พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    น้ำมนต์ชุดนี้ ผมเตรียมนำขึ้นไปที่พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งด้วยเช่นกันครับ

    เมื่อสักพักนี้ สาวสองพันปี โทร.มาหาผม แจ้งว่า จะเดินทางไปกับผม ในการขึ้นไปร่วมงานพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง

    ยินดีมากครับ

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ผมได้จัดเตรียม พระบูชา (หน้าตัก 5" ) จำนวน 3 องค์ ( สุโขทัย , เชียงแสน และอู่ทอง ซึ่งมีจารทั้งองค์ ทั้ง 3 องค์) , พระสมเด็จ (เนื้อกรมท่า) , พระสมเด็จ (เนื้อปัญจสิริ) ,พระขรรค์ท้าวเวสสุวรรณ ,เบี้ยแก้ , พระกริ่งปวเรศ เนื้อนาค องค์ใหญ่ และอื่นๆ ถวายพระอาจารย์ของน้อง<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ปฐม

    สำหรับรายนามผู้ร่วมทำบุญมีด้งนี้
    1.ผม , ผบทบ.ผม และ 2 ครอบครัว
    2.น้องปฐม
    3.น้องสมบัติ
    4.พี่ประทีป

    รายละเอียดผมแจ้งให้ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า , ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า ให้ทราบทาง Email เรียบร้อยแล้ว

    เรื่องค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง ผมและน้อง<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ปฐม จะเป็นผู้ดำเนินการจ่ายให้ครับ

    วันนี้ผมจะเดินทางไปหาคุณnongnooo เพื่อที่จะฝากคุณnongnooo ส่งไปรษณีย์ให้

    มาโมทนาบุญร่วมกันครับ



    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม [​IMG]
    วันนี้กระผมได้รับของที่คุณพี่ nongnooo ส่งให้เรียบร้อยแล้วครับ ผมได้ทำการเปิดดูพระบูชา รวมถึงสิ่งของทุกอย่างที่อยู่ภายในเรียบร้อยดีทุกประการครับ
    พรุ่งนี้ผมจะทำความสะอาดให้เรียบร้อย ขอขอบพระคุณพี่ๆทุกท่านที่เสียสละแรงกายแรงใจสำหรับงานนี้นะครับ ถวายวันไหนผมจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับผม เพราะช่วงนี้อาจารย์ท่านปลีกวิเวกปฎิบัติธรรมอยู่ครับ รอท่านออกก่อนครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    รายชื่อผู้ร่วมทำบุญ พี่ส่งให้แล้วในEmail(เดิม) ครับ

    โมทนาบุญทุกประการ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นำมาฝากตอนเย็นๆครับ

    บะหมี่เย็นเปรี้ยวหวาน โดย... พี่มิ้นท์

    บะหมี่เย็นเปรี้ยวหวาน (ฮิยะชิจููขะ) เอาใจคนชอบบะหมี่ญี่ปุ่น เมนููง่ายๆสไตส์ญี่ปุ่นค่ะ

    [​IMG]

    เครื่องปรุง

    ◊ บะหมี่เหลือง ๔ ก้อน
    ◊ หมููแฮม ๔ แผ่น
    ◊ ไข่ไก่ ๒ ฟอง
    ◊ ถั่วงอก แตงกวา พอประมาณ
    ◊ น้ำมันงา ๑ ช้อนโต๊ะ

    เครื่องปรุงน้ำซอส

    ◊ มิริน น้ำซุป อย่างละ ๑/๒ ถ้วย
    ◊ น้ำตาล ๓ ช้อนโต๊ะ
    ◊ ซีอิ๊วญี่ปุ่น ๕ ช้อนโต๊ะ
    ◊ น้ำส้มสายชูู ๔ ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ

    ◊ ทอดไข่เป็นแผ่นบางๆ ซอยเป็นเส้นยาวๆ

    [​IMG]

    ◊ เตรียมหั่นแตงกวาและแฮม เป็นเส้นยาวๆ ประมาณ ๕ เซนติเมตร
    ◊ ลวกถั่วงอกเกือบสุก คลุกกับน้ำมันงา
    ◊ ลวกบะหมี่จนเกือบสุก นำขึ้นล้างน้ำเย็น ปล่อยให้สะเด็ดน้ำพักไว้

    [​IMG]


    ◊ ทำน้ำซอสโดยนำมิรินลงหม้อ ตั้งไฟให้เดือด ใส่น้ำซุป ซีอิ๊ว น้ำตาล น้ำส้มสายชูู คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ แล้วนำขึ้นพอเย็น นำเข้าพักในตู้เย็น

    [​IMG]


    วิธีจัดเสริฟ

    ◊ นำบะหมี่จัดวางบนจาน ประดับด้วยแตงกวา แฮม ไข่ทอด ถั่วงอก แล้วราดด้วยน้ำซอส หรือยกเสริฟพร้อมน้ำซอส (นำบะหมี่คลุกน้ำมันงานิดหน่อยก่อนวางบนจาน หรือจะเหยาะซีอิ๊วนิดหน่อยก็ได้ค่ะ)

    [​IMG]


    ◊ ส่วนที่เหลือจะแพ็คใส่กล่องเก็บในตู้เย็น ไว้กินวันต่อไป

    ปล. สููตรจาก นายโคอิชิ ฟููนายามา หนังสือง่ายๆสไตล์ญี่ปุ่นค่ะ สููตรนี้มิ้นท์์ทำกินบ่อยค่ะ เป็นอีกทางเลือก ๑ สำหรับคนชอบบะหมี่ญี่ปุ่นค่ะ

    [​IMG]

    [​IMG]

    ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับของที่ใช้ทดแทน ในกรณีีที่หาซื้อเครื่องปรุงไม่ได้

    ◊ ซอสเปรี้ยวญี่ปุ่น ใช้วููสเตอร์ซอสแบบฝรั่งแทนค่ะ
    ◊ เหล้าสาเก ใช้ไวน์ขาวที่ไม่มีรสเปรี้ยวจนเกินไป
    ◊ น้ำซุปสกัด ใช้ซุปปลาก้อนหรือซุปผักก้อนละลายน้ำแทน เพราะโดยมากแล้วซุปสกัดก็ทำมาจากปลาและสาหร่าย

    ของเหล่านี้ก็ดัดแปลงตามประสาคนไกลบ้านค่ะ แบบว่าพอทดแทนกันไปได้ แต่ถ้ามีเพื่อนๆที่มีคำแนะนำหรือเคล็ดลับเด็ดๆ ก็ช่วยบอกมาดังๆเลยนะคะ ยินดีรับฟังค่ะ ชอบด้วยค่ะเรื่องดัดแปลงนี่

    สำหรับแม่บ้านนอร์เวย์ ถ้าคุณไปOslo ที่นี่ค่ะ EKSOTISK-MAT STROMSVEIEN ๖๙ Strommen ๒๐๑๐ Tel;: ๖๓๘๑๓๖๘๘ วันจันทร์ถึงศุกร์ เปิด ๑๐.๐๐-๒๐.๐๐ วันเสาร์ ๑๐.๐๐-๑๘.๐๐ ส่วนร้านอื่นๆจะหาข้อมููลมาให้ทีหลังค่ะต้องไปถามเพื่อนค่ะ แต่ร้านนี้ราคาถููกค่ะ คุณซื้อยกโหล ยกลังได้สบายๆ


    http://www.kruaklaibaan.com/forum/index.php?showtopic=6002


     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บะหมี่เย็น โดย... Kae

    เก๋เอาสูตรบะหมี่เย็นมาให้ค่ะ ส่วนประกอบตามนี้นะคะ (แต่ว่าเก๋ไม่สามารถระบุให้ได้ว่าปริมาณเท่าไหร่ เก๋ใช้แบบเทจากขวดแล้วชิมรสชาติตามชอบน่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ)

