พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับท่านที่ pm เข้ามาหาผม ผมขอความกรุณา โพสลงบอร์ดได้เลยนะครับ ผมเองก็ไม่มีความลับกันในกลุ่ม ผมอยากให้มาแสดงความคิดเห็นกัน จะได้รู้จักท่านอื่นๆด้วย ไม่ใช่รู้จักแต่ผม ผมไม่ใช่บุคคลสำคัญ เป็นเพียงฟันเฟืองตัวนึง ที่ร่วมกับฟันเฟืองตัวอื่นๆ ร่วมกันขับเคลื่อนสิ่งดีๆ ไปในทิศทางที่ถูกต้องเท่านั้นเองครับ

    หากสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ผมแจ้งไปนี้ ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ

    ขอบคุณและโมทนาสาธุครับ

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาต่อกันเรื่องของพระไตรปิฎกครับ

    http://84000.org/tipitaka/pitaka1/



    <CENTER>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑
    มหาวิภังค์ ภาค ๑</CENTER>
    อสันถตภาณวาร
    ๑. หมวดมนุสสิตถี ๒๗ จตุกกะ
    ๒. หมวดอมนุสสิตถี ๒๗ จตุกกะ
    ๓. หมวดติรัจฉานคติตถี ๒๗ จตุกกะ
    ๔. หมวดมนุสสะอุภโตพยัญชนก ๒๗ จตุกกะ
    ๕. หมวดอมนุสสะอุภโตพยัญชนก ๒๗ จตุกกะ
    ๖. หมวดติรัจฉานคตะอุภโตพยัญชนก ๒๗ จตุกกะ
    ๗. หมวดมนุสสะปัณฑกะ ๑๘ จตุกกะ
    ๘. หมวดอมนุสสะปัณฑกะ ๑๘ จตุกกะ
    ๙. หมวดติรัจฉานคตะปัณฑกะ ๑๘ จตุกกะ
    ๑๐. หมวดมนุสสะปุริสะ ๑๘ จตุกกะ
    ๑๑. หมวดอมนุสสะปุริสะ ๑๘ จตุกกะ
    ๑๒. หมวดติรัจฉานคตะปุริสะ ๑๘ จตุกกะ

    http://84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=01&A=1350&Z=1784


    <CENTER>บทภาชนีย์ อสันถตภาณวาร

    </CENTER><CENTER>๑. หมวดมนุสสิตถี ๒๗ จตุกกะ

    </CENTER><CENTER>๑. มนุสสิตถี สุทธิกะจตุกกะ [ทับ]
    </CENTER>[๔๐] พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค
    ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้อง
    อาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค
    ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้อง
    อาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค
    ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค
    ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอนออก
    ไม่ต้องอาบัติ.


    <CENTER>๒. มนุสสิตถี สุทธิกะจตุกกะ [คร่อม]
    </CENTER>พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วย
    ปัสสาวมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วย
    ปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการ
    ถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วย
    ปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการ
    ถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วย
    ปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วย
    ปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดี
    การถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.


    <CENTER>๓. มนุสสิตถี สุทธิกะจตุกกะ [อม]
    </CENTER>พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก
    ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติ
    ปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก
    ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้อง
    อาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก
    ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้อง
    อาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก
    ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก
    ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอนออก
    ไม่ต้องอาบัติ.


    <CENTER>๔. มนุสสิตถี ชาครันตีจตุกกะ [ทับ]
    </CENTER>พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตื่นมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตื่นมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอน
    ออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตื่นมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอน
    ออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตื่นมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตื่นมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการ
    ถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.


    <CENTER>๕. มนุสสิตถี ชาครันตีจตุกกะ [คร่อม]
    </CENTER>พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตื่นมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วย
    ปัสสาวมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตื่นมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วย
    ปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอน
    ออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตื่นมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วย
    ปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการ
    ถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตื่นมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วย
    ปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตื่นมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วย
    ปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการ
    ถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.


    <CENTER>๖. มนุสสิตถี ชาครันตีจตุกกะ [อม]
    </CENTER>พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตื่นมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วย
    ปาก ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้อง
    อาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตื่นมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วย
    ปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตื่นมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วย
    ปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตื่นมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วย
    ปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการถอน
    ออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตื่นมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วย
    ปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอน
    ออก ไม่ต้องอาบัติ.


    <CENTER>๗. มนุสสิตถี สุตตะจตุกกะ [ทับ]
    </CENTER>พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้หลับมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้หลับมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้หลับมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอน
    ออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้หลับมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการ
    ถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้หลับมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการ
    ถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.



