พระพุทธเจ้าไม่พาแบกพาหามรูปเหล่านี้น่ะ จะมาให้พระแบกไม่แบกฯ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 17 พฤษภาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ชีวอน

    ชีวอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +763
    อนุโมทนา พระสงฆ์ปฎิบัติดีผมเครพนับถือ หลวงตาท่านสอนในสิ่งที่สุดยอดของความรู้มนุษย์ แต่เราๆนั้นจะรู้ในธรรมที่ท่านสอนหรือไม่ พระสงฆ์บางท่านก้อสอนในแบบของท่าน แล้วแต่เราต่างหากที่จะรับฟังแล้วมาขบคิดในธรรมที่ท่านกรุณาสอนเราได้หรือเปล่า เพราะท่านเป็นห่วงเราที่ยังอยู่ในทะเลทุกข์ คนยังเปรียบดอกบัวสี่เหล่า รู้บ่างไม่รู้บ่าง ท่านสอนไม่ให้ยึดในรูปเครพมากไปถูกใหมถูก ท่านสอนให้ยึดรูปเครพเอาไว้ให้มั่นทุกลมหายใจถูกใหมถูก แต่ผมรู้ว่าไม่สามารถทำพุทธะให้เกิดในจิตได้ตลอดเวลา ผมจึงยึดรูปเครพเอาไว้ให้มั่น เอาคาถาของครูบาอาจารย์มาถาวนาให้เป็นอุบายให้ถึงสมาธิ เพราะผมจิตธรรมดาไม่มีพลังใดๆ ครูบาอาจารย์บางท่านก้อสอนว่าแค่นึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วก้มกราบ ก้อได้บุญแล้ว เพราะท่านสอนให้จิตถึงพุทธะเลย แต่ผมเอาเครื่องรางหรือพระประธานในวัดเป็นอุบายให้จิตถึงพุทธะ สมัยก่อนไม่มีเพราะอะไรเพราะจิตท่านถึงพุทธะอยู่แล้วและจิตท่านสะอาดง่ายมาก อีกอย่างพระพุทธเจ้าท่านก้อทรงอยู่ ในสมัยนั้นไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถูกใหม(เชิญผู้รู้เพิ่มเติมได้) ก้อเคยเรียนมาว่ามีพระพุทธรูปแกะมาจากไม้ไม่ใช่เหรอครับ แถมยังโต้ตอบพระองค์ท่านได้ด้วยอันนี้ไม่แน่ใจนะครับ ส่วนพระเครื่องหรือเครื่องรางนั้น(ความคิดผมนะครับ) น่าจะเกิดมาจากที่พระพุทธองค์ทรงให้พระอานนท์ทำน้ำมนต์รดรอบเมืองเวสาลี บทสวดก้ออ้างเอาคุณบารมีพระพุทธเจ้าและพระรัตนตรัยเป็นหลัก รดรอบเมืองเวสาลีภัยพิบัติทั้งหลายจึงหายไปด้วยด้วยอำนาจน้ำมนต์นั้น ครูอาจารย์สมัยก่อนท่านจึงคิดว่า ถ้าเอาบทพระรัตนตรัย(คาถา) มาทำน้ำมนต์ไม่นานเมื่อ ปะพรมก้อระเหยหายไปหมด น่าจะเปลี่ยนจากน้ำมาเป็นวัถตุที่คงทนอยู่นานๆน่าจะดีกว่า หรือเป็นรูปพระพุทธเจ้าเลยยิ่งดีคนจะได้เอาไปเป็นพุทธบูชาระลึกถึง และก้อมีมนต์อานุภาพแห่งมนต์เหมือนกัน แถมพกติดตัวหรือไว้บ้านกราบไหว้ก้อได้ ส่วนเครื่องรางนั้นก้อน่าจะเกิดจากคนสมัยก่อน ท่านไม่เอารูปเครพพระพุทธเจ้าไว้ติดตัวเพราะเป็นของสูงต้องอยู่วัด เมื่อเกิดสงคราม พระท่านก้อเลยเอาผ้าหรือ แผ่นเหล็กมาเขียนภาษาบาลีเป็นบทคาถาตามใบลานพระไตรปิฎกคุณพระพุทธเจ้าในแต่ละบท หรือบทย่อในแต่ละบทมาเขียนในผ้า หรือแผ่นเหล็กแล้วเสกด้วยคาถาเหมือนน้ำมนต์ แล้วแจกให้กับศิษย์ ด้วยจิตที่เป็นสมาธิแล้วกล่าวบทสวดคุณของพระพุทธเจ้าให้ผู้ที่นำของสิ่งนี้ไปเปรียบได้กับมีพระคาถาใบลานในพระไตรปิฎกพร้อมด้วยคุณบทในแต่ละบทและพระรัตนไตร คุ้มครอง พร้อมกับเอาคาถาที่เขียนในเครื่องรางนั้นไปภาวนาด้วยให้อุบายจิตจะได้เป็นสมาธิ เช่น สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ เป็นคาถาหัวใจพระอภิธรรม7คัมภี อีกอย่างถ้าไม่มีพระพุทธรูปเป็นที่ระลึกถึง2000กว่าปีมานี่ ผมว่าศาสนาของเราอาจจะเหลือน้อยหรืออาจจะไม่ถึงสมัยของเรานี่ก้อเป็นไปได้ ลองอ่านประวัติพระอาจารย์แต่ละท่าน ตอนเด็กๆถ้าผู้ใหญ่ท่านไม่พาไปทำบุญไหว้พระประธานในวัด เป็นแบบอย่างที่ดีแล้วแล้วท่านจะเลื่อมใสได้อย่างไร ถ้าท่านเข้ามาศึกษาแล้วท่านก้าวข้ามพ้นสิ่งเหล่านี่ไปได้แล้ว ท่านจึงสอนเราถึงความรู้อันสุดยอดนั้นได้ แต่เราเองจะรู้หรือแปลเจตนาอาจารย์นั้นออกไปอย่างไรต่างหากผมว่านะ ปล.นี่เป็นความคิดเห็นของผมนะครับ ผิดถูกประการใดเชิญผู้รู้บอกกล่าวด้วย ขอบคุณครับ
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เทศน์อบรมพระและฆราวาส
    ณ วัดสันติธรรมาราม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
    เมื่อเที่ยงวันที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
    เราอยากให้มีพระกรรมฐานในภาคกลาง