    เครื่องปรุง

    ◊ บะหมี่เหลือง
    ◊ ซอสเทริยากิ
    ◊ มายองเนส
    ◊ น้ำส้ม (ที่ใช้สำหรับทำน้ำสลัดน่ะค่ะ)
    ◊ น้ำตาล ๑/๒ ช้อนชา
    ◊ พริกไทยป่น
    ◊ แตงกวาลูกยาวๆ
    ◊ แฮม
    ◊ มะเขือเทศ
    ◊ ปูอัด
    ◊ ไข่ต้ม

    [​IMG]

    วิธีทำ

    ◊ ทีนี้ก็มาต้มบะหมี่กันค่ะ พอเส้นนิ่มแล้วให้ราดด้วยน้ำเย็น จากนั้นให้ให้ใส่ซอสเทริยากิลงไปในบะหมี่นิดหน่อย คนให้เข้ากัน เอาไปแช่ไว้ในตู้เย็น
    ◊ จากนั้นก็มาหั่นส่วนประกอบทั้งหมด หั่นแตงกวาในทางยาว เป็นชิ้นเล็กๆ แฮมก็เหมือนกัน ส่วนปูอัดฉีกเป็นเส้นริ้วๆ ตามยาว มะเขือเทศหั่นเป็นชิ้น ไข่ต้มก็ผ่าแบ่งเป็น 6 ส่วน
    ◊ มาทำน้ำราดด้วยการผสมซอสเทริยากิ กับมายองเนส น้ำส้ม น้ำตาล และพริกไทยป่น คนให้เข้ากัน ชิมรสให้รสชาติของเทริยากินำ รสอมหวานนิดๆ (เก๋ชอบหวาน) ถ้าน้ำราดข้นไปให้เติมน้ำสุกลงไปนิดหน่อย แล้วเอาไปแช่ในตู้เย็น
    ◊ เวลาจะทานก็เอามาแต่งด้วยบะหมี่ปูพื้น แล้วเอาเครื่องปรุงทั้งหมดโปะมันเข้าไป ราดด้วยน้ำที่เตรียมไว้ แล้วก็หม่ำ (เมนูนี้สูตรเก๋เอง ใช้จำเอาจากที่ไปกินมาน่ะค่ะ)

    [​IMG]


     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โพสโดยคุณ พี่มิ้นท์

    บะหมี่เย็นญี่ปุ่นสููตรครููเก๋ค่ะ ทำไม่ยาก อร่อยดี แต่ครููอย่าตัดคะแนนนะจ๊ะ ลืมใส่มะเขือเทศจ้า คุณเก๋ชอบบะหมี่เย็นจะลองสููตรของมิ้นท์บ้างมั้ยคะ เดี๋ยวไปลงให้ในสููตรใครก็สููตรใครนะคะอาจจะถููกใจคุณเก๋


    บะหมี่เย็นญี่ปุ่นสููตรครููเก๋ค่ะ ทำไม่ยาก อร่อยดี แต่ครููอย่าตัดคะแนนนะจ๊ะ ลืมใส่มะเขือเทศจ้า คุณเก๋ชอบบะหมี่เย็นจะลองสููตรของมิ้นท์บ้างมั้ยคะ เดี๋ยวไปลงให้ในสููตรใครก็สููตรใครนะคะอาจจะถููกใจคุณเก๋

    [​IMG]


     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โพสโดยคุณ jinny

    ปรกติชอบทานซารุโซบะมากๆ (บะหมี่เย็นญี่ปุ่น) มีเส้นกับน้ำซุปติดบ้านไว้เสมอค่ะ หิวเมื่อไหร่ก็อร่อยได้ทันที ยิ่งช่วงหน้าร้อนนี่ทานตอนกลางวันแล้วสดชื่นดีค่ะ เห็นพี่หมูแดงเพิ่งเอาเมนูนี้มาลง ฮิยาชิชูกะ ก็เลยต้องขอลองทำซะหน่อยในฐานะคนชอบทานหมี่เย็น

    [​IMG]

    เส้นเป็นของซารุโซบะนะคะ

    [​IMG]

    ทำไว้เผื่อไปทานที่โรงเรียนตอนกลางวันด้วยค่ะ สะดวกดี ขอบคุณคุณ fudge-a-mania และพี่หมูแดงที่เอามาลงค่ะ อร่อยง่ายๆ แถมยังไร้ไขมันด้วย จานนี้ครบสูตรสุขภาพดีจริงๆ

    [​IMG]

     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ฮิยาชิชูกะ (หมี่เย็นสไตล์จีน) โดย... fudge-a-mania

    จากกระทู้ข่างล่างมีคนถามถึงหมี่เย็นแบบญี่ปุ่น ฟัดจ์เลยไปค้นไฟล์เก่าๆที่เคยทำหมี่เย็นฮิยาชิชูกะทานมาโพสต์ ถ้าพูดถึงหมี่เย็นของญี่ปุ่น หลายคนก็จะนึกถึงซารุโซบะ อุด้ง โซวเมง ที่วางมาบนซี่ไม่ไผ่อ่อนๆ เสริฟพร้อมน้ำซอสสีดำๆ ก่อนทานก็เอาต้นหอมซอย และวาซาบิละลายลงในถ้วยน้ำซอส แล้วจุ่มหมี่ลงก่อนจะซู๊ด ไม่ทราบว่ามีใครรู้จักฮิยาชิชูกะบ้างมั้ยคะ (ฟัดจ์ชอบมาก ในบรรดาหมี่เย็นด้วยกัน) ฮิยาชิ คือ เย็น ชูกะ คือ ประเทศจีน ด้วยเหตุนี้ คนญี่ปุ่นถึงจัดหมี่เย็นประเภทนี้เข้าเป็นกลุ่มอาหารจีน แต่แพร่หลายเป็นที่รู้จักกันทั่วในญี่ปุ่น

    เริ่มด้วยซื้อหมี่สดมาแพคนึง (สามารถใช้บะหมี่สดของเมืองไทยแทนกันได้เลย ไม่ผิดกติกาค่ะ)

    [​IMG]

    ส่วนประกอบหลักๆคือ ผัก เส้นบะหมี่ และน้ำซอส

    ◊ แตงกวา (นำเกลือมาทาที่เปลือกแตง แล้วลูบไปมาเพื่อลดความขมของแตงกวา จากนั้นนำมาหั่นสไลด์ๆเหมือน
    ในภาพ)
    ◊ หอมหัวใหญ่ (หั่นซอยบาง ๆ)
    ◊ ผักกาดแก้ว (ซอยเป็นเส้นๆ)
    ◊ มะเขือเทศ (จะใช้ลูกใหญ่ก็ได้ แต่ไม่ควรใช้มะเขือเทศที่ใช้เวลาตำส้มตำ เพราะรสชาติจะออกเปรี้ยว)

    ใครชอบผักอะไร ก็สามารถใช้ผักนั้นแทนได้ค่ะ

    [​IMG]

    ซ้ายมือถ้วยบนคือหมูสับ (จะใช้ไก่สับแทนก็ได้) นำมาผัดใส่มิโสะเล็กน้อย ซีอิ๊ว และน้ำตาล ชิมรสให้ออกหวานนิดหน่อย

    ขวามือถ้วยบน คือน้ำซอสที่ติดมากับบะหมี่ แต่เราสามารถทำได้ง่ายๆคือ วิธีการทำซันไบซึ น้ำตาลทราย โชหยุ น้ำส้มสายชูญี่ปุ่น ใส่ผสมกัน ชิมรสให้ออกเปรี้ยว เค็ม หวาน หรือใครชอบเผ็ดจะเหยาะน้ำมันพริก (หลาดเหย่า) ด้วยก็ได้ค่ะ

    ถ้วยซ้ายมือล่างคือไข่ทอดแล้วหั่นฝอย ส่วนถ้วยขวามือล่างคือเห็ดลวกสุก

    [​IMG]

    จากนั้นก็ต้มน้ำร้อน เตรียมลวกบะหมี่ได้เลย วิธีการลวกบะหมี่ก็ง่ายเหมือนปอกปล้วย (แต่อย่าเผลอไปเหยียบเปลือกกล้วยนะคะ) บะหมี่ที่ซื้อมาจะเป็นก้อนๆ ก็เอามาเขย่าๆให้มันคลี่ออกก่อน พอน้ำเดือดก็หย่อนลงไป พอเส้นบะหมี่ลอยขึ้นมา ก็เป็นอันว่าเสร็จ