    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <CENTER>๘. มนุสสิตถี สุตตะจตุกกะ [คร่อม]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้หลับมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอน
    ออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้หลับมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้หลับมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้หลับมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้หลับมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่
    ยินดีการถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๙. มนุสสิตถี สุตตะจตุกกะ [อม]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้หลับมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วย
    ปาก ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้อง
    อาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้หลับมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วย
    ปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้หลับมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วย
    ปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้หลับมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วย
    ปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการถอน
    ออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้หลับมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วย
    ปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอน
    ออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๑๐. มนุสสิตถี มัตตะจตุกกะ [ทับ]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เมามาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เมามาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เมามาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอน
    ออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เมามาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการ
    ถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เมามาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วย
    วัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการ
    ถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๑๑. มนุสสิตถี มัตตะจตุกกะ [คร่อม]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เมามาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วย
    ปัสสาวมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เมามาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เมามาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วย
    ปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการ
    ถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เมามาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วย
    ปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เมามาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วย
    ปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดี
    การถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๑๒. มนุสสิตถี มัตตะจตุกกะ [อม]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เมามาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วย
    ปาก ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้อง
    อาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เมามาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วย
    ปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เมามาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วย
    ปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เมามาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วย
    ปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการถอน
    ออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เมามาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วย
    ปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอน
    ออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๑๓. มนุสสิตถี อุมมัตตะจตุกกะ [ทับ]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้วิกลจริตมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิด
    ด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้วิกลจริตมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิด
    ด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการ
    ถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้วิกลจริตมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิด
    ด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการ
    ถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้วิกลจริตมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิด
    ด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้วิกลจริตมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิด
    ด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดี
    การถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๑๔. มนุสสิตถี อุมมัตตะจตุกกะ [คร่อม]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้วิกลจริตมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอน
    ออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้วิกลจริตมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้วิกลจริตมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้วิกลจริตมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่
    ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้วิกลจริตมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่
    ยินดีการถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๑๕. มนุสสิตถี อุมมัตตะจตุกกะ [อม]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้วิกลจริตมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิด
    ด้วยปาก ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้วิกลจริตมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิด
    ด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้วิกลจริตมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิด
    ด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการ
    ถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้วิกลจริตมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิด
    ด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการ
    ถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้วิกลจริตมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิด
    ด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการ
    ถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๑๖. มนุสสิตถี ปมัตตะจตุกกะ [ทับ]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เผลอสติมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิด
    ด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เผลอสติมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิด
    ด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการ
    ถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เผลอสติมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิด
    ด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เผลอสติมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิด
    ด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เผลอสติมาในสำนักภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิด
    ด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดี
    การถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๑๗. มนุสสิตถี ปมัตตะจตุกกะ [คร่อม]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เผลอสติมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอน
    ออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เผลอสติมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เผลอสติมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เผลอสติมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่
    ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เผลอสติมาในสำนักภิกษุ แล้วให้คร่อมองค์กำเนิด
    ด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่
    ยินดีการถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๑๘. มนุสสิตถี ปมัตตะจตุกกะ [อม]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เผลอสติมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิด
    ด้วยปาก ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เผลอสติมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิด
    ด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก
    ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เผลอสติมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิด
    ด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอน
    ออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เผลอสติมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิด
    ด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการ
    ถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้เผลอสติมาในสำนักภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิด
    ด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการ
    ถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๑๙. มนุสสิตถี มตอักขายิตะจตุกกะ [ทับ]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาในสำนักภิกษุ แล้วให้
    ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่
    ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาในสำนักภิกษุ แล้วให้
    ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่
    ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการ
    หยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการ
    หยุดอยู่ แต่ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการ
    หยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๒๐. มนุสสิตถี มตอักขายิตะจตุกกะ [คร่อม]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการ
    หยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว
    ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่
    ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่
    ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่
    ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๒๑. มนุสสิตถี มตอักขายิตะจตุกกะ [อม]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่
    ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการ
    หยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการ
    หยุดอยู่ แต่ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการ
    หยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๒๒. มนุสสิตถี มตเยภุยยะอักขายิตะจตุกกะ [ทับ]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ
    แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการ
    หยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ
    แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดี
    การหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ
    แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดี
    การหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนัก
    ภิกษุ แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว
    ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ
    แล้วให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่
    ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๒๓. มนุสสิตถี มตเยภุยยะอักขายิตะจตุกกะ [คร่อม]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ
    แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดี
    การหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ
    แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว
    ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ
    แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว
    แต่ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ
    แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว
    ไม่ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ
    แล้วให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว
    ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๒๔. มนุสสิตถี มตเยภุยยะอักขายิตะจตุกกะ [อม]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนัก
    ภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการ
    หยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ
    แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการ
    หยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ
    แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดี
    การหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนัก
    ภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่
    ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วยังไม่ถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนัก
    ภิกษุ แล้วให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่
    ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๒๕. มนุสสิตถี มตเยภุยยะขายิตะจตุกกะ [ทับ]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่
    ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการ
    หยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดี
    การหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการ
    หยุดอยู่ แต่ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้ทับองค์กำเนิดด้วยวัจจมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการ
    หยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๒๖. มนุสสิตถี มตเยภุยยะขายิตะจตุกกะ [คร่อม]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการ
    หยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการ
    หยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่
    ยินดีการหยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่
    ยินดีการหยุดอยู่ แต่ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้คร่อมองค์กำเนิดด้วยปัสสาวมรรค ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่
    ไม่ยินดีการหยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>๒๗. มนุสสิตถี มตเยภุยยะขายิตะจตุกกะ [อม]
    </CENTER> พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก ถ้าเธอยินดีการเข้าไป ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่ ยินดี
    การถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป แต่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีการหยุดอยู่
    ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว แต่ยินดีการ
    หยุดอยู่ ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการ
    หยุดอยู่ แต่ยินดีการถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย
    พวกภิกษุผู้เป็นข้าศึก พามนุษย์ผู้หญิงผู้ตายแล้วถูกสัตว์กัดโดยมากมาในสำนักภิกษุ แล้ว
    ให้อมองค์กำเนิดด้วยปาก ถ้าเธอไม่ยินดีการเข้าไป ไม่ยินดีการเข้าไปถึงที่แล้ว ไม่ยินดีการ
    หยุดอยู่ ไม่ยินดีการถอนออก ไม่ต้องอาบัติ.

    <CENTER>หมวดมนุสสิตถี ๒๗ จตุกกะ จบ
    </CENTER>
    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๓๕๐ - ๑๗๘๔. หน้าที่ ๕๓ - ๖๙.
    http://84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=1&A=1350&Z=1784&pagebreak=0
    สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑
    http://84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๑</U>
    http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/mean_reverse.php?text=1&Aindex=%CA%D2%C3%BA%D1%AD</U>
    http://84000.org/tipitaka/read/?index_1

    บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
    การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.
    หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ DhammaPerfect@yahoo.com


    .

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมจำไม่ได้แล้วว่า ผมเคยบอกทุกๆท่านแล้วหรือยังว่า เพราะเหตุใดผมจึงต้องนำเรื่องราวของพระไตรปิฎก มาลงให้ได้อ่านกัน

    จากประวัติของหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ที่หลายๆท่านได้อ่านมาแล้วนั้น หลวงปู่ท่านเป็นคณะพระธรรมทูต ที่เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ และจากหลายๆเรื่องในเมืองไทยเรา มักจะมีการประพฤติและปฎิบัติที่เราเองไม่รู้ว่า ถูกต้องหรือไม่ เราจึงต้องใช้พระไตรปิฎกมาเป็นบรรทัดฐานกันในการพิจารณาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา จะได้ไม่หลงทิศ หลงทาง หลงผิด ไปสู่อบายภูมิ

    ผมจึงได้นำเรื่องราวของพระไตรปิฎก นำมาลงให้ได้อ่านกันจนกว่าจะจบครับ

    โมทนาบุญกับทุกๆท่านที่อ่าน(และนำไปใช้)ครับ

    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>คาดราคาทองทะลุ$1,000เร็วๆนี้ กูรูระบุดอลล์อ่อน/ศก.สหรัฐฯทรุด</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>16 มกราคม 2551 08:35 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>นักวิเคราะห์คาดราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้นไปถึง 1,000 ดอลลาร์ในไม่ช้านี้</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เอเอฟพี - นักวิเคราะห์คาดราคาทองคำซึ่งในปัจจุบันซื้อขายกันที่ออนซ์ละกว่า 900 ดอลลาร์นั้น จะพุ่งทำสถิติสูงสุดทะลุระดับ 1,000 ดอลลาร์ในอีกไม่ช้านี้ อ้างปัจจัยนักลงทุนหวั่นเศรษฐกิจสหรัฐฯทรุด หันมาลงทุนในตลาดทองคำซึ่งเป็นแหล่งหลบภัยในเวลาที่เกิดความไม่แน่นอน ดีมานด์ที่เพิ่มสูงขึ้นในจีนและอินเดีย ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงลิ่ว เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง และความหวั่นวิตกด้านภูมิรัฐศาสตร์
    เมื่อวันจันทร์(14) ราคาทองคำในตลาดลอนดอนบุลเลียนมาร์เก็ต พุ่งทำสถิติสูงสุดที่ออนซ์ละ 914.30 ดอลลาร์


    จอห์น เพย์น ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนแห่ง Hexam Global Resources Absolute Return Fund กล่าวว่า ในทางจิตวิทยาแล้ว ณ ตอนนี้ ราคาทองคำในระดับ 1,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถือเป็นเป้าหมายต่อไป

    "ดูเหมือนว่าราคาทองคำจะมีปัจจัยหนุนให้สูงขึ้นอย่างมาก"

    เพย์นกล่าวว่าปัจจัยสำคัญที่สุดที่ผลักดันราคาทองคำก็คือ เศรษฐกิจสหรัฐฯและเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ขณะที่ราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้น ความวิตกกังวลทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ และราคาน้ำมันโลกซึ่งอยู่ในระดับใกล้ๆกับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ล้วนแต่เป็นปัจจัยทำให้ราคาทองคำทะยานขึ้นมาก

    เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ ดังเช่นน้ำมัน ทองคำ ซึ่งซื้อขายกันด้วยเงินดอลลาร์ มีราคาถูกลงสำหรับผู้ซื้อที่ถือเงินสกุลที่แข็งกว่าดอลลาร์ ส่งผลให้ดีมานด์ทองคำเพิ่มสูงขึ้น

    บรรดาเทรดเดอร์ยังทุ่มเงินสดลงทุนในทองคำมากขึ้นเนื่องจากต้องการหาที่หลบภัยจากเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อาจเติบโตช้าหรือถดถอย นอกจากนี้ นักลงทุนยังมองว่าทองคำมีสถานะเป็นที่หลบภัยที่ปลอดภัย ในเวลาที่เกิดความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์

    นอกจากนี้ ราคาน้ำมันโลกที่พุ่งสูงทะลุ 100 ดอลลาร์ ในช่วงต้นเดือนนี้ และปัจจุบันอยู่เหนือระดับ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้นักลงทุนจำนวนมากขึ้น หันมาลงทุนในตลาดทองคำ เนื่องจากต้องการแสวงหาเครื่องป้องกันภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ สืบเนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งลิ่วในหลายประเทศ

    ขณะเดียวกัน เมื่อวันจันทร์ เงินยูโรก็พุ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ โดย 1 ยูโร แลกได้ 1.4914 ดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)จะตัดลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% ในเดือนนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ

    สำหรับปัจจัยอื่นๆนั้น ก็เช่น ความต้องการการผลิตทองรูปพรรณที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างคาดไม่ถึงในจีนและอินเดีย ก็หนุนให้ราคาทองคำทะยานขึ้นเช่นกัน

    นิก เบียนโคว์สกี ผู้อำนวยการฝ่ายจดทะเบียนหุ้นและการวิจัยแห่งบริษัทหลักทรัพย์อีทีเอฟ เห็นด้วยว่าราคาทองคำกำลังมุ่งไปสู่การทำสถิติใหม่

    "กระทรวงการคลังสหรัฐฯกล่าวว่ามีมุมมองแง่ลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดต่างกำลังรอคอยให้มีการตัดลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งต่อไปของเฟด" เบียนโคว์สกีกล่าว

    เบียนโคว์สกีกล่าวว่าการลดดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยลบต่อค่าเงินดอลลาร์ แต่เป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ

    อย่างไรก็ดี โรบิ้น บฮาร์ นักวิเคราะห์แห่งยูบีเอส กล่าวเตือนว่า "เรากำลังวิตกมากขึ้นต่อโอกาสที่ราคาโลหะมีค่าทุกชนิดจะดิ่งลงอย่างมาก มากกว่าการที่ราคาพุ่งขึ้นสูงในช่วงสั้นๆ

    ทั้งนี้ ทองคำซึ่งใช้กันทั้งในวงการทันตกรรมและภาคอิเล็กทรอนิกส์ ได้ทำราคาทุบสถิติสูงสุดในรอบ 28 ปี ที่ระดับ 850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อต้นปีนี้ สืบเนื่องจากหลายๆปัจจัย ซึ่งรวมถึงความไม่สงบในปากีสถาน หลังการลอบสังหารเบนาซีร์ บุตโต อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้นำฝ่ายค้าน เมื่อปลายปีที่แล้ว

    ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอย่างมากอันเป็นผลจากดีมานด์ที่เฟื่องฟูทั่วตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างไรก็ดี การเตะโด่งที่แท้จริงของราคาทองคำเกิดขึ้นในช่วงปลายปีที่แล้ว เมื่อมีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจของโลกจะเติบโตช้าลงและภาวะเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ภาพของภาวะ "stagflation" หรือภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว แต่เงินเฟ้อกลับสูงขึ้นนั้น ปรากฏเงาลางๆมากขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้คนก็พากันเกรงกลัวภาวะสินเชื่อตึงตัวอันเป็นผลมาจากการทรุดตัวของตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทด้อยคุณภาพ หรือ "ซับไพรม์" ในสหรัฐฯ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กรณีน้องแพทริคกับพี่มอส อยู่ที่การมองปัญหา/สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>16 มกราคม 2551 08:53 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> อาจจะช้าไปนิดที่มาเขียนถึงเรื่อง “น้องแพทริค” กับ “พี่มอส” ในช่วงนี้ แต่เป็นเรื่องที่ตั้งใจว่าต้องเขียนถึงอย่างแน่นอน เพราะกรณีนี้ไม่ใช่กรณีแรก แต่จัดเป็นอีกกรณีหนึ่งที่มักเกิดเรื่องในท่วงทำนองนี้บ่อยครั้งและมากมายในสังคมไทย

    เพียงแต่ครั้งนี้เกิดขึ้นกับ “คนดัง” เรื่องก็เลย “ดัง” ตามไปด้วย

    “ปกติพี่เขาก็ไม่เล่นแบบนี้ เคยแต่จั๊กจี้กัน เล่นต่อยแขนกันบ้างทดสอบพลัง เล่นกันแบบผู้ชาย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาเล่นแบบนี้ อยู่ดีๆ ก็วิ่งมาถอดชุดชั้นในแพทเลย ตอนนั้นแพทตกใจกลัว นึกว่าจะมีใครมาช่วยแพท แต่ทุกคนในกองเห็นว่าเป็นเรื่องตลกเห็นว่าเป็นการเล่น พอเขาถอดกางเกงแพทเสร็จเขาก็วางแพทไว้บนโซฟา และก็พูดกันเรื่องของใต้เข็มขัด ซึ่งแพทไม่ชอบเลย เขาพูดวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ไม่ดี แพทกลัวก็รีบดึงกางเกงขึ้นมาเลย</EM>”

    “ตอนนั้นแพทไม่กล้าบอกว่าไม่พอใจ แพทระแวงกลัวเขาทำอีก เขาอาจจะเห็นเป็นการเล่น แต่มันเล่นแรงมากนะ ตอนนั้นแพทยังไม่ร้องไห้เพราะแพทรู้ว่า ถ้าแพทร้องฟิวส์มันจะขาด แพทพยายามเก็บอารมณ์ไว้ และก็แกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนไป เหตุการณ์นี้มันทำให้แพทกลัวมากไม่กล้าเข้าใกล้พี่เขา กลัวว่าเขาจะแกล้งเราอีก แพทไม่เข้าใจทำไมพี่ๆ เล่นแบบนี้ พอพักฉากแพทก็ออกไปยืนข้างนอกยืนห่างๆ ไม่อยากอยู่ใกล้เขา”

    “พี่เขาบอกว่า มันเป็นธรรมเนียมเด็กผู้ชายที่อยู่ในกอง ต้องโดนจับแก้ผ้า ซึ่งแพทไม่เข้าใจว่ามันเป็นธรรมเนียมอะไร แพทว่ามันเป็นธรรมเนียมที่ไม่ถูกต้อง แต่มันอาจถูกต้องสำหรับเขา แพทก็เลยบอกว่า ถ้ามีธรรมเนียมแบบนี้ช่วยบอกแพทก่อนได้ไหม แพทจะได้ไม่ต้องรับงาน แพทมาทำงาน ไม่ได้มาให้ใครทำอะไรแบบนี้ พี่เขาก็หัวเราะขำๆ บอกว่า เป็นการเล่น แต่แพทไม่เข้าใจว่า ทำไมทำกันแบบนี้ เขาอาจคิดแค่เล่น ถ้าเล่นกันแบบนี้ควรถามกันก่อน และมันเป็นเรื่องที่น่ากลัว แพทไม่ได้สนุกด้วย อาจเห็นว่าแพทหัวเราะ แต่แพทแกล้งขำ กลบเกลื่อน แพทไม่กล้าบอกเขาว่าไม่พอใจ เพราะแพทกลัวว่าเขาจะแกล้งแพทอีก”

