พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    อีกไม่นาน คงได้ร่วมบุญสร้างถาวรวัตถุชิ้นหนึ่ง (กำลังดูอยู่) ว่าจะมอบพระพิมพ์นี้ เป็นเหรียญที่มีประสบการณ์มากในเรื่องดวงตก ดวงร้าย หากได้พกติดตัว จะกลับร้ายเป็นดี เนื่องจากภาพพระธาตุ ๑๒ ราศีที่สวยงามเหมือนจริงนี้ อีกทั้งมวลสาร และพิธีกรรมก็สุดยอด ยังไม่อยากจะเฉลยมากไปกว่านี้ครับ เพียงทำให้อยาก แล้วจากไปก่อนครับ เหรียญนี้"คุณกุ้งมังกอน" ได้พกพาเหมือนกัน แต่เป็นคนละแบบกัน ด้านหลังเป็นพระคาถา"ไจยะเบงชร"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.sriganapati.com/index.php?option=com_content&task=view&id=196&Itemid=49

    ปี่เซี๊ยะ สัตว์เทพสวรรค์บันดาลโชค
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width="70%" colSpan=2>แก้ไขโดย Administrator </TD></TR><TR><TD class=createdate vAlign=top colSpan=2>Sunday, 05 February 2006

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2>
    [​IMG]
    ปี่เซี๊ยะ

    ปี่เซี๊ยะ คือ เทพลก กวางสวรรค์ มีปากไม่มีทวาร เชื่อกันว่าทรัพย์มีแต่เข้าไม่มีออก ร้านค้าหรือธนาคารนิยมมีไว้ บูชาเพื่อเก็บกักเงินทองไม่ให้รั่วไหล ขจัดสิ่งอัปมงคล ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ และในฮ่องกงไต้หวัน และชาวไทยเชื้อสายจีน ต่างนิยมนำมาบูชา เพราะเชื่อว่าตามหลักฮวงจุ้ย ว่าเทพเซียนปี่เซี๊ยะจะลงมาคุ้มครองและให้โชคลาภนับแต่นี้ไปอีก 20 ปี

    กษัตริย์ จิ๋นซี ฮ่องเต้ สร้างกำแพงเมืองจีน และสร้าง เทพสิงซิวจำนวนประมาณ 10 กว่าแบบ รวมทั้งสิงห์ไซ และ เทียนลก กวางสวรรค์ เพื่อเสริมบา รมี

    ฮวงจุ้ยเชื่อว่ายุค 8 คือ ธาตุดินนักกษัตรประจำธาตุดินคือสุนัข ถ้าเป็นสัตว์มงคล คือ ปี่เซี๊ยะยุค 8 มีความหมายยาวถึง 20 ปี เริ่มตั้งแต่ 2547 จนถึง 2566 ความหมายคือ ปี่ ดินหิน แร่ ธาตุ สิ่งที่อยู่บนเนินภูเขาสูง จะเจริญรุ่งเรืองในยุคนี้

    ตามหลักฮวงจุ้ย ปี่เซี๊ยะนั้นเป็นสัตว์มงคลที่เสริมได้ทุกปีนักษัตรไม่มีชง (ปรปักษ์)

    [​IMG]

    ปี่เซี๊ยะมีแต่ให้การคุ้มครองขจัดสิ่งอัปมงคลให้ออกไปและรับแต่สิ่งดี ๆ เข้ามานี่แหละคือเหตุผลที่ ทำไมเมื่อก่อนไม่มีใครบูชาปี่เซี๊ยะ เพราะยังไม่ถึงยุคแต่มาบัดนี้ถึงยุค 8 เข้ามาคนจีนเชื่อว่า สัตว์มงคลปี่เซี๊ยะจะนำโชคลาภของยุค 8 มาให้ตนและครอบครัว พร้อมกิจการค้าขายเจริญรุ่งเรืองจึงเสาะแสวงหาตัวปี่เซี๊ยะมาบูชาไม่ว่าจะเป็นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ขอให้มีไว้ถือว่าโชคดีตัวปี่เซี๊ยะที่ทำจากทองเหลืองหรือเรซิ่นพลาสติกจะไม่ค่อยมีคนนิยมเพราะไม่ได้ทำจาก ดิน หิน เพราะขาดพลังเหมือนกับ หยก หิน หรือ ดิน ซึ่งเกิดพลังจาดตัวมันเองเหมือนเราเห็นเป็นประจำอย่างสิงโตหน้าศาลเจ้ามักแกะจากหินก้อนโตๆ มีน้ำหนักทำให้พลังล้นเหลือและข้อสำคัญสัตว์มงคลควรมีการปลุกเสกเสียก่อนจึงจะเพิ่มพลังให้ได้มากถ้าไม่ปลุกเสกก็อาจเหมือนประติมากรรมธรรมดาเท่านั้นเอง

    ปี่เซี๊ยะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ คำว่า ปี่เซี๊ยะเป็นสำเนียงจีนกลาง ถ้าจีนแต้จิ๋วเรียกว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • blue300.jpg
      blue300.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.4 KB
      เปิดดู:
      63
    • pi-yao5.jpg
      pi-yao5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.2 KB
      เปิดดู:
      54
    • pi-yao11.jpg
      pi-yao11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.1 KB
      เปิดดู:
      89
    • red300.jpg
      red300.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.6 KB
      เปิดดู:
      59
    • red1212300.jpg
      red1212300.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11 KB
      เปิดดู:
      79
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2007
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.sriganapati.com/index.php?option=com_content&task=view&id=196&Itemid=49

    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=2>[​IMG]

    เชื่อ ‘ดูดทรัพย์’ อมตะ ‘ปี่เซี้ย’ เครื่องรางจีน ‘มาแรง’

    เดลินิวส์ 22 เม ย 2549


    [​IMG]

    เครื่องราง-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของจีนนั้น ปัจจุบันไม่เพียงคนไทยเชื้อสายจีนเท่านั้นที่เสาะหามาครอบครอง คนที่ไม่มีเชื้อสาย จีนก็นิยมกันมากเช่นกัน และในจำนวนนี้ก็รวมถึงสิ่งที่เรียกว่า “ปี่เซี้ย” ด้วย !!

    ทั้งเชื่อกันว่าช่วย “ขจัดอาถรรพณ์-ไล่อัปมงคล”

    และยังเชื่ออีกว่า...มี “ปี่เซี้ย” แล้วจะ “ร่ำรวย”


    ปี่เซี้ยเป็นสัตว์ในตำนานจีน คล้าย ๆ กับสัตว์ในป่าหิมพานต์อะไรประมาณนั้น ซึ่งตามความเชื่อเกี่ยวกับ “ฮวงจุ้ย” ปัจจุบันโลกเข้าสู่ยุคฮวงจุ้ยยุคที่ 8 และก็มีความเชื่อเกิดขึ้นว่า...เทพเซียนปี่เซี้ยจะลงมาคุ้มครองและให้โชคลาภแก่มวลมนุษย์เป็นเวลาประมาณ 20 ปี หรือช่วงปี 2547-2566 ซึ่งความเชื่อนี้ก็แพร่หลายในไทยด้วย


    จากข้อมูลในเว็บไซต์ http://www.sriganapati.com ว่าไว้ว่า... คำว่า “ปี่เซี้ย” เป็นสำเนียงจีนกลาง ถ้าจีนแต้จิ๋วเรียกว่า “ผี่ชิว” จีนกวางตุ้งเรียก “เพเย้า” และอาจมีการเรียกในชื่ออื่น ๆ เช่น “เถาปก” หรือ “ฝูปอ” อันเป็นคำเรียกรวม ๆ ของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตระกูลหนึ่ง ทั้งนี้ ในจดหมายเหตุฮั่นชุในภาคที่ว่าด้วยดินแดนทางประจิมทิศมีข้อความระบุไว้ว่า...ในแคว้นหลีแถบเขาอูเกอซานมีสัตว์ตระกูลนี้ปรากฏอยู่ คือ เทียนลก, เทียนหลู่ ตัวคล้ายกวาง หางยาว มีเขาเดียว คำว่าเทียนหลู่นั้นแปลตรงตัวว่า กวางสวรรค์ แต่ต่อมาจะคุ้นคำว่าปี่เซี้ยหรือผี่ชิวกันมากกว่า


    แต่เดิม “ปี่เซี้ย” เป็นสัตว์มงคลที่เชื่อกันว่ามีอานุภาพในทาง “กำจัด ปิศาจ-สิ่งชั่วร้าย” รวมทั้ง “ป้องกันคุณไสย-มนตร์ดำ” ต่าง ๆ ซึ่งคำว่าปี่หรือผี่นั้นแปลว่าปิด เร้นลับ หลบซ่อน ส่วนคำว่าเซี้ยหรือชิวแปลว่าอาถรรพณ์ สิ่งไม่ดี คุณไสย ภูติปิศาจ ดังนั้น คำว่าปี่เซี้ยหรือผี่ชิวจึงแปลได้ว่า “ขจัด-ป้องกันอาถรรพณ์” คนจีนสมัยก่อนจึงมักเขียนภาพ หรือตั้งประติมากรรมรูปปี่เซี้ยไว้ตามประตูบ้าน และสุสานทั่วไป และยังมีการประดับไว้บนหลังคาพระราชวังต่าง ๆ เพื่อให้ช่วยขจัดสิ่งอัปมงคลทั้งหลาย ซึ่งเชื่อกันว่าพลังในการกำราบสิ่งชั่วร้ายของปี่เซี้ยนั้นสุดยอด


    ปี่เซี้ยเป็นสัตว์มงคลที่เสริมได้ทุกปีนักษัตร ไม่มีชง ตามตำราเดิมลักษณะเป็นสัตว์สี่เท้า ตัวเป็นกวาง หางเป็นแมว มีเขา และปีก แต่บางแบบก็ไม่มีปีก โดยมักจะทำในลักษณะกำลังนั่งอ้าปากโชว์เขี้ยว บางตำราบอกว่า...ปี่เซี้ยมีดีครบถ้วนตามหลักเบญจธาตุ คือธาตุ “ทอง–น้ำ–ไม้–ดิน–ไฟ” เนื่องจากลักษณะพิเศษของปี่เซี้ย...


