พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงตามหาบัวละสังขารแล้ว

    [​IMG]

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ละสังขารแล้วเมื่อเวลา 3.41น.วันที่ 30 ม.ค. หลังอาพาธด้วยอาการปอดติดเชื้อ สิริรวมอายุ 98 ปี
    เมื่อเวลา 4.30น. คณะศิษย์ พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี แจ้งว่า หลวงตามหาบัว ได้ละสังขารแล้ว เมื่อเวลา 3.41 น. ของวันที่ 30 ม.ค. หลังอาพาธต่อเนื่องด้วยอาการปอดติดเชื้อ สิริรวมอายุ 98 ปี
    ทั้งนี้ที่ผ่านมา หลวงตามหาบัว ได้เดินทางเข้ารับการรักษาอาการอาพาธยังโรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ตามคำนิมนต์ของคณะแพทย์โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น และ โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ที่ได้ให้การรักษามาก่อนหน้านี้ และได้เดินทางกลับมาพักรักษาตัวที่วัดป่าบ้านตาดเมื่อวันที่ 3 ม.ค.
    คอลัมน์คาบใบลานผ่านลานพระในหนังสือ พิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 3 มี.ค.2552 ได้เคยตีพิมพ์ประวัติหลวงตามหาบัวเอาไว้จึงขอนำมาเสนออีกครั้งดังนี้
    "ไร้รอยขยับปีกของนกในนภากาศ" หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    โดย.....ภัทระ คำพิทักษ์
    ณ พ.ศ.นี้ คงมีน้อยคนนักที่ไม่รู้จักนาม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี เพราะพระป่ารูปนี้เคลื่อนทัพพระกรรมฐานออกมาบิณฑบาตกู้ชาติ คราวประเทศประสบหายนะเมื่อปี พ.ศ. 2540
    การเคลื่อนแถวพระกรรมฐานออกจากป่ามาสู่เมืองในเวลานั้น ยังผลให้เกิดขึ้นอย่างน้อย 3 ประการ
    1.ไม่เพียงยกบ้านเมืองขึ้นจาก หายนะ การบิณฑบาตความเสียสละครั้งนั้นท่านยังเปิดโลกทัศน์ใหม่ของความสัมพันธ์ ระหว่างธรรมกับโลก วัดกับบ้านเมืองขึ้นด้วย
    สิ่งที่คนทั่วไปเห็นตกลงในบาตรของท่านคือ เงินทองนับหมื่นล้านบาทนั้นว่าน่าอัศจรรย์แล้ว แต่สิ่งที่ตกสู่บาตรอย่างแท้จริงนั้นอัศจรรย์ยิ่งกว่า เพราะท่านบิณฑบาตเอาปัญญา เอาความถูกต้อง เอาความเสียสละและความสามัคคีของคนในชาติออกมา ในที่สุดประเทศไทยซึ่งกำลังตกลงสู่หุบเหวแห่งหายนะจึงถูกยกขึ้นอีกครั้ง หนึ่ง

    หากสิ่งที่กล่าวไปนั้นเป็นนามธรรม แต่ถ้าพินิจข้อเท็จจริงทางประวัติ ศาสตร์ที่ว่า การที่หลวงตามหาบัว ขัดขวางมิให้มีการรวมบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ทำให้ ทิศทางของการแก้ไขปัญหาเข้าสู่ทิศทางที่ถูกต้อง และการที่ผู้คนทั่วสารทิศหลั่งไหลมาร่วมบุญ ปลดสร้อยคอ สร้อยมือ ตุ้มหู แหวน ฯลฯ สละเป็นทานกับท่านนั้นได้กลายเป็นต้นธารของสำนึกอันสำคัญที่ทำให้การขาย พันธบัตรกู้ชาติ 3 แสนล้านบาท หมดเกลี้ยงภายใน 2 วันครึ่ง ทำให้ประเทศปลดภาระหนี้อันมหาศาลออกจากบ่าได้ในที่สุด ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่แม้แต่ผู้บริหารบ้านเมืองยังตื่นตะลึงนั้น เป็นดอกผลของการที่พระภิกษุชราอายุร่วม 80 ปี ต้องหอบสังขารไปทั่วประเทศ การปลุกผู้คนมิให้งอมืองอเท้า แต่ให้ลุกขึ้นออกมาช่วยกันกู้บ้านกู้เมือง
    มิเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นรูปธรรมของ โลกทัศน์ใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างธรรมกับโลก วัดกับบ้านเมือง จะเรียกว่ากระไร?
    2.ในทางธรรมนั้นท่านได้ทำให้คนในสังคมอีกจำนวนมากที่ห่างไกลวัดได้รู้จักพระกรรมฐาน
    3.การเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า ท่านคือ ผู้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดในพุทธศาสนา พระอรหันต์มีจริง พระ นิพพานมีจริง ในขณะที่ทุนนิยมและเทคโนโลยีกำลังลากถูผู้คนให้ไป หมกมุ่นอยู่กับการบริโภคอย่างสุดขั้ว แม้แต่พุทธศาสนาบางส่วนก็หนีไม่พ้นจากพลังเช่นว่านั้น ไม่เพียงแต่ได้สร้างผลสะท้านสะเทือนต่อความคิดความเชื่อความศรัทธาของผู้คน จำนวนมาก หากแต่ยังทำให้พุทธศาสนายืนหยัดเผชิญความผันผวนและเปลี่ยนแปลงของโลกได้ อย่างองอาจ
    "บัว" ดอกนี้กำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ส.ค. ปี พ.ศ. 2457 เป็นบุตรคนที่สองในจำนวน 16 คน ในสกุล "โลหิตดี" ครอบครัวชาวนา จ.มหาสารคาม ซึ่งอพยพมาลงหลักปักฐานที่บ้านตาด จ.อุดรธานี ตั้งแต่ครั้งสถานที่แห่งนั้นยังเป็นป่าดงดิบ
    ในชีวิตนี้ท่านเกิดสองหน หนแรกกำเนิดจาก นายทองดี และนางแพง โลหิตดี ครั้งที่สองเกิดภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ โดยมี พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี เป็นพระอุปัชาย์ เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ปี พ.ศ. 2477
    การเกิดหนแรกเติบโตขึ้นมาด้วยบังใบของพ่อแม่ ก่อนก่อกำเนิดอีกหนแล้วหยั่งรากลึกแผ่ร่มเงาออกไปอย่างไพศาล โดยการนำทางของพระภิกษุ 2 รูป รูปแรกคือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธัมมธโร) วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กทม. ผู้เป็นครูทางปริยัติ และ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บุรพาจารย์ของพระกรรมฐานร่วมสมัยเป็นครูทางปฏิบัติ
    เดิมนั้นท่านมิได้ตั้งใจบวช แต่พ่อแม่เพียรรบเร้า หนักเข้าเมื่อพ่อแม่ ถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ คาวงข้าว เพราะลูกไม่ตอบสนองความปรารถนาดี ท่านจึงตัดสินใจ บวชเรียนเมื่ออายุได้ 21 ปี
    ด้วยพื้นนิสัยเป็นคนทำอะไรทำจริง ลองได้ตั้งมั่นแล้วไม่เลิก เดินหน้าแล้วไม่ถอยหลัง แม้แต่พาควายไปไถนาท่านยังไถตั้งแต่เช้ายันเย็น เปลี่ยนควายถึง 4 ผลัด พอบวชแล้วก็เรียนจริง ปฏิบัติจริง และได้ผลจริง
    ก่อนที่มหา 3 ประโยคผู้ฝักใฝ่การปฏิบัติ บวชเรียนมาแล้ว 7 ปี กำลังเผชิญความผันผวนของการเจริญขึ้นและเสื่อมลงของสมาธิ ก่อนจะมาพบหลวงปู่มั่นที่บ้านโคก ต.ตองโขบ อ.เมือง จ.สกลนคร ในเดือนพ.ค. ปี พ.ศ. 2485 หลวงปู่มั่นผู้มีอนาคตังสญาณได้กล่าวไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 ซึ่งเป็นช่วงที่ท่านหลีกเร้นคณะไปวิเวกอยู่แถวภาคเหนือแล้วว่า "ในอนาคตกาลอีกไม่นาน จะมีพระหนุ่มรูปหนึ่งเข้ามาหาเราเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ เธอจะทำประโยชน์ใหญ่ให้กับประเทศชาติและพระศาสนา"
    การอยู่ร่วมกับหลวงปู่มั่นเป็นเวลานานถึง 8 ปี นั้นได้เปลี่ยนชีวิตของท่านโดยสิ้นเชิง เพียงแค่ฟังธรรมจากหลวงปู่มั่นในครั้งแรก ก็มิลังเลสงสัยแล้วว่า มรรค ผล นิพพาน มีจริงหรือไม่
    ไม่เพียงแค่คลายสงสัย หากแต่ยังตั้งมั่นด้วยว่า "อยากเป็นพระอรหันต์"
    แม้จะมีความปริยัติเป็นเปรียญ 3 ประโยค แต่ท่านก็สำนึกว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าพระอาจารย์มั่นแล้ว ตนเองเป็นเพียงแค่ท่อนซุงท่อนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ท่อนซุงท่อนนี้ก็ได้พัฒนาตนเองกระทั่งได้รับมอบหมายให้เป็นพ่อบ้านใหญ่ ของสำนักพระอาจารย์มั่นที่หนองผือ และท้ายสุดก่อนหลวงปู่มั่นดับขันธ์ยังได้กล่าวกับเหล่าศิษย์รุ่นสุดท้ายที่ หนองผือว่า "สิ้นเราแล้ว ท่านจะพึ่งใคร ให้พึ่งมหาบัว"
    พระอาจารย์มั่นได้มรณภาพเมื่อวันที่ 10 พ.ย. ปี พ.ศ. 2492 วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร หลังจากนั้นในเวลา 23.00 น. ของคืนเดือนดับ แรม 15 ค่ำ เดือน 6 ตรงกับวันจันทร์ที่ 15 พ.ค. ปี พ.ศ. 2493 หลวงตามหาบัวก็บรรลุธรรม ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
    6 เดือนในช่วงนั้นเป็นช่วงคับขันทางจิตของหลวงตามหาบัว ท่านเล่าว่า ตั้งแต่วันเดือน 3 ข้างแรมแล้วที่ถาม ตนเองว่า "เอ จิตนี่ทำไมอัศจรรย์ นักหนานะ"
    ท่านว่า ขณะนั้นจิตมันสว่างไสวมาก แต่พอถามตนเองเช่นว่าแล้ว ขณะจิตหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างไม่คาดฝันว่า "ถ้ามีจุดต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแล คือ ตัวภพ...เพียงเท่านี้เราเลยงงเป็นไก่ตาแตกไปเลย..."
    ท่านติดปัญหานี้อยู่ 3 เดือน ก่อนจะจบลงที่ทางจงกรมหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์
    ท่านว่า "จุดสว่างมันเห็นเป็นดวงอยู่ในจิต สว่างจ้าอยู่ภายในจิตนี้ พูดง่ายๆ เหมือนตะเกียงเจ้าพายุ มันสว่างจากไส้ตะเกียง นั่นตัวไส้มันละคือ ที่จุดที่สว่าง มันก็เห็นอยู่แล้ว นี้ก็เป็นอย่างนั้น มันสว่างจ้าอยู่กับจิต จุดแห่งความสว่างมันก็เห็นได้อย่างขัดๆ แต่มันไม่จี้เข้าตรงนี้สิ กลับไปลูบคลำประสาโง่...ความจริงคำว่า จุดก็หมายถึงจุดผู้รู้นั้นเอง ถ้าเราเข้าใจปัญหานี้ตรงตามความจริงที่ผุดบอกขึ้นมา มันก็ดับกันได้ในขณะนั้นแหละ แต่นี้มันกลับไปงงเสียแทนที่จะเข้าใจ เพราะเราไม่เคยรู้เคยเห็น ถ้ามีจุดก็จุดผู้รู้ ถ้ามีต่อมก็มีต่อมผู้รู้ อยู่สถานใดก็ที่จิตดวงรู้ รู้นั้นแล คือ ตัวภพ อุบายที่ผุดขึ้นภายในจิตนั้นก็บอกชัดๆ ไม่ผิดอะไรเลย แต่เรามันงงไปเอง..."
    ท่านว่า เมื่อความเศร้าหมอง ผ่องใส ความสุข ความทุกข์ รวมลงในอนัตตา เมื่อเฉยด้วยมหาสติมหาปัญญา วางเฉยโดยไม่ใช่เผลอ อะไรผางขึ้นมาไม่ว่า อัตตา อนัตตา มันก็ปัดพรึบคว่ำลง
    "ที่ว่าจุดต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นี่คือตัวนี้ก็มารวมกันแล้ว เศร้าหมอง ผ่องใสอะไร ลงในอนัตตาอันเดียว ผางนี้ขาดสะบั้นไปหมดเลย นี่เวลามันลบนะ มันลบหมดเลย ผางขึ้นมานี่เหมือนฟ้าถล่ม กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ อวิชชาตัวเดียวนี่คว่ำลงจากจิต กระเทือนทั่วโลกธาตุ...จากนั้นมีตั้งแต่ความอัศจรรย์ เรียกว่า กายนี้ไหวเลยเทียวนะ มันเป็นอะไรไม่รู้แหละ เป็นพร้อมกันหมดเลยเวลานั้น ฟ้าดินถล่ม แดนโลกธาตุดับพรึบลงหมดเลย จากนั้นก็ย้ำทีเดียวว่า เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ รู้อย่างนี้ละเหรอ..."
    หลวงตามหาบัว ระบุว่า "ความผ่องใสคือ อวิชชา" ถ้าพลิกเทศนากัณฑ์ "เรียงอริยภูมิ" ซึ่งท่านเทศน์ไว้เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ปี พ.ศ. 2507 ก็จะพบคำอธิบายว่า อวิชชาทั่วๆ ไป ได้แก่ ธรรมชาติที่รวมความลวงทั้งภายนอกและภายในอันเป็นตัวกิเลสไว้ด้วยกัน เปรียบเสมือนต้นไม้ทั้งต้น เมื่อใช้ความเพียรตัดต้นโค่นรากมันแล้ว ก็จะเหลืออวิชชาจริงๆ เมื่อมันรวมที่จิตแห่งเดียว เป็นจุดตัวจริงของอวิชชาแล้ว ถึงมันจะไม่มีสมุนเหมือนเรืองอำนาจ แต่มันก็เก็บรวมสิ่งประหลาดซ่อนไว้ในตัวหลายอย่าง
    สิ่งที่พอเทียบเคียงพอนำจะมาอธิบายได้ แต่ของจริงนั้นเทียบเป็นสมมติไม่ได้ทั้งหมดก็คือ สิ่งที่แทรกซึมอยู่ 4 ประการ
    ความผ่องใสดวงเด่น ประหนึ่งเป็นสิ่งสำเร็จรูปโดยสมบูรณ์แล้ว หนึ่ง
    เป็นความสุขเพราะอำนาจความผ่องใสครองตัวอยู่ ซึ่งเป็นความสุขที่แปลกประหลาด ราวกับเป็นความสุขที่หลุดพ้นจากแดนสมมติ หนึ่ง
    เป็นความองอาจภายในตัวเอง ประหนึ่งจะไม่มีสิ่งอาจเอื้อมเข้าไปเกี่ยวข้องได้ หนึ่ง
    ความติดใจและสงวนธรรมชาตินั้นประหนึ่งทองคำธรรมชาติ หนึ่ง
    ต่อเมื่อได้ผ่านอุปสรรคทั้งหมด นี้ไปแล้ว จึงจะทราบความผิดถูก ของตน
    หากสรรเสริญกันแบบโลกๆ ว่า พระอาจารย์มั่น เป็นสดมภ์หลักของพระกรรมฐานในยุคกึ่งพุทธกาล ก็อาจจะกล่าวได้ว่า ผู้ที่รับไม้สืบต่อแนวปฏิบัติ ปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์มาเป็นสดมภ์หลักของพระกรรมฐานในยุคปัจจุบันได้ อย่างเต็มภาคภูมิคือ หลวงตามหาบัว
    คนส่วนใหญ่อาจจะเพิ่งประจักษ์ถึงบทบาทของหลวงตามหาบัวเอาเมื่อหลังปี พ.ศ. 2540 แต่ผู้ที่รู้ก่อนใครว่าภิกษุรูปนี้จะมีบทบาทสำคัญต่อวงพระกรรมฐานและบ้าน เมืองคือ พระอาจารย์มั่น
    แม้ท่านจะบอกเพียงว่า "สิ้นเราแล้ว ท่านจะพึ่งใคร ให้พึ่งมหาบัว" แต่ถ้าไล่ตามลงไปในรายละเอียดของหลายปีให้หลังต่อมาจะพบว่า เฉพาะบทบาทต่อวงพระกรรมฐานนั้น ท่านมีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาให้พระกรรมฐานหลายรูปซึ่งตกอยู่ในภาวะโค้ง สุดท้ายของการปฏิบัติทางจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานจำนวนมาก ไม่ว่า หลวงปู่บัว สิริปุณโณ หลวงปู่คำดี ประภาโส พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร หลวงปู่หล้า เขมปัตโต หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม หลวงปู่ลี กุสลธโร พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต ฯลฯ รวมทั้งแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ แม่ชีอรหันต์แห่งบ้านห้วยทราย
    แม้แต่หลวงปู่คำดีซึ่งมีอาวุโสพรรษากว่าท่าน และเป็นศิษย์สำนักพระอาจารย์มั่นมาก่อน ก็ยังยอมรับว่าหลวงตาเป็นพระอาจารย์ของท่าน
    เหตุเพราะในช่วงคับขันนั้น จู่ๆ หลวงตาก็ไปปรากฏตัวที่ถ้ำผาปู่ จ.เลย ท่านปิดประตูห้องว่ากันอยู่หลายชั่วโมงใหญ่ จากนั้นหลวงตามหาบัวแยกมาพำนักอยู่กุฏิข้างๆ หลวงตาคำดีท่านว่า เมื่อพิจารณาไปตามการชี้แนะของหลวงตามหาบัวแล้ว "คานแห่ง อวิชชามันขาดสะบั้นลง" ท่านปีติซาบซึ้ง และก้มลงกราบหลวงตามหาบัวในกุฏิตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า
    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ปฐมศิษย์แห่งหลวงปู่มั่นรุ่นแรกๆ ก็ระบุว่า ถ้าอยากจะเห็นว่า สำนักพระอาจารย์มั่นในครั้งอดีตเป็นอย่างไร ก็ให้ไปดูที่บ้านตาด
    "บัว" ดอกนี้ไม่ได้บานเฉพาะองค์ท่านเอง หากแต่ยังได้เพาะบ่มศิษย์ชั้นเพชรน้ำเอกขึ้นในวงกรรมฐานจำนวนมาก สามารถแยกได้ 4 รุ่น
    รุ่นแรกคือ ยุคที่ปักหลักอยู่ที่บ้านห้วยทราย เรียกว่า ยุคห้วยทราย ซึ่งกินระยะเวลาระหว่าง พ.ศ. 2494-2498 ประกอบด้วย 1.พระอาจารย์สิงห์ทอง วัดป่าแก้วชุมพล จ.สกลนคร 2.หลวงปู่บัว วัดป่าหนองแซง จ.อุดรธานี 3.หลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ จ.มุกดาหาร 4.หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากง จ.ร้อยเอ็ด 5.พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม 6.หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ วัดป่านาคูณ จ.อุดรธานี 7.หลวงปู่เพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง จ.อุดรธานี 8.หลวงปู่ลี วัดถ้ำภูผาแดง จ.อุดรธานี 9.หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู 10.หลวงปู่คำตัน วัดป่าศรีสำราญ จ.หนองคาย
    ยุดที่สองคือ ยุคบ้านตาดยุคแรก กินระยะเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2499-2510 ประกอบด้วย 1.พระอาจารย์ฟัก สันติธัมโม วัดเขาน้อยสามผาน จ.จันทบุรี 2.อาจารย์แสวง โอภาโส วัดเขาน้อยสามผาน จ.จันทบุรี 3.พระอาจารย์บุญกู้ อนุวัฑโฒ วัดป่าบ้านตาด 4.พระอาจารย์เชอรี่ อภิเจโต วัดป่าบ้านตาด
    ยุคสามคือ ระหว่างปี พ.ศ. 2511-2528 ซึ่งก็มีศิษย์เด่นๆ ร่วม 20 องค์ อาทิ พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสัสโก วัดป่านาคำน้อย จ.อุดรธานี พระอาจารย์สุชาติ สุชาโต วัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี พระอาจารย์บุญทัน ฐิตสีโล วัดเขาเจริญธรรม จ.เพชรบูรณ์ พระอาจารย์ณรงค์ อาจาโร วัดป่ากกสะทอน จ.อุดรธานี พระอาจารย์วันชัย วัดป่าภูสังโฆ จ.อุดรธานี
    ยุคปัจจุบันคือหลังปี พ.ศ. 2528 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคเปิดรั้ววัดบ้านตาดมีผู้เข้าออกจำนวนมาก
    วันนี้แทบไม่มีใครไม่รู้จักนาม หลวงตามหาบัว ประวัติคำสอนของท่านมีอยู่ทั่วไป ทั้งที่เป็นเอกสาร สิ่งพิมพ์ ในอินเทอร์เน็ต หรือกระจายเสียงผ่านสถานีวิทยุ แต่น้อยคนนัก จะเงี่ยหูฟัง แถมยังตั้งข้อกังขาโดยยังไม่ทันลงมือศึกษาปฏิบัติ หลายคนวิพากษ์วิจารณ์และตำหนิติเตียนท่าน แต่ถึงที่สุดแล้วถ้อยคำเหล่านั้นก็เป็นเพียงคำวิจารณ์ที่มีต่อรอยขยับปีกของ นกในนภากาศ
    สำหรับผู้ที่พ้นไปแล้วนั้น ท่านประกาศชัดว่า "เรามีชีวิตอยู่นี้ เราทำด้วยเมตตา สงสารต่อโลก เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เห็นเป็นตัวอย่าง เพราะหลังจากนี้แล้ว เราตายแล้ว เราจะไม่มาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป เป็นตลอดอนันตกาล"