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> นี่คือ...ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ที่น้องแพทริค วัย 11 ปี บอกเล่าความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ภายในใจ แม้ในอีกด้านหนึ่งของผู้ใหญ่จะบอกว่าเป็นเรื่องหยอกล้อ เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กผู้ชาย

    นี่คือ...ส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ผู้ใหญ่จำนวนมากในสังคม มองเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆ เป็นเรื่องธรรมดา

    ไม่ว่าเรื่องราวนี้ คนที่เป็นผู้ใหญ่จะมองว่าน้องแพทริคคิดมาก ทั้งที่เป็นเรื่องสนุกๆ ในหมู่เพื่อน ไม่เห็นจะเป็นไรเลย มีแต่ผู้ชาย แล้วเรื่องแก้ผ้าก็ธรรมดา ทำไมต้องคิดมากด้วย

    ในขณะที่คนเป็นแม่ ก็ถึงขั้นออกมาฟ้องร้อง และไม่ยอมให้ลูกไปร่วมแสดงละครเรื่องดังกล่าวอีกเลย

    ดิฉันได้มีโอกาสดูข่าวชิ้นนี้ ทางรายการโทรทัศน์ ที่เขาเปิดให้ผู้ชมทางบ้านส่ง SMS เข้าไปเสนอความคิดเห็นเรื่องนี้ด้วย บอกตามตรงว่าอ่านหลายๆ ความคิดเห็นแล้วรู้สึก...จุกจริงๆ จุกชนิดพูดไม่ออก ไปไม่เป็นเอาซะเลย

    ความเห็นในท่วงทำนองที่ต่อว่าต่อขานน้องแพทริค และคุณแม่ที่คิดมาก ทั้งที่เป็นเรื่องธรรมดาในหมู่ผู้ชาย อีกฝ่ายไม่ผิดหรอก เขาแหย่เล่น แม้จะมีความคิดเห็นจำนวนหนึ่งที่แสดงความเห็นใจน้องแพทริค และเข้าใจคนเป็นแม่ แต่ก็ต้องถือว่าเป็นส่วนน้อย

    ในขณะที่ทิศทางข่าว ก็ค่อนไปทางรับฟังความเห็นทางด้านผู้ที่อยู่ในกองถ่าย ซึ่งแน่นอนว่าความเห็นส่วนใหญ่ย่อมต้องค่อนไปทางดาราหนุ่มรูปหล่อขวัญใจวัยรุ่นนั่นแหละ ก็แหม เป็นฝ่ายถูกฟ้องนี่หน่า

    ดิฉันยอมรับว่า เห็นใจและเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่ก็เพราะตนเองก็เป็นแม่ของลูกชายเหมือนกัน เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ย่อมทนไม่ได้ และไม่มีวันยอมให้เกิดกับลูกเป็นครั้งที่สองแน่นอน

    เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของความใจแคบอย่างแน่นอน แต่เป็นเรื่องการมองปัญหามากกว่า ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งมองว่าไม่มีปัญหา ส่วนอีกฝ่ายเป็นปัญหาใหญ่ ...!!!

    ประเด็นสำคัญ ก็คือ ฝ่ายที่มองว่าไม่มีปัญหา ก็คือ สังคมส่วนใหญ่บ้านเราที่มองว่าเด็กผู้ชายแก้ผ้าเป็นเรื่องธรรมดา สนุกสนาน ขำๆ เป็นอย่างนี้มาทุกยุคสมัย

    ประเด็นนี้...ต่างหากที่น่าสลดใจ ...!!

    ก็แหม...ประเด็นความรักของแม่ที่มีต่อลูกก็เรื่องหนึ่ง แต่ประเด็นที่ถูกสังคมมองว่าทำไมหนอเรื่องแค่นี้ต้องถึงขนาดทำให้เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตด้วย

    ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เราได้คำนึงถึงสภาพจิตใจของเด็กที่ถูกกระทำหรือไม่ และการถูกกระทำอย่างนี้ เท่ากับเป็นการถูกละเมิดสิทธิ และขืนใจ เพราะถูกกระทำให้อับอาย

    หลายเรื่องในอดีตเมื่อครั้งเป็นเด็ก ที่เราเอง เคยถูกผู้ใหญ่แกล้ง หรือผู้ใหญ่กระทำ เพราะเห็นว่าเราเป็นเด็กก็เลยแหย่เล่น โดยทำให้เด็กรู้สึกอับอายยิ่งนัก เราเคยรู้สึกอย่างไร

    แล้วหากเจ้าความรู้สึกเหล่านั้น เมื่อถูกอัดแน่น และถูกกระทำ เคยคิดไหมว่าเขาอาจจะไปทำกับบุคคลอื่นที่เด็กกว่าตนอีกหรือไม่ ก็ผู้ใหญ่ยังทำกับเราได้ แล้วเราไปทำกับคนอื่นบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่...!!

    การกระทำดังกล่าว ต้องถือว่าเข้าข่ายกระทำความรุนแรงในอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นความรุนแรงทางด้านจิตใจ ที่ถูกกระทำในรูปแบบให้ได้รับความอับอาย และล้อเลียน ในขณะที่ทุกคนหัวร่อ ขำขันกันสุดฤทธิ์ แต่ตัวเองกลับรู้สึกทนไม่ได้ และเจ็บใจเพราะไม่สามารถต่อสู้ดิ้นรนได้ แล้วจะต่างอะไรกับเด็กที่ถูกทำอนาจารเล่า

    ถ้าเป็นคนวัยเดียวกัน อาจจะไม่รู้สึกมากขนาดนี้...

    แต่ที่แปลกดีนะ...ก็กลับกลายเป็นว่าแม่ของน้องแพทริคต้องตกเป็นจำเลยทางสังคมอีกต่างหากว่าทำเกินกว่าเหตุไปซะอีก เพราะไปแจ้งความ

    ดิฉันถามตัวเองว่าถ้าเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นกับลูกชายของเราบ้างจะทำอย่างไร

    ดิฉันอาจไม่เลือกวิธีเหมือนแม่ของน้องแพทริคก็ได้ แต่ก็เลือกที่จะปกป้องลูกของตนเองอย่างแน่นอน ไม่ว่าด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง... !!

    เรื่องนี้อาจไม่ได้เกี่ยวกับเจตนา เพราะถ้าถามเรื่องเจตนาแน่นอนว่าไม่มีใครเจตนาร้ายอย่างแน่นอน

    แต่ลองฉุกคิดถึงความสนุกสนานเฮฮาที่หยอกล้อบนความทุกข์ใจของผู้อื่น ยิ่งกับเด็กด้วยแล้ว สมควรแล้วหรือ...!!