    ลักษณะที่ “รวมสัตว์มงคล 5 ชนิด 5 ธาตุไว้ด้วยกัน”

    กล่าวคือ... มีลักษณะสี่เท้าของสิงโตอันทรงพลัง (ธาตุทอง) มีเขาและลำตัวเป็นกวางที่อ่อนช้อย (ธาตุน้ำ) มีปีกของพญานกอันแข็งแกร่ง (ธาตุไฟ) มีศีรษะของมังกรอันทรงพลัง (ธาตุไม้) มีหางแมวอันศักดิ์สิทธิ์ (ธาตุดิน)


    ความเชื่อด้านความ “ร่ำรวย” ของปี่เซี้ย เกี่ยวข้องกับลักษณะเด่น 8 ประการคือ... 1.อ้าปากดูดทรัพย์, 2.ขาก้าวหน้า, 3.หางยาวกวักโชคลาภ, 4.ลิ้นยาวตวัดเงินทอง, 5.ยกหัวข่มคู่แข่ง, 6.อกผึ่งผายน่าเกรงขาม, 7.เท้าตะปบเงิน และที่สำคัญคือ 8.ไม่มีรูทวาร ดูดทรัพย์แล้วไม่ถ่ายออก เงินทองไม่รั่วไหล


    ด้วยเหตุนี้ ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ในฮ่องกง ในไต้หวัน ชาวไทยเชื้อสายจีน หรือแม้แต่คนไทยที่ไม่มีเชื้อสายจีน แต่เชื่อถือเรื่องเครื่องรางสิ่งศักดิ์สิทธิ์-สัตว์มงคล จึงพากันหา “ปี่เซี้ย” ไว้บูชา เพื่อหวังจะเก็บกักเงินทองไว้ไม่ให้รั่วไหล รวมถึงช่วยขจัดสิ่งอัปมงคล ป้องกันอาถรรพณ์ต่าง ๆ

    ยุคปัจจุบันปี่เซี้ยกลายเป็น “สัตว์มงคลเรียกทรัพย์” นำโชคลาภ โดยเฉพาะในกิจการที่มีความเสี่ยง เช่น การซื้อขายเงินตรา หลักทรัพย์ การเงินการธนาคาร กิจการเหล่านี้มักมีรูป-รูปปั้นหรือรูปหล่อปี่เซี้ยกำกับประตู ทางเข้า


    เพราะปี่เซี้ยเป็นสัตว์มงคลตามหลักเบญจธาตุของจีน ยิ่งถ้าเป็นปี่เซี้ยที่ทำด้วยวัสดุธรรมชาติ และใช้ให้ถูกหลักฮวงจุ้ย ก็จะยิ่งมีผลแรงและเร็ว

    จิตรา ก่อนันทเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเกี่ยวกับจีน บอกว่า...ปี่เซี้ยคือเครื่องรางชนิดหนึ่ง ตามความหมายแล้วหมายถึงการหลบ หรือกำบังสิ่งอัปมงคล ซึ่งหากถือตามหลักฐานการขุดค้นพบปี่เซี้ยนั้น จะพบว่ามีการสร้างปี่เซี้ยมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว โดยเป็นไปตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์จีน


    อย่างที่ “สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้” นั้น มีปี่เซี้ยเป็นรูปม้าเหยียบนกที่บินได้ เป็นเรื่องไม่ธรรมดาที่ม้าสามารถเหยียบนกที่บินได้ และที่มีปี่เซี้ยมากในสุสานกษัตริย์จีนนั้น เนื่องจากสุสานกษัตริย์มักจะสร้างอย่างยิ่งใหญ่ จึงเป็นจุดสนใจ และเป็นแรงดึงดูดให้สิ่งที่ไม่ดีเข้าใกล้ ดังนั้น จึงมีการตั้งปี่เซี้ยมากมายเพื่อกำจัดสิ่งอัปมงคล


    เครื่องรางที่เรียกว่า “ปี่เซี้ย” นั้น จะเป็นรูปแบบไหนก็ได้ เป็นรูปสิ่งที่มีชีวิตก็ได้หรือไม่มีชีวิตก็ได้ แต่จะต้องเป็นสิ่งที่ “ไม่ธรรมดา-พิสดาร” ซึ่งเทียบกับแบบไทยก็เหมือนสัตว์หิมพานต์นั่นเอง


    ผู้สันทัดกรณีเกี่ยวกับจีนรายนี้บอกอีกว่า... เทรนด์ของโลกตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมาเป็นเรื่องของธุรกิจ ดังนั้น ใครไปที่เมืองจีนก็มักจะหาซื้อปี่เซี้ย กลับมาด้วย บ้างก็ซื้อใช้เอง บ้างก็ซื้อกลับมาขาย จนกลายเป็นธุรกิจการค้า จากความเชื่อ-จากลักษณะที่โดดเด่นทั้ง 8 ประการของปี่เซี้ย โดยเฉพาะความเชื่อในเรื่องเงินทองไม่รั่วไหล


    “และปี่เซี้ยจะเป็นตัวมาสคอตของกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศจีนกำลังจะเป็นเจ้าภาพในปี 2008 เรียกว่า “เทียน ลก ปี่เซี้ย” ก็คงจะยิ่งประโคมความโด่งดังของปี่เซี้ยให้มากขึ้นอีก” ...จิตรากล่าว


    ก็เป็นเรื่องราวของ “ปี่เซี้ย” ที่มีความเชื่อเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ

    ในเมืองไทยก็มีการขายกันหลายรูปแบบ-หลายระดับราคา...

    กลายเป็นอีกหนึ่ง “เครื่องราง” ที่กำลังมาแรงทีเดียว !!!!.


    เดลินิวส์ 22 เม ย 2549

















    </TD></TR><TR><TD class=modifydate align=left colSpan=2>แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( Sunday, 14 May 2006 ) </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    พระเครื่องชุดนี้ มี ๑๒ ชิ้น ไม่ควรแยกชิ้นออกเด็ดขาด หากเข้าใจการ"ชง" การ"ฮะ" จะได้ประโยชน์มากมาย ปฏิทินดวงจีนมีบอกไว้แทบทุกเล่มว่าปีนักษัตรใดชงกับปีใด เราก็สามารถใช้หลักการของปีนักษัตรที่เข้าได้กับปีนั้นแทน สีเขียวของหยก ตามหลักของ New Age แล้ว ถือว่าเป็นสีเกี่ยวกับการบำบัด และรักษา จะสังเกตในห้องผ่าตัด เสื้อกราวด์ของหมอ พยาบาล จะมีโทนสีเขียวทั้งหมด เป็นสีของต้นไม้ใบหญ้า ดูสดชื่น ผ่อนคลาย สบายใจ อีกนัยหนึ่งหมายถึงการเจริญเติบโต ความร่ำรวย มั่งคั่ง เป็นลักษณะของกระแสการดึงดูด...<!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  5. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    5555 ขนาดยังไม่ทราบว่าบุญอะไรก็ร่วมมาคนแรกเลยนะครับ ยังไม่ได้กำหนดใดๆทั้งสิ้น แต่ต้องมีวาระแน่นอน เหรียญนี้มีความอัศจรรย์มาก และไม่ธรรมดาครับ จำนวนการสร้างมีไม่มากด้วย พระธาตุเจดีย์ ๑๒ แห่งที่อัญเชิญมาก็ไม่ได้ทำแบบผ่านๆ สวยงามวิจิตรบรรจงลายเส้น การจัดเรียง และความหมาย

    ขอโมทนากับน้องเอด้วยครับ
     
  6. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ว้าว!!! วันนี้เข้ามาช้าไปหน่อยครับ โดนแซงไม่เป็นไรครับ งานบุญใดก็ตาม
    ผมขอ 2เหรียญครับ ส่วนหนังสือผมขอร่วมด้วย 20เล่มครับ เดี๋ยวไปโอนให้ครับ
    ขอบคุณและโมทนาสาธุครับ
    nongnooo...
     
  7. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ขอขอบคุณพี่หนุ่ม สำหรับวันนี้ครับ

    แค่รับเฉยๆ ทำเอาปวดหัวเลยครับ

    ชักกลัวถึงลูกครับ

    สาธุครับ
     
  8. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    5555 คุณน้องนู๋ไม่ยอมน้อยหน้าเลยนะครับ งานบุญนี้ยังไม่ได้กำหนด เพียงแต่รู้สึกว่าจะมีความเกี่ยวเนื่องกับการมอบเหรียญนี้เกิดขึ้นมาครับ และไปพ้องกับเรื่องที่คุณหนุ่มนำเสนอเรื่องของ ๑๒ นักษัตร ทางด้านความเชื่อของไทยๆเรา การบูชาพระธาตุเจดีย์ประจำปีเกิดเรานี่ก็เป็นการสะเดาะห์เคราะห์ทางหนึ่ง เหรียญนี้หากได้ทราบที่มาที่ไปเกรงว่าจะไม่เพียงพอกัน เป็นการจำลองพระธาตุเจดีย์ทั้ง ๑๒ แห่งมาอยู่ในองค์เดียว ดังนั้นจึงได้ชื่อว่า เหรียญกลับดวงร้ายเป็นดี การมอบนั้นจึงต้องดูวาระสำคัญจริงๆ หนึ่งในมวลสารที่ใช้จัดสร้างนั้นคือแผ่นทองจังโก้ ที่ปิดรอบพระเจดีย์ชเวดากองนั่นเอง...

    ขอโมทนาในความตั้งใจของคุณน้องนู๋ด้วยครับ ตอนนี้รับจองสั่งพิมพ์หนังสือเพื่อถวายศาลวังหน้า - ศาลเทพารักษ์ก่อนนะครับ รบกวนคุณน้องนู๋แจ้งชื่อ-นามสกุลทาง PM ด้วยครับ จะพิมพ์เอาไว้ท้ายเล่มครับ...
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ chaipat [​IMG]
    ขอขอบคุณพี่หนุ่ม สำหรับวันนี้ครับ

    แค่รับเฉยๆ ทำเอาปวดหัวเลยครับ

    ชักกลัวถึงลูกครับ

    สาธุครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    น้องเอ เมื่อกี้นี้น้องchaipat มึนจริงๆ ไม่ได้มึนเล่นๆน๊ะ

    น้องchaipat ให้นำที่ได้ไปเมื่อกี้นี้ นำไปแช่น้ำเกลือไว้สัก 1 วันก่อนให้ตัวเล็กห้อยน๊ะ ตัวเล็กอาจจะมึนหัวหรือปวดหัวสัก 1-2 วัน แต่อาจจะซึมๆไป หลังจากนั้นร่างกายจะปรับสภาพได้ มีอยู่แค่ชิ้นเดียวด้วยนะที่ให้ไป

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2007
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    งานบุญส่งท้ายปีเก่านี้ ท่านใดสนใจร่วมบุญธรรมทานกันก็ขอเชิญนะครับ ผมจะพิมพ์หนังสือ"พระราชประวัติกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท" ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้จัดพิมพ์ถวายไว้ที่ศาลวังหน้า และได้หมดลงในเวลาอันรวดเร็ว ขณะนี้มีบล๊อกพิมพ์อยู่ที่โรงพิมพ์ซึ่งพี่ท่านหนึ่งได้ติดต่อไว้ได้ในราคาพิเศษสุดคือเล่มละ ๒๐ บาท ภายในเล่มจะกล่าวถึงเรื่องราวของกรมพระราชวังบวรทั้ง ๕ พระองค์ แต่เน้นมหาอุปราชวังหน้าองค์แรก เสียดายที่ผมยังอ่านไม่จบ หนังสือก็สูญหายไป ดังนั้นจึงคิดจะพิมพ์ถวายศาลวังหน้า หรือที่รู้จักกันว่า ศาลเทพารักษ์ หากเพื่อนท่านใดยังไม่เคยได้ไปกราบสักการะบูชาก็สามารถไปได้นะครับ อยู่ถนนเศรษฐศิริ ศาลนี้แปลกมากครับ บางท่านขับรถผ่านไปมา อาจไม่ได้สังเกตุ บางท่านเห็นประตูปิด ทั้งๆที่ประตูก็เปิดทุกวัน ภายในเป็นที่สถิตย์ดวงพระวิญญาณของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทั้ง ๕ พระองค์ หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร(รูปที่ตั้งภายในจะเป็นรูปหล่อของหลวงปู่อิเกสาโร) ซึ่งผมจะปิดรับการสั่งพิมพ์หนังสือในวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๐ นี้เท่านั้นหลังจากนี้ขอสงวนสิทธิ์การรับจองสั่งพิมพ์แล้วนะครับ และจะสรุปยอดสั่งพิมพ์ทั้งหมดกับทางโรงพิมพ์ในวันที่ ๒๙ ธ.ค. ๒๕๕๐ นี้ เพื่อทางโรงพิมพ์สามารถดำเนินการให้เสร็จภายในประมาณ ๒ อาทิตย์ หนังสือทั้งหมดจะถวายไว้ที่ศาลวังหน้าทั้งหมดช่วงกลางเดือนม.ค.หรือต้นเดือนก.พ. ๒๕๕๑ ครับ...


    สามารถร่วมบุญตามความสบายใจ จำนวนตามความต้องการได้ โดยการโอนเข้าบัญชีของผมไว้ก่อนที่บัญชีอภิวัฒน์ ชัฎอนันต์ ไทยพาณิชย์ สาขาซอยไชยยศ ออมทรัพย์ เลขที่ 040-2-25999-6 และจะโอนออกทั้งหมดไปที่โรงพิมพ์อีกครั้ง ข้อมูลการรับโอนเงินจะถูกลบทิ้งหมดในช่วงค่ำของวันที่ ๒๘ ธ.ค. นี้ครับถือว่าจบกิจของธรรมทานก่อนสิ้นปีได้ทันอีกงานหนึ่ง ผู้ร่วมบุญธรรมทานนี้รบกวนช่วยแจ้งชื่อ-นามสกุล และจำนวนเล่มที่สั่งพิมพ์ทาง PM ด้วยนะครับ เพื่อสามารถบันทึกไว้ท้ายเล่ม หลังจากถวายทั้งหมดแล้ว ผมจะขอรับมอบจากทางศาลวังหน้า มามอบให้ท่านละ ๑ เล่มเพื่อเป็นความรู้ และเป็นที่ระลึกการร่วมบุญกันครับ...

    ความจริงทางน้องที่เฝ้าศาลนี้ได้รับคำสั่งจากท่านผู้ใหญ่ที่เป็นทหารไว้ว่าห้ามถ่ายภาพ แต่เป็นความโชคดีที่น้องเค้าอนุญาตผมเป็นกรณีพิเศษ จึงได้นำภาพมาให้ชมกัน..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2007
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เอ็นจอย เค้ก-คุกกี้ ปีใหม่ ระวัง!! อ้วนลงพุง</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>27 ธันวาคม 2550 14:10 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=360 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=360>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> กรมอนามัย เตือน กินเค้ก-คุกกี้ ไม่ยั้ง เตรียมรอรับของขวัญเป็นหุ่นอ้วนลงพุงแนะควรกินอาหารประเภทเค้กและคุกกี้ในปริมาณที่พอเหมาะ และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

    นพ.โสภณ เมฆธน รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยภายหลังการแถลงข่าว “ปีใหม่นี้ ไม่มีพุง” ณ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า ขณะนี้ทั่วโลกมีผู้ป่วยกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด 17 ล้านคน ซึ่งองค์การอนามัยโลกระบุว่า กลุ่มโรคดังกล่าวกลายเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของประชากรโลก ซึ่งคนไทยมีผู้ป่วยด้วยกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดประมาณ 9.5 แสนราย สาเหตุสำคัญ คือ การมีน้ำหนักเกินและอ้วน มีไขมันสะสมในร่างกายมากเกินปกติ โดยผู้ชายที่อ้วนมาก ๆ จะมีผลต่อระบบสืบพันธุ์ อาจทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง ส่วนผู้หญิงหากตั้งครรภ์เด็กในท้องอาจผิดปกติ มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานสูง การป้องกันจึงควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารหวานจัด มันจัด เค็มจัด และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

    นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วนลงพุงตามมา จึงควรกินอาหารประเภทเค้ก คุกกี้ ในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจากส่วนผสมส่วนใหญ่มักทำมาจากแป้ง น้ำตาล เนย ไข่ และไขมัน ซึ่งให้รสหวานเป็นหลัก มีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มได้ง่ายหากกินปริมาณที่มากเกินไป เพราะขนมเค้ก 1 ชิ้นเล็ก ที่มีขนาด 35 กรัม ให้พลังงาน 140 กิโลแคลอรี่ ในขณะที่คุกกี้ 1 ชิ้น ที่มีขนาด 10 กรัม ให้พลังงาน 51 กิโลแคลอรี่ ดังนั้น หากกินเค้กติดต่อกันในปริมาณ 1 ปอนด์ต่อวัน จะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานถึง 1,600 กิโลแคลอรี่ ซึ่งทำให้ร่างกายได้รับพลังงานจากเค้กอย่างเดียวเกือบเท่ากับที่ร่างกายต้องการพลังงานจากอาหารอื่น ๆ วันละ 2,000 กิโลแคลอรี่ จึงทำให้กินอาหารได้ไม่หลากหลาย

    นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า จากผลการสำรวจพบว่าอัตราการกินน้ำตาลในประชากรไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มจาก 12.7 กิโลกรัมต่อคนในปี 2528 เป็น 27.9 กิโลกรัมต่อคนในปี 2541 และมีแนวโน้มการกินน้ำตาลในรูปของอาหาร ขนมและเครื่องดื่มประเภทต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น หากมีการกินติดต่อกันเป็นประจำโดยขาดการควบคุมบ่อย ๆ จะทำให้ร่างกายขาดความสมดุลของสารอาหารชนิดต่าง ๆ เพราะร่างกายได้รับสารอาหารบางอย่างมากเกินไป เช่น ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ซึ่งไม่มีความหลากหลายและครบ 5 หมู่ เป็นผลให้เกิดโรคอ้วนและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา และถึงแม้ว่าน้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็ไม่แนะนำให้บริโภคน้ำตาลเพื่อเป็นแหล่งของพลังงาน ควรหันมากินอาหารที่ให้คุณค่าและได้รับสารอาหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ ที่ได้จากธัญพืช ผัก ผลไม้ และถั่วเมล็ดแห้งทุกชนิด แทนจะดีกว่า

    “ทั้งนี้ เนื่องจากขนมเค้กจะมีส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ ตัวเค้กกับหน้าเค้ก ซึ่งตัวเค้กจะมีส่วนผสมทั้งไข่ เนย แป้ง และน้ำตาล ซึ่งมักเสียง่ายหากเก็บไว้ในที่ร้อนหรือเก็บไว้ในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม สำหรับหน้าเค้กส่วนใหญ่จะทำด้วยไขมันและน้ำตาล ถึงแม้ว่าจะเสียยากกว่าตัวเนื้อเค้กแต่หากเก็บไว้นานอาจเหม็นหืนและมีเชื้อราขึ้นได้ จึงควรกินให้หมดทันทีหรือกินตามวันหมดอายุที่ได้ระบุไว้” รองอธิบดีกรมอนามัยกล่าว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>คำเตือน ! โรคหลอดเลือดสมอง “ไม่ตาย ไม่พิการ 2 ชม.ครึ่ง ต้องถึงหมอ” </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>27 ธันวาคม 2550 08:04 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ประโยคข้างต้นเป็นคำเตือนที่ญาติและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองต้องจำให้ขึ้นใจไว้ (ในจำนวนนี้รวมถึงผู้ที่มีภาวะความเสี่ยงด้วย ซึ่งจะกล่าวอย่างละเอียดต่อไป) สาเหตุที่เมื่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีอาการที่เป็นสัญญาณสำคัญ และจะต้องให้ถึงมือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในรพ.ที่มีความพร้อมให้ทันภายในเวลา 2 ชั่วโมง 30 นาทีนั้น เนื่องมาจาก ภายในระยะเวลาดังกล่าว ผู้ป่วยมีโอกาสสูงมากที่จะไม่เสียชีวิตและไม่พิการ แต่หากเกินจากนี้ คุณจะมีโอกาสที่จะเสียชีวิต และพิการไปตลอดชีวิตเป็นอย่างมาก

    ผศ.พญ.ศิวาพร จันทร์กระจ่าง นายกสมาคมแพทย์ระบบประสาทแห่งประเทศไทย และประธานศูนย์โรคสมองภาคเหนือ ให้ความรู้ว่า คนไทยมักจะรู้จักโรคหลอดเลือดสมอง ในนามของโรคอัมพาต แต่ถ้าผู้ป่วยรายใดมีอาการไม่รุนแรงยังพอขยับได้เรียก โรคอัมพฤกษ์ ซึ่งจริงๆแล้ว โรคอัมพฤกษ์หรืออัมพาต คืออาการที่เกิดขึ้นหลังจากป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองที่ไม่สามารถมาพบหมอได้ทันเวลานั่นเอง

    “ถ้าพูดถึงโรคหลอดเลือดสมอง ประชาชนมักเข้าใจว่า มีอาการ อัมพฤกษ์ อัมพาต การเคลื่อนไหวลำบาก ส่วนใหญ่มักพบอาการพูดไม่ชัด ปากเบี้ยว สาเหตุใหญ่ๆมาจากหลอดเลือดสมองอุดตัน หรือหลอดเลือดสมองแตก ซึ่งปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้ คือ ความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ภาวะความเครียด พฤติกรรมการบริโภคที่รับประทานผักผลไม้น้อย เน้นเนื้อสัตว์เป็นหลัก ซึ่งปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เมื่อดูจากพฤติกรรมของคนไทยในปัจจุบันนั้น ได้คาดการณ์กันว่ามีคนไทยเสี่ยงที่จะป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองประมาณ 10 ล้านคน”

    ทั้งนี้โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยเป็นอันดับ 2 รองจากอุบัติเหตุและมะเร็ง นำหน้าโรคหัวใจโรคนี้ก่อให้เกิดความพิการ และเป็นภาระค่าใช้จ่ายต่อครอบครัวตลอดจนค่าใช้จ่ายของประเทศ ประเทศไทยพบอุบัติการณ์ของโรคนี้ 690 คนต่อประชากรแสนคน มีผู้เสียชีวิตปีละ 5-6 หมื่นราย มีผู้ป่วยปีละ 2.5 แสนราย โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการออกกำลังกาย การปรับพฤติกรรมการกิน ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ล้วนๆ กินผักผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งในทุกมื้อ ลดการกินอาหารไขมันสูง และงดการสูบบุหรี่ และสามารถรักษาแล้วอาการดีขึ้นถ้าผู้ป่วยมาพบแพทย์ทันเวลา

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=325 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=325>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> “คำว่าการรักษาที่ถูกต้องฉับไวก็คือ เมื่อผู้ป่วยและผู้ที่มีภาวะเสี่ยงมีอาการที่เป็นสัญญาณของโรคนี้ คือ เวียนศีรษะ เดินเซ แขนขาอ่อนแรง ชาครึ่งซีก ตาพร่ามัวหรือมองไม่เห็น พูดไม่ชัด พูดลำบาก พูดไม่ได้ หน้าเบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง สับสน สำลักบ่อย และอาจหมดสติ ให้สงสัยว่าจะมีอาการของโรคหลอดสมองอุดตัน ผู้ป่วยและคนใกล้ชิดต้องสังเกตอาการที่เกิดขึ้น และรีบไปรพ.ทันที ให้ทันเวลาใน 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้เรามักจะบอกว่าใน 3 ชั่วโมง แต่เนื่องจากเมื่อมาถึงรพ.แล้วมีกระบวนการตรวจก่อน จึงต้องมาให้ทันใน 2 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อที่หมอจะได้ทำการรักษาด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือด เพื่อหยุดความพิการ หยุดการเสียชีวิต หากมาช้าเกินกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และหากเกินกว่า 3 ชั่วโมงแล้ว การใช้ยาละลายลิ่มเลือดจะมีความเสี่ยงสูงที่ผู้ป่วยจะเกิดภาวะเลือดออกในสมองและเสียชีวิตหรือพิการได้”พญ.ศิวาพรอธิบาย

    พญ.ศิวาพร ระบุว่า รพ.ที่จะสามารถรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้ ต้องเป็นรพ.ที่มีความพร้อมในการรักษา เช่น มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาท มีเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆที่สามารถรองรับให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง เช่น เครื่องเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT scan) ยาที่สามารถละลายลิ่มเลือดที่อุดตันในสมอง ห้องผ่าตัด และห้องผู้ป่วยที่สามารถให้การดูแลผู้ป่วยเฉพาะได้

    ด้านนพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ระบุว่า การช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านั้น หัวใจสำคัญคือ การสร้างเครือข่ายการให้บริการที่ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างง่าย จึงได้จัดแนวทางใหม่ของระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่จะนำมาใช้ในประเทศไทยเกี่ยวกับการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ซึ่งมีรพ.นำร่องเข้าร่วม 15 แห่งโดยเป็นหน่วยบริการที่มีศักยภาพในการช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันท่วงทีหากเมื่อผู้ป่วยร้องขอให้ช่วยเหลือนำส่งรพ. โดยนำร่องในหน่วยบริการที่มีความพร้อมก่อน หลังจากนั้นจะขยายในระดับภูมิภาคเพื่อให้มีศักยภาพสามารถให้การดูแลรักษาได้ในอนาคต ซึ่งการจัดบริการแนวใหม่นี้ จะช่วยลดความพิการ และการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้ เป็นการพัฒนามาตรฐานและรูปแบบการป้องกันความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พญ.ศิวาพร จันทร์กระจ่าง นายกสมาคมแพทย์ระบบประสาทแห่งประเทศไทย</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> "สปสช.ได้ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข สถาบันประสาทวิทยา มูลนิธิสนับสนุนสถาบันประสาทวิทยา สมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย สมาคมโรคหลอดเลือดสมองไทย สมาคมโรคหลอดเลือดแดงแห่งประเทศไทย และสมาคมประสาทศัลยศาสตร์แห่งประเทศไทย ดำเนินการพัฒนาระบบการดูแลโรคหลอดเลือดสมองครบวงจร ตั้งแต่การลงทะเบียนผู้ทีมีกลุ่มเสี่ยงสูง การสร้างระบบเฝ้าระวัง การแจ้งนำส่ง การดูแลรักษาที่เป็นมาตรฐานและการฟื้นฟูดูแลรักษาต่อเนื่อง ”นพ.สงวนระบุ

    สำหรับรายชื่อรพ.นำร่องในปี 2551 จำนวน 15 แห่งนั้น มีดังนี้ 1.รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ 2.รพ.สุราษฏร์ธานี 3.รพ.หาดใหญ่ 4.รพ.สระบุรี 5.รพ.พระปกเกล้า จ.จันทบุรี 6.รพ.มหาราชนครราชสีมา 7.รพ.พุทธชินราช จ.พิษณุโลก 8.รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 9.รพ.ยโสธร 10.รพ.ชลบุรี 11.รพ.ลำปาง 12.รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ 13.รพ.พระมงกุฎเกล้า 14.รพ.จุฬาลงกรณ์ และ 15.สถาบันประสาทวิทยา

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน สำหรับรพ.มหาราชนครเชียงใหม่นั้น พญ.ศิวาพร ชี้แจงว่า ศูนย์โรคสมองภาคเหนือเป็นเครือข่ายที่พร้อมให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการของหลอดเลือดสมองอย่างครบวงจร โดยการจัดทำทะเบียนผู้ป่วยตั้งแต่แรกรับ การดูแลรักษา การให้คำแนะนำผู้ป่วยและญาติ ตลอดจนการติดตามประเมินผล นอกจากนี้ยังได้พัฒนารพ.ที่อยู่ในรัศมีสามารถเดินทางมาถึงรพ.ภายใน 2 ชั่วโมง ด้วยการจัดฝึกอบรมให้แพทย์และพยาบาลมีความรู้ในการดูแลรักษาพยาบาลโรคหลอดเลือดสมอง และจะจัดอบรมเครือข่ายในระดับการส่งต่ออีกครั้ง เพื่อให้ตระหนักถึงการรักษาพยาบาลที่ฉับไว ทันท่วงที และมีประสิทธิภาพ

    ทั้งนี้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่ได้รับการรักษาเป็นประจำในรพ.อยู่แล้ว จะได้รับการอธิบายชี้แจงให้ทราบถึงขั้นตอนการปฏิบัติตัวว่าจะต้องทำอย่างไรเมื่อเกิดอาการผิดปกติ แต่สำหรับคนที่เกรงว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดอาจจะมีภาวะเสี่ยง สิ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจคือ เมื่อมีสัญญาณผิดปกติดังที่กล่าวไว้ข้างต้น หากรู้ว่ารพ.ไหนที่อยู่ใกล้มีความพร้อมในการรักษาก็เข้ารพ.นั้น แต่ถ้าไม่ คุณต้องติดต่อสายด่วนโทร. 1669 ซึ่งเป็นระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินของศูนย์นเรนทร กระทรวงสาธารณสุข หรือสายด่วนสปสช. โทร. 1330 คุณจะได้รับความช่วยเหลือ และคำแนะนำว่าต้องทำอย่างไร เพื่อหยุดภาวะเสี่ยงจากอาการของโรคหลอดเลือดสมองที่เกิดขึ้น
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ฤๅษีดัดตนแก้เมื่อย ช่วงเดินทางไกลเที่ยวปีใหม่
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000153825
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>27 ธันวาคม 2550 08:04 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ปีใหม่นี้หากใครเดินทางไกล ปวดเมื่อยล้าทำให้การเดินทางนั้นไม่สนุก หมอแผนไทยแนะนำให้เลือกใช้ท่าฤๅษีตัดตนดูแลสุขภาพเพราะได้ผลดีทันตาเห็น

    นพ.ลือชา วนรัตน์ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยถึงวิธีการดูแลสุขภาพตนเองช่วงเดินทางไกลเที่ยวปีใหม่นี้ว่า เทศกาลปีใหม่ถือว่าเป็นประเพณีที่สังคมโลกจะต้องมีการเดินทางไปนับถอยหลังในสถานที่ที่ตนต้องการจะไป หรือแม้คนส่วนใหญ่เดินทางกลับถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อร่วมฉลองกับญาติพี่น้อง ในปีนี้ส่วนราชการเริ่มหยุดตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.50
     
  15. เชน

    เชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    268
    ค่าพลัง:
    +1,037
    เรียนถามคุณ หนุ่มและท่านอื่นอยากทราบเกี่ยวกับสมเด็จกรักไม้ขีดพอจะมีข้อมูลและรูปภาพให้อ่านและศึกษาหรือป่าวครับ.ขอบคุณครับ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ข้อมูลที่เป็นหนังสือไม่มีเลยนะครับ

    ต้องขอโทษด้วยครับ

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://ittm.dtam.moph.go.th/data_information/news 53_1.htm

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=5>ฤาษีดัดตน

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=22><!--DWLayoutEmptyCell--></TD><TD vAlign=top colSpan=3>
    ประวัติความเป็นมา "ฤาษีดัดตน " ฤาษี หรือฤษี ความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 หมายถึง นักบวชพวกหนึ่ง มีมาก่อนพุทธกาล สละบ้านเรือนออกไปบำเพ็ญพรตแสวงหาความสงบ
    ปรากฏหลักฐานครั้งแรกในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ใน พ.ศ.2331 เมื่อทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธาราม (ปัจจุบัน คือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ ) และข้อมูลของโรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพน ระบุว่า มีเขาฤาษีดัดตน ซึ่งก็คือ สวนสุขภาพแห่งหนึ่ง อยู่ใกล้พระวิหารทิศใต้ เป็นพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 1 ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รวบรวมการแพทย์แผนโบราณและศิลปะวิทยาการครั้งกรุงศรีอยุธยาไว้ ทรงพระราชดำรินำเอาท่าดัดตนอันเป็นการพักผ่อนอิริยาบถแก้เมื่อยตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และประยุกต์กับคติไทยที่ยกย่องฤษีเป็นครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิทยาการต่างๆ เป็นรูปฤาษีดัดตน แสดงท่าไว้ที่วัดเพื่อให้ราษฎรทั่วไปได้ศึกษาเล่าเรียนและรักษาโรคได้อย่างกว้างขวาง สมัยแรกสร้างนั้นปั้นด้วยดิน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ในปี พ.ศ.2379 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งวัด และโปรดเกล้าฯให้กรมหมื่นณรงค์หริรักษ์ (พระราชโอรสในรัชกาล ที่ 1 พระนามเดิม พระองค์เจ้าดวงจักร) เป็นแม่กอง กำกับช่าง หล่อรูปฤาษีแสดงท่าดัดตน ด้วยสังกะสีผสมดีบุก (เรียกว่า ชิน) จำนวน 80 ท่า เสร็จแล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระราชวงศ์เสนาอำมาตย์ และนักปราชญ์ราชบัณฑิต ร่วมกันแต่งโคลงประกอบรูปฤาษีดัดตน โดยพระองค์เองก็ทรงพระราชนิพนธ์ด้วย และจารึกโคลงเหล่านั้นลงบนแผ่นศาลาติดไว้ตามผนังศาลารายรอบวัด (ก่องแก้ว
    วีระประจักษ์ สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร)

    และยังมีหลักฐานการจารึกในโคลงบานพับแผนก บนแผ่นศิลารายรอบผนังวัดโพธิ์ กล่าวถึงความเป็นมาของ
    ฤาษีดัดตน ว่า
    </TD><TD vAlign=top width=14><!--DWLayoutEmptyCell--></TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2><!--DWLayoutEmptyCell--></TD><TD vAlign=top width=386>ลุศักราชพ้น พันมี เศษเฮย
    ร้อยกับเก้าสิบแปดปี วอกตั้ง
    นักษัตรอัฐศกรวี วารกดิก มาศแฮ
    สุกรปักษ์ห้าค่ำครั้ง เมื่อไท้บรรหาร
    ให้พระประยุรราชผู้ เป็นกรม หมื่นแฮ
    ณรงค์หริรักษ์รัตน์ ช่างใช้
    สังกสีดิบุกผสม หล่อรูป
    นักสิทธิ์แปดสิบให้ เทิดถ้าดัดตน
    เสร็จเขียนเคลือบภาพพื้น ผิวกาย
    ตั้งทุกศาลาราย รอบล้อม
    อาวาสเชตวันถวาย นามทั่ว องค์เอย
    จารึกแผ่นผาพร้อม โรคแก้หลายกล

    </TD><TD vAlign=top colSpan=2><!--DWLayoutEmptyCell--></TD></TR><TR><TD></TD><TD vAlign=top colSpan=3>และปรากฏข้อความในโคลงบทต่อมาจากข้างต้นที่แสดงให้ถึงพระราชประสงค์ของพระองค์ไว้อย่างชัดเจนว่า เพื่อ
    ให้เป็นตำราวิชาการที่จัดไว้ในที่สาธารณะเปิดโอกาสให้ทุกเพศทุกวัยเข้าถึงและศึกษาจดจำนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อ
    ตนเองและครอบครัวได้ตามความประสงค์อย่างกว้างขวางทั่วถึงทุกเวลา

    </TD><TD></TD></TR><TR><TD></TD><TD width=191></TD><TD vAlign=top>เป็นประโยชน์นรชาติสิ้น สบสถาน
    เฉกเช่นโอสถทาน ท่านให้
    พูนเพิ่มพุทธสมภาร สมโพธิ์ พระนา
    ประกาศพระเกียรติยศไว้ ตราบฟ้าดินศูนย์

    </TD><TD width=142></TD><TD></TD></TR><TR><TD></TD><TD vAlign=top colSpan=3>ฤาษีดัดตน ยังปรากฏอยู่ในโคลงประกอบรูปฤาษีดัดตนด้วย ตัวอย่างเช่น โคลงพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 3
    ดัดตนแก้เอวขดขัดขา ความว่า

    </TD><TD></TD></TR><TR><TD></TD><TD></TD><TD vAlign=top>ชฎิลดัดตนนี้น่า นึกเอะ ใจเอย
    ชี้ชื่อสังปติเหงะ หง่อมง้อม
    กวัดเท้าท่ามวยเตะ ตึงเมื่อย หายฮา
    แก้สะเอวขดค้อม เข่าคู้โขยกโขยง



    </TD><TD></TD><TD></TD></TR><TR><TD></TD><TD vAlign=top colSpan=3>โคลงสุพรรณหงส์นิพนธ์ ความว่า



    </TD><TD></TD></TR><TR><TD></TD><TD></TD><TD vAlign=top>ชฎิลฤาษีไร้ โรคร้าย
    อายุยืนอื่นใคร เทียบนา
    ขัดสมาธิไขว้แขนไพล่ ยกตน ขึ้นอา
    วิธีนี้ท่านสอนท่า ก่อนช้านานปี


    </TD><TD></TD><TD></TD></TR><TR><TD></TD><TD vAlign=top colSpan=3>นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาโบราณ สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ได้ให้ความเห็นว่า
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://ittm.dtam.moph.go.th/data_articles/ruesri/index.htm

    <TABLE height=200 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD height=85><TABLE borderColor=#000000 height=10 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=605 border=1><TBODY><TR><TD width=599 height=25>
    ฤๅษี หมายถึง นักพรตหรือนักบวชที่อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร ในตำนานหรือนิทานโบราณ มักจะเรียกผู้ที่เป็นนักบวชว่า "ฤๅษี" ซึ่งเมืองไทยในอดีตน่าจะมีนักบวชประเภทนี้ แสวงหาความสงบสันโดษอยู่ตามป่าเขา เมื่อได้บำเพ็ญเพียรสมาธินาน ๆ อาจมีอาการเมื่อยขบ จึงได้ทดลองขยับเขยื้อนร่างกาย มีการยืดงอดและเกร็งตัวดัดตน ทำให้เกิดเป็นท่าดัดต่าง ๆ ซึ่งทำให้อาการเจ็บป่วย เมื่อยขบหายไปได้ จึงได้ข้อสรุปประสบการณ์บอกเล่าสืบต่อกันมา หรืออาจเกิดจากการคิดค้นโดยบุคคลทั่ว ๆ ไป เพราะในสังคมไทยกว่า 2,000 ปี เรามีศาสนาพุทธเป็นที่ยึดเหนี่ยวในการปฏิบัติตน ดังนั้น นักบวช นักพรต ก็อาจเป็นชาวพุทธที่นิยมนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน หรืออาจเป็นอุบาสกอุบาสิกาและแม้แต่พระสงฆ์
    </TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=599 height=95>
    สำหรับการปั้นเป็นรูปฤๅษีนั้น ไม่มีหลักฐานว่าพระมหากษัตริย์ไทยลอกแบบมาจากที่ใด แต่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าคนไทยเคารพนับถือ ฤๅษีเป็นครูบาอาจารย์ การปั้นเป็นรูปฤๅษีและระบุชื่อฤๅษีเป็นคนคิดค้นท่าเหล่านั้น อาจเป็นกลวิธีให้เกิดความขลัง เพราะผู้ฝึกต้องมาฝึกท่าทางต่าง ๆ กับรูปปั้นฤๅษีเปรียบเสมือนได้ฝึกกับครู เพราะฤๅษีเป็นครูของศิลปวิทยาการต่าง ๆ
    </TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=599 height=1>
    จากที่ผ่านมามีผู้ศึกษาบางคน พยายามเชื่อมโยงว่าคนไทยเลียนแบบท่าฤๅษีดัดตน จากท่าโยคะของอินเดีย แล้วพยายามนำท่าไปเทียบเคียงกัน ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วพบว่าไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะท่าดัดตนของคนไทยไม่ใช่ท่าผาดโผนหรือฝืนร่างกายจนเกินไป ส่วนใหญ่เป็นท่าดัดจามอิริยาบถของคนไทย มีความสุภาพและคนทั่วไปสามารถทำได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในจำนวนท่าฤๅษีดัดตน 80 ท่า มีท่าแบบจีน 1 ท่า ท่าแบบแขก 1 ท่า ท่าดัดคู่ 2 ท่า แสดงถึงการแลกเปลี่ยนความรู้กัน และมีการระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นของต่างชาติ ซึ่งเชื่อว่าเป็นการปั้นเพิ่มเติมขึ้นภายหลัง เพราะมนุษย์ต่างก็แสวงหาแนวทางเพื่อช่วยเหลือตนเอง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีอายุยืนยาว เช่น อินเดีย มีการบริหารร่างกานที่เรียกว่า โยคะ จีนมีการรำมวยจีนที่เรียกว่า ไทเก็ก ไทยมีการบริหารร่างกายด้วย
    ประโยชน์ของการดัดตน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=21> </TD></TR><TR><TD height=161><TABLE height=1197 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="20%" height=38>[​IMG]</TD><TD align=middle width="25%" height=38>การตรวจสมดุลโครงสร้าง ร่างกาย</TD><TD align=middle width="20%" height=38>[​IMG] </TD><TD align=middle width="25%" height=38>ท่าที่ 1 ท่านวด บริเวณกล้ามเนื้อใบหน้า 7 ท่า</TD></TR><TR><TD align=middle width="20%" height=156>[​IMG]</TD><TD align=middle width="25%" height=156>ท่าที่ 2 แก้ลมข้อมือ และแก้ลมในลำลึงค์</TD><TD align=middle width="20%" height=156>[​IMG]</TD><TD align=middle width="25%" height=156>ท่าที่ 3 แก้ปวดท้องและข้อเท้า และแก้ลมปวดศีรษะ</TD></TR><TR><TD align=middle width="20%" height=156>[​IMG]</TD><TD align=middle width="25%" height=156>ท่าที่ 4 แก้ลมเจ็บศีรษะและตามัว และแก้เกียจ</TD><TD align=middle width="20%" height=156>[​IMG]</TD><TD align=middle width="25%" height=156>ท่าที่ 5 แก้แขนขัด และแก้ขัดแขน</TD></TR><TR><TD align=middle width="20%" height=32>[​IMG]</TD><TD align=middle width="25%" height=32>ท่าที่ 6 แก้กล่อน และ แก้เข่าขัด</TD><TD align=middle width="20%" height=32>[​IMG]</TD><TD align=middle width="25%" height=32>ท่าที่ 7 แก้กล่อนปัตคาต และแก้เส้นมหาสนุกระงับ</TD></TR><TR><TD align=middle width="20%" height=159>[​IMG]</TD><TD align=middle width="25%" height=159>ท่าที่ 8 แก้ลมในแขน</TD><TD align=middle width="20%" height=159>[​IMG]</TD><TD align=middle width="25%" height=159>ท่าที่ 9 ดำรงกายอายุยืน</TD></TR><TR><TD align=middle width="20%" height=32>[​IMG]</TD><TD align=middle width="25%" height=32>ท่าที่ 10 แก้ไหล่ ขา และแก้เข่า ขา</TD><TD align=middle width="20%" height=32>[​IMG]</TD><TD align=middle width="25%" height=32>ท่าที่ 11 แก้โรคในอก</TD></TR><TR><TD align=middle width="20%" height=158>[​IMG]</TD><TD align=middle width="25%" height=158>ท่าที่ 12 แก้ตะคริวมือ ตะคริวเท้า</TD><TD align=middle width="20%" height=158>[​IMG]</TD><TD align=middle width="25%" height=158>ท่าที่ 13 แก้ตะโพกสลักเพชร และแก้ไหล่ตะโพกขัด</TD></TR><TR><TD align=middle width="20%" height=48>[​IMG]</TD><TD align=middle width="25%" height=48>ท่าที่ 14 แก้ลมเลือดนัยน์ตามัว และแก้ลมอันรัดทั้งตัว</TD><TD align=middle width="20%" height=48>[​IMG]</TD><TD align=middle width="25%" height=48>ท่าที่ 15 แก้เมื่อยปลายมือปลายเท้า</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://ittm.dtam.moph.go.th/data_articles/thai_mssg/thaimssg00.htm

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=779 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=712><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    องค์ความรู้ เรื่อง "นวดไทย"
    </TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD align=middle> ภูมิปัญญาไทยเกี่ยวกับการนวดไทย สามารถบำบัดรักษาอาการขั้นพื้นฐานได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ไม่ได้รับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปทราบเท่าที่ควร สถาบันการแพทย์แผนไทยตระหนักถึงความสำคัญตรงนี้จึงได้รวบรวมองค์ความรู้ เกี่ยวกับการนวดไทยขึ้นมา
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><CENTER><TBODY><TR><TD align=middle width=120>
    </TD><TD align=left>ประวัติความเป็นมาของการนวดไทย
    ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย, กรุงศรีอยุธยา, กรุงรัตนโกสินธ์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1-6) และสมัยกรุงรัตนโกสินธ์ปัจจุบัน (รัชกาลที่ 7-ปัจจุบัน)

    </TD></TR><TR><TD align=left>
    </TD></TR><TR><TD align=middle width=120 rowSpan=5>[​IMG]
    </TD><TD align=left>ทำเนียบศักดินาเกี่ยวกับนวดไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา
    หลักฐานในปี พ.ศ. 1998 หลังจากไข้ทรพิษระบาด ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เพียง 1 ปี เท่านั้น มีการสถาปนาระบบแพทย์แผนไทยขึ้นอย่างชัดเจน ปรากฎในทำเนียบศักดินา ข้าราชการฝ่ายทหาร และพลเรือนที่ตราขึ้น ในปี พ.ศ.1998

    </TD></TR><TR><TD align=left>
    </TD></TR><TR><TD align=left>คำไหว้ครู โดย เจ้าพระยาเสด็จพระสุเรนทราธิบดี
    </TD></TR><TR><TD align=left>บทคารวะและอฐิษฐาน โดย อาจารย์ณรงค์สักข์ บุญรัตนหิรัญ
    </TD></TR><TR><TD align=left>
    </TD></TR><TR><TD align=middle width=120 rowSpan=3>
    </TD><TD align=left>ประเภทของการนวดไทย
    การนวดไทยแบ่งเป็นประเภท ตามรูปแบบของการนวดได้เป็น 2 ประเภท คือ นวดไทยแบบเชลยศักดิ์ และนวดไทยแบบราชสำนัก

    </TD></TR><TR><TD align=left>ความแตกต่างระหว่างการนวดแบบราชสำนักและเชลยศักดิ์
    </TD></TR><TR><TD align=left>
    </TD></TR><TR><TD align=middle width=120 rowSpan=2>
    </TD><TD align=left>ความรู้ที่จำเป็นเกี่ยวกับการนวดไทย
    หมอนวด ไม่ว่าจะเป็นอาชีพเสริม หรือเพื่อช่วยเหลือกันเอง ภายในครอบครัว ควรมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จำเป็น สำหรับการนวดไทย รวมไปถึงการเตรียมตัว เตรียมร่างกายให้พร้อม และปฏิบัติตามที่จะกล่าวต่อไป เพียงแต่จะเข้มข้นเท่าใด ขึ้นอยู่กับระดับของการนำไปใช้
    </TD></TR><TR><TD align=left>
    </TD></TR><TR><TD align=middle width=120 rowSpan=2>[​IMG]
    </TD><TD align=left>ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการนวดไทยแบบราชสำนัก
    รูปแบบการฝึกหัดนวดไทย ราชสำนัก และมารยาทในการนวด จากท่าน อาจารย์ณรงค์สักข์ บุญรัตนหิรัญ สาธิตประกอบรูปภาพ
    </TD></TR><TR><TD align=left height=42>
    </TD></TR><TR><TD align=middle width=120 rowSpan=2>[​IMG]
    </TD><TD align=left>ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการนวดฝ่าเท้า
    การนวดเท้า เป็นการกระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆ อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถแก้ปัญหาพวกติดเชื้อ พวกผิดปกติของโครงสร้าง การอุดตันของลำไส้ ขาหักอุบัติเหตุ และได้ผลดีในบางกลุ่ม เช่น ท้องผูก หืด เครียด ปัญหาที่กระเพาะปัสสาวะ ปวดศรีษะ โรคไต นิ่วในถุงน้ำดี ไมเกรน หรือแม้แต่พวกไซนัส
    </TD></TR><TR><TD align=left height=25>
    </TD></TR><TR><TD align=middle width=120 rowSpan=2>[​IMG]
    </TD><TD align=left>การประคบสมุนไพร
    การประคบสมุนไพร หมายถึง การนำเอาสมุนไพรทั้งสด หรือแห้งหลายๆ ชนิด โขลกพอแหลก และคลุกรวมกัน ห่อด้วยผ้า ทำเป็นลูกประคบ นึ่งด้วยไอน้ำร้อน และนำไปประคบบริเวณที่ต้องการ
    </TD></TR><TR><TD align=left>
    </TD></TR><TR><TD align=middle width=120 rowSpan=2>
    </TD><TD align=left>ยาเตรียมยาจากสมุนไพรสำหรับการนวดไทย
    ในปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสมุนไพรมากมาย การเลือกรูปแบบยาเตรียม ต้องพิจารณาถึง วัตถุประสงค์ของการใช้ และคุณสมบัติทางเคมี และทางกายภาพ ของผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ตัวอย่างยาที่น่าสนใจ คือ บาล์มไพล(ยาหม่องไพล) ยาทาถู(น้ำมันไพล) พิมเสนน้ำ ลูกกลอนเถาวัลย์เปรียง

    </TD></TR><TR><TD align=left>
    </TD></TR><TR><TD align=middle width=120 rowSpan=3>[​IMG]
    </TD><TD align=left>สมาธิการนวดไทย
    มนุษย์ประกอบด้วยส่วนที่เป็นร่างกาย และจิตใจ ทั้ง 2 ส่วนนี้ไม่แยกจากกัน โดยเด็ดขาด แต่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน โดยจิตใจสามารถ ทำให้ส่วนรูปกายวิปริตแปรปรวน จนเกิดพยาธิสภาพขึ้นได้

    </TD></TR><TR><TD align=left>การฝึกสมาธิ
    ในการฝึกใจ เราจำต้องจับสติให้ได้เสียก่อน และคอยรักษาให้มันแนบอยู่กับใจ ต่อเนื่องกันทุกๆ ขณะ เท่าที่สามารถทำได้ และ แนวคิดการใช้สมาธิกับการนวดไทย

    </TD></TR><TR><TD align=left>
    </TD></TR><TR><TD align=middle width=120 rowSpan=2>[​IMG]
    </TD><TD align=left>บทความเรื่อง สถาบันการแพทย์แผนไทยสนับสนุนคนตาบอดเป็นหมอนวด
    ผู้พิการทางสายตา มีหูที่ยังได้ยิน 2 มือยังมีประสาทสัมผัสที่ดีมาก ด้วยเหตุนี้หมอนวดผู้สายตาพิการหลายคน จึงประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง บางคนก็ยังได้ค่าตอบแทนพิเศษอีก ทำให้พึ่งตนเองได้เป็นอย่างดี

    </TD></TR><TR><TD align=left>
    </TD></TR><TR><TD align=middle width=120 rowSpan=2>
    </TD><TD align=left>บทความเรื่อง สถานการณ์การนวดและแนวทางการวิจัยในอนาคต
    มีคำถามมากมาย ที่ต้องหาตำตอบให้กับหมอแผนปัจจุบัน หรือคนในสังคมปัจจุบัน ที่รู้คุณค่าทางวิทยาศาสตร์ดีพอที่จะตั้งคำถามได้มากมาย
    </TD></TR><TR><TD align=left>
    </TD></TR><TR><TD align=middle width=120 rowSpan=2>
    </TD><TD align=left>บทความเรื่อง กฎหมายคนพิการทางสายตากับการนวดไทย
    การรักษาด้วยวิธีการแพทย์ทางเลือก ได้รับการยอมรับ ในประเทศไทย ในฐานะที่เป็นสาขาของ "การประกอบโรคศิลปะ" กฎหมายปี 2466 เพื่อการควบคุมผู้ประกอบโรคศิลปะ ได้จัด "การนวดไทย" เป็นหนึ่งในสาขา ของการแพทย์แผนไทย

    </TD></TR><TR><TD align=left>
    </TD></TR><TR><TD align=middle width=120 rowSpan=2>
    </TD><TD align=left>บทความเรื่อง คนพิการทางสายตากับการนวดไทย
    ผู้พิการทางสายตา ปกติแล้วจะประสาทสัมผัสดี ทั้งการฟัง และการสัมผัส เราพบว่า อาชีพหนึ่ง ที่ผู้พิการทางสายตา สามารถทำได้ดี คือ หมอนวด

    </TD></TR><TR><TD align=left>
    </TD></TR><TR><TD align=middle width=120 rowSpan=2>
    </TD><TD align=left>แหล่งข้อมูลบน INTERNET เกี่ยวกับเรื่องการนวด
    ไม่ใช่เฉพาะแต่ในประเทศเท่านั้นที่ให้ความสนใจกับการนวดไทย แต่ต่างประเทศเองก็ให้ความสนใจไม่น้อยไปกว่า ดังจะเห็นได้จากมีแหล่งข้อมูลบน INTERNET มากมายที่พูดถึง คำว่า "นวดไทย" หรือ "Thai massage"

    </TD></TR><TR><TD align=left>
    </TD></TR></CENTER></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=19 rowSpan=2>







    </TD><TD vAlign=top width=13 background=images/body_side_07.gif rowSpan=2><!--DWLayoutEmptyCell--> </TD></TR><TR><TD height=20> </TD><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>รู้ทันเล่ห์แฟรนไชส์ลวง!! ฝันหวานรักสบาย ไม่พ้นชวด
    http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9500000153763
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>27 ธันวาคม 2550 08:07 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=327 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=327>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ธุรกิจก๋วยเตี๋ยวบางกอก โยงใยแชร์ลูกโซ่</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ย่างเข้าปีใหม่ หลายคนก็อยากให้มีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต โดยเฉพาะการตัดสินใจที่จะลงทุนในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง โดยที่ตนเองได้เป็นเจ้าของธุรกิจแบบเต็มตัว หลุดพ้นจากมนุษย์เงินเดือน ซึ่งการที่จะลงทุนที่ง่ายที่สุด คงหนีไม่พ้นรูปแบบของแฟรนไชส์ ที่มีบริษัทแม่เป็นผู้เสี่ยงในการดำเนินธุรกิจให้ก่อนครึ่งทาง ทำให้ผู้ที่จะลงทุนในธุรกิจมองการซื้อแฟรนไชส์เป็นอันดับแรก

    แม้คำว่า “แฟรนไชส์” จะเป็นที่คุ้นหูกับคนไทย มาได้ระยะหนึ่ง แต่หากมองให้ดีแล้ว มีน้อยคนนักที่จะเข้าใจความหมายของแฟรนไชส์อย่างแท้จริง ซึ่งบางคนมองว่าเป็นที่ใช้เงินลงทุนในธุรกิจ โดยที่ไม่ต้องลงมือ ดำเนินธุรกิจด้วยตัวเอง รอคอยเพียงเงินปันผลที่จะได้รับในแต่เดือนเท่านั้น ซึ่งรูปแบบดังกล่าวไม่ถือเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างที่หลายคนเข้าใจ

    จากความที่ไม่ได้ศึกษาคำว่าแฟรนไชส์ให้ดีทำให้ที่ผ่านมา หลายคนตกเป็นเหยื่อของธุรกิจแชร์ลูกโซ่โดยไม่รู้ตัว หรือบางคนก็รู้ว่าตัวเองกำลังเข้าสู่ธุรกิจของแชร์ลูกโซ่ แต่ก็ยังเห็นกับผลประโยชน์ที่จะได้รับเพียงเล็กน้อย ที่จะได้รับทุกเดือน แต่เมื่อตนเองได้เข้าสู่ระบบนี้เป็นรายท้ายๆ ก็เสี่ยงที่จะไม่ได้รับเงิน สุดท้ายจึงนำไปสู่การฟ้องร้องเรียกค่าเสีย เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ธุรกิจแฟรนไชส์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>The M@sk ธุรกิจลวงลงทุนสูง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันให้การลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ของคนไทยในปี 51 ไม่ชวดอีกต่อไป ทาง “ผู้จัดการรายวัน” ขอเปิดโปงธุรกิจที่แอบอ้างตนเองว่าเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ แต่เมื่อศึกษาขั้นตอนการดำเนินงานอย่างถ่องแท้แล้ว เป็นเพียงการใช้ชื่อแฟรนไชส์ ไปแอบอ้าง เพื่อทำให้ผู้บริโภคเข้าใจระบบธุรกิจของตนเองได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่สุดท้ายก็เข้าสู่ระบบแชร์ลูกโซ่ที่สุด

    เริ่มจากแฟรนไชส์ร้านศูนย์รวมแอปพลิเคชั่น ภายใต้ชื่อ “The mask” ซึ่งย่อมาจาก Mobile Applications Services and Kiosks ซึ่งใช้กลยุทธ์ล่อใจผู้บริโภค ด้วยยอดการคืนทุนภายใน 3 เดือน จากเงินลงทุนที่สูงถึง 3 แสนบาท แต่สุดท้ายชักดาบกลางอากาศ กวาดเอาเงินหลายสิบล้านบาทจากบรรดาแฟรนไชซีร่วม 80 ราย หายเข้ากลีบเมฆ ไปเมื่อประมาณต้นปี 2548 หลังจากที่เปิดตัวมาได้เพียง 1 ปีเศษเท่านั้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=220 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=220>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>นายพีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ส่งผลให้มีผู้เสียหายเข้ายื่นเรื่องร้องเรียน และกลายเป็นคดีความใหญ่โตกันไป ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจแฟรนไชส์ ในช่วงนั้นตกต่ำมาก เพราะถือเป็นเรื่องฉาวรายแรกในวงการธุรกิจแฟรนไชส์ไทย

    ต่อมารายล่าสุด ได้มีผู้ประกอบการร้านก๋วยเตี๋ยวที่แอบอ้าง วางตัวเองว่าเป็นผู้ประกอบการแฟรนไชส์ร้าน “ก๋วยเตี๋ยวบางกอก” แต่ในทางปฏิบัติ เป็นการดำเนินธุรกิจแบบแชร์ลูกโซ่ เน้นวิธีการด้วยเงินต่อเงิน ชูเงินลงทุนในแฟรนไชส์ก๋วยเตี๋ยวบางกอกประมาณ 45,000 บาท โดยที่ไม่ต้องดำเนินธุรกิจเอง พอถึงสิ้นเดือนก็จะได้รับเงินปันผล 10,000 บาท ขึ้นอยู่กับเงินลงทุนในช่วงแรก ซึ่งวิธีการดังกล่าวผู้ที่ลงทุนเป็นรายแรกๆ ก็ได้รับเงินปันผลจริง และระดมทุนอย่างต่อเนื่อง บางคนหมดเงินลงทุนไปหลายแสนบาท แต่สำหรับผู้ลงทุนช่วงหลัง กลับไมได้รับเงินตามที่ตกลงกันไว้ ส่งผลให้ผู้เสียหายกว่า 200 ราย เข้าแจ้งความ เพื่อดำเนินคดีกับเจ้าของธุรกิจให้ชดใช้ค่าเสียหาย

    ทั้งนี้นายพีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์สากล มหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าวว่า แท้จริงแล้วมีผู้เสียหายในกรณีแชร์ก๋วยเตี๋ยวบางกอกสูงถึง 5,000 ราย แต่บุคคลเหล่านี้ ได้รับเงินไปแล้วจำนวนหนึ่ง หรือได้กำไรจากวงการแชร์ลูกโซ่นี้ไปแล้ว จึงไม่ออกมาแสดงตัว ซึ่งจากการที่นายพีระพงษ์ ได้ไปสอบถามผู้เสียหาย ที่ไปแจ้งความกับดีเอสไอ ก็ได้ข้อสังเกตว่า ผู้เสียหายบางราย เข้าใจระบบแฟรนไชส์เป็นอย่างดี แต่ด้วยพื้นฐานพฤติกรรมของคนไทย ที่รักสบาย ไม่อยากทำงาน แต่ต้องการได้เงิน จึงถูกชักจูงได้ง่าย จากเงินปันผลที่ในช่วงแรกมีการจ่ายจริงทุกเดือน จึงทุ่มเงินลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=212 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=212>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>นักธุรกิจในคราบมิจฉาชีพ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ส่วนนางสาวสมจิตร ลิขิตสถาพร กรรมการผู้จัดการบริษัท แฟรนไชส์โฟกัส จำกัด กล่าวว่า กรณีก๋วยเตี๋ยวบางกอก ถือว่าไม่ใช่ธุรกิจแฟรนไชส์ เพราะระบบแฟรนไชส์คือ การที่ธุรกิจต้องประสบความสำเร็จมาก่อน แล้วถ่ายทอดวิชาไปสู่ผู้อื่น โดยที่ผู้ลงทุนจะต้องดำเนินธุรกิจเอง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนื้ทำให้มีผู้ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก แต่ข้อดีก็คือ จะเป็นตัวเร่งให้มีกฎหมายแฟรนไชส์ออกมาบังคับใช้เร็วขึ้น และจะเป็นบทเรียนให้ประชาชน มีความระมัดระวังและพิจารณาก่อนการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์มากขึ้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=267 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=267>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>จะเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ลงทุน ต้องคิดให้รอบคอบ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> นี่เป็นเพียง 2 ตัวอย่างของธุรกิจที่เข้าข่ายหลอกลวงประชาชน เป็นเกิดเป็นข่าวที่สร้างความฮือฮา และส่งผลต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจแฟรนไชส์ไทยเป็นอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็มีอีกหลายุกรนิจที่แอบอ้างว่าเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ แต่ไมได้ดำเนินงานอย่างจริงจัง หรือยังไม่มีการวางระบบแฟรนไชส์ที่ดีพอ สุดท้ายต้องปิดตัวลง ทำให้ผู้ลงทุนสูญเงินไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็กระทบกับกลุ่มคนเพียงไม่กี่รายเท่านั้น

    ดังนั้นก่อนการลงทุนซื้อธุรกิจแฟรนไชส์อย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ลงทุนควรที่จะศึกษาข้อมูล และประวัติของบริษัทที่จะเป็นคู่ค้าร่วมกันกับเราในอนาคตอย่างถ่องแท้ เพื่อในปีหน้าจะไม่ไม่ชวด ในการเริ่มต้นเป็นเจ้าของธุรกิจ อย่างชื่อปีชวด 2551

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...