    โพสต์ทูเดย์ กทม.-ภูมิภาค : หลวงตามหาบัวละสังขารแล้ว

    .



    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ด่วน"หลวงตาบัว"ละสังขารแล้ว

    [​IMG]


    เมื่อวันที่ 29 ม.ค. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินจากที่ประทับแรมในตัวเมืองอุดรธานี มาถึงวัดเกสรศีลคุณ หรือวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เป็นการส่วนพระองค์ โดยมีนายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี นำข้าราชการเฝ้ารับเสด็จฯ ที่เรือนประทับรับรอง ภายในวัดป่าบ้านตาด ก่อนเสด็จเฝ้าเยี่ยมอาการหลวงตามหาบัว ที่ห้องปลอดเชื้อกุฏิหลวงตามหาบัว
    ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่อาพาธยังพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องปลอดเชื้อ โดยการรักษาอาการอาพาธของหลวงตามหาบัวครั้งนี้ มีแนวคิดแบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือรักษาตามแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือก ซึ่งหมายถึง “หมอจีน” แม้ว่าจะมีคำแถลงของคณะสงฆ์ออกมาทุกครั้งว่า การรักษาอาการอาพาธหลวงตามหาบัว จะเลือกใช้ทั้ง 2 ทาง แต่วันนี้กลุ่มเครือญาติหลวงตามหาบัว ได้ทำจดหมายเวียนลงชื่อ 89 คน ถึงคณะสงฆ์และคณะแพทย์ ไม่ยินยอมให้คณะแพทย์ใช้ยาปฏิชีวนะกับหลวงตามหาบัว หลังจากร่วมประชุมกันและได้ข้อสรุปตั้งแต่คืนวันที่ 28 ม.ค.

    โดยใจความในหนังสือโดยย่อ ระบุว่า “ ด้วยลูกหลาน ญาติพี่น้อง ในองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ประชุมกันแล้ว มีความเห็นตรงกันเป็นหนึ่งเดียวว่า ขอปฏิเสธขอให้การรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะทุกประเภท และปฏิเสธการใช้สารโปรตีนแอลบูลมีนทุกประการ เพราะเห็นชัดเจนแล้วว่า ก่อนใช้ยาปฏิชีวนะและสารโปรตีนแอลบูลมีนแล้ว อาการของหลวงตานั้นแจ่มใส แข็งแรง พอสมควร แต่ภายหลังการใช้ยาดังกล่าวอาการองค์หลวงตาขาดการตอบรับ ทั้งนี้การรักษาพยาบาลและดำเนินการใดๆ ต่อองค์หลวงตา ให้เป็นไปตามวิธีการของท่านอาจารย์วันชัย วิจิตโต โดยความเห็นชอบของหลวงปู่ลี กุสลธโร ตามที่คณะสงฆ์ได้ลงความเห็นร่วมกัน เมื่อช่วงเช้าวันที่ 28 ม.ค. ณ กุฏิองค์หลวงตา”

    ด้านนายสมผล ตระกูลรุ่ง ตัวแทนของกลุ่มญาติของหลวงตามหาบัวฯ และนางสมจันทร์ ศิริสุวรรณ ลูกของนางศรีเพ็ญ โลหิตดี น้องสาวของหลวงตามหาบัวฯ ร่วมกันเปิดเผยว่า ญาติๆองค์หลวงตามหาบัวฯ เห็นการรักษาที่ผ่านๆมานั้น อาการยังไม่ดี โดยญาติๆ ยังมีความมั่นใจว่าการรักษาโดยวิธีการทางธรรมชาติ ซึ่งเคยรักษามาก่อนแล้วน่าจะเป็นประโยชน์ต่อธาตุขันธ์ต่อองค์หลวงตามหาบัวฯ เพราะในภาวะอย่างนี้ธาตุขันธ์ขององค์หลวงตารับไม่ได้กับยาปฏิชีวนะ ที่ผ่านมาหลวงตาเคยเทศน์เอาไว้ว่าถูกกับยาจีน ท่านเคยหายจากโรคมะเร็งลำไส้เพราะยาจีน
    นางสมจันทร์ฯ กล่าวว่า ญาติๆของหลวงตามีความเห็นว่า อยากให้ทำการรักษาด้วยยาของอาจารย์วันชัยฯ และการที่ญาติๆหลวงตามหาบัวฯออกมาแสดงตัวเช่นนี้ ก็ไม่ได้เจตนาที่หลบหลู่การรักษาของคณะแพทย์ แต่ญาติๆของหลวงตาฯ ต่างเห็นพ้องกัน

    ต่อมากลุ่มญาติหลวงตามหาบัว ยังแจกจ่ายเอกสารอีก 1 ฉบับ เป็นข้อตกลงแนวทางการรักษาหลวงตามหาบัว วันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นบทสนทนาของ นพ.พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผอ.รพ.ศูนย์อุดรธานี กับคณะศิษย์ฯ ยอมรับว่า ได้หยุดใช้ยาปฏิชีวนะและโปรตีนแอลบูลมีนแล้ว ให้แต่น้ำเกลือกับสารอาหาร และเครื่องช่วยหายใจแต่ไม่มาก หลังจากให้การรักษา ความดันก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

    ส่วนบรรยากาศที่วัดป่าบ้านตาดตั้งแต่ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ ได้มีพุทธศานิกชนหลายพันคน เดินทางมาทำบุญตักบาตรที่หน้าวัด และเข้ามาในวัดเฝ้าติดตามดูอาการอาพาธของหลวงตามหาบัว หลังจากเมื่อวันที่ 28 ม.ค. มีกระแสข่าวลือสะพัดว่า “หลวงตาจะละสังขาร” จนคณะสงฆ์ และคณะแพทย์ ต้องออกมาแถลงอาการในช่วงบ่าย ว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ส่วนภายในวัดป่าบ้านตาด มีพระสงฆ์สายวิปัสสนากรรมฐาน หรือพระวัดป่า ทั้งใกล้และไกล เดินทางมาเฝ้าอาการหลวงตามหาบัวฯเช่นกัน มีหลายองค์จำวัดอยู่ภายในวัดป่าบ้านตาด บางองค์เดินทางกลับหลังจากทราบอาการ ขณะพุทธศาสนิกชนหลังจากใส่บาตร ได้เข้ามาร่วมทำบุญสงเคราะห์โลก ถวายผ้าป่าทองคำ ดอลลาร์เข้าคลังหลวง ผ้าป่าช่วยชาติ และผ้าป่าสร้างอาคารสงฆ์อาพาธ 98 หลวงตามหาบัว รพ.ศูนย์อุดรธานี จำนวนมากอย่างไม่ขาดสาย บางส่วนคอยฟังคำแถลงอาการอาพาธของหลวงตา และคอยเวลาเข้าไปกราบหลวงตาที่กุฏิ ซึ่งคณะสงฆ์อนุญาตในบางช่วงเวลา