    ถ้าเรื่องนี้เกิดในต่างประเทศ ที่มีกฎหมายเรื่องสิทธิเด็กเข้มแข็ง รับรองว่าต้องมีการฟ้องร้องกันจนถึงที่สุดเป็นแน่ ในบ้านเราอย่าว่าถึงเรื่องการฟ้องร้องเลยค่ะ แค่ผ่านด่านการ “มองปัญหา” ก็หนักหนาเอาการ..!!
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วจีสุจริต (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14180

    โดย I am

    [​IMG]

    วจีสุจริต

    เว้นจากการพูดเท็จ
    เว้นจากการพูดส่อเสียด
    เว้นจากการพูดคำหยาบ
    เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

    คือแม้ว่าจะเป็นความจริง
    แต่หากว่าเป็นคำส่อเสียดก่อให้เกิดความแตกร้าว

    เช่นนำความข้างนี้ไปบอกข้างนั้น
    นำความข้างนั้นมาบอกข้างนี้

    เพื่อจะยุให้ทั้งสองฝ่ายแตกกัน
    แม้จะเป็นความจริงที่ไม่ควรพูด
    เพราะทำให้เขาแตกกัน
    เข้าในพวกส่อเสียด

    หรือแม้ว่าเป็นคำหยาบ
    ไม่ได้มุ่งจะหลอกลวงให้เข้าใจผิด
    แต่ว่าเป็นคำหยาบคาย
    เช่นเป็นคำด่าว่า
    เป็นสัตว์ดิรัจฉานอย่างโน้นอย่างนี้ อะไรเป็นต้น

    หรือแม้วาจาอย่างอื่นซึ่งเป็นการกล่าว
    กดให้เลวลง

    ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น
    และก็ไม่ได้มุ่งที่จะหลอก
    แต่ว่ากล่าวด้วยความโกรธ

    ด้วยความเหยียดหยาม
    ต้องการจะกดเขาให้เลว
    ก็ไม่ควรพูด

    และแม้ว่าเป็นคำที่เพ้อเจ้อเหลวไหล
    ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย
    ไม่มีขอบเขตจำกัด หาสาระแก่นสารมิได้
    หรือว่ามีสาระแก่นสารน้อยเกินไป
    ก็เป็นคำไม่ควรพูด

    วจีทุจริต

    วาจาเช่นที่กล่าวมานี้ คือ
    การพูดเท็จก็ดี
    การพูดส่อเสียดก็ดี
    การพูดคำหยาบก็ดี
    การพูดเพ้อเจ้อเหลวไหลก็ดี

    ก็นับว่าเป็น วจีทุจริต คือ
    การพูดที่เป็นทุจริตเสมอกัน

    เพราะฉะนั้นแม้เป็นความจริง
    ก็ไม่ใช่ว่าเป็นข้อที่ควรพูดเสมอไป
    ต้องอยู่ในขอบเขตอันสมควร

    : ทศบารมีและทศพิศราชธรรม
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    ====

    การให้ธรรมเป็นทาน เป็นทานสูงสุด
    ผู้ให้ให้ด้วยความเมตตา หวังบุญกุศลในธรรมทาน

    หากให้ด้วยความไม่เมตตา
    ท่านไม่เรียกธรรมทาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สังโยชน์

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content -->สังโยชน์ คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง คือ
    • ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้แก่
      • ๑. สักกายทิฏฐิ - มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา
      • ๒. วิจิกิจฉา - สงสัยในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
      • ๓. สีลัพพตปรามาส - ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่นการถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น
      • ๔. กามราคะ - ความติดใจในกามคุณ
      • ๕. ปฏิฆะ - ความกระทบกระทั่งในใจ
    • ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้แก่
      • ๖. รูปราคะ - ความติดใจในวัตถุหรือรูปฌาน
      • ๗. อรูปราคะ - ความติดใจในอรูปฌานหรือความพอใจในนามธรรมทั้งหลาย
      • ๘. มานะ - ความถือว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่
      • ๙. อุทธัจจะ - ความฟุ้งซ่าน
      • ๑๐. อวิชชา - ความไม่รู้จริง
    พระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้
    พระสกิทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ ให้เบาบางลงด้วย
    พระอนาคามี ละสังโยชน์ ๕ ข้อต้นได้หมด
    พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ

    อ้างอิง
    <!-- Pre-expand include size: 0/2048000 bytesPost-expand include size: 0/2048000 bytesTemplate argument size: 0/2048000 bytes#ifexist count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:27505-0!1!0!!th!2 and timestamp 20080109153025 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C".
    หมวดหมู่: พุทธศาสนา
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อยู่อย่างไร? เมื่อเกิดวิกฤตศรัทธาในตัวเจ้านาย

    การเป็นเจ้านายให้เป็นจึงต้องอาศัยทั้งศาสตร์คือ ความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ตนเองเป็นเพื่อให้ลูกน้องยอมรับในความรู้ และมีศิลปะในการผูกใจลูกน้อง นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน ขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ใจต้องซื้อด้วยใจ ใจต้องแลกด้วยใจเท่านั้น เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียงที่หาให้นั้น ได้มาก็ดี แต่ดีที่สุดคือต้องให้ได้ใจ

    http://share.psu.ac.th/blog/thi2/3136

    มีน้องชายที่แสนดีคนหนึ่งส่งบทความนี้มาให้อ่านเมื่อนานมากแล้ว เลยอยากให้ทุกๆ คนได้อ่านกัน

    อยู่อย่างไร? เมื่อเกิดวิกฤตศรัทธาในตัวเจ้านาย
    โดย ถนอมจิต คงจิตต์งาม 25 พฤศจิกายน 2549 11:37 น.
    1 วันมี 24 ชั่วโมง
    แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือน ต้องบอกว่า เกือบ 24 ชั่วโมงนั้นยกให้ที่ทำงาน ยิ่งถ้านับเวลาเดินทางเข้าไปด้วย ต้องใช้เวลาอยู่กับที่ทำงานมากกว่าครอบครัวเสียอีก

    </PRE>

    ถึงจะเป็นมนุษย์ที่ขี้เกียจเป็นที่สุด แต่เช้าขึ้นมาก็ต้องตะเกียกตะกายออกไปทำงาน เพราะขืนไปไม่ทันเดี๋ยวโดนไล่ออกได้ บางคนพ่อแม่จะตายยังต้องภาวนาให้ประวิงเวลาสิ้นลมไว้


    ก่อน เพราะยังทำงานให้บริษัทไม่เสร็จ
    </PRE>
    คนที่โชคดีที่สุดในยุคนี้คือ ได้อยู่ในที่ทำงานที่แวดล้อมด้วยตัวการงานที่พอใจ มีเพื่อนร่วมงานที่ดี มีเจ้านายที่มีคุณสมบัติให้ลูกน้องรักใคร่ศรัทธา คืออยู่ในที่ทำงานแล้วมีความสุข


    </PRE>
    ในที่ทำงาน "เจ้านาย"เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรามาอยากทำงานหรือไม่เพราะเป็นผู้มีอิทธิพลที่ดลบันดาลให้สถานที่ทำงานอันใหญ่โตหรูหรากลายเป็นโรงงานนรกและสามารถแปรเปลี่ยนลูกน้องให้มีสภาพเป็นทาสได้ภายในพริบตา

    </PRE>
    ดิฉันได้ฟังเรื่องราวประเภทลูกน้องนินทานายมาโดยตลอด เป็นการพาดพิงแบบครบรส มีทั้งชื่นชม ชิงชัง ออกแนวขบขัน ผสมขมขื่น มากน้อยต่างกันไปตามแต่ละองค์กร

    </PRE>
    น้องๆ ในแวดวงสื่อมวลชนแอบนินทาหัวหน้าข่าว ว่าไม่เคยสั่งงาน ไม่เคยอ่านข่าวฉบับอื่น มาสายเป็นประจำ ไม่เคยรู้เลยว่าชาวบ้านเขาไปถึงไหนกันแล้ว ไม่เคยช่วยพัฒนาทั้งงานเขียน ทั้งตัวนักข่าว ไม่เคยสนใจว่าคนที่อยู่ในพื้นที่เดือดร้อนเพราะการเขียนข่าวแบบเอามันส์ของหัวหน้า