    ระหว่างรอบะหมี่ลอย ก็เอากาละมังใส่น้ำผสมน้ำแข็ง เพื่อเอาไว้ลวกบะหมี่อีก ๑ รอบ เส้นจะกรอบขึ้นค่ะ ลวกน้ำเย็นไม่ต้องนานนะคะ แค่จับๆเส้นคลายร้อนก็เอาขึ้นได้แล้ว แล้วก็ใส่กระชอนให้สะเด็ดน้ำ

    [​IMG]

    น้ำจิ้มถ้วยบน แถมมากับบะหมี่ ถ้วยล่างฟัดจ์ทำเองแซ่บกว่า

    เสร็จแล้วค่ะ ง่ายมั้ยคะ อร่อยด้วย เหมาะกับหน้าร้อนแบบนี้ แต่ควรระวังนิดหน่อยควรหาชามใหญ่สักหน่อย ไม่งั้นเวลาคลุกเคล้ามันจะหกซะหมด แบบฟัดจ์ข้างบนไม่ดีค่ะ พูนจานเกินไป

    [​IMG]

    ซูมใกล้ๆ

    [​IMG]

    ข้อความถูกโพสต์ขึ้น โดย... Web Master
    สาธิตและภาพประกอบ โดย... fudge-a-mania ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้



    .
     
  8. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    เรียน พี่หนุ่ม
    กระผมขอขอบพระคุณพี่หนุ่มเป็นอย่างสูงที่เมตตากระผมเสมอมาครับ ผมจะแบ่งไว้ส่วนหนึ่งอีกส่วนหนึ่งผมจะถวายครูบาอาจารย์ของกระผมรวมถึงญาติธรรมตามสมควรนะครับ ขอโมทนาในกุศลจิตด้วยครับพี่หนุ่ม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2011
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    [FONT=&quot]วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔[FONT=&quot] ( วันมาฆบูชา )[/FONT]

    [/FONT][FONT=&quot]ภาคเช้า
    [/FONT][FONT=&quot]๐๗.๐๙ น. พิธีบวงสรวง
    [/FONT][FONT=&quot]๐๗.๔๕ น. พระสงฆ์บิณฑบาต
    [/FONT][FONT=&quot]๐๘ .๐๐ น. ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุสงฆ์
    [/FONT][FONT=&quot]๑๐. ๐๐ น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์
    [/FONT][FONT=&quot]๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพล

    [/FONT][FONT=&quot]ภาคบ่าย

    [/FONT][FONT=&quot]๑๓.๐๐ น. เทศน์มหาชาติ
    [/FONT][FONT=&quot]๑๘.๐๐ น. ทำวัตรเย็น และเจริญพระพุทธมนต์ สวดธรรมจักรกัปวัตตนสูตร
    [/FONT][FONT=&quot]พิธีเวียนเทียนรอบพระเจดีย์



    [/FONT][FONT=&quot]วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔

    [/FONT][FONT=&quot]๐๖. ๐๐ น. พิธีลาศีลแปดของผู้บวชเนกขัมมะ
    [/FONT][FONT=&quot]๐๗.๔๕ น. พระสงฆ์บิณฑบาต
    [/FONT][FONT=&quot]๐๘.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์
    [/FONT][FONT=&quot]๐๙.๓๐ น. พิธีขออโหสิกรรม
    [/FONT]
    พิธีทอดผ้าป่าสามัคคี

    [FONT=&quot]พิธีถวายพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง มณฑปหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
    [/FONT][FONT=&quot]พร้อมด้วยสิ่งก่อสร้างทั้งหมด ถวายไว้ในพระพุทธศาสนา
    โดยมี พระครูสุวิมลภาวนาคุณ เป็นประธานคณะสงฆ์ ในการรับมอบวิหารทาน ทั้งหมด [/FONT]
    </td> </tr> </tbody></table>
    ผมขอแก้ไขครับ

    สำหรับการทอดผ้าป่า จะมีขึ้นใน
    [FONT=&quot]วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔[FONT=&quot] ( วันมาฆบูชา )[/FONT][/FONT]

    ส่วนเวลา ผมรอข้อมูลจากพี่แอ๊วอีกครั้ง แล้วจะมาแจ้งให้ทุกๆท่านทราบกันครับ

    ต้องขอโทษในความผิดพลาดของข้อมูลในครั้งนี้ครับ

    โมทนาสาธุครับ





    .


     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. นายเฉลิมพล

    นายเฉลิมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +460
    อยากทราบวัน เวลาที่แน่นอนครับเผื่อเจอกันครับ

    โมทนาสาธุ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>
    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันเสาร์สุขสันต์ ครับ


    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อาชีพเสี่ยงโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง


    [​IMG]


    หลังจากที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ “โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง” ไปเมื่อหลายฉบับก่อน ฉบับนี้เรายังมีเรื่องราวเกี่ยวกับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มักพบมากในหลาก หลายอาชีพ แต่ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง” กันอีกสักครั้ง

    โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หมายถึงโรคที่เกี่ยวกับระบบหายใจ 2 โรคก็คือ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคถุงลมปอดโป่งพอง โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง เป็นลักษณะอาการที่มีการเพิ่มขึ้นของต่อมหลั่งเมือกใต้ชั้นเยื่อบุผิวของ หลอดลม จนทำให้ผนังหลอดลมหนาตัวขึ้นและผลิตเสมหะมากขึ้น มีอาการไอเรื้อรัง มีเสมหะมาก

    ส่วนโรคถุงลมโป่งพอง มีการเปลี่ยนแปลงที่บริเวณถุงลมส่วนปลายสุดของหลอดลม จะมีการขยายตัวโป่งพอง และมีการทำลายของผนังถุงลมทำให้การยืดหยุ่นเสียไป ส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนแก๊สในปอดลดลง ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจออกลำบากและเหนื่อยง่าย

    สาเหตุของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังนั้น ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่ามีปัจจัยเสี่ยงหลายประการด้วยกัน ได้แก่ การสูบบุหรี่ มลพิษในอากาศ เพศชาย การสูดควันบุหรี่มือสอง กรรมพันธุ์ การติดเชื้อของทางเดินหายใจ บุคคลที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น

    จึงเป็นที่มาของอาชีพที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง มาร่วมไขกันว่ามีอาชีพใดบ้าง?

    มีการศึกษาว่า อาชีพที่ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรดีเซล เพิ่มความเสี่ยงสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังถึงร้อยละ 2.5 ซึ่งมากกว่าอาชีพอื่น นอกจากนี้ รายงานหลายฉบับยังพบว่า ควัน แก๊ส และฝุ่น อาจก่อให้เกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังได้ แม้ว่าผู้นั้นจะไม่ได้สูบบุหรี่

    กลไกการเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมีอยู่ 2 กลไก ได้แก่ 1) ออกฤทธิ์เสริมบุหรี่เพื่อทำลายปอด 2) ออกฤทธิ์ทำลายปอดโดยตรง

    ส่วนอาชีพที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ได้แก่ อาชีพเหมืองถ่านหิน โรงงานทอฝ้าย โรงงานทำซิลิกา (ซึ่งพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากซิลิการ้อยละ 5 และร้อยละ 59 เสียชีวิตจากซิลิการ่วมกับการสูบบุหรี่ อีกร้อยละ 34 เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่เพียงอย่างเดียว) และโรงสีข้าว

    ฝุ่นผงจากโรงสีข้าวอาจก่อให้เกิดอาการหอบหืดได้ด้วยหลายสาเหตุ เช่น เชื้อโรคที่แฝงอยู่ ยาฆ่าแมลง เชื้อรา โปรตีนในปัสสาวะของหนูที่ปนเปื้อนมาหรือเป็นสารภูมิแพ้ในเมล็ดธัญพืช