    ด้านพระอาจารย์อินถวาย สันตุสโก เจ้าอาวาสวัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี อ่านแถลงว่า คณะแพทย์ได้กราบรายงานต่อคณะสงฆ์ว่า เมื่อวันที่ 28 ม.ค. เวลา 17.00 น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงร่วมประชุมกับคณะศิษย์ หลวงตายังมีอาการเหนื่อยอ่อนเพลีย สัญญาณชีพปกติ ฟังเสียงปอดด้านขวาผิดปกติ เอ็กซเรย์ปอดพบชายปอดด้านขวาทึบ แพทย์วินิจฉัยว่า มีอักเสบติดเชื้อในกระแสโลหิต หลวงตาอนุญาตให้ใช้ยาปฏิชีวนะนัดระงับอาการติดเชื้อ แพทย์ได้ถวายการรักษาเพื่อประคับประคองธาตุขันธ์ จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน

    “อาการหลวงตามหาบัว ทรงๆทรุดๆ ผู้ที่อยู่ทางไกลก็ตั้งจิตอธิษฐาน ขอประกอบคุณงามความดี สิ่งใดที่ไม่ดีก็ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ เท่านั้นก็บูชาองค์หลวงตาบัวแล้ว” พระอาจารย์อินถวาย กล่าว

    ต่อมาเวลา 15.00 น. พระอาจารย์นภดล บันทะโน เจ้าอาวาสวัดป่าดอยลับงา จ.กำแพงเพชร ได้รับมอบหมายจากคณะสงฆ์ ร่วมกับ นพ.พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผอ.รพ.อุดรธานี แถลงอาการอาพาธของหลวงตามหาบัวว่า วันนี้หลวงตามหาบัวยังมีอาการอ่อนเพลีย หอบเหนื่อย และมีเสมหะ ยังคงใส่เครื่องช่วยหายใจและพบยังมีไข้อยู่เล็กน้อย ความดันโลหิตเริ่มลดต่ำลง ส่วนผลเอกซเรย์ปอดพบว่า มีการอักเสบในกลีบปอดข้างขวาล่างเพิ่มมากขึ้น โดยสรุปปัญหาขณะนี้ คือ ปอดอักเสบติดเชื้อ ความดันโลหิตลดต่ำลง หัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นบางครั้ง สำหรับการรักษานั้น เป็นแบบประคับประคอง โดยให้อาหารทางเส้นเลือด
    เวลา 18.10 น. พระอาจารย์นภดล ได้ประกาศแถลงข่าวอาการอาพาธของหลวงตามหาบัวอีกครั้ง ซึ่งคณะแพทย์มีความเห็นว่าอยู่ในขั้นวิกฤติ ทางคณะสงฆ์มีความเห็นจะแถลงอาการทุก 1 ชั่วโมง โดยเมื่อเวลา 18.00 น.หลวงตามหาบัวมีความดันลดลง อยู่ที่ 74/32 การหายใจที่หน้าอกลดลงกว่าเดิมและแรงกว่าเดิมเป็นบางครั้ง แต่ยังคงสม่ำเสมอ ต่างจากเมื่อ 15.00 น.ที่ได้แถลงข่าวอาการของหลวงมหาบัวว่ายังไม่น่าวิตกมากนัก กระทั่งเวลาผ่านไป 3 ชั่วโมง อาการหลวงตามหาบัวเริ่มเข้าขั้นวิกฤติ เนื่องจากยาพิเศษที่ใช้รักษาหมดลงไป คณะแพทย์ต้องสั่งให้นำยาขึ้นเครื่องบินมาส่ง และได้นำมารักษาหลวงตาฯ ซึ่งในขณะนี้อาการเริ่มดีขึ้น โดยความดันขึ้นมาอยู่ที่ 80/35 จนเวลา 18.50 น.ความดันอยู่ที่ 82 ซึ่งคณะแพทย์ได้เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด
    ล่าสุด เมื่อเวลา 03.35 น. วันที่ 30 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลวงตาบัว ได้ละสังขาร แล้ว สิริอายุรวม 98 ปี คณะแพทย์เตรียมแถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้งเช้านี้


    Daily News Online > หน้าภูมิภาค > ด่วน"หลวงตาบัว"ละสังขารแล้ว


    .
    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=420&contentID=118285


    .



    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ta-b.gif
      ta-b.gif
      ขนาดไฟล์:
      46.3 KB
      เปิดดู:
      430
    • bu-b.gif
      bu-b.gif
      ขนาดไฟล์:
      44.7 KB
      เปิดดู:
      424
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2011
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พลิกปูมประวัติ“หลวงตามหาบัว”

    [​IMG]


    พระราชญาณวิสุทธิโสภณ หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เกิดเมื่อวันอังคารที่ 12 ส.ค.2456 ชื่อบัว โลหิตดี บิดาชื่อนายทองดี มารดาชื่อนางแพง โลหิตดี อยู่ที่บ้านตาด โดยหลวงตาบัวเป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 16 คน ที่เกิดมาในตระกูลชาวนาผู้มีฐานะดี ในสมัยที่ยังเป็นเด็กอยู่นั้น หลวงตาบัวได้เคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ร่วมทำบุญตักบาตรกับผู้ใหญ่อยู่เสมอ เมื่ออายุครบ 20 ปี พ่อแม่จึงอยากจะให้บวชตามประเพณี แต่หลวงตามีท่าทีเฉยๆ ทำให้พ่อแม่ถึงกับน้ำตาร่วง จนหลวงตารู้สึกสะเทือนใจ และเห็นใจพ่อแม่เป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจจะยอมบวชตามที่พ่อแม่ต้องการ และให้เป็นไปตามประเพณี เพื่อตอบแทนพระคุณพ่อแม่ โดยตั้งใจในตอนแรกว่าจะบวชให้เพียงระยะสั้นเท่านั้น

    เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2477 เป็นวันที่หลวงตามหาบัวได้บวช ณ วัดโยธานิมิตร บ้านหนองขอนกว้าง ต.หนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมีท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากได้บวชเพื่อทดแทนพระคุณบิดรและมารดาแล้ว หลวงตาบัวได้ตั้งใจเอาบุญเอากุศลอย่างจริงจัง เมื่อก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ โดยใฝ่ภาวนา และตั้งจุดมุ่งหมายของชีวิต

    ต่อมาได้ออกจากบ้านตาดไปศึกษาเล่าเรียนในที่ต่างๆ กระทั่งได้ตั้งสัจอธิษฐานไว้ว่า “เมื่อจบเปรียญ 3 ประโยคแล้ว จะออกปฏิบัติโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่มีข้อแม้ไม่มีเงื่อนไข เพราะอยากพ้นทุกข์เหลือกำลังอยากเป็นพระอรหันต์นั่นเอง” ทำให้การศึกษาทางโลกของหลวงตาบัว จบประถม 3 ทางบาลีจบเปรียญ 3 และทางนักธรรมก็จบนักธรรมเอก เป็น 3 ตรงกันหมด 3 วาระ

    ขณะเรียนปริยัติอยู่นั้น เมื่อว่างจากการเรียนหลวงตา พยายามหลบหลีกจากหมู่เพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกัน แอบไปนั่งสมาธิในกุฏิคนเดียว หรือเดินจงกรมในช่วงเวลาดึกๆอยู่เสมอ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติกรรมฐาน ก่อนออกไปแสวงหาครูบาอาจารย์ทางธรรมะ

    ช่วงหนึ่ง ได้ออกเดินทางจาก จ.นครราชสีมา มุ่งหน้าไป จ.อุดรธานี ตั้งใจไว้ว่าจะไปจำพรรษากับอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อาจารย์ทางฝ่ายวิปัสสนา ที่วัดป่าโนนนิเวศน์แต่ไม่พบ เลยจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งสว่าง จ.หนองคาย ประมาณ 3 เดือน ก่อนที่จะเดินทางไปหาอาจารย์มั่น ที่ บ้านโคก ต.หนองโขบ อ.เมือง จ.สกลนครในเวลาต่อมา และก็มีโอกาสได้พบกับอาจารย์มั่นสมใจ พร้อมกับได้ถวายตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์มั่น และได้อยู่ปรนนิบัติให้กับอาจารย์มั่น พร้อมปฏิธรรม บำเพ็ญเพียรตามป่าเขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    นอกจากจะเป็นพระนักปฏิบัติธรรมแล้ว หลวงตาบัวยังเป็นพระนักสงเคราะห์ ในการบริจาคทุนทรัพย์ช่วยเหลือแก่หน่วยงานราชการต่างๆมาโดยตลอด อาทิเช่น การช่วยเหลือบริจาคอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ ก่อสร้างโรงพยาบาล สถานีอนามัย สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ ทั่วประเทศ รวมทั้งต่างประเทศ คือประเทศ สปป.ลาว

    ความเมตตาสงเคราะห์โลกของหลวงตาบัว มิใช่ว่าจะสิ้นสุดเพียงที่กล่าวมา ท่านยังให้ความเมตตาเผื่อแผ่ไปช่วยเหลือหน่วยงานอื่นๆอีกมากมาย เช่น กก.ตชด.24 อุดรธานี สถานีรถไฟอุดรธานี ตำรวจทางหลวง ตำรวจภูธร รพช. เรือนจำ สถานสงเคราะห์เด็กหญิงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ศูนย์สงเคราะห์บุคคลปัญญาอ่อนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บ้านเด็กแสงตะวัน ศูนย์เลี้ยงเด็ก โรงเรียนต่างๆ บ้านเลี้ยงสุนัข บ้านสงเคราะห์เด็กปากเกร็ด บ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ ฯลฯ ซึ่งในแต่ละปีเป็นจำนวนเงินมหาศาล

    ในปี พ.ศ.2540 ประเทศไทยประสบกับปัญหา “วิกฤต” ทางเศรษฐกิจและความสับสนทางสังคม ที่ขยายวงกว้างขึ้นไปจนกลายเป็นความทุกข์ โดยรวมของคนทั้งชาติ ด้วยความเมตตาสงสารอย่างบริสุทธิ์ใจต่อพี่น้องชาวไทย หลวงตามหาบัวจึงได้ปรารภขึ้นด้วยความห่วงใยว่า “จำเป็นต้องอาศัยความสามัคคีของพี่น้องไทยทุกคน ให้ต่างเสียสละช่วยกันอย่างจริงจัง” เมื่อคำปรารภดังกล่าวกระจายออกไปสู่สังคมกว้างขึ้น ผู้ที่เคารพศรัทธาในหลวงตามหาบัว และผู้มีความรักชาติเป็นพื้นฐานเดิมในใจอยู่แล้ว ต่างออกมาแสดงน้ำใจสละเงินทองช่วยกัน เมื่อคนไทยทั้งในและต่างประเทศรับรู้เรื่องมากขึ้น น้ำใจแห่งความ “รักชาติ” จึงเริ่มหลั่งไหลมาช่วยเหลือไม่ขาดสาย กลายเป็นที่มาของ “โครงการผ้าป่าช่วยชาติ” ที่หลวงตามหาบัวต้องฝืนสังขารไปแสดงธรรมเทศนาเพื่อรับบริจาคในการช่วยชาติ แล้วหลวงตามหาบัวก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 เม.ย.41 โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเป็นประธานและเงินทองที่ได้มาจากการบริจาคนี้ หลวงตามหาบัวจะยกให้กับคลังหลวงทั้งหมด ซึ่งเป็นวาระสุดท้ายของหลวงตามหาบัว ที่ช่วยโลกอย่างเต็มหัวใจ

    การช่วยชาติครั้งนี้ หลวงตามหาบัวมีความมุ่งหมายไว้ ที่ทองคำน้ำหนัก 10 ตัน และดอลล่าร์ 10 ล้านดอลล่าร์

    นี่คือโครงการแห่งคุณค่าแห่งความรักชาติ คุณค่าแห่งความเสียสละ คุณค่าแห่งความสามัคคีของพี่น้องชาวไทย รวมตัวกันเข้าอุ้มชาติไทยทั้งชาติขึ้นได้ มีหลวงตามหาบัวเป็นผู้นำทาง ชี้แสงสว่าง โดยใช้ธรรมะเป็นสื่อให้คนไทยลุกขึ้นมาช่วยชาติ จนประสบความสำเร็จ ที่จะต้องจดจำและบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทย.


    Daily News Online > ข่าวหน้า 1 > พลิกปูมประวัติ“หลวงตามหาบัว”
    .

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=561&contentId=118300

    .



    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.