    </PRE>
    เพื่อน ๆ พี่ ในแวดวงข้าราชการสุดเซ็งกับเจ้านายที่ได้ตำแหน่งมา เพราะมีคุณสมบัติแค่อาวุโส เข้าทำนอง แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน อยู่ในวังวนของความเฉื่อยชา เชื่องช้า
    แล้วเรียกตัวเองว่าเป็นคนสุขุม ไปประชุมที่ไหน ลูกน้องแทบจะเอาปี๊บคลุมหัว อับอายวิสัยทัศน์แต่ละอย่างที่เอ่ยเอื้อนออกมา นั่งเป็นหลับ ขยับเป็นกิน

    </PRE>
    ส่วนความยุติธรรมไม่ต้องพูดถึง เกิดมาไม่เคยรู้จัก รู้แต่รักใคร ชอบใครดีจริงหรือไม่ ไม่สำคัญ เลื่อนขั้นให้ไว้ก่อน

    </PRE>
    ส่วนพวกภาคเอกชนก็ยอมน้อยหน้า เอาแต่ดัชนีเคพีไอขึ้นสมอง คิดแต่ตัวเลขขาดทุน กำไร มองเห็นคนเป็นแค่เครื่องจักรปั๊มเงิน ไม่เคยเรียนรู้คำอื่นนอกจากการตั้งคำถามไล่บี้ลูกน้องว่าทำไม ทำไม แต่ไม่เคยถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกัน

    </PRE>
    ออกกฎกติกามารยาทนับร้อย นับพันข้อให้ปฏิบัติ ราวกับอยู่กันในยุคที่มนุษย์ยังใช้หัวคิดเองไม่เป็น

    </PRE>
    มาสายเพราะน้ำท่วมซอย กินข้าวเที่ยงกลับช้าไม่กี่นาทีถูกตัดเงิน แต่พอถึงปีบอกโบนัสคิดไม่ทัน ส่วนเงินเดือนเศรษฐกิจไม่ดีปีนี้ให้รอก่อน

    </PRE>
    บริษัทจน ผู้บริหารรวยเอา รวยเอา ถอยป้ายแดงเป็นว่าเล่น ลูกน้องบริษัทประเภทนี้ เลยมีบุคลิกเหมือนกันคือต้องแลบลิ้นเลียปาก อาศัยน้ำลายช่วยป้องกันเหงือกแห้ง ปากแห้ง

    </PRE>
    ในบรรดาประเภทที่ว่ามา มนุษย์เงินเดือนสรุปกันว่ายังไม่ร้ายเท่ากับ เจ้านายที่เห็นลูกน้องเป็นคู่แข่งของตัวเอง

    </PRE>
    สมัยโบราณ เมื่อมีการทำศึก แม่ทัพก็ต้องมีขุนพลคู่ใจที่เชี่ยวชาญด้านต่างๆ คือต้องเก่งกาจชนิดหาจับยาก รบร้อยครั้งถึงจะชนะร้อยครั้ง

    </PRE>
    รู้ว่ามีนักปราชญ์ราชบัณฑิต คนดี มีปัญญาอยู่ที่ไหน จะต้องส่งเทียบเชิญมาไว้เป็นที่ปรึกษา จะได้ไม่ต้องไปตั้งต้นเรียนด้วยตนเองทุกเรื่อง แค่รู้จักใช้คนให้เป็นก็เพียงพอแล้ว

    </PRE>
    โลกเปลี่ยนไป วิธีคิดของคนกับผู้ใต้บังคับบัญชาก็เปลี่ยนไปด้วย


    </PRE>
    ให้สังเกตดูว่า เจ้านายสมัยนี้ มีหน้าที่หลักอยู่ 2 อย่างคือคอยจับผิดกับคอยโยนความผิดให้ลูกน้อง

    </PRE>
    มีลูกน้องเก่งๆ ระดับดอกเตอร์ชั้นหัวกะทิกลับกลัวจะดังกว่า คอยนั่งจับผิด ไปไหนทำอะไร ขอดูตารางเวลาให้ละเอียด จะพูดอะไรที่ไหนห้ามเด็ดขาด กลัวพูดแล้วดีกว่า เดี๋ยวเข้าตากรรมการมากกว่า

    </PRE>
    แทนที่จะเรียนรู้วิธีสร้างต้นรักให้ลูกน้องจงรักภักดี ยอมเอาความรู้ที่มีมาทำงานให้ตัวเอง มัวแต่เอาเวลาไปคอยจับผิด เข้าทำนองเห็นลูกน้องนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ส่งเอ็มเอสเอ็น ก็หาว่าอู้งาน แทนที่จะคิดว่าเขาฉลาดรู้จักเรียนรู้โลกภายนอก รู้จักใช้การสื่อสารที่ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา

    </PRE>
    แทนที่จะคิดทางบวกจะใช้เขาให้เหมาะกับงานอย่างไร กลับใช้อำนาจวาสนาบารมีคอยเหยียบย่ำทำลายให้ย่อยยับ

    </PRE>
    ในชีวิตแต่ละคนล้วนต้องมีลูกน้องทั้งนั้น จะเป็นยาม เป็นภารโรงก็ยังต้องมีผู้ช่วยในสังกัดซึ่งคือลูกน้อง

    </PRE>
    การเป็นเจ้านายให้เป็นจึงต้องอาศัยทั้งศาสตร์คือ ความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ตนเองเป็นเพื่อให้ลูกน้องยอมรับในความรู้ และมีศิลปะในการผูกใจลูกน้อง

    </PRE>
    นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน ขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้บริหารที่จะประสบความสำเร็จต้องมีทีมงานเบื้องหลังที่เป็นกระบี่มือหนึ่งในแต่ละสาขาถึงจะทำอะไรได้สำเร็จ

    </PRE>
    ใจต้องซื้อด้วยใจ ใจต้องแลกด้วยใจเท่านั้น เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียงที่หาให้นั้น ได้มาก็ดี แต่ดีที่สุดคือต้องให้ได้ใจ

    </PRE>
    ดิฉันโชคดีได้ทำงานใกล้ชิด คนที่มีวุฒิภาวะเพียงพอ เลยมีโอกาสได้เห็นตัวอย่างดีดี ได้วิธีคิดที่ไม่มีสอนในตำรามากมาย เช่น เมื่อมีข้อผิดพลาดในองค์กร คนแรกที่ต้องผิดคือเจ้านาย
    ถ้าเป็นภาคเอกชน ภาคธุรกิจ เจ้าของคือคนแรกที่ผิด แค่ลูกน้องพูดไม่ดีกับลูกค้า เจ้าของก็ผิดแล้ว คือผิดที่ไม่รู้จักสั่งสอนเด็ก

    </PRE>
    ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง เจ้านายต้องเป็นฝ่ายผิดเสมอ ต้องคิดแบบเจ้าของไม่ใช่ลูกน้องทำผิดก็กล่าวหาว่าเป็นเพราะเรียนน้อย ด้อยสติปัญญา ต้องจับดองไว้ใต้ถุนแผนก

    </PRE>
    หน้าที่ของเจ้านายคือช่วยอำนวยความสะดวกในทุกวิถีทางให้ลูกน้องทำงานได้สำเร็จ ติดขัดตรงไหนต้องช่วยจัดการ ไม่ใช่มองข้อเสนอของลูกน้องเป็นข้อกล่าวหา

    </PRE>

    แทนที่จะมองเป็นการแสดงความเห็น กลับกลายเป็นมองว่าพูดเพื่อเรียกร้อง
    </PRE>

    คำสามคำที่ดิฉันจำแม่น และถูกฝังหัวมาตลอดให้ปฏิบัติกับคนอื่น คือ น้ำใจ น้ำคำ น้ำเงิน
    </PRE>
    ต้องมีน้ำใจกับลูกน้อง ถามไถ่ทุกข์สุข ครอบครัวเขาเป็นอย่างไร มีลูกกี่คน ลำบาก หรือสับสนในชีวิตแค่ไหนต้องใส่ใจ

    </PRE>
    มีน้ำใจอย่างเดียวไม่พอ ถ้าเป็นลูกหลานในบ้านคิดแค่ครั้งสองครั้งก็พูดได้ แต่ก่อนพูดกับลูกน้อง ต้องคิดสามตลบ ชมเชยต้องให้คนอื่นได้ยิน ตำหนิต้องเชิญมาให้คำแนะนำกันสองต่อสอง อาศัยฐานของความเมตตาเป็นที่ตั้ง

    </PRE>
    เหนือสิ่งอื่นใด ต้องดูแลเรื่องน้ำเงิน ไม่ใช่เอาแต่พูดจาดีหลอกล่อใช้งานจนหัวปักหัวปำ เป็นทาสในเรือนเบี้ย ทำงานมาหลายสิบปีจนแก่งั่ก ที่นอนยังไม่มีให้ซุกหัว เจ็บป่วยเป็นไข้เงินจะรักษาตัวยามตกทุกข์ก็ยังไม่มี

    </PRE>
    แต่ละปีคุยอวดสื่อกำไรเป็นร้อยล้านพันล้าน กะอีแค่จะเอาเศษเงินหลักล้านมาแบ่งให้ลูกน้องบ้างเถียงกันเป็นปี กลัวสบายน้อยลง

    </PRE>
    ศาสตร์แห่งการใช้คน ต้องยกให้นักการเมือง สังเกตไหม แม้จะแก่เฒ่า เรียนต่ำเรียนสูงไม่สำคัญ แต่เก่งในเรื่องศิลปะการครองใจคน มีที่ปรึกษาระดับดอกเตอร์ชั้นหัวกะทิ เดินตามหลังเต็มไปหมด

    </PRE>
    การมีคนหนุ่มที่ยอมซูฮกคนแก่ด้วยความนับถือในประสบการณ์ ศรัทธาในคุณธรรมนั่นแหละคือศิลปะการใช้คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
    ฟังความแล้วเลยสงสาร เพื่อนพ้องน้องพี่ที่ต้องอยู่ในวังวนของคนที่สักแต่ว่า มีตำแหน่งให้เรียกว่า เจ้านาย จะว่าเป็นเจ้านายป้ายแดง ประเภทมือใหม่หัดขับก็ไม่ใช่ เพราะตัวเลขอายุก็ไม่ใช่น้อย มีประสบการณ์ผ่านงานกันมาแล้วทั้งนั้น

    </PRE>
    แต่เป็นเจ้านายมือไม่ถึงเสียมากกว่า ไม่ถึงทั้งศาสตร์ทั้งศิลป์ และคุณธรรมเบื้องต้น รู้ว่าควรทำอะไรก็ไม่สนใจศึกษา แต่ดิฉันว่า การศึกษายังน้อยกว่า คุณธรรมเบื้องต้นที่มีอยู่ในตัว

    </PRE>
    คนเราไม่มีหลักธรรมนำทาง คิดเท่าไหร่ ก็เดินเป๋ไปเป๋มา เหมือนแม่ปู ทำอะไรก็เป็นไม้หลักปักเลน เป็นแก่นให้ใครเกาะไม่ได้ ขืนใครไปยึดเข้าก็พากันซวนเซไปหมดอย่างเดียว ขาดภาวะผู้นำอย่างรุนแรง

    </PRE>
    หากเราเป็นลูกน้อง ก็คงยากจะไปจัดการ ต้องให้เป็นการบ้านของผู้บริหารที่สูงกว่า เขาอยากได้องค์กรปู คือเป๋ไปเป๋มา ก็เรื่องของเขา ส่วนเราคนตัวเล็กๆ ก็ต้องหัดคิดเพื่อสุขภาพจิตที่ดีของตัวเองว่า
    เจอเจ้านายไม่ดี ถือว่าเรามีโอกาสให้แสวงหา ให้เรียนรู้ ดูเป็นตัวอย่าง

    แต่ถ้าเจอเจ้านาย เข้าท่า ให้ถือว่ามีครูดี
    </PRE>

    ทุกคนต้องเป็นทั้งเจ้านายคนอื่นและเป็นเจ้านายตัวเองทั้งสิ้น
    </PRE>
    ท่านพุทธทาสสอนไว้ ไม่ให้ยึดติดกับสิ่งที่เป็น แต่เมื่อถึงคราวต้องเป็นอะไรก็แล้วแต่ "ต้องเป็นให้เป็น"

    </PRE>
    เมื่อศรัทธาเจ้านายไม่ได้ ก็อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปอย่างไร้ความหมาย คนอื่นจะเป็นอย่างไรเรื่องของเขา หันมาทำตัวเองให้น่าศรัทธาก็พอ

    </PRE>
    วลาของคนเรามีน้อย อย่าต่อสู้และต่อต้านในสิ่งที่เสียเวลา ตัวอย่างมีให้เห็น เลือกเป็นในแบบที่เราศรัทธา

    </PRE>
    วันหนึ่ง เมื่อเราเป็นเจ้านาย ประวัติศาสตร์จะได้ไม่ซ้ำรอยให้ลูกน้องมานั่งนินทาลับหลัง... แบบที่เรากำลังว่าเขานี่ไง

    </PRE>
    หมวดหมู่: บริหารทรัพยากรมนุษย์
    คำสำคัญ: วิกฤตศรัทธา
    สร้าง: จ. 07 ม.ค. 2551 @ 09:50 แก้ไข: จ. 07 ม.ค. 2551 @ 11:35 ขนาด: 23061 ไบต์
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาต่อความเห็นที่ผมคิดว่าดีนะครับ
    นำมาฝากทุกคน รักทุกคนครับ

    http://share.psu.ac.th/blog/thi2/3136

    2. คนข้างหลัง
    เมื่อ จ. 07 ม.ค. 2551 @ 12:42
    9217 [ลบ]


    อยู่อย่างไร? เมื่อเกิดวิกฤตศรัทธาในตัวเจ้านาย
    ตอบ
    เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
    จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
    เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
    ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย

    จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว
    อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
    เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเอย
    ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริงฯ
    หัวข้อธรรมในคำกลอนขอท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ
    วิธีนี้ใช้เป็นประจำคะ ลองดูก้ได้นะคะ..ช่วยได้จริงๆ


    ************************************************

    7. Ikkyu
    เมื่อ จ. 07 ม.ค. 2551 @ 15:36
    9309 [ลบ]


    หึ...
    สำหรับในวงราชการหรือผู้รับราชการ เรื่องนี้อาจจะพูดลำบากหน่อย แต่ถ้าเป็นเอกชนหรือพนักงานเอกชน ผู้ว่าจ้างหรือเจ้านายเขามีสิทธิ์เลือกลูกจ้าง แต่ลูกจ้างจะมีสิทธิ์เลือกเจ้านายได้ถ้าลูกจ้างคนนั้นมีดีจริง เพราะจะมีหลายเจ้านายที่ต้องการตัวลูกจ้างที่มีดี เคยฟังคำบรรยายของ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ กล่าวว่าการไปสมัครงาน เวลาเราโดนสัมภาษณ์งานให้เราถือโอกาสนั้นดูวิสัยทัศน์ของผู้ที่จะมาเป็นหัวหน้าเราซะเลย โดยการสัมภาษณ์กลับ ถามคำถามที่ต้องการรู้ไปเลย ทดสอบอารมณ์ กึ๋น กันตอนนั้น เวลาตัดสินใจที่จะเลือกเข้าทำงานจะได้เจอคนที่เราจะเป็นผู้ตามได้ด้วยใจที่ศรัทธา
    http://www.managerroom.com


    ส่วนพระบรมราโชวาทของในหลวงกับการทำงาน

    กับเพื่อนร่วมงาน

    ไม่ใช่แค่คำว่าทำงานร่วมกัน...
    อยู่ร่วมกันไม่น้อยกว่าวันละชั่วโมง...ทุกวัน...
    ไม่เพียงแต่พูดคุยกันเรื่องงาน...หากแต่จะต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อกันด้วย...
    แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด...
    สู้ปล่อยตัวให้สบายสบาย...พบกันถือว่ามีวาสนาต่อกัน...
    อยู่ร่วมกันก็ยิ่งควรจะ...เข้าใจ...ให้อภัย...และใส่ใจซึ่งกันและกัน...

    กับหัวหน้า


    บางครั้งก็เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง
    เขามักจะมาต่อว่ามากกว่าจะมายอมรับ
    สิ่งที่เขาให้ทำก็มักจะเหมือนกับว่าไม่รู้จักจบสิ้น
    หากลองกลับกันให้เราไปอยู่ในตำแหน่งที่เขายืนอยู่
    เราคงจะเข้าใจเขาได้ง่ายหน่อยและให้อภัยเขาได้
    กับหัวหน้า...ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคู่ปรับกัน
    แต่ต้องรู้จักที่จะแบ่งปัน....เรียนรู้....และเติบโตไปด้วยกัน


    [I]กับลูกน้อง[/I]
    [CENTER][CENTER][CENTER]
    [FONT=Tahoma][/FONT]
    [LEFT][COLOR=#0000ff][FONT=Tahoma][B]เป็นเพราะรู้จักให้[/B][B]ผลตอบแทนก็กลับมามากกับลูกน้อง[/B][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#0000ff][FONT=Tahoma][B]ไม่ใช่เป็นความสัมพันธ์[/B][B]เฉพาะเบื้องบนกับเบื้องล่างเท่านั้น[/B][/FONT][/COLOR]
    [FONT=Tahoma][COLOR=#0000ff][B]ยังมีความสัมพันธ์ทางด้านหุ้นส่วนอยู่ด้วย[/B][/COLOR][/FONT]
    [FONT=Tahoma][COLOR=#0000ff][B]รู้จักเข้าใจและให้อภัยซึ่งกันและกัน[/B][/COLOR][/FONT]
    [FONT=Tahoma][COLOR=#0000ff][B]หากรู้จักยอมรับมากกว่าที่จะจับผิด[/B][/COLOR][/FONT]
    [FONT=Tahoma][COLOR=#0000ff][B]ให้รอยยิ้มมากกว่าสายตาอันตำหนิติเตียน[/B][/COLOR][/FONT]
    [FONT=Tahoma][COLOR=#0000ff][B]ผลตอบแทนที่ทั้งสองฝ่ายจะได้รับก็จะยิ่งมากตามไปด้วย[/B][/COLOR][/FONT][/LEFT]
    [FONT=Tahoma][/FONT]
    [LEFT][FONT=Tahoma][/FONT]
    [FONT=Tahoma][/FONT]
    [COLOR=#0000ff][FONT=Tahoma][B]. . . [/B][B]คนไม่มีความสุจริต[/B][B]คนไม่มีความมั่นคง[/B][B]ชอบแต่มักง่าย[/B][/FONT][/COLOR]
    [FONT=Tahoma][COLOR=#0000ff][B]ไม่มีวันจะสร้างสรรค์ประโยชน์ส่วนรวมที่สำคัญอันใดได้[/B][/COLOR][/FONT]
    [FONT=Tahoma][COLOR=#0000ff][B]ผู้ที่มีความสุจริตและความมุ่งมั่นเท่านั้น[/B][/COLOR][/FONT]
    [COLOR=#0000ff][FONT=Tahoma][B]จึงจะทำงานสำคัญยิ่งใหญ่ที่เป็นคุณเป็นประโยชน์แท้จริงได้สำเร็จ[/B][B].[/B][B].[/B][B].[/B][/FONT][/COLOR]
    [B][FONT=Tahoma][COLOR=#0000ff][/COLOR][/FONT][/B]
    [FONT=Tahoma][COLOR=#0000ff].[/COLOR][/FONT][/LEFT]
    [/CENTER][/CENTER][/CENTER]​
    [CENTER][CENTER][/center][/center]​
    [CENTER][/CENTER]

     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. Vilaiwanna

    Vilaiwanna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +145
    Have you done with the second one on Jan. 12th ???
     
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    555555... อีกหิ้ง ผมยังไม่ได้จัดครับ เนื่องจากวันเสาร์ ๕ ที่ผ่านมาติดงานหลายวัด จะหาฤกษ์พรหมประสิทธิ์ภายในช่วง ๒ เดือนนี้อีกครั้งครับ
     
  19. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    เรือ่งการถวายสังฆทานว่ากันแต่เรื่องจำนวน คนที่ผมรู้จักคนหนึ่ง(เป็นอาจารย์สอนวิชาศาสนาและปรัชญา)มักพูดเสมอว่าเวลาไปถวายสังฆทาน ต้องนิมนต์พระมารับให้ครบ 4 รูปนะ ไม่งั้นจะไม่ถือว่าเป็นสังฆทาน เพราะคำว่าสงฆ์นั้นต้องครบ 4 ผมก้ฟังนะ แต่เวลาผมไปถวายสังฆทานทีไรก็มักจะถวายองค์เดียวทุกครั้ง เพราะไม่ชอบกำหนด ชอบสะดวกว่างั้นเถอะ และถือว่าเราตั้งใจทำ เราทำแล้วก็ถือว่าใช้ได้

    มาอ่านที่คุณหนุ่มลงไว้เรื่องสมมุตติสงฆ์
    ๑.๒ สมมติสงฆ์ในแง่พระธรรม หมายเอาพระภิกษุ แม้เพียงรูปเดียวที่ผ่านการอุปสมบทโดยถูกต้อง

    ผมก็ว่าที่ผมทำก็น่าจะถูกต้องแล้วนะ(ตามข้อมูลเพียงที่มีอยู่ขณะนี้)

    โมทนาสาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2008
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในความคิดเห็นของผม คณะสงฆ์ประกอบด้วยพระภิกษุตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป

    การถวายสังฆทาน ควรจะถวายให้กับคณะสงฆ์ และไม่เจาะจง แต่หากการถวายสังฆทานให้กับพระสงฆ์รูปเดียว ไม่น่าจะเป็นการถวายสังฆทานนะครับ

    ไว้รออ่านในพระไตรปิฎกกันน่าจะดีกว่า พระไตรปิฎกเป็นบรรทัดฐานให้ได้แน่นอนครับ

    ผมเองเวลาที่ถวายสังฆทาน ผมจะนิมนต์พระสงฆ์ 5 รูปเสมอครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...