พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เหตุที่ต้องขอปรึกษา เป็นเพราะว่า อักขระแต่ละตัว เป็นสิทธิเฉพาะตัว ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ใครจะนำมาใช้ได้ ผมบอกมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไว้พบกันจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งครับ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ไม่แน่ครับขึ้นอยู่กับฝีมือและสถานการณ์ถ้าเป็นอ่อนๆอย่างผมเสร็จแน่ครับ หุ หุ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นอนพิสดาร

    �͹��ʴ��


    [​IMG]

    นอนพิสดาร (ข่าวสด)

    โอ้โห... ดูแล้วต้องบอกว่า เป็นความสามารถพิเศษที่เลียนแบบกันไม่ได้ง่ายๆ เพราะเป็น "ท่านอน" ท้าทายแรงโน้มถ่วงโลกมิใช่เล่น!

    พ่อหนุ่มในภาพเป็น "ม็อบชาวแอฟริกัน" ร้อยกว่าชีวิต ซึ่งมาตะโกนเย้วๆ อยู่หน้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่ยูเอ็น กรุงราบัต แดนโมร็อกโก เรียกร้องขอวีซ่าเข้ายุโรป

    กลัวใจจริงๆ ว่า หนุ่มขี้เซาคนนี้จะนอนท่าพิสดารจนหลังเดาะ ข้อต่อคอหลุดไปเสียก่อน ถ้าได้วีซ่าขึ้นมาก็อดเดินทางไกลน่ะซี้.. อิอิ!



    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
    เอิ๊กอ๊ากอินเตอร์
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หมากฮอส ผมจำไม่ไหวครับ

    ส่วนหมากรุกจีน ก็ลืมไปแล้ว เคยหัดเล่นอยู่

    หมากรุกสากล ก็จำสูตรไม่ไหว

    หมากรุกไทย ก็จำสูตรไม่หมด

    ผมเคยได้แชมป์ชายคู่ หมากรุกไทย ประมาณปี พ.ศ.2527 หรือ 2528 ครับ ผมเคยเล่นใช้หมากรุกไทย เล่นกับหมากรุกสากล ประกฎว่า หมากรุกไทย สู้ไม่ได้เลย

    ตอนท้าย ท่านใดอยากได้สูตรเดินม้า 64 ตา ไม่ให้ลงตาเดิม บอกได้นะครับ ผมจะส่งรูปไปให้ครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ดร.เสรี ศุภราทิตย์ กับคำถาม-คำตอบ"น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ"
    ˹ѧ��;������Ԫ�����ѹ : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>มีข้อสังเกตอย่างไรว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพฯแล้ว

    ถ้ามันจะท่วม คือจะสังเกตเห็นว่าจะเกิดหลังเหตุการณ์ฝนตกติดต่อกันเป็นเวลาสองสัปดาห์ หรือ 1 เดือน เพราะฉะนั้นถ้าฝนตกในภาคกลางสองสัปดาห์ หรือ 1 เดือน นั่นแหละ ต้องเฝ้าระวัง

    ภายในปี 2552-2553 จะเกิดไหม?

    ในปีนี้หรือปีหน้าคาดการณ์ได้ยากว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ว่าภายใน 10 ปี คือ พ.ศ.2563 มันจะเกิดขึ้นได้ เพราะเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2538 เป็นเหตุการณ์ในรอบ 25 ปี เพราะฉะนั้นถ้านับมาอีก 25 ปี ก็ตรงกับ พ.ศ.2563 ฉะนั้นมันก็เหลืออีก 10 ปีเหตุการณ์จะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

    สำหรับปี 2552-2553 เราไม่ได้ศึกษาเพราะระยะเวลาสั้น ถ้าจะศึกษาต้องศึกษาได้ก่อนล่วงหน้าแค่ 3 เดือน เราต้องสามารถคาดการณ์ล่วงหน้า 3 เดือนได้ว่าฝนจะตกหนักหรือไม่ เพราะน้ำจะท่วมก็ท่วมเดือนตุลาคม ดังนั้นถ้านับย้อนกลับมา ตุลา กันยา สิงหา กรกฎาคมจะต้องรู้ว่าน้ำจะท่วมหรือไม่ เพราะว่าสามารถศึกษาก่อนได้

    บริเวณใดบ้างที่ไม่ควรสร้างตึกสูงหรือมีการพัฒนา

    บริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำทุกแห่งที่เหลืออยู่ใน กทม. มีความสำคัญมาก ในการเป็นที่พักน้ำ และเป็นทางระบายน้ำลงสู่ทะเล ตัวอย่างเช่น พื้นที่นอกคันกั้นน้ำฝั่งตะวันออก บริเวณเขตมีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง บางนา และพื้นที่นอกคันกั้นน้ำฝั่งตะวันตก บริเวณเขตบางขุนเทียน บางบอน แสมดำ ทุ่งครุ ควรมีมาตรการอนุรักษ์ไว้

    การป้องกันด้วยคันดินได้ผล?

    เป็นข้อเสนอที่ผมเสนอให้กับทางธนาคารโลก จะต้องสร้างคันดินขึ้นมาริมทะเล แต่ว่าเนื่องจากริมทะเลมีป่าชายเลนอยู่ ขอให้ขยับมา 300 เมตรจากชายฝั่งแล้วสร้างคันดินเสีย นั่นมาตรการแรก ซึ่งการสร้างคันดินก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะป้องกันเฉพาะระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน หรือเกิดสตอมเซิร์ชขึ้น ซึ่งถ้าต้องการตรงนี้ด้วยก็ต้องสร้างสูง 3 เมตร ถ้าไม่ต้องการสูงสองเมตรก็พอ ส่วนระยะทางที่จะต้องสร้างคันดินราวๆ 80 กิโลเมตร

    อีกประการ คือยกถนนสุขุมวิท หรือถนนเลียบทะเลให้สูงขึ้น แต่นี่จะมีปัญหากับคนที่อยู่อีกฝั่งของถนน

    สุดท้าย คือพื้นที่สีเขียว หรือพื้นที่แก้มลิง ของเราตอนนี้ไม่มีเลย กทม.พยายามหาอยู่ แต่หาไม่พอหรอก เพราะปริมาณน้ำมหาศาล 500 ล้านถึง 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เพราะฉะนั้นทางหนึ่งคือต้องหาพื้นที่แก้มลิงที่เหนือกรุงเทพฯขึ้นไปก่อน คือพยายามอย่าให้น้ำเหนือมาเจอกับน้ำหนุน ให้กันไว้ก่อนแถวๆ จ.ชัยนาท

    แนวทางพระราชดำริในการแก้ปัญหาน้ำท่วม

    อันนี้ช่วยได้ส่วนหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวทรงหมายความว่าถ้าน้ำเหนือมาเมื่อไหร่ให้ผันลงทะเลให้เร็วที่สุด แต่นี่ประเด็นคือทางระบายน้ำเราไปสร้างอะไรขวางไว้เยอะ ทำอะไรลำบากแล้ว ระบายน้ำไม่ได้

    แต่พระราชดำริเรื่องพื้นที่แก้มลิงนั้น ทรงมองว่าพื้นที่แก้มลิงต้องหา ต้องมองไว้ และไม่ใช่หาแต่ในพื้นที่กรุงเทพฯ พระองค์บอกว่าให้มองไปทางบนหรือทางเหนือกรุงเทพฯขึ้นไป เพราะพื้นที่ตรงนั้นมหาศาล คือต้องก่อนที่น้ำจะเข้ากรุงเทพฯ อยุธยา ต้องหาให้ได้ เพราะฉะนั้นต้องไปศึกษาแต่ผมไม่ได้ศึกษาประเด็นนี้

    กรุงเทพฯตอนนี้

    เรามีคำแนะนำมาตรการด้านผังเมืองในอนาคตให้กับกรุงเทพมหานคร ต้องจำกัดการเติบโตของกรุงเทพฯ ประเด็นคือกรุงเทพฯ ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาไม่ได้จำกัดการเติบโต แต่ทราบว่าตอนนี้ กทม.เขาจะเริ่มจำกัดแล้ว ผู้ว่าฯกทม.จะเริ่มออกแบบผังเมืองสีเขียว โดยเขาจะกลับไปทบทวนดูว่าเปอร์เซ็นต์ที่เขาอนุญาตให้สร้างที่อยู่อาศัยในพื้นที่สีเขียว ตอนนี้มันชักจะเริ่มส่งผลกระทบแล้ว เขาต้องทบทวนใหม่

    แต่ที่น่าห่วงมากๆ คือ สมุทรปราการ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อเราดูภาพถ่ายทางอากาศจะเห็นชัดว่าบริเวณสมุทรปราการ มีการปลูกสิ่งปลูกสร้างขวางลำน้ำเต็มไปหมด รวมทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ สมุทรปราการต้องทำผังเมือง ต้องสงวนพื้นที่ชุ่มน้ำไว้ให้มีทางระบายน้ำ

    การฟื้นฟูคลองมาใช้แก้ได้ไหม?

    เราก็เสนอแนะเหมือนกันว่าคลองที่มีอยู่ทั้งหมดให้ใช้ผันน้ำลงทะเล แต่ว่าปัจจุบันไม่มีการสำรวจว่าศักยภาพของแต่ละคลองรับน้ำได้เท่าไหร่เลยเป็นปัญหา บอกเจาะจงไม่ได้ว่าแต่ละคลองรับน้ำได้เท่าไหร่ ปัจจุบันเขาเลยใช้คลองผันน้ำไปลง จ.นครนายก

    เมื่อปัญหารุนแรงระดับนี้คนกรุงเทพฯควรทำอย่างไร?

    องค์ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยมีการเผยแพร่ เนื่องจากหลายหน่วยงานเกรงว่าจะเป็นความบกพร่องของตนเองที่ดูแลเรื่องนี้อยู่

    ปัจจุบันการบริหารจัดการภัยพิบัติ อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย 2550 ซึ่งมีคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ มีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการฯ และมีกรรมการจากปลัดกระทรวง และอธิบดีกรมต่างๆ

    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมักไม่ใช้กลไกตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้แก้ปัญหา แต่กลับใช้กฎหมายหรือระเบียบอื่นๆ ดังนั้น การแก้ปัญหาจึงต่างคนต่างทำ ขาดความร่วมมือ ขาดเอกภาพ งบประมาณบานปลาย

    ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่อาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมในอนาคต ถ้ารู้ว่าบริเวณใดมีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติ ก็ควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ควรปรับตัวให้อยู่ร่วมกับเหตุการณ์อย่างปลอดภัย เช่น การสร้างบ้านให้มีใต้ถุนสูง หลีกเลี่ยงการถมดิน แต่สิ่งที่สำคัญภาครัฐ จะต้องเป็นผู้ให้ข้อมูลความเสี่ยงต่อประชาชน

    และต้องยอมรับว่าปัญหานี้มีผลกระทบในวงกว้างหลายพื้นที่ หลายภาคส่วน ลำพังหน่วยงานเดียวไม่สามารถเข้ามาบริหารจัดการได้ การดำเนินงานต้องเป็นวาระแห่งชาติ รัฐบาลต้องเข้ามาดูแล และจริงใจในการแก้ปัญหา

    --------------------------------------------------------

    เตรียมรับมือ กรุงเทพฯจมน้ำ รอ 10 ปีก็สายเสียแล้ว

    โดย สกุณา ประยูรศุข

    ˹ѧ��;������Ԫ�����ѹ : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>จากคำทำนายในแง่โหราศาสตร์ที่ฟอร์เวิร์ดเมลกันว่อนในเวลานี้ ว่าปี 2553 น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ เป็นเหตุการณ์น้ำท่วมที่หนักยิ่งกว่าครั้งใดๆ

    ประกอบกับมีข้อมูลทางวิชาการออกมาว่าปัญหาภาวะโลกร้อน เป็นสาเหตุที่ทำให้สภาพอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง จนมีผลกระทบจะทำให้เกิดน้ำท่วมโลก พื้นดินหลายแห่งจะจมอยู่ใต้น้ำ รวมทั้งกรุงเทพมหานครของประเทศไทยด้วย

    ได้กลายมาเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลแก่ประชากรโลก โดยเฉพาะ "คนกรุงเทพฯ" และปริมณฑล

    "เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง แน่นอนว่านอกจากความเสียหายใหญ่หลวงทางเศรษฐกิจที่รออยู่เบื้องหน้าแล้ว สุขภาพจิตของคนไทยคงต้องอยู่ในสถานการณ์อันตรายยิ่ง!"

    จะเป็นเช่นที่กล่าวหรือไม่- -มีคำอธิบายจาก "ดร.เสรี ศุภราทิตย์" ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ได้ศึกษาวิจัยประเด็นนี้เสร็จหมาดๆ แล้วส่งเปเปอร์ให้กับธนาคารโลก (World Bank) ในฐานะเจ้าของเงินทุนการวิจัยไปเมื่อเดือนมีนาคม 2552 นี้เอง

    ดร.เสรี ศุภราทิตย์ เล่าความเป็นมาก่อนว่า ได้ใช้เวลาในการศึกษาเรื่องนี้ 2 ปี โดยศึกษาเฉพาะกรณีของประเทศไทย เหตุเพราะว่าธนาคารโลกสนใจเรื่องนี้มาก และศึกษามาอย่างต่อเนื่องจนได้ข้อมูลว่า 4 เมืองหลักในทวีปเอเชีย ได้แก่ เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย, เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม, เมืองมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และกรุงเทพฯ ประเทศไทย <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    ภาพเปรียบเทียบชายฝั่งของเดิมและปัจจุบันที่ถูกน้ำท่วมเข้าไปลึกมากแล้ว


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    "อยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะจมน้ำในปี พ.ศ.2563"

    ดังนั้น จึงให้ทุนมาศึกษาวิจัยว่าความเสี่ยงมีมากขนาดไหน ประชาชนจะได้รับผลกระทบกี่ครอบครัว และความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจะเป็นมูลค่าเท่าไหร่

    "วิธีการศึกษาผมได้ใช้แบบจำลองคณิตศาสตร์ในห้องปฏิบัติการ เป็นคอมพิวเตอร์ทั้งหมด สร้างเมืองกรุงเทพฯจำลองขึ้นมา ซึ่งกรุงเทพฯ ประกอบด้วยแม่น้ำเจ้าพระยา และคลองต่างๆ ระดับความสูงของพื้นดิน ระดับน้ำทะเลบริเวณเขตบางขุนเทียน จากนั้นใส่ปริมาณน้ำเหนือ น้ำหนุน และปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา ใส่ข้อมูลต่างๆ ลงไปให้ครบ และใช้เหตุการณ์น้ำท่วมปี 2538 เป็นฐาน.."

    "ผล.. เราพบว่าถ้าเหตุการณ์อย่างปี 2538 เกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง อนาคตเราหนีไม่พ้นแน่ กรุงเทพฯรับไม่ได้กับเหตุการณ์นี้ ต้องโดนน้ำท่วมหนัก"

    คำว่า ""กรุงเทพฯรับไม่ได้กับเหตุการณ์นี้"" ของอาจารย์เสรีมีความหมายว่าผืนดินบริเวณริมทะเลทั้งหมด โดยวัดจากริมชายทะเลเข้าไปในแผ่นดินประมาณ 10 กิโลเมตร จะถูกน้ำท่วม "โดยมีระดับความสูงของน้ำ 1.8-2.00 เมตร"!! <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    ลักษณะของบ้านอนาคตประเทศไทยต้องมีใต้ถุนสูง ส่วนบ้านแพลอยน้ำเป็นของประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ขณะนี้ได้ออกแบบเตรียมรับมือน้ำท่วมไว้แล้ว

    สภาพน้ำท่วมชายฝั่งด้านสมุทรปราการปัจจุบัน


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ""เราพบว่าพื้นที่กรุงเทพฯ จะถูกน้ำท่วมรุนแรง แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับว่าจะติดกับชายฝั่งขนาดไหน ถ้าอยู่ติดชายฝั่งระดับน้ำจะท่วมสูง 1.8-2.00 เมตร ถ้าลึกเข้าไปก็ลดหลั่นกันไป แต่ริมชายฝั่งอย่าง จ.สมุทรปราการ สมุทรสาคร บริเวณปากแม่น้ำจมแน่ๆ""

    "สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือเหตุการณ์ปี 2538 น้ำเหนือมาหนักมาก มันไหลมา 4,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะที่กรุงเทพฯรับน้ำได้ 3,000 ลูกบาศก์เมตร เพราะฉะนั้นหากเกิดเหตุการณ์เช่นปี 2538 อีกครั้งเมื่อน้ำมาสี่พันกว่าลูกบาศก์เมตรเขาจำเป็นต้องผลักน้ำออกไปทางซ้ายและทางขวา ก่อนเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งหมายความว่าน้ำจะท่วมชนบทอย่างมโหฬาร พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม จะโดนหนักมาก แล้วมาทาง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เขตหนองแขม และเขตลาดกระบัง กทม. ก็ไม่รอด.."

    สำหรับสาเหตุที่น้ำท่วมกรุงเทพฯในปี 2563 จะหนักหนาสาหัสมาก ดร.เสรีบอกว่า ตัวการสำคัญ คือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะผังเมือง

    "พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่ว่างเปล่า ลดลงไปจากเดิมถึงครึ่งหนึ่ง"

    "แต่ก่อนผมจำได้ว่ามีพื้นที่ว่างเปล่าหรือพื้นที่ชุ่มน้ำของ กทม. 1,500 ตร.กม. เป็นพื้นที่สีเขียวประมาณ 40% ปัจจุบันเหลือเพียง 20% เท่านั้น และขณะนี้เรากำลังสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ รุกล้ำไปในพื้นที่ชุ่มน้ำมาก เช่น สร้างหมู่บ้านจัดสรรขวางทางระบายน้ำ ซึ่งเป็นทางน้ำไหลลงทะเลไปทางทุ่งตะวันออก บริเวณหนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง บริเวณนี้หมู่บ้านเกิดขึ้นเยอะมาก รวมทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะฉะนั้นจึงเป็นปัญหา"

    อาจารย์เสรีบอกว่า ภายในปี 2563 หากเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นและถ้ารัฐบาลหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่ได้ดำเนินการอะไร ไม่ได้สร้างคันดินที่จะกั้นน้ำไม่ให้ทะลุเข้ามา หรือการขุดลอกคลองระบายน้ำ ทำพื้นที่แก้มลิง หรือหาพื้นที่แก้มลิงเพิ่มเติม

    "น้ำจะท่วมกรุงเทพฯแน่นอน" โดยมีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 50,000 ล้านบาท"

    ที่สำคัญหากรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่คิดหาวิธีป้องกัน หรือมีมาตรการใดๆ ออกมาอย่างชัดเจน คนกรุงเทพฯและปริมณฑลจะต้องเผชิญกับสภาพน้ำท่วมขังบ้านเรือนเป็นเวลา 1 เดือน

    "โปรดเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมที่จะเผชิญกับมัน!!!"
     
  7. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    น้อมรับความเห็นครับ ขอบพระคุณที่ชี้แนะอีกครั้งครับ

     
  8. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    โอนเงินเข้าบัญชีเรียบร้อยครับผม 304 บาท ... ขอบคุณคร๊าบ

     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รับทราบครับ

    .
     
  10. พรสว่าง_2008

    พรสว่าง_2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +402
    __/|\__

    หวัดดีครับพี่หนุ่ม เดี๋ยวใบสมัครจะส่งให้เร็วๆนี้น่ะครับ ช่วงนี้ งานเข้าครับ อบรมยาวจนถึงวันศุกร์ที่ 26 มิ.ย.52 เลยล่ะครับ โมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768

    ผมส่งใบสมัครแล้วนะครับ จริงๆ อยากไปด้วยตัวเองแต่ช่วงนี้งานยุ่งมาก

    ยังงัยขอโทษด้วยนะครับ

    อีกอย่างขอหมายเลขบัญชีด้วยนะครับ

    อรุณ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ครบเครื่อง เรื่องพล่ากับ"พล่าปลาสลิด"/กุ๊กเล็ก
    Travel - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>18 มิถุนายน 2552 16:36 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> โดย:กุ๊กเล็ก


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พล่าปลาปลิด</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ยุคนี้โรคภัยไข้เจ็บเยอะ เดี๋ยวก็ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ เดี๋ยวก็โรคชิคุนกุนยา และอีกมากมายหลายโรคที่ทยอยเกิดขึ้น ดังนั้นวิธีหนึ่งที่ "กุ๊กเล็ก" เล็งเห็นว่าจะช่วยป้องกันโรคต่างๆได้คือ การมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง รู้จักดูแลตัวเอง ทั้งภายนอกและภายใน

    อย่างเรื่องกินก็สำคัญควรเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นหลัก เพราะแบบนี้ "กุ๊กเล็ก" ถึงชอบทำกินข้าวมากกว่าซื้อกิน มื้อนี้ก็เช่นกัน เข้าครัวทำเมนู "พล่าปลาสลิด"เมนูที่เน้นเครื่องสมุนไพรแบบไทยๆ

    ส่วนผสม

    ปลาสลิดแดดเดียวไม่เค็มมาก (ไม่ควรแห้งมาก) 4-5 ตัว
    พริกขี้หนูสวนซอย 10-15 เม็ด
    หอมแดงซอย 3 หัว
    ตะไคร้อ่อนซอยเป็นแว่น 2 ต้น
    ใบมะกรูดอ่อนหั่นฝอย 4 ใบ
    ผักชีฝรั่งหั่น 2 ต้น
    น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ
    กระเทียมหั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
    ใบสาระแน่ 8 ใบ
    ผักกาดหอม 7-8 ใบ
    น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
    น้ำพริกเผา 1 ช้อนชา
    น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำมันพอประมาณสำหรับทอดปลาสลิด

    วิธีทำ

    ตั้งกระทะในไฟปานกลางก่อนจะเทน้ำมันพร้อมทั้งน้ำส้มสายชูลงไปในกระทะ น้ำส้มสายชูจะช่วยให้ปลาสลิดไม่อมน้ำมัน เมื่อไฟแรงได้ที่แล้วจึงค่อยนำปลาสลิดมาทอดจนสุก พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ ก่อนจะนำมาหั่นเป็นท่อนๆพอดีคำ

    จากนั้นหันมาจัดการกับเครื่องปรุงอื่นต่อ นำ ตะไคร้ ใบมะกรูด หอมแดง พริกขี้หนู ผักชีฝรั่ง กระเทียม คลุกเข้าด้วยกัน ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาล และน้ำพริกเผา ผสมให้เข้ากัน ชิมให้ได้รสเปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ด แล้วโรยหน้าด้วยใบสาระแน่ ยกเสิร์ฟในจาน ตกแต่งด้วยผักกาดหอมหรือผักอื่นๆตามใจชอบก็เป็นอันเสร็จ ได้เมนูอร่อยๆมากินอีกหนึ่งมื้อ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยหมอแมว

    http://hilight.kapook.com/view/38195



    [​IMG]

    ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยหมอแมว (Pantip)

    ช่วงนี้กระแสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่มาแรง ผม (หมอแมว) เลยโหนกระแสครับ โดยเมื่อ 4 วัน ก่อนเพิ่งทำ Nasopharyngeal swab ตรวจเด็กโรงเรียนเซนต์คาเบรียลไปคนหนึ่ง (เอาไม้จิ้มจมูก) เมื่อคืนวานซืนตรวจ Pharyngeal swab ตรวจไปอีกคน (เอาไม้จิ้มคอแล้วกวาดๆ) แล้วก็ตรวจอีก 20 กว่าคน ที่มาด้วยความกลัวไข้หวัดใหญ่ 2009 (ส่วนคนอื่นอยู่เวรกลางวันก็โดนไปคนละ 40-50 คน) และตอนนี้ผมกำลังมีไข้ 38 องศาเซลเซียส นิดๆ ตอนนี้เริ่มไอแล้ว และคนที่บ้านก็เริ่มติดกันไปแล้ว

    เนื่องจากช่วงนี้เห็นว่า โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และวิทยุ ได้รายงานเรื่องราวเกี่ยวกับไข้หวัดนี้มากมาย หากแต่ว่าการรายงานข่าวที่ออกมาก็ไม่ครบถ้วนพอที่จะทำให้คนเข้าใจได้ ประกอบกับบางสื่อยิ่งรายงานคนยิ่งตื่นตระหนก ผมเลยลองพยายามเอาเรื่องไข้หวัดนี้มาอธิบายครับ เอาเป็นว่านี่คือการพูดคุยสบายๆ เรื่องข้อเท็จจริงแบบที่จะอิงภาษาวิชาการให้น้อยที่สุดครับ เพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจให้ตรงกัน…​

    [​IMG] 1. เชื้อ H1N1 มันใหม่ยังไง เห็นใน wiki ว่าเป็นตัวที่ฆ่าคนตายเป็นล้านๆ เมื่อก่อนก็คือ H1N1 นี่นา

    Spanish flu เป็นไข้หวัดใหญ่ ที่ฆ่าพลเมืองของโลกไปประมาณ 5% หรือประมาณ 50 - 100 ล้านคน ในช่วงปี ค.ศ.1918 – ค.ศ.1919 ไข้หวัดใหญ่ตัวนี้คือ เชื้อ Influenza A H1N1 ซึ่งบางคนสังเกตว่า มันคือเชื้อเดียวกันกับเชื้อที่ออกข่าวในตอนนี้ เลยกังวลว่า มันจะร้ายแรงและน่ากลัวมากจริงๆ หรือ? ผมขอบอกว่ามันคือเชื้อคนละตัวกับตอนนั้นครับ​

    คำว่า Influenza A หมายถึง เชื้อไวรัสในตระกูล Orthomyxoviridae ซึ่งมีโครงสร้างหลักทั่วไปเหมือนกัน​

    ความแตกต่างของแต่ละตัวจะอยู่ที่ส่วนที่เรียกว่า H hemagglutinin และ N neuraminidase

    โดยรูปแบบของ H ในไวรัสไข้หวัดใหญ่จะมีอยู่ 16 แบบ และรูปแบบของ N จะมีอยู่ 9 แบบ ถ้าพูดแบบหยาบๆ ตัวเลขของ H และ N เป็นการจำแนกตามแบบอย่างหยาบๆ ครับ ดังนั้นไวรัสเมื่อร้อยปีก่อนกับตัวปัจจุบัน แม้ว่าจะมีชื่อที่เหมือนกัน แต่ก็เป็นความเหมือนที่ภายนอกเท่านั้น คุณสมบัติด้านความร้ายแรงไม่สามารถนำมาเทียบกันได้แบบ 100% ​

    ถ้าจะให้เปรียบก็เหมือนเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นนักเรียนมัธยม H1 ก็คือกางเกงน้ำตาล ส่วน H2 คือกางเกงดำ H3 คือกางเกงแดง และ N1 คือรองเท้าหนังสีดำ ส่วน N2 คือรองเท้าผ้าใบสีดำ ฯลฯ ดังนั้น ไข้หวัดสเปน H1N1 ก็คือเด็กนักเรียนกางเกงขาสั้นน้ำตาลใส่รองเท้าหนังสีดำ และไข้หวัด 2009 ก็คือเด็กนักเรียนกางเกงขาสั้นน้ำตาลใส่รองเท้าหนังสีดำเหมือนกัน ต่างกันที่ว่าเจ้าไข้หวัดสเปน เป็นเด็กนักเรียนที่พกปืนในกระเป๋า ส่วนไข้หวัด 2009 มันแค่พกสนับมือเท่านั้น

    [​IMG] 2. องค์การอนามัยโลกประกาศระดับ pandemic ขั้นที่ 6 หมายความว่า มันเป็นโรคที่ร้ายแรงอันตรายถึงตายใช่ไหม?

    ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งที่ได้ยินบ่อยคือ การที่ออกมาประกาศขั้นที่ 6 คือการบอกว่าโรคนี้เป็นโรคที่รุนแรงถึงตาย อันตรายมากๆ โดยคำว่า Pandemic คือ การที่ 1. มีโรคเกิดขึ้นใหม่ในประชากร 2. เป็นโรคในมนุษย์และสามารถก่อโรคที่รุนแรงได้ และ 3. เป็นโรค "ติดต่อ" ที่กระจายไปในประชากรต่อไปได้เรื่อยๆ

    ที่ผ่านมาไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่เราเจอกันคือสายพันธุ์เก่า ที่ประชากรส่วนหนึ่งมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว ดังนั้น มันจึงไม่ "ใหม่" กับประชากร และเมื่อมันติดต่อไปได้สักพักแล้วไปเจอคนที่มีภูมิคุ้มกัน มันก็ "ไม่กระจายต่อ" ดังนั้น มันก็ไม่ถือเป็น Pandemic​

    ในทางทฤษฎีไข้หวัดใหญ่ที่เรากลัวกันก็ คือ ไข้หวัดใหญ่ที่มาจากสัตว์ครับ เพราะว่าพวกนี้มีองค์ประกอบครบ คือ...​

    [​IMG] 1. มันเป็นของสัตว์ จึงใหม่ต่อมนุษย์

    [​IMG] 2. ไข้หวัดใหญ่เป็นเชื้อที่สามารถทำให้คนตายได้ แต่จะมากน้อยแค่ไหนเป็นอีกเรื่อง

    [​IMG] 3. ถ้ามันติดต่อจากคนสู่คนได้เมื่อไหร่ มันก็จะแพร่กระจายได้



    [​IMG]


    Pandemic Alert ขององค์การอนามัยโลก เลยประกอบไปในส่วนการเฝ้าระวังทั้ง 6 ระดับนั่นคือ...

    [​IMG] Phase 1 no viruses circulating among animals have been reported to cause infections in humans : เจอไวรัสที่เป็นชนิดใหม่ๆ แต่ไม่สามารถติดมาคนได้ อย่างกรณีไข้หวัดนกที่ผ่านมา มีการระวังและเสนอการทำลายนกและไก่ตั้งแต่ยังไม่มีการติดต่อมาสู่คน​

    [​IMG] Phase 2 an animal influenza virus circulating among domesticated or wild animals is known to have caused infection in humans : พบคนที่ติดเชื้อจากสัตว์ การที่เชื้อมันข้ามมาคนได้ แปลว่า มันมีความสามารถในการก่อโรคในคน ดังนั้น มันมีความเสี่ยงที่จะกระจายจากคนสู่คน​

    [​IMG] Phase 3 an animal or human-animal influenza reassortant virus has caused sporadic cases or small clusters of disease in people, but has not resulted in human-to-human transmission sufficient to sustain community-level outbreaks : เกิดการติดต่อในกลุ่มประชากรเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อจากสัตว์มาคนเดี่ยวๆ หรือจากคนสู่คนที่สามารถคุมให้อยู่ในวงจำกัดได้ ระดับนี้คือระดับที่จะต้องระวัง เพราะขั้นนี้แปลว่าเชื้อนี้มีความสามารถในการแพร่กระจายได้หากไม่ควบคุมให้ดี​

    [​IMG] Phase 4 is characterized by verified human-to-human transmission of an animal or human-animal influenza reassortant virus able to cause community-level outbreaks : เกิดการแพร่กระจายในระดับชุมชน เช่น เจอว่าเป็นกันทั้งหมู่บ้าน หรือมีการระบาดในเมือง หรือแม้แต่การระบาดในประเทศหนึ่ง ถ้าจะปรับเป็นภาษาไทยก็อาจจะแปลว่า "โรคระบาด" หรือเท่าๆ กับคำว่า "Epidemic" ในภาษาอังกฤษ​

    [​IMG] Phase 5 is characterized by human-to-human spread of the virus into at least two countries in one WHO region : เกิดการระบาดข้ามประเทศ แต่เป็นประเทศในเขต WHO เดียวกัน โดยถือกันว่าพรมแดนประเทศ คือส่วนที่มีการควบคุมการข้ามผ่านที่เข้มงวดมากกว่าภายในประเทศ ดังนั้น ถ้ามันข้ามพรมแดนได้ก็มีความเสี่ยงที่ประเทศนั้นจะติดเชื้อโรคนี้ทั้งประเทศได้​

    [​IMG] Phase 6 the pandemic phase, is characterized by community level outbreaks in at least one other country in a different WHO region : WHO region ถูกแบ่งได้คร่าวๆ ด้วยพรมแดนตามธรรมชาติ ดังนั้น หากมีประเทศที่อยู่กันคนละเขต (คนละทวีป) ติดต่อเชื้อนี้ได้ ก็มีความเสี่ยงที่มันจะกระจายในทวีปนั้นๆ และถ้ามันข้ามไปได้ 1 เขต ก็มีความเสี่ยงที่มันจะกระจายไปเขตอื่นที่ไม่ติดได้ นั่นแปลว่ามันมีความเสี่ยงที่จะติดต่อกระจายไปทั่วโลก​

    [​IMG] 3. ไหนหนังสือพิมพ์ออกข่าวว่าหวัดมรณะ ถ้าบอกว่าของ WHO ไม่ได้บอกความรุนแรง แล้วอันไหนล่ะที่บอก

    ในขณะที่ของ WHO บอกความเสี่ยงเรื่องการแพร่กระจาย ทาง CDC หรือหน่วยควบคุมโรคของอเมริกา ก็มีเกณฑ์ความรุนแรงครับ โดยใช้ค่า CFR Case fatality ratio หรือค่าที่บอกว่า หากมีคนไข้ที่ได้รับรายงานจำนวนเท่านี้ จะมีคนตายกี่เปอร์เซนต์ ทั้งนี้ ไข้หวัดใหญ่ทั่วๆ ไปอยู่ในระดับ 1 คือหากรายงานว่าเป็นไปสัก 1,000 คน จะมีคนตายน้อยกว่า 1 คน (น้อยกว่า0.1%) โดยไข้หวัดสเปนอยู่ในระดับ 5 คือ หากรายงานว่าเป็น 1,000 คน จะมีคนตายมากกว่า 20 คน (มากกว่า 2%)

    จริงๆ คำว่า CFR ก็คล้ายๆ กับอัตราตายครับ แต่อาจจะไม่ตรงกันสักทีเดียว ถ้าลองคิดคำนวณคร่าวๆ จากข้อมูลจาก WHO มีคนติดเชื้อตัวนี้ 29,669 คน ซึ่งตายไป 145 คน จะอยู่ที่ 0.48% จัดอยู่ในความรุนแรงระดับ 2 ซึ่งมีคนเสนอว่าเม็กซิโกตายเยอะผิดปกติ ดังนั้น หากตัดค่าที่รายงานจากเม็กซิโกไป มีคนติดเชื้อตัวนี้ 23,428 คน ซึ่งตายไป 37 คน จะอยู่ที่ 0.15 % ก็จัดอยู่ในความรุนแรงระดับที่ 2 อยู่ดี ก็ต้องไปดูที่มาของค่าตัวเลขครับ​

    Influenza หรือ ไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในอเมริกา จะมีการทำ Throat Swab ตรวจกันบ่อยๆ ใครไข้สูงครั่นเนื้อตัวเยอะๆ หมอก็จับส่งตรวจ บางคนอาการไม่หนักมากก็ส่งตรวจ แต่ไข้หวัด 2009 ในตอนนี้ยังเป็นระหว่างการระบาด การที่จะส่งตรวจในกรณีคนต้องสงสัย โดยเฉพาะคนที่มีอาการหนัก ส่วนคนที่มีอาการน้อยจะไม่ได้ส่งตรวจ เพราะว่าสิ้นเปลืองทรัพยากรในช่วงระบาด ดังนั้น ตัวเลขคนที่เป็นไข้หวัด 2009 จริงๆ น่าจะมากกว่านี้ครับ และหากตรวจทั้งหมด ผลที่ออกมานั้นคนที่ตายก็น่าจะมีสัดส่วนที่น้อยลงไปอีก

    [​IMG] 4. ตกลงวางใจได้ใช่ไหม?

    ไม่ได้ครับ ที่จริงเรามีโรคที่อาจจะถือว่าเป็น Pandemic หรือแพร่กระจายทั่วโลกหลายโรคทีเดียว ยกตัวอย่าง เช่น มาลาเรีย เอดส์ กับ วัณโรค แต่ว่าโรคเหล่านี้ถือว่าน่ากลัวน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่ เพราะ 3 สาเหตุคือ...​

    [​IMG] 1. ลักษณะการติดต่อ

    [​IMG] 2. ระยะเวลาที่ก่อโรค

    [​IMG] 3. การกลายพันธุ์

    "มาลาเรีย" กับ "เอดส์" ไม่ได้ติดต่อทางอากาศหายใจ แต่ไข้หวัดใหญ่ติดต่อทางอากาศได้ "วัณโรค" และ "เอดส์" ดำเนินโรคช้า แต่ไข้หวัดใหญ่ได้รับเชื้อแล้ว 2-3 วัน ก็ออกอาการ ที่สำคัญ "วัณโรค" และ "เอดส์" ส่วนใหญ่เวลากลายพันธุ์จะกลายพันธุ์แบบเรื่อยๆ คือ แค่ดื้อยา ไม่ทำให้คนตายมากขึ้น แต่ไข้หวัดใหญ่เวลากลายพันธุ์จะเปลี่ยนจากความน่ากลัวแบบชิสุไปเป็นน่ากลัวแบบโดเบอร์แมน!

    โรคจะน่ากลัวเมื่อมีการระบาดครับ เพราะการระบาดนั่นหมายความว่าจะเกิดโรคขึ้นพร้อมๆ กัน เกิดคนป่วยจำนวนมากขึ้นพร้อมกัน ในแง่จิตใจก็ทำให้เกิดความขัดแย้งและไม่มั่นใจในสังคมได้มาก จำนวนผู้ป่วยที่มีมากและมีการออกข่าวในทำนองว่า ระบบสาธารณสุขไม่สามารถรองรับได้เต็มที่ จะเกิดการแก่งแย่งกันเพื่อให้ตนเองได้สิ่งที่ตนเองคิดว่าดีที่สุด รวมทั้งเกิดความขัดแย้งกดดันกับเจ้าหน้าที่ได้ รวมไปถึงขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ทำหน้าที่ในระบบต่างๆ ของรัฐ ที่หากมีสมาชิกในครอบครัวป่วยก็ย่อมจะต้องสนใจสมาชิกในครอบครัวก่อนงานที่ทำ ทำให้ระบบของประเทศเกิดการสั่นคลอนได้

    ไข้หวัดใหญ่ 2009 ในตอนนี้อยู่ในระดับที่ก่อการระบาดได้ แต่ยังไม่มีความรุนแรงนัก ปัญหาคือเนื่องจากมันเป็นสายพันธุ์ใหม่ คนส่วนใหญ่เลยติดเชื้อนี้ได้ง่าย มีโอกาสติดต่อได้ประมาณ 22-33% ในขณะที่เชื้อเดิมอยู่ที่ 5-15% และความสามารถของไวรัสไข้หวัดใหญ่ คือ การปรับเปลี่ยนพันธุกรรม ทำให้มันกลายเป็นตัวใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม​

    การปรับเปลี่ยนพันธุกรรมจะเกิดได้ ต้องมีโอกาสมากพอ หรือแปลง่ายๆ คือถ้ามันแพร่กระจายไปมากๆ มีคนติดเชื้อมากๆ มันก็จะมีโอกาสมากขึ้นที่จะเปลี่ยนไปเป็นพันธุ์ที่ร้ายแรงได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ตอนนี้ถ้ามันระบาดมากๆ ก็เสี่ยงครับ หากมันเปลี่ยนความรุนแรงขึ้น (ซึ่งเจอได้เสมอในเชื้อกลุ่มไวรัสไข้หวัดใหญ่) มันจะเปลี่ยนจากไข้หวัด 2009 ตัวหมูๆ นี้ กลายเป็นหมูป่า Combo shot supernova ขึ้นมาทันที ​



    [​IMG]


    มาที่เรื่องในประเทศของเราบ้างครับ เอาแบบสถานการณ์จริง ช่วงนี้ผมดูข่าวจากทีวีและหนังสือพิมพ์แล้วขัดใจมากครับ สิ่งที่ข่าวบอกกับสิ่งที่การสาธารณสุขทำ มันไปคนละทางกัน และตามความเห็นผม มันกำลังจะทำให้กระบวนการของโรคระบาดเข้าขั้น คือ เกิดความล้าในระบบให้บริการทางสาธารณสุข ประโยคหนึ่งที่ผมคิดว่าผิดอย่างมาก คือ การบอกว่า ไม่ต้องตื่นตระหนกกับโรคนี้มากนัก โรคนี้ถ้าไปพบหมอแต่เนิ่นๆ สามารถตรวจว่าเป็นหรือไม่ และหากไปเร็วทันเวลาก็รักษาหายได้

    ผมนั่งดูข่าวมา 3 ครั้ง ในรอบสัปดาห์นี้ บอกแบบนี้ทั้งนั้น และจากคนไข้ที่มาหาเมื่อวานนี้ หลายคนมาเพราะฟังข่าวและได้ยินประโยคนี้ คนที่ฟังเค้าเข้าใจว่า​

    [​IMG] 1. โรคนี้หากไปทันเวลาตั้งแต่ระยะแรกรักษาหายได้ (แปลว่าถ้าไปช้าอาจจะรักษาไม่หาย)​

    [​IMG] 2. โรคนี้หมอสามารถตรวจได้ว่าเป็นหรือไม่เป็น ถ้าไปแต่เนิ่นๆ (แปลว่าถ้าไปช้า ตรวจไม่เจอ รักษาไม่ถูก ตาย!)​

    [​IMG] 3. ถ้าทำตามสองข้อบนได้ก็ไม่ต้องตระหนก (แปลว่าถ้าไปหาหมอไม่ได้ก็ตายแน่ๆ ใช่ไหม)​

    อาจจะฟังดูงี่เง่านะครับ แต่ตอนผมฟังข่าวผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ และคนไข้ที่มาตรวจกับผมหลายคนก็รู้สึกอย่างนั้น ซึ่งปัญหามันก็เกิดขึ้นเพราะคนที่บอกให้รีบไปตรวจ ดันไม่บอกว่าต้องมีอาการอย่างไรจึงควรไปตรวจ ดันไม่ยอมศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนว่าไปแล้วที่โรงพยาบาลจะตรวจอย่างไร รักษาอย่างไร หรือนักข่าวไปถามหมอ แทนที่จะถามว่า "ควรปฎิบัติตัวอย่างไร" ดันไปถามว่า "โรคนี้อาการอย่างไร" (คำถามสิ้นคิด -_-') สุดท้ายก็ไปป้อนข้อมูลที่ก่อความตื่นตระหนกฝังใจว่า "ถ้าไปทันเวลาก็มีโอกาสหาย" เมื่อไปถึงโรงพยาบาลแล้วปรากฎว่า หมอดูแล้วว่าไม่เข้าเกณฑ์ คนไข้ก็เกิดความไม่พอใจ เพราะมั่นใจมาเต็มที่ว่าตนเองเป็นชัวร์ๆ แต่หมอไม่ตรวจ

    ก่อนที่จะไปคุยเรื่องการระบาด ก็ต้องมาดูเรื่องความรุนแรงของโรคครับ ถ้าใครลองไปอ่านของ WHO จะพบว่าตอนนี้เค้าประมาณการณ์ว่า ครั้งนี้อย่างต่ำๆ ก็อยู่ในระดับความรุนแรงแบบ Moderate ซึ่ง Moderate คือ…​

    [​IMG] 1. คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อนี้หายเองได้ โดยไม่ต้องการการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือการรับการบริการทางสาธารณสุข

    [​IMG] 2. ระดับความเจ็บป่วยแบบรุนแรงอยู่ในระดับเดียวกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล (แม้ว่าบางที่อาจจะมากหน่อย)

    [​IMG] 3. ระบบการรักษาพยาบาลยังรองรับได้ แม้ว่าจะแน่นไปสักหน่อย

    รวมไปถึงหลายส่วนที่บอกไว้ว่าส่วนใหญ่หายเอง สิ่งที่ผมจะบอกคือ ไข้หวัดใหญ่และไวรัสหลายชนิด มันมีระดับความรุนแรงของโรคต่างๆ กัน คนที่นอนโรงพยาบาลแบบปางตาย อาจจะมีสัก 3 คน คนที่นอนโรงพยาบาลแบบมีไข้ให้น้ำเกลือ 2-3 วัน อาจจะมีสัก 30 คน คนที่มาโรงพยาบาลด้วยไข้สูง ตรวจเจอเชื้อ จากนั้นกลับไปกินยาพาราเซตามอลกับยาแก้ไอ อาจจะมีสัก 300 คน คนที่ติดแล้วมีอาการไอ เจ็บคอนิดหน่อย เมื่อยตัวนิดนึง นอนพักคืนเดียวก็หาย อาจจะมีสัก 30,000 คน (ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเป็น)​

    สิ่งที่ควรจะเป็น คือ เราอยากให้คนที่มีไข้หรือไข้สูงมาตรวจ เพราะไม่แน่ว่าอาจจะกลายไปเป็นปอดบวม ซึ่งหากอาการทำท่าดูไม่ดีเราก็จะได้ให้ยาไปก่อน กลุ่มนี้ถ้ามาตรวจอาจจะมีสัก 333 คน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการนำเสนอข่าวอย่างไม่ระวังของหนังสือพิมพ์และข่าวทีวีตอนก่อนหน้านี้ คือ 333 คน ที่เป็นพอประมาณถึงหนักมาโรงพยาบาล 30,000 คน ที่เป็นก็มาโรงพยาบาล อีก 300,000 คน ที่ไม่ได้เป็นหวัด แต่เป็นภูมิแพ้ก็มาโรงพยาบาล อีก 100,000 คน เดินผ่านหน้าโรงเรียนเลยมาขอตรวจบ้าง กลายเป็นว่าคนที่เป็นจริงๆ มาที่โรงพยาบาล จากนั้นมีคนที่ไม่เป็นมารับเชื้อถึงที่ กลายเป็นว่าคนที่เป็นแบบเบาๆ ไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาลก็มาโรงพยาบาล เพื่อมาปล่อยเชื้อที่โรงพยาบาล สุดท้ายหมอต้องมานั่งอธิบายคนที่เป็นแค่ภูมิแพ้ว่าไม่ต้องไปตรวจก็ได้ แล้วก็ต้องทิ้งให้คนไข้ที่ป่วยจริงนอนรอตรวจต่อไป

    สำหรับตอนนี้มีเกณฑ์ในการตรวจซึ่งหลักใหญ่ๆ น่าจะเหมือนกันทั่วประเทศ ได้แก่...

    [​IMG] 1. มีไข้ 38 องศาเซลเซียส ขึ้นไป ร่วมกับ…​

    [​IMG] 2. มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ ปวดกล้ามเนื้อ, ไอ, หายใจผิดปกติ (หอบ,ลำบาก) หรือแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นปอดบวม ร่วมกับ...​

    [​IMG] 3. อาศัยอยู่หรือเดินทางมาจากพื้นที่ที่พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ในระยะ 7 วัน ก่อนวันเริ่มป่วย​

    [​IMG] 4. มีผู้สัมผัสร่วมบ้านหรือในที่ทำงานป่วยสงสัยไข้หวัดใหญ่ หรือปอดอักเสบ ภายใน 1 สัปดาห์ ก่อนวันเริ่มป่วย​

    ตอนนี้เข้าใจว่าตัดข้อ 3 ไปแล้วครับ เพราะว่าตอนนี้มันเข้าประเทศไทยเรียบร้อย ดังนั้น อาจจะถือไปก่อนว่าน่าจะเสี่ยงข้อนี้ไปเลย หากมีเกณฑ์ครบดังนี้ แพทย์จึงจะพิจารณาตรวจ Throat Swab เพื่อดูว่าเป็นเชื้อนี้หรือไม่ หลังจากนั้นพิจารณาอาการและความเสี่ยงว่าจำเป็นต้องได้รับยาต้านเชื้อไวรัสหรือไม่ (ถึงเป็น 2009 แต่ถ้าอาการเบาๆ ก็ไม่ให้ยาต้านเชื้อไวรัส)​


    [​IMG]


    เมื่อนำเอาเกณฑ์เหล่านี้มามองใหม่ ผลที่ได้ก็คือ

    [​IMG] 1. การรักษาหรือพิจารณาให้ยา Tamiflu ขึ้นกับอาการ ต่อให้เป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่มีอาการของปอดบวม ก็จ่ายยาต้านไวรัส และจับนอนโรงพยาบาล​

    [​IMG] 2. ถ้าไปโรงพยาบาลแล้ววัดไข้ได้ 38 องศาเซลเซียส มีอาการของหวัดหรือสงสัย และมีอาการปอดบวมหรือหลอดลมอักเสบ ก็จะทำ Throat swab และพิจารณาให้ยาตามสมควร​

    [​IMG] 3. ถ้าไปโรงพยาบาลแล้ววัดไข้ได้ 38 องศาเซลเซียส มีอาการของหวัด แต่เป็นแค่คอกับจมูก ไม่มีอาการของปอด ก็มักจะไม่ทำ Throat swab และไม่ต้องให้ยาต้านไวรัส (แต่อาจารย์บางท่านบอกว่าก็ทำได้เหมือนกัน)​

    [​IMG] 4. ถ้าไม่มีไข้ ไม่ให้ยาและไม่ทำ Throat swab​

    หมายเหตุ : Throat swab คือการตรวจด้วยไม้พันสำลีป้ายที่คอ แล้วเอาไปตรวจว่าเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไม่ แต่ก่อนใช้เวลา 1 วัน รู้ผล แต่ตอนนี้มีการตรวจมาก อาจจะ 3-4 วัน ขึ้นไป​

    ยกตัวอย่าง

    [​IMG] ถ้ามีไข้ต่ำๆ ตัวรุมๆ เดินไปเดินมาได้สบายดี ก็จะได้ยาลดไข้ ลดน้ำมูก แก้ไอ กลับไปกินที่บ้าน

    [​IMG] ถ้าไม่มีไข้ แต่ไปกินข้าวกับคนที่มีเพื่อนเป็นเด็กเซนต์คาเบรียล หรือเป็นเด็กโรงเรียนที่มีนักเรียนเป็นไข้หวัด 2009 หมอก็ไม่ตรวจ

    [​IMG] ถ้าไม่มีไข้เลย แต่ไปกินข้าวกับคนที่เป็นเพื่อนกับคนที่ไปเดินผ่านที่หน้าโรงเรียนเซนต์คาเบรียลหรือโรงเรียนที่มีนักเรียนเป็นไข้หวัด 2009 อันนี้ก็ไม่ตรวจ

    [​IMG] เป็นภูมิแพ้ กินยาแก้ภูมิแพ้มาปีกว่า ตอนนี้ไม่มีไข้ แต่มีน้ำมูลไหลเหมือนทุกวัน วันนี้อยากตรวจไข้หวัด 2009 อันนี้ก็ไม่ตรวจ

    [​IMG] ไข้สูง 38.9 องศาเซลเซียส ไอมาก แต่ไม่ได้ไปเจอเด็กนักเรียนที่ไหนเลย อันนี้ไม่อยากตรวจก็ต้องตรวจ

    เน้นย้ำนะครับเรื่องไข้ตัวร้อน ถ้าคุณไม่มีไข้เลยแม้แต่น้อย และเดินไปเดินมาได้สบายดี ก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอกครับ คนป่วยหนักๆ หลายคนเค้าไม่ยอมใส่หน้ากากอนามัย เพราะว่าเหนื่อย เค้าไอโขลกๆ อยู่ อยู่บ้านดีๆ ไม่เจอเชื้อ ดันตามมารับเชื้อที่โรงพยาบาล​

    ปกติหมออยู่เวรก็ยุ่งกันมากอยู่แล้ว ลำพังปกติก็ตรวจกันไม่ทัน พอมีคนไข้ที่ให้ประวัติว่าจะป็น พยาบาลก็ให้ไปรอที่ตึกที่ห่างออกไปอีก 400 - 500 เมตร หมอก็ต้องเดินไปซักประวัติ เพื่อจะรู้ว่าจริงๆ เป็นแค่ภูมิแพ้ แล้วต้องมานั่งตอบคำถามว่าทำไมหมอพูดไม่ตรงกับนักข่าวในทีวี เสร็จแล้วเดินกลับมาอีก 400 - 500 เมตร เพื่อจะมาฟังพยาบาลบอกอีกว่า "หมอส่งอีกคนไปที่ตึกแล้ว หมอเดินไปตรวจหน่อยนะ"​

    เมื่อวานซืนคุยกับหมอแผนกเด็กคนหนึ่ง เค้าบอกว่า เค้าต้องเดินวนไปวนมาเพื่อตรวจคนที่ถูกคัดกรองมาประมาณ 10 - 20 คน ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่มีไข้ และหมอคนนี้ต้องอยู่เวร 24 ชั่วโมง คิดว่าเมื่อวานนี้เค้าคงต้องเดินราวๆ 7 - 8 กิโลเมตร วนไปวนมาในโรงพยาบาล ดังนั้น ถ้าไม่มีไข้อยู่บ้านเถอะครับ หรือถ้าคุณไม่แน่ใจว่าควรไปหรือไม่ คำแนะนำที่นำไปใช้ได้จริงคือ ให้ลองลืมๆ ไปว่าตอนนี้มีไข้หวัดใหญ่ 2009 ครับ ดูอาการตนเองเป็นหลัก ถ้าอาการน้อยแบบที่แต่ก่อนพอเป็นประมาณนี้แล้วก็กินยานอนอยู่บ้าน ก็ไม่ต้องไป ถ้าอาการเยอะแบบที่แต่ก่อนพอเป็นประมาณนี้ก็จะไปหาหมอ ก็ไป

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
    เขียนโดย : หมอแมว
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก istockphoto.com และ shutterstock.com
     
  15. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    วันศุกร์ที่19/06/52โอนเงิน 500 บาท
    ร่วมบุญกับคุณเพชรเรียบร้อยแล้วค่ะ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เหล้าปั่นระบาดหนักช่วงรับน้อง! รุ่นพี่ให้น้องดื่ม

    ����һ��� �кҴ��ǧ �Ѻ��ͧ ��蹾�������ͧ������ �Ԩ�����Ѻ��ͧ

    ที่มา กระปุก

    [​IMG]


    ระบาดรับน้อง เหล้าปั่น พี่โชว์ไฮโซให้ดื่ม (ไทยรัฐ)

    ประธานสภานิสิตนักศึกษา มบส. แฉ "เหล้าปั่น" ระบาดหนักช่วงรับน้อง รุ่นพี่โชว์ไฮโซให้รุ่นน้องผู้หญิงดื่ม ขณะ ม.ราชภัฏฯ เฝ้าระวังการเปิดร้านเหล้าอยู่ติดสถานศึกษา ประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องเอาผิด

    วันนี้ (18 มิถุนายน) ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มบส.) สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา (กลุ่มถักทอฝัน) และ มบส. จัดเสวนา "รับน้องสร้างสรรค์ หรือปลูกฝังอำนาจนิยม" โดย รศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า การรับน้องที่ผ่านมามักเห็นรุ่นพี่มีอำนาจเหนือรุ่นน้อง หลายเรื่องเป็นการละเมิดสิทธิ และขัดต่อหลักการความเสมอภาคตามระบอบประชาธิปไตย นักศึกษาปี 1 กลายเป็นไพร่ และรอวันขึ้นมาเป็นรุ่นพี่ ปี 2 เพื่อทำในสิ่งที่ถูกกระทำ สิ่งเหล่านี้เป็นอำนาจนิยม ซึ่งหากเราไม่รู้เท่าทันจะเป็นอันตราย และเกือบทุกมหาวิทยาลัย ไม่เคยปลูกฝังเรื่องความเสมอภาค จนทำให้ปัญญาชนไม่เข้าใจ และทำให้ระบอบประชาธิปไตยล้มเหลว

    ทั้งนี้ทุกปีมีปัญญาชนเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องถึง 2-3 แสนคน จาก 180 สถาบันอุดมศึกษา ใน 66 จังหวัดทั่วประเทศ หากเราเปลี่ยนให้ปัญญาชนเหล่านี้ ทำกิจกรรมสร้างสรรค์จะเป็นการเปลี่ยนประเทศไทย พลิกจากอำนาจนิยม เผด็จการ เป็นการรับน้องสร้างสรรค์ และขอเสนอให้ใช้งาน "ต้อนรับน้องใหม่" แทนการรับน้องแบบอำนาจนิยม

    นายวัชรา บัวทอง ประธานสภานิสิตนักศึกษา มบส. กล่าวว่า ปัจจุบันนักเรียน นักศึกษากำลังก้าวมาเป็นนักดื่มหน้าใหม่ในอัตราที่สูงมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงวัย 15-19 ปี ช่วง 7 ปี (2539-2546) มีการดื่มสุราเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า โดยเฉพาะเครื่องดื่มผลไม้ที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ หรือเหล้าปั่น กำลังเป็นที่นิยม และฮิตมากช่วงปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ และช่วงรับน้อง เป็นการแสดงความไฮโซของรุ่นพี่ต่อรุ่นน้องที่เป็นผู้หญิง และขณะนี้จำนวนนักดื่มหน้าใหม่ มีเพิ่มมากขึ้นทุกปี ทั้งยังพบอีกว่าเด็กอายุเพียง 8-9 ขวบ เริ่มสัมผัสแอลกอฮอล์แล้ว ที่น่าห่วงคือ ความเสี่ยงทางอ้อมที่แฝงมาในรูปทุนสุรา โดยบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะเข้ามาสนับสนุนจัดกิจกรรมต่างๆ ของนักศึกษา หรือแม้แต่การให้ทุนการศึกษา ทำให้นักศึกษาจดจำสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นๆ ได้

    อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยราชภัฏ 40 แห่งทั่วประเทศได้หารือและมีนโยบายว่า ในปี 2552 จะดำเนินการต่อต้านและเฝ้าระวัง รวมทั้งติดตามการเปิดร้านเหล้าปั่น ร้านเหล้า และสถานบันเทิงที่อยู่ติดสถานศึกษา และประสานไปยังมหาวิทยาลัยทุกแห่ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเอาผิดกับร้านเหล้า เนื่องจากทำผิด พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551 และจัดกิจกรรมรณรงค์ Road Show no Alc. กับเครือข่ายองค์การนักศึกษา 20 สถาบันในการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่หรือตกเป็นเหยื่อธุรกิจสุรา

    ส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับอธิการบดี และรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลส่วนกลาง จำนวน 5 แห่ง ว่า ได้เชิญผู้บริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 5 แห่งหารือ เพื่อช่วยหาที่เรียนให้กับนักศึกษา ซึ่งได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบจากการรับน้อง และไม่สามารถเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ซึ่งได้ร้องเรียนผ่านมูลนิธิปวีณา หงสกุล จำนวน 22 ราย และร้องเรียนผ่าน สกอ. 4 ราย รวมจำนวน 26 ราย

    นายสุเมธ กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบพบว่า ในจำนวนดังกล่าวมีที่เรียนแล้ว ทั้งที่มหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนจำนวน 7 คน ที่เหลือได้รับความร่วมมือที่ดีจากผู้บริหารทั้ง 5 แห่ง ในการรับนักศึกษาที่ได้รับความเดือดร้อนเข้าเรียน โดยพิจารณาตามคุณสมบัติพื้นฐาน และที่อยู่ของนักศึกษาแต่ละคน แยกเป็นมหาวิทยาลัยที่รับดังนี้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จำนวน 9 คน แบ่งเป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์ 3 คน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 5 คน คณะศิลปกรรมศาสตร์ 1 คน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ 4 คน แบ่งเป็นศูนย์นนทบุรี 2 คน ศูนย์สุพรรณบุรี 2 คน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.เชียงใหม่ 1 คน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย จ.สงขลา 2 คน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระนคร 1 คน ส่วนอีก 2 คน ต้องการเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ซึ่งอยู่ระหว่างการประสานงานกับผู้บริหารมหาวิทยาลัย

    นายสุเมธ กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ สกอ.จะส่งมอบรายชื่อพร้อมผลการเรียนของนักศึกษาแต่ละคนให้กับมหาวิทยาลัยที่ได้ประสานไว้ เพื่อตรวจสอบรายละเอียดคุณสมบัติอีกครั้ง ซึ่งหากไม่สอดคล้องกับคณะที่นักศึกษาขอเข้าเรียน ก็อาจจะพิจารณาสาขาวิชาอื่นที่สอดคล้อง ขณะเดียวกัน สกอ.ได้แจ้งไปยังนักศึกษาที่ขอความช่วยเหลือแต่ละคน ได้รับทราบถึงการจัดสถานที่เรียนให้ อาจจะไม่ได้ตามที่ขอทั้งหมด แต่พยายามจัดให้อย่างเต็มที่ตามความเหมาะสม เพราะต้องเข้าใจด้วยว่า หลายสถาบันรับนักศึกษาเต็มหรือเกินจำนวนที่รับไว้แล้ว

    วันเดียวกัน ตัวแทนกลุ่มนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวันชั้นปีที่ 2 จำนวน 10 คน ได้เดินทางมามอบกระเช้าดอกไม้แสดงความขอบคุณ นายสุเมธ ที่ได้ประสานความช่วยเหลือจนทำให้ผู้บริหารสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน เปิดรับนักศึกษารอบที่ 4 พร้อมรับปากจะกลับไปช่วยติวน้องๆ ให้ผ่านเกณฑ์การสอบคัดเลือกเข้าให้ได้ โดยนายสุเมธ ได้กล่าวย้ำว่า การดำเนินการใดๆ ต้องคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม และขอให้นักศึกษารุ่นพี่ช่วยดูแลรุ่นน้องและเรียนให้ดีที่สุด


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐ
    [​IMG]
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก shutterstock
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องดื้อของเด็กๆ

    คอลัมน์ สดจากจิตวิทยา

    นฤภัค ฤธาทิพย์/กรมสุขภาพจิต

    ˹ѧ��;��������ʴ�͹�Ź� : �ú�ء�� ʴ�ء����ͧ==

    ที่มา ข่าวสด


    พ่อแม่ที่มีลูกวัย 2-4 ปี มักรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยเชื่อฟัง มีพฤติกรรมต่อต้าน ดื้อรั้น เพราะเด็กในวัยนี้ มีความเป็นตัวของตัวเอง อยากทำอะไรด้วยตัวเอง ต้องการอิสระ จึงต่อต้านคำสั่งและดื้อกับพ่อแม่

    พ่อแม่ควรเข้าใจและไม่ควรห้ามหรือขัดขวางพัฒนาการของลูก แต่ต้องคอยเฝ้าดูหากพฤติกรรมนั้นมีอันตราย ก็ควรหาทางป้องกัน หรือห้ามปรามอย่างจริงจัง สำหรับแนวทางการแก้ไขพ่อแม่ควรเข้าใจธรรมชาติและความต้องการของลูก เป็นแบบอย่างที่ดี เพราะหากพ่อแม่สอนแต่ตนเองไม่ทำตามที่พูด ลูกจะรู้สึกว่าพ่อแม่ดีแต่พูดเท่านั้นไม่เอาจริง ลูกก็จะแสดงพฤติกรรมต่อต้านและเข้าใจว่าเป็นเพียงคำขู่ ไม่มีอะไรจริงจัง จึงเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมดื้อรั้นมากขึ้น

    ปัญหาของพฤติกรรมดื้อรั้นที่เกิดขึ้นกับเด็กในวัยนี้สามารถแก้ไขได้ไม่ยาก หากพ่อแม่เข้าใจธรรมชาติและพัฒนาการของลูก รวมถึงมีเทคนิคการปรับพฤติกรรมอย่างเหมาะสม ก็จะสามารถช่วยให้ลูกมีพฤติกรรมที่เหมาะสมตามวัยของตน
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อวันพุธที่ 17 มิย.52 ผมไปงานศพของพี่ท่านนึง ซึ่งผมเองจะเรียกพี่ท่านนี้ว่า ป๋า... ในทางโลก ป๋า... เป็นคนที่เก่งมาก วิ่งหาผู้หลักผู้ใหญ่ได้เยอะ

    ป๋า... เป็นคนที่ไปหาที่ทานของอร่อยได้เก่งมาก รู้หมดว่า ร้านไหนที่อร่อย ต่อให้อยู่ในซอย ไปลำบากก็รู้

    มาดูว่า ป๋า... เสียด้วยเรื่องอะไร จะได้เป็นอุทาหรณ์กัน

    ป๋า... เสียด้วยเรื่องของการเป็นโรคไต เดิมไปเปลี่ยนไตเมื่อประมาณ 15 ปี(ไปเปลี่ยนที่เมืองจีน) แต่เปลี่ยนมาไม่นานไตที่เปลี่ยนมาก็เสีย ต่อมาเมื่อประมาณ 13 ปีที่ผ่านมาลูกชายคนเล็กก็ให้ไตอยู่มาได้ประมาณ 12 ปี ป๋า...เป็นคนที่ชอบทานแถมมีลูกค้าชอบพาป๋าไปทาน รวมทั้งแก๊งผมด้วย ในเวลาต่อมาก็ต้องเริ่มฟอกไต ปรากฎว่าในระยะหลังมีอาการเส้นเลือดขอดที่หัวใจ ก็เลยต้องตัดสินใจทำบายพาส แต่ต่อมาอีก 2 วัน ของเสียในเลือดเริ่มมาก ก็ต้องฟอกไต แต่ฟอกแล้ว มีการดึงเลือดจากหัวใจ(ที่พึ่งทำบายพาสมา) ทำให้ร่างกายรับไม่ได้ก็เลยเสียชีวิต

    สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ การรับประทานอาหารให้เพียงพอ ,หมั่นออกกำลังกายกันด้วยนะครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...