    [​IMG]


    คมชัดลึก :"หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.สิริมายุรวม 98 ปี ทีมแพทย์แถลงอีกครั้งเช้านี้

    รายงานข่าวจากวัดป่าบ้าน ตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ว่าเมื่อเวลา 03.53 น. หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน" แห่งวัดป่าเกสรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) ละสังขาร แล้ว สิริอายุรวม 98 ปี ซึ่งคณะแพทย์เตรียมแถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้งเช้านี้

    สำหรับ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน" แห่งวัดป่าเกสรศีลคุณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี นั้น นาม บัว โลหิตดี ชาติภูมิ ในครอบครัวชาวนาผู้มีอันจะกิน ณ บ้านตาด อุดรธานี เกิดเมื่อ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๕๖ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน๙ ปีฉลู ณ บ้านตาด อำเภอหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานี บิดา นายทองดี โลหิตดี มารดา นางแพงศรี โลหิตดี พี่น้องทั้งหมด ๑๖ คน สถานภาพ

    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน สมัยเด็ก เคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา โดยได้ร่วมทำบุญตักบาตรกับผู้ใหญ่อยู่เสมอ วัยหนุ่ม เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว ขยันขันแข็ง ทำงานอะไรทำจริงๆ จังๆ เป็นที่ไว้วางใจของพ่อแม่ในการงานทั้งปวงคู่ครอง เดิมไม่เคยคิดจะบวช เพราะอยากมีครอบครัว แต่มักมีอุปสรรคให้แคล้วคลาดทุกทีไป เหตุที่บวช เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี พ่อแม่ขอร้องให้บวชตามประเพณีอยู่หลายครั้ง ท่านก็ทำเฉย ๆ ตลอดมา ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด ในครั้งสุดท้ายนี้ ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า หวังพึ่งใบบุญจากการบวชของลูกให้ได้ ถึงกับทำให้พ่อแม่น้ำตาร่วง ครั้งนี้ท่านรู้สึกสะเทือนใจและเห็นใจพ่อแม่มาก จึงตัดสินใจ และยอมบวชตามประเพณี เพื่อตอบแทนพระคุณพ่อแม่ โดยตั้งใจไว้ในตอนต้นนี้ว่า จะบวชเพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น วันบวช ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ณ วัดโยธานิมิตร อุดรธานี

    พระอุปัชฌาย์ ชื่อ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์(จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ โดยมีท่านพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายานามว่า "ญาณสมฺปนฺโน" แปลว่า "ถึงพร้อมแล้วด้วยการหยั่งรู้" เคารพพระวินัย ด้วยเดิมมีนิสัยจริงจัง จึงบวชเพื่อเอาบุญกุศลจริง ๆ และตั้งใจรักษาสิกขาบทวินัยน้อยใหญ่ ่อย่างเคร่งครัด ในพรรษาแรกท่านได้ตั้งสัจอธิษฐานว่า ในการทำวัตรเช้า-เย็นรวมและการบิณฑบาต จะไม่ให้มีวันใดขาดเลย และท่านก็ทำได้ตามที่ตั้งคำสัตย์ไว้ เรียนปริยัติ เมื่อได้เรียนหนังสือทางธรรม ตั้งแต่นวโกวาท พุทธประวัติ ประวัติพระสาวกอรหันต์ ที่ท่านมาจากสกุลต่างๆตั้งแต่พระราชา เศรษฐี พ่อค้า จนถึงประชาชน

    หลังจากฟังพระพุทธโอวาทแล้วต่างก็เข้าบำเพ็ญเพียร ในป่าเขาอย่างจริงจัง เดี๋ยวองค์นั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในป่า เดี๋ยวองค์นี้สำเร็จในเขา ในเงื้อมผาในที่สงบสงัด ท่านก็เกิดความเชื่อเลื่อมใสขึ้นมา อยากจะเป็นพระอรหันต์ พ้นจากทุกข์ทั้งปวงในชาตินี้อย่างพระสาวกท่านบ้าง สงสัย ช่วงเรียนปริยัติอยู่นี้ มีความลังเลสงสัยในใจว่า หากท่านดำเนินและปฏิบัติตามพระสาวกเหล่านั้นจะบรรลุถึงจุดที่พระสาวกท่าน บรรลุหรือไม่ และบัดนี้จะยังมีมรรคผลนิพพานอยู่ เหมือนในครั้งพุทธกาลหรือไม่ ตั้งสัจจะ ด้วยความมุ่งมั่นอยากเป็นพระอรหันต์บ้าง ท่านจึงตั้งสัจจะไว้ว่า จะขอเรียนบาลีให้จบแค่เปรียญ ๓ ประโยคเท่านั้น ส่วนนักธรรมแม้จะไม่จบชั้นก็ไม่เป็นไร จากนั้นจะออกปฏิบัติกรรมฐานโดยถ่ายเดียว จะไม่ยอมศึกษาและสอบประโยคต่อไปเป็นอันขาด เรียนจบ ท่านสอบได้ทั้งนักธรรมเอก และเปรียญ ๓ ประโยคในปีที่ท่านบวชได้ ๗ พรรษา ณ วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ และสถานที่แห่งนี้เอง เป็นที่แรกที่ท่านได้มีโอกาสพบเห็นท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

    ต่อมา ได้กลายเป็นพระอาจารย์องค์สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน ออกปฏิบัติ เมื่อเรียนจบมหาเปรียญแล้ว แม้จะมีพระมหาเถระในกรุงเทพฯ สนับสนุนให้ท่านเรียนต่อในชั้นสูง ๆ ขึ้นไปก็ตาม แต่ด้วยท่านเป็นคนรักคำสัตย์ยิ่งกว่าชีวิต ดังนั้นเมื่อมีโอกาส ท่านจึงเข้ากราบลาพระผู้ใหญ่ และออกปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจัง โดยมุ่งหน้าไปทางป่าเขาแถบจังหวัดนครราชสีมา แล้วเข้าจำพรรษาที่ อำเภอจักราช นับเป็นพรรษาที่ ๘ ของการบวช พากเพียร ท่านเร่งความเพียรตลอดทั้งพรรษา ไม่ทำการงานอื่นใดทั้งนั้น มีแต่ทำสมาธิภาวนา-เดินจงกรมอย่างเดียวทั้งวันทั้งคืน จนจิตได้รับความสงบจากสมาธิธรรม มุ่งมั่น แม้พระเถระผู้ใหญ่ท่านอุตส่าห์เมตตาตามมาสั่งให้กลับเข้าเรียนบาลีต่อที่ กรุงเทพฯอีก แต่ด้วยความมุ่งมั่นและตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ที่จะพ้นทุกข์ให้ได้ภายในชาตินี้ ท่านจึงหาโอกาสปลีกตัวออกปฏิบัติได้อีกวาระหนึ่ง จิตเสื่อม

    จากนั้นท่านกลับไปบ้านเกิดของท่าน เพื่อทำกลดไว้ใช้ในการออกวิเวกตามป่าเขาจิตที่เคยสงบร่มเย็น จึงกลับเริ่มเสื่อมลง ๆ เพราะเหตุที่ทำกลดคันนี้นี่เอง เสาะหา..อาจารย์ เดือนพฤษภาคม ๒๔๘๕ เดินทางไปขออยู่ศึกษากับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เหตุการณ์บังเอิญกุฏิที่พักเพิ่งจะว่างลงพอดี ท่านพระอาจารย์มั่นจึงเมตตารับไว้ และเทศน์สอนตรงกับปัญหาที่เก็บความสงสัยฝังใจมานานให้คลี่คลายไปได้ว่า ดินฟ้าอากาศแร่ธาตุต่างๆ เขาเป็นของเขาเอง เขาไม่ได้เป็นมรรคผลนิพพาน เขาไม่ได้เป็นกิเลส กิเลสจริง ๆ มรรคผลนิพพานจริง ๆ อยู่ที่ใจ หากกำหนดจิตจ่อด้วยสติที่ใจแล้ว จะเห็นความเคลื่อนไหวของทั้งธรรม ทั้งกิเลสในใจ

    ขณะเดียวกันจะเห็นมรรคผลนิพพานไปโดยลำดับ ปริยัติ..ไม่เพียงพอ จากนั้นท่านพระอาจารย์มั่นเมตตาแนะต่อว่า ธรรมที่เรียนมาถึงขั้นมหาเปรียญมากน้อยเพียงใด ยังไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้ได้ แต่กลับจะเป็นอุปสรรคต่อการภาวนา เพราะอดจะเป็นกังวล และนำธรรมที่เรียนมานั้น มาเทียบเคียงไม่ได้ในขณะที่ทำใจให้สงบ และยังจะกลายเป็นสัญญาอารมณ์ คาดคะเนไปที่อื่น จนกลายเป็นคนไม่มีหลักได้ ดังนั้น เพื่อให้สะดวกในเวลาทำความสงบหรือจะใช้ปัญญาคิดค้น ให้ยกธรรมที่เรียนมานั้นขึ้นบูชาไว้ก่อน ต่อเมื่อถึงกาลอันสมควร ธรรมที่เรียนมาทั้งหมด จะวิ่งเข้ามา ประสานกันกับด้านปฏิบัติ และกลมกลืนกันได้อย่างสนิท

    การศึกษาและปฏิบัติ ท่านได้ศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จนกระทั่งหลวงปู่มั่นมรณภาพเป็นระยะเวลา ๘ ปี และถึงที่สุดแห่งธรรมที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร

    ประวัติศาสตร์ช่วยชาติ เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นวันเปิดโครงการช่วยชาติ โดยมีเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เสด็จไปเป็นประธานเปิดที่สวนแสงธรรม หลวงตาพูดว่า "(เวลานี้) น่าจะเป็นประวัติศาสตร์ก็ได้ในเมืองไทยของเรา ที่ว่าพระเป็นผู้นำนี่ไม่เคยมีนะ เริ่มมีหลวงตาบัวคน เดียวนี้แหละออกประกาศตนทีเดียว โดยไม่มีใครชักชวน ไม่มีโครบอกเล่า ด้วยอำนาจแห่งความเมตตาชักชวนเอง ดูสภาพของเมืองไทยแล้วพี่น้องชาวไทยทั้งหลายต่างคนต่างมีความทุกข์ร้อนทุก หย่อมหญ้ากันไปโดยลำดับลำดาไม่ว่าสถานที่ใด ก็ทนใจอยู่ไม่ได้ จึงต้องออกความคิด ความเห็นในแง่ต่าง ๆ ที่จะนำชาติไทยของเราให้เป็นไปด้วยความแคล้วคลาด ปลอดภัย หาทางใดก็ไม่เจอ ตามความสามารถความคิดอ่านของตัวเอง หาแล้วหาเล่า หาไม่เจอ สุดท้ายก็เลยต้องเอาหลวงตาบัวเป็น ตัวประกัน นำพี่น้องทั้งหลายเพื่อจะบริจาคทรัพย์ที่มีอยู่ของตนเข้าช่วยชาติของเราด้วย ความบริสุทธิ์ใจ นี้แหละเริ่มต้นเหตุเป็นอย่างนี้จึงได้ออกประกาศตน"

    "
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    Archimedes นักคณิตศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องที่สุดในโลกโบราณ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">28 มกราคม 2554 12:36 น.</td></tr></tbody></table>

    [​IMG]
    <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="500"><tbody><tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">Achimedes กับทหารโรมัน </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เมื่อ 287-212 ปีก่อนคริสตกาล นักคณิตศาสตร์ปัจจุบันยกย่อง Archimedes ว่ายิ่งใหญ่เท่า Newton กับ Gauss ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า Archimedes ถือกำเนิด 287 ปีก่อนคริสตกาล และมีบิดาชื่อ Pheidias ซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์ผู้เป็นพระสหายในกษัตริย์ Hieron II แห่งนคร Syracuse ในวัยหนุ่ม Archimedes ได้เคยทูลกษัตริย์ Hieron II ว่า ถ้าพระองค์ทรงหาที่ยืนนอกโลกที่เหมาะสมได้ เขาจะยกโลกทั้งโลกให้พระองค์ทรงเห็น (Archimedes ทำการทดลองนี้ไม่ได้ แต่ Copernicus ทำได้โดยใช้ปากกาเพียงด้ามเดียว โลกก็ถูกย้ายจากตำแหน่งที่เป็นศูนย์กลางของเอกภพ ให้ดวงอาทิตย์อยู่แทน) Archimedes ได้พบทฤษฎีบทคณิตศาสตร์มากมายและได้เขียนตำราวิทยาศาสตร์หลายเล่ม แต่มีหลักฐานเหลือน้อยให้เราเห็นจนทุกวันนี้

    ในสมัย Archimedes นั้นผู้คนคิดว่าดาวฤกษ์ทุกดวงแฝงตัวอยู่ที่ผิวทรงกลม ส่วนโลกอยู่ที่จุดศูนย์กลางของเอกภพเพื่อให้ดาวต่างๆ โคจรไปโดยรอบ แต่ Aristarchus แห่งเมือง Samos ผู้มีอาวุโสกว่า Archimedes 23 ปี ไม่คิดเช่นนั้น เพราะเขาเชื่อว่าโลกและดาวเคราะห์น่าจะโคจรรอบดวงอาทิตย์ แต่เขาไม่มีหลักฐานใดๆ มาสนับสนุน ดังนั้น ความเชื่อของ Aristarchus จึงตกไป แต่ Archimedes มีความเห็นพ้องกับ Aristarchus นอกจากนี้ Archimedes ยังเห็นอีกว่าวิทยาศาสตร์ประยุกต์ เช่น วิศวกรรมศาสตร์ เป็นวิทยาการที่ต่ำต้อยและด้อยค่า เพราะคนที่ศึกษาวิชานี้คิดแต่จะหากำไรเท่านั้น Archimedes จึงทุ่มเทชีวิตเพื่อศึกษาหาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์แทน

    จากเมือง Syracuse บนเกาะ Sicily ในทะเล Mediterranean หนุ่ม Archimedes ได้เดินทางไปเมือง Alexandria ในอียิปต์เพื่อไปศึกษาที่นั่นกับปราชญ์ Conon ผู้เป็นศิษย์ของ Euclid ขณะอยู่ที่อียิปต์ Archimedes ได้เห็นความลำบากของชาวนาเวลาต้องการทดน้ำเข้านา จึงประดิษฐ์สกรูทดน้ำให้ชาวนาได้ใช้ ซึ่ง Archimedean screw ก็ยังคงมีใช้จนทุกวันนี้

    เมื่อกลับบ้าน ถึง Syracuse จะอยู่ไกลจากอียิปต์แต่ Archimedes ก็ยังติดต่อกับบรรดาปราชญ์ในเมือง Alexandria ตลอดเวลา ในช่วงเวลานั้นอาณาจักรโรมันเป็นศัตรูกับอาณาจักร คาร์เทจ ดังนั้นกองทัพโรมันกับกองทัพคาร์เทจ จึงทำสงครามทางทะเลกันเนืองๆ เพราะต่างก็ต้องการยึดครองเมืองท่าทั้งหลายที่ตั้งอยู่รายรอบทะเล Mediteranean ตัวเกาะ Sicily เองมักถูกทหาร Carthage ยึดครองบ่อย เพราะเมืองหลวง Syracuse เป็นเมืองคนรวยที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย และเป็นตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่ดี

    Archimedes เองไม่เคยสนใจการเมือง และการทหาร แต่สนใจเฉพาะคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์เท่านั้น ซึ่งความสนใจนี้ชาวเมือง Syracuse ทุกคนรู้ดี แต่ไม่ว่าใครจะมีปัญหาอะไร ทุกคนจะขอให้ Archimedes ช่วย วันหนึ่งกษัตริย์ Hieron ได้ตรัสบอก Archimedes ว่าพระองค์ได้ประทานทองคำก้อนหนึ่งแก่ช่างอัญมณีแห่งราชสำนักเพื่อทำมงกุฎ แต่เวลาพระองค์ทรงรับมงกุฎ บรรดาเหล่าเสนาได้ทูลพระองค์ว่า ช่างมงกุฎได้ลักลอบเอาเงินปน เมื่อไม่มีใครมีวิธีสกัดเงินออกจากทองคำในมงกุฎได้ Hieron จึงทรงขอร้องให้ Archimedes ช่วย คำขอร้องนี้ได้ทำให้ Archimedes ต้องครุ่นคิดหนักเพื่อหาวิธีพิสูจน์ ความบริสุทธ์หรือความคดโกงของช่างมงกุฎ ตลอดเวลาไม่ว่าจะกิน นอน หรือเดิน แต่เมื่อรู้ว่า ทองคำมีความหนาแน่นมากกว่าเงิน ดังนั้น Archimedes จึงคิดว่ามงกุฎทองคำบริสุทธิ์จะต้องหนักกว่ามงกุฎทองคำปนเงินที่มีน้ำหนัก เท่ากัน ดังนั้นปัญหาที่ต้องคิดต่อ คือ ต้องหาปริมาตรของมงกุฎทองคำบริสุทธิ์กับมงกุฎทองคำปนเงินให้ได้ และเมื่อรู้ความหนาแน่นของเงิน Archimedes ก็สรุปได้ทันทีว่า มงกุฎทองคำที่ปนเงิน จะต้องมีปริมาตรมากกว่ามงกุฎทองคำบริสุทธิ์ แต่การหาปริมาตรมงกุฎไม่ง่ายเลย เพราะมงกุฎมีกนกและลวดลายแกะสลักที่วิจิตรบรรจงจนไม่มีใครสามารถคำนวณ ปริมาตรมงกุฎจากสูตรคณิตศาสตร์ใดๆ ได้

    วันหนึ่งขณะ Archimedes จะอาบน้ำที่สถานอาบน้ำสาธารณะในเมือง ทันทีที่ก้าวเท้าลงอ่างที่มีน้ำเปี่ยมถึงขอบอ่าง น้ำได้ล้นออกมา Archimedes ตระหนักได้ในทันทีว่าปริมาตรของวัตถุที่จมลงในน้ำมีค่าเท่ากับปริมาตรน้ำที่ ล้นออกมาพอดิบพอดี และนี่คือวิธีหาปริมาตรของวัตถุที่เขาพบเป็นคนแรก ความดีใจทำให้รู้สึกตื่นเต้นมาก จึงออกจากวิ่งไปตามถนนในเมือง Syracuse โดยไม่สวมเสื้อผ้าใดๆ (คนสมัยนั้นไม่กังวลเรื่องโป๊เปลือยเหมือนคนปัจจุบัน) พร้อมร้องตะโกนว่า Eureka, Eureka! ซึ่งแปลว่าข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว เหตุการณ์นี้ นักประวัติศาสตร์โรมันสมัย Julius Caesar ชื่อ Vitrivius ได้บันทึกไว้ในประวัติของ Archimedes

    เมื่อกลับถึงบ้าน Archimedes จึงเอามงกุฎจุ่มน้ำให้น้ำล้นออก แล้วเอามงกุฎทองคำบริสุทธิ์จุ่มน้ำจนมิดเช่นกัน และได้พบว่าน้ำที่มงกุฎทั้งสองแทนที่มีปริมาตรไม่เท่ากัน คือ มงกุฎที่ไม่บริสุทธิ์มีปริมาตรมากกว่ามงกุฎบริสุทธิ์ และนั่นก็หมายความว่า ช่างมงกุฎได้ทุจริตอย่างเจตนา

    Archimedes ไม่เพียงจะช่วยแก้ปัญหาวิทยาศาสตร์ถวายแด่กษัตริย์ Hieron เท่านั้น เขายังช่วยออกแบบอาวุธสงครามให้ทหาร Syracuse ใช้ในการป้องกันเมืองด้วย เช่น เมื่อกองทัพโรมันภายใต้การนำของนายพล Marcellus ได้บุกล้อมเมือง Syracuse ในช่วงเวลานั้นกษัตริย์ Hieron ได้เสด็จสวรรคตแล้ว และกษัตริย์ Hieronymus ผู้เป็นพระนัดดาเสด็จขึ้นครองราชย์แทน ทหารโรมัน 15,000 คน ที่ถือโล่ เกราะ และอาวุธ พร้อมเรือ 60 ลำ ได้พยายามปีนกำแพงเมือง และ Plutarch นักประวัติศาสตร์กรีก ได้เขียนบันทึกในอีก 200 ปี ต่อมาว่า Archimedes ได้นำโล่ของทหารที่สามารถสะท้อนแสงได้ดีจำนวนมากมาเรียงกันเป็นโล่ยักษ์ เพื่อโฟกัสแสงอาทิตย์ให้เผาใบเรือของกองทัพโรมันจนไหม้ แล้วบังคับแสงให้ส่องไปที่กองทัพโรมันจนทหารตาพร่ามองอะไรไม่เห็น แต่ทหารโรมันก็ไม่ย่อท้อ ได้ยกทัพเรือมาประชิดเมืองในวันที่ฟ้าสลัวไม่มีแดด จึงทำให้กระจกสะท้อนแสงของ Archimedes ไม่มีประสิทธิภาพ

    <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="500"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="500"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">คัมภีร์ที่มีผลงานของ Achimedes เขียนซ้อนทับ</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    นอกจากนี้ Archimedes ยังได้ประดิษฐ์เครื่องยิงกระสุนหินขนาดใหญ่ทุ่มใส่เรือจนเรือล่ม และได้ประดิษฐ์ตะขอขนาดยักษ์เพื่อดึงเรือขึ้นจากน้ำด้วย และผลงานเหล่านี้ได้ทำให้ Plutarch สรุปว่า Archimedes วัย 75 ปี ประสบความสำเร็จโดยใช้เพียงลูกรอกและคาน ก็สามารถหยุดยั้งการโจมตีของกองทัพโรมันที่เกรียงไกรไม่ให้ยึดครอง Syracuse ได้นานถึง 2 ปี

    ถึงกองทหารโรมันจะพ่ายแพ้ Archimedes แต่ในที่สุด ในปี 212 ก่อนคริสตกาล กองทัพโรมันก็บุกเข้านคร Syracuse ได้โดยการโอบล้อมเมืองจนชาวเมืองขาดอาหาร ขณะนั้น Archimedes ไม่รู้เลยว่าทหารได้เข้าเมือง Syracuse แล้ว เพราะกำลังครุ่นคิดโจทย์คณิตศาสตร์อยู่ โดยได้ขีดเขียนปัญหาที่กำลังคิดบนทราย เมื่อทหารของ Marcellus เดินมา และเอ่ยขอให้ไปพบแม่ทัพของตนเพื่อรายงานตัว แต่ Archimedes กำลังใจลอย (เพราะ Archimedes ใจลอยบ่อย เช่น ตอนวิ่งออกจากอ่าง) ดังนั้นใครจะพูดอะไรก็ไม่สนใจ เมื่อไม่ได้รับความสนใจ ทหารจึงชักดาบแทง เพราะทหารไม่รู้จัก Archimedes เลย เพียงจังหวะเดียวเลือดที่หล่อเลี้ยงสมองคนที่ฉลาดที่สุดในโลกก็ไหลนองดิน

    ในขณะที่มีชีวิตอยู่ Archimedes ชอบค้นคว้าวิชาเรขาคณิตมาก เช่น ศึกษาสามเหลี่ยม วงกลม วงรี สี่เหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า ปิระมิด ลูกบาศก์ กรวย ทรงกระบอก ทรงกลม รูปหลายเหลี่ยม 3 มิติ ที่มีผิว 4 ผิว หรือมากกว่า เช่น รูป cuboctahedron ที่ผิวประกอบด้วยรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่า 20 รูป และรูปห้าเหลี่ยมด้านเท่า 12 รูป โดยได้ศึกษาวิธีหาปริมาตร และพื้นที่ผิวของรูปหลายเหลี่ยมเหล่านั้น

    ผลงานเหล่านี้จึงเป็นการต่อยอดงานของ Euclid และให้กำเนิดวิชาแคลคูลัส ที่ Kepler, Fermat, Leibniz และ Newton ได้คิดเสริมจนกลายเป็นวิชาที่สมบูรณ์แบบในเวลาต่อมา Archimedes ยังได้เสนอวิธีหาพื้นที่ของพาลาโบลาของเกลียว พื้นที่ผิวและปริมาตรของทรงกลม โดยการรวมชิ้นส่วนเล็กๆ นี่ก็คือหลักการทำ intergration ในวิชา calculus

    สำหรับในวิชากลศาสตร์ นอกจากจะพบกฎการลอยและการจมแล้ว Archimedes ยังพบวิธีหาจุดศูนย์กลางมวลของรูป parabola ของครึ่งวงกลม ของกรวยและของครึ่งทรงกลม และได้บุกเบิกการศึกษาด้าน อุทกสถิตศาสตร์ (hydrostaitics) รวมทั้งศึกษาปัญหาเสถียรภาพของวัตถุด้วย นี่คือผลงานของอัจฉริยะนักวิทย์และนักคณิตศาสตร์คนนี้ที่โลกยกย่องว่ายิ่ง ใหญ่เทียบเท่า Newton กับ Gauss

    ตำราคณิตศาสตร์ที่เป็นผลงานของ Archimedes ได้แก่ เรื่อง
    1. On Plane Equilibrium
    2. Quadrature of the Parabola
    3. The Methods
    4. On the Sphere and Cylinder
    5. On Spirals
    6. On Conoids and Spheroids
    7. On Floating Bodies
    8. Measurement of a Circle
    และ 9. The Sand’ Reckonner เป็นต้น

    ข้อสังเกตหนึ่งเกี่ยวกับ ผลงานของ Archimedes คือ ไม่ได้สนใจชีววิทยา และแพทย์ศาสตร์เลย

    ในปี พ.ศ. 2550 Reviel Netz แห่งมหาวิทยาลัย Stanford สหรัฐอเมริกา และ William Noel แห่ง Walter Art Museum ได้เรียบเรียงหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ How a Medieval Prayer Book is Revealing the True Genius of Antiquity’s Greatest Scientist หนังสือนี้จัดพิมพ์โดย Da Capo Press ที่ Philadelphia ราคา 27.50 ดอลลาร์ หนา 313 หน้า ซึ่งได้กล่าวถึงการพบตำราที่ Archimedes เขียนเมื่อ 2,200 ปีก่อนว่า ในปี พ.ศ. 1518 นักคณิตศาสตร์คนหนึ่งได้ลอกผลงานของ Archimedes ลงบนคัมภีร์สวดมนตร์ เพราะในสมัยนั้นกระดาษมีราคาแพงมาก และนักบวชคิดว่าความรู้คณิตศาสตร์ไม่สำคัญ เขาจึงใช้ยางลบๆ ผลงาน Archimedes แล้วเขียนบทสวดลงแทน แต่เขาลบลายเขียนไม่หมด

    ถึงปี พ.ศ. 2449 Johann Ludwig Heierg นักโบราณคดีชาวเดนมาร์กได้พบตำรา Palimpsest นี้ที่กรุง Constantinople (Istanbul) ในตุรกี การเห็นสูตรคณิตศาสตร์ปรากฏรางๆ ร่วมกับบทสวด ทำให้เขาตระหนักในความสำคัญของสิ่งที่เห็น จึงบันทึกภาพทุกหน้าของคัมภีร์ จากนั้นคัมภีร์ก็ได้สาบสูญไป อีก 70 ปีต่อมา คัมภีร์ได้ปรากฏตัวในลักษณะที่เป็นคราบสกปรก มีราขึ้น และปกขาดกระรุ่งกระริ่ง ครั้นเมื่อนักวิชาการตรวจพบว่า มันเป็นงานเขียนเรื่องทฤษฎีของ Archimedes มูลค่าของหนังสือก็พุ่งสูงทันที

    ในวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2541 ที่สถาบัน Christie’s แห่ง New York หนังสือเล่มนี้ถูกซื้อโดยพิพิธภัณฑ์ Walters Art Museum เพื่อให้นักวิชาการใช้แสงอัลตราไวโอเลท และคอมพิวเตอร์อ่านคำจารึกหลายคำที่เลือนราง และคำบางคำที่ถูกลบหายไป รวมทั้งให้คอมพิวเตอร์แยกคำเขียนที่เป็นคณิตศาสตร์ออกจากคำเขียนที่เป็นคำ ศาสนา ผลปรากฏว่าในคำเขียนนั้นมีตัวอย่างคณิตศาสตร์ที่น่าสนใจหลายเรื่อง เช่น เรื่อง Combinatorics ที่ว่า ถ้ามีเงิน 1 ดอลลาร์จะแลกเหรียญ 10, 25 และ 50 เซ็นต์ได้กี่วิธี

    ถึง Archimedes จะเสียชีวิตไปร่วม 2,000 ปีแล้วก็ตาม แต่ความสนใจเกี่ยวกับผลงานของเขาก็ยังมีจนทุกวันนี้ เช่น Richard Silvester แห่งมหาวิทยาลัย Western Australia ได้เคยอธิบายสาเหตุการจมของเรืออย่างไร้ร่องลอยในมหาสมุทร Atlantic แถวเกาะ Bermuda ว่าเกิดจากการที่ฟองแก๊สมีเทน (methane) จากใต้ทะเลได้ผุดขึ้นมากมาย ทำให้ความหนาแน่นของน้ำทะเลบริเวณเรือมีค่าน้อยกว่าความหนาแน่นของเรือ เรือจึงจมลงก้นสมุทรตามหลักของ Archimedes โดยเขาได้เขียนเรื่องนี้ในหนังสือชื่อ The Bermuda Triangle-Mystery No More ในปี พ.ศ. 2539

    ส่วน George Matsas แห่งมหาวิทยาลัย Sao Paulo State ในบราซิล ก็ได้รายงานใน Physical Review D. ฉบับเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2546 ว่า ในกรณีเรือดำน้ำที่ลอยอยู่นิ่งใต้น้ำ ซึ่งขณะนั้นความหนาแน่นของเรือเท่ากับความหนาแน่นของน้ำพอดี แต่ถ้าเรือเคลื่อนที่เร็วสูงมาก อะไรจะเกิดขึ้นกับเรือลำนั้น เพราะเวลาเรือมีความเร็วสูง ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษแถลงว่า มวลของเรือจะมากขึ้น เรือจึงมีความหนาแน่นมากกว่าน้ำ ดังนั้น เรือจะจม แต่สำหรับคนที่อยู่ในเรือเขาจะรู้สึกว่าเรืออยู่นิ่งและน้ำกำลังไหลผ่านเขา ไปด้วยความเร็วสูง เพราะฉะนั้นความหนาแน่นของน้ำจะมากกว่าเรือ เพราะฉะนั้นเรือจะลอย

    ปริศนาจึงมีว่า เรือจะจมหรือจะลอย

    Matsas ได้พบว่าเมื่อเขาใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปอธิบายเรื่องนี้ เรือจะจม เพราะแรงลอยตัวของน้ำกับการเคลื่อนที่ของน้ำ ขึ้นกับความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วง ซึ่งมีผลทำให้โลกส่งแรงกระทำต่อเรือมากขึ้น เรือจึงจม

    เหล่านี้ คือ ความรู้ที่โลกได้จาก Archimedes ณ วันนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังขยายขอบความรู้นั้นให้กว้างไกลยิ่งขึ้น และคาดหวังว่าเมื่อได้อ่าน Archimedes Palimpsest ฉบับสมบูรณ์ (ไม่ทราบว่าจะสมบูรณ์เมื่อไร) แต่สำหรับคนที่สนใจเรื่องนี้ก็สามารถอ่านก่อนได้จาก thewalter.org/archimedes ครับ

    สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.


    .

    http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000012130

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ่าวไทย – อันดามัน คลื่นลมแรงสูง 2-4 เมตร

    อ่าวไทย – อันดามัน คลื่นลมแรงสูง 2-4 เมตร (ไอเอ็นเอ็น)

    กรมอุตุฯ เตือน ฉ.6 คลื่นลมแรงอ่าวไทย - อันดามัน 2 - 4 เมตร เรือเล็กงดออกจากฝั่ง

    กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเตือนภัย "คลื่นลมแรงในทะเลจีนใต้และอ่าวไทยตอนล่าง" ฉบับที่ 6 ลงวันที่ 30 มกราคม มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมทะเลจีนใต้และอ่าวไทยมีกำลังแรงอย่าง ต่อเนื่อง ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันสูง 2 - 4 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือและเรือเล็กควรงดออก จากฝั่ง ในช่วงวันที่ 30 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์นี้

    ส่วนประชาชนที่อาศัยตามบริเวณชายฝั่งทะเลของภาคใต้ฝั่งตะวันออก ให้ระมัดระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงซัดฝั่งในช่วงนี้ไว้ด้วย

    ที่มา ไอ.เอ็น.เอ็น.

     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    “ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์” เสด็จฯ แทนพระองค์พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ “หลวงตามหาบัว” 18.00 น.

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มกราคม 2554 10:27 น.

    สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จฯ แทนพระองค์ ในการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด เวลา 18.00 น โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานโกศโถ และทรงรับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ 3 วัน

    วันนี้ (30 ม.ค.) สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จแทนพระองค์ ในการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด ในช่วงเวลา 18.00 น. โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานโกศโถ และทรงรับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ 3 วัน

    โดยในการนี้ได้พระราชทานพวงมาลาพระราชทาน พวงมาลาประทานของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ วางที่หน้าโกศศพของหลวงตามหาบัว ซึ่งในช่วง 09.00 น.เป็นเวลาที่ทางวัดจัดให้มีการเคลื่อนย้ายศพหลวงตามหาบัว ไปให้ศิษยานุศิษย์ได้ทำความเคารพ

    Manager Online -

    .

    http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9540000012758

    .
     
  8. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอความรู้ด้วยครับพี่หนุ่ม
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นักโภชนาการแนะซื้ออาหารไหว้เจ้าเน้นสดใหม่ เลี่ยงกินของเค็มและมัน <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">30 มกราคม 2554 14:41 น.</td></tr></tbody></table>
    [​IMG]
    ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


    ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ สธ. แนะซื้ออาหารไหว้เจ้าช่วงตรุษจีน เช่น เนื้อสัตว์ ผัก ต้องสด-ใหม่ ปรุงให้สุกก่อนรับประทาน เพื่อความปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการ เลี่ยงการปรุงอาหารรสเค็มและมันจัด อาจส่งผลให้เกิดโรคไต ความดันโลหิตสูง ไขมันอุดตันได้

    นพ.สง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวแนะนำการซื้ออาหารมาไหว้เจ้าและรับประทานในช่วงเทศกาลตรุษจีนว่า ในช่วงนี้จะมีคนไทยเชื้อสายจีนซื้อหาอาหารมาไหว้เจ้าจำนวนมาก ดังนั้นขอให้ดูในเรื่องความสดใหม่ เพื่อความปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการ โดยเนื้อหมูหรือเนื้อสัตว์ทุกชนิดทั้งไก่ เป็ด จะต้องมีสภาพที่สด เนื้อแน่น ไม่มีสารเร่งเนื้อแดง ซึ่งสังเกตได้จากเนื้อที่มีสารเร่งจะมีสีแดงเข้มผิดปกติ อย่างไรก็ตาม สธ.มีความเข้มงวดตรวจสอบและออกรณรงค์เรื่องนี้ต่อเนื่อง ทำให้พบว่าปัจจุบันตามตลาดต่างๆ แทบจะไม่พบสารชนิดนี้เลย

    “ส่วนเนื้อเป็ด ไก่ ควรเลือกซื้อจากร้านที่มีเครื่องหมายรับรองจากกรมปศุสัตว์ ควรเลือกซื้อเนื้อไก่สดไม่มีรอยช้ำ หรือมีจุดเลือดออก และควรปรุงให้สุก นอกจากนี้ เนื้อสัตว์ที่ไหว้เจ้าก่อนรับประทานควรล้างและนำมาปรุงใหม่อีกครั้ง เพื่อกำจัดการปนเปื้อนจากฝุ่น แมลงวันตอม ส่วนผักที่จะนำมาปรุงอาหารควรเลือกผักสด สะอาด หากไม่แน่ใจว่ามีสารฆ่าแมลงหรือไม่ ก่อนปรุงให้นำไปแช่น้ำเกลือ หรือน้ำด่างทับทิมประมาณ 5-10 นาทีแล้วล้างออก” ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ สธ.กล่าว

    นพ.สง่ากล่าวอีกว่า ข้อควรระวังในการปรุงอาหารควรหลีกเลี่ยงรสเค็ม มัน เพราะการปรุงรสให้เค็มเพื่อเก็บอาหารไว้รับประทานนานๆ จะมีผลเสียต่อร่างกายก่อให้เกิดโรคไต ความดันโลหิตสูง หากจะปรุงรสขอให้ใช้เครื่องปรุงรสที่เสริมไอโอดีนจะมีคุณค่าทางโภชนาการ มากกว่า นอกจากนี้ยังเป็นห่วงเรื่องรสมันจัดจากหมูสามชั้น หัวหมู ไก่ เป็ด การรับประทานรสมันมากจะทำให้เกิดโรคไขมันในเลือดสูง และไขมันอุดตันในเส้นเลือด สำหรับเครื่องกระป๋องต้องไม่หมดอายุ ไม่เป็นสนิม เพราะจะมีการปนเปื้อนของสารพิษ รับประทานแล้วก่อให้เกิดมะเร็งได้

    Quality of Life - Manager Online -
     
  10. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
    มีสิ่งที่น่าสนใจครับ

    สำหรับสมาชิกชมรมพระวังหน้า ท่านใดอยากรู้ อยากทราบ บอกผมมา ผมจะแ้จ้งให้ทราบทาง Email ครับ


    .

    ขอความรู้ด้วยอีกคนครับคุณหนุ่ม
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 6 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันจันทร์ แจ่มใส ครับ


    .
     
  12. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    สวัสดียามเช้าครับพี่หนุ่ม
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมแก้การทำบุญครับ

    ผมลงผิด ในการทำบุญและรับพระสมเด็จเนื้อเงิน

    จะนำไปร่วมทำบุญซื้อเสาไฟฟ้า ถวาย สนส.ภูกำพร้า ที่จ.นครพนม

    ซึ่งผมและน้องปฐม ได้ร่วมทำบุญไปด้วยเช่นกันครับ

    ต้องขอโทษท่านผู้อ่านด้วยครับ

    ---------------------------------

    พระพิมพ์หลวงพ่อปาน 1 องค์

    เนื้อชินสนิม(จะแดง) อายุพระองค์นี้ ประมาณ 370-400 ปี แล้ว

    หลวงปู่พระมูนีึยะเถระเจ้้า (หรือหลวงปู่อิเกสาโร) อธิษฐานจิต

    ผมขอมอบให้กับท่านผู้ร่วมทำบุญ "ผ้าป่าปลดหนี้ รุ่งเรืองบารมี ศรีชัยผาผึ้ง" ทำบุญจำนวน 10,000 บา่ท

    [​IMG] [​IMG]

    สำหรับท่านใดที่แจ้งความประสงค์ต้องการพระองค์นี้ และโอนเงินร่วมทำบุญก่อน ผมขอมอบให้กับท่านนั้น

    เริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่ 29 มกราคม 2554

    สิ้นสุดวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554

    .
    http://palungjit.org/threads/%E0%...ml#post4316154


    http://palungjit.org/threads/%E0%...68899.102/



    .



    .



    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมมาแจ้งเรื่องของทำบุญ "ผ้าป่าปลดหนี้ รุ่งเรืองบารมี ศรีชัยผาผึ้ง" ในส่วนของผม

    [​IMG] [​IMG]


    ผมมอบพระพิมพ์ต่างๆให้กับผู้ร่วมทำบุญ "ผ้าป่าปลดหนี้ รุ่งเรืองบารมี ศรีชัยผาผึ้ง" ดังนี้

    ชุดที่ 1 มีจำนวน 2 ชุด ผมมอบให้ท่านที่ร่วมทำบุญชุดละ 100,000 บาท

    ชุดที่ 1 ใน 1 ชุด ประกอบด้วย
    พระสมเด็จ กลักไม้ขีด รุ่นแรก
    พระสมเด็จ Top of the top 1 จำนวน 5 องค์
    พระสมเด็จ Top of the top 4 จำนวน 5 องค์
    พระพิมพ์ "เป็นที่รักของสามโลก" จำนวน 9 องค์ ( 3 เนื้อ )
    พระกริ่งปวเรศ (รุ่น ปี พ.ศ.2434) บุทองคำ จำนวน 1 องค์
    และอื่นๆ

    ชุดที่ 2 มีจำนวน 10 ชุด ผมมอบให้ท่านที่ร่วมทำบุญชุดละ 20,000 บาท

    ชุดที่ 2 ใน 1 ชุด ประกอบด้วย
    พระพิมพ์ "เป็นที่รักของสามโลก" จำนวน 3 องค์ ( 3 เนื้อ )
    พระสมเด็จ กลักไม้ขีด (ลงรัก) จำนวน 1 องค์
    และอื่นๆ

    ให้ทำบุญตั้งแต่วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2554
    สิ้นสุดวันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554
    หลังจากวันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554 (นับตั้งแต่วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ 2554) หากท่านใดมีความสนใจที่ต้องการจะได้พระพิมพ์ในชุดที่ 1 หรือ พระพิมพ์ในชุดที่ 2 กรุณาติดต่อกับพี่แอ๊ว(คุณพิชญ์สินี ชาญปรีชญา) ครับ

    โมทนาบุญทุกประการ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หมายเหตุ 1 ผมไม่ถ่ายรูปพระพิมพ์ลงในเว็บครับ

    หมายเหตุ พระ พิมพ์(พระเครื่อง)ที่ผมจะมอบให้เพื่อเป็นพุทธานุสติและเพื่อบูชานั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ไม่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่องไทย(วง การซื้อ-ขายพระ) ได้ หากท่านต้องการพระพิมพ์(พระเครื่องที่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่อง ของเมืองไทย (วงการซื้อ-ขายพระ) ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญและรับพระพิมพ์(พระเครื่อง)ไป


    แต่ พระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่ผมมอบให้นั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่สร้างขึ้นที่วังหน้า โดยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระบัณฑูรให้สร้างขึ้น โดยช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าเป็นผู้สร้าง และนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (พระอุโบสถประจำวังหน้า) มีการอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) และ หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) อธิษฐานจิต

    แต่ หากจะนำไปเพื่อเป็นพุทธานุสติ และหรือการห้อยคอเพื่อคุ้มครองตนเอง และหรือการบูชาต่างๆ เพื่อเป็นการบูชาพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกุกุกสันโธ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมณโคดม ,หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ( การบูชาพระคุณพระสิวลีเถระเจ้า ,พระอนุรุธเถระเจ้า ,พระอุปคุตเถระเจ้า เนื่องจากการนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกเพิ่มเติม) ,การบูชาพระคุณองค์พระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์ ,พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ,องค์อุปราชวังหน้า รัตนโกสินทร์ทุกๆพระองค์ และทั้งช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า ,วังหลวง ,วังหลัง ,ช่างราษฎร์ทุกๆท่านและเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้าและที่อยู่ในองค์พระพิมพ์(พระเครื่อง)ครับ

    ซึ่ง เรื่องที่ผมได้บอกนั้น เป็นความเชื่อ ,ความเห็นของผม รวมทั้งคณะของผม ซึ่งก็แล้วแต่ท่านผู้ร่วมทำบุญและท่านผู้อ่านทุกๆท่าน จะมีความคิดเห็นอย่างไร ก็สุดแล้วแต่ครับ

    โมทนาบุญทุกประการกับทุกๆท่านครับ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพิมพ์ต่างๆ และพระวังหน้า ที่นำมาให้ร่วมทำบุญในทุกๆบุญ

    หมายเหตุ 1 ผมไม่ถ่ายรูปพระพิมพ์ลงในเว็บครับ

    หมายเหตุ พระ พิมพ์(พระเครื่อง)ที่ผมจะมอบให้เพื่อเป็นพุทธานุสติและเพื่อบูชานั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ไม่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่องไทย(วง การซื้อ-ขายพระ) ได้ หากท่านต้องการพระพิมพ์(พระเครื่องที่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่อง ของเมืองไทย (วงการซื้อ-ขายพระ) ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญและรับพระพิมพ์(พระเครื่อง)ไป


    แต่ พระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่ผมมอบให้นั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่สร้างขึ้นที่วังหน้า โดยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระบัณฑูรให้สร้างขึ้น โดยช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าเป็นผู้สร้าง และนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (พระอุโบสถประจำวังหน้า) มีการอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) และ หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) อธิษฐานจิต

    แต่ หากจะนำไปเพื่อเป็นพุทธานุสติ และหรือการห้อยคอเพื่อคุ้มครองตนเอง และหรือการบูชาต่างๆ เพื่อเป็นการบูชาพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกุกุกสันโธ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมณโคดม ,หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ( การบูชาพระคุณพระสิวลีเถระเจ้า ,พระอนุรุธเถระเจ้า ,พระอุปคุตเถระเจ้า เนื่องจากการนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกเพิ่มเติม) ,การบูชาพระคุณองค์พระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์ ,พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ,องค์อุปราชวังหน้า รัตนโกสินทร์ทุกๆพระองค์ และทั้งช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า ,วังหลวง ,วังหลัง ,ช่างราษฎร์ทุกๆท่านและเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้าและที่อยู่ในองค์พระพิมพ์(พระเครื่อง)ครับ

    ซึ่ง เรื่องที่ผมได้บอกนั้น เป็นความเชื่อ ,ความเห็นของผม รวมทั้งคณะของผม ซึ่งก็แล้วแต่ท่านผู้ร่วมทำบุญและท่านผู้อ่านทุกๆท่าน จะมีความคิดเห็นอย่างไร ก็สุดแล้วแต่ครับ

    โมทนาบุญทุกประการกับทุกๆท่านครับ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
    รองประธานชมรมพระวังหน้า
    และสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน

    คุณIT Man<!-- google_ad_section_end --> (หรือคุณpsombat) ได้แจ้งความประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า

    ดังนั้นคุณIT Man<!-- google_ad_section_end --> (หรือคุณpsombat) จึงพ้นจากตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

    แต่ยังคงเป็นสมาชิกชมรมพระวังหน้าตามเดิม

    รายละเอียด อยู่ใน Email ของทุกๆท่านแล้วครับ

    จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
    sithiphong
    31/1/2554

    .

    .

    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
    .

    PaLungJit.com - ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
    .

    .


    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีการไหว้รับเทพเจ้าโชคลาภไฉ่ซิงเอี้ยประจำปีเถาะ 2554

    ฤกษ์และหลักการไหว้เทพเจ้าโชคลาภ
    <TABLE class=mtext5 cellSpacing=3 cellPadding=3 width="77%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=option width="33%">ฤกษ์กลางคืนวันพุธที่</TD><TD class=option width="13%">2</TD><TD class=option width="35%">กุมภาพันธ์</TD><TD class=option width="19%">2554</TD></TR><TR class=option><TD>เวลา 23.01-01.00</TD><TD class=sideboxtitle>ห้ามปี</TD><TD class=sideboxtitle>มะเมีย มะแม วอก ระกา</TD><TD class=sideboxtitle>ขึ้นธูป</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ตั้งโต๊ะหันไปทาง ทิศเหนือ ( N )
    เพื่ออัญเชิญเทพเจ้าโชคลาภ เทพเจ้าสิริมงคล เทพเจ้าอุปถัมภ์ ประทานพร
    กรณีพื้นที่จำกัด ตั้งโต๊ะไหว้หันออกหน้าบ้าน
    จุดธูปไหว้ไปทางทิศเหนือ ( N ) เพื่ออัญเชิญเทพ ฯ
    เปิดประตูหน้าบ้าน ปิดประตูหลังบ้าน ( ไหว้บนดาดฟ้าก็ได้ )
    ฤกษ์เปิดงาน ชิวสี่
    วันพุธ 6 กุมภาพันธ์ 2554
    เป็นวันธงไชย เอาส้มไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นปีใหม่
    กิจการค้าเจริญรุ่งเรืองสถาพร มั่งมี ศรีสุขตลอดไป

    เครื่องไหว้ในพิธี
    <TABLE class=mtext5 cellPadding=5 width="74%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=content width="10%">1.</TD><TD class=content width="90%">รูปปั้น หรือรูปภาพ องค์เทพ ไฉ่ซิ้งเอี๊ย
    ( ถ้าไม่มี ให้ไหว้ขึ้นธูปทางทิศเหนือ )</TD></TR><TR><TD class=content>2.</TD><TD class=content>แก้วใส่ข้าวสาร หรือกระถางธูป มีกิมฮวยปัก 1 คู่
    ติดการดาษแดง หรืออั้งติ๋ว
    </TD></TR><TR><TD class=content>3.</TD><TD class=content>แจกันดอกไม้ 1 คู่ - ลูกโป่ง 5 ใบ</TD></TR><TR><TD class=content>4.</TD><TD class=content>เชิงเทียน พร้อมเทียนสีแดง 1 คู่</TD></TR><TR><TD class=content>5.</TD><TD class=content>น้ำชา 5 ถ้วย</TD></TR><TR><TD class=content>6.</TD><TD class=content>ถั่ว 1 จาน - ผลไม้ 5 อย่าง หรือส้ม 24 ลูก (ใส่ถาด) </TD></TR><TR><TD class=content>7.</TD><TD class=content>เจไฉ่ 5 อย่าง </TD></TR><TR><TD class=content>8.</TD><TD class=content>สาคูต้มสุกน้ำเชื่อม หรือ อี๊ 5ถ้วย</TD></TR><TR><TD class=content>9.</TD><TD class=content>น้ำใส่ยอดทับทิม 5 ยอด 1 ขัน หรือ 1 แก้ว
    (เพื่อใช้พรมตัวและบ้าน) </TD></TR><TR><TD class=content>10.</TD><TD class=content>หนังสืออัญเชิญ พร้อมคำอธิษฐานขอพ สีชมพูแดง </TD></TR><TR><TD class=content>11.</TD><TD class=content>ซองเงินขวัญถุง ใส่ธนบัตรใหม่ 9 ใบ หรือก้อนทอง 9 ก้อน
    ในถุงแดง เมื่อไหว้เสร็จ นำไปเก็บไว้ในตู้เงินเพื่อเพิ่มพูนทรัพย์
    สำหรับก้อนทอง เก็บไว้ในตู้เงินได้ตลอดไป ส่วนธนบัตร เก็บจน
    ซิ้งเจี่ยที นำธนบัตรไปใช้ได้ เหลือไว้ 3 ใบ
    (เหลือกิน เหลือใช้ เหลือทำบุญ )</TD></TR><TR><TD class=content>12.</TD><TD class=content>อย่างอื่นเพิ่มเติมตามใจ เช่น ชุดเครื่องไหว้ เมื่อไหว้ธูปได้ครึ่งดอก
    เอาเครื่องกระดาษไปเผาเสร็จแล้ว เชิญถาดส้มและลูกโป่งเข้าบ้าน
    แล้วเจาะให้แตก เป็นความหมายขุมทรัพย์แตกเข้าบ้าน</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ตำแหน่งเครื่องไหว้ในพิธี

    [​IMG]
    <TABLE class=mtext5 cellPadding=6 width="100%" align=center border=1><TBODY><TR borderColor=#990000 bgColor=#ededde><TD colSpan=5>
    ด้านหน้า ทิศเหนือ ( N )​
    </TD></TR><TR bgColor=#cccccc><TD width="17%">
    แจกันดอกไม้​
    </TD><TD width="22%">
    เชิงเทียน​
    </TD><TD width="22%">
    กระถางธูป
    </TD><TD width="20%">
    เชิงเทียน​
    </TD><TD width="19%">
    แจกันดอกไม้​
    </TD></TR><TR bgColor=#cccccc><TD>
    น้ำชา
    </TD><TD>
    น้ำชา
    </TD><TD>
    น้ำชา
    </TD><TD>
    น้ำชา
    </TD><TD>
    น้ำชา
    </TD></TR><TR bgColor=#cccccc><TD height=27>
    สาคู​
    </TD><TD>
    สาคู​
    </TD><TD>
    สาคู​
    </TD><TD>
    สาคู​
    </TD><TD>
    สาคู​
    </TD></TR><TR bgColor=#cccccc><TD>
    </TD><TD>
    ส้ม 24 ลูก
    </TD><TD>
    ถั่ว
    </TD><TD>
    ผลไม้ 5 อย่าง​
    </TD><TD>
    </TD></TR><TR bgColor=#cccccc><TD>
    เจไฉ่​
    </TD><TD>
    เจไฉ่​
    </TD><TD>
    เจไฉ่​
    </TD><TD>
    เจไฉ่​
    </TD><TD>
    เจไฉ่​
    </TD></TR><TR bgColor=#cee1e1><TD bgColor=#cee1e1>
    ฯลฯ​
    </TD><TD>
    ฯลฯ​
    </TD><TD>
    ฯลฯ​
    </TD><TD>
    ฯลฯ​
    </TD><TD>
    ฯลฯ​
    </TD></TR><TR bgColor=#cccccc><TD>
    </TD><TD>
    เทียบเชิญเทพ​
    </TD><TD>
    น้ำใส่ยอดทับทิม​
    </TD><TD>
    ซองเงิน​
    </TD><TD>
    </TD></TR><TR borderColor=#990000 bgColor=#ffe8e6><TD colSpan=5 height=31>
    ตำแหน่งผู้ไหว้ ทิศใต้ ( S )​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR class=mtext5><TD width="19%">หมายเหตุ =></TD><TD width="13%" bgColor=#cee1e1>
    ฯลฯ​
    </TD><TD width="68%">ของอื่นเพิ่มเติม เช่น ขนม,เครื่องกระดาษ,มงคล 5 ประเภทตามกำลัง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    <TABLE class=mtext5 width="77%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=content width="14%">วันชิวอิก</TD><TD width="5%"> </TD><TD class=content width="81%">ไหว้พระ - เทพเจ้าขอพร ทานขนมไส้พุทรา เกาลัด</TD></TR><TR><TD> </TD><TD> </TD><TD class=content>ขนมเข่ง, บัวลอย</TD></TR><TR><TD class=content>วันชิวหยี</TD><TD> </TD><TD class=content>ร่วมรับประทานอาหารในครอบครัว</TD></TR><TR><TD class=content>วันชิวซา</TD><TD> </TD><TD class=content>ทำความสะอาดเอาขยะสิ่งปฏิกูลออกจากบ้าน เพื่อต้อนรับ </TD></TR><TR><TD class=content> </TD><TD> </TD><TD class=content>เพื่อต้อนรับ ความมั่งมีศรีสุขในวันเปิดงาน</TD></TR><TR><TD class=content>วันชิวฉิก</TD><TD> </TD><TD class=content>วันเกิดมนุษย์ กินผัก 7 อย่าง งอกงามเพิ่มพูน</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]Update 1 - 1 - 2011[/FONT][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]
    @
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]Webmaster[/FONT] และ อาจารย์ ธรรมวิทย์ ร่วมวิญญูชัย[/FONT]


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • chay.JPG
      chay.JPG
      ขนาดไฟล์:
      44 KB
      เปิดดู:
      1,467
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตรุษจีน ปี2554 การไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ไฉ่ซิ่งเอี้ย ตรุษจีน 54


    วันตรุษจีน ปี 2554 หรือวันปีใหม่ของคนจีน ปีนี้ตรงกับพฤหัสที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 ฤกษ์ที่ดีที่สุดในการไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภปีนี้ ตรงกับเช้ามืดของ วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 24.01-24.59 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ฟ้าเปิด เป็นฤกษ์ที่ดีที่สุด โดยปีนี้องค์ไท้ส่วย จะเสด็จมาทาง ทิศ เหนือ วันนี้ Horoworld จึงขอนำข้อมูล และวิธีการไหว้เทพเจ้า ในวันตรุษจีน มาฝากแฟนๆ Horoworld กันค่ะ



    วันตรุษจีน 2554 วิธีการไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ไฉ่ซิ่งเอี้ย


    [​IMG]


    การไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ไฉ่ซิ่งเอี้ย ตรุษจีนปี 2554


    องค์ไท้ส่วย ประจำปี 2554 นี้ ทรงนามว่า ท่วมเล้งไต่เจียงกุง ซึ่งองค์ไท้ส่วย หรือเทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา นี้เป็นเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ ที่คอยดูแลชะตาชีวิตของผู้คนในแต่ละปี

    ซึ่งในรอบ 60 ปี จะมีเทพเจ้า องค์ไท้ส่วยประจำอยู่ในแต่ละปี รวมทั้งสิ้น 60 องค์ ซึ่งทำหน้าที่รักษาและคุ้มครองดวงปี หรือเฝ้าปี อยู่ ซึ่งแต่ละองค์จะมีอำนาจให้คุณ ดลบันดาลความสุข โชคเคราะห์ ทุกข์ภัย หรือให้โทษแก่ผู้ใด ก็ขึ้นอยู่กับพระเมตตาของท่าน

    โดยเฉพาะท่านที่มีเคราะห์ หรือพื้นดวงชะตาตก ทำอะไรก็ติดขัดไม่ราบรื่น สมหวัง ท่านก็จะช่วยปัดเป่า เคราะห์ภัย บังเกิดแต่ความเป็นศิริมงคล มาสู่ตัวท่านและครอบครัว

    ประเพณีการไหว้ฝากดวงชะตาต่อองค์ไท้ส่วย ในช่วงเริ่มต้นปีใหม่ของจีน(ตรุษจีน) ของทุกๆปี ก็เพื่อให้ท่านที่มีพื้นดวงดีอยู่แล้ว ให้ดียิ่งๆขึ้นไป ส่วนใครที่มีพื้นดวงไม่ค่อยดี ก็จะช่วยขจัดปัดเป่า ผ่อนหนักเป็นเบา แก้ร้ายเป็นดี และโดยเฉพาะท่านที่มีปีเกิดไปชงหรือทับกับองค์ไท้ส่วย ซึ่งในแต่ละปีจะแตกต่างกันออกไป

    ปีนี้ผู้ที่ควรต้องไหว้องค์ไท้ส่วย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอจากคนทั่วไปที่ต้องการไหว้ เพื่อเกิดความเป็นศิริมงคลต่างๆแล้ว ได้แก่คนที่เกิดปีชง กับองค์ไท้ส่วยประจำปีนี้(ปีเถาะ) ได้แก่

    ท่านที่เกิดปีระกา (ชงโดยตรงกับปีเถาะ), ท่านที่เกิดปีเถาะ (ทับองค์ไท้ส่วย), ปีชวดและปีมะเมีย (ปีร่วมชง)

    และท่านที่เกิดปีดังกล่าว ห้ามท่านไปเป็นเจ้าภาพงานศพ หรือไปร่วมพิธีงานศพ แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ห้ามไปไหว้ศพ หรือไปร่วมส่งศพ


    การไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภปีนี้ 2554

    ฤกษ์ที่ดีที่สุดในการไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภในปีนี้ ตรงกับเช้ามืดของ วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 24.01-24.59 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ฟ้าเปิด เป็นฤกษ์ที่ดีที่สุด โดยปีนี้องค์ไท้ส่วย จะเสด็จมาทาง ทิศ เหนือ

    (ซึ่งฤกษ์วันและเวลา จะเปลี่ยนไปทุกปีนะครับ ไม่ตรงกัน รวมถึงทิศที่องค์ไท้ส่วยจะเสด็จมาด้วย)

    เครื่องสักการะ บูชาเทพเจ้าแห่งโชคลาภ มีดังนี้

    1. รูปภาพ หรือรูปปั้น องค์ไท้ส่วย หากไม่มี เวลาไหว้ ก็ให้ระลึกถึง
    2. แจกันดอกไม้สด 1 คู่
    3. เทียนแดง 1 คู่
    4. กระถางธูป 1 ใบ(ปกติให้ใช้แยกต่างหาก เพราะเมื่อไหว้เสร็จแล้ว ต้งออัญเชิญเข้าบ้าน และตั้งบูชาไว้ตลอดปี)
    5. ธูป 3 ดอก ต่อหนึ่งท่าน
    6. หงิ่งเตี๋ย 12 ชุด
    7. กิมหงิ่งเต้า 1 คู่
    8. เทียงเถ้าจี๊ 1 ชุด
    9. ผลไม้ 5 อย่าง
    10. สาคูแดงต้มสุก 5 ถ้วย (ต้มสาคู แล้วใส่น้ำแดงเฮลบลูบอยลงไป)
    11. น้ำชา 5 ถ้วย
    12. ข้าวสวย 5 ถ้วย
    13. เทียบเชิญแดง 1 แผ่น (สำคัญมาก)
    14. ขนมจันอับ 1 จาน
    15. กระดาษสีเขียว 1 แผ่น (เทียบเชิญสีเขียว)
    16. เจไฉ่ 5 อย่าง (เช่น เห็ดหอม, เห็ดหูหนู, ดอกไม้จีน, วุ้นเส้น, ฟองเต้าหู้)

    ซึ่งโดยปกติ ชุดไหว้องค์ไฉ่ซิ่งเอี้ย จะมีขายตามศาลเจ้าจีนทั่วไป หรือร้านขายพวกของมงคลของจีน ซึ่งเมื่อซื้อมาแล้ว ก็ให้เปิดออกมาเช็คดูครับ เพราะบางที่อาจไม่ครบ จะได้เตรียมหาเพิ่มเติมให้เรียบร้อยก่อน ส่วนพวกของไหว้ อย่างข้าวสาร,ผลไม้,สาคูแดง และเจไฉ่ ให้เตรียมในวันไหว้ได้

    ซึ่งหาได้ครบหรือไม่ครบ ก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญที่สุด คือต้องมีเทียบเชิญสีแดง และสีเขียว สองอย่างนี้ จำเป็น เพราะเราต้องเขียนชื่อและที่อยู่ของเราลงไป รวมถึงเขียนเชิญ องค์ไท้ส่วย เพียงแต่เวลาและทิศทาง ให้ถูกต้องตามฤกษ์ของปีนี้

    การประกอบพิธีไหว้

    ให้จัดเตรียมของไหว้ทุกอย่างลงบนโต๊ะพร้อมทั้งหันหน้าไปทางทิศที่องค์ไฉ่ซิ่งเอี้ย จะเสด็จมา โดยให้ทุกคนอยู่หน้าโต๊ะ และผู้ที่ไหว้ หันหน้าไปทาง ทิศเหนือ

    ให้นำเทียบเชิญสีเขียว(เพื่อเชิญเทพเจ้า) มาวางไว้บนโต๊ะในทิศที่อัญเชิญเทพเจ้า

    แล้วนำเทียบสีแดงมาเขียนขอพรจากเทพเจ้า(ตามต้องการของแต่ละบ้าน) และให้ลงชื่อ นามสกุล และวันเดือนปีเกิด ของแต่ละคน ของทุกคนในบ้านลงไป(รวมถึงคนที่อาจไม่ได้มาร่วมไหว้ในวันนี้ แต่เป็นคนในบ้านของท่าน) และเขียนคำขอที่ต้องการให้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ประทานมาให้ในปีนี้


    คำกล่าวอัญเชิญเทพเจ้าไฉ่ซิ่งเอี้ย

    ให้เปล่งเสียงหรืออธิษฐานในใจ กล่าวว่า "วันนีข้าพเจ้า........ ขอเรียนเชิญองค์ไฉ่ซิ่งเอี้ย มารับเครื่องสักการะบูชา ซึ่งมี(กล่าวถึงสิ่งที่ท่านได้จัดเตรียมและนำมาถวาย) และหลังจากองค์ท่านได้รับเครื่องสักการะเหล่านี้แล้ว จงประทานพรให้ครอบครัวของข้าพเจ้าทุกคน จงประสบแต่โชคลาภความสุข และความสำเร็จ สมดังที่มุ่งหวังทุกประการ" (หากท่านมีขอสิ่งใดเป็นพิเศษ ก็ขอต่อไปได้)


    หลังจากทำพิธีเสร็จแล้ว

    ให้นำของไหว้ที่เป็นกระดาษทั้งหมด รวมถึงเทียบเชิญสีแดง และสีเขียว ไปเผาไฟในภาชนะที่เตรียมไว้ จึงจะสัมฤทธิ์ผล แล้วอัญเชิญองค์ไท้ส่วย กระถางธูป เทียนแดง นำเข้าบ้าน ปิดประตูบ้าน เพื่อเชิญองค์ไท้ส่วยเข้าบ้าน ส่วนของที่รับประทานได้ จะทานเลย หรือเก็บไว้ทานวันหลังก็ได้ แต่ไม่ควรทิ้งไป เพราะถือเป็นของมงคล

    หากไม่สะดวก หรือไม่มีเวลาจัดเตรียม แต่มีแรงศรัทธา ก็ใช้เพียงธูปเทียน จุดธูปกล่าวอัญเชิญท่าน ตามฤกษ์และทิศทางที่ท่านจะเสด็จมา โดยตัวคุณต้องหันหน้าไปทาง ทิศเหนือ และกล่าวคำสักการะและขอพรจากเทพเจ้าแห่งโชคลาภ จากนั้นปักธูปลงในกระถาง แล้วกล่างอัญเชิญท่าน เข้ามาทางประตูบ้าน


    ขอขอบคุณข้อมูล จากหนังสือ เสริมดวงชะตาปี ๒๕๕๔ ของ อ.ตั้งกวงจือ และ อ. ธนากร ตันอาวัชนการ
    ขอบคุณข้อมูลดีดี จากเว็บไซต์ http://www.modonut.net/

    .

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตรียมอาหารไหว้เจ้า ของไหว้ วันตรุษจีน หรือ ปีใหม่จีน ปี 2554

    วันตรุษจีน ปีใหม่จีน ประวัติวันตรุษจีน ประเพณีนิยมใน วันตรุษจีน ประเพณีนิยมของชาวจีนและคนไทยเชื้อสายจีนทั่วโลก ถือว่าวันตรุษจีน เป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน Chinese New Year ในปี 2554 นี้ตรงกับวัน พฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

    อาหารไหว้เจ้า ของไหว้ตรุษจีน

    ในวันฉลองตรุษจีนอาหารจะถูกรับประทานมากกว่าวันไหนๆในปี อาหารชนิดต่างๆที่ปฏิบัติกันจนเป็นประเพณี จะถูกจัดเตรียมเพื่อญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง รวมไปถึงคนรู้จักที่ได้เสียไปแล้ว ในวันตรุษครอบครัวชาวจีนจะทานผักที่เรียกว่า ไช่ ถึงแม้ผักชนิดต่างๆที่นำมาปรุง จะเป็นเพียงรากหรือผักที่มีลักษณะเป็นเส้นใยหลายคนก็เชื่อว่าผักต่างๆ มีความหมายที่เป็นมงคลในตัวของมัน
    ความหมายของไหว้ตรุษจีน ความหมายของ ของไหว้วันตรุษจีน
    เม็ดบัว - มีความหมายถึง การมีลูกหลานที่เป็นชาย
    เกาลัด -มีความหมายถึง เงิน
    ถั่วตัด -หมายถึง แท่งเงิน
    สาหร่ายดำ - คำของมันออกเสียงคล้าย ความร่ำรวย
    เต้าหู้หมักที่ทำจากถั่วแห้ง - คำของมันออกเสียงคล้าย เต็มไปด้วยความร่ำรวย และ ความสุข
    หน่อไม้ - คำของมันออกเสียงคล้าย คำอวยพรให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข
    เต้าหู้ - ที่ทำจากถั่วสดนั้นจะไม่นำมารวมกับอาหารในวันนี้เนื่องจากสีขาวซึ่ง เป็นสีแห่งโชคร้าย สำหรับปีใหม่และหมายถึงการไว้ทุกข์
    กล้วย - คนจีนแต้จิ๋วเรียกกล้วยว่า “เกงเจีย” เพื่อให้เกงไล้ หรือ “ตึงโชคเข้ามา”
    องุ่น -คนจีนแต้จิ๋วเรียกองุ่นว่า “พู่ท้อ” หรือเพื่อให้ “งอกงาม” ส้ม เพื่อให้โชคดี
    แอปเปิ้ล - คนจีนแต้จิ๋วเรียกแอปเปิ้ลว่า “ผิ่งก้วย” หรือ “เผ่งก้วย” ไหว้เพื่อให้เผ่งอัน หรือ “โชคดี”
    ไก่ - เพื่ออวยพรให้ก้าวหน้าในงาน เพราะไก่มีหงอนเหมือนหมวกขุนนาง และขันทุกเช้า
    ตับ - เพื่อให้ก้าวหน้าในงานเพราะคนจีนแต้จิ๋วเรียกตับว่า “กัว”
    หมู- เพื่อให้สมบูรณ์พูนสุข
    ปลา - เพื่ออวยพรให้เหลือกินเหลือใช้ ภาษาจีนเรียกว่า “อู่ฮื้ออู่ซึ้ง”
    เป็ด - เพื่อให้มีมากๆ
    ปลาหมึกแห้ง -เพื่อให้มีความรู้ เป็นการอวยพรให้เป็นบัณฑิต หรือผู้มีความรู้
    ของไหว้ตรุษจีน ขนมไหว้วันตรุษจีน

    [​IMG]
    ขนมเข่ง คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม หมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์

    [​IMG]
    ขนมถ้วยฟูคือ ความเพิ่มพูนรุ่งเรือง เฟื่องฟู

    [​IMG]
    ขนมเทียน คือ เป็นขนมที่ปรับปรุงขึ้นจาก ชาวจีนโพ้นแผ่นดินดัดแปลง มาจากขนมท้องถิ่นของไทย จากขนมใส่ไส้เปลี่ยนจาก แป้งข้าวเจ้าผสมกะทิ มาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น รูปลักษณ์เป็นกรวยแหลมมีลักษณะ เป็นมงคลเหมือนเจดีย์

    [​IMG]
    ขนมสาลี่คือ รุ่งเรือง เฟื่องฟู

    [​IMG]
    ขนมไข่คือ ความเจริญเติบโต

    [​IMG]
    ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว คือ ไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค

    [​IMG]
    จันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง ปิ่นโต หมายถึงความหวาน ที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป


    อาหารอื่นๆ รวมไปถึงปลาทั้งตัว เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการอยู่ร่วมกัน และความอุดม- สมบรูณ์ และไก่สำหรับความเจริญก้าวหน้า ซึ่งไก่นั้นจะต้องยังมีหัว หางและเท้าอยู่ เพื่อ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ เส้นหมี่ก็ไม่ควรตัดเนื่องจากหมายถึงชีวิตที่ยืนยาว
    ทางตอนใต้ของจีน จานที่นิยมที่สุดและทานมากที่สุดได้แก่ ข้าวเหนียวหวานนึ่ง บ๊ะจ่างหวาน ซึ่งถือเป็นอาหารอันโอชะ ทางเหนือ หมั่นโถ และติ่มซำ เป็นอาหารที่นิยม อาหารจำนวน มากที่ถูกตระเตรียมในเทศกาลนี้มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวยของบ้าน

    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=3 width=580 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#d7d7d7>อ่านต่อเรื่องเกี่ยวกับวันตรุษจีน </TD><TD align=middle width=180 bgColor=#d7d7d7>วันตรุษจีนในปฏิทินสุริยคติ </TD><TD align=middle width=180 bgColor=#d7d7d7>ประเพณีปฏิบัติของชาวจีน</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ภาพขนมถ้วยฟู และขนมไข่ จาก คุณปูขาเก เซมารู
    ภาพซาลาเปา จาก T-Time Food
    ภาพขนมสาลี่ จาก สาลี่เอกชัย
    ภาพขนมเทียน จาก <A href="http://gotoknow.org" target=_blank>ชุมชนออนไลน์ การจัดการความรู้ เครือข่ายสังคม บล็อก บันทึก ไฟล์อัลบั้ม อนุทิน ถามตอบ เว็บฦlt;/a>
    ภาพขนมเข่ง จาก ~Mone~

    ൃՂ?ҋ҃䋇頨钠?ͧ䋇頇ѹ?Øɨչ ˃׍ ?գˁ訕? ?ՠ2554 : ʙ?Íҋ҃ ǔ?շӍҋ҃ अ紅Ѻ ᅐṐ?Ӄ钹͒˒à: Recipe and Restaurant Community

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • chinese002.jpe
      chinese002.jpe
      ขนาดไฟล์:
      9.4 KB
      เปิดดู:
      1,511
    • chinese007.jpe
      chinese007.jpe
      ขนาดไฟล์:
      7.9 KB
      เปิดดู:
      1,485
    • chinese001.jpe
      chinese001.jpe
      ขนาดไฟล์:
      7.4 KB
      เปิดดู:
      1,504
    • chinese005.jpe
      chinese005.jpe
      ขนาดไฟล์:
      6.6 KB
      เปิดดู:
      1,498
    • chinese008.jpe
      chinese008.jpe
      ขนาดไฟล์:
      6.9 KB
      เปิดดู:
      1,476
    • chinese006.jpe
      chinese006.jpe
      ขนาดไฟล์:
      7.8 KB
      เปิดดู:
      1,479
    • chinese004.jpe
      chinese004.jpe
      ขนาดไฟล์:
      11 KB
      เปิดดู:
      1,486

แชร์หน้านี้

Loading...