    ให้ระวังนะ มีพระพุทธรูปใหญ่อยู่ที่ไหน หามายุ่งมากนัก คนนั้นก็ถวายพระพุทธรูป คนนี้ถวายพระพุทธรูป เลยเกลื่อน พระก็เกรงใจจะว่าไง รับไว้ ๆ เลยเกลื่อนตั้งแต่เศษเหล็กเศษทอง หัวใจคนไม่ได้เป็นทอง ทำอย่างสบาย ๆ คิดอย่างง่าย ๆ คิดแล้วไปซื้อพระพุทธรูป เขาขายแล้วเอามาให้พระแบกหามพระพุทธรูปเต็ม อย่าทำนะสำนักเรา ให้เป็นขึ้นมาที่นี่นะ พระพุทธรูปเป็นเครื่องหมายแห่งการเคารพบูชา แต่ความเอาจริงเอาจังแล้วจะน้อมเข้ามาสู่จิตใจ ปฏิบัติสำรวมระวังใจเจ้าของ
    ใจนี้เป็นมหาเหตุชอบคิดอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ มีเวลานอนหลับเท่านั้น เป็นเวลาดับเครื่องของความคิดปรุงทั้งหลายที่มันก่อกวนตลอดทั้งวัน ๆ เลย นี่เครื่องมันติดเองนะ แต่เวลาดับ ดับไม่ลง ต้องอาศัยการนอนพัก ถ้าเวลาคิด มาก ๆ นอนยังไม่หลับเสียอีกนะ ดับเครื่องไม่ลง คิดมาก ๆ กว่านั้นไปอีกเป็นบ้าเลยก็มี เพราะความคิดความปรุงมาก นี่ให้ดูมหาเหตุตัวมันคิดมันปรุงมาก ๆ ให้มาดู กราบพระพุทธเจ้า แล้วนำอรรถธรรมจากการกราบไหว้เคารพนับถือท่านน้อมเข้ามาสู่ใจของตัวเอง ให้ดูแลจิตใจเจ้าของ
    พูดมันก็ไม่ถนัดปาก ได้คายหมากละ เวลาดุคนก็จะไม่ได้ดุเต็มเม็ดเต็มหน่วย เดี๋ยวน้ำหมากจะไปอีกด้วยกัน
    ที่ชื่นตาชื่นใจของธรรม คือเช่นสถานที่อย่างนี้ เวลาบวชแล้วพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทให้ทุก ๆ องค์ ไม่มีเว้นแม้แต่องค์เดียว ประทานพระโอวาท ท่านว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถโว ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปเที่ยวอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อันเป็นสถานที่สะดวกสบายในการบำเพ็ญเพียร ปราศจากสิ่งก่อกวนทั้งหลาย แล้วเธอทั้งหลายจงอุตส่าห์พยายามอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด
    นี่คือพระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่บวชพระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ประทานพระโอวาทนี้ให้ทกุองค์ นี่รุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ฟังซิ ตามถ้ำเงื้อมผา ท่านสอน สอนพระสอนอย่างนั้น ไม่ได้บวชแล้วให้ไปหาอยู่ตามตลาดลาดเลที่กระดูกหมูกระดูกวัวชุม ๆ นะ ท่านไม่ได้ว่านะ แต่เวลานี้พระเรามันหน้าด้านมาก บวชแล้วมันจะโดดเข้าไปหากระดูกหมูกระดูกวัว คนชุม ๆ กระดูกหมูกระดูกหมาชุม ๆ ที่ไหนมันอยากไปที่ไหนละ แล้วมันก็ได้ของอย่างนั้นละเอามาอวดกัน อวดกิเลสอวดกัน สุดท้ายก็ได้ชื่อได้เสียงมาอวดกัน ได้แต่ชื่อก็เอา ความดิบดีในหัวใจไม่สนใจ เรื่องอรรถเรื่องธรรมไม่สนใจ สนใจแต่ความสกปรกโสมม เรื่องลาภเรื่องยศ สรรเสริญเยินยอลม ๆ แล้ง ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย นี่เวลาบวชมาแล้วมันหันไปอย่างนั้นนะ
    พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าไปอยู่ในป่าในเขามันไม่ยอมฟัง มันฟังเสียงกิเลสอย่างเดียว เข้าไปหาที่นั่นน่ะที่สกปรกรกรุงรัง ทั้งหัวใจทั้งภายนอกภายในเต็มไปหมดเวลานี้ นี่เรามาเห็นอยู่ตั้งแต่นี้เราชื่นตาชื่นใจ ตามทางของศาสดาที่ทรงสอนไว้แล้ว ส่วนมากผู้บำเพ็ญธรรมท่านมักจะได้รู้ หรือได้รู้เหตุรู้ผล รู้อรรถรู้ธรรม ได้มรรค ผล นิพพาน ตามสถานที่เช่นนี้แหละ ท่านไม่ได้ไปรู้ไปเห็นอรรถธรรมด้วยความอัศจรรย์มาแจกโลกแจกสงสารจากตลาดชุมนุมชน กระดูกหมูกระดูกวัวชุม ๆ ลาภสักการะชุม ๆ อะไรเลย ท่านไปหาในที่เช่นนั้น ได้มาประกาศธรรมสอนโลกอยู่เวลานี้
    พระพุทธเจ้าของเรานี้ก็ ๒,๕๐๐ กว่าปี ประกาศธรรมสอนโลกที่ได้มาจากป่าจากเขา พระองค์ทรงบำเพ็ญอยู่ในป่าเป็นเวลา ๖ ปี ถึงขั้นสลบไสล แล้วนำมาสั่งสอนสัตว์โลก นี่ละเป็นอันดับหนึ่ง สอนเบื้องต้น ที่พระพุทธเจ้าอยู่นั้นถ้าเราจะให้ชื่อทันสมัยอย่างทุกวันนี้ก็เรียกว่ามหาวิทยาลัยป่าล้วน ๆ คือป่าในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม รัฐมคธ ที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญอยู่ในป่า ตรัสรู้ในป่า บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์แต่ก่อนยังไม่มีพระเป็นฤษีดาบส ประพฤติปฏิบัติตนด้วยความสงบงามตาม
    เช่นเบญจวัคคีย์ทั้งห้า เข้าไปฟังพระโอวาทพระพุทธเจ้าได้บรรลุอรรถธรรมขึ้นมา เป็นปฐมสาวกในเบื้องต้นคือเบญจวัคคีย์ทั้งห้าออกมาจากป่าที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทในป่า เรียกว่ามหาวิทยาลัยป่าในสมัยนั้น นั่นละมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า ใครไปศึกษาเล่าเรียนมาแล้ว องค์นี้สำเร็จพระโสดา องค์นี้สำเร็จเป็นพระสกิทา องค์นั้นสำเร็จพระอนาคา องค์นี้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ สรุปความลงแล้วเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของโลกตลอดมาทุกวันนี้
    นั่นละมหาวิทยาลัยป่า ทำประโยชน์ให้โลกได้อย่างชุ่มเย็น ชุ่มตา ชุ่มใจตลอดมา ที่เราว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เกิดในป่าทั้งนั้นแหละ ท่านนำมาสอนโลก เรามาอยู่ในสถานที่เช่นนี้เหมาะสมแล้วกับทางของศาสดา ที่ประทานโอวาทไว้เรียบร้อยแล้ว เรื่องการอยู่การกิน การใช้การสอย อันนั้นเป็นของเล็กน้อยเพียงอาศัยไปวันหนึ่ง ๆ แต่เรื่องหลักธรรมภายในจิตใจ ความมุ่งมั่นต่ออรรถต่อธรรมนี้เป็นสิ่งจำเป็นมากที่จะลดละไม่ได้ในอิริยาบถทั้งสี่ ไม่ว่ายืน ว่าเดิน ว่านั่ง ว่านอน มีสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม คือความพากความเพียรแก้ถอดถอนกิเลสภายในจิตใจอย่างสม่ำเสมอ เว้นแต่เวลาหลับเท่านั้น ตื่นขึ้นมาชำระ เพราะกิเลสมันหนาแน่นมากทีเดียว จะชำระเวลาใดเวลาหนึ่งนี้ไม่ทันมัน
    นักบวชเราเป็นนักที่ออกแนวรบแล้ว หมุนไปทางไหนเป็นแนวรบทั้งนั้น กิริยาแห่งการรบทั้งหมด ไม่ว่าจะเห็น จะได้ยินได้ฟังอะไรเป็นแนวรบ สติติดตาม ปัญญาติดตาม ไตร่ตรองทุกสิ่งทุกอย่างคัดออก อะไรไม่ดีคัดออก อะไรที่ดีนำมาบำรุงจิตใจของตน นี่ละคือนักรบ อยู่ที่ไหนมีสติ อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ สังวรธรรมความสำรวมระวังตนอยู่เสมอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันจะสัมผัสสัมพันธ์กับรูป เสียง กลิ่น รส ที่เป็นพิษเป็นภัยหรือเป็นคุณ ส่วนมากมีแต่เป็นพิษ ถ้าเรายังไม่มีธรรมในใจ ไม่มีเครื่องกลั่นกรอง จะมีแต่พิษทั้งนั้นเข้ามาทับบนหัวใจ
    เพราะฉะนั้นมันถึงแก้ยาก จิตใจนี่แก้ยากที่สุด เพราะสั่งสมตั้งแต่กิเลสเข้าสู่จิตใจตลอดเวลา หาความว่างไม่ได้ แม้แต่พระเราที่ออกมาปฏิบัตินี้มันก็ยังมีช่องมีโอกาสอันมากมายของกิเลสที่จะเข้าตีพระให้ล้มเหลวไปตามความพากความเพียร ตั้งสติสตังไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว จิตหาความสงบร่มเย็นไม่ได้เพราะถูกกิเลสตีตลอดเวลา นี่ละเรียกว่ากิเลสมันหนา เมื่อมันหนาอย่างนั้นเราจะแก้กิเลส ชำระกับกิเลสเราจะแก้แบบไหน ก็ต้องแบบเอาจริงเอาจัง ทุกท่าทุกทาง ทุกกิริยาแห่งความเคลื่อนไหวของจิตให้มีสติติดตาม ๆ สังวรธรรมกลั่นกรองตลอดเวลา ถอดถอนกันตลอดเวลาสมกับว่ากิเลสมันหนา ต้องเอาให้หนัก ๆ นะ ไม่งั้นไม่ทันกัน
    เมื่อถอดถอนมันเบาบางลงไป ๆ จิตที่เคยว้าวุ่นขุ่นมัวด้วยกิเลสตัณหา มันเอาไฟเผาเรามันจะค่อยจางไป ๆ ด้วยธรรม วิริยธรรมคือความพากความเพียร สงบใจอยู่ตลอด สติธรรมเป็นเครื่องกำกับความพากเพียรของตน ปัญญาธรรมพิจารณาไตร่ตรอง เรื่องวิริยธรรมเป็นสำคัญ ให้พิจารณาตลอดเวลา เรื่องหลับเว้นแต่หลับ เว้นไม่เว้นมันก็หลับของมัน เอาให้มันสุดขีดมันนั่นละ นี่การแก้กิเลสแก้ยาก ต้องได้ทำทุกเวล่ำเวลาไม่มีอิริยาบถใด ต้องเป็นนักต่อสู้อยู่ตลอด
    เมื่อเป็นเช่นนั้นกิเลสมันจะหนาแน่นมาจากไหน พระพุทธเจ้ากิเลสท่านมากขนาดไหน พังลงจนแตกกระจายไปหมดเต็มโลกธาตุ สุญฺญโต โลกํ ว่างไปหมดเลย ไม่มีกิเลสตัวใดเข้ามาต่อสู้ หมดโดยสิ้นเชิง เพราะอำนาจแห่งความพากเพียร ความอดความทนของพระองค์ อันนี้เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตจะมาท้อแท้อ่อนแอไม่ได้นะ ต้องมีความเข้มแข็งตลอดเวลาในการชำระกิเลส เรื่องภายนอกไม่เป็นของจำเป็น อยู่ที่ไหนอยู่ได้ ไปที่ไหนพระเราอยู่กับแดนพุทธศาสนา ไปที่ไหนไม่เคยได้บาตรเปล่า ๆ กลับมาแหละ ข้าวเต็มบาตร ๆ มา มีอะไรฉันพออยู่พอไป ธาตุขันธ์เป็นไปในวันหนึ่ง ๆ เท่านั้นพอ
    แต่เรื่องความพากเพียรนี้หนักแน่นตลอด จะอดจะอิ่มไม่ได้ถอยทางความพากเพียร หนุนตลอดเวลา นี่ละผู้จะทรงมรรคทรงผลท่านทำอย่างนี้ ทางของศาสดาสอนอย่างใดเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบทั้งนั้น เป็นทางที่เบิกกว้างเพื่อให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียว นอกจากเราตัดหนามคือกิเลสไปกว้านเอานั้นเอานี้มากั้นทางตัวเองจนหาทางออกไม่ได้ ก็นอนจมอยู่กับกิเลสเสียเท่านั้นเอง มันก็เป็นเรื่องของเราเอง เรื่องพระพุทธเจ้ามีแต่เปิดทางให้ออกจากทุกข์โดยถ่ายเดียว ทางของศาสดาท่านดำเนินอย่างนี้สด ๆ ร้อน ๆ
    เวลานี้จะไม่มีเหลือแล้วนะ วงกรรมฐานจะหมดจะสิ้นไปเพราะอำนาจแห่งจอกแห่งแหนปกคลุมหุ้มห่อ น้ำที่สะอาดคือธรรมภายในใจ กิเลสคือจอกคือแหนมันปกคลุมอยู่ภายในใจ ออกแง่ไหน ๆ มองไปทีไรมีตั้งแต่เรื่องกิเลสลากไปเข็นไป ๆ ธรรมะไม่มีปรากฏ เพราะฉะนั้นจึงต้องชำระให้มาก กิเลสคือจอกคือแหนมันปกคลุมหุ้มห่อหนาแน่นมาก ความเพียรถอดถอนกิเลส เลิกจอกเลิกแหนคือกิเลสออก ต้องเอาอย่างหนัก ๆ จิตมันจะวุ่นไปโลกไหนก็ให้มันไปเถอะ เหนือธรรมไปไม่ได้ ถ้าเรานำธรรมเข้ามาปฏิบัติ เฉพาะจิตตาภาวนาเป็นสำคัญมากทีเดียว จิตตภาวนาคือการอบรม ได้แก่การสอดส่องมองดูจิตของตัวเองที่เคลื่อนไหวตลอดเวลานี้ด้วยสติด้วยปัญญา ขัดเลือกกันอยู่โดยสม่ำเสมอ จิตก็สงบได้เพราะกิเลสตัวรบกวนมันค่อยเบาบาง ๆ จิตสงบได้ นั่นละเราเห็นความแปลกประหลาดของจิตจากจิตตภาวนาของเรา
    จากนั้นก็เริ่ม จิตสงบเย็นแล้วสบายคนเรา ถ้าจิตไม่สบายเสียอย่างเดียว เอาสมบัติเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขา ๆ ก็ไม่มีความหมายละ ความทุกข์มันอยู่กับหัวใจ มันไม่ได้อยู่กับสมบัติเงินทองกองเท่าภูเขา มันอยู่ที่หัวใจ เมื่อเราชำระจิตใจของเราที่เต็มไปด้วยกิเลสตัวสร้างทุกข์ให้เรานั้นออกเบาบางไปโดยลำดับแล้ว จิตใจเราจะค่อยสงบแล้วสว่างไสวขึ้นมา ความทุกข์จางไป ๆ ความสุขไม่ต้องหามาจากไหน หามาจากที่เคยเป็นทุกข์เพราะกิเลสทับหัวมันอยู่นั่นเอง พอกิเลสจางไป ๆ ความทุกข์จะเบาไป ธรรมจะปราฏขึ้นมาเป็นความสงบเย็นใจ
    นี่ละการปฏิบัติธรรม มรรค ผล นิพพาน มีอยู่อย่างสด ๆ ร้อน ๆ ท่านเรียกว่า อกาลิโก มีอยู่ตลอดเวลาสด ๆ ร้อน ๆ เว้นแต่สัตว์โลกทั้งหลายไม่สนใจจะปฏิบัติหาอรรถหาธรรม กว้านเอาตั้งแต่กิเลสจึงมีแต่ฟืนแต่ไฟ ไปที่ไหนร้อนอยู่ทั่วโลกดินแดนนะ เราอย่าไปสำคัญว่าโลกนั้นสบาย โลกนี้เจริญ โลกนั้นไม่เจริญ มันเป็นไฟไปด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ ไอ้เรื่องด้านวัตถุอยู่ที่ไหนมันก็เต็มไปด้วยด้านวัตถุ เรานั่งเราเหยียบเรายืนไปมาก็เป็นด้านวัตถุ ๆ เต็มโลกเต็มสงสารไม่มีอะไรบกพร่อง มันบกพร่องตั้งแต่ผู้ที่จะเสาะแสวงหาความสุขความเจริญถูกทางหรือไม่
    ส่วนมากมันวิ่งไปตามทางของกิเลส มันก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้อยู่นั้นน่ะ แล้วโลกอันนี้เลยหาความสุขไม่ได้ เพราะหาตามทางของกิเลสจะหาความสุขไม่ได้เลย ถ้าหาตามทางของธรรมมีมากมีน้อยก็รู้ว่ามันมี โลกอันนี้มีมากมีน้อย มี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาครอบมันอยู่แล้ว รู้เท่าตามเป็นจริงของมัน ส่วนธาตุส่วนขันธ์ที่จะเยียวยากันในเวลามีชีวิตอยู่ เอ้าขวนขวายมา ธาตุขันธ์ของเรามีความบกพร่องต้องการเครื่องเยียวยาอยู่เสมอก็หามาเยียวยากัน ส่วนจิตใจแห้งผากจากศีลจากธรรมหาความสุขไม่ได้ มีแต่ความทุกข์ ความเดือดร้อน แม้สมบัติจะมีกองเท่าภูเขาความสุขหาทางใจก็ไม่มี เพราะไม่มีธรรมภายในใจ นี่แหละสำคัญอยู่ตรงนี้
    จึงให้พากันพยายามขวนขวาย ทางธาตุขันธ์จำเป็นทางธาตุขันธ์ เอ้าหามาบำรุงรักษาพอเป็นไป ทางจิตใจของเราขาดอรรถขาดธรรม เครื่องบำรุงจิตใจให้มีความสงบร่มเย็นก็ให้พยายามขวนขวายสร้างความดีใส่ตน สร้างความดีด้วยการให้ทาน การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา นี่คือการสร้างความดีเข้าสู่จิตใจ ใจจะมารับอะไร สมบัติอะไรจะมีมากน้อยเท่าไรใจจะไม่เป็นผู้ได้รับผลอันดีงาม นอกจากคุณงามความดีที่ตนสร้างไว้ซึ่งเป็นสมบัติของใจเท่านั้น ใจจะได้รับอันนี้เป็นเครื่องสนับสนุน อยู่ที่ไหนก็เย็น ๆ
    เพราะฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้มันมีความจำเป็นทั้งสองอย่าง ทางธาตุขันธ์ก็มีความบกพร่องต้องการตลอดเวลา เราก็พยายามหามาบำรุงรักษา ทางด้านจิตใจก็มีความบกพร่องจากศีลจากธรรม จากความดีงามทั้งหลาย ก็ให้พยายามขวนขวายบำเพ็ญกัน ให้มีความสม่ำเสมอ ตายแล้วทิ้งสิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมาย ร่างกายตายไปแล้วสิ่งเหล่านั้นก็หมดความหมายไปตาม ๆ กัน จิตยังมีความหมาย ให้มีความดีติดเนื้อติดตัว ไปที่ไหนแล้วไม่ตีบตันอั้นตู้คนเรา มีความสว่างไสวเย็นไป ๆ ไปภพใดภพของคนมีบุญเป็นความสุขทั้งนั้นแหละ ไปภพของคนมีบาปไปภพไหนก็เจอตั้งแต่ความผิดหวัง ๆ เจอตั้งแต่ไฟนรกเผาตลอดไปเลย นี่ละคนสร้างบาป
    เราให้เชื่อพระพุทธเจ้านะ ว่าบาปว่าบุญนี้ไม่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดไม่เคยลบล้างได้เลย ยอมรับว่าบาปมีบุญมีมาตั้งแต่กาลไหน ๆ เวลาตรัสรู้ขึ้นมาแล้วก็ตรัสรู้สิ่งเหล่านี้ แหละ เห็นตามเป็นจริงแล้วลบไม่ได้ อ๋อบาปนี้มีมาดั้งเดิม บุญมีมาดั้งเดิม เหมือนกับไฟกับน้ำ น้ำเย็นจับเมื่อไรก็เย็น น้ำร้อนจับเมื่อไรก็ร้อน ไฟจับเมื่อไรก็ร้อน แน่ะ มีอยู่ตลอดเวลามาดั้งเดิม จะลบล้างมันไม่ได้ เราก็ต้องเชื่อ เมื่อเราเชื่อแล้วอันใดที่จะเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เรา เช่นบาปเช่นกรรมเราก็อย่าไปทำมัน เรารักเราสงวนเรา เราต้องหาของดิบของดีมาสู่เรา ของที่ไม่ดีปัดออก ๆ นี่เรียกว่าผู้รักษาตน
    นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ ไม่มีความรักใดเสมอด้วยความรักตน ความรักตนนี้ไม่ว่าสัตว์ ไม่ว่าบุคคลรักเสมอหน้ากันหมด อันนี้เรารักเราด้วยความเป็นมนุษย์ มีศีลมีธรรมให้รักตนโดยศีลโดยธรรม อย่ารักตนแล้วหาตั้งแต่ความชั่วช้าลามกมาปรนปรือจิตใจ และเผาจิตใจลงในนรก นี้ไม่ใช่คนรักตน คนรักตนต้องปัดสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย สร้างแต่ความดีงามขึ้นใส่ใจของตน ผู้นี้จะเบิกกว้าง ไปภพใดเป็นภพของผู้มีบุญเป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานไม่ได้ นอกจากบุญจากกุศลนี้ไปไม่ได้ บุญกุศลนี้เป็นเครื่องหนุนจิตใจของเรา นี่ละที่พึ่งของใจ สมบัติของใจ ธรรมสมบัติเป็นสมบัติของใจ เมื่อใจสมบัตินี้แล้วอยู่ก็ไม่จนตรอกจนมุม ตายแล้วก็ไปสถานที่บุญกุศลที่ตนสร้างไว้แล้วจะนำไปพาไป ไม่ยากนะ ให้พากันพยายาม
    พระเราก็ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ เอาให้จริงให้จังพระ การพิจารณาทางด้านของพระนี้ให้เน้นหนักทางสติให้ดีนะ อยู่ที่ไหนถ้าผู้ตั้งหลักตั้งฐานยังไม่ได้ให้ตั้งสติให้ดี นำคำบริกรรมเข้ามากำกับจิตใจของตน เช่นพุทโธ ๆ เป็นต้น นี่ตามแต่จริตนิสัยที่ชอบในคำบริกรรมบทใด ให้นำคำบริกรรมบทนั้นเข้ามาแล้วติดแนบไปด้วยสติ มีความระลึกรู้อยู่กับคำบริกรรม เช่นพุทโธ ๆ เป็นต้น มีสติติด ปิดทางความคิดความปรุงของกิเลสที่ออกมาจากอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันหนุนออกมาให้อยากคิดอยากปรุง อยากรู้อยากเห็น อยากนั้นอยากนี้ มีแต่ความอยากเต็มหัวใจ นั้นคือกิเลส ปิดไว้ให้หมด ให้เปิดทางตั้งแต่พุทโธ ๆ เป็นต้น กับสติติดแนบด้วยกัน ใจจะสงบเย็นลงๆ เรื่อย นั่นละทีนี้ใจสงบ
    เมื่อใจสงบแล้วสติลงไม่หยุดไม่ถอย บำรุงขึ้นเรื่อย ๆ ใจก็เป็นสมาธิแน่นหนามั่นคงขึ้นมาภายในจิตใจ ใจอิ่มเอิบด้วยอรรถด้วยธรรม อยู่ที่ไหนสบายหมด เช่นอยู่ในป่าในเขา พระท่านบำเพ็ญอยู่ในป่าในเขา จะเข้าใจว่าท่านเป็นเศษมนุษย์เหรอ นั่นละมนุษย์ที่จะเริ่มเป็นความเลิศเลอคือมนุษย์ประเภทนั้น มนุษย์ที่ใครไม่ปรารถนา ไปอยู่ในป่าในเขาเหมือนผ้าขี้ริ้วแต่เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง ท่านอยู่ในป่าในเขาทุกข์ยากลำบาก แต่ธรรมในหัวใจของท่านสง่างาม ๆ นี่คือทอง ธรรมกับทองเทียบกันอย่างนี้ ท่านอยู่อย่างนั้นท่านสบายนะ นี่หมายถึงผู้บำเพ็ญ
    อยู่ที่ไหน ๆ อย่าไปตื่นดินฟ้าอากาศ มืดกับแจ้งมีมาดั้งเดิมตั้งแต่กาลไหน ๆ ให้ดูเรื่องเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นกับจิต ส่วนมากจะเป็นเรื่องของกิเลสเกิดขึ้นตลอดเวลา ต้องมีสติปัญญาครอบไว้เสมอ บังคับเป็นน้ำดับไฟ ๆ อยู่ตลอด เมื่อมีน้ำมากทีนี้ไฟคือความร้อนรนกระวนกระวายภายในจิตใจจะสงบตัวลง ๆ แล้วจิตใจจะเย็น หรือว่าอบอุ่นขึ้นภายในใจ ต่อจากนั้นใจก็จะสง่างาม ใจสง่างามไม่มีอะไรเสมอเหมือนในโลกนี้
    เพราะฉะนั้นความทุกข์ก็ดี ความสุขก็ดี เราจะไปหาโลกไหนไม่เจอ แต่มีอยู่กับหัวใจของมนุษย์และสัตว์นี้เท่านั้น นี่ละเป็นมหาเหตุให้ระงับตัวนี้ให้ได้ ความสุขที่เกิดจากธรรมคือการบำเพ็ญของเราจะปรากฏขึ้นที่ใจ อยู่ที่ไหนสง่างามไปหมด นี่ละท่านผู้เสาะแสวงหาธรรม ที่ว่าทรงมรรคทรงผลต้องทรงอันนี้ละให้ดี ทรงความพากความเพียร สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม อุตส่าห์พยายามไว้ให้ดี ไปที่ไหนเหมือนกับว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ทุกฝีก้าวเลย
    ถ้าเป็นผู้มีสติทางความพากความเพียรอยู่ตลอดเวลา เหมือนตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ถ้าขาดสติไปเสีย ขาดความพากความเพียรไปเสียสำหรับพระนักปฏิบัติเรา เรียกว่าเหินห่างจากพระพุทธเจ้าไปตลอดเวลา ถ้าใกล้ชิดติดพันกับสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร หมุนติ้วเข้าหาใจที่เป็นตัวฟืนตัวไฟ ดับมันลงด้วยน้ำคือความเพียรของเราแล้ว ใจของเราจะเริ่มเย็นขึ้น ๆ นั่นละอยู่ที่ไหนสง่างาม ให้พากันจดจำเอา
    พระลูกพระหลานก็มีน้อยแล้ววงกรรมฐานเวลานี้ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ เรานี้มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า เราอยากให้มีพระในภาคกลางของเรานี้แหละเป็นผู้ปฏิบัติได้หลักได้เกณฑ์ แน่ใจในตัวเองแล้วมาสั่งสอนประชาชน ประชาชนเขาเกาะก็จะได้รับความร่มเย็น เกาะติด ๆ ไม่ผิดไม่พลาดนะ ครูบาอาจารย์ผู้มีหลักมีเกณฑ์เป็นสำคัญมาก เพราะท่านได้หลักได้เกณฑ์ พูดอะไรถูกต้องแม่นยำ ยึดไปปฏิบัติก็ได้รับความอบอุ่น และเป็นสารคุณแก่ตัวของเรา ไม่ใช่พระและธรรม ๆ ธรรมที่ไหนมันก็มี ธรรมความจำก็มี ธรรมความจริงก็มี
    ธรรมความจำเรียนมาก็จำได้แต่กิเลสมันไม่ยอมถอย จำได้เฉย ๆ กิเลสไม่ถลอกปอกเปิก ถ้าภาคปฏิบัตินี้เรียนมาตรงไหนแล้วปฏิบัติตามที่เรียนมาแล้วกิเลสจะค่อยถอยห่างออกไป ๆ นี่เรียกว่าภาคปฏิบัติ ก็เป็นความจริงขึ้นมาภายในใจ ที่รู้ขึ้นภายในใจเวลาพูดออกมาก็ไม่ผิดพลาด แน่ใจตัวเอง และสอนใครก็ไม่ผิด ถ้าลองเจ้าของแน่ใจแล้วสอนใครได้ทั้งนั้น ถ้าเจ้าของไม่แน่ใจก็ยื่นแต่ความผิดพลาด ความสงสัยสนเท่ห์ให้ผู้มาฟังทั้งหลายไม่ค่อยได้สารประโยชน์เท่าที่ควรนะ ถ้าเจ้าของเป็นผู้แน่ใจในอรรถในธรรมทุกขั้นทุกภูมิของเจ้าของด้วยแล้ว นั่นละสอนตรงไหนพูดที่ตรงไหนเป็นอรรถเป็นธรรมทุกขั้นทุกภูมิของธรรม ตลอดวิมุตติหลุดพ้น มรรค ผล นิพพาน ไม่ผิดพลาด ผู้เกาะผู้ยึดก็แม่นยำภายในใจ อบอุ่น เกาะติด ๆ ก้าวเดินไปด้วยความสะดวกราบรื่น
    เราต้องการเสมอ ที่อยากจะให้พระเราทางภาคปฏิบัติได้มีหลักมีเกณฑ์มาอยู่ เฉพาะภาคกลางเราขาดพระปฏิบัติมากทีเดียว มีเล็กน้อย ๆ นี่ท่านสงบ ท่านหยีนี้ก็มาจากวัดป่าบ้านตาดมาอยู่ที่นี่ เท่าที่ทราบมาก็ว่าเป็นมงคลพอสมควร เราก็อบอุ่นในฐานะที่เราเป็นอาจารย์ได้สอนท่านสงบมาแล้ว ถ้าปฏิบัติตนดีเราก็พอใจ สมเจตนาที่เราสอนเพื่ออรรถเพื่อธรรมล้วน ๆ แล้วก็ให้มาเป็นความร่มเย็น เป็นเกาะเป็นดอนก็ยังดี ถ้าไม่มีเลยพระปฏิบัตินี้ขาดมากนะ พระปฏิบัติเป็นสำคัญมาก ตามหลักของศาสดาเป็นอย่างนั้น
    มีภาคปฏิบัติเจ้าของก็ปฏิบัติ ได้รู้ได้เห็นตามหลักความจริงที่เป็นจริงภายในจิตใจแล้วสง่าผ่าเผยภายในจิตใจ องอาจกล้าหาญชาญชัย ไม่สะทกสะท้านว่าจะผิดไป เพราะความถูกต้องเต็มหัวใจอยู่แล้ว เทศน์ไปก็แน่นอน ๆ ไปโดยลำดับ นี่ละเราอยากได้พระประเภทเหล่านี้นะมาอยู่ทางภาคกลางเรา เพราะภาคกลางเรารู้สึกว่าขาดพระครูบอาจารย์ที่มีหลักมีเกณฑ์มาสั่งสอนอยู่มากทีเดียว เราจึงอยากให้มี เพราะบรรดาศรัทธาญาติโยมทั้งหลายส่วนมากไหลไปทางภาคอีสาน เพราะทางนู้นมีครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติมีอยู่มาก
    บรรดาใจท่านใจเรามันก็เหมือนกัน ที่ไหนเป็นที่แน่ใจ เป็นที่อบอุ่น มันก็ต้องไป ใกล้ก็ไป ไกลก็ไป ไม่ควรจะไกลนักก็ควรจะได้ตามแถวนี้ก็อยากให้มีครูบาอาจารย์มาอยู่เป็นหลักเป็นเกณฑ์แถวนี้ กระจายกันไป ไปมาหาสู่กันง่าย เราอยากให้มีอย่างนั้น จึงต้องอุตส่าห์พยายามแนะนำสั่งสอนพระเรา ยังไงขอให้ฝึกฝนตนให้ได้เสียก่อน เรื่องการสอนคนภายนอกมันหากมาเองเป็นเองตามนิสัยวาสนาของแต่ละราย ๆ ตอนต้นต้องเอาเจ้าของให้แน่นหนามั่นคง เป็นที่แน่ใจเจ้าของมากน้อยเพียงไรผลอันนี้จะกระจายออกไป
    ปิดไม่อยู่แหละ จะเอาไปไว้ภูเขาลูกไหนมันก็รู้ คนไม่รู้เทวบุตรเทวดาก็รู้ เช่นอย่างพระพระจิตตคุตต์ ท่านอยู่ในภูเขามาตั้ง ๖๐ ปี ไม่มีคนเข้าไปเกี่ยวข้อง ท่านไม่ยุ่งกับใคร แต่เทวดาห้อมล้อมเต็มตลอดเวลา เทวดารักท่านมาก เคารพท่านมาก ท่านก็เมตตาเทวดามาก มนุษย์ไม่ค่อยรู้ แต่เทวดานี้รักมาก ใครไปสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แสดงเหตุต่าง ๆ ให้เห็นแหละ นี่พระจิตตคุตต์ท่านเป็นอย่างนั้น อันนี้เทวดาจะมีหรือไม่มีก็ตาม พวกหูหนวกตาบอดเราลบล้างไปเสีย ให้มีตั้งแต่มนุษย์ด้วยกัน มีแต่ครูบาอาจารย์ด้วยกันก็ขอให้มีมนุษย์ที่ดี สนใจในศีลในธรรม มีครูบาอาจารย์ที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ให้ศีลให้ธรรมต่อเรานี้ก็เป็นมงคลอย่างยิ่งอยู่แล้ว
    เราจึงต้องการอยากให้มีพระกรรมฐานเรา มีหลักมีเกณฑ์ทางด้านจิตตภาวนา ได้รับการอบรมถูกต้องดีงามมาเรียบร้อยแล้ว แล้วสั่งสอนประชาชนจะเป็นความสง่างามไปมาก และมีความสงบร่มเย็นทั่วหน้ากันโดยลำดับลำดา ที่สถานที่มีพระครูบา อาจารย์ที่แน่อยู่ในสถานที่นั้น แนะนำเป็นอรรถเป็นธรรม เราไม่อยากให้อยู่ละแห่งละหนกัน เช่นอย่างภาคกลางโดดไปทางภาคอีสาน ส่วนมากมักไปทางนู้น เพราะครูบาอาจารย์มีอยู่ทางนู้นมากก็ต้องไป ทีนี้มีอยู่ทางไหนมากหัวใจคนมันก็ต้องไป ไกลลำบากก็ไปใกล้ ไม่ลำบากมันก็ไป ไม่ลำบากลำบนมากนัก
    เราจึงอยากให้มีพระกรรมฐานที่มีหลักมีเกณฑ์มีอยู่ทุกแห่งทุกหน เฉพาะภาคกลางนี้ขาดวงกรรมฐานมากทีเดียว เราจึงอยากให้มี บรรดาลูกศิษย์ลูกหาองค์ไหนที่พอเป็นไปเราก็อยากให้มีในทางแถวนี้ บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายที่ไปอบรมอยู่วัดป่าบ้านตาดทั่วประเทศไทย ไม่ใช่น้อย ๆ ถ้าพูดตามความสัตย์ความจริงแล้วหลวงตาบัวนี้มีลูกศิษย์ฝ่ายพระนี้มากที่สุด แต่มันมักจะเหลว ๆ ไหล ๆ โล ๆ เลก ๆ แล้วท่านสงบ ท่านหยีมาอยู่นี้มันโลเลโลกเลกหรือเป็นอะไรก็ไม่ทราบ เพราะนี้เป็นลูกศิษย์หลวงตาบัว หลวงตาบัวจึงไม่ไว้ใจ ให้ท่านทั้งหลาย ถ้าทำไม่ถูกให้ตีเลย ไม่ตีสูง ๆ ก็ตีต่ำ ๆ ฟาดแข้งเข้าใจไหมให้แข้งหัก นี่ครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างนี้เหรอ ให้ว่างั้นเข้าใจเหรอ เตือน หลวงตาสั่งมาไม่เป็นไร ตีเลย แข้งลูกศิษย์หลวงตาบัวมันไม่เป็นท่าให้เขาตีหนัก ๆ
    นี่ละเรื่องราวเป็นอย่างนี้ ที่เราต้องการอยากได้พระเจ้าพระสงฆ์มาปฏิบัติ ลงธรรมเกิดขึ้นในใจแล้วมันจะสง่างามมากทีเดียวนะ ไม่ต้องหาใครมาเป็นสักขีพยาน จ้าขึ้นภายในจิตใจพอแล้วสำหรับเราคนเดียว พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระองค์เดียวเป็นศาสดาได้สามโลกธาตุ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ท่านไม่หาพยานที่ไหน บรรลุผึงขึ้นมานี้แดนโลกธาตุนี้สว่างจ้าไปหมด นี่ละผู้นำธรรมมาสอนโลกโดยความสว่างไสว
    เราก็อยากให้ลูกศิษย์ลูกหาของเราปฏิบัติตนตามทางของศาสดาแล้ว จะเกิดธรรมเหล่านี้ขึ้นมาโดยไม่ต้องสงสัยนะ จะสว่างขึ้นมาตามนิสัยวาสนาของตน การแนะนำสั่งสอนประชาชนขึ้นกับนิสัยวาสนา ส่วนความบริสุทธิ์อันเป็นที่อบอุ่นในตัวเอง และให้ความอบอุ่นกับประชาชนนั้นปิดไม่อยู่ ต้องเป็น แต่การแนะนำสั่งสอนจะกว้างแคบหนักเบาขนาดไหนเป็นไปตามนิสัยวาสนา ในครั้งพุทธกาลท่านก็มีมาอย่างนั้น บางองค์ท่านสำเร็จแล้วท่านอยู่ในป่าเลย ไม่ออกมาเกี่ยวข้องกับผู้ใด ถึงเวลาจะนิพพาน มาทูลลาพระพุทธเจ้าแล้วไปนิพพานแล้วอย่างนั้นก็มี
    ผู้ที่สั่งสอนโลกจนโลกธาตุกระเทือนไปหมด ก็จำนวนมากมายบรรดาสาวกของพระพุทธเจ้า นี่ละนิสัยวาสนาต่างกันอย่างนี้ ส่วนจิตใจขอให้เป็นพื้นฐานอันดีงามที่เลิศเลอภายในใจเถอะ อันนี้เป็นความร่มเย็นเป็นสุข ขอให้บรรดาพระลูกพระหลานตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ การขบการฉัน การเป็นอยู่ปูวายไม่ยากสำหรับกรรมฐานเรา มีอะไร ๆ ฉันได้หมด พอยังอัตภาพให้เป็นไป ไม่ยุ่งกับสิ่งภายนอกยิ่งกว่าภายในที่จะฆ่ากิเลสภายในใจ ตัวยุ่งเหยิงให้มันขาดสะบั้นไปจากใจนี้เป็นที่พอใจ สมพระทัยของพระพุทธเจ้าที่ทรงแนะนำสั่งสอนให้บรรดาสาวกทั้งหลายได้บรรลุอรรถธรรมขั้นต่าง ๆ จนกระทั่งถึงขั้นอรหัตตบุคคลและเป็นที่พอพระทัย เราสนองตามเสด็จพระพุทธเจ้าก็ให้ดำเนินตามสวากขาตธรรมจะเป็นการตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าวนั่นแหละ
    วันนี้เทศนาว่าการเพียงเท่านี้ พูดไปพูดมารู้สึกเหน็ดเหนื่อย ให้บรรดาพระลูกพระหลานยึดเป็นคติเครื่องเตือนใจนำไปปฏิบัติ หลักธรรมการเทศนาว่าการในเทปก็มีมากอยู่แล้ว ควรจะยึดไปเป็นคติฟังเสียงอรรถเสียงธรรมตามเทปนั้น ปฏิบัติไปตามนั้นจะไม่ผิดพลาด เทปของเราที่เทศน์นี้เราแน่นอนในหัวใจเรา ไม่ว่าเทศน์ในขั้นใดภูมิใดเราไม่เคยสงสัยในธรรมที่แสดงออกเลย ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งสุดขีด มีธรรมทุกขั้นที่เราเทศน์ เราไม่สงสัยทุกขั้นของธรรมที่แสดงออก ผู้ปฏิบัติเมื่อปฏิบัติไปตามนั้นเราก็แน่ใจว่าไม่ผิด ให้เอานี้ยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ไปปฏิบัตินะ
    เอาละการแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ กาลเวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
    เมื่อค่ำวันที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