    นอกจากนี้แล้ว ยังมีอาชีพอื่น ๆ อีกที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง

    โรงโม่แป้ง, โรงหลอมโลหะ, อาชีพที่สัมผัสสารไอโซไซยาไนด์ ยางลาเท็กซ์ สารแพลทินัม สารเวเนเดียม หรือสารโพลีไซ คลิค อโรมาติค ไฮโดรคาร์บอน, อาชีพที่สัมผัสสารแคดเมียม ซึ่งก่อให้เกิดโรคถุงลมปอดโป่งพองได้, อาชีพในโรงเลื่อยไม้, งานที่เกี่ยวกับสีย้อมต่าง ๆ, ช่างก่อสร้างหรือผสมปูนซีเมนต์, ชาวนา รวมไปถึงพนักงานดับเพลิง

    วิธีการป้องกันที่ถูกต้องเมื่อเริ่มปฏิบัติงานคือ สวมเครื่องป้องกันตนเอง เช่น หน้ากาก หรือเครื่องช่วยหายใจ ก่อนเข้าทำงาน

    สำหรับการป้องกันการเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง สามารถแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้

    1) การป้องกันขั้นปฐมภูมิ

    ป้องกันไม่ให้เกิดโรค โดยการไม่สูบบุหรี่ เปลี่ยนงาน และสวมเครื่องป้องกันตนเองก่อนเข้าทำงาน

    2) การป้องกันขั้นทุติยภูมิ

    ทำได้โดย ให้การวินิจฉัยโรคแต่เนิ่น ๆ เพื่อรีบให้การรักษาก่อนที่จะมีอาการกำเริบไปมากแล้ว ทั้งนี้อาจทำแบบสำรวจสอบถามเรื่องอาการหอบเหนื่อยง่ายทั้งก่อนรับเข้าทำงาน และคอยสอบถามเป็นระยะ อย่างน้อยปีละ1 ครั้ง หรืออาจทำการตรวจสมรรถภาพปอดเป็นระยะ เพื่อสามารถวินิจฉัยผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังได้โดยเร็ว

    3) การป้องกันขั้นตติยภูมิ

    ทำได้โดย ชะลอการเสื่อมของปอดจากตัวโรค มีรายงานว่าผู้ป่วยที่ทำอาชีพเสี่ยงจะเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังได้ถึง 1.4 เท่าของคนปกติ แต่การสูบบุหรี่จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ 2.8 เท่า แต่ถ้าทำอาชีพเสี่ยงร่วมกับการสูบบุหรี่แล้วย่อมจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ ถึง 6.2 เท่า

    อันตรายจากอาชีพที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่เหนือสิ่งสำคัญใด ๆ ทั้งหมดนั้นคือ การป้องกันตนเองก่อนเริ่มต้นปฏิบัติงาน.

    พญ.รพีพร โรจน์แสงเรือง
    ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
    คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

    Daily News Online > เสาร์สปอร์ต > แรงงาน-สาธารณสุข > หมอรามาฯ ไขปัญหาสุขภาพ > อาชีพเสี่ยงโรคปอดอุดกั้นเร

    .



    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [FONT=Tahoma,]พระพุทธรูปหลวงพ่อเงิน

    คอลัมน์ เดินสายไหว้พระพุทธ



    <table align="left" border="0" cellpadding="1" cellspacing="5" width="20%"><tbody><tr bgcolor="#400040"><td>[​IMG]
    </td></tr></tbody></table>"หลวงพ่อเงิน" ประดิษฐานอยู่ที่วัดปากน้ำบุ่งสระพัง ต.กุดลาด อ.เมือง จ.อุบลราชธานี

    เป็น พระพุทธรูปเนื้อเงิน ปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสนล้านช้าง มีอายุประมาณ 700 ปี เป็นพระพุทธรูปประจำกองทัพ พระวอ-พระตา ในการสถาปนาเมืองอุบลราชธานี ศรีวนาลัย

    ขุดพบที่วัดป่าพระพิฆเณศวร์ เมื่อปี พ.ศ.2515 โดยการนิมิตของเจ้าคุณพระมงคลธรรมวัฒน์ (บุญจันทร์ จัตตสัลโล) ภายหลังลำแสงประหลาดพุ่งขึ้นใส่เครื่องบินทหารกองทัพอเมริกัน สมัยสงครามเวียดนาม (พ.ศ. 2497-2518)

    ในราวปี พ.ศ.2228 เจ้าปางคำ แห่งนครเชียงรุ้ง ได้อัญเชิญหลวงพ่อเงินขึ้นเป็นพระชัยหลังช้างประจำกองทัพ ตามธรรมเนียมนักรบโบราณ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ และได้ย้ายเมืองมาอยู่ที่หนองบัวลุ่มภู สร้างนคร เขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน

    ต่อมา ราวปีพุทธศักราช 2314 พระเจ้าสิริบุญสารได้เสด็จขึ้นครองราชย์นครเวียงจันทน์ เกิดหวาดระแวงเจ้าพระวอ-เจ้าพระตา จะเป็นกบฏ จึงได้ยกทัพมาตีนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน ทำให้เจ้าพระตาถึงแก่อสัญกรรม ในสมรภูมิรบเจ้าพระวอผู้น้องขึ้นเป็นผู้นำกองทัพ และได้อพยพประชาชนมาตั้งบ้านเมืองอยู่ที่ค่ายบ้านดอนมดแดง สร้างเมืองอุบล ราชธานีศรีวนาลัย

    ภายหลัง เจ้าพระวอถูกฝ่ายเวียง จันทน์ตามโจมตี จนถึงแก่อสัญกรรมที่ค่ายบ้านคู่บ้านแก เขตนครจำปาศักดิ์ ฝ่ายท้าวคำผงผู้บุตรเจ้าพระตา ได้ขึ้นเป็นผู้นำกองทัพ เห็นว่าค่ายบ้านดอนมดแดง จะต้านทานกองทัพเวียง จันทน์ไม่ไหว จึงได้ขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้ากรุงธนบุรี

    สมเด็จพระเจ้า ตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี ทรงรับสั่งให้พระ บาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้า พระ ยามหากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพไปช่วยเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัย โดยให้ท้าวคำผงเป็นทัพหน้า นำทัพขึ้นไปตีเมืองเวียงจันทน์ จนประสบชัยชนะ และได้อัญเชิญพระแก้วมรกต และพระบางสู่สยามประเทศ

    การศึกครั้งนั้น ทำให้หลวงพ่อเงินเป็นที่ประจักษ์ถึงความศักดิ์สิทธิ์ ต่อกองทัพกรุงธนบุรี ท้าวคำผงเกรงจะถูกอัญเชิญสู่นครหลวง เช่น พระพุทธรูปที่สำคัญของหัวเมืองต่างๆ จึงฝังเก็บรักษาไว้ใต้ดิน จนเวลาผ่านไปกว่า 200 ปี

    ต่อมา ท่านเจ้าคุณพระมงคลธรรมวัฒน์ ได้นิมิตถึงตาชีปะขาว บอกว่ามีพระพุทธรูปประจำทัพเจ้าเมืองเก่า ถูกฝังอยู่ใต้ดินอยากให้นำขึ้นมารักษาไว้ เพื่อเป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา ให้ลูกหลานได้เคารพสักการบูชาสืบไป

    ท่านจึงนำชาวบ้านไปขุด ก็พบแผ่นศิลา 4 เหลี่ยม ถูกจัดไว้ในลักษณะหีบ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย เนื้อเงินบริสุทธิ์ ท่านเจ้าคุณพระมงคลธรรมวัฒน์ จึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดปากน้ำ ตราบจนถึงปัจจุบัน
    [/FONT]

     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติศาสตร์ ตราประทับพระราชลัญจกร องค์จักรพรรดิ์
    จากคุณ : หนุ่มรัตนะ

    สืบเนื่องจากกระทู้คุณ Jassb1 ว่าด้วย มาทำตราประทับชื่อจีนกันเถอะ เพื่อนๆก็ทำกันหลากหลาย จึงอยากจะนำเสนอประวัติและที่มาของตราประทับกันครับ

    ต้นกำเนิดของ ตราประทับ ย้อนไปหลายพันปี จุดประสงค์ใช้ตราประทับในเอกสารราชการแผ่นดินเท่านั้น ในยุคต่อมาการทำตราประทับได้เริ่มความนิยมขึ้น ศิลปะการแกะสลักตราประทับได้พัฒนาขึ้น และรวมทั้งจุดประสงค์ในการใช้ได้พัฒนาเป็นตราประจำตัวอีกด้วย มีการนำไปประทับในเอกสารทางการค้า เอกสารทางราชการ ทำให้ตราประทับได้กลายเป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งอำนาจของราชสำนักจีน

    ใน สมัยก่อนการประทับตรา มีวิธีประทับตราที่ไม่เหมือนในปัจจุบันนี้ กล่าวคือเอกสารสำคัญจะผูกด้วยเชือกและประทับบนดินเหนียว โดยวิธีนี้ได้แพร่หลายในทางการค้าด้วย ซึ่งเราสามารถพบตราประทับได้ทั้งใน เปอร์เซีย อินเดีย กรีก โรมันโดยได้พัฒนาทำเป็นตราประทับบนหัวแหวน เพื่อความสะดวกในการใช้งาน สำหรับในประเทศไทยได้พบตราประทับ และดินเหนียวตราประทับ สมัยทวารวดี (เช่นรูปเรือใบ รูปลิง อักษรปาลวะ อักษรเปอร์เซีย รูปต้นปาล์ม) เป็นต้น

    การประทับตราของจีน ได้รับการนิยมในหมู่ศิลปิน เช่น การเขียนภาพก็ประทับตราไว้ การแต่งบทกวีก็ประทับตราไว้ แม้กระทั่งในสมัยที่มีกล้องถ่ายภาพเข้ามาในประเทศจีน ก็มีการถ่ายรูปพร้อมลงตราประทับไว้อีกด้วย อีกหนึ่งจุดประสงค์เพื่อแสงดให้เห็นถึงความเป็นเจ้าของผลงานศิลปะที่ตนเอง เป็นผู้ได้มา เช่น ภาพวาดในสมัยราชวงศ์ถัง ก็จะมีตราประทับของอดีตจักรพรรดิ์จากราชวงศ์ต่างๆประทับไว้ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของภาพวาด
    สมัยราชวงศ์เซียะ, ชาง และจ้าว ได้ยึดถือตำนานการสร้างตราประทับของจักรพรรดิเหลือง ว่าเป็นตราประทับพระราชลัญจกร มีลายมังกรด้านหลัง บรรจุในหีบหยก จุดนี้เองทำให้จักรพรรดิต่อมาสร้างตราประทับขึ้น เพื่อแสดงถึงพระราชอำนาจของพระองค์


    [​IMG]

    ยุค Spring Autumn Period (c. 800-300 BC) ตราประทับจากราชวงศ์ชาง ได้ถูกขุดพบจากแหล่งโบราณคดีอันหยาง

    [​IMG]

    ยุคWarring States Period (770-221 BC) (ชุนชิว-จ้านกว๋อ) ตราประทับนิยมทำจากดินเหนียวเสียส่วนใหญ่ ตราประทับมีการออกแบบให้สวยงามขึ้น

    [​IMG]


    Chin Dynasty (221-207 BC)
    ยุคราชวงศ์ฉิน นิยมตราประทับที่มีขนาดเล็ก โดยถูกเรียกว่า “Hsiao Mu” หรือ “Chin Hsiao Mu” ตราประทับขององค์จิ๋นซีฮ่องเต้ ทำด้วยหยก และสลักรูปมังกร ซึ่งถือเป็นตราพระราชอำนาจสูงสุดและถือว่าเป็นโอรสแห่งสวรรค์

    [​IMG]



    Han Dynasty (206 BC - 220 AD)
    ในยุคนี้ตราประทับได้ รับการพัฒนาต่อเนื่องจากราชวงศ์ฉิน มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีการใช้การดาษ เป็นครั้งแรก ดังนั้นตราประทับก็สนองกับการใช้งานทันที โดยมีการประทับตราและมีการนำสีมาทา โดยนำครั่งแดงมาใช้ ซึ่งแต่ก่อนนี้ตราประทับทำการประทับบนดินเหนียวอย่างที่เล่ามา
    ทั้งราชวงศ์ฉินและฮั่น ถือเป็นยุคกำเนิดและก้าวไปถึงจุดสูงสุดของการสร้างตราประทับ เป็นต้นกำเนิดมาตรฐานของตราประทับมาจนทุวันนี้

    [​IMG]


    Eastern Han Dynasty (25-330)

    [​IMG]


    Wei Dynasty (220-265), Jin Dynasty (West Jin 265-316, East Jin 317-420)
    ยุค นี้ตราประทับประทับบนกระดาษแล้ว และยังประทับบนผ้าไหมอีกด้วย ส่วนตราดินเหนียวได้หมดความนิยมลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเริ่มใช้งานได้ยาก

    [​IMG]


    http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/05/K7814260/K7814260.html

    PANTIP.COM : K7814260
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติศาสตร์ ตราประทับพระราชลัญจกร องค์จักรพรรดิ์
    จากคุณ : หนุ่มรัตนะ

    Sui (581-618) & Tang (618 - 907) Dynasties
    ใน ยุคราชวงศ์ถัง มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกครั้งในตราประทับ คือ พระนางได้มีพระราชเสาวนีย์ให้เปลี่ยนอักษร “xi” “BAO” ลงในตราประทับ เนื่องจากความหมายในเชิงที่ดีกว่า นอกจากนี้ตราประทับยังแกะตราให้มีลักษณะแกะกลับอักษรกัน โดยมีพื้นขาว ตัวอักษรแดง (เดิมแกะตัวขาว พื้นแดง)

    [​IMG]


    Sung Dynasty (960 - 1179)
    ในสมัยนี้การพัฒนาการ แกะอักษรได้นิยมเน้นแกะให้มีพระราชลัญจกร มีขนาดบางยาว และเริ่มเน้นจำนวนตัวอักษรให้มีการยึดเลขมงคล กับจำนวนคำมาใช้ในตราประทับ

    [​IMG]


    Yuan Dynasty (1271 - 1368)
    ราชวงศ์หยวน ปกครองประเทศจีนโดยชาวมองโกล ดังนั้นตราประทับจึงเป็นภาษามองโกล และมีขนาดใหญ่โตมาก

    [​IMG]


    Ching Dynasty (1644 - 1911)
    ในสมัยราชวงศ์ชิงก็ เช่นเดียวกันกับราชวงศ์หยวน เนื่องจากเป็นชาวแมนจูเข้ามาปกครอง ทำให้ตราประทับแห่งพระราชอำนาจจึงมีการนำภาษาแมนจู เข้ามาด้วย นอกจากนี้ยังมีการเล่นกับตราประทับอีกแบบหนึ่ง คือ สมัยเฉียนหลงฮ่องเต้ ได้เขียนอักษรลายมือของพระองค์เอง และสั่งแกะตราประทับตามลายมือนั้น

    [​IMG]


    ตราประทับเฉียนหลงฮ่องเต้ ซึ่งเป็นลายมือของพระองค์เอง

    [​IMG]


    ตราประทับเฉียนหลงฮ่องเต้

    [​IMG]


    ตรานี้ของคังซี

    [​IMG]


    พระนางซูสีไทเฮา

    [​IMG]


    จักรพรรดิ์ปูยี

    [​IMG]


    หลังราชวงศ์ชิง มีการจัดตั้งสมาคม "Xi Leng Seals Society" มีการรวบรวมตราประทับและเผยแพร่ศิลปะการแกะสลักอย่างแพร่หลาย โดยมี Wu Tsun-Shuo เป็นประธานสมาคม

    [​IMG]



    http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/05/K7814260/K7814260.html

    .


    PANTIP.COM : K7814260
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติศาสตร์ ตราประทับพระราชลัญจกร องค์จักรพรรดิ์
    จากคุณ : หนุ่มรัตนะ

    ปัจจุบันมีการทำให้ทันสมัยขึ้นเพื่อตอบรับการใช้ตราประทับ โดยทำออกมาเหมือนตรายางก็มี ใช้สะดวกง่ายดาย หรือจากเวปออนไลน์ก็ได้เห็นกัน

    [​IMG]


    ความคิดเห็นที่ 20
    ขออนุญาต
    ท่าน จขกท ครับ

    เพิ่มเติมข้อมูลเล็กน้อย


    ตาม คห ที่ 7

    ก่อนยุค สุย กับ ถัง นิยมการแกะแบบ หยางเหวิน
    คือ อักษรสีขาว พื้นแดง

    หลังจากนั้น เปนการแกะ แบบ อักษรแดง พื้นขาว
    เรียกว่า อิน เหวิน

    หยินหยางนั่นแหละครับ

    แบบหลัง แบบอินเหวิน จะแกะยากกว่า
    ต้องเจาะไล่ให้อักษรจีนนั้นนูนขึ้นมา

    ขอบคุณครับ
    จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา)


    ความคิดเห็นที่ 21
    จขกท.ครับ ในคห.ที่2 น่าจะเป็นยุคจ้านกั๋วนะครับ ไม่ใช่ฮั่น เว่ย จิน

    ดูได้จากปีที่ จขกท.เอามาอ้างอิงครับ

    ราชวงศ์ฮั่นก่อตั้งหลังยุคราชวงศ์ฉินครับ

    จากคุณ : โอฮาน่า




    ความคิดเห็นที่ 25
    ราชลัญจกรทั้ง 2 อัน นี้มีความสำคัญต่อ ปวศ จีนสมัยชิง อย่างมาก ด้วยเป็นตราประทับของเสียนฟงฮ่องเต้ (แต่ไม่ใช่ตราประจำตำแหน่งฮ่องเต้ของพระองค์) ซึ่งก่อนพระองค์จะสวรรคต พระองค์ ได้มอบอันด้านขวา แก่รัชทายาทซึ่งมีอายุเพียง 6 พรรษา มอบอันซ้ายแก่พระมเหสีคือพระนางซูสี เพื่อใช้ร่วมกันในการประทับราชโองการ

    แต่แล้วเมื่อฮ่องเต้เสียนฟงสวรรคต พระนางซูสีก็ได้รวบเอาตราประทับทั้งสองมาเป็นของพระนางเอง เพื่อใช้ในการออกพระราชโองการ ทำให้ ปวศ ราชวงศ์ชิงที่ไม่เคยมีสตรีมาว่าราชการ ต้องพินาศลงเพราะการรวบอำนาจของพระนางซูสี

    อันซ้าย สำหรับ พระนางซูสี เรียกว่า อวี่ ส่าง
    อันขวา สำหรับรัชทายาท " ถง ต่าว ถาง
    [​IMG]

    ราชลัญจกรเหมือนข้างบน แบบเห็นใกล้ชิดจะเห็นความสวยงามของหินสบู่ที่ใช้ว่าแม้จะเป็นหินที่ทึบแสง แต่ก็มันวาวสวยมีประกาย ด้วยผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี และไม่มีลายสลักเสลาใดๆเลย

    ตราประทับทั้งสองใช้อยู่ประมาณ 12 ปี จนสิ้นรัชสมัยของพระราชโอรสของพระนางซูสี คือ ถง จื่อ ฮ่องเต้

    [​IMG]

    ราชลัญจกรนี้เป็นของประจำตำแหน่งพระนางซูสี เมื่อดำรงตำแหน่ง "ฮองไทเฮา" คือ ถงจื่อฮ่องเต้ ผู้เป็นโอรสได้สถาปนายศของพระนางเป็น พระนางซูสีตวนสิ่วฮองไทเฮา ใน ค.ศ. 1872 ซึ่งตรานี้พระนางจะใช้ในการประทับราชโองการสำคัญ

    จะสังเกตเป็นว่าส่วนที่เป็นมือจับมีตัวมังกรแกะสลักด้วย

    [​IMG]

    จากคุณ : Fortunism




    .

    PANTIP.COM : K7814260

    http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/05/K7814260/K7814260.html



    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติศาสตร์ ตราประทับพระราชลัญจกร องค์จักรพรรดิ์
    จากคุณ : หนุ่มรัตนะ


    ความคิดเห็นที่ 30


    หลัวเหล่าซือ

    ท่านเป็นศิลปินจีน มณฑลยูนาน
    มีความสามารถทำ ตราปั๊ม ระดับโลก
    ลงผลงานในกินเนสบุ๊คมาแล้ว

    ปีหนึ่งท่านจะบินมาที่ไทย สักหนสองหน

    ตอนนี้ ท่านเดี้ยง กลับไปรักษาหัวเข่าที่จีน


    เปนศิลปินแกะสลักที่มีความสามารถอีกท่าน
    หลังจากยุคของฉีไป๋สือ

    [​IMG]

    จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา)



    .



    .

    PANTIP.COM : K7814260


    .

    http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/05/K7814260/K7814260.html


    จบแล้วครับ

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตอนที่ 37. อาถรรพ์ตราแผ่นดิน

    โจหอง พาโจโฉข้ามแม่น้ำขึ้นฝั่งแล้วหนีต่อไปอีกสามสิบเส้น เห็นฟ้าสว่างและอิดโรยเต็มทีจึงพากันหยุดพัก พอดีซีเอ๋งคุมทหารติดตามไปอย่างไม่ลดละทันกันแล้ว ซีเอ๋งจึงให้ทหารล้อมโจโฉ โจหองไว้ หวังจะจับเป็นมอบแก่ตั๋งโต๊ะเอาความชอบ


    ขณะ นั้นแฮหัวตุ้นกับแฮหัวเอี๋ยนซึ่งพลัดกับโจโฉแล้วพากันติดตามหาโจโฉมาพบเข้า เห็นโจโฉ โจหอง กำลังถูกล้อมอยู่จึงเข้ารบด้วยซีเอ๋งได้สิบเพลง แฮหัวตุ้น ก็เอาทวนแทงซีเอ๋งตกม้าตาย ทหารซีเอ๋งก็แตกหนีไป


    ฝ่าย โจหยิน ลิเตียน และงักจิ้น สามทหารเอกของโจโฉ ซึ่งพลัดกันตั้งแต่กลางคืนติดตามหาโจโฉพบกับทหารโจโฉซึ่งแตกหนีมาคุมกันได้ สามร้อยคนเศษ จึงติดตามหาโจโฉต่อไป พบกับทหารซีเอ๋งซึ่งแตกหนีมานั้น จึงเข้าจับกุมตัวแล้วสอบถามได้ความแล้วก็ตามไปตามเส้นทางที่ซีเอ๋งไล่ตามโจ โฉนั้น เมื่อโจโฉได้พบกับทหารเอกพร้อมหน้ากันก็คลายใจจึงยกทหารที่เหลือเหล่านั้นไป ทั้งหลักที่เมืองโห้ลาย


    ฝ่าย กองทัพเมืองเตียงสาของซุนเกี๋ยนในเมืองลกเอี๋ยงนั้น ได้ตั้งค่ายลงที่บริเวณศาลเทพบิดรแห่งราชวงศ์ฮั่น เห็นสุสานหลวงถูกขุดรื้อกระจัดกระจายก็รู้สึกสงสารดวงพระวิญญาณของอดีตพระ มหากษัตริย์ พระราชวงศ์และขุนนางที่ถูกรื้อสุสานนั้น จึงสั่งให้ทหารเอาดินกลบหลุมฝังศพทั้งนั้นเสีย แล้วให้ทหารทำความสะอาดพื้นที่บริเวณจนเป็นที่เรียบร้อย


    แล้ว ซุนเกี๋ยนจึงให้ทหารไปเชิญเจ้าเมืองต่าง ๆ มากระทำพิธีถวายสักการะและขอขมาต่อดวงพระวิญญาณและวิญญาณของอดีตพระมหา กษัตริย์ พระราชวงศ์และขุนนาง โดยตั้งโรงพิธีขึ้นที่ฐานร้างของศาลพระเทพบิดร เป็นการแสดงความจงรักภักดี เสร็จพิธีแล้วต่างคนต่างแยกกันกลับค่ายของตน


    ค่ำ ลงล่วงใกล้เพลาเที่ยงคืนแล้วซุนเกี๋ยนยังนอนไม่หลับ ออกมาเดินนอกค่ายพร้อมด้วยทหารติดตาม ครุ่นคิดถึงการบ้านเมือง ขณะนั้นเป็นกึ่งปักษ์ข้างขึ้น ดวงดาวทอแสงเต็มท้องฟ้ารายรอบพระจันทร์เสี้ยว สายลมเย็นกระทบกายซุนเกี๋ยนสะท้านตัวเป็นระยะ ๆ แลเห็นดาวประจำพระองค์พระมหากษัตริย์เศร้าหมอง ซุนเกี๋ยนก็ร้องไห้ด้วยรำลึกว่าบัดนี้แผ่นดินเป็นจลาจลวุ่นวาย จอมทรราชย์ตั๋งโต๊ะเผาราชธานีเสีย บังคับเอาฮ่องเต้ไปตั้งเมืองหลวงใหม่ที่เมืองเตียงอัน ฮ่องเต้พระองค์น้อยคงจะตรอมพระทัยหนัก ทั้งราษฎรที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นจำนวนมาก คงจะตกทุกข์ระกำลำเค็ญเป็นที่สาหัส


    ใน ขณะที่ซุนเกี๋ยนร่ำไห้อยู่นั้น ทหารติดตามได้ร้องบอกซุนเกี๋ยนให้ดูไปทางทิศใต้ของทางพระราชวังเดิม ปรากฏแสงคล้ายดังผีพุ่งใต้ แต่พุ่งจากพื้นสู่ท้องฟ้าเป็นที่ประหลาดนัก


    ซุน เกี๋ยนจึงสั่งให้นำทหารสามสิบคนออกจากค่าย จุดคบไฟแล้วพากันตรงไปยังตำแหน่งที่เห็นแสงนั้น พบบ่อน้ำบ่อหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้บริเวณพระตำหนักที่ประทับเดิมของพระเจ้าเลนเต้ ซุนเกี๋ยนมีความสงสัยจึงให้ทหารเอาไม้ยาวขนาดสี่วาแทงลงไปในบ่อน้ำ กระทบเข้ากับของสิ่งหนึ่ง จึงให้ทหารช่วยกันงมขึ้นมา ปรากฏเป็นศพของนางกำนัลไม่เน่าเปื่อย ยังสดอยู่


    เมื่อ ยกเอาศพนางกำนัลขึ้นจากบ่อน้ำแล้ว จึงเห็นที่คอของนางกำนัลมีถุงแพรผูกคล้องอยู่ จึงแกะถุงแพรออกพบกล่องไม้สีชาดเข้ม มีกุญแจทองคล้องไว้ เมื่องัดออกดูพบดวงตราหยกรูปสี่เหลี่ยม ยอดตราแกะเป็นลายมังกรห้าตัวเกี่ยวกัน ด้านข้างของตรามีรอยชำรุดแต่เลี่ยมทองปิดไว้ ดวงตราแกะสลักเป็นอักษรจีนแปดคำมีความว่า “พรสวรรค์บัญชา อายุยืนหมื่นปี”


    ซุน เกี๋ยนเห็นดวงตราหยกแล้วสงสัยว่าจะเป็นดวงตราพระลัญจกรสำหรับพระมหากษัตริย์ แต่ไม่แน่ใจ จึงถามเทียเภาว่ารู้จักตราหยกนี้หรือไม่ และเหตุใดจึงตกมาอยู่ในสภาพดั่งนี้


    เทีย เภาจึงว่าข้าพเจ้ารู้จักตราหยกนี้แล้วเล่าความให้ซุนเกี๋ยนฟังว่ายุคสมัย ก่อนราชวงศ์จิ๋น มีพรานป่าชื่อเบ๊งโหไปเที่ยวบนเขาเห็นหงส์จับอยู่ที่ก้อนหินใหญ่เป็นที่ ประหลาด จึงทุบหินนั้นออกดูพบแท่งหยกขนาดใหญ่


    เบ๊งโหจึงนำแท่งหยกนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าฌ้อบุนอ๋องแต่ไม่ทันไรพระเจ้าฌ้อบุนอ๋องก็เสด็จสวรรคต


    ครั้นพระ เจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เสวยราชย์ ได้แท่งหยกนี้มา จึงโปรดให้ช่างหลวงแกะแท่งหยกเป็นตราแผ่นดิน แล้วโปรดให้หลี่ซืออัครมหาเสนาบดี คิดอักษรประจำตราแผ่นดินนั้น หลี่ซือคิดเป็นอักษรจีนแปดคำถวายเป็นที่ทรงโปรด และให้จารึกอักษรแปดตัวนั้นเป็นเนื้อความในตราแผ่นดิน และใช้เป็นตราพระลัญจกรสำหรับประทับพระบรมราชโองการแต่นั้นมา


    ครั้นพระ เจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เสวยราชย์สมบัติได้ยี่สิบแปดปี ฤดูใบไม้ผลิได้เสด็จทางชลมารคประพาสทะเลสาปตังเท้ง เกิดพายุใหญ่พัดกล้าเรือพระที่นั่งโคลงเอียงลง ทรงเกรงว่าเรือพระที่นั่งจะล่ม และแคลงพระทัยว่าเนื่องมาแต่ตราแผ่นดินนี้ จึงโปรดให้เอาตราแผ่นดินโยนลงในทะเลสาปนั้น คลื่นลมก็สงบเป็นปกติ


    ครั้นพระ เจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เสวยราชย์ได้สามสิบแปดปี ได้เสด็จทางสถลมารคเพื่อตรวจงานสร้างกำแพงเมืองจีน ปรากฏมีชายผู้หนึ่งเอาตราหยกนี้มาถวายต่อพระหัตถ์ พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ทรงรับตราหยกไว้แล้วชายนั้นก็หายไป


    หลัง จากเสด็จทางสถลมารคไปตรวจงานกำแพงเมืองจีนกลับมาแล้ว ก็เสด็จสวรรคต แผ่นดินเกิดจลาจลเป็นสงครามระหว่างหัวเมืองของราชอาณาจักรจิ๋น ในที่สุดพระเจ้าฮั่นโกโจปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น จึงมีผู้นำตราหยกนี้มาทูลเกล้าฯ ถวาย ใช้เป็นตราพระลัญจกรติดต่อมาถึงสิบสองรัชกาล


    จน กระทั่งอองมังกบฏต่อราชสมบัติ พระนางตังไทเฮาถูกคุกคามถึงในพระตำหนัก จึงทรงหยิบตราหยกนี้ขว้างอองสิม ขุนนางทรยศ แต่พลาดไปกระทบผนังพระตำหนัก ตราหยกจึงบิ่นไป ต่อมาโซเสียม ขุนนางของอองมังได้จัดซ่อมตราหยกนี้ เลี่ยมทองปิดที่บิ่นนั้นไว้


    ครั้นพระ เจ้าฮั่นกองบู๊ยึดราชสมบัติกลับคืนพระราชวงศ์ฮั่นได้สำเร็จ ก็ทรงใช้เป็นตราพระลัญจกรต่อมาจนถึงแผ่นดินพระเจ้าเลนเต้ ครั้งนั้นเกิดจลาจลและเพลิงไหม้ในพระราชวังหลังจากโฮจิ๋นผู้สำเร็จราชการ แผ่นดินถูกสิบขันทีสังหาร สิบขันทีได้จับฮ่องเต้เป็นตัวประกันหลบหนีออกไปจากพระราชวัง ครั้นเสด็จนิวัติกลับพระนครแล้ว มีการสำรวจท้องพระคลังจึงพบว่าตราพระลัญจกรนี้สูญหายไป จึงเข้าใจว่านางกำนัลในตำหนักที่ประทับมีความจงรักภักดี เกรงคนร้ายจะลักเอาตราพระลัญจกรนี้ไป จึงเอาตราหยกนี้ผูกคอแล้วกระโดดน้ำตาย


    แล้ว เทียเภาจึงเสนอความเห็นแก่ซุนเกี๋ยนว่า ซึ่งบัดนี้ตราพระลัญจกรตกแก่มือท่าน ย่อมเป็นนิมิตที่สวรรค์บอกชี้ว่าราชสมบัติจะตกได้แก่ท่าน ดังนั้นอย่าอยู่ที่นี่อีกต่อไปเลย รีบกลับแคว้นกังตั๋งของเราคิดการใหญ่สืบไปเถิด


    ซุน เกี๋ยนฟังนิทานเรื่องตราพระลัญจกรแล้ว ก็เชื่อตามความเห็นของเทียเภา เกิดตัวพองขนลุกคิดเห็นเป็นวาสนาที่ได้ครองตราพระลัญจกรนั้น ความจงรักภักดีที่เคยมีต่อราชวงศ์ฮั่นก็ดับวูบลง เกิดความคิดตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าครองแผ่นดิน ณ บัดนั้น


    เป็น ธรรมเนียมของจีนแต่โบราณที่มีการใช้ตราประจำตัวแทนการลงชื่อ และธรรมเนียมนี้ยังคงตกทอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ซึ่งแม้ว่าความนิยมในการลงลายมือชื่อมีมากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีผู้นิยมใช้ตราประทับแทนตัว หรือใช้ประทับคู่กับการลงลายมือชื่อเป็นจำนวนมาก


    ตรา ประจำตัวนี้ถ้าเป็นฮ่องเต้จะเรียกว่าตราพระลัญจกร ถ้าเป็นขุนนางข้าราชการจะเรียกว่าตราประจำตำแหน่ง และถ้าเป็นบุคคลธรรมดาจะเรียกว่าตราประจำตัว สำหรับแผ่นดินจีนในยุคนั้นถือตราพระลัญจกรและตราแผ่นดินเป็นตราเดียวกัน


    เมื่อ ประเทศไทยได้เปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนแต่ครั้งสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ฮ่องเต้ของจีนเข้าใจว่าไทยยอมเป็นประเทศราช จึงพระราชทานตราประจำตำแหน่งทุกครั้งที่มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินเรียกว่า “โลโต” พร้อมกับถวายพระสมัญญามีคำลงท้ายว่า “อ๋อง”


    ครั้น แผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ทำตราแผ่นดินขึ้นสำหรับใช้ใน ราชการ และให้ทำตราพระลัญจกรขึ้นสำหรับพระมหากษัตริย์อีกดวงหนึ่ง หลังจากได้รูปแบบตราแล้วทรงเห็นว่าสมควรมีถ้อยคำจารึกในตราแผ่นดินนั้น จึงโปรดให้สมเด็จพระสังฆราช (สา)วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมารามฯ ทรงคิดความกำกับตรา สมเด็จพระสังฆราช ทรงคิดถวายเป็นภาษาบาลีว่า “สัพเพสัง สังฆะภูตานัง สามัคคี วุฒิสาธิกา”ซึ่งแปลว่า “การใหญ่ของแผ่นดินจักสำเร็จได้ด้วยความสามัคคี” ซึ่งมีความไพเราะงดงามและได้ความหมายดีกว่าตราหยกที่หลี่ซืออัครมหาเสนาบดี คิดขึ้นเอาใจจิ๋นซีฮ่องเต้มากมายนัก


    พระ บาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพอพระทัยในความนี้โปรดให้ใช้เป็นคำจารึกในตราแผ่นดินมาจนถึงทุกวันนี้ อันควรที่ชนชาวไทยพึงต้องรำลึกและเทิดมาปฏิบัติ ย่อมจักบังเกิดความสวัสดีทุกประการ


    แต่ น่าอนาถนักที่บัดนี้แทบไม่มีหน่วยราชการใดใช้ตราแผ่นดินดังกล่าวเสียแล้ว เพราะหันไปนับถือเอาสิงห์สาราสัตว์มาเป็นตราประจำกระทรวงทบวงกรม จนสัตว์เดรัจฉานเกลื่อนกลาดไปแทบทุกหน่วยงาน


    คง เหลือแต่ศาลยุติธรรมที่ยังคงใช้ตราแผ่นดินนี้ประทับหมายต่าง ๆ ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ส่วนตำรวจคงใช้เฉพาะติดอยู่กับหน้าหมวก แม้กรมป่าไม้ก็คงใช้เพียงสำหรับใช้ประทับไล่ผีและรุกขเทวดาในเวลาตัดต้นไม้ ใหญ่ที่คนไม่กล้าตัดเท่านั้น การใช้ตราแผ่นดินดังนี้จะมีใครสักกี่คนที่ยังคงระลึกถึงความอันจารึกไว้นั้น


    ซุน เกี๋ยนเมื่อได้ตราพระลัญจกรแล้ว ความโลภในยศและวาสนาได้เข้าสิงใจ ละทิ้งอุดมการณ์ที่จะกำจัดทรราชย์ เทิดทูนฮ่องเต้ บำรุงราษฎรเสียสิ้น คิดหักหลังหัวเมืองทั้งปวงถอนตัวออกจากกองทัพปฏิวัติ ยกกลับแคว้นกังตั๋ง เพื่อจะตั้งตัวเป็นเจ้าซึ่งผิดอาการจากครั้งที่ลิฉุย เป็นทูตแทนตัวตั๋งโต๊ะมาเจรจาซื้อตัวซุนเกี๋ยนด้วยการยกลูกสาวให้กับซุนเซ็ก เพื่อจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน แล้วร่วมกันทำนุบำรุงบ้านเมืองแลราษฎรให้เป็นสุข แต่ซุนเกี๋ยนไม่ยอมกลับโกรธเคืองยิ่งนัก แต่มาครั้งนี้เต็มใจที่จะทรยศต่ออุดมการณ์และพันธมิตรร่วมรบ


    ความจริงมิใช่เป็นการเปลี่ยนใจ หากเนื่องเพราะการตีราคาค่าตัวของ ซุน เกี๋ยนเอง ครั้งนั้นตั๋งโต๊ะให้ราคาไม่ถึงขนาดที่ต้องการจึงไม่ยอมขายตัว แต่ครั้งนี้สิ่งที่เทียเภาได้บอกกล่าว ซุนเกี๋ยนประเมินแล้วว่าเกินราคาค่าของตัว จึงยอมขายตัวให้กับยศศักดิ์อัครฐานนั้น


    เมื่อ ตัดสินใจเช่นนี้ซุนเกี๋ยนจึงสั่งทหารว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะยกกองทัพกลับเมือง เตียงสา คิดอ่านการใหญ่ตามที่เทียเภาแนะนำต่อไป แล้วกำชับทหารทั้งปวงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ อย่าได้แพร่งพรายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้ให้ผู้อื่นได้ล่วงรู้เป็นอัน ขาด จะเสียการใหญ่ของเราไป


    แต่ สวรรค์ทรงความยุติธรรม ไม่ประทานโชคเคราะห์อย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว หากย่อมประทานทั้งสองสิ่งพร้อมกันเสมอ ดังเช่นที่ประทานความงามอันสะคราญแก่สตรีใดแล้ว ก็ย่อมประทานเพทภัยอันเกิดแต่ความมีโฉมสะคราญนั้นควบคู่กันด้วย
    เมื่อสวรรค์ประทานโชคแก่ซุนเกี๋ยนแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ต้องประทานเคราะห์แก่ซุนเกี๋ยนควบคู่ไปด้วยเช่นเดียวกัน.

    ขอบคุณ
    ที่มา
    บทความ สามก๊กฉบับคนขายชาติ
    ของ เรืองวิทยาคม

    .

     

แชร์หน้านี้

Loading...