พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอบคุณที่เข้าใจครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ชาวต่างประเทศ(อย่างที่อเมริกา หรืออังกฤษ หรือฮ่องกง หรือไต้หวัน หรือญี่ปุ่น) เดี๋ยวนี้ห้อยพระสมเด็จเนื้อปัญจสิริกันเยอะ ในอเมริกา มีการบูชา(เช่า)กันองค์ละ 1,000 เหรียญสหรัฐ แต่หลายๆคนในประเทศไทยยังงมงาย ไม่รู้เรื่องกันเลย

    พูดไปเดี๋ยวโดนข้อหา โปรโมตอีก พอแค่นี้นะครับ

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 22 คน ( เป็นสมาชิก 7 คน และ บุคคลทั่วไป 15 คน ) </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+, bomphu, chai wong, kwok+, Vilaiwanna, พุทธันดร+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ท่านสมาชิกทั่วไป มากันเยอะนะครับ ขอให้อ่านให้มีความสุข ตักตวงความรู้กันไปนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    A-nu-mo-tha-na-sa-dhu..

    "Wisdom"(extend from inside to outside) is opposit to "Wisky"(made someone lack of wisdom)
    I appretiated to ask you two questions. If you have some information, please share us some idea.

    1)Most expatriate faith Lunagpu Boromkru Dhep Loke Udon is exist or not?

    2)Some expatriate hold "Phra Sondej Bhanjasiri" one of the Wang-Na's votive tablets. Which kind of your Wang-Na's votive tablet?

    thanks
     
  5. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    <TABLE class=tborder id=post904067 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] วันนี้, 04:29 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #13385 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_904067", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 04:43 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    อายุ: 42 ปี
    ข้อความ: 2,416 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 15,575 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 24,102 ครั้ง ใน 2,476 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2666 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_904067 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Vilaiwanna [​IMG]
    My brother in Bkk. also said that some Thais don't believe that LP. Thep Loke Udon is exist but my family believe in him anyway.
    I have to apologize to khun Sithiphong thinking that he has
    a store. A-nu-mo-ta-na-sa-tu in your kind heart.
    Actually, I just came back from Bkk. 3 weeks ago.
    I went home to offered "phra-ka-tin" for a small temple in
    Suphanburi.
    We are trying to raise fund to build "phra wi-harn" for the temple.
    We were lucky enough to get more than 300,000 baht in donations.
    The kindness from the donors was very much appreciated and anumotanasatu to all of them.
    We still need much more $$$$$$$.
    Anyway, the Abbot of the temple is very strongly believes in LP. Thep Loke Udon.
    I am very fortunate to have a few of his votive tablets and
    I cherish each and everyone of them.
    Good day to everybody; I have to go to bed now.
    It past midnight here already.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    A-nu-mo-tha-na-sa-dhu..

    "Wisdom"(extend from inside to outside) is opposit to "Wisky"(made someone lack of wisdom)
    I appretiated to ask you two questions. If you have some information, please share us some idea.

    1)Most expatriate faith Lunagpu Boromkru Dhep Loke Udon is exist or not?

    2)Some expatriate hold "Phra Sondej Bhanjasiri" one of the Wang-Na's votive tablets. Which kind of your Wang-Na's votive tablet?

    thanks
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เรื่องที่ผมพิมพ์ และคุณหนุ่มพิมพ์นี่เวลาใกล้เคียงกัน และเป็นเรื่องเดียวกันเลยนะครับ เหมือนถูกบังคับให้เขียนอธิบายเรื่องนี้เลยนะครับ..ทางเมืองนอกคนที่รู้เรื่องเขาจะห้อย"พระสมเด็จปัญจสิริ"กันมาก เพราะเขาใช้ในลักษณะของการบำบัดด้วยสี(colour healing)ด้วย ตามจักระของร่างกาย เป็นการนำ"สีของปัญจสิริ" ไปรักษาโรคตามจักระที่มีสีต่างๆ เรียกว่าเข้าใจนำอิทธิคุณของพระเครื่อง ไปใช้ในศาสตร์แห่ง New Age
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2008
  6. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เอ้ย...ผมอึ้งเลยคุณตั้งใจจาบอกอารายเนี่ย อ้อ ......สาธุครับ ผิดกติกาไปซ้ำรอยกับน้องท่านหนึ่ง คนเดียวมี2ชื่อครับ สาธุด้วยครับ(deejai)
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%...haipattana.gif

    [​IMG]

    สัญญาอนุญาต
    <TABLE class=boilerplate id=pd style="BORDER-RIGHT: #8888aa 2px solid; PADDING-RIGHT: 5px; BORDER-TOP: #8888aa 2px solid; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 5px; BORDER-LEFT: #8888aa 2px solid; WIDTH: 80%; PADDING-TOP: 5px; BORDER-BOTTOM: #8888aa 2px solid; POSITION: relative; BACKGROUND-COLOR: #ffffdd" align=center><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]

    [​IMG]
    </TD><TD>นี่คือภาพ ธง หรือ ตราสัญลักษณ์ ของหน่วยงาน ที่มีลิขสิทธิ์
    การนำเสนอภาพธง หรือ ตราสัญลักษณ์ใด ๆ ในบทความของวิกิพีเดีย อาจถือได้ว่าเป็นการใช้งานโดยชอบธรรม (fair use) ตามบทบัญญัติของกฎหมายลิขสิทธิ์สหรัฐอเมริกา การใช้ภาพธง หรือ ตราสัญลักษณ์นี้มิได้หมายความว่าได้รับการรับรองโดยองค์กรของวิกิพีเดียหรือมูลนิธิวิกิมีเดีย ดู วิกิพีเดีย:เครื่องหมายและสัญลักษณ์ และ วิกิพีเดีย:ลิขสิทธิ์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ประวัติไฟล์

    กดเลือก วัน/เวลา เพื่อดูไฟล์ที่แสดงในวันนั้น
    <TABLE class=filehistory><TBODY><TR><TD></TD><TH>วันที่/เวลา</TH><TH>ผู้ใช้</TH><TH>ขนาด</TH><TH class=mw-imagepage-filesize>ขนาดไฟล์</TH><TH>ความเห็น</TH></TR><TR><TD>(ปัจจุบัน)</TD><TD>09:57, 2 เมษายน 2550</TD><TD>Pi@k (พูดคุย | หน้าที่เขียน)</TD><TD>100x148</TD><TD class=mw-imagepage-filesize>10 กิโลไบต์</TD><TD>ตราสัญลักษณ์ มูลนิธิชัยพัฒนา จาก [http://www.chaipat.or.th/chaipat/noframe/thai/symbols.html]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%...B8%99%E0%B8%B2

    มูลนิธิชัยพัฒนา
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    [​IMG]
    มูลนิธิชัยพัฒนา (The Chaipattana Foundation) เป็นมูลนิธิซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำริให้จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และโครงการพัฒนาอื่นๆเพื่อช่วยเหลือประชาชนในด้านเศรษฐกิจ และสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้
    การดำเนินงานของมูลนิธิชัยพัฒนา จะเน้นกิจกรรมเพื่อการพัฒนาที่ไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการของรัฐที่มีอยู่แล้ว แต่จะพยายามสนับสนุน ส่งเสริม และ ประสานงานให้โครงการต่างๆ เกิดความสมบูรณ์และสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเฉพาะในกรณีที่โครงการของรัฐถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขของระเบียบต่างๆ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ทันที เช่นในกรณีที่อาจต้องจัดซื้อที่ดินจากราษฎรบางส่วน แต่รัฐมีปัญหางบประมาณ หรือถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขของระเบียบต่างๆ มูลนิธิชัยพัฒนาจะช่วยเหลือตามความเหมาะสม เพื่อให้โครงการนั้นดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนเริ่มแรกในการจัดตั้งมูลนิธิชัยพัฒนา และผู้มีจิตศรัทธาได้ทูลเกล้าฯ ถวายสมทบ
    มูลนิธิชัยพัฒนาก่อตั้งเมื่อ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๓๑ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่๑๐๕ ตอนที่ ๑๐๙ วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำรงตำแหน่งนายกมูลนิธิ ด้วยพระองค์เอง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงดำรงตำแหน่งองค์ประธานบริหารมูลนิธิ โดยมี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นเลขาธิการมูลนิธิ

    [แก้] อ้างอิง <!-- Pre-expand include size: 0/2048000 bytesPost-expand include size: 0/2048000 bytesTemplate argument size: 0/2048000 bytes#ifexist count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:33241-0!1!0!!th!2 and timestamp 20080102024724 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2".
    หมวดหมู่: โครงการตามแนวพระราชดำริ

    http://www.chaipat.or.th/chaipat/index.php?option=com_content&task=view&id=13&Itemid=64

    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellSpacing=1 cellPadding=1 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​



    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellSpacing=1 cellPadding=1 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดำริให้จัดตั้ง “มูลนิธิชัยพัฒนา” โดยทรงดำรงตำแหน่งเป็นนายกกิตติมศักดิ์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธาน เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนในลักษณะของการดำเนินงานพัฒนาต่างๆ ในกรณีที่ต้องถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขของกฎเกณฑ์ ระเบียบ หรืองบประมาณที่ระบบราชการไม่สามารถดำเนินการได้ทันที จนเป็นเหตุให้การแก้ไขปัญหาไม่สอดคล้อง หรือทันกับสถานการณ์ที่จำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องกระทำโดยเร็ว การที่มูลนิธิชัยพัฒนาเข้ามาดำเนินการเช่นนี้ ส่งผลให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง รวดเร็วฉับพลัน โดยไม่ตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัดใดๆ ทั้งสิ้น อาจกล่าวได้ว่าการดำเนินงานของมูลนิธิชัยพัฒนาเป็นการช่วยให้กระบวนการพัฒนาเกิดความสมบูรณ์ขึ้น


    </TD></TR></TBODY></TABLE>





    “…ชัยชนะของประเทศนี้ โดยงานของมูลนิธิชัยพัฒนานั้นก็คือ ความสงบ ... เป็นเมืองไทยที่มีความเจริญก้าวหน้า จนเป็นชัยชนะของการพัฒนาตามที่ได้ตั้งชื่อ มูลนิธิชัยพัฒนา ชัยของการพัฒนานี้มีจุดประสงค์ คือ ความสงบ ความเจริญ ความอยู่ดีกินดี…”



    (พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 4 ธันวาคม 2537)


    มูลนิธิชัยพัฒนาได้รับการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นมูลนิธิและมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามเลขทะเบียนลำดับที่ 3975 ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2531 และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 105 ตอนที่ 109 วันที่ 12 กรกฎาคม 2531
    นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้ประกาศให้มูลนิธิชัยพัฒนาเป็นองค์การสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ 169 ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2531 และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่105 ตอนที่ 152 วันที่ 16 กันยายน 2531

    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellSpacing=1 cellPadding=1 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]
    </TD><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    1. เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและโครงการพัฒนาอื่นๆ

    2. เพื่อส่งเสริมการพัฒนาสงเคราะห์และช่วยเหลือประชาชนในด้านเศรษฐกิจและสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และให้สามารถช่วยตัวเองและพึ่งตนเองได้

    3. ดำเนินการใดๆ อันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติเป็นส่วนรวม

    4. ร่วมมือกับส่วนราชการและองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือดำเนินการเพื่อเน้นในการสนับสนุนสาธารณประโยชน์

    5. ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมือง

    เป้าหมาย

    เป้าหมายที่สำคัญคือ เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชนให้มีความร่มเย็นเป็นสุข และอยู่ดีกินดี อันจะนำไปสู่ความมั่นคงของประเทศ คือ “ชัยชนะแห่งการพัฒนา






    [​IMG]

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์นายกกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิชัยพัฒนา ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดแบบตราสัญลักษณ์ พร้อมทั้งความหมายด้วยพระองค์เอง และได้พระราชทานเป็นเครื่องหมายประจำมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งประกอบด้วย
    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellSpacing=1 cellPadding=1 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>พระแสงขรรค์ชัยศรี มีความหมายถึง พระราชอำนาจ พระบารมีและกำลังแผ่นดินที่จะ ฟันฝ่าให้เกิดการดำเนินการต่างๆ อันเป็นผลไปสู่ความมั่นคงแห่งพระราชอาณาจักร

    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>ธงกระบี่ธุช เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะในการต่อสู้ เพื่อป้องกันอาณาประชาราษฎร์ และพระราชอาณาจักรให้พ้นภยันตรายทั้งปวงและประสบความสำเร็จในการต่อสู้นั้น</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>ดอกบัว มีความหมายถึง ศักดิ์ศรี ความสงบร่มเย็น ความเจริญงอกงามและความบริบูรณ์แห่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร และบรรดาทรัพยากรทั้งปวงอันจะนำไปสู่ความอยู่ดีกินดี และความสงบสันติสุขของประชาชนโดยทั่วหน้ากัน</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>สังข์ มีความหมายถึง น้ำที่จะสร้างความชุ่มชื้น ชโลมแผ่นดินให้เกิดความอุดมสมบูรณ์และความร่มเย็นเป็นสุข
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​



    <!-- / message --><!-- attachments -->
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.chaipat.or.th/chaipat/index.php?option=com_content&task=view&id=20&Itemid=58

    [​IMG]

    การบริจาคสมทบมูลนิธิชัยพัฒนา

    1. บริจาคโดยโอนผ่านทางธนาคาร ดังนี้


    - บริจาคสมทบมูลนิธิชัยพัฒนา

    ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยสวนจิตรลดา ชื่อบัญชี มูลนิธิชัยพัฒนา
    บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 067-2-00011-9


    - บริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคใต้

    ธนาคารทหารไทย สาขาสนามเสือป่า ชื่อบัญชี กองทุนบูรณะฟื้นฟูภาคใต้

    บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 046-2-40205-8


    - บริจาคสมทบวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก

    ธนาคารทหารไทย สาขาตรีเพชร ชื่อบัญชี มูลนิธิชัยพัฒนา (สร้างวัดพระราม 9)
    บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 092-2-01722-3


    2. บริจาคเป็นธนาณัติ / ตั๋วแลกเงินไปษณีย์


    กรุณาสั่งจ่าย มูลนิธิชัยพัฒนา
    ปณ. จิตรลดา กรุงเทพมหานคร 10303



    กรณีโอนเงินผ่านทางธนาคาร : ใคร่ขอความกรุณาผู้บริจาคนำสำเนาใบโอนเงิน
    พร้อมเขียนชื่อ - ที่อยู่ พร้อมเบอร์ติดต่อกลับอย่างชัดเจน
    ส่งกลับมาที่ โทรศัพท์ 0-2282-4425-8 และ 0-2282-3338
    โทรสาร 0-2282-3339



    หมายเหตุ จำนวนเงินที่บริจาคสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้ภายในปีที่บริจาค

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.chaipat.or.th/chaipat/ind...ntact&Itemid=3

    ติดต่อมูลนิธิ
    <TABLE class=contentpane cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">สำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%"></TD></TR><TR><TD><TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD></TD><TD vAlign=top align=right rowSpan=2>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width=40 rowSpan=6>[​IMG] </TD></TR><TR><TD vAlign=top>อาคาร 608 สนามเสือป่า </TD></TR><TR><TD vAlign=top>ถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต </TD></TR><TR><TD vAlign=top>กรุงเทพ ฯ </TD></TR><TR><TD vAlign=top>ประเทศไทย </TD></TR><TR><TD vAlign=top>10300 </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=left width=40>[​IMG] </TD><TD>โทรศัพท์ : 0-2282-4425 </TD></TR><TR><TD align=left width=40>[​IMG] </TD><TD>Fax. : 0-2282-3339 </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD colSpan=2>ดาวโหลดข้อมูลเป็น วีการ์ด </TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    ส่งขอความหาเราได้ที่นี้:

    <FORM id=emailForm name=emailForm action=index.php?option=com_contact&Itemid=1 method=post target=_top>กรุณาใส่ชื่อคุณ:
    <INPUT class=inputbox size=30 name=name>
    กรุณาใส่อีเมล์ของคุณ:
    <INPUT class=inputbox size=30 name=email>
    หัวข้อ:
    <INPUT class=inputbox size=30 name=subject>

    ข้อความที่ต้องการติดต่อ:
    <TEXTAREA class=inputbox name=text rows=10 cols=50></TEXTAREA>
    <INPUT type=checkbox value=1 name=email_copy> สำเนาข้อความนี้ไปยังอีเมล์คุณ

    <INPUT class=button onclick=validate() type=button value=ส่งข้อความ name=send>
    <INPUT type=hidden value=com_contact name=option></FORM></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ********************************************

    สามารถเข้าไปติดต่อมูลนิธิชัยพัฒนาที่เว็บไซด์มูลนิธิชัยพัฒนาได้ตามลิงค์ที่ให้มาได้นะครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.firstbuddha.com/Buddha/dharma3.html

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE class=webbody cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width=749 height=33>
    การชำระหนี้สงฆ์ <!-- #EndEditable -->​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top><!-- #BeginEditable "detail" -->

    [​IMG]
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี
    หลวงพ่อสอนให้ลูกศิษย์ และญาติโยมรู้จักชำระหนี้สงฆ์ และแนะนำให้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์พร้อมทั้งนำ เกร็ดความรู้ที่ได้ ประสบมาเล่าให้ฟัง เพื่อจะเป็นประโยชน์ ต่อท่านทั้งหลายจะได้นำประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง อีกทั้งจะได้เป็นเครื่องป้องกัน ตัวเอง และผู้อื่นไม่ให้กระทำความชั่วต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับของพระ สงฆ์อีก ท่านเล่าในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า
    "ของทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่า เป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว จะเป็นสิ่งของ หรือวัตถุเครื่องใช้อะไรก็ตาม จะมีราคามาก หรือน้อยก็ตาม ผู้ที่นำไปใช้โดยพละการหรือทำสิ่งของเหล่านั้นเสียหาย จะต้องนำสิ่งของเหล่านั้น มาทดแทน ให้เหมือนเดิม ไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้ล่วงละเมิด ลงสู่อเวจีมหานรกได้โดยง่าย"
    อย่างวัดร้างที่ปรากฏว่า เป็นที่ดินเปล่า ไม่มีฐานะแสดงว่า เป็นวัด หรือบางแห่งแสดงฐานะว่า เป็นวัดแต่อยู่ในป่าในดงหรือ วัดที่มีฐานะอยู่ก็ตาม เราจะนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้นเป็นของสงฆ์หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้ เป็นสมบัติ ส่วนตัวละก็ ถือว่า ซวยขนาดหนัก แบบนี้ มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์ เคยตกนรกขั้นขุมที่ 7 มาแล้ว ขุมนี้หนักมาก รองจาก อเวจีมหานรก เพราะอะไร เพราะ บุกรุกที่ดินของวัด ถึงแม้จะไม่มีเจตนาโกง วัดก็เป็นวัดร้าง แต่ไม่รู้ว่า เป็นวัดร้าง แค่นี้ก็ ตกนรกขุมที่ 7 จะมาอ้างว่าไม่รู้ไม่ เจตนาไม่ได้ มีความผิดหมด หรือว่า มีไม้ลอยมาหน้าบ้าน เราเห็นว่า ไม่มีเจ้าของ เอาเข้ามาทำฟืน แต่ถ้าไม้นั้นมาจากวัด ก็เป็นไม้ของสงฆ์ไปเอาเข้ามันก็บาป ต้นหญ้าต้นฝาง ที่มันอยู่กลางทุ่งสถานที่นั้นอาจ จะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้ เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่า สภาพของวัดมันสูญไป ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมด แม้แต่แผ่นดิน ก็ยังเป็นของสงฆ์ เราไปเอาต้นไม้ต้นเดียวมาก็บาป แล้วโทษของสงฆ์ หนักมาก เรียกว่า ขั้นอเวจีขั้นเดียว มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี
    หลวงพ่อปานท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์ว่า ใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ด้วยจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม เอามารวมกัน แล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์ คือ วัดร้างที่ปรากฏมีเป็นวัดก็ตาม หรือไม่ปรากฏเป็นวัดก็ตาม วัดที่มีพระก็ตาม วัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตามไม่รู้ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้น ย่อมไม่ทราบค่าราคาของ ถือว่าเป็นของเล็กน้อย ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงินเท่านี้ ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควร ก็ขอให้พร้อมกัน ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลาย ไม่ เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่ ถ้าพระหมดสาธุพร้อมกัน เป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี ท่านบอกว่า ค่อย ๆ ทำไป เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องหนัก
    ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นสิทธิของสงฆ์ที่พึงใช้ จะใช้ได้ก็ต้องเอาเงินจำนวน นั้นไปใช้ในการก่อสร้าง หรือบำรุงสงฆ์ ท่านทั้งหลาย อาจสงสับว่า ของต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ดี วัสดุเครื่องใช้ต่างๆ ก็ดี หรือต้นไม้ใบหญ้าก็ดี ของที่อยู่ในวัดทั้งหมด ถ้าหากรื้อหรือนำไปใช้แล้ว เกิดชำรุดเสียหาย ทำไมเราจะต้องสร้างแทนของเดิม ทั้งนี้เพราะทรัพย์สินต่างๆ ที่เขาสร้างไว้ในวัด เขาไม่สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้างถวายบูชาพระพุทธเจ้า คำ ว่าของสงฆ์นี่น่ะ ต้องหมายถึง พระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นของส่วนกลาง ไม่มีใครหรอกที่จะถือสิทธิ์ว่า เป็นของฉันจะมาชี้ว่า สมบัตินี้เป็นของฉัน เป็นของส่วนตัว ถ้าทำอย่างนั้น จะต้องลงนรกหมด เรื่องนรกนี้ เขาไม่เว้นใครหรอก
    ของในวัดก็เหมือนกัน ถ้าพระองค์ใดปลูกไว้ถ้าเขาสึกแล้วก็ตามเขาตายแล้วก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ถ้าว่าเขาตาย หรือสึกไปแล้ว พระองค์ใดองค์นหนึ่ง จะถือเป็นทายาทกันเองก็ดี ใช้เองก็ดี ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว เวลาจะกินจะใช้ต้องประชุมสงฆ์ ต้องลงมติอนุมัติจึงถือว่าไม่เป็นโทษ
    ก็มีตัวอย่างเรื่องหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ มีพระองค์หนึ่ง ชื่อ พระอาจารย์ทิม สำหรับอาจารย์ทิมนี่ รุ่นเดียวกัน อยู่ที่สุพรรณบุรี เป็นนักก่อสร้าง พระองค์นี้เป็นพระดีมากระเบียบวินัยก็ดี เจริญสมถภาวนาก็ดี แต่ว่าโทษมันมีอยู่อย่างหนึ่งแกป่วยครั้งหลังสุด กำลังก่อสร้างโบสถ์ สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี หมอเขาบอกว่า ต้องต้มยาหม้อในราคา 60 บาท ท่านก็เลยขอยืมเงิน ที่เขาสร้างโบสถ์ก่อน ฉันหายแล้ว เวลาใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะใช้คืน
    พอปี 2508 ดันตายเสียได้ "ไอ้เงิน 60 บาท ดันเป็นพิษ พระทิมไปนั่งจ๋อที่นักพระยายม" เวลาทุ่มเศษๆ กำลังนอน สบายๆ เห็นเทวดาองค์หนึ่ง เป็นพวกวชิระ มายืนปลายเท้า กราบ กราบ
    ถามว่า "มาทำไม" เขาบอกว่า "ท่านใหญ่ให้นิมนต์ไปพบครับ"
    เลยบอกว่า "แกไปข้างหน้าฉันตามไป"
    ตามไป หน่อยเดียวแกบอกว่า "เดี๋ยว ผมต้องไปตามอีก 2 องค์ แกไปตามอีก 2 องค์ "
    เราก็ตรงไปพอถึงก็พบท่านทิม อยู่ที่ สำนักพระยายม จึงถามว่า "ไง....มานั่งอยู่ที่นี่เล่า"
    แกก็บอกว่า "เป็นหนี้สงฆ์อยู่ 60 บาท "
    ถามว่า "คนอย่างแกเป็นหนี้สงฆ์ด้วยเรอะ" แกบอก "เป็นหนี้ตอนใกล้ตาย เพราะหมอที่สั่งยามาให้ แต่ไม่มีเงิน ทุ่มเทเอาไปสร้างโบสถ์หมด ไอ้เงินส่วนตัวจริงๆ นี่เรียกว่า ตามอัธยาศัยมันไม่เหลือ ก็เอาเงินส่วน นี้เขาไปซื้อยา "
    จึงเข้าไปถามลุง (พระยายม) ถามลุงว่า "ยังไงนี่"
    ลุงบอกว่า "ยังไม่ว่าไง เดี๋ยวค่อยว่า คอยอีกสององค์ก่อน ยังไม่สอบสวน "
    ถ้าสอบสวนไม่ได้ ของสงฆ์นี่หนักมาก ปิดปากเลย ถ้ากรรมดีละก็หนัก ปิดปาก กระเบื้องอันเดียวกันปิดปากเลย เรื่องบุญนี่ พูดไม่ได้เลย
    พออีกสององค์ไปถึงเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เรียกอาจารย์ทิมเข้าไปถามว่า "ท่านเองเงินสงฆ์ไปใช้ 60 บาท ใช่ไหม" ท่านตอบว่า "ใช่" ไปใช้เพื่ออะไร" บอกว่า "มันป่วย หมอเขาสั่งยามา "
    จิตคิดอย่างไร" จิตคิดว่า ถ้าใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะชำระหนี้สงฆ์ แต่นี่ยังไม่ทันชำระใช่ไหม" แกตอบว่า "ใช่" แล้วท่านถามว่า "จะว่าอย่างไร" ท่านบอกว่า "ไม่มีเรื่องจะว่า"

    ลุงพุฒ ท่านก็หันมาถามพวกเราว่า "ท่าน 3 องค์จะว่าอย่างไร" บอกว่า "ยังมีเรื่องว่าอยู่" "ว่ายังไงล่ะ" "ทำอย่างพระองค์นี้จะต้องไปเป็นพรหม เขาได้ฌานสมบัติ ควรจะไปเป็นพรหม"
    ท่านก็เลยบอกว่า "เวลาตายก่อนจะดับจิต อารมณ์อยู่ในฌานฌานยังตั้งไม่ได้"
    เลยถามว่า "ไอ้เรื่องนี้พอจะอภัยกันได้ไหม"
    ท่านก็เลยบอกว่า "ของสงฆ์อภัยให้กันไม่ได้ มันต้องชำระหนี้สงฆ์"
    ก็บอกว่า "ต้องสร้างพระพุทธรูป 1 องค์ หน้าตัก 12 นิ้ว"
    เราเลยบอกว่า "เรื่องเล็ก เอาสัก 10 องค์ก็ยังได้" ท่านบอกว่า "องค์เดียวพอ"
    แล้วพระอีกสององค์ท่านก็รับไปคนละองค์ รวมเป็น 3 องค์ เราบอกว่า "อย่างนี้ ฮ้อ ตกลง" ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไปได้ตามผลของความดี"
    ตอนนั้นเลยบอกกับท่านทิมว่า "อย่าเพิ่งไป อยู่ที่นี่ก่อน"
    ถามลุงว่า "การสอบสวนขอพักเดี๋ยวได้ไหม"
    ท่านบอกว่า "ได้" เราก็เลยบอกท่านทิมว่า "จำอารมณ์หนึ่งได้ไหม"
    เขาถามว่า "อะไรล่ะ" ก็เลยบอกว่า "เอกัคคตารมณ์กับอุเบกขาน่ะ" บอก "จำได้" "จำได้ก็ขอไปตามนั้น"
    นั่นมันฌาน 4 ท่านทิม เลยไปเป็นพรหมชั้นที่ 11 ถ้าไปตอนนั้น ก็ไปด๊อกแด๊ก อยู่แค่ กามาวจร ต้องช่วยกระตุกตรงนี้ มัน พ้นตอนที่เรารับปากจะให้ อารมณ์ที่ปิดปากอยู่ก็หมด ลุงพุฒ แกตั้งใจช่วยเลยให้คนมาตาม ไม่ได้ตั้งใจคอยใคร ขนาดมาตามเลยนะ ที่ตามก็มีพระอยู่ 2 องค์ อีกองค์หนึ่ง เป็นพระอยุธยาหนุ่ม เลยละองค์นั้น ตอนนั้น ฉันก็อายุสัก 40 กว่าๆ องค์ที่ อยู่อยุธยา ก็อยู่ในเกณฑ์ 30 เศษๆ แต่ไม่รู้ว่า วัดไหน รูปร่างสูงๆ ดำๆ อีกองค์หนึ่ง รูปร่างหน้าตาดี ไม่รู้อยู่วัดไหน เวลาไป ตามก็มี 3 องค์ เลยเล่นกำไรเสียเลย พระพุทธรูป 12 นิ้ว กับคนที่จะไปพรหม ราคามันไม่เท่ากันใช่ไหม เราสร้างพระ 12 นิ้วเดี๋ยวเดียว ไอ้คนที่บำเพ็ญบารมีเป็นพรหม มันง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ
    คราวนี้มันก็มีปัญหาอยู่ว่าทำไมท่านจึงเจาะจงมาเอาฉันไปช่วย ถ้าลงได้เป็นแบบนี้ละก้อจะต้องเป็นเครือเดียวกันเป็นพวก เดียวกัน เดินทางแนวเดินกัน อาจารย์ทิมกับฉันรู้จักกันมานาน ตั้งแต่ ตอนบวชอยู่ใหม่ๆ ส่วนอีก 2 องค์ไม่รู้ว่า เขารู้จักกัน มาเมื่อไหร่ แต่ทั้งสององค์นั้น บ้าๆ บวมๆ เหมือนกัน เงินส่วนตัวไม่มี ฉันถามอีกองค์หนึ่ง ที่รูปร่าง หน้าตาดี ๆ บอกว่า อยู่สิงห์บุรี จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจ ถามถึงปฏิปทา เขาก็บอกว่า ผมกับท่าน บ้า ๆ บวมๆ เหมือนกัน สตางค์ไม่เหลือ อาจารย์ ทิม ก็บ้าเหมือนกัน แต่ดันบ้าตายก่อน มันจะลงนรก เราให้ลงไม่ได้ ทีนี้วิธีกระตุ้นๆ นิดเดียว ถ้าบอกว่า อาจารย์ทิม เริ่มนั่งเข้าฌานละก็ซวยเลย ใครจะไปเข้าฌานได้ยังไง เขาต้องถามถึงอารมณ์ เดิมนิดเดียว ถามว่าจำอารมณ์หนึ่งได้ไหม เอกัคคตา กับ อุเบกขา
    บอกจำได้เท่านี้ก็พอแล้ว จำได้เป็นฌาน 4 สภาพก็เป็นพรหม ตัวแกก็เป็นพรหมแจ๋ว เลยบอกไปตามอัธยาศัย ข้าจะกลับวัด เดี๋ยวลูกศิษย์ข้าคอย ที่เล่าให้ฟังนี่ มันเป็นเรื่อง ของผู้ที่ไม่มีเจตนาโกงเงินสงฆ์ ไอ้พวกที่มีเจตนาโกง ไม่มีทางช่วย เรี่ยไร มา 10 บาท เอาของเขาไปใช้ 9 บาท 90 สตางค์ อีก 10 สตางค์ ก็เอาเข้ากระเป๋าอย่างนี้ ลงอเวจีมหานรก
    ของสงฆ์นี่ แม้แต่กระเบื้องแตก ๆ ก็เก็บไม่ได้ ของที่สงฆ์เขาไม่ใช้ แล้วเห็นว่า มันดีนี่เอาไปบ้านหน่อย อย่างนี้ เอวังตกดัง ตูม อเวจี และก็มีอีกเรื่องหนึ่ง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในสมัยของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระวิปัสสีทศพลสมัย พระวิปัสสีนั้น มีพระอยู่ 4 องค์ เวลานั้น ข้าวยาก หมากแพง ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล ข้าวที่บ้านเขาอาจจะมีมาก แต่ว่าข้าวที่วัดมีน้อย พระพวกนั้นมีเพื่อนมาหาข้าวที่จะกินเข้าไปมัน ไม่พอข้าวส่วนตัวไม่มี ก็มีข้าวสารของสงฆ์ ไปนำข้าวสารของสงฆ์มา เมื่อได้ข้าวสารของสงฆ์มาคนละทะนานแล้ว ก็มาหุง เลี้ยงเพื่อนคิดในใจว่า ถ้าเราได้ข้าวสารมาใหม่เราก็จะชำระหนี้สงฆ์ คือว่าเราจะใช้หนี้ให้ แต่ในเมื่อยังไม่ทันจะใช้หนี้พระ 4 องค์นั่นก็ตาย ตายทั้ง ๆ ที่ยังมีเจตนาว่า จะชำระหนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ชำระ
    ตายแล้วไปไหน ปรากฏว่า ไปไหม้อยู่ในอเวจีมหานรก สิ้นพันปีนรก เมื่อพ้นจาก อเวจีมหานรกแล้ว ก็ตกนรกบริวารผ่านมา 4 ขุมแล้วก็ยมโลกีนรกอีก 10 ขุมมาเป็นเปรต เปรตนี้จัดเป็น 12 ระดับ ระดับที่ 1 ถึงระดับที่ 11 ไม่มีโอกาสจะได้โมทนา บุญของชาวบ้านที่ทำให้ ระดับที่ 12 ที่เรียกว่า ปรทัตตูปชีวิเปรต ตอนนั้นมีโอกาสในระหว่างที่เป็นเปรตระดับที่ 1 ถึงที่ 11 ก็พบพระพุทธเจ้าหลายองค์
    ถามท่านว่า เมื่อไหร่ข้าพระพุทธเจ้าจะได้กินข้าว กินน้ำเสียที เห็นน้ำเข้าวิ่งไปน้ำก็หายกลายเป็นทะเลเพลิง เห็นข้าวอยากจะกิน วิ่งเข้าไป ก็ปรากฏว่า เป็นทรายแล้วก็เป็นไฟลุก กินไม่ได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ก็ทรงพยากรณ์ว่า เมื่อไรพระพุทธ เจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม อุบัติขึ้นในโลก ในตอนนี้แหละญาติของเจ้าชื่อว่า พระเจ้าพิมพิสารจะบำเพ็ญกุศลแล้ว เธอหมดทุกคน ได้รับโมทนา ก็จะพ้นทุกเวทนาเสียที เปรตทั้งหลายเหล่านั้นคอยกันมานาน
    จนกระทั่ง เมื่อพระพุทธเจ้า ทรงอุบัติ พระเจ้าพิมพิสารถวาย พระเวฬุวันมหาวิหาร แล้วก็ถวายทาน แก่พระพุทธเจ้า พร้อม ด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด เมื่อถวายทานแล้ว ก็ไม่ได้กรวดน้ำ ไม่ได้กรวดซีเพราะไม่รู้ ตอนนั้นมันเป็นการทำบุญคร้งแรกยังไม่ รู้ว่า ทำบุญแล้วกรวดน้ำกันได้ผล
    เปรตทุกคนที่คอยอยู่ ก็นั่งตั้งท่าจะโมทนา เห็นพระเจ้าพิมพิสารไม่กรวดน้ำให้ ก็เดือดร้อน กลางคืนเข้ามา ในพระราชนิเวศน์ พระเจ้าพิมพิสาร ก็ไม่เห็นตัว เป็นพระโสดาบัน แต่ท่านไม่เห็นตัว ก็เลยร้อง เมื่อร้องขึ้นมา พระเจ้าพิมพิสารก็ตกใจ แปลกใจว่า เสียงอะไรไม่ทราบมาร้องกึกก้อง ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสาร ตกใจในตอนเช้าก็ไปหาพระพุทธเจ้าไปถามว่าเมื่อ คืนนี้ไม่รู้เสียงอะไร มันร้องกรี๊ดกร๊าดๆ ในพระราชฐาน ไม่เคยได้ยิน
    พระพุทธเจ้าก็เล่าความนั้นให้ทราบ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เปรตเป็นญาติของพระองค์ต้องการโมทนาบุญ เมื่อวานนี้พระองค์ทรงทำบุญแล้ว ไม่ได้กรวดน้ำอุทิศให้ คำว่า อุทิศ แปลว่า เจาะจง นะอุทิศนี่นะ เขาแปลว่า เจาะจงให้เฉพาะ พระเจ้าพิมพิสาร จึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด ไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์ ตอนนี้เมื่อพระพุทธเจ้า ฉัน เสร็จก่อนจะโมทนา พระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำ
    ใช้คำว่า อิทังโนญา ตีนังโหตุ แปลเป็นใจความว่า ขอผลทานนี้ จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า เท่านี้นะละ การกรวดน้ำ ครั้งแรกเปรตทั้งหลายเหล่านั้น ตั้งท่าคอยอยู่แล้ว ได้รับโมทนา เมื่อได้โมทนา แล้วร่างกายทิพย์หมด มีความอิ่มเอิบ มีความสวยสดงดงาม ร่างกายเทวดา แต่ว่า เป็นเทวดาชีเปลือย ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีผ้านุ่ง เพราะอะไร เพราะว่า ในสมัย ก่อนเมื่อจะตาย ไม่ได้เคยทำบุญ ถวายผ้าผ่อน ท่อนสไบ ไว้ในพุทธศาสนา เมื่อร่างกายสวย แต่ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีกางเกง นี่มันก็แย่เหมือนกันก็เดือดร้อน ตอนกลางคืนจึงเข้ามาหาพระเจ้าพิมพิสาร แสดงตัวให้ปรากฏ แต่ว่าตอน ยืนน่ะ สงสัยนะว่า จะยืนหันหลังให้ คงไม่ยืนหันหน้าหรอก คงจะอายเหมือนกัน พระเจ้าพิมพิสาร แปลกใจว่า คนอะไรสวยก็สวย แต่แก้ผ้าไม่มีเสื้อไม่มีผ้า
    ตอนเช้าไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า พวกเปรตพวกนั้นแหละเป็นเทวดา แต่ไม่เคยถวาย ผ้าไตรจีวรไว้ใน พุทธศาสนา เพราะอาศัยบารมีที่พระองค์ให้อาหารเป็นทาน เขาก็มีแต่ร่างกายสวยงามผ้าจึงไม่มี พระเจ้าพิมพิสาร ถามว่า ทำไมเขาจึงจะได้ผ้า ท่านก็บอกว่าต้องถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็อุทิศส่วนกุศลให้เขาจะได้เครื่อง ประดับอันเป็นทิพย์ พระเจ้าพิมพิสารก็ทำอย่างนั้นแต่ พอได้เครื่องประดับแล้ว เทวดาก็มาแสดงตัวให้ปรากฏแล้วนับตั้งแต่ วันนั้นเป็นต้นมา ก็เลยไม่รบกวนอีก
    นี่เล่าถึง เรื่องของสงฆ์ ให้ฟังนะว่า มีเจตนาขอยืม ยังมีโทษขนาดนี้ แต่ถ้าหากว่า เราไปเอามา โดยไม่ขอยืม มันจะมีโทษ ขนาดไหน
    และอีกเรื่องหนึ่ง กากะเปรต สมัยที่เกิดเป็น กา แย่งข้าวในขันที่เขานำไปจะถวายพระ ข้าวสุกนั้นเขา นำไปยังไม่ถึงพระ ยังไม่ใช่ของสงฆ์ จะถือว่าเป็นของชาวบ้านก็ไม่ได้ เพราะเขาตั้งใจถวายสงฆ์แล้ว กรรมเล็กน้อยเพียงเท่านี้ตายแล้วไปลง อเวจี แล้วถามมาเกิดเป็น เปรต
    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ คนที่กินข้าวที่พระอนุญาตแล้วทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ
    หลวงพ่อ : "ถ้าอาหารที่พระให้ ต้องเป็นของที่ญาติโยมถวายเฉพาะองค์นั้นไม่มีโทษแน่ แต่ที่เป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอาหาร ที่ เขาถวายเป็นส่วนกลาง คือ เป็นของสงฆ์ ของสงฆ์นั้นพระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระ องค์นั้น เป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์ ตัวอย่างของสงฆ์เช่น อาหารวันพระที่มี ข้าวใส่บาตรเหลือมากๆ แล้ว ทายกใส่ถ้วยเอาไปบ้าน โดยที่คณะสงฆ์ ไม่มีส่วนรู้เห็น อย่างนี้ แม้แต่เจ้าอาวาสเอง ยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง
    บางทีกินอาหาร ที่พระฉันเหลือ ถ้าพระอนุญาตแล้ว ไม่มีโทษ (สำหรับญาติโยมที่ไปในงาน ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร) แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉย ๆ บางท่านก็ขอเอาดื้อๆ ให้หรือไม่ให้ก็ตาม ออกปากขอ แล้วยกไปเลย พระยังไม่ทันอนุญาต ท่านทายกประเภทนี้ ท่านช่วยยก คนที่กินกับท่าน ลงอเวจีแบบสะดวก เมื่อจะขอต้องดูว่า อาหารมาก ไหมถ้ามากจนเหลือเฟือ ก็ขอให้พระท่านให้ ตามความพอใจของท่าน เพราะท่านอาจจะมีกังวล นำอาหารไปให้ใคร ที่ท่าน มีภาระต้องเลี้ยง ถ้าถือเอาตามความพอใจ ก็ต้องถือว่า แย่งอาหารจากพระมีโทษ 100 เปอร์เซ็นต์
    และ อาหารถวายพระพุทธรูป ก็เหมือนกัน อาหารประเภทนี้ ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจี สะดวก สบายมาก อาหารที่เขานำมาวัด เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์ การนำไป ถวายพระพุทธรูปนั้น เป็นความดี เพราะเป็น พุทธานุสสติ ด้วย เป็น พุทธบูชา ด้วย แต่อาหารประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้มาก เพราะ พระพุทธรูป ไม่ได้ฉัน ท่านจะฉัน หรือไม่ฉัน ก็ตาม อาตมาคิดว่า ทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน หลายวัดหรือส่วนใหญ่ ทายกมักจะเอาอาหารดีๆและมากๆ ไปทุ่มเทถวาย พระพุทธรูป
    เมื่อพระฉันเสร็จแล้วต่างก็ยกเอามากิน ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก ทายก ทายิกาได้ เฉพาะอาหารที่เหลือเดนจากพระฉันเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเอง เป็น "ลูกศิษย์พระพุทธรูป" แต่ประการ ใด
    รวมความว่า ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น คือ ของในวัดทุกประเภท ที่เขาภวายเป็นของสงฆ์แล้ว แม้แต่ ดอกไม้ ผลไม้ ในวัด เศษไม้ที่คิดว่า ทำอะไร ไม่ได้แล้ว เอามาทำฟืนบ้าง ทำอย่างอื่น เล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างจง อย่าคิดว่า ไม่ทำบาป แม้แต่ เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์ มีผลเสมอกัน เว้นไว้แต่ ดอกไม้ ผลไม้ ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัดถ้าท่านเจ้า ของยังอยู่ในเขตวัดนั้น และท่านอนุญาต อย่างนี้เอามาได้ไม่บาปด้วย ท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ ให้ได้ รับมาได้ ไม่มีโทษ ถ้าท่านผู้ปลูก ออกไปจากวัดนั้น หรือตายไปแล้ว ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง ไปเอามา มีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์
    และอีกประการหนึ่ง วัดร้างที่ไม่มีพระอยู่ แต่มีสภาพเป็นวัด ถ้าเราไปนำมานิดเดียว แม้แต่ต้นหญ้าต้นเดียว เขาถือว่า เป็น หนี้สงฆ์ อันนี้อันตรายมาก สมัย หลวงพ่อปาน ท่านก็แนะนำ ให้คนชำระหนี้สงฆ์ บาทสองบาท สลึงสองสลึง บางคน ไม่มี เงิน เอามาทำงานแทน ทำอะไรก็ได้ ไม่บังคับ คือ ดายหญ้าก็ตามไม่เอา ค่าแรง"
    ผู้ถาม : "แล้วเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์มีความเป็นมาอย่างไรครับ..?"
    หลวงพ่อ : "เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ฉันไปที่ศรีราชาญาติโยมเขาถามเรื่องชำระหนี้สงฆ์ ถ้าหลายๆชาติมาเราไม่รู้อะไรมาบ้าง ถามว่า จะถามอย่างไร ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พอตอบไม่รู้ ก็เห็นพระ ท่านลอยมา ท่านบอก "ถ้าจะชำระให้ครบถ้วน เป็น เงินเท่าไรก็ไม่พอให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก 4 ศอก"
    พระหน้าตัก 4 ศอก ถือว่า เป็นพระประธานมาตรฐาน ท่านบอกว่า "พระพุทธรูปนี่ ไม่มีใครตีราคาได้ ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์ที่แล้วๆมาถือเป็นการหมดไป"
    ฉันพูดแล้ว ก็กลับมาวัด ต่อมาพวกนั้น ก็ถามใหม่ว่า "สร้างพระองค์เดียวได้คนเดียวหรือกี่คน" ฉันก็ไม่รู้อีก ซิ ก็นึกถึงท่าน ท่านก็มาใหม่ ท่านก็บอกว่า
    "ถ้าไม่ปิดทองได้คนเดียว ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ"
    คำว่า "คณะ" หมายความว่า บุคคลหลายคนก็ได้ ตัดบาปเก่า ถ้าสร้างใหม่ เอาอีกนะ สร้างหนี้ใหม่ต่อ เป็นหนี้ใหม่ เหมือน กันนะ
    ผู้ถาม : "ถ้าหากถามว่า เรามีสตางค์น้อย แล้วถวายพระจะได้ไหมครับ...?
    หลวงพ่อ : ถ้าเรามีสตางค์น้อยๆ ก็ใส่ซองเขียนหน้าซองว่า ชำระหนี้สงฆ์" คือว่า ไม่ได้จำกัด ทำไปเรื่อย ๆ ให้สบายใจ บาท สองบาทตามกำลังที่จะพึงทำได้ เขาไม่ได้เกณฑ์ว่า จะสร้างพระนี่ เขาถามก็บอก ท่านมาบอก อัตรานี้โละกันเลยนะคือ ไม่ ใช่จะเกณฑ์ให้สร้างพระ เพราะทุนไม่พอใช่ไหม เราก็ทำไปเรื่อย ใจสบาย
    มีสตางค์รับเงินเดือนมาทีทำ 5 บาท ใส่ซองถวายพระบอก "ขอชำระหนี้สงฆ์" ท่านไม่รู้ท่านใช้ผิดท่านลงนรกเองไม่ต้อง ห่วง ถ้าไปกินเป็นส่วนตัวละเรียบร้อย
    เงินชำระหนี้สงฆ์ มันมีค่ากว่า เงินสังฆทาน และวิหารทาน
    ถ้าไปใช้เป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องใช้เป็นส่วนกลางอันตรายกับพระ แต่ช่างท่านเถอะ ถ้าบวชแล้วอยากโง่ให้ลงนรกไปใช่ไหม"
    ผู้ถาม : " ถ้ามีญาติโยม เอาเงินไปถวายพระ แต่พระก็เอาเงินไปปลูกบ้านบ้าง ให้ญาติโยม ไปออกดอก ออกช่อบ้าง อยาก ทราบว่าผลบุญที่ลูกได้ทำแล้ว จะมีอนิสงฆ์สมบูรณ์แบบ หรือไม่เจ้าคะ...? "
    หลวงพ่อ : "เขาถวายเป็นของสงฆ์ใช่ไหม เขาถวายเข้าไปในวัดใช่ไหม แล้ววัดไม่ได้ทำอะไร แต่คนใน วัดเอาไปปลูกบ้าน เงินนั้นไปที่อื่นใช่ไหม เขาถวายอานิสงส์ มันได้ตั้งแต่ถวาย มีอานิสงส์ครบถ้วน นั่นเขา ครบ 100 เปอร์เซ็นต์เลยนะ คนอื่น เอาไปใช่ไหม อย่าไปยุงกับเขาเลยนะ
    อานิสงส์ได้ ตั้งแต่เริ่มให้ ยิ่งให้ ก็ยิ่งอานิสงส์หนักขึ้น เวลาให้ต้องให้ด้วยตนเองใช่ไหม ขณะที่พระรับก็เกิด ธรรมปีติอิ่มใจ อานิสงส์มันเพิ่ม แต่ว่าคนที่นำเอาไปใช้พิเศษ คนนั้นลงอเวจีแน่"
    คัดมาจากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับพิเศษ และหนังสือสมบัติ พ่อให้
    ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี


    http://www.firstbuddha.com/Buddha/dharma3.html

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นอกจากการบริจาคให้กับมูลนิธิชัยพัฒนาแล้ว องค์กรการกุศลอื่นๆที่ทำประโยชน์กับประเทศชาติก็สามารถบริจาคได้ เช่นสภากาชาดไทย ,โรงพยาบาลสงฆ์ ,วัดพระบาทน้ำพุ ฯลฯ หรือการบริจาคเลือดก็ได้เช่นกันครับ

    เดี๋ยวจะถูกต่อว่ามาอีกว่า ลงแล้วไม่ค่อยจะบอกอะไรต่อ เรื่องนี้สามารถบอกกันได้

    ท่านที่มีพระวังหน้าหรือพระกรุวัดพระแก้ว ควรจะชำระหนี้แผ่นดินคืนนะครับ แล้วกรวดน้ำ(น้อมถวายบุญกุศล , ถวายบุญกุศล และอุทิศบุญกุศล)ให้กับองค์ผู้อธิษฐานจิต ,พระองค์ท่านที่มีพระราชดำรัสหรือพระบัณฑูรให้สร้างพระพิมพ์ ,ช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าและวังหลวง ,ท่านผู้มีส่วนในการสร้างพระพิมพ์ทุกๆท่าน ,เจ้าของเดิมของพระพิมพ์หรือวัตถุมงคล ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ ,และประชาชนทั้งหลายที่ท่านเหล่านั้นที่เป็นผู้ที่จ่ายภาษีให้กับรัฐครับ

    ผมเองบอกได้แต่เพียงว่า ผมรอดตัวแล้ว ผมถือว่าได้บอกกล่าวกันแล้ว ท่านผู้อ่านจะทำหรือไม่ทำก็แล้วแต่ตัวท่านเอง

    โมทนาสาธุครับ
    .
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m5/web/hungtoom/p23.php

    วาสนา – บารมี


    วาสนา ตามความหมายของพจนานุกรม ฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 กล่าว่า วาสนา หมายถึง บุญบารมี, กุศลที่ทำให้ได้รับ หรือลาภยศ ซึ่งสอดคล้องกับความหมายของ สมพร เจริญพงศ์ (2544 : 457) ได้ให้ความหมายไว้ว่า วาสนา หมายถึง คุณความดีที่สั่งสมมา, สิ่งที่ฝังอยู่ในใจ, ความรู้ความความประพฤติที่เกิดติดมาจากชาติก่อน บุญบาปที่อบรมมา จริยาที่ประพฤติจนเคยชิน กุศลให้ถึงซึ่งยศศักดิ์ อำนาจ และเธียรชัย เอี่ยมวรเมธ (2544 : 1058) ก็ให้ความหมายคล้ายกัน โดยจำแนกออกเป็นข้อ ๆ ดังนี้

    1. กุศลที่ทำให้ได้ลาภยศ : คนที่มีวาสนา
    2. ความรู้ที่ได้มาจากชาติปางก่อน
    3. ผลบุญหรือบาปที่อบรมมาก่อน
    4. กุศลอันที่ทำให้เกิดโชคลาภ : มีโชควาสนา/ไม่มีโชควาสนา

    จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า วาสนาก็คือ บุญกุศล ความรู้ที่สะสมไว้ทั้งในชาติปางก่อนและในปัจจุบัน ซึ่งจะตอบสนองต่อบุคคลที่ได้สะสมไว้มากน้อยตามแต่อัตภาพ วาสนาจึงมีลักษณะคล้ายกับผลของกรรม และบารมีที่สะสมไว้และจะตอบสนองในเวลาต่อมา

    บารมี คือคุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจะหมายอันสูงยิ่ง มี 10 ประการคือ

    1) ทานบารมี (บารมีจากการให้ทาน)
    2) ศีลบารมี (บารมีจากการประพฤติศีล)
    3) เนกขัมมบารมี (บารมีจากการออกบวช, การปลีกออกจากกาม)
    4) ปัญญาบารมี (บารมีจากการมีปัญญา)
    5) วิริยะบารมี (บารมีจากความเพียร)
    6) ขันติบารมี (บารมีจากความอดทน)
    7) สัจจบารมี (บารมีจากการมีสัจจะ)
    8) อธิษฐานบารมี (บารมีจากความตั้งใจมั่น)
    9) เมตตาบารมี (บารมีจากความเมตตา) และ
    10) อุเบกขาบารมี (บารมีจากความอุเบกขา)

    (พระธรรมปิฎก. 2543 : 136)

    พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญบารมีมาถึง 10 ชาติ จนพระชาติสุดท้ายคือ พระเวสสันดร ได้ทรงบำเพ็ญทานบารมี จึงได้บรรลุพระอรหันต์สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระชาติต่อมา
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  14. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969

    คิดถึงพี่ตุ่นจัง
     
  15. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    <!-- currently active users --><TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 16 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>nongnooo, :::เพชร:::, chai wong, mail2wissnu, พุทธันดร</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขออนุญาต ท่าน ปา-ทาน ครับ
    หวัดีครับ คุณวิษณุ สบายดีมั้ยครับ ทุกอย่างคงไปด้วยดีนะครับ
    nongnooo...
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พิมพาภรณ์ [​IMG]
    แหม..เกือบจะเป็นเซียน มีแผงพระซะแล้วสิหนุ่ม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผมก็คิดถึงแม่ยก เอ้ย แม่สาวสองพันปีเหมือนกัน คิคิคิ

    (tm-love)
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ไม่ต้องขออนุญาตผมครับ คุยกันได้ทุกเรื่อง (tm-love)
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มีมาให้ลองเล่นกันดูครับ

    รังสีออร่าในตัวคุณ
    http://palungjit.org/showthread.php?t=92010

    ผู้โพส เฮียปอ ตำมะลัง

    <TABLE borderColor=#9999ff cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" align=center border=1><TBODY><TR><TD bgColor=#9999ff>รังสีออร่าในตัวคุณ

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#fbfbff height=100>
    [​IMG]
    หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่า "รังสีออร่า" แต่รู้กันไหมล่ะว่ามันคืออะไร และสามารถบอกถึงอะไรในตัวเราได้บ้าง

    โดยรังสีออร่า คือสีของความคิดและอารมณ์จะมีลักษณะเป็นหมอกไหลปรากฏเป็นหย่อมๆ เห็นได้ชัดเจนบริเวณรอบศีรษะและเหนือบ่า

    วิธีคิดหารังสีออร่าของตัวคุณ เพียงคำนวณตามสูตร นำวัน เดือน ปี ค.ศ. ที่เกิด มาบวกกัน สมมุติว่า เกิดวันที่ 5 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1960 ก็นำเลขทั้งหมดมาบวกกันคือ 5 + 5 + 1960 = 1970
    จากนั้นก็แยกตัวเลขออกมาบวกกันอีกครั้ง จะได้เป็น 1 + 9 + 7 + 0 = 17 ก็นำมาแยกบวกอีกจนกว่าจะได้เลขตัวเดียว ซึ่งก็คือ 1 + 7 = 8
    เมื่อได้ผลลัพธ์เป็นเลขตัวเดียว แล้วขอให้ดูว่าตัวเลขที่ได้ตรงกับสีพื้นฐานสีอะไร มีความหมายว่าอย่างไร แต่ถ้าเลขบวกกันแล้วได้ผลเป็น 11 และ 12 ไม่ต้องแยกบวกอีก เพราะเป็นพวกพิเศษกว่าพวกอื่น

    1. สีแดง : ผู้นำ
    พวกมีสีแดงเป็นสีพื้นฐาน จะมีความกระตือรือร้น เป็นผู้นำ
    ทะเยอทะยาน เต็มไปด้วยพลังงาน มีความกระฉับกระเฉงและพลังทางเพศ มีเสน่ห์ พูดจาโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้ดี เป็นคนสนุกสนาน โอบอ้อมอารี กล้าหาญ

    คุณวิ่งไม่เร็ว มองโลกในแง่ดี ชอบการแข่งขัน เป็นสีที่นำมาซึ่งความสำเร็จ คุณควรหาอะไรที่ท้าทายความสามารถทำ ชอบสร้างโครงการท้าทายความสามารถ แต่ต้องพิจารณาให้พอเหมาะสมกับตัวด้วย
    ข้อเสีย มักจะขี้กังวล ตื่นตระหนกและอาจหลงตัวเอง รวมทั้งอาจจะบ้างานมากไปจนเครียด ควรรู้จักพักผ่อน และคลายความเครียด

    2. สีส้ม/ แสด :
    มนุษยสัมพันธ์ดี
    คุณเป็นคนอบอุ่น น่าคบ เข้ากับคนง่าย กระฉับกระเฉงว่องไว มีความสุข เป็นสีที่คอบควบคุมกล้ามเนื้อ แต่มีมากไปจะเย่อหยิ่ง ชอบเป็นที่ปรึกษาปัญหาให้ใครต่อใคร ชอบช่วยเหลือ และทำตัวให้เป็นประโยชน์อยู่เสมอ จิตใจสมถะ ชอบปิดทองหลังพระ คุณควรคบกับคนที่มีนิสัยคล้ายคลึงกัน ไม่งั้นคนอื่นจะเอาเปรียบคุณ

    ข้อเสีย ขี้เกียจ ใจน้อย มักถูกคนอื่นเอาเปรียบ


    3. สีเหลือง : มีความคิดสร้างสรรค์ ฉลาด
    คุณเป็นคนคิดอะไรรวดเร็ว มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เข้าสังคมง่ายปรับตัวเก่ง ชอบคุยถกเถียงปัญหา ชอบเรียนรู้ และทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เป็นคนฉลาด หลักแหลม และเรียนรู้อะไรได้รวดเร็ว มีเมตตา รักเพื่อนมนุษย์ เป็นสีคุ้มกันโรคภัย มีพรสวรรค์ด้านการพูด งานที่ทำควรเกี่ยวกับการพูดเป็นสื่อ เช่น ครู เซลล์แมน นักการทูต ที่ปรึกษา ฯลฯ หรืองานอาชีพที่ต้องใช้คำพูดเป็นหลัก

    ข้อเสีย จับจด ขี้อาย โกหกเก่ง


    4. สีเขียว : รักษาโรค
    คุณเป็นคนรักสงบ ละเอียดอ่อน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จิตใจดี มีพลังจิต ไว้วางใจได้ คุณอาจมีลักษณะภายนอกหงิมๆ หรือเรียบง่าย แต่ส่วนลึกแล้วดื้อน่าดู คุณเป็นพวกสู้งาน หนักเอาเบาสู้ มีความสามารถในการใช้มือ เป็นสีแห่งความสมดุลและปรับตัว

    ข้อเสีย ดื้นรั้น ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น


    5. สีน้ำเงิน : เป็นได้ทุกอย่าง
    คุณเป็นพวกมองโลกในแง่ดี แม้ชีวิตจะลุ่มๆ ดอนๆ ไปบ้างแต่ยังยิ้มสู้เสมอ เชื่อมั่นในตนเอง ซื่อตรง พยายามยืนหยัดด้วยตัวเอง แสงออร่าของคุณจึงกว้างและสว่างไสวเสมอ ทำให้กระชุ่มกระชวยดูอ่อนกว่าวัย
    คุณมีความจริงใจ ซื่อสัตย์ ปากกับใจตรงกัน รักการผจญภัย มีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการ ชอบพบปะผู้คน และสนใจการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม มีพรสวรรค์หลายๆ ด้าน

    ข้อเสีย ชอบทำงานหลายๆ อย่างในคราวเดียวกัน จึงกลายเป็นคนจับจด ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างนอกจากนั้นยังเป็นพวกชีพจรลงเท้า และขาดความอดทนอีกด้วย


    6. สีคราม : มีความรับผิดชอบสูง
    คุณชอบงานด้านสังคมสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้อื่น ชอบรับผิดชอบงาน จิตใจโอบอ้อมอารี เป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้ ไม่เห็นแก่ตัว เป็นสีของพลังจิต สัมผัสที่ 6 โทรจิตต่างๆ มีความคิดฉลาดล้ำลึกและสร้างสรรค์ นิยมความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มีความจริงใจ ชอบค้นหาสัจจะความจริงของชีวิต

    ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น ควรหาเวลาเป็นตัวของตัวเองบ้าง มีมาตรฐานการทำงานสูง จึงมักหงุดหงิดกับอะไรๆ ที่ไม่ได้ตามมาตรฐานของตนเอง


    7. สีม่วง : ฉลาดล้ำลึก และสันโดษ
    คุณมีจิตใจละเอียดอ่อน สนใจในศาสตร์ลึกลับจนบางครั้งดูเหมือนเป็นคนลึกลับ คุณมีประสาทสัมผัสที่ 6 สูง รักสันโดษจนดูเหมือนคุณจะเข้ากับใครไม่ได้ มักมีปัญหาบริเวณท้อง

    ข้อเสีย มักดูถูกความคิดผู้อื่น และเก็บความรู้สึกมากเกินไป


    8. สีชมพู : นักบริหาร นักธุรกิจ
    คุณเป็นคนมีความตั้งใจจริง แต่ค่อนข้างดื้อรั้น วางมาตรฐานตัวเองไว้สูง มุ่งมั่นที่จะให้บรรลุเป้าหมายและความสำเร็จ ถ้าคุณรู้ว่าเป็นฝ่ายถูก คุณจะยืนหยัดต่อสู้อย่างไม่ยอมถอย มีพลังที่แจ่มใส รักสงบ เต็มไปด้วยความรัก โรแมนติก อารมณ์ขัน ถ่อมตน ปลอบประโลมคนเก่ง

    ข้อเสีย มักจะใจคอโลเล อาชีพของคุณจึงต้องเกี่ยวกับการบริหารและความรับผิดชอบ


    9. สีทองเหลือง : นักสังคมสงเคราะห์
    คุณเป็นคนอ่อนโยน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นทั้งนักปราชญ์และเป็นคนมีคุณธรรมเต็มเปี่ยม มีความสุขมากที่สุดเมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่ดี

    ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น จึงถูกเอาเปรียบบ่อยๆ ควรรู้จักปฏิเสธบ้าง


    11. สีเงิน : นักอุดมคติ
    คุณมีประสาทสัมผัสที่ 6 มีศักยภาพสูงในหลายๆ ด้าน
    เต็มไปด้วยความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ ชอบฝันหวาน แต่คุณมักจะฝันมากกว่าลงมือทำจริงๆ เป็นคนซื่อสัตย์ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง มองโลกในแง่ดี ถ้ามุมานะสร้างความฝันให้เป็นความจริงคุณจะไปได้ไกลมากทีเดียว

    ข้อเสีย ขี้เกียจ และบางครั้งจะเครียดจนใครๆ ไม่กล้าเข้าใกล้
    ควรหาเวลาพักผ่อน ฝึกสมาธิ หรือโยคะ


    12. สีทอง : ไม่มีขอบเขตจำกัด
    คุณสามารถทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก หรือทำงานใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องปอกกล้วยเข้าปาก คุณจะประสบความสำเร็จไปแทบทุกเรื่อง เป็นคนมีเสน่ห์จูงใจ ทำงานหนักเอาเบาสู้ มีเป้าหมาย ในการทำงานที่แน่นอน มีอุดมคติและความสามารถสูง เป็นผู้นำสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้


    ที่มา fwdmail

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 217157821.jpg
      217157821.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.9 KB
      เปิดดู:
      345
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Vilaiwanna [​IMG]
    Thank you for khun Petch and khun Sithiphong's answers.
    I have to apologize to everybody on this board.
    I live in the US. and do not have Thai keyboard to type.
    Therefore, I have to type in English.
    I am very new in this website.
    I'm another one who worship LP Thep Loke Udon.
    I have a few of his votive tablets (phra pid ta).
    I am very interested to "bu-cha" some more from
    Khun Sithiphong.
    I can have my sister in Bkk. wire money to K. Sithiphong.
    What I want to know whether you still have any left and which one at what price?
    Thank you very much.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    มาย้ำ มาเตือนกันอีกนะครับ ด้วยความห่วงใยจากใจผม


    (*) (*) (*) (*) (*) กรรมของการขายสมบัติแผ่นดินและสมบัติสงฆ์นั้น หนักหนาสาหัสมาก ผู้ที่ซื้อ-ขายพระกรุวัดพระแก้ว ต้องได้รับกรรมแน่นอน อย่างเบาๆก็เจ็บป่วยตั้งแต่น้อยไปมาก แต่ถ้าหนักมากที่สุดก็จะเป็นอัมพฤกหรืออัมพาต ส่วนท่านใดที่ไม่เชื่อ ผมไม่สามารถที่จะไปบังคับให้เชื่อได้ ลองพิสูจน์ดู ว่าจริงอย่างที่ผมบอกหรือไม่นะครับ(*) (*) (*) (*) (*)
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เชิญโหลดเพลง"แสงหนึ่ง"ฟรี น้อมรำลึกถึงพระพี่นางฯ
    http://www.manager.co.th/Telecom/ViewNews.aspx?NewsID=9510000002034
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>7 มกราคม 2551 15:36 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=150 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=150>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เชิญชาวไทยร่วมโหลดเพลง "แสงหนึ่ง" ทุกเครือข่ายฟรี ผ่านโทรศัพท์มือถือ ครบทุกเวอร์ชัน ทั้งริงโทนและเสียงเพลงรอสาย ตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือนมีนาคม เพื่อน้อมรำลึกถึงสมเด็จพระพี่นางฯ

    การเชิญให้ชาวไทยพร้อมใจโหลดเพลง"แสงหนึ่ง"ผ่านทุกเครือข่ายฟรีในครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ และร่วมถวายความอาลัยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ผ่านบทเพลงแสงหนึ่ง

    คณะกรรมการจัดงานนิทรรศการเทิดพระเกียรติฯ จึงได้อนุญาตให้มีการเผยแพร่บทเพลง "แสงหนึ่ง" ผ่านเครือข่ายของดีแทค เอไอเอส และทรูมูฟ โดยประชาชนทั่วไปสามารถดาวน์โหลดเพลงเต็มรูปแบบ เสียงเพลงเรียกเข้า และเสียงเพลงรอสาย เพียงกด *84 บนโทรศัพท์มือถือ โดยไม่เสียค่าบริการ ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2551 ถึง 31 มีนาคม 2551



    <EMBED src="" width=425 height=355 type=application/x-shockwave-flash http: www.youtube.com v dgIpgKylvt0&rel="1" wmode="transparent"></EMBED>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...