    สายทางที่จะนำเราให้หลุดพ้นจากทุกข์

    หลวงตา เขาเอากระดูกพ่อแม่ครูจารย์มั่นไปปั้นเอาไว้ที่ที่เราพัก กุฏินั่นนะ ไปอยู่ที่นั่น เป็นอะไร เป็นทองคงไม่ใช่ เขาเรียกอะไรมันหลายอย่างนะ ที่ปั้นรูปเหมือนท่านน่ะ มันมีอะไรบ้างที่เอามาปั้น
    โยม สัมฤทธิ์ครับ
    หลวงตา นั่นซิ ทองแท้คงไม่ใช่ พวกทองพวกอะไร พวกเหล็กพวกทอง เขาอาจจะมีอะไรบ้าง รูปเรามันก็แอบไปมีแล้วนะ รูปเราน่ะ มันค่อยขโมยแบบนี้ก็มี เข้าใจไหม ขโมยแบบโลกก็มี ขโมยแบบธรรมนี้ก็มี มันขึ้นหน้าขึ้นตาเหลือเกินเรื่องวัตถุ เพราะฉะนั้นเราจึงได้ตีไว้ เอามาให้เราก็ไม่เอา ให้เอาคืน แม้รูปพระพุทธเจ้าก็ตาม เราเคารพพระพุทธเจ้าแต่ไม่เคารพกิริยาที่ทำมาอย่างนี้ ทำให้ลืมตัว ทำง่ายๆ นิดเดียวๆ การปฏิบัติตัวไม่สนใจเลย พระสาวกทั้งหลายท่านไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่าจนกระทั่งสำเร็จมรรคผลนิพพานเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ไม่ปรากฏมีองค์ไหนบ้างที่ได้แบกพระพุทธเจ้า หามพระพุทธเจ้าไปด้วย
    ท่านก็บอกว่าธรรมอยู่ที่ใจ สอนลงที่ใจ สอนที่ใจ ไม่ได้สอนให้แบกพระพุทธเจ้า ไปไหนให้แบกไปนะ ท่านไม่ได้สอนอย่างนั้น นั้นเป็นด้านวัตถุ หยาบๆ ด้านธรรมะที่จะเป็นผลเป็นประโยชน์แก่ตน ท่านเน้นหนักในจุดนี้ต่างหาก ไม่มีใครละที่จะห้ามอย่างเรา เรามันไม่สนใจกับอะไรมีแต่เหตุผลอรรถธรรมเท่านั้น นอกนั้นใครจะมาใหญ่กว่าธรรมไม่ได้
    มานี้ โอ๋ย พระพุทธรูปเอาไปถวายพระ ท่านก็เกรงใจ ใครก็ขนไปๆ ให้พระท่านแบก ในห้องมีตั้งแต่พระพุทธรูปที่เขาเอาไปถวายท่านนั่นแหละ จนจะหาที่หลับที่นอนก็ไม่มี เราเห็นด้วยตานี่ เราก็ทราบว่านี้เพราะความเกรงใจอะไรๆ อาจประกอบกับท่านก็ชอบของขลังอยู่ด้วย มันก็เลยบวกขึ้นเป็นอย่างนั้น เลยเกลื่อนไปหมดเรื่องวัตถุ เอะอะปุ๊บปั๊บเอามาแล้ว ปุบปับเอามาแล้ว ปัดเรื่อยนะเรา ไม่เหมือนใคร มันไปอย่างนั้นแหละ มันไม่ได้เข้าไปข้างใน ข้างนอกยุ่งมากที่สุด ข้างในไม่สนใจปฏิบัติ ฝึกฝนทรมานตน
    อันนั้นเป็นเครื่องอาศัยเพียงเล็กน้อยภายนอก เช่น พระพุทธรูป ไปอยู่ที่ไหนพอกราบพอไหว้แล้วก็พอ อันนี้จะกลายเป็นโรงงานขายพระพุทธเจ้าทั้งองค์ๆ ทั่วประเทศเขตแดน มันเป็นอย่างนั้นแล้วนะ โรงงานขายพระพุทธเจ้า โรงงานขายพระเต็มไปหมด ใครมาก็ยื่นให้ๆ ปัดเลยเรา ไม่เอา ไม่เล่นด้วย เราคิดด้วยเหตุด้วยผลเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยทำให้คนลืมตัว มากกว่านั้นก็เลอะเทอะ ไม่รู้สึกตัวเลย
    จุดสำคัญ พระพุทธเจ้าท่านสอนลงนั้นนะ ไม่เคยมีตำราใดที่สอนไปที่ไหนให้แบกเราตถาคตไปด้วย ถ้าแบกไม่ได้ให้หามนะ ถ้าองค์ใหญ่ให้หามไปนะ ไม่เห็นว่า บอกศีลบอกธรรม บอกการประพฤติปฏิบัติแก้ไขข้าศึกศัตรูซึ่งมีอยู่ภายใน ให้แก้ลงภายในนี้ ดัดแปลงตัวเองนี้ให้ดี มันก็ดีขึ้นๆ กราบพระพุทธเจ้า กราบสนิทอยู่ภายในใจ นั่นกราบโดยแท้ มันเป็นอย่างนั้นนะ ในวัดจึงไม่เห็นมีเท่าไร พระพุทธรูปเห็นไหม แท่นพระเรา ใครอย่ามายุ่งไม่ได้ ให้เอาคืนต่อหน้าเลย
    ใครจะว่าเราประมาทพระพุทธเจ้า เราเทิดทูนพระพุทธเจ้านั่นเอง ตรงกันข้ามนะ เอามาเหมือนของไม่มีค่า เอามาโยนมาทิ้งไว้อย่างง่ายดายๆ สร้างง่าย สร้างพระพุทธรูป เท่าไรบาทก็แล้ว แต่จะสร้างตัวเองไม่สนใจ เอานั้นสร้างนั้นแทน มันเลยเลอะเทอะไปหมดด้วยวัตถุ อยู่ที่ไหนเกลื่อนไปหมด ไม่มีเฉพาะวัดป่าบ้านตาด มีเฉพาะองค์ที่จำเป็นๆ ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน เอาไว้ด้วยเหตุด้วยผลทุกอย่าง ไม่ได้เลอะๆ เทอะๆ
    พระไม่พินิจพิจารณาใครจะพิจารณา พระเป็นผู้นำของคน เราต้องเป็นผู้นำของเราด้วยความถูกต้องดีงามไปก่อนถึงจะนำผู้อื่นได้ ให้ดิบให้ดีได้ เจ้าของก็เลอะเทอะ มันก็เลยเลอะเทอะไปหมด นี่ไม่ทำ อย่างนั้นไม่เอา ขัดใครก็ตามไม่ขัดธรรมเสียอย่างเดียวพอใจ เรื่องโลกหาประมาณไม่ได้ ไม่มีประมาณ ไม่มีค่าไม่มีราคาเหมือนธรรม ธรรมนี้มีค่าสูงส่งเลย มันแย็บออกตรงไหนนี่ ถ้ามันขัดธรรมนี้ หมอบทันทีเรา นี่ละเรานำโลกนำสงสาร เราจึงไม่มีที่ต้องติตัวเอง ผู้อื่นผู้ใดจะไปหาฟ้องร้องอะไรเราก็เป็นเรื่องของเขาเอง เราไม่มีอะไร ถ้ามันมีมูลมีเหตุที่เขาฟ้องร้องเขาโจมตี ก็แสดงว่ามลทินไปจากนี้จริงๆ นั่นก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง นี่เราไม่มี เขาจะว่าอะไรก็เป็นเรื่องของเขาไป เพราะเราไม่มีจริงๆ ในใจอันนี้
    ที่ช่วยโลกคราวนี้ เราบอกตรงๆ เราเปิดหมดเลย คิดดูซิบาทหนึ่งเราไม่เคยแตะ ฟังซิท่านทั้งหลายหาที่ไหน ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด ทั่วประเทศไทย มีมากขนาดไหน ไม่เคยแตะ เข้าตามจุดๆ โดยทางเหตุผล เช่น เงินสดนี้มันมากต่อมาก ทางเหตุผลของเรามี ที่จะจับจ่ายไปทางไหนๆ ต้องมีเหตุมีผลทุกอย่าง จ่ายมากจ่ายน้อยให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ต่ออรรถต่อธรรม เราถึงทำ อะไรที่ขวางปั๊บนี้หลบทันที ไม่ฝืน เรานำโลกมาเรานำอย่างนี้ต่างหาก เราจึงไม่มีอะไรที่ระแคะระคายในตัวของเรา ถึงใครจะโจมตีเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ให้เป็นเรื่องของเขาไป ไอ้ปากสกปรกไม่มีประมาณ ปากอรรถปากธรรมต้องมีประมาณ กิริยาของผู้มีอรรถมีธรรมต้องมีประมาณ มีเหตุมีผลหลักเกณฑ์เป็นเครื่องประกันความดีงามไปในนั้นเสร็จ นั่นมันถึงถูก
    อย่างนำพี่น้องทั้งหลายนี้ก็เหมือนกัน เอา ว่าให้ได้เลยชัดเจน เงินทั่วประเทศไทยไหลเข้ามาสู่หลวงตาบัวเป็นผู้รับผิดชอบ มันจะไม่รั่วไหลไปไหนได้หรือ นี้ไม่รั่ว บอกตรงๆ เราควบคุมหมด เพราะเราจริงจังทุกอย่าง ไม่ได้มีเหลาะแหละ การปฏิบัติตัวของเราก็อย่างนั้น เราไม่มีเหลาะแหละ ว่าเป็น-เป็น ว่าตาย-ตายเลยจริงๆ ชีวิตไม่เสียดายยิ่งกว่าธรรม เคารพธรรมมากที่สุด เราเทิดทูนอย่างนั้นตลอดมา จึงไม่มีที่ตำหนิติเตียนในการประพฤติปฏิบัติตัวเอง เด็ดก็เด็ดเป็นธรรมไปเสีย ไม่ได้เด็ดแบบโหดร้ายทารุณแบบความเสียหาย เด็ดเพื่อธรรม
    เพราะกิเลสมันเป็นคลื่นของมัน คลื่นหนักคลื่นเบา คลื่นควรเด็ดต้องเด็ดใส่กัน ไม่เด็ดไม่ได้ มันก็ซัดกันตรงนั้นๆ มันเป็นธรรมทั้งนั้นนี่ เวลานำพี่น้องทั้งหลายมานี้เราไม่เคยมีอะไรในใจของเรา ไม่มีเลย บริสุทธิ์ขนาดนั้นนะ เราจะเล็งใจของเราตลอด เราไม่เอาอะไรมาเป็นประมาณ เราจะดู คิดอ่านตรงไหนๆ จะพาพี่น้องชาวไทยเราดำเนินอย่างไรๆ เราจะพิจารณาของเราเสียก่อน เมื่อถูกต้องดีงามแล้วก็พาก้าวเดินๆ อะไรขัดไม่ทำ
    ทางด้านวัตถุก็เหมือนกัน การแนะนำสั่งสอนก็สั่งสอนโดยธรรมล้วนๆ ไม่สงสัยในการสั่งสอนทุกแง่ทุกมุมในธรรมทุกขั้น พูดให้มันตรงศัพท์ตรงแสงตรงความจริงก็คือว่า ได้เรียนมาแล้ว เหตุผลเต็มภูมิแล้ว เข้ามาอยู่ในใจนี้หมด เอาออกจากใจสอนเลยทีเดียว เราจึงไม่สงสัย ไม่ได้เป็นแบบลูบๆ คลำๆ มันแน่ใจทุกอย่าง สอนโลกด้วยความแน่ใจทุกอย่างไม่สงสัย ในธรรมทุกแง่ทุกมุมที่พระองค์ทรงสอนไว้ เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น ไม่มีอะไรจะเป็นส่วนเกินพอจะตัดออก หรือบกพร่องควรจะเพิ่มเติมเข้าไป ไม่มี เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ไม่ว่าแง่ใดมุมใดของธรรม ทรงตรัสไว้ตรงไหน แม่นยำๆ หมด หาที่ค้านไม่ได้ เอาภาคปฏิบัติพิสูจน์กัน
    เพียงเราอ่านไปตามตำรับตำรามันผิดๆ พลาดๆ บางทีตำราก็มีผิดพลาดบ้าง ส่วนมากตัวของเรานี่ตัวผิดพลาด ไปตีความหมายตนเอง แล้วเอาความเชื่อไม่เชื่อออกจากกิเลสไปเหยียบยำทำลายความจริงเสียมากต่อมาก เรียนมาแล้วมันจึงเอาเป็นประมาณไม่ได้ทั้งตัวเอง และไปสอนคนอื่นก็เอาเป็นประมาณไม่ได้ เพราะไม่ได้ของจริงไปสอน มันได้แต่ความจำไปสอนเฉยๆ ความจำ จำมาเรียนมาอย่างไรก็จำอย่างนั้น ดีไม่ดีก็เถลไถลเหยียบความจำไปอีก ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าไปเสีย มันก็ผิดไปสองชั้นสามชั้น
    ภาคปฏิบัตินี่เป็นภาคเอาจริงเอาจังมาก คิดดูซิกิเลสมันละเอียดขนาดไหนพระพุทธเจ้าพังลงได้หมด กิเลสเป็นตัวทำให้สัตว์โลกงุ่มง่ามต้วมเตี้ยมโซซัดโซเซตกเหวตกบ่อ มีแต่กิเลสพาให้ตก ธรรมท่านไม่ได้พาให้ตก แต่มันไม่อยากไปตามธรรม มันอยากไปตามที่จะให้ตกเหวตกบ่อ อันตรายจึงรอบโลกธาตุ ไม่มีใครได้รับความผาสุกเย็นใจเลยเพราะวิ่งตามกิเลสด้วยกัน มาหากันเอาตั้งแต่เรื่องทุกข์เรื่องลำบากลำบนของแต่ละคนๆ ที่ตะเกียกตะกายมาแล้ว ก็มาระบายต่อกัน ไม่ทราบจะระบายต่อใคร ใครก็มีทุกข์เต็มหัวใจออกมาจากปากทุกคน หูก็ฟังไม่ทันซิ คนนั้นก็อยากพูด คนนี้ก็อยากพูด ระบายตั้งแต่ความทุกข์ความลำบากออกมาสู่กันฟัง
    เฉพาะอย่างยิ่งในงานศพ เป็นอย่างนั้นงานศพ ไม่ได้มาเพื่ออรรถเพื่อธรรมนะ มาเผาศพ มาเพื่อระบายทุกข์ มาด้วยความเห็นแก่หน้าแก่ตา เห็นว่าเป็นมิตรเป็นสหายแล้วก็มา มาอย่างนั้นแหละ แล้วสุดท้ายความทุกข์มันมีอยู่ในหัวใจทุกคน มันก็ต้องออกมา ครั้นออกมาแล้วก็ระบายทุกข์ต่อกัน พระจะสวดอะไรๆ ไม่สนใจทั้งนั้น คุยกันสนุกเลย พระสวดอะไรก็สวดไปเรื่อยๆ นี่ละมาเผาศพแต่ละครั้ง มันไม่ได้มาเพื่ออรรถเพื่อธรรม มันมาด้วยอำนาจของกิเลสลากมา ความเห็นแก่หน้าแก่ตา โมกโขโลกนะก็เป็นเรื่องกิเลสเสีย มาที่จะพินิจพิจารณาให้เป็นอรรถเป็นธรรมเพื่อเป็นคติเครื่องเตือนใจตัวเองไม่ค่อยมี มันมีแต่แบบเดียวกัน มาก็ระบายต่อกันฟัง ความทุกข์ความเดือดร้อนยุ่งไปหมด
    เรื่องนี้มีกี่เรื่องเต็มอยู่ในหัวอกของแต่ละคนๆ ใครก็อยากระบายๆ ขายไม่ออกซิ เพราะต่างคนต่างมี ต่างคนต่างล้นปากล้นหัวใจ เรียกว่าล้นตลาด แล้วใครจะไปฟังใครล่ะ เวลาพระมาสวดอะไรไม่สนใจจะฟัง เป็นอย่างนั้นนะ เราเทศน์อยู่ในกรุงเทพฯ นี่ มันดูไม่ได้เลย เขานิมนต์เราไปเทศน์ เราไม่อยากไปเท่าไร เขามาวิงวอนมาขอเราก็เลยไป ครั้นไปแล้วมันก็เป็นอย่างว่าแหละ เทศน์ใส่เสียเปรี้ยงๆ เลย หลังจากนั้นเงียบหมดเลย นั่นเห็นไหมล่ะ ธรรมะปราบออกเสียบ้างซิ ตั้งแต่นั้นเราไม่เคยไปเทศน์ในงานศพเลย ศพนั้นศพนี้ ขี้เกียจไปยุ่งกับของสกปรก กองทุกข์ที่กิเลสสร้างขึ้นมา ตัวเองเป็นผู้สร้างขึ้นมาแล้วก็มาระบายต่อกันให้เลอะเทอะไปหมด
    นี้ปฏิบัติรักษาชำระอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เลอะเทอะเข้ามาจึงไม่อยากยุ่ง ไปที่ไหนเราไม่ได้ไปเห็นแก่เงินแก่ทองแก่ข้าวแก่ของ ไปด้วยอรรถด้วยธรรมล้วนๆ เทศน์สอนคนเราก็สอนด้วยความเมตตาล้วนๆ เราไม่ได้หวังอะไร จะเอาอันนั้นมาอวดเรา อย่าเอามาอวด ปาเข้าป่าต่อหน้าเลย จริงๆ นะ ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าหัวใจคน เลวยิ่งกว่าหัวใจคน เพราะฉะนั้นจึงต้องสอนลงที่หัวใจคนเพื่อได้ฟื้นตัวขึ้นมาสู่ความดีงาม จึงต้องอุตส่าห์พยายามแนะนำสั่งสอน วัตถุสิ่งของอะไรๆ อยู่ที่ไหนมันก็มี อดอยากอะไร แม้แต่ไปอยู่ในป่าในเขาก็ไม่เห็นตายนี่วะ นี้ก็เคยอยู่มาแล้ว ไปบิณฑบาตกับชาวบ้านเขา สามหลังคาเรือน สี่หลังคาเรือน เขาอยู่ในเขา เป็นหย่อมๆ
    มองไปนี้เห็นแต่ภูเขา เหมือนไม่มีบ้านคน เวลาไปจริงๆ มันมีอยู่ในนั้น แห่งละสามหลังคาเรือน สี่หลังคาเรือน เขาอยู่ในป่าในเขา ถากถางป่านั้นปลูกข้าว พวกนี้ทำลายป่า ปลูกข้าวปลูกอะไรแล้วก็มากินกัน ถ้าไม่พอก็ลงไปเอาข้างล่าง เอาอาหารข้างบนเป็นสัตว์เป็นเนื้อเป็นอะไรลงไปแลกเปลี่ยนขึ้นมา นี่ก็ไปอยู่กับเขาก็ไม่เห็นตาย ยิ่งพ่อแม่ครูจารย์มั่นด้วยแล้วสมบุกสมบันที่สุดเลย ท่านเคยเล่าให้ฟัง คือเวลามันไปผ่านท่านก็เล่า ท่านไม่ได้เล่าเพื่อยกโทษยกคุณผู้ใดแหละ ท่านเล่าตามสายทางเดินของการพูดเรื่องราวต่างๆ ไป ส่วนมากท่านมักฉันแต่ข้าวเปล่าๆ ท่านว่า ท่านก็ว่าไปเฉยๆ ก็เราไปหาอย่างนั้น เราไปดัดสันดานตัวของเรา เขามีอะไรเขาก็เอามาให้ เราก็ฉันตามมีตามเกิด ท่านว่าอย่างนั้น
    ไปบางแห่งเขาว่าพระกรรมฐานท่านฉันแต่ถั่วแต่งา ท่านไม่ฉันเนื้อฉันปลา ท่านเล่าให้ฟัง ทีนี้เขาไม่มีถั่วมีงาเขาก็มีแต่ข้าวเปล่าๆ เขาว่าเราไม่ฉันเนื้อฉันปลา เขาก็ไม่เอามาให้ เพราะว่าเราไม่ฉันเนื้อฉันปลา ท่านฉันแต่ถั่วแต่งา ทีนี้ถั่วงาเขามีหรือไม่มีก็ตาม แต่ไม่เห็นเขาเอามาให้ ท่านว่าอย่างนั้น เราก็ฉันข้าวเปล่าๆ ท่านว่าฉันไปนานแสนนาน บางแห่งกว่าเขาจะรู้เนื้อรู้ตัวก็นานแสนนาน ทีนี่พอเขารู้เนื้อรู้ตัวบ้างแล้วเราก็เปลี่ยนที่ไปเสีย ท่านว่า
    นี่ท่านลำบากขนาดไหนพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านไม่ได้สนใจกับเรื่องอาหารการบริโภคอะไรเลย ไม่สนใจ มีแต่มุ่งต่ออรรถต่อธรรม ความสงบวิเวกเพื่อบำเพ็ญธรรมด้วยความสะดวกสบาย ท่านไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้นๆ ท่านไม่ได้ยุ่งเหมือนเรื่องของโลกนะ ใจของท่านเป็นธรรมล้วนๆ อดอยากขาดแคลนจิตไม่ห่างจากธรรม หมุนไปกับธรรม สิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องอาศัยธาตุขันธ์พอได้เป็นไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น
    เพราะฉะนั้น ผู้บำเพ็ญธรรมด้วยความมุ่งหวังต่อธรรม จึงได้ผลเป็นที่พอใจๆ แล้วหลุดพ้นได้เลย เพราะตั้งใจปฏิบัติจริงๆ ด้วยอรรถด้วยธรรม ท่านมายุ่งอะไรกับสิ่งภายนอกเหล่านั้น ท่านไม่ยุ่ง นี่ละสายทางของพระพุทธเจ้าจริงๆ ท่านเป็นอย่างนั้น ครั้งพุทธกาลมี ตำรับตำรามีมาหมด ท่านไม่ได้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อันนี้มันกลายเป็นเรื่องกิเลสเป็นศาสนาแล้วนะเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ธรรมว่าเป็นศาสนา คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนา มันไม่ได้มีนะ มีก็มีแต่ในคัมภีร์ใบลาน จับยัดใส่ตู้ไว้แล้วก็ล็อกกุญแจไว้แล้วไม่มีใครดู มีแต่เรื่องสกปรกโสมมออกเพ่นพ่านๆ แสดงเต็มลวดลายของตัว ทั้งประชาชนทั้งพระทั้งเณร ใครจะไปสนใจอรรถธรรม รักสงวนธรรม แหม มีน้อยมากนะ มันไม่น่าสลดสังเวชยังไง
    ศาสนาเวลานี้ค่อยจมลงๆ ก็พวกเราชาวพุทธนี้แหละเหยียบย่ำศาสนาจะเป็นใครไป ผู้รักษาท่านรักษาอยู่ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ยุ่งกับใครๆ ท่านปฏิบัติอยู่ในป่าในเขา อยู่อย่างไรฉันอะไรท่านสบายไปหมดเลย ขอให้ธรรมนั้นได้เข้าสู่จิตใจด้วยความพากเพียร อันเป็นความสะดวกในการบำเพ็ญท่านก็พอใจแล้ว ท่านเป็นอย่างนั้นพระพุทธเจ้าพระสาวกทั้งหลาย แถวทางก็มี เรียนมาด้วยกันทุกคน แต่มันไม่ได้สนใจ สิ่งที่เพ่นพ่านๆ มันมีในตำราที่ไหน สอนว่าให้ทำอย่างนี้ไม่มี แต่มันก็เต็มบ้านเต็มเรือน เต็มวัดเต็มวา เต็มพระเต็มเณรอยู่นั้น ไปที่ไหนมีแต่เรื่องส้วมเรื่องถาน เต็มกิริยาอาการความเคลื่อนไหวของประชาชนและพระเณรเรา ในวัดในวานอกวัดนอกวา เป็นลักษณะเดียวกันหมด เพราะไม่รักษา วิ่งตามกิเลสหัวซุกหัวซุน มันเป็นไปโลก
    อยู่ในวัดนี่ก็หันหน้าออกนอกวัด หันหลังให้วัด ไม่ได้สนใจในธรรมแต่สนใจกับโลกกับสงสาร นี่เรียกว่าหันหน้าออกนอกวัด อารมณ์ต่างๆ เป็นอารมณ์ของโลกทั้งนั้น อารมณ์ของธรรมที่จะสั่งสมความดีแก่ตนและเป็นคติตัวอย่าง และเป็นกำลังใจของกันและกันนี้ เราอยากจะพูดว่าไม่มีนะทุกวันนี้ มันเลวลงขนาดนั้นจิตใจชาวพุทธเรา ไม่ได้ดีขึ้นนะ มันเลวลงๆ แล้วการสั่งสอนกันก็จะสั่งสอนไปหาอะไร ท่านปฏิบัติมาท่านปฏิบัติแทบล้มแทบตาย ได้มาจะเอากะปิมาละลายทะเล ไม่เกิดประโยชน์อะไร
    ผู้ท่านทรงมรรคทรงผลท่านทรงแบบนี้ สมบุกสมบันเรื่องความทุกข์ความลำบากในธาตุในขันธ์ความเป็นอยู่ปูวายอะไรท่านไม่สนใจ ท่านมุ่งแต่อรรถแต่ธรรมอยู่ตลอดเวลา ทีนี้ธรรมเมื่อได้รับการบำรุงรักษาแล้วก็ค่อยเจริญเติบโตขึ้นมา สงบร่มเย็น สง่างามขึ้นมาๆ เรื่อยๆ แล้วก็ยิ่งเป็นเครื่องดูดดื่มภายในจิตใจ ให้หนักในทางความเพียรมากขึ้นๆ ผลประโยชน์ที่ได้จากความเพียรก็เพิ่มเข้าไปๆ จิตใจยิ่งสง่างามขึ้นไป สง่าผ่าเผยเรื่อยๆ อยู่ที่ไหนมีแต่ธรรมภายในใจ ท่านไม่ได้มีโลกนะ มีแต่ธรรมภายในใจ มองเห็นอะไรๆ คิดเป็นอรรถเป็นธรรมทั้งนั้น ไม่ได้คิดเป็นกิเลสตัณหา ตาหูจมูกลิ้นกายสำหรับใช้ กิเลสเอาไปใช้เสียมากกว่าธรรมที่จะใช้ แม้นักบวชก็ตามเป็นอย่างนั้นเสียมากต่อมาก
    แต่ผู้ปฏิบัตินี้จะทบทวนอารักขากันตลอดเวลา ระมัดระวัง ท่านจึงเรียกว่าสำรวมๆ สำรวมตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่ให้มันออกเพ่นพ่านไปตามกิเลส จะขาดทุนสูญดอกโดยลำดับจนกระทั่งจมไปได้เลย ถ้านำอันนี้ไปใช้ตามอำนาจของกิเลสแล้ว มีแต่ความล่มความจม ทางตาก็จม ทางหูก็จม จมูกลิ้นกายจมไปหมดเพราะการได้เห็นได้ยินได้ฟังสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัย ถ้าใจเป็นธรรมๆ แล้วมองเห็นอะไรพับพลิกเป็นธรรม แล้วยิ่งจิตมันหมุนเข้ามาแล้วอะไรเป็นธรรมหมด คือจิตหมุนเข้ามาด้วยกำลังของธรรม มีมากต่อมากในจิตใจ มองไปที่ไหนเป็นธรรมไปหมด ตาหูจมูกลิ้นกายนี้ธรรมออกใช้ทั้งนั้น กิเลสไม่ได้นำออกใช้ ทีนี้อยู่ภายในอยู่ลำพังนี้ความคิดความปรุงนี้เป็นไปด้วยสติเป็นไปด้วยปัญญาเป็นธรรมล้วนๆ นั่นละธรรมเมื่อมีกำลังแล้ว อยู่ไหนเป็นธรรมไปหมด ถ้าเวลาเป็นกิเลสอยู่ไหนมันก็เป็นกิเลส อยู่ในวัดก็เป็นกิเลส อยู่นอกวัดก็เป็นกิเลส ไปนอนอยู่ในคัมภีร์ก็เป็นกิเลส ถ้าใจเป็นกิเลสแล้วไม่มีอะไรดี เพราะฉะนั้นท่านจึงสั่งสอนจิตใจให้ดี
    มันเลอะๆ เทอะๆ มากนะเวลานี้ชาวพุทธเรา ชาวพระเรา เลอะเทอะจนจะดูไม่ได้ ท่านผู้รักษาท่านรักษาอยู่อย่างเข้มงวดกวดขัน เพื่อความสะอาดสวยงามภายในจิตใจ กายวาจา ความประพฤติ หน้าที่การงานของท่านก็มีแต่งานเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ชำระกิเลสตัวมหาภัยออกจากใจ ทีนี้เมื่อมีการอารักขาชำระสะสางอยู่ตลอดเวลา จิตใจก็ค่อยงอกเงยขึ้นมาๆ เจริญขึ้นมาเรื่อยๆ นั่นเป็นอย่างนั้น สิ่งใดก็ตามถ้าได้รับการบำรุงรักษาส่งเสริมแล้วเจริญทั้งนั้น กิเลสก็ส่งเสริมมันไปซิ เดี๋ยวนี้มีแต่ส่งเสริมกิเลส เพราะฉะนั้นมันจึงเจริญรุ่งเรืองเต็มหัวใจคน เท่ากับไฟกองหนึ่งๆ เผาหัวใจๆ ตลอดทั่วถึงกันหมด ถ้าธรรมเจริญแล้วจะเย็นๆ เย็นตลอดเวลา
    เราพูดถึงเรื่องความอัศจรรย์ของใจนี้ขอให้ท่านทั้งหลายฟังให้ดี ที่เรามาสอนนี้ถอดออกมาจากหัวใจที่เป็นธรรมชาติอัศจรรย์อยู่ตลอดเวลานะมาสอนนี่นะ นี่เปิดให้ชัดเจน ความชั่วเขาเปิดกัน ทำกันได้ทั่วโลกไม่มียางอาย คือคนทำชั่วไม่มียางอาย ว่าที่ลับที่แจ้ง ว่าไปอย่างนั้น มันไม่มีที่ลับที่แจ้ง มันนิสัยสันดานหยาบพอแล้ว เขายังแสดงได้ทำได้ ทำไมธรรมเป็นของเลิศของเลอของดีของประเสริฐ เมื่อเสาะแสวงหามาได้ ทำไมจะพูดไม่ได้ สิ่งที่เป็นของดี อย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมานี้ให้กิเลสไปลบหมดได้หรือว่าไม่มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ธรรมที่สอนโลกให้ได้รับความสงบร่มเย็นและหลุดพ้นจากทุกข์ไปมากมายก่ายกอง ไม่มีแล้วหรือธรรม มีตั้งแต่กิเลสเหยียบหัวคนนั่นหรือ
    พูดตามความสัตย์ความจริง นี้มันก็จวนจะตายแล้วนี่ พูดเปิดเผยออกมานี่ ไม่เคยสะทกสะท้านอะไรกับสามแดนโลกธาตุ ใครจะว่าโอ้ว่าอวดอะไร มันปากสกปรก ใจของเราที่นำธรรมออกมาจากหัวใจที่บริสุทธิ์เต็มเหนี่ยวนี้แล้ว เราจะไปสะทกสะท้านกับอะไร กับของสกปรก อันนี้ของดีแจกจ่ายกันไปซิ ไม่ใช่แจกจ่ายตั้งแต่ต้มยำหมา ธรรมะก็ต้องแจกจ่าย แจกจ่ายธรรมะนี้มากยิ่งกว่าแจกจ่ายต้มยำหมา ก็มีวันนี้เท่านั้นแหละที่เราจะต้มยำหมาให้ลูกศิษย์กิน จะว่าอย่างไร
    โห อะไรจะไปเหมือนใจ มันอัศจรรย์ขนาดนั้น ดังที่พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย ฟังซิน่ะ ก็บำเพ็ญพระบารมีมาสักเท่าไร ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าท่านก็คาดก็หมายเอาว่า เมื่อบำเพ็ญธรรมได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วจะสอนโลกได้อย่างสะดวกสบาย มันไม่ได้เจออย่างจังๆ ซิ เวลาตรัสรู้แล้วมันเจอหมด เจอธรรมก็เจออย่างจังๆ เจอโลกสมมุติก็เจออย่างจังๆ ด้วยกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วมันก็เหมือนโลกธาตุหวั่นไปเลย มันกระเทือนอย่างแรง กระเทือนธรรมที่เลิศเลอจากพระทัยก็กระเทือนอย่างแรง กระเทือนเรื่องความสกปรกโสมมเป็นฟืนเป็นไฟของสามแดนโลกธาตุนี้ก็อย่างแรง มันพอๆ กัน
    ที่หันหน้ามาสอน ทีแรกว่าจะสอนนั่น พออันนี้จ้าขึ้นไปแล้วมันไม่ใช่วิสัยใครที่จะหลุดพ้นไปได้ตามที่คาดคิดไว้แต่ก่อน เหมือนหนึ่งว่าไม่ใช่วิสัยของโลกจะรู้ได้แล้ว คือมันเลยเสียทุกอย่าง จนถึงขนาดที่ว่าไม่ใช่วิสัยที่จะสอนโลกแล้ว มองไปอันนี้กับธรรมชาตินั้นต่างกันอย่างไรบ้าง นี่ละท้อพระทัย ไม่ถึงขนาดท้อพระทัยท้อได้หรือ ก็ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามานานหลายกัปหลายกัลป์หลายอสงไขย ทีนี้เวลาผางขึ้นมานี้ไม่ใช่ความคาดความคิดนะ เป็นหลักธรรมชาติที่เกิดเอง พอจ้าขึ้นมานี้มันเห็นทั้งแดนอัศจรรย์ที่เลิศเลอสุดยอด เลยสมมุติไปเสียโดยประการทั้งปวง และเห็นทั้งแดนสมมุติซึ่งเป็นเหมือนแดนนรกของสัตว์โลก สามแดนโลกธาตุนี้เป็นแดนนรกกัน เห็นไปหมด แดนนรกจริงๆ ก็เห็น แดนนรกเศษเหลือนรกเต็มอยู่นอกนรกนี้ก็มากต่อมาก ท่านก็เห็นไปหมด
    นี่แหละที่นี่ท้อพระทัย โอ้โห ถึงขนาดนี้แล้วจะไปสอนได้อย่างไร คือท่านดูธรรมชาติในพระทัยที่จ้านั้นกับดูธรรมชาติที่พระองค์เคยผ่านมา เคยเกิดแก่เจ็บตาย พระองค์ผ่านมาแล้วทั้งนั้น อยู่ในวัฏฏะ วัฏจักรความเกิดแก่เจ็บตาย หมุนเวียนไปตามอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วซอกแซกซิกแซ็กเกิดได้หมดตายได้หมด เรื่องความทุกข์ความลำบากลำบนนรกอเวจี สวรรค์ชั้นพรหม โพธิสัตว์หรือทั้งหลาย ไปได้ทั้งนั้นพวกเราเหมือนกัน แต่ถูกปิดไว้ๆ กลบรอยไว้ไม่ให้เห็นร่องรอยที่มา มันก็ไม่เข็ดหลาบคนเรา เมื่อไม่เข็ดหลาบแล้วก็มีกิเลสความอยากความทะเยอทะยานจูงไปอีก ก็มีแต่อยากรู้อยากเห็นอยากเป็นอยากทำไปอย่างนั้น สิ่งที่อยากเหล่านั้นมันก็เป็นเรื่องเหยื่อล่อของกิเลสไปเสีย จมไปอีกๆ
    คนหนึ่งๆ นับได้หรือกี่ภพกี่ชาติ เราจะมาว่าภพนี้ชาตินี้ชาติเดียวหรือ เรานี้เป็นตัวรวงรังของภพชาติอันใหญ่หลวง แต่ละรายๆ นับไม่ได้ มันตายทับตายถมตายกองกันมานี้สักเท่าไร ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมขึ้น ลงนรกหมกไหม้ลง แล้วลืมหมดๆ เพราะมันอยู่นี่มันไม่มีต้นมีปลาย วัฏจักร นานแสนนานขนาดนั้นจนไม่มีต้นมีปลายวัดกัน ว่ายืดยาวขนาดไหน ใหญ่โตขนาดไหนไม่มีวัดได้เลย มันเลยขอบเขตเต็มสมมุตินี้เลย นั่น มันขนาดนั้น แล้วสัตว์โลกประเภทต่างๆ ตายกองกันนี้ก็เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ ภพชาติตัวเองก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ภพชาติของสัตว์แต่ละรายๆ ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามบุญตามกรรมของตน
    ทีนี้เวลาตรัสรู้ขึ้นมานี้มันจ้าไปหมดเลยพระพุทธเจ้า ฟังซิว่าโลกวิทู เลยเห็นหมดเลยที่นี่ พร้อมทั้งเรื่องของพระองค์เอง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณทรงระลึกชาติย้อนหลังไป ชาติของพระองค์เป็นอย่างไรๆ ทรงระลึกชาติย้อนหลัง ความเป็นมาของพระองค์ นี่แหละเรื่องนรกอเวจีอะไรผ่านมาหมด จากนั้นก็บรรลุจุตูปปาตญาณ พิจารณาเรื่องความเกิดความตายของสัตว์ แบบเดียวกันอีก แล้วยิ่งมากต่อมาก พระองค์เพียงพระองค์เดียวก็ทรงทราบแล้วว่าความเป็นมาเป็นอย่างไร แล้วยิ่งดูสัตว์ การเกิดการตายของสัตว์ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงยิ่งมากต่อมาก ทีนี้ก็ท้อพระทัยละซิ พอตรัสรู้ผางขึ้นมายิ่งจ้ากว่านั้นอีก ครอบโลกธาตุไปหมด ทรงท้อพระทัยไม่อยากสั่งสอนสัตว์โลก นั่นเป็นอย่างไร ธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไรกับธรรมชาติความเป็นอยู่ของวัฏวน แดนแห่งส้วมแห่งถานนี้เป็นอย่างไร อันนั้นแดนแห่งนิพพานเลยสมมุติไปแล้วเลิศเลอสุดยอดแล้ว กับแดนอันนี้ต่างกันอย่างไร แล้วจะก้มหัวลงมาดมมากินมันได้หรือ พิจารณาซิ
    แล้วจะมาสั่งสอนอย่างไร มองดูที่ไหนมืดตื้อไปหมดๆ คำว่ามืดตื้อคือจิตใจมันมืดมิดปิดตา พระองค์ก็ทรงเล็งญาณเลือกเฟ้นให้เห็นชัดเจนตามบรรดาสัตว์ที่มีอุปนิสัยปัจจัย ที่อยู่ในสถานที่มืดบอดนั้นยังมีอยู่เยอะ ไม่ใช่จะมืดไปหมด หาสาระไม่ได้ แต่สิ่งที่เป็นสาระตามกำลังของตนๆ มี พระองค์จึงได้พิจารณาแล้วสั่งสอนสัตว์โลกมา นี่เป็น ไม่ได้วัดรอยนะนี่ มันเป็นจริงๆ ซึ่งเราไม่คาดไม่คิดแบบเดียวกันนั่นแหละ เวลาบำเพ็ญไปๆ มันไม่อยู่ในความคาดความคิด อยู่ในหลักธรรมชาติที่ปรากฏหรือผางขึ้นมาเองเลย เต็มเหนี่ยว มันก็เป็นของมันตามภูมิแม้จะเป็นภูมิเท่าหนูก็ตาม ก็เป็นแบบเดียวกันตามกำลังแห่งภูมิของหนู
    ความเลิศเลอในธรรมชาตินั้นถึงขนาดที่ว่า ถึงขนาดนี้แล้วจะไปสอนใครได้ นั่นเห็นไหมล่ะ สอนใครที่ไหนเขาจะหาว่าบ้าไปหมด ก็เขาเป็นบ้ากันทั้งโลก เราจะมาอวดดีคนเดียวไปสอนเขา ใครจะเชื่อจะฟัง เขาจะหาว่าเป็นบ้า อยู่ไปกินไปวันหนึ่งพอถึงวันตายแล้วเท่านั้นแหละพอ นั่นเห็นไหมล่ะ เคยคาดเคยคิดไว้ที่ไหน เวลามันผางขึ้นมาธรรมชาตินั้นกับธรรมชาติที่เคยผ่านมาทั้งเราและสัตว์โลกทั่วๆ ไปเคยผ่านมานี้ เวลามันได้รู้แล้วมันรับกันทันทีเลย ถึงได้ย้อนมาอีก นี่ก็เป็นปัญหาธรรมที่มากระตุกตัวเองในระยะที่จะทอดธุระ เพราะมองดูแล้วมันไม่มีอะไรที่จะไปหยิบขึ้นมาพินิจพิจารณาแนะนำสั่งสอน ประหนึ่งว่าเป็นแบบเดียวกันหมดเลย
    แล้วธรรมชาติที่เลิศเลอมันก็สุดขีดสุดแดน อันนี้ก็สุดขีดสุดแดนของฝ่ายต่ำ อันสูงก็สุดขีดสุดแดนของฝ่ายสูง คือวิมุตติพระนิพพานในหัวใจที่บริสุทธิ์สุดส่วน มันก็อดไม่ได้ซิ จะสั่งสอนไปหาอะไรลงขนาดนี้แล้ว ไปสั่งสอนที่ไหนเขาก็จะหาว่าบ้าไปหมดๆ ลงใจไปแล้วนะ โอ๊ย อยู่ไปกินไปวันหนึ่งๆ พอร่างกายหมดสภาพนี้แล้วก็ไปเสียเท่านั้นแหละ ยุ่งหาอะไร มันจะทอดธุระ เพราะดูธรรมชาตินั้นกับธรรมชาตินี้เหมือนประหนึ่งว่าเข้ากันไม่ได้เลย สอนไปหาอะไร นี่ก็ไม่ได้คาดได้คิด สักเดี๋ยวธรรมก็ผางขึ้นในใจเลย นั่นแหละธรรมเตือน ถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่โลกทั้งหลายรู้ไม่ได้ เป็นสิ่งที่สุดวิสัยของโลกทั้งหลายที่จะรู้ได้แล้ว เราเป็นเทวดามาจากไหน เราทำไมถึงรู้ได้ กระตุกกันแล้วนะนั่น เราก็เป็นคนๆ หนึ่งเหมือนกันกับโลก เหตุใดไปดูถูกเหยียดหยามโลกว่าเขาจะรู้ไม่ได้ แล้วเราเป็นเทวดามาจากไหนถึงรู้ได้ นี่ตอนถูกตอกกลับที่ยอมรับเลย รู้ได้เพราะเหตุใด คำว่ารู้ได้เพราะเหตุใด
    ที่เป็นมานี้มันมีสายทางเข้ามา สายทางแห่งวาสนาบารมีที่เราสร้างคุณงามความดีมาเป็นลำดับๆ หนุนกันเข้ามาๆ นี่แหละเรียกว่าสายทาง เพราะเหตุไร เพราะเหตุนี้เองสายทาง พอปั๊บนี้มันวิ่งถึงกันเลย จึงหาที่ค้านไม่ได้ พอว่ารู้เพราะเหตุใด ยอมรับเลย อ๋อ รู้ได้ นั่นเห็นไหมล่ะ ยอมเลย รู้ได้แม้ไม่มากก็ได้ ยอมรับเลย ทีนี้จิตมันก็..คำว่าจะทอดธุระมันก็กลับตาลปัตรกันมา สั่งสอนโลกตามกำลังความสามารถทั้งโลกและเราเอง มันก็เป็น นี้ไม่ได้โอ้ได้อวดนะ ไม่ได้วัดรอยพระพุทธเจ้า มันเป็นขึ้นโดยหลักธรรมชาติเอง เป็นที่ว่ามันสุดวิสัยที่จะไปสอนใครๆ ได้ อยู่ไปๆ พอถึงวันเท่านั้นเสีย เพราะมันเทียบกันไม่ได้เลย
    พอธรรมกระตุกขึ้นมาผางเท่านั้น มีสายทาง จะเลิศเลอขนาดไหนมีสายทางมา คนแต่ละคนมีสายบุญสายกรรมวาสนาบารมี นั่นละคือสายทางมา ผู้ที่ใกล้เข้ามาแล้วก็มี ใกล้เข้ามาก็มี ผู้อยู่ห่างไกลก็มี มีสายทางมาด้วยกันสัตว์โลก ยอมรับทันที อ๋อ ได้ นั่นเห็นไหมล่ะ ไม่เห็นค้านนะ แม้ไม่มากก็ได้ ลงใจแล้ว เพราะฉะนั้นจึงให้พากันสร้างความดีให้ดีนะ สายทางคือความดี ความดีนั้นแหละคือสายทางที่จะนำเราให้หลุดพ้นจากทุกข์ ส่วนความชั่วมีแต่ลากลงดึงลง ไม่มีอะไรดิบดี
    ให้พากันอุตส่าห์พยายาม คำสอนของพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว เราได้คุ้ยเขี่ยขุดค้นเต็มกำลังความสามารถของเราบนเวทีแห่งจิตตภาวนา คุ้ยเขี่ยขุดค้นตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานมา จิตใจที่ล้มลุกคลุกคลานคุ้ยเขี่ยขุดค้นมาเรื่อยๆ ค่อยตั้งตัวได้ๆเรื่อยๆ ค่อยขยายออกไปๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้-รู้ สิ่งไม่เคยเห็น-เห็น เมื่อกิเลสตัวมืดบอดมันจางไปๆ ใจที่เป็นนักรู้นี้มันก็ทะลุออกไปซิ มันก็ออกรู้ ให้รู้ให้เห็นไปเรื่อยๆ ไม่มีใครมาบอก พอกิเลสตัวปิดบังหุ้มห่อนั้นจางไปๆ เพราะอำนาจแห่งการชำระสะสาง ใจก็ค่อยสว่างออกๆ มันก็เห็นล่ะซิ
    แต่ก่อนมันไม่เห็น เหมือนคนตาบอด เวลามันรู้มันเห็นแล้ว ทั้งธรรมภายในก็รู้ก็เห็นขึ้นเป็นลำดับ สภาวธรรมทั้งหลายที่ควรแก่ความรู้นี้ที่จะรู้ได้เห็นได้มันก็กระจายออกไปๆ กระจายออกไปที่ไหนยอมรับพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเห็นหมดแล้วนี่ ที่สอนมาแล้วจึงเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ทีนี้เวลาเปิดออกๆ มันก็ชัดเข้าไป เห็นออกไปๆ กิเลสภายในจิตใจก็เปิดออกๆ ถอนออก ทางนี้ก็ยิ่งเบาลงไปๆ ความสว่างไสวก็ยิ่งออกเรื่อยๆ กำลังของความรู้ความเห็นออกเรื่อยๆ จนกระทั่งออกหมดโดยสิ้นเชิง พอกิเลสออกหมดโดยสิ้นเชิง ปิดไว้ได้อย่างไรความรู้นี้ นี่แหละค้นมาจากภาคปฏิบัติ บนเวทีแห่งจิตตภาวนา เต็มกำลังนิสัยวาสนาของตนๆ
    ไม่ว่ารายใดก็ตาม ท่านพิจารณาของท่านอย่างนั้น ท่านก็รู้ตามนิสัยวาสนาของท่าน เราก็ปฏิบัติเต็มกำลังของเรา รู้ตามนิสัยวาสนาของเรา มากน้อยเพียงไรก็มาสอนให้บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายได้ทราบ เพราะสอนด้วยความแน่ใจ จากการขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสเพื่อเบิกธรรมขึ้นมาให้ได้รู้ได้เห็นตามความสัตย์ความจริง มันก็ขึ้นมาๆ อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วสดๆ ร้อนๆ อย่าไปเอาอดีตอนาคตอะไรเข้ามาทับไม่ได้นะ นี่กิเลสมันเอามาเร็ว มันทับ อำนาจวาสนาน้อยไม่มีบุญมีกุศล ไปทำความดีอะไรไม่ได้ แต่ทำความชั่วเหมาหมด นี่กิเลสเห็นไหมล่ะ เรานิสัยวาสนาน้อยไม่ได้หรอก บุญน้อยวาสนาน้อย เลยปล่อยให้คนอื่นทำเสีย แล้วการทำความชั่วช้าลามกมันได้วาสนามาจากไหนมันถึงทำได้ตลอดเวลา ไม่คิดนั่นซิ นี่ละมันสั่งสมความชั่วด้วยอำนาจแห่งความหลงตามกิเลส กิเลสมันไม่ได้มืดบอด มันทำเราให้มืดบอดต่างหาก เมื่อได้พยายามปฏิบัติอย่างนั้นแล้วมันรู้ขึ้นมา
    นี่แหละธรรมพระพุทธเจ้าจึงสดๆ ร้อนๆ ตลอด ทั้งบาปทั้งบุญนรกสวรรค์ เปรต สัตว์ประเภทต่างๆ มีเกลื่อนโลกธาตุ ขอให้มีญาณหยั่งทราบเถอะ ปิดไม่อยู่ พระพุทธเจ้าทรงรู้แล้วจากพระญาณหยั่งทราบ แล้วมาสอนโลกด้วยพระญาณหยั่งทราบนี้ แล้วจะโกหกโลกไปได้อย่างไร เพราะธรรมนี้ไม่ใช่ธรรมโกหกโลก ธรรมรื้อขนสัตว์ออกจากโลก ให้พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง แต่กิเลสมันลากลงๆ หลอกลวงต้มตุ๋นไม่มีใครเกินกิเลส เอะอะมันต้มแล้ว มันต้มยำเราแล้ว เราไม่รู้นะ เวลาสติปัญญาทันมันนั่นแหละ ถึงรู้ว่ากิเลสเร็วขนาดไหนๆ สติปัญญาทันมันๆ แย็บขาดสะบั้นๆ ไปเลย นั่น เป็นอย่างนั้น
    ธรรมะพระพุทธเจ้านี่สดๆ ร้อนๆ ตลอด เรื่องบาปเรื่องบุญเรื่องนรกสวรรค์ พวกเปรต สภาวธรรมทั้งหลายสดๆ ร้อนๆ อยู่ตลอดเวลา ทรงสอนด้วยความรู้ความเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง นำมาประกาศธรรมสอนโลก จึงไม่มีธรรมใดที่เป็นข้อบกพร่องขาดเขิน จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ท่านเป็นอย่างนั้น ให้พากันตั้งอกตั้งใจ ใจดวงนี้ไม่ตาย หากถูกปิดบังหุ้มห่ออยู่อย่างนี้ หมุนไปเวียนมา ตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ แทนที่จะฉิบหายไม่ฉิบหาย ทุกข์มากน้อยเพียงไรยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่ยอมฉิบหาย คือใจดวงนี้ บทเวลาตื่นตัวขึ้นมาได้แล้วจึงฟาดให้ถึงที่สุด คือพระนิพพานก็เป็นธรรมธาตุไปเสีย สูญหายที่ไหน
    นั่นแหละที่สุดของจิตดวงนี้ ถึงธรรมธาตุแล้วสุด เป็นธรรมธาตุเลิศเลอเลยจากสมมุติไปหมด เราให้ชื่ออีกอันหนึ่งว่าธรรมธาตุ ธรรมชาตินั้นจริงๆ แล้วท่านไม่เรียกท่านนะ หากมีชื่อไปตั้งให้อีกแหละ ธรรมชาตินั้นท่านไม่ตั้ง นั่นละจิตดวงนี้ เข้าถึงนั้นแหละ ไม่มีคำว่าสูญ นักภาวนารู้ชัดเจน เรื่องวิถีของจิตเป็นอย่างไร ตั้งแต่หยาบเข้ามาละเอียดๆ ละเอียดเข้าไปเท่าไรยิ่งเห็นชัด เห็นจิตดวงนี้ชัดเข้าๆ จนกระทั่งบริสุทธิ์เต็มเหนี่ยว ชัดเลย ชัดร้อยเปอร์เซ็นต์ล้านเปอร์เซ็นต์ สูญไปที่ไหน ไม่มี ไม่ว่าจิตดวงใดก็ตามแบบเดียวกันหมด ไม่มีคำว่าสูญ ที่ล้มลุกคลุกคลานก็เพราะกิเลส มันเตะเอาเหมือนฟุตบอลจะว่าอย่างไร โลกนี้มันได้รับความความลำบากลำบน
    ขอให้พากันปฏิบัติตัวสร้างตัวให้เป็นคนดี อะไรดีก็ตาม สู้สร้างตัวเราให้เป็นคนดีไม่ได้นะ อันนี้ดีแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะค่อยดีไปตาม ถ้าอันนี้เลวเสียอย่างเดียวอะไรก็เลวไปตามๆ กันหมด เพราะฉะนั้นจึงต้องปรับปรุงตัวเองซึ่งเป็นเจ้าของสมบัติทั้งมวล คือใจนี้ให้ดี กิริยาอาการทุกสิ่งทุกอย่างแสดงออกจะรู้จักประมาณ รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่มีลืมเนื้อลืมตัว มีมากมีน้อยก็ยอมรับว่ามี แต่ไม่ลืมเนื้อลืมตัวไปตามนั้น แล้วสร้างความชั่วให้ตัว ไม่มี คนมีธรรมเป็นอย่างนั้น ให้พากันจดจำให้ดี
    วันพรุ่งนี้ก็จะกลับไปแล้ว วันนี้หมุนทั้งวันเลย ตั้งแต่ฉันเสร็จแล้วก็ไปพัทยา กลับมาก็บึ่งเข้าหาเมรุเลย ออกจากนั้นก็ได้มานี้ ได้พักชั่วคราวเท่านั้นเอง วันพรุ่งนี้ก็จะกลับแล้ว ถึงกาลเวลาก็ต้องได้กลับ คิดถึงบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายนี้คิดถึง แต่มันกว้างแสนกว้างซิโลกอันนี้ มันก็ต้องทำให้คิดถึงทุกแห่งทุกหน แบ่งทางโน้นบ้างแบ่งมาทางนี้บ้าง เข้าใจไหม แบ่งทางโน้นทางนี้บ้าง แม้ตั้งแต่ต้มยำหมายังต้องได้แบ่งให้หมด เข้าใจไหม ทางอุดรฯ เท่านั้นเองเขาไม่มีวาสนา เขาไม่ได้กินต้มยำหมา ได้กินแต่พวกเรา เข้าใจหรือเปล่า
    นี่พูดถึงเรื่องธรรมเลิศเลอ ธรรมประเสริฐ พุทธศาสนาเท่านั้นจะรื้อขึ้นมาได้ธรรมชาติอันนี้ นอกนั้นไม่มี ปัดเลย ปัดเลยเชียว พุทธศาสนาเป็นศาสนาเอก เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์จึงมาตามแถวตามแนว ไม่ได้มาสุ่มสี่สุ่มห้า โผล่ขึ้นมาเป็นเจ้าของศาสนานั้น โผล่ขึ้นมาเป็นเจ้าของศาสนานี้ โผล่ที่ไหนมาไม่มีหลักมีเกณฑ์ ไม่มีขื่อมีแป โผล่ขึ้นมาเป็นศาสดาเลยทั้งๆ ที่กิเลสเต็มหัวใจ ทีนี้เวลาเป็นศาสดาทั้งๆ ที่กิเลสเต็มหัวใจ สอนมันก็เอากิเลสเต็มหัวใจออกสอนลูกศิษย์ลูกหา ใครปฏิบัติตามนั้นมันก็ดิ้นตายไปตามกันในทางที่ผิดที่พลาด เพราะอำนาจของกิเลสที่ได้รับการเชื่อฟังแล้วปฏิบัติไป มันก็เป็นกิเลสไปเรื่อยๆ
    ส่วนพระพุทธเจ้าไม่มี สอนให้สั่งสมกิเลสไม่มี สอนที่ตรงไหนแก้กิเลสทั้งนั้นๆ เลย นี่ละศาสดาองค์เอก ท่านมีพระญาณหยั่งทราบ นี่เห็นไหมล่ะ หลักเกณฑ์ของท่านมี ท่านมีหลักมีเกณฑ์ ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าโผล่ขึ้นมาเป็นศาสดาของโลก เป็นครูสอนโลก เป็นศาสนาของโลกไปเลย ไม่มีอย่างนั้น พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มาตามแถวตามแนว ไม่คลาดไม่เคลื่อน เพราะทรงรู้แจ้งเห็นจริงเหมือนกันหมด ทรงพิจารณา เช่น อย่างท่านทรงเล็งญาณดูอดีตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านทรงดำเนินยังไงๆ ท่านเล็งดู อนาคตก็ดู อดีตก็ดู พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ท่านดำเนินมาอย่างนี้ และไปตามแถวตามแนวเดียวกัน ไม่ผิด
    จะว่าอายุมากอายุน้อย ท่านก็ทรงทราบไว้ก่อนแล้ว องค์ไหนอายุมากองค์ไหนอายุน้อยก็รู้ แต่เรื่องธรรมเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบเหมือนกันหมดเลย แบบบาปบุญนรกสวรรค์เหล่านี้เหมือนกันหมด รู้แจ้งแทงทะลุเหมือนกันหมด สอนจึงถูกต้องเหมือนกันหมด ท่านไม่ได้สอนสุ่มสี่สุ่มห้า จึงเป็นศาสนาที่ตายใจได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีเคลือบแคลงสงสัย ยิ่งเวลาเราปฏิบัติยิ่งชัดเจนนะ คิดดูซิกิเลสละเอียดขนาดไหน สามโลกนี้ใครได้บอกว่ากิเลสเป็นภัย มันอยู่ที่ไหนกิเลส ไม่มีใครบอก ไม่มีใครรู้ อะไรก็กิเลสนี้มาเป็นเราเสียหมด ความโลภก็เป็นเรา ความโกรธเป็นเรา ราคะตัณหาเป็นเรา ความทะเยอทะยานอยากไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เป็นเรา เป็นเราทั้งหมด นี้คือกิเลสมาเป็นเรา
    ไม่มีใครรู้กิเลสนะ พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาแยกแยะหมด รู้กิเลสตั้งแต่ส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียดฟาดขาดทะลุไปหมด นี้คือกิเลส นี้คือมหาภัยต่อสัตว์โลก ทำสัตว์โลกให้ได้รับความทุกข์ความทรมานก็คือกิเลสตัวนี้ ทำสัตว์โลกให้หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไม่หยุดไม่ถอย ตายเรียกว่า อนมตคฺโค ไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายของทางแห่งวัฏฏะ หมุนกันอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ก็คือกิเลสพาเป็นพาไป ลากไปถูไป กิเลสเป็นอย่างนั้น ไม่มีแบบมีฉบับ ส่วนพระพุทธเจ้าท่านมีแบบมีฉบับ ทีนี้เวลาเราปฏิบัติไปมันวิ่งถึงกันนะ
    ภาคปฏิบัติภายในจิตใจมันจะวิ่งถึงกันๆ เพราะใจนี้เป็นจุดศูนย์กลางวิ่งถึงกันได้ตลอดทั่วถึง ถึงพระพุทธเจ้า ทั่วถึงไปหมดทุกองค์ว่าอย่างนั้นก็ได้ เวลานี้ได้จ้าขึ้นแล้วมันถึงกันหมดทุกองค์ๆ ว่าพระพุทธเจ้าไม่มีว่าได้อย่างไร ก็ตัวนี้เป็นอย่างไรเดี๋ยวนี้ นั่นแหละ ตัวนี้ออกยันเลย เป็นอย่างไรตัวนี้ แล้วตัวนี้กับพระพุทธเจ้าทั้งหลายมันเข้ากันหมดแล้ว เราจะปฏิเสธได้อย่างไรว่าพระพุทธเจ้าไม่มี และธรรมไม่มี มันจ้าอยู่ในหัวใจทุกสิ่งทุกอย่างไม่บกพร่อง นี่ละเข้าถึงอันนี้แล้วมันถึงกันหมดเลย พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ไม่สงสัยเลย ไม่มีที่จะสงสัย พอจ้าขึ้นมาเท่านั้นยอมรับหมดเลย นั่นละท่านเห็นกัน
    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต คือเห็นธรรมแล้วจะเห็นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เลยทีเดียว นี่ละธรรมแท้ พระพุทธเจ้าแท้ ศาสดาแท้ คือจิตที่บริสุทธิ์ พุทธะเต็มดวงขึ้นมานี้ ส่วนพระสรีระอันนั้นต่างกัน องค์นั้นมีรูปร่างอย่างนั้นรูปร่างอย่างนี้ องค์นั้นไปนิพพานที่นั่นนิพพานที่นี่ คือสังขารร่างกายหมดสภาพที่ไหนก็ตายที่นั่น จะเผาจะฝังก็เผาฝังกันที่นั่น แต่ธรรมชาติอันนี้ นี่ละเป็นพุทธะแท้ ไม่ตาย เป็นธรรมธาตุเรียบร้อยแล้ว ท่านมีแถวมีแนวมาอย่างนี้ การปฏิบัติธรรมภายในจิตใจนี้พิสดารมากทีเดียว เรียนเราก็ได้เรียน แต่เวลามาเทียบกับทางภาคปฏิบัตินี้เข้ากันไม่ได้เลย ความกว้างความลึกซึ้งของทางภาคปฏิบัติกับภาคปริยัติที่เราเรียนมา เข้ากันไม่ได้ ฟังซิน่ะ
    เราก็เรียนมาแล้ว ยกขึ้นเสียหน่อยก็ได้ นี่อีตาบัว มหาบัว ก็เรียนมาแล้ว แต่เวลามาภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัตินี้กลืนหมดเลย มันครอบไปหมดจะว่าไง อันนั้นเพียงความจำๆ เราเรียนไปถึงไหนๆ เช่นหนังสือเล่มเดียวกันนี้ ถ้าเราอ่านไม่จบในเล่มนั้น เราก็ไม่รู้หมดนะ อ่านไปถึงไหนมันก็รู้เพียงเท่านั้น จำได้เพียงเท่านั้น แต่ธรรมชาตินี้เหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อไฟจะมีมากขนาดไหน จ่อไฟเข้าไปซิมันจะเผาไหม้ไปหมดเลย นี้สภาวธรรมซึ่งเป็นเหมือนเชื้อไฟก็เหมือนกัน มันจะมีกว้างมีแคบตื้นลึกหนาบางขนาดไหน ตั้งแต่นรกอเวจีถึงพระนิพพานเป็นสภาวธรรมด้วยกันทั้งนั้น ธรรมภายในใจนี้มันจะซ่านไปหมดรู้ไปหมดๆ เท่ากับว่าเผาไหม้ไปหมด มันรู้ไปหมด กว้างขนาดไหน ลึกตื้นขนาดไหน ฟังเอาซิน่ะ นี่ของสำคัญ
    ให้ได้ผ่านลองดูซิทางด้านจิตตภาวนา ถ้าลงได้เป็นเต็มหัวใจนี้แล้วพูดกับใครไม่ได้ละว่างั้น เดี๋ยวเขาจะหาว่าบ้า เอาละไม่อยากเป็นบ้า หยุดละ พอ เทศน์ไปเดี๋ยวเขาจะว่าบ้า มันเหนื่อย เข้าใจไหมล่ะ
    วันนี้ดูไม่ได้เทศน์ที่ไหนแล้วนะ ก็มีวันนี้แหละ คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่เทศน์มากที่สุดกลับไม่มาก แต่การวุ่นๆ ที่สุด ไม่ได้เทศน์ก็วุ่นตลอด ตั้งแต่ฉันเสร็จแล้วไปนี้จนกระทั่งกลับมา เมื่อเช้านี้ก็เป็นพวกทีวีเขาเทศน์แทน แล้วตอนไปนี้ก็ไม่เทศน์ ที่ไปพัทยาก็ไม่เทศน์ เรื่อยมาจนกระทั่งถึงมางานศพ ก็พูดคำสองคำ เรียกว่าไม่เทศน์ก็ได้ พึ่งมาเทศน์ที่นี่ วันนี้มีกัณฑ์หนึ่งแล้วนะ

    คัดลอกมาจาก http://www.luangta.com
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
    เป็นศาสดาด้วยการภาวนา

    โยม คนต่อไปครับ กราบเรียนถามหลวงตาที่เคารพอย่างสูงยิ่ง ครอบครัวของหลานเคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทั้งครอบครัวเจ้าค่ะ และได้มีโอกาสไปกราบหลวงตาในหลายๆ ครั้งเจ้าค่ะ ทั้งคุณพ่อคุณแม่ พี่ๆ และหลาน น้องๆ ในระยะหลังนี้ เพื่อนของคุณพ่อมักจะขายพระเครื่องให้คุณพ่อในราคาที่ว่าจะดีมากในอนาคต หลานได้มีโอกาสทราบว่าคุณพ่อมีการซื้อพระเครื่องเข้ามาที่บ้านเป็นระยะๆ ด้วยราคาที่ถือว่าสูงพอสมควร สำหรับตัวหลานเองมีความคิดว่า การซื้อขายพระเครื่องเพื่อหวังผลที่นอกไปจากเพื่อการปกป้องคุ้มครอง หรือผลประโยชน์ทางด้านจิตใจของเจ้าของนั้น เป็นเรื่องที่ให้โทษเจ้าค่ะ เพราะเป็นเรื่องรูปธรรม และเป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่ง ซึ่งบางคนก็เก็บสะสมพระเครื่องไว้มากๆ หลานอยากกราบเรียนถามหลวงตาให้ช่วยให้โอวาทเกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายพระเครื่อง ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าการกระทำเช่นนี้จะมีโทษมากน้อยเพียงใดเจ้าค่ะ
    หลวงตา โทษไม่โทษก็ตามเถอะ อย่าไปหาขายพระเครื่อง พระเครื่องธรรมดาก็เป็นพระพุทธเจ้า เอาพระพุทธเจ้ามาเป็นสินค้าขายเกลื่อนเวลานี้เต็มไปหมด พวกชาวพุทธขายพ่อตัวเอง พระพุทธเจ้ามีเยอะ แล้วมีหลายรายนะที่มาถวายพระพุทธรูปให้เรา มาถวายแล้วเราก็ เอ้า รับให้แล้วเอาคืนไปกราบเสียไปเท่านั้นละ เราไม่เอา เพียงแค่นี้ก่อนลึกกว่านั้นยังไม่พูด มันไม่สมควรจะรับได้เอาแค่นี้ก่อน เอ้า รับให้แล้วนะเรียบร้อยแล้วหลวงตารับให้แล้ว เอ้า เอาคืนไปกราบนะ ความจริงก็คือเราไม่เอา จะส่งเสริมคนให้เป็นบ้าขายพระพุทธรูป เอาพระพุทธรูปเป็นปลาเน่าไปขายเกลื่อน คนนั้นก็ว่าดิบว่าดี มันก็ดีแหละดีแบบนี้น่ะ ดีแบบเลิศกว่านี้เป็นยังไงมันไม่มีมันไม่รู้เข้าใจไหม จำเป็นอะไรจะต้องเอาพระพุทธเจ้ามาขาย
    ทีนี้เวลาทำขึ้นไปเมื่อขายได้มีราคาดีอย่างนี้ มันก็มีกำไรใช่ไหม ก็มีกำลังใจสร้างพระพุทธรูปขึ้นขายเกลื่อน เดินไปตามถนนหนทางให้ระวังนะ เดี๋ยวไปโดนพระพุทธรูปเข้านะ เขามาขายเกลื่อนอยู่นั้น สินค้าใหญ่เข้าใจไหม พวกนี้เป็นอย่างนั้นนะ หากิน อาศัยธรรมนี้เป็นเครื่องหากิน เวลานี้เกลื่อนพระพุทธเจ้าเป็นสินค้าอันใหญ่หลวง ศาสนานี้เป็นสินค้าอันใหญ่หลวง ขายเกลื่อนกันไปหมด อะไรที่จะพอเอาไปขายได้เป็นประโยชน์ว่าอย่างนั้นเลยตามความรู้สึกของเขา เกลื่อนไปหมดด้วยสิ่งเหล่านี้ แต่ที่จะเนรเทศกิเลส ขายกิเลสออกจากใจให้มีความเบาบางภายในตัวเองมีความสุขบ้าง มันไม่สนใจกันนะ พระพุทธเจ้าสอนให้ชำระสิ่งเหล่านี้ที่มันหนัก
    แม้ที่สุดไปเอาพระพุทธเจ้ามาขายกินอย่างนี้มันก็ยิ่งไปใหญ่แล้วนะ ถ้าพูดไปมันก็กระเทือน มันมีส่วนได้นิดหนึ่งส่วนเสียมาก นั่น ไม่พูดเสียดีกว่า อย่างที่เขาเอาพระพุทธรูปมาให้เราไม่ทราบว่ากี่ราย เราทำอย่างนี้เรื่อย ๆ ไป มารับให้แล้ว เอ้า เอากลับคืนรับให้เรียบร้อยแล้วนะ คือเราไม่เอา มันจะเป็นการส่งเสริมพวกนี้ บางรายถ้าเราจะแย็บออกบ้างก็ นี่สินค้าใหญ่คือพระพุทธรูปนี่เห็นไหม พากันไปซื้อให้หมดบ้านหมดเมืองนะ เอามาขายเกลื่อน อย่าสนใจกราบพระพุทธเจ้า ให้หาพระพุทธเจ้ามาขายกันกินอย่างนี้ แล้วกราบลมกราบแล้งไปอย่างนั้นนะ ว่าอย่างนี้ละเรา มันไม่รู้ภายใน เอ้า มีอะไรอีกว่ามา

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2012
  5. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +170
    สรุปว่าคุณยังไงกันแน่. ไม่ยอมยุติเรื่องพระพุธรูปอีกหรือ

    คนสร้างกับคนทำลาย. มันต่างกัน.

    จะว่าไป หากไม่มีคุณ. ผมก็คงจะไม่ได้บุญบารมี ในการช่วยต่อต้านผู้ทำลาย
    มาดูกันว่าฝ่ายธรรมะกับอธรรม. อันไหนมันจะแรงกว่ากัน
     
  6. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    อย่า ตี ความ ตาม ที่ เห็น

    สิ่ง ที่ เห็น อาจ ไม่ ใช่ ของ จริง

    หลวง ตา ก่ บอก ไว้ แล้ว สิ่ง สำคัญ คือ ใจ

    รูป ที่ ปรากฎ ที่ เรา เห็น ไม่ ใช่ ของ จริง แท้

    ดังนั้น ก่ อย่า ไป ยึด ว่า มัน จริง ... ทุก คน ก่ รู้ ใน ธรรม อัน นี้

    จะ โมโห โกธา ทำไม เพราะ ไม่ รู้ ใจ ผู้ ตบ แก้ม พระ พุทธรูป

    เขา ส่ง ใจ ถึง ใจ กับ องค์พุทธะ หรือ ไม่

    ผู้ ที่ ไหว้ พระพุทธรูป เขา จะ น้อม ถึง ใจ ก่อน โดย กล่าว นะโม

    จึง จะ ไหว้ คือ การ ส่ง ใจ ถึง ใจ องค์พุทธะ อยู่ เบื้อง หน้า จึง ไหว้

    ....ผู้ เป็น ครู แห่ง ตน
     
  7. nun-rayong

    nun-rayong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +1,312
    พระอรหันต์มีหลายระดับ

    พระอรหันต์บางองค์ยังเถียงกัน มีความเห็นต่างกันบางองค์ชอบสร้างวัด สร้างพระพุทธรูป เพื่อหวังให้ผู้ทำบุญ ได้บุญในระดับสวรรค์ บางองค์ไม่ชอบสร้างชอบความสงบ เราต้องไม่ยึดเฉพาะองค์ที่เรานับถือ เอามาทะเลาะกับองค์ที่เขานับถือ พระอรหันต์สามารถโต้เถียงมีความเห็นไม่ตรงกันสารพัดเรื่อง แต่เรืองที่ท่านไม่โต้เถียงกันคือ เรื่องขันธ์5 ความไม่เทียง ความทุกข์
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระอรหันต์บรรลุธรรม เสมอกันด้วยวิมุตติครับ
     
  9. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    ไม่ทราบคุณได้อ่านสิ่งที่คุณโพสบ้างหรือไม่ครับ?
    หลวงตาบอกชัด ๆ ว่าพระเครื่องคือพระพุทธเจ้า
    และเท่าที่ผมอ่านดู...ผมว่าคำสอนของหลวงตาท่านไม่ได้สนับสนุนความคิดของคุณสักนิด
    ระวังนะครับ...ความพูดเมื่อพูดหรือเขียนออกมาแล้วมันเป็นนายของเรา


    หลวงตาท่านสั่งสอนพวกคนที่เห็นแก่ตัวต่างหากครับ
    พวกให้บูชาพระบางคนเป็นต้น เขาไม่ได้เคารพในรูปหรือสิ่งที่เขากำลังให้บูชาอยู่เลย
    สักแต่ว่าได้เงิน หรือกำไร โดยไม่เห็นแก่คนอื่น ปลอมพระบ้าง สร้างขึ้นมาแล้วหลอกลวงว่ามีพุทธานุภาพอย่างนี้ ๆ บ้าง
    เอาพระเครื่องไปทำให้เก่าด้วยวิธีพิสดารบ้าง

    ผมว่าคุณเป็นคนตรงไปหน่อยนะครับ
    อย่าตีความตามตัวหนังสือสิครับ ถ้าท่านไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริง ๆ
    ที่คุณเอามาโพสสนับสนุนความคิดของคุณฝ่ายเดียวก็เท่ากับดึงฟ้าสูงลงมาต่ำนะครับ


    ผมขอโพสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
    เพราะชื่อว่าผู้ที่มืดบอด อย่างไรก็ย่อมมองไม่เห็นทาง
    หลายท่านเป็นห่วงคุณ เตือนด้วยความหวังดี คุณไม่ลองรับไปพิจารณาบ้างล่ะครับ?


    อีกอย่างนะ ผมว่า คุณลองหาเรื่องอื่นมาลงบ้างจะดีไหม?
    หรือเอาเวลาไปศึกษาธรรมในข้ออื่น ๆ พระธรรมของพระพุทธเจ้ามีตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
    ถ้าว่างมากก็ลองศึกษาดูครับ ในเมื่อคุณเองก็นับถือศาสนาพุทธ
    จุดมุ่งหมายสูงสุดที่พระองค์สั่งสอนพวกเราคือหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน
    หาทางหลุดพ้นดีกว่ามาลงเรื่องขวางสังคมนะครับ


    ด้วยความเคารพครับ...
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
    เป็นศาสดาด้วยการภาวนา

    โยม คนต่อไปครับ กราบเรียนถามหลวงตาที่เคารพอย่างสูงยิ่ง ครอบครัวของหลานเคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทั้งครอบครัวเจ้าค่ะ และได้มีโอกาสไปกราบหลวงตาในหลายๆ ครั้งเจ้าค่ะ ทั้งคุณพ่อคุณแม่ พี่ๆ และหลาน น้องๆ ในระยะหลังนี้ เพื่อนของคุณพ่อมักจะขายพระเครื่องให้คุณพ่อในราคาที่ว่าจะดีมากในอนาคต หลานได้มีโอกาสทราบว่าคุณพ่อมีการซื้อพระเครื่องเข้ามาที่บ้านเป็นระยะๆ ด้วยราคาที่ถือว่าสูงพอสมควร สำหรับตัวหลานเองมีความคิดว่า การซื้อขายพระเครื่องเพื่อหวังผลที่นอกไปจากเพื่อการปกป้องคุ้มครอง หรือผลประโยชน์ทางด้านจิตใจของเจ้าของนั้น เป็นเรื่องที่ให้โทษเจ้าค่ะ เพราะเป็นเรื่องรูปธรรม และเป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่ง ซึ่งบางคนก็เก็บสะสมพระเครื่องไว้มากๆ หลานอยากกราบเรียนถามหลวงตาให้ช่วยให้โอวาทเกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายพระเครื่อง ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าการกระทำเช่นนี้จะมีโทษมากน้อยเพียงใดเจ้าค่ะ
    หลวงตา โทษไม่โทษก็ตามเถอะ อย่าไปหาขายพระเครื่อง พระเครื่องธรรมดาก็เป็นพระพุทธเจ้า เอาพระพุทธเจ้ามาเป็นสินค้าขายเกลื่อนเวลานี้เต็มไปหมด พวกชาวพุทธขายพ่อตัวเอง พระพุทธเจ้ามีเยอะ แล้วมีหลายรายนะที่มาถวายพระพุทธรูปให้เรา มาถวายแล้วเราก็ เอ้า รับให้แล้วเอาคืนไปกราบเสียไปเท่านั้นละ เราไม่เอา เพียงแค่นี้ก่อนลึกกว่านั้นยังไม่พูด มันไม่สมควรจะรับได้เอาแค่นี้ก่อน เอ้า รับให้แล้วนะเรียบร้อยแล้วหลวงตารับให้แล้ว เอ้า เอาคืนไปกราบนะ ความจริงก็คือเราไม่เอา จะส่งเสริมคนให้เป็นบ้าขายพระพุทธรูป เอาพระพุทธรูปเป็นปลาเน่าไปขายเกลื่อน คนนั้นก็ว่าดิบว่าดี มันก็ดีแหละดีแบบนี้น่ะ ดีแบบเลิศกว่านี้เป็นยังไงมันไม่มีมันไม่รู้เข้าใจไหม จำเป็นอะไรจะต้องเอาพระพุทธเจ้ามาขาย
    ทีนี้เวลาทำขึ้นไปเมื่อขายได้มีราคาดีอย่างนี้ มันก็มีกำไรใช่ไหม ก็มีกำลังใจสร้างพระพุทธรูปขึ้นขายเกลื่อน เดินไปตามถนนหนทางให้ระวังนะ เดี๋ยวไปโดนพระพุทธรูปเข้านะ เขามาขายเกลื่อนอยู่นั้น สินค้าใหญ่เข้าใจไหม พวกนี้เป็นอย่างนั้นนะ หากิน อาศัยธรรมนี้เป็นเครื่องหากิน เวลานี้เกลื่อนพระพุทธเจ้าเป็นสินค้าอันใหญ่หลวง ศาสนานี้เป็นสินค้าอันใหญ่หลวง ขายเกลื่อนกันไปหมด อะไรที่จะพอเอาไปขายได้เป็นประโยชน์ว่าอย่างนั้นเลยตามความรู้สึกของเขา เกลื่อนไปหมดด้วยสิ่งเหล่านี้ แต่ที่จะเนรเทศกิเลส ขายกิเลสออกจากใจให้มีความเบาบางภายในตัวเองมีความสุขบ้าง มันไม่สนใจกันนะ พระพุทธเจ้าสอนให้ชำระสิ่งเหล่านี้ที่มันหนัก
    แม้ที่สุดไปเอาพระพุทธเจ้ามาขายกินอย่างนี้มันก็ยิ่งไปใหญ่แล้วนะ ถ้าพูดไปมันก็กระเทือน มันมีส่วนได้นิดหนึ่งส่วนเสียมาก นั่น ไม่พูดเสียดีกว่า อย่างที่เขาเอาพระพุทธรูปมาให้เราไม่ทราบว่ากี่ราย เราทำอย่างนี้เรื่อย ๆ ไป มารับให้แล้ว เอ้า เอากลับคืนรับให้เรียบร้อยแล้วนะ คือเราไม่เอา มันจะเป็นการส่งเสริมพวกนี้ บางรายถ้าเราจะแย็บออกบ้างก็ นี่สินค้าใหญ่คือพระพุทธรูปนี่เห็นไหม พากันไปซื้อให้หมดบ้านหมดเมืองนะ เอามาขายเกลื่อน อย่าสนใจกราบพระพุทธเจ้า ให้หาพระพุทธเจ้ามาขายกันกินอย่างนี้ แล้วกราบลมกราบแล้งไปอย่างนั้นนะ ว่าอย่างนี้ละเรา มันไม่รู้ภายใน เอ้า มีอะไรอีกว่ามา

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -

    ----
    พิจารณากันเองครับ
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๗
    พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น
    เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น
    ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
    ของเรา. เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
    จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง...
    วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
    เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา.
    นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อม
    คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

    ----
    พระศาสนาสอนเรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้งมงาย พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เชื่อพระองค์ แต่ให้นำธรรมไปปฏิบัติ เห็นจริงตามธรรมด้วยตัวเอง

    พระพุทธเจ้าสอนว่า อย่ายึดมั่นถือมั่นสิ่งใด เพราะมันเป็นทุกข์ ไม่ยึดมั่นแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ พิจารณากันนะครับ แม้แต่วิญญาณพระพุทธเจ้าสอนว่า วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ รูปที่ยึดกันอยู่ ก็เป็นทุกข์ เมื่อยึดมั่นสิ่งใดอยู่ มันก็เป็นอุปาทาน สร้างภพ(สถานที่เกิด) สร้างชาติ(การเกิด)ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อมีการเกิด ย่อมตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๔ หน้าที่ ๑/๓๐๔
    [๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็นอนุโลมและปฏิโลม
    ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:-
    ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
    เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
    เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
    เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
    เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
    เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
    เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
    เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
    เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
    เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
    เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
    ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
    อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ
    เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
    เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
    เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
    เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
    เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
    เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
    เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
    เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
    เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
    เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
    เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.

    ---
    พิจารณาดูนะครับ พระพุทธเจ้าสอนให้ดับทุกข์ตั้งแต่อวิชชา แต่ท่านทั้งหลายปล่อยจิตหลงไปจนถึงอุปาทาน(ความยึดมั่น คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน) ท่านได้สร้างภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ฯลฯ ขึ้นมาแล้ว
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อุปาทาน ๔ อย่าง
    ๑. กามุปาทาน [ถือมั่นกาม]
    ๒. ทิฏฐุปาทาน [ถือมั่นทิฐิ]
    ๓. สีลัพพตุปาทาน [ถือมั่นศีลและพรต]
    ๔. อัตตวาทุปาทาน [ถือมั่นวาทะว่าตน]
     
  14. rnuir

    rnuir เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +218
    เถียงกันไปก็เปล่า เห็นด้วยกันไปก็เปล่า
    ที่สุดแล้วก็แคบแค่ตัวไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่นเลย

    ปกป้องศาสนาแบบหมาเฝ้าวัด อาศัยแค่นอนหลบแดดเย็นๆใต้หลังคาวัด
    ได้ข้าวกินบ้าง ได้ความสุขวูบๆวาบๆ
    พอขโมยเข้ามาก็เห่าด้วยความหวง
    แต่วัดไม่ได้เป็นที่สำหรับหลบแดดหรือขอข้าวกินหรือเฝ้าหวงแหน
    วัดมีหน้าที่ทำให้คนมีดวงตาเห็นธรรม
    คงจะรู้บ้างว่าไปวัดเพื่ออะไร
    หรือนับถือพุทธเพื่ออะไร
     
  15. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    อุรุเวลากำลังหาเพื่อนไปโลกันต์อยู่หรือ เอาพระพุทธรูปไปทำลายที่ วัดสามแยกมากี่องค์แล้วล่ะ พระพุทธรูปไปทำร้ายอะไรเอ็ง ถึงเอาไปทำลาย

    ขอถามเอ็ง 3 ข้อดังนี้
    1.เอ็งกล้าตอบไหมแบบชัดเจนว่าเอ็ง ไม่เคยทำลายพระพุทธรูปเลย
    2.เอ็งไม่เคยคิด ไม่เคยพูด ไม่เคยพิมพ์ เพื่อให้ผู้อื่นทำลายพระพุทธรูปเลย
    3.ธรรมะที่เอ็งยกมา เอ็งไม่มีเจตนาเพื่อทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด เพื่อการทำลายพระพุทธรูปเลย

    แน่จริงเอ็งตอบ มา 3 ข้อ อุรุเวลา
     
  16. bat2010

    bat2010 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    พระท่านสอนให้แยกแยะครับเข้าใจมั้ยคำว่าแยกแยะ
    พระพุทธรูปไม่ใช้สิ่งวิเศษ เมื่อพวกคุณเอาตีค่าเอามาค่าขายหาผลประโยช์เลยกลายเป็นของวิเศษ
    พระพุทธรูปคือสิ่งรำลึกถึงธรรมของพระพุทธเจ้าให้เราปฎิบัติตามคำสั่งสอน
    มิได้ให้พวกคุณมาค่าขายอวดคุณวิเศษที่ไม่มีจริง ok
     
  17. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    ไม่มีจริง หรือเข้าไม่ถึง
     
  18. *พอส*

    *พอส* Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +98
    เพราะเห็นจึงเชื่อ<!-- google_ad_section_end -->

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "ca-pub-2576485761337625";/* 336x280 */google_ad_slot = "0551074580";google_ad_width = 336;google_ad_height = 280;//--> </SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"> </SCRIPT>
    ถาม : ช่วงนี้มีบางท่านที่ใช้มโนมยิทธิในทางที่ผิด แล้วทำให้มีผลกระทบ ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่คะ ?

    ตอบ : ผู้ที่ได้มโนมยิทธิมักจะนำไปใช้ผิดเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ต้องใช้คำว่า "เพราะเห็นจึงเชื่อ" โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องที่ปรุงแต่งหลอกกัน อาตมามักจะเปรียบเทียบว่า เราเห็นคนเขาวิ่งไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วยเขา แต่จะโดนเขากระทืบตาย เพราะว่าเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่ ก็คือเราเห็นเขาไล่ฆ่ากันมาจริงๆ แต่เรื่องที่เราเห็นนั้นไม่จริง

    บุคคลที่ปฏิบัติแล้วรู้เห็นได้ มักจะโดนทดสอบ คราวนี้คนที่รู้เห็นก็มักจะขาดสติ เพราะเห็นจึงเชื่อ โดยไม่มีการไตร่ตรองก่อน จะว่าไปแล้วก็เรื่องตัวกูของกูเต็มๆ นั่นแหละ เพราะกูเห็น..จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไร ? ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็จะมีจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ที่โดนหลอกแล้วเป๋ออกนอกทางไปเลย

    ยกตัวอย่างหลวงพ่อท่านหนึ่งที่เป็นข่าว ท่านบอกว่า เวลาพรมน้ำมนต์ พวกสัมภเวสีจะเดือดร้อนมาก พรมน้ำมนต์แล้วตัวขาดเป็นท่อนๆ เจ็บปวดเหลือเกิน สงสารเขา อย่าไปทำเลย เรือนชานบ้านช่องก็ไม่ควรมีวัตถุมงคล ผ้ายันต์ หรือพระพุทธรูปไว้ เพราะทำให้ผีเข้าออกไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ท่านเห็นแล้วพูดตามที่เห็น

    โยมมาถามอาตมาว่าควรจะเชื่อดีไหม ? อาตมาเลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าโยมเปิดร้านทอง แล้วโจรมาบอกว่าอย่าเอาตำรวจมาเฝ้าร้านเลย เพราะทำให้ปล้นร้านลำบาก โยมจะเชื่อไหม ?

    ถาม : แต่คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อ

    ตอบ : ก็เพราะอย่างนั้น พอเปรียบเทียบให้ฟังชัดๆ แล้วเขาถึงรู้ว่า การที่เห็นแล้วพูดเลย แสดงว่ายังรู้ไม่จริง เพราะบุคคลที่รู้จริง เขารู้ว่าควรจะพูดแค่ไหน

    ถาม : แล้วสิ่งนั้นกระทบในชีวิตประจำวัน

    ตอบ : กระทบแน่นอน โดยเฉพาะคนที่ขวัญอ่อนหน่อยนี่ไปเลย

    ถาม : เมื่อเราถูกกระทบควรจะวางอย่างไร ?

    ตอบ : ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง อย่าไปหวั่นไหวกับสิ่งอื่น อยู่กับทาน อยู่กับศีล อยู่กับภาวนาของเรา ได้ยินก็ถือแค่ว่าเป็นลมผ่านหูไป พิจารณาด้วยปัญญาแล้ว สิ่งนี้ตรงกับคำสอนของหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ที่เราเชื่อมั่น ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าไม่ตรงกันก็ต้องละเอาไว้ก่อนว่ายังไม่เชื่อ

    สงสัยอีกก็ไปเปิดพระไตรปิฎก แต่อย่าไปเปิดพระไตรปิฎกอย่างหลวงพ่อท่านนั้นนะ เพราะท่านเล่นเถรตรง ก็คือไม่ได้เข้าใจความหมายอย่างแท้จริง เป็นการตีความตามตัวอักษร นั่นก็ทำให้ผิดอีก

    ถาม : เราก็ปล่อยให้เขาทำสิ่งนั้นไป ?

    ตอบ : สรุปก็คืออย่าไปยุ่งกับเขา รักษากำลังใจของเราให้ดีที่สุด ไปยุ่งกับเขาเมื่อไร กำลังใจของเราจะหมอง ถ้าหากว่าตายตอนนั้นเราจะขาดทุนมาก


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕


    ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ - หน้า 4 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
    เหยื่อล่อของวัฏจักร

    น้ำค้างแต่ก่อนกับทุกวันนี้ผิดกันมากนะ น้ำค้างเหมือนห่าฝน พอตี ๔ ตี ๕ จะเหมือนห่าฝนมันตกจากใบไม้ลงดินตุบตับ ๆ ซ่า ๆ ๆ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมี น้ำค้างไม่มีมันแปลกกันตรงนี้ หรือเป็นเพราะแต่ก่อนมีดงมีป่ามันเย็นให้มีน้ำค้างหรือไง นี่ไม่มี กลางคืนเดินจงกรมไม่ได้ตัวแข็งไปเลย เพราะฉะนั้นจึงต้องนั่งมาก ๆ กลางคืนนั่งมาก นอนก็ไม่หลับต้องลุกขึ้นมานั่ง สุดท้ายก็แจ้งสว่างเอาเฉย ๆ นอนไม่หลับเลย

    ได้สงสัยหมูป่านะ เรานั่งภาวนาอยู่แคร่นี้ เขามาหากินตามนี้ กลางคืนนะ หมูป่าเป็นฝูง ๆ มา มันไม่หนาวเหรอพวกนี้ ไอ้เราหนาวจะตาย อยู่ในแคร่ยังหนาวจะตาย เขาหากินสบาย เขามาเป็นฝูงนะเป็นฝูง ๆ มา อย่างนั้นละแต่ก่อนสัตว์ป่าเต็มไปอยู่ไหน เขาหากินสบายไม่ปรากฏว่าหนาวนะ มันหนาวแต่มนุษย์ แสดงว่าจะหนาวมากจริง ๆ นะคือเรายังหนุ่มน้อยอยู่นี่ อาบน้ำได้อาบแต่วัน ตะวันขนาดนี้อาบแล้ว ๆ ถ้าค่ำกว่านั้นอาบไม่ได้มันจะชัก นี่แสดงว่าหนาวมากอยู่ เช้ามาก็เดินจงกรมพอค่ำเข้ามา ๆ นี้มันจะเย็นเข้า ๆ ตัวแข็งละเดินก้าวไม่ออกมันจะชัก เข้าแคร่เข้าไปก็ไปชักอยู่ในแคร่ แต่แปลกมันไม่เข็ดนะมีแปลกอันเดียวนี่ ไม่เคยสนใจ ไม่เข็ดไม่หลาบ

    เวลาเรานั่งภาวนาจิตเข้าข้างในมันไม่หนาว เหมือนไม่ใช่หน้าหนาวหน้าอะไร เพราะจิตไม่ออกมามันอยู่ข้างใน พอเราออกจากที่ภาวนาแล้วจะเริ่มหนาว ๆ เรื่อย นอนก็นอนไม่หลับ แต่สำคัญที่มันไม่มีผ้าห่มเท่านั้นเอง ยังไงก็ตามมันต้องหนาวกว่านี้อยู่โดยดีแหละ เพราะน้ำค้างมันเหมือนห่าฝน ตามเนื้อตัวเหล่านี้แตกหมด ฝ่าเท้าก็เหมือนกัน ตกกระไปหมดทั้งตัว แสดงว่าหนาวมากอยู่ เข้ามาอยู่ในวงหมู่คณะก็มีผ้าห่ม เช่นอย่างอยู่หนองผืออย่างนี้ผ้าห่มมีไม่อดก็ได้ห่ม แต่ยังไงก็ไม่ห่มมากแหละ ดัดอยู่ในตัวนั่นแหละ พอออกไปแล้วตัดออกหมด ผ้าห่มไม่มี มีผ้า ๓ ผืน จีวร สบง ผ้าสังฆาฯ กับผ้าอาบน้ำผืนหนึ่ง กลางคืนก็ซ้อนผ้าสังฆาฯ กับผ้าจีวรใส่กัน ก็ให้เท่านั้นแหละ ตลอดรุ่ง ไปอย่างนั้นจะเอาผ้าห่มไปได้ยังไง ตั้งแต่บริขารเท่านั้นก็พอแล้วกับบาตรลูกหนึ่ง

    แต่ก่อนมีดงร้อยเปอร์เซ็นต์มันไม่เป็นอย่างนี้ ไปไหนมีแต่ดงแต่ป่า คิดดูซิเรานั่งภาวนาหมูมันมาหากินอึกทึก มันมาหากินข้าง ๆ แคร่เรา เราปัดกวาดบริเวณเราอยู่พอดี ๆ มันก็มาหากินข้าง ๆ เป็นป่าทั้งหมดนี่ หมูป่าไม่อด(ไม่อด = มีมาก) พวกเก้งพวกหมูป่าไม่อด กลางวันก็เจอมัน เราเดินจงกรมนี้กลางวันมันก็มา มันมาหากินของมัน แต่ชอบกลมันไม่ค่อยกลัวพระนะ ผ้าเหลืองนี่สำคัญนะมันฝังใจสัตว์มากทีเดียวนะ ผ้าเหลืองนี้สัตว์ไม่ค่อยกลัวแหละ ถ้าเป็นสียักษ์นี้ โห กลัวมาก สีพระมันไม่กลัว ดีไม่ดีรุมมาอยู่ด้วย

    คือสัตว์แต่ละตัว ๆ นี้แน่ใจว่าเคยบวชมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เพราะตายเกิด ๆ มากี่กัปกี่กัลป์อยู่อย่างนี้ ๆ เรื่อยไปนะนี่ ออกจากนี้ก็จะเกิดไปเรื่อยไปข้างหน้า มาข้างหลังฉันใดไปข้างหน้าฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าไม่ตัดตัวเชื้อมันออกเสียก่อนแล้วยังไงต้องเป็นอยู่นี้ตลอด เกิดแล้วตาย ๆ ๆ อยู่อย่างนั้นตลอด

    ดูเข้าไปในอริยสัจถึงชัดเจน นี่ละอริยสัจคือแก่นของศาสนา แก่นของภพของชาติ แก่นของการตัดภพตัดชาติอยู่ในนั้นหมดเลย เข้าไปนั้นแล้วหายสงสัยแหละ มันตัดขาดสะบั้นจริง ๆ นี่ ไม่มีอะไรเป็นเงื่อนต่อกันมันก็รู้ว่าหมดเชื้อที่จะสืบต่อไปข้างหน้า ข้างหลังหมด เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วน ๆ ไม่มีอะไรเข้ามาเจือปน มีอันเดียวเท่านั้น มันก็รู้ได้ชัดละซิว่าหมดแล้วเรื่องความเกิดความตายต่อไปนี้ไม่มีอีกแล้ว

    เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านตั้งแต่วันตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมานี้ บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมา ทุกข์ในใจของท่านจะไม่มีตลอดไปเลยจนกระทั่งวันนิพพาน แล้วท่านไม่นิพพานก็เหมือนกันอีก ทุกข์ก็มีแต่ทุกข์ทางกายซึ่งไม่กระเทือนถึงใจ เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยเจ็บหัวตัวร้อนมันเหมือนกันกับธรรมดาของโลก เพราะอันนี้เป็นสมมุติด้วยกัน ธาตุขันธ์เป็นสมมุติเหมือนกัน มีเจ็บไข้ได้ป่วยหิวกระหายเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าไม่เข้าไปซึมซาบภายในจิตใจเท่านั้น ถ้าธรรมดามันเข้าละ ใจกับอันนี้เป็นอันเดียวกันหมดร่างนี่ ความรู้นั้นกับร่างกายนี้ซ่านไปถึงกันหมด ประสานกันได้สบาย ๆ

    ทีนี้พอจิตบริสุทธิ์แล้วนี้มันไม่เข้าแหละ มันก็มีอยู่ตามธาตุขันธ์เท่านั้นเองไม่เข้า จึงเหมือนกับว่าน้ำตกลงบนใบบัว ท่านว่า น้ำตกลงบนใบบัวตกแล้วมันก็กลิ้งตกไป ตกลงมาปั๊บแล้วกลิ้งตกไป ๆ น้ำก็ไม่ตั้งใจจะซึมใบบัว ใบบัวก็ไม่ตั้งใจจะรับน้ำ ไม่มีใครมีความหมายแหละไม่มีความรู้สึก มันหากเป็นของมันอย่างนั้นเอง จิตที่บริสุทธิ์ก็เป็นอย่างนั้น อะไรเข้ามานี้มันเป็นหลักธรรมชาติของมัน กลิ้งตกไปเหมือนใบบัวไม่ต้องบังคับ ไม่มีการบังคับกัน

    อย่างนั้นซิพระพุทธเจ้าผู้ท่านสิ้นกิเลสแล้วท่านมองดูพวกเราจึงเป็นเหมือนกับสัตว์จริง ๆ ไม่พ้นอะไรกับสัตว์เลย มันต่างกันขนาดนั้นละ คือท่านพ้นไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว จึงมามองดูพวกกอดกองทุกข์อยู่นี่ เต็มโลกเต็มสงสารมีแต่พวกกอดกองทุกข์ทั้งนั้นนะ เต็มโลกสามโลกธาตุนี่มีแต่พวกกอดกองทุกข์ตลอดหมดเลย แล้วผู้ที่พ้นไปแล้วท่านดูถ้าจะพูดแบบโลก ๆ ก็สนุกดู คือดูไม่มีส่วนได้ส่วนเสียจากการดูนั้น ที่จะเข้าซึมซาบถึงจิตของท่านไม่มีแล้ว ท่านไม่มีทุกข์แล้วท่านก็สนุกดู

    เป็นยังไงวิเศษขนาดไหนความบริสุทธิ์ หรือนิพพานวิเศษขนาดไหนดูเทียบเอาอย่างนั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วปึ๋งออกมาเท่านั้นละ หลุดผึงออกไปเลยจากโลกกอดกองทุกข์นี่ ดีดผึงออกไปแล้วก็มองลงมา ถ้าเราจะเทียบว่ามองลงนะ มันผิดกันอย่างนั้นละ

    เหยื่อของวัฏจักรนี้มันพิลึกนะ เหยื่อล่อนี่แหม มันล่อได้หมดเลย ไม่มีรายใดที่จะพ้นจากมันไปได้มันล่อได้หมด ส่วนหยาบก็มีเครื่องล่อ ส่วนกลางมีเครื่องล่อ ส่วนละเอียดมีเครื่องล่อ มีล่อไปตลอดสายเลย

    เพราะฉะนั้นสัตว์ทั้งหลายถึงพ้นไปได้ยาก ติดแต่เครื่องล่อเครื่องลวงของมันนั่นแหละ ติดทางหูทางตาทางจมูกทางลิ้นทางกาย รอบมีแต่เครื่องล่อทั้งนั้น พอมองเห็นปั๊บติดแล้ว ดีก็ติดชั่วก็ติด ดีใจเสียใจมันติด ๆ ๆ ติดตลอด หูก็เหมือนกันพอได้ยินพับติดแล้ว ๆ มีแต่เครื่องล่อของธรรมชาตินี้ เวลาปอกออกจากใจหมดแล้วมันไม่เป็นเครื่องล่อ มันเป็นทางเดินเฉย ๆ ดูก็ดูไปธรรมดา หูฟังไปธรรมดา ไม่มีเครื่องล่อเข้ามาหลอกลวงจิตใจได้ต่างกันตรงนั้น

    แต่ก่อนเป็นเครื่องล่อทั้งหมด คือตาก็ธรรมดาเรานี้แหละ แต่เครื่องล่อมันอยู่ในใจมันรับกันกับข้างนอกทันที ๆ ประสานกัน พอตาเห็นรูปพับประสานแล้ว หูได้ยินเสียงพับประสานแล้ว ๆ มันเป็นทางประสาน ตา หู จมูก ลิ้น กายอย่างนี้เป็นทางประสานให้กิเลสเข้าสู่ใจ ประสาน ๆ ทีนี้พอใจหมดกิเลสแล้วไม่มีอะไรประสาน เพราะข้างในไม่มีออกมามันหมดแล้วไม่มีออกมา ข้างนอกก็จะเข้าไปยังไง ประสานกันได้ยังไง ประสานไม่ได้ สักแต่ว่าได้เห็น สักแต่ว่าได้ยินเท่านั้น

    นี่ละคำสอนของพระพุทธเจ้าเลิศหรือไม่เลิศขนาดนี้แหละ ขนาดที่หลุดพ้นไปเลยเพราะคำสอนพระพุทธเจ้านี่ ตรัสรู้แล้ววิธีการยังไงที่ได้ตรัสรู้เพราะเหตุผลกลไกอะไร ก็นำวิธีการนั้นมาสอนพวกเรา เช่น สร้างความดีนี้เป็นทางเดินที่จะก้าวเข้าสู่ความหลุดพ้น ไม่ว่าความดีประเภทใดรวมตัวเข้ามา ๆ มีพลังเข้ามาเรื่อย ๆ หนุนเข้าเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็พ้นไปได้ ถ้าความชั่วมีแต่กดลง มีมากมีน้อยกดลงทั้งนั้น กดลงให้ต่ำลง ๆ ทุกข์มากต่ำมาก ๆ เรื่อยไป ต่างกันอย่างนั้นนะ

    แต่เครื่องล่อของวัฏจักรนี้มันพิลึกนะ น่าอ่อนใจเหมือนกัน อย่างที่ว่ามันล่อเป็นชั้น ๆ ๆ ส่วนหยาบเครื่องล่อหยาบ ส่วนกลางเครื่องล่อก็ขนาดเดียวกัน ส่วนละเอียดเครื่องล่อละเอียด ละเอียด ๆ จนสุด หมดกิเลสแล้วถึงจะหมดเครื่องล่อเครื่องหลอก ถ้ายังมีอยู่ภายในจิตใจมากน้อยต้องล่อต้องหลอกจนได้แหละ ยิ่งตัวกษัตริย์วัฏจักรจริง ๆ คืออวิชชาจริง ๆ แล้ว นั้นแหละตัวล่อ จอมกษัตริย์ตัวสุดท้ายนะ เครื่องล่ออันสุดท้ายนี่เป็นตัวอัศจรรย์ที่สุดแหละ เห็นไหมพิจารณาซิ มันมีจนสุดขีดของมัน

    พอพ้นจากนั้นไปแล้วมันก็ไม่มีอะไรนี่ ไม่มีอะไรล่อ เป็นอิสระเต็มที่ ทุกอย่างไม่มีสองเข้ามาเทียบ อันเดียว ๆ ไม่มีสองเข้ามาเทียบ ไม่มีคู่แข่งก็ไม่ได้รบกัน ไม่ได้รบกันก็ไม่เป็นทุกข์ละซิ เพราะไม่มีคู่แข่ง ถ้ามีคู่แข่งมากน้อยก็ต้องมีทุกข์มากน้อยอยู่นั้นแหละ เช่นอย่างประกอบความเพียรอย่างนี้ ประกอบความเพียรคือต่อสู้นั่นเองจะเป็นอะไรไป เราเพียรทำคุณงามความดีมีแต่การต่อสู้ความชั่วสิ่งหลอกลวงทั้งหลาย อันหนึ่งจะไม่ให้ทำ ๆ อันหนึ่งจะทำ นั่นละมันรบกันตรงนั้น เครื่องล่อมันอยู่ในนั้นหมด ไม่รู้

    พอเราจะทำอะไรมันหลอกเสียปั๊บหลงไปตามมันเลย ๆ แม้ที่สุดนั่งภาวนามันก็ยังล่อ หมอนไม่ต้องเสกคาถานะกิเลสล่อแล้วตูมเลย ฟังเสียงหมอนแตกระเบิดดังตูม พอจะนั่งภาวนา เอ้า พักเสียหน่อยก่อน แน่ะ เอาแล้วนะเราไม่รู้ไม่ทันมันนี่นะ จึงว่าสลดสังเวชนะถ้าเราพูดถึงเรื่องกิเลส จึงเป็นคู่เดือดคู่แค้นกันจริง ๆ นะ เดือดจริง ๆ แค้นจริง ๆ กับกิเลสนี่ มันเคยฟัดเคยเหวี่ยงกันมาเสียจนเดนตาย โห หนักจริง ๆ นะ

    พูดให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เรื่องกิเลสนี่มันเหนียวมันแน่นมันแก่นตัวฉลาดแหลมคมนี้ไม่มีอะไรเกิน มันถึงได้ครอบโลกธาตุอยู่หมด สามแดนโลกธาตุอยู่ใต้อำนาจของกิเลสนี้ครอบหมดเลย มีพ้นออกไปปุ๊บ ๆ แต่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านหลุดพ้นออกไป ๆ เพราะมันหนาแน่นขนาดนั้นละ แต่ท่านก็สอนอุบายวิธีการยังไงที่จะให้หลุดพ้น สอนพวกเรานี่ นี่ละที่ว่าคำสอน ๆ นั่นแหละคือทางเดินหรือบันไดพาดเอาไว้ให้เราไต่เต้าไปตามนั้น ถ้าไม่มีอันนี้ไม่มีทาง เกิดตาย ๆ อยู่นี้ไม่มีคำว่าอิ่มพอนะ คำว่าเกิดว่าตายนี้มันอิ่มพอแล้วมันจะสุกจะงอมไปเองนี้ไม่มีทาง

    กิเลสไม่มีตัวคร่ำคร่าชราไม่มี มีแต่ตัวแข็งแกร่งตลอด ไม่ว่าประเภทใดของกิเลสแข็งแกร่งด้วยกันหมด ต้องมีสิ่งเข้าไปตัดทอนมัน มันถึงจะอ่อนตัวลงได้ คือความดี นอกจากนั้นไม่มี ในสามแดนโลกธาตุนี่ไม่มีอะไรที่จะตัดทอนกิเลสให้อ่อนกำลังลงได้นอกจากความดีเท่านั้น เพราะฉะนั้นท่านถึงได้สอนทางให้พวกเราได้ดำเนินให้ก้าวเดิน

    ยากลำบากก็แสดงว่ากิเลสนี่หนามันถึงได้ยากขนาดนี้ ซัดกันเข้าไป มันหนาตรงไหนมันยากตรงนั้นแหละ ยากมาก ๆ ขัดมากขวางมาก นั่นแหละกิเลสหนา ซัดเข้าไปตรงนั้นแล้วก็ค่อยจางออกไป ๆ ต่อไปไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้นะ เมื่อมันชินต่อนิสัย เช่นอย่างการทำบุญให้ทานของพวกเรานี่ นี่เราเคยมาแล้วนี่ได้อะไรมามีแต่อยากทาน ไม่อยากกินไม่อยากใช้ การกินการใช้ไม่เกิดประโยชน์ เจ้าของกินอะไรก็ได้อยู่ยังไงก็ได้ ขอให้ได้ทำบุญให้ทาน นี่คือชนะมันแล้วนี่ ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้นะ เป็นในหัวใจ หัวใจใครก็รู้เอง

    ถ้าเราชนะมันได้ตรงไหนแล้วมันเปิดโล่งให้เรา เราก็ไปสบาย ๆ เลย ถ้ายังไม่ชนะตรงไหน มันหนาแน่นตรงไหน ตรงนั้นแหละมันบีบเรา ๆ มากจริง ๆ ให้พากันจำเอานะที่พูดเหล่านี้ มีแต่ทางเดินของกิเลสและทางเดินของธรรมที่ต่อสู้กันแก้กันเพื่อความหลุดพ้นทั้งนั้นแหละ ให้พยายาม ถ้ามันเกิดความขี้เกียจขี้คร้านอยู่ในจุดใด ขึ้นชื่อว่าจะทำความดีแล้วจะมีแหละไม่มากก็น้อยให้รู้ทันที ให้รู้มันทันทีนะไม่งั้นแก้ไม่ตก ถ้าไม่รู้มันแก้กันทันที ต้องแก้กันเรื่อย ๆ ๆ ต่อไปค่อยชินเข้าไป ชำนิชำนาญเข้าไปแล้วคล่องตัว

    มันเป็นเนื้อเป็นหนังเอาเสียหมดตัวของเรานี่กิเลสน่ะ กิเลสมาเป็นเนื้อเป็นหนังของเราทั้งหมดเลย ธรรมจึงแย็บออกมาไม่ได้ถูกมันตีเอาตก ๕ ทวีปนี่ซิสำคัญ เวลามันหนามันหนาจริง ๆ นะจิต กิเลสมันปิดบังไม่ให้มองเห็นจิตเลย มันปิดขนาดนั้นละเวลามันหนา เวลามันจางไป ๆ เพราะธรรมซักฟอก ๆ เรื่อยค่อยจางออก ๆ ก็มองเห็นโน้นเห็นนี้เข้าไป มองเห็นบุญเห็นบาป มองเห็นดีเห็นชั่ว ทีนี้ก็ค่อยมีแก่ใจมองโน้นมองนี้หาทางออกแหละ

    ถ้าจะปล่อยให้มันเป็นไปเฉย ๆ นี่ โอ๋ย อย่าหวังนะตายเกิด ๆ ดังที่พูดเรื่องสัตว์ทั้งหลายตะกี้นี้แหละ พระไปอยู่ที่ไหนพวกนี้เข้ามาห้อมล้อมนะ อยู่ในป่าลึกขนาดไหนก็ตามมันเคยเห็นที่ไหนเห็นพระเห็นเจ้าอยู่ในป่าลึก ๆ เวลาเราไปมันจะเข้ามาไม่กลัวพระไม่กลัวผ้าเหลือง แสดงว่าสัตว์เหล่านี้เคยเกิดเคยตายเคยบวชเป็นพระเป็นอะไรมา เพราะศาสนานี้มีมาตลอดนี่ จะขาดเป็นวรรคเป็นตอนเท่านั้น แต่มีมาตลอด ถึงจะเป็นวรรคเป็นตอนก็มี ๆ ห่างกันบ้างก็มี มีอยู่ตลอด เช่นอย่างพระพุทธเจ้าเรากับ พระอริยเมตไตรย นี่ก็ห่างกันบ้างช่วงนั้น แต่ช่วงต่อไปก็มี ทีนี้ก็ได้บวชละซิ

    มองเห็นพระผ้าเหลืองนี่นอนใจ ตายใจนอนใจ เราