ฝ่ายท้าวมหาพรหมก็เชิญซึ่งพานผ้ากาสาวพัตร์ กับเครื่องบริขารทั้ง ๘ น้อมเข้าไปถวายสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ แล้วพระองค์จึงชักเอาพระแสงดาบแก้วตัดพระเกศาให้ขาดแล้ว ก็โยนขึ้นไปในอากาศ ก็ถือเครื่องบริขารทั้ง ๘ ประการ ทรงเพศบรรพชาเสร็จแล้ว ส่วนว่าบริวารทั้งหลายนั้น ก็ชวนกันบวชตาม สมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าเป็นอันมาก

    <DD>ฝ่ายพระมหาบุรุษราชองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้านั้น กระทำความเพียรอยู่ที่ใกล้พระมหาโพธิสิ้นประมาณ ๗ วัน ใน เมื่อเวลาเย็นพระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่ควงไม้พระมหาโพธิขึ้นทรงนั่งเหนือรัตนบัลลังก์ คือพระที่นั่งแก้ว แล้วทรงระลึกชาติของพระองค์ด้วย ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ได้ทรงเห็นโดยลำดับกัน ประจักษ์แจ้งในปฐมยาม

    <DD>ครั้งล่วงเข้ามัชฌิมยามทรงเห็นซึ่งการเกิดและตายแห่งสัตว์ทั้งหลายด้วย ทิพจักขุญาณ ครั้นล่วงไปในปัจฉิมยามที่สุดนั้น พระองค์ได้ทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรม ที่เรียกว่า อาสวักขยญาณ คือบรรลุอภิเษกสัมโพธิญาณ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏเป็นพระพุทธคุณทั่วโลกธาตุ แล้วพระองค์ก็ยังมนุษย์ ทั้งหลายประมาณแสนโกฏิ ให้ดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรส คือพระ สัทธรรม เห็นพระนิพพานอันมิได้รู้แก่รู้ตาย เป็นธรรมาภิสมัย ให้บังเกิดแก่ฝูงเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้ตรัสรู้มรรคและ ผลหาประมาณมิได้

    <HR>
    พระพุทธลักษณะ

    <DD>สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยมีพระรูปพระโฉมงดงาม ตามพระพุทธลักษณะครบถ้วนทุกประการ คือพระองค์มีพระ วรกายสูงได้ ๘๘ ศอก พระองค์ใหญ่กว้างได้ ๒๕ ศอก ตั้งแต่ ฝ่าพระบาทถึงพระชานุ (เข่า) มีประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระ ชานุขึ้นไปถึงพระนาภี (ท้อง) ประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระ นาภีขึ้นไปถึงพระรากขวัญ (ไหปลาร้า) ทั้ง ๒ ประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระรากขวัญขึ้นไปถึงพระเศียรเกล้าที่สุดยอดพระ อุณหิตเปลวพระพุทธรัศมีนั้น ประมาณ ๒๒ ศอก เสมอกันทั้ง ๔ ส่วน พระรากขวัญทั้ง ๒ แต่ละอันนั้นยาวได้ ๕ ศอก อันว่าพระหัตถ์ทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้น ยาวได้ ๔๐ ศอก ใน ระหว่างภายในแห่งพระพาหา (แขน) ทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้นมีประมาณ ๒๕ ศอก พระอังคุลี (นิ้ว) แต่ละอันยาวได้ ๕ ศอก ฝ่าพระหัตถ์ แต่ละข้างกว้างได้ ๕ ศอก พระศอ (คอ) โดยกลมรอบมีประมาณ ๕ ศอก โดยยาวก็ ๕ ศอก

    <DD>พระโอษฐ์ (ปาก) เบื้องบนเบื้องล่างกว้าง ๑๐ ศอก เสมอ กันเป็นอันดี พระชิวหา (ลิ้น) อยู่ภายในพระโอษฐ์ยาว ๑๐ ศอก พระนาสิก (จมูก) สูงยาวลงมาได้ ๗ ศอก ดวงพระเนตรทั้ง ๒ โดยกว้างได้ ๗ ศอก แววพระเนตรทั้ง ๒ ข้าง ที่ดำกลมเป็น ปริมณฑลอยู่นั้นมีประมาณ ๕ ศอก พระขนง (คิ้ว) แต่ละข้าง ยาวได้ ๕ ศอก ในระหว่างพระขนงทั้ง ๒ กว้างได้ ๔ ศอก พระ กรรณ (หู) ทั้ง ๒ แต่ละข้างยาวได้ ๗ ศอก ดวงพระพักตร์นั้น เป็นปริมณฑลกลมดังดวงพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญมีประมาณ กลมได้ ๒๕ ศอก

    <HR>
    ต้นไม้ที่จะตรัสรู้

    <DD>ลำดับนี้...จะพรรณนาไม้พระศรีรัตนมหาโพธิต่อไป อันว่า ต้นไม้กากะทิง ที่เป็นไม้ศรีมหาโพธินั้น มีปริมณฑลไปได้ ๑๒๐ ศอก มีกิ่งทั้ง ๕ โดยรอบนั้นก็ได้ ๑๒๐ ศอก แต่ต้นขึ้นไปสุด ปลายกิ่งนั้นได้ ๒๔๐ ศอก โดยสูงสะกัดเป็นปริมณฑลเหมือนกัน มีใบสดเขียวอยู่เป็นนิจกาล ทรงดอกและเกสรหอมฟุ้งขจร มิรู้ขาด เปรียบประดุจดอกปาริชาติในดาวดึงส์สวรรค์ฉะนั้น

    <DD>สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยทรงมีลักษณะมหาบุรุษครบ ถ้วนทั้ง ๓๒ ประการ ประกอบไปด้วยพระฉัพพรรณรังสี พระ พุทธรัศมี ๖ ประการ สว่างออกจากพระวรกายเป็นอันงาม ประดุจดังว่าท่อสุวรรณธาราน้ำทองอันไหลหลั่งออกมา เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ไปด้วยสุขทุกเมื่อ มีสติระลึกถึงพระพุทธคุณเป็นอารมณ์เนือง ๆ

    <DD>ด้วยเดชานุภาพแห่งพระพุทธคุณนั้น มนุษย์ทั้งหลายก็ได้ บริโภคซึ่งโภชนาหารแต่เนื้อแห่งข้าวสารสาลี อันบังเกิดมีมาเอง ได้ประดับประดาร่างกายและผ้านุ่งผ้าห่ม เครื่องอาภรณ์ต่าง ๆ แต่ต้นไม้กัลปพฤกษ์ ประพฤติเลี้ยงชีวิตเป็นบรมสุข

    <DD>ปางเมื่อพระพุทธองค์ผู้ทรงสวัสดิโสภาคเป็นอันงาม ทรง พระนามว่า "พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า" ตรัสแสดงพระสัทธรรมเทศนา "พระธรรมจักกัปปวัตนสูตร" นั้น มนุษย์และเทพยดา ทั้งหลายได้ซึ่งบรรลุมรรคผลธรรมวิเศษ ประมาณ ๓ แสนโกฏิ

    <DD>อันว่าองค์พระศรีอาริยเมตไตรยทรงสร้างพระบารมีมาสิ้น กาลช้านานถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป มีศีลบารมี ทานบารมี เป็นต้น เต็มบริบูรณ์

    <HR>
    พระเจ้าสังขจักร

    <DD>การบำเพ็ญบารมีของพระองค์ครั้งหนึ่งปรากฏชัดเจนเป็น ปรมัตถบารมี อันยิ่งยอดกว่าพระบารมีทั้งปวง ฉะนั้น สมเด็จองค์ปัจจุบันจึงนำมาซึ่งอดีตนิทาน แห่งการสร้างพระบารมีของพระศรีอาริยเมตไตรยมาตรัสแสดงแก่พระสารีบุตร มีใจความว่า

    <DD>อตีเต กาเล.. ในกาลล่วงมาช้านาน ได้มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระสิริมิตร ครั้งนั้น พระศรีอาริยเมตไตรยได้เสวยศิริราชสมบัติใน เมืองอินทปัตรมหานคร ทรงพระนามว่า บรมสังขจักร มีแก้ว ๗ ประการ อยู่มาในกาลวันหนึ่ง พระเจ้าสังขจักรเสด็จนั่งอยู่ภาย ใต้เศวตฉัตร มีพระทัยปรารถนาว่า ผู้ใดมาบอกข่าวว่า พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ บังเกิดมีแล้ว พระองค์จะสละราชสมบัติบรมจักร พระราชทานให้แก่บุคคลผู้นั้นแล้ว พระองค์ก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

    <DD>ในกาลนั้น ยังมีกุลบุตรเข็ญใจผู้หนึ่ง ไปบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ในพระพุทธศาสนา ด้วยมารดาของสามเณรเป็นทาสีอยู่ในตระกูลหนึ่ง สามเณรนั้นคิดแสวงหาทรัพย์จะไปให้แก่มารดา เพื่อให้พ้นจากการเป็นทาสรับใช้ จึงเที่ยวไปโดยลำดับจนถึงกรุงอินทปัตร ฝูงมหาชนชาวพระนครไม่รู้จักว่าสามเณรเป็นอย่างไร ครั้นเห็นเข้าก็สงสัยว่าเป็นมหายักษ์ ต่างก็พากันจับไม้ไล่ทุบตีสามเณร ฝ่ายสามเณรมีความกลัวก็วิ่งหนีมหาชนเข้าไปจนถึงพระราชวัง ไปยืนอยู่ตรงพระพักตร์ของพระราชา พระองค์จึงตรัสถามว่า มานพนี้มีนามว่าอย่างไร?

    <DD>เจ้าสามเณรจึงกราบทูลว่า อาตมภาพมีนามว่า "สามเณร" จึงตรัสถามว่า สามเณรนั้นด้วยเหตุใด สามเณรจึงทูลว่า ข้าพเจ้า มีนามว่าสามเณรนั้น ด้วยเหตุว่าข้าพเจ้ามิได้กระทำบาปในภายนอก แล้วตั้งอยู่ภายในแห่งกุศล เหตุดังนั้นจึงมีนามว่า "สามเณร" พระองค์ก็ทรงตรัสถามต่อไปว่า นามกรของท่านนั้น บุคคลผู้ใด ตั้งให้แก่ท่าน สามเณรจึงทูลว่า พระอาจารย์ของข้าพเจ้าตั้งให้

    <DD>พระองค์จึงตรัสถามอีกว่า อาจารย์ของท่านนั้นชื่อใด สามเณรจึงถวายพระพรว่า อาจารย์ของอาตมาท่านมีนามว่า "ภิกษุ" จึงตรัสถามต่อไปว่า พระอาจารย์ของท่านนั้นมีนามว่า "ภิกษุ" ด้วยเหตุอะไร สามเณรจึงทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้นชื่อ "รัตนะ" เป็นแก้วอันหาค่ามิได้

    <DD>ครั้นพระราชาได้ทรงสดับว่า"พระสังฆรัตนะ" ในพระพุทธศาสนาหาได้เป็นอันยากยิ่งนัก พระองค์ก็มีความชื่นชมยินดีหาที่จะอุปมามิได้ คำนึงอยู่ในพระราชหฤทัยว่า จะเสด็จลงจากพระราชอาสน์ไปทรงนมัสการเจ้าสามเณร

    <DD>ในทันใดนั้นเอง...พระวรกายของพระองค์ก็ลอยไปตกลง ตรงหน้าเจ้าสามเณรด้วยอำนาจแห่งธรรมปีติ ด้วยเดชะที่พระ องค์มีความเลื่อมใสในคุณพระสังฆรัตนะ ดอกปทุมชาติ คือดอก บัวก็บังเกิดผุดขึ้นรองรับพระองค์ไว้มิได้เป็นอันตราย จึงถวาย นมัสการเจ้าสามเณรโดยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงตรัสถามต่อ ไปว่า "พระสังฆรัตนะ" อาจารย์ของท่านนั้น บุคคลผู้ใดให้นามกร

    <DD>เจ้าสามเณรก็ทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้น คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระนามว่า "พระสิริมิตร" พระองค์โปรดประทานให้นามว่า "พระสังฆรัตนะ" แก่พระอาจารย์ของ ข้าพเจ้า พระเจ้าสังขจักรบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้ทรงพระอุตสาหะรอ การสดับข่าวว่า เมื่อใดพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นในโลก ครั้น ได้ทรงฟังสามเณรออกวาจาว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัม มาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ถึงกับทรงวิสัญญีภาพ คือสลบ ลงอยู่ตรงนั้นเอง

    <DD>ครั้นพระองค์ได้พระสติขึ้นมา จึงตรัสถามสามเณรอีกว่า ดูก่อน...เจ้าสามเณรผู้เจริญ บัดนี้ องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จ ประทับอยู่ที่ไหน สามเณรจึงทูลว่า สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จยับยั้งอาศัยอยู่ใน บุพพารามวิหาร อันมีอยู่ในทิศอุดร คือ ทางเหนือของกรุงอินทปัตรนี้ไปไกลกันมีประมาณ ๑๖ โยชน์ ครั้น ได้ทรงสดับข่าวจากสามเณรว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบังเกิดแล้วในโลก จึงตรัสว่า ดูก่อน...สามเณร! หากว่าองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเสด็จอยู่ในทางทิศใด เราก็จะไปในประเทศทิศนั้น

    <DD>สมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมบพิตรผู้ประเสริฐ หาความห่วง ใยในศิริราชสมบัติบรมจักรของพระองค์ไม่ ด้วยมีพระทัยนั้นผูกพันอยู่ในการที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระศรีสรรเพชรเป็นที่ยิ่งอย่างอุกฤษฏ์ ก็กระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรนั้น ให้สึกออกมาเสวยราชสมบัติแทนพระองค์เป็นพระราชาอันประเสริฐ

    <DD>ครั้นกระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรแล้ว เสด็จลำพังแต่เพียงพระองค์เดียว มีพระทัยเฉพาะต่อทิศอุดร ตั้งพระทัยไปสู่บุพพารามวิหาร อันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระสิริมิตรสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระเจ้าสังขจักรเป็นสุขุมาลชาติ พระสรีรกาย นั้นละเอียดอ่อนเป็นอันดี เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปตามหนทาง แต่พระบาทเปล่า เพียงเวลาวันเดียวเท่านั้น พระบาททั้งสองข้างก็แตกจนพระโลหิตไหลไปตามฝ่าพระบาททั้งสอง

    <DD>เมื่อพระบาททั้งสองบาดเจ็บจนเดินไปมิได้แล้ว ในกาลนั้น พระองค์ก็ลงนั่งคุกเข่าคลานไปทีละน้อย ไปตามหนทางที่เจ้าสามเณรบอกมานั้น ไม่ยอมละเสียซึ่งความเพียร ครั้นล่วงไปถึง ๔ วัน พระหัตถ์ซ้ายขวาและพระชงฆ์ (แข้ง) ทั้งสองข้างนั้นก็แตกช้ำ โลหิตไหลออกมา จะคุกคลานไปก็มิได้ให้เจ็บปวดแสนสาหัส เห็นขัดสนพระทัยนักแล้ว ถึงกระนั้นพระองค์จะได้คิดท้อถอยย้อน รอยกลับคืนมาหามิได้ ทรงมุ่งมั่นในพระทัยว่า จะต้องไปให้ถึง สำนักขององค์สมเด็จพระจอมไตรให้จงได้
    <DD>ครั้นพระองค์คุกคลานมิได้แล้ว ก็ทรุดลงพังพาบไถลไปแต่ ทีละน้อย ด้วยพระอุระ (อก) ของพระองค์ ประกอบไปด้วยทุกข เวทนาเหลือที่จะอดกลั้น พระองค์ยึดหน่วงเอาพระพุทธคุณของสมเด็จพระพุทธองค์เป็นอารมณ์ ด้วยเจตนาใคร่จะทรงพบเห็นพระองค์ผู้ทรงประเสริฐยิ่งกว่าใครในโลก แล้วก็ทรงอดกลั้นซึ่งทุกขเวทนานั้นเสีย หาได้ทรงอาลัยในพระวรกายของพระองค์ไม่

    <DD>ครั้งนั้น สมเด็จพระสิริมิตรสัพพัญญูผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงพระมหากรุณาเล็งแลดูสัตวโลกทั้งหลายด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ก็รู้แจ้งเห็นด้วยกำลังความเพียรของพระเจ้าสังขจักรนั้น เป็นอุกฤษฏ์ยิ่งโดยวิเศษแล้ว ก็มิใช่อื่นมิไช่ไกล เป็นหน่อพระพุทธางกูรพุทธพงศ์วงศ์เดียวกันกับพระตถาคตนั่นเอง สมควร ที่ตถาคตจักเสด็จไปสู่ที่ใกล้แห่งบรมสังขจักร

    <DD>เมื่อพระพุทธองค์ทรงพระดำริแล้ว ก็เสด็จพระพุทธดำเนินมาด้วยพระศิริวิลาสเป็นอันงาม แล้วพระองค์กระทำอิทธิฤทธิ์ เนรมิตพระวรกายของพระองค์ให้อันตรธานหาย กลับกลายเป็น มานพน้อย ขึ้นขับรถทวนมรรคามาเฉพาะหน้าแห่งสมเด็จพระบรมสังขจักรนั้น แล้วสมเด็จพระพุทธสัพพัญญูเจ้าจึงร้องถาม ไปว่า ผู้ใดมานอนอยู่กลางทางขวางหน้ารถเรา จงหลีกไปเสีย..เรา จะขับรถไป..!

    <DD>ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์เจ้าจึงตรัสตอบว่า ดูก่อน...นายสารถี ผู้ขับรถ ท่านจะมาขับเราไปให้พ้นจากหนทางนั้นด้วยเหตุใด ตัว เราผู้รู้จักคุณสมเด็จพระจอมไตรเป็นอารมณ์ยิ่งนัก หากแต่นายสารถีจะยั้งรถของท่านให้หลีกเราไปเสียจึงจะสมควร ถ้าท่านไม่หลีกก็ให้ท่านขับรถไปเหนือหลังเราเถิด ซึ่งจะให้เราหลีกนั้นเรา หาหลีกไม่ แล้วจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ถ้าท่านจะไปยังสำนักพระพุทธเจ้าแล้ว จงมาขึ้นรถไปกับเราเถิด เราจะพาท่านไปให้ถึง สำนักสมเด็จพระประทีปแก้วให้สมดังความปรารถนา

    <DD>สมเด็จพระราชาธิบดีจึงตรัสตอบว่า ถ้าท่านเอ็นดูกรุณาแก่ เรา เราก็มีความยินดีสาธุอนุโมทนาด้วย แล้วก็อุตสาหะดำรงทรง พระวรกายขึ้นสู่รถแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธ องค์ก็ทรงหันหน้ารถไปตามถนนหนทาง ในระหว่างทางนั้น สมเด็จอมรินทราธิราชกับนางสุชาดาผู้เป็นอัครมเหสี จึงได้นำเอา โภชนาหารอันเป็นทิพย์กับทั้งน้ำทิพย์ลงมา จำแลงเพศเป็นบุรุษ ยืนอยู่ตรงหน้ารถแล้วร้องว่า

    <DD>ดูก่อน...นายสารถีผู้เจริญ! ท่านต้องการข้าวน้ำโภชนาหาร หรือ...เราจะให้ เมื่อท้าวโกสีย์สักกเทวราชกับนางสุชาดากล่าว ดังนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาซึ่งแปลงเพศเป็นนาย สารถีขับรถจึงกล่าวว่า มานพผู้เจริญ.! บุรุษทุพพลภาพผู้หนึ่งมา ในรถด้วยกับเรา มีความลำบากเวทนานัก ท่านจะให้ข้าวน้ำโภชนา หารแก่เราก็ให้เถิด เราจะได้ให้แก่บุรุษผู้นี้บริโภค องค์อัมรินทร์ปิ่นธานีกับนางสุชาดาก็ให้ข้าวน้ำโภชนาหารอันเป็นทิพย์ แด่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสตร์ แล้วพระองค์ก็ทรงประทานให้แก่พระบรมโพธิสัตว์สังขจักรเสวยข้าวน้ำอันเป็นทิพย์นั้น

    <DD>ครั้นพระองค์เสวยอิ่มหนำสำเร็จแล้ว ด้วยอานุภาพแห่งข้าวน้ำอันเป็นทิพย์นั้น ทำให้ทุกขเวทนาในพระสรีรกายอันตรธานหาย มีพระวรกายเป็นสุขสมบูรณ์เสมอเหมือนแต่ก่อน องค์สมเด็จ พระชินวรเจ้าจึงพาพระยาสังขจักรไปใกล้ "บุพพารามวิหาร" แล้ว พระองค์ก็ประทับนั่งบนพระพุทธอาสน์ในพระวิหาร ส่วนหน่อ เนื้อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์ก็เสด็จลงจากรถ เข้าไปสู่บุพพาราม ทอดพระเนตรไปเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมา สัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะอีก ๘๐ ทั้งประดับด้วยพระพุทธรัศมีอันโอภาส สว่างรุ่งเรืองออกจากพระวรกาย อันเสด็จประทับนั่งอยู่ในที่นั้น พระองค์ก็ทรงสลบลงตรงพระพักตร์แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระ ภาคเจ้าด้วยความโสมนัส เกิดความปีติยินดีหาที่สุดมิได้

    <DD>ส่วนสมเด็จพระบรมศาสดาจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อน มหาบุรุษราชผู้ประเสริฐ พระตถาคตเสด็จอยู่ในที่นี้แล้ว ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมสังขจักรก็ได้พระสติฟื้นขึ้นมา เกิดความเลื่อมใสศรัทธาน้อมเศียรเกล้าคลานเข้าไป แล้วเสด็จนั่งยังที่อันสมควร จึงยกพระกรขึ้นประนมถวายบังคมเหนือเศียรเกล้า กระทำการ อภิวาทนมัสการกราบทูลว่า

    <DD>"ภันเต ภควา...ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ ข้าพระบาทได้ถึงสำนักของพระองค์แล้ว ขอจงทรงพระกรุณาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้า โปรดตรัสแสดง พระสัทธรรมเทศนาให้ข้าพระบาทฟังเถิด...พระพุทธเจ้าข้า"

    <DD>สมเด็จพระศาสดาจารย์จึงมีพระพุทธบรรหารว่า "ดูก่อน.. มหาบพิตรผู้ประเสริฐ.! จงตั้งโสตประสาทสดับรสพระพุทธพจน์ เทศนาของพระตถาคต แล้วพิจารณาธรรมกถาอันกล่าวในคุณ พระนิพพานนี้เถิด"

    <DD>ปางนั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดแก่พระยาสังขจักร เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับพระสัท ธรรมเทศนาบทหนึ่งสิ้นเนื้อความลงแล้ว ก็กราบทูลห้ามสมเด็จ พระประทีปแก้วว่า ขอพระองค์จงหยุดการแสดงธรรมเสียเถิด

    <DD>มีคำถามว่า... เหตุไฉนพระเจ้าสังขจักรจึงทูลห้ามเช่นนี้ เพราะเดิมทีมีพระทัยผูกพันในพระพุทธศาสดา ระลึกถึงซึ่งคุณ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า เป็นอันมาก สู้ทรงสละ ราชสมบัติบรมจักร เสด็จมาด้วยความลำบากแทบถึงซึ่งชีวิต ครั้นมาประสบพบองค์พระสัพพัญญูเจ้า พระองค์ประทานธรรมเทศ นาแล้ว กลับห้ามเสียด้วยเหตุประการใด..?

    <DD>มีคำตอบว่า... สมเด็จพระบรมสังขจักรทรงพระดำริว่า ถ้า สมเด็จพระบรมศาสดาโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาเป็นอัน มาก แล้วพระองค์ก็เสด็จมาแต่เพียงลำพังพระองค์เดียวเปลี่ยว พระทัยนัก จะหาเครื่องไทยธรรมอันสมควรที่จะสักการบูชาให้ สมควรแก่รสพระสัทธรรมนั้นหามีไม่ บัดนี้ เราได้สดับรับรสแห่ง อมตธรรมแต่บทเดียว เครื่องสักการบูชาของเรานี้ มิพอสมควร กันกับพระสัทธรรม พระองค์ทรงดำริดังนี้แล้ว จึงกราบทูลห้าม องค์สมเด็จพระประทีปแก้วเสีย แล้วพระองค์จึงกราบทูลว่า

    <DD>"ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับพระสัทธรรมของพระองค์ในกาล ครั้งนี้ พระองค์ทรงพระมหากรุณาตรัสพระธรรมเทศนาแสดง พระนิพพานอันเดียวเป็นที่สุดพระสัทธรรมอยู่แล้ว ข้าพระพุทธ เจ้าจะตัดเศียรเกล้าอันเป็นที่สุดสรีระกายแห่งข้าพระพุทธเจ้า ออกกระทำการสักการบูชาพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระ ผู้มีพระภาคเจ้าก่อน"

    <HR>

    ตัดพระเศียรบูชาพระธรรม

    <DD>ครั้นตรัสดังนั้นแล้ว พระเจ้าสังขจักรผู้มีอัธยาศัยในพระ โพธิญาณ จึงทรงอธิษฐานขอให้เล็บของพระองค์คมดังพระแสง ดาบ เด็ดซึ่งพระศอให้ขาด แล้ววางไว้บนฝ่าพระหัตถ์ พร้อมตั้ง มโนปณิธานความปรารถนา ออกพระโอษฐ์ตรัสด้วยวาจาว่า

    <DD>"ภันเต ภควา... ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงศิริ ขอเชิญพระองค์ เสด็จเข้าสู่เมืองแก้วอันเกษมสานต์ คือพระอมตมหานิพพาน อันสำราญก่อนข้าพระบาทเถิด ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จไปสู่ พระนิพพาน อันสำราญต่อภายหลัง ด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้ถวายเศียรเกล้าบูชาพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์ในกาลบัดนี้ ด้วยมิได้หวังสมบัติใดในโลกนี้ มีความปรารถนาเพียงอย่างเดียว คือการบรรลุพระโพธิญาณ เป็นพระศาสดาจารย์พระองค์หนึ่ง ในอนาคตกาลนั้นเทอญ..."

    <DD>ในที่สุดแห่งพระวาจาที่ได้ตั้งความปรารถนาขาดลง พระบรมโพธิสัตว์ก็สิ้นพระทัยไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต

    <DD>ดูก่อน...สารีบุตร! ครั้นเมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นองค์สมเด็จพิชิตมารบรม ศาสดาจารย์แล้ว จึงมีพระองค์สูงได้ ๘๘ ศอก ด้วยผลทานที่เด็ด พระเศียรกระทำสักการบูชาแห่งพระสัทธรรมเทศนา พระองค์ ทรงพระรัศมีสิ้นทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ขาดนั้น ด้วยอานิสงส์ที่ พระองค์ทรงอุตสาหะไปในหนทาง ปรารถนาจะพบเห็นสมเด็จ พระผู้มีพระภาคเจ้า จนพระโลหิตไหลออกจากพระบาท พระชงค์ พระหัตถ์ และพระอุระ ของพระองค์ ในคราวเสวยพระชาติเป็น พระเจ้าสังขจักรนั้น

    <DD>อนึ่ง พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบน จนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงอเวจีมหานรก ด้วยผลอานิสงส์ที่พระองค์เด็ดพระเศียร ออกกระทำสักการบูชาพระสัทธรรม โลหิตไหลออกจากพระเศียร

    <DD>อีกประการหนึ่ง ในพระศาสนาแห่งพระศรีอาริยเมตไตรย บังเกิดมีต้นไม้กัลปพฤกษ์ นึกได้สำเร็จสมความปรารถนา นั้น ด้วยผลานิสงส์ที่พระองค์เสด็จไปตามถนนหนทาง ใคร่จะพบองค์ สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า มีกำหนดถึง ๗ วัน จึงได้ประสพพบ พระพุทธองค์สมพระราชหฤทัย

    <DD>ดูก่อน...สารีบุตร! ผู้เป็นธรรมเสนาบดีของตถาคต ฝูงชน ทั้งหลายที่มิได้เห็นรูปกายของพระตถาคตนี้ แม้ได้พบเห็นแต่พระพุทธศาสนาของพระตถาคต แล้วได้กระทำ ทาน รักษาศีล เจริญ เมตตาภาวนา ด้วยเดชะผลานิสงส์นี้ บรรดาปวงชนทั้งหลายเหล่านั้น จักได้บังเกิดทันพระพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย อันจะมาอุบัติบังเกิดเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต แสดงมาด้วยเรื่อง "พระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์" ก็ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวัง..ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

    <DD>หมายเหตุ : หลวงพ่อบอกว่าอีกประมาณ ล้านปีเศษ ๆ พระศรีอาริย์ จึงจะมาตรัสรู้ทางอาณาเขตของประเทศพม่า ฯ
    </DD>
     
  16. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ตำนานพระศรีอาริยเมตไตร วัดไลย์

    [​IMG]
    วัดไลย์ตั้งอยู่ในเขตตำบลเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เป็นวัดเก่าแก่มากวัดหนึ่ง มีศิลปโบราณวัตถุมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระศรีอาริยเมตรไตร (พระศรีอาริย์) ซึ่งประดิษฐานอยู่ในมณฑปที่ประดิษฐานรูปหล่อพระอาริย์ ขณะนี้ เป็นปูชนียวัตถุที่สำคัญยิ่งทั้งในทางประวัติศาสตร์ และความเป็นมาอย่างมากมายสุดจะบรรยายได้อย่างแจ่มชัดนัก
    พระศรีอาริย์เป็นปูชนีย์ที่มีผู้คนทั้งใกล้และไกลให้ความเคารพบูชา กราบไหว้มาแต่ครั้งโบราณกาล ทุกๆ ปีจะมีประชาชนมาร่วมชุมนุมกันอย่างเนืองแน่น ทั้งนี้เพราะชาวพุทธโดยทั่วไปประจักษ์ชัด ในความศักดิ์สิทธิ์ของพระปฏิมาดังกล่าวนี้มาแล้วเป็นอันมาก โดยมีผู้ที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดทั้งใกล้และไกลเป็นจำนวนมากทุกปี ทางวัดจึงได้จัดสร้างเหรียญและรูปหล่อ, แผ่นทองแดงปั๊ม,พระสี่เหลี่ยมเนื้อชินฯลฯ เพื่อสำหรับไว้แจกเป็นที่ระลึก และเป็นอนุสรณ์ในการที่ได้มาร่วมทำบุญกับวัดบ้างวัตถุมลคลต่างๆ ที่ทางวัดจัดสร้างขึ้นนั้น ได้จัดสร้างขึ้นมานานแล้วและสร้างขึ้นในหลายรูปแบบ ยากที่จะรวบรวมมาได้หมดทุกชนิด แต่ผมก็จะพยายามนำมาเสนอสนองสานตาของท่าน เพื่อเป็นการศึกษาค้นคว้าต่อไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ก่อนจะพูดถึงเรื่องเหรียญ ผู้เขียนก็ขอแนะนำท่านผู้อ่านให้รู้จักพระศรีอาริย์และความเป็นมาของวัดพอเป็นสังเขปเสียก่อนดังนี้
     
  17. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    พระกริ่งที่จะสร้างขึ้นนี้ข้าพเจ้าพร้อมด้วยญาติในตะกูลจะเป็นผู้สร้างถวายพร้อมกับคณะศิษย์หลวงพ่อทวดเพื่อถวายให้วัดดีหลวงเพื่อนำเงินไปสร้างรูปเหมือนหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่โดยไม่ได้สร้างเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าเเต่อย่างใดฉะนั้นครั้งนี้นับว่าเป็นโอกาสมงคลที่จะประกาศให้พ่อเเม่พี่น้องผู้ใจบุญทั้งหลายมาร่วมบุญกันโดยไม่มีข้อสงสัยเเละมั่นใจได้ว่าเงินเข้าโครงการนี้เเน่นอนทุกบาททุกสตางค์
     
  18. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ในการนี้ตอนนี้ได้รวบรวมมวลสารหลายๆสายเข้าไว้ด้วยกันทั้งสายภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ และ มวลสารจากทั่วประเทศทั้งเก่าและใหม่ทั้งพระสายวิทยาคม อิทธิคุณ และ สายอริยคณาจารย์ สายอิทธิจิต เรียกว่ารวมหลายๆยอดหลายๆดีเข้าไว้ในพระรุ่นนี้ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มิถุนายน 2008
  19. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    มหาตำนานการสร้างพระกริ่งสายตรงหลวงพ่อทวดใกล้ถึงเวลาจะเกิดขึ้นอีกไม่นานวันเเห่งความปีติใจจะเกิดขึ้นอีกครั้งเหมือนกับความประทับใจที่เกิดขึ้นในรุ่นรอยพระบาทรอยพระหัตถ์เขาเทวดา อย่างไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันแต่พิเศษครั้งนี้นับว่ามีสิ่งเกี่ยวเนื่องด้วยองค์หลวงพ่อทวดที่ชัดเจนส่วนจะเป็นอะไรนั้นต้องอดใจรอติดตามต่อละกันนะครับเมื่อวันนั้นถึงทุกคนคงจะถึงบางอ้ออย่างเเน่นอน



    รายละเอียดเรื่องวัตถุมงคลรุ่นพระกริ่งดีหลวงนั้นคาดว่าเร็วๆนี้อาจจะมีการประชาสัมพันธ์อย่างเป็นทางการรอให้คณะกรรมการอันมีท่านเจ้าอาวาสวัดดีหลวงเป็นประธานและกรรมการวัดรวมทั้งตัวเเทนจากชมรมคนรักหลวงพ่อทวดอันมีนายเเพทย์ประพล เองชวนเป็นประธาน ปรึกษาประชุมกันอีกวาระเพื่อ เปิดบัญชีพิเศษเฉพาะงานสร้างหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่เป็นการเฉพาะเมื่อนั้นจึงจะเริ่มให้เปิดจองบูชาและพระกริ่งที่จะสร้างขึ้นไม่ได้มีจำนวนการสร้างที่มากต้องเรียกว่าน้อยมากด้วยซ้ำเนื่องจากผู้สร้างต้องการสร้างเพื่อสืบทอดประเพณีโบราณไม่ได้ทำเพื่อสุกเอาเผากินหรือทำขายเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋า อีกทั้งผู้สร้างเป็นผู้ที่มีความศรัทธาในหลวงพ่อทวดอยู่แล้วและพระกริงชุดนี้สร้างถวายวัดไม่ได้หักค่าใช้จ่ายส่วนของการหล่อพระกริ่งเเม้เพียงบาทเดียวสร้างด้วยความศรัทธาที่เต็มเปรี่ยมล้นหัวใจที่มีต่อสมเด็จพระราชมุณีสามีรามคุณูปมาจารย์ หรือหลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด หรือสมเด็จพระสังฆราชสองเเผ่นดินนั่นเอง
     
  20. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    นำเงินที่ได้จากการบูชาพระกริ่งดีหลวงไปทำอะไร????

    นำไปสร้างหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ไว้หน้าบริเวณวัดดีหลวงเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานณ์ว่าครั้งหนึ่งเด็กชายปูได้บรรพชาสามเณรภายในวัดดีหลวงแห่งนี้และนี่กล่าวได้เต็มปากว่าวัดบ้านเกิดหลวงพ่อทวดอย่างเเท้จริง

    และหลวงพ่อทวดที่จะสร้างขึ้นผู้บริจาคเงินจะได้รับการจารึกชื่อบริเวณอนุสรณ์สถานหลวงพ่อทวดที่จะสร้างขึ้นอีกด้วย

    ใครเป็นผู้สร้างพระกริ่งดีหลวงชุดนี้???
    คนที่สร้างพระกริ่งชุดนี้คือชมรมคนรักหลวงพ่อทวดโดยมีนายเเพทย์ประพล เองชวน เป็นประธาน และ มีคนในชมรมช่วยเหลือด้านต่างๆและเงินที่สร้างพระกริ่งต้นทุนได้มาจากการบริจาคเงินของคุณย่าผมเอง และครอบครัว รวมทั้งผู้มีจิตศรัทธาในหลวงพ่อทวดที่ช่วยกันออกต้นทุนพระกริ่งเพื่อถวายวัดดีหลวงโดยไม่หักค่าใช่จ่ายกับวัดดีหลวงแม้เพียงบาทเดียว

    ใครเป็นผู้อธิษฐานจิตและเททองพระเครื่องชุดนี้???

    คนที่เป็นประธานเททองพระกริ่งดีหลวงชุดนี้คือพระครูโสภณธรรมรัต หรือพระดชพระคุณหลวงปู่ถม วัดเชิงท่า ลพบุรี ซึ่งท่านเองเป็นศิษย์สมเด็จพระสังฆราชเเพ วัดสุทัศเทพวราราม

    พิธีอธิษฐานจิต???
    จะทำพิธีครั้งสุดท้ายในพระอุโบสถหลังดั้งเดิมที่หลวงพ่อทวดบรรพชาเป็นสามเณรโดยพระเถราจารย์สายตรงหลวงพ่อทวด


    กำหนดการเททองพระกริ่งชุดนี้??

    สถานที่เททองแผ่นดินละโว้ดินเเดนมนต์ขลังแห่งอาณาจักรโบราณโดยคาดว่าจะเทที่วัดเชิงท่า วัดสมัยอยุธยาอันเป็นวัดที่พำนักของหลวงปู่ถมนั่นเอง

    เวลาคาดว่าน่าจะปลายๆปีที่จะถึงนี้

    สร้างพระกริ่งชุดนี้กี่แบบอะไรบ้าง???
    สร้างเนื้อโลหะกับเนื้อผงพุทธคุณ
    จำนวนการสร้างน้อยมากบอกได้คำเดียวว่าน้อยมากจริงๆเททองในพิธีทุกองค์และทุกองค์จะเททองดินไทยโบราณ

    ใต้ฐานพระกริ่งทุกองค์บรรจุ???
    บรรจุของดีสายตรงหลวงพ่อทวดไว้จะค่อยเล่ารายละเอียดให้ฟัง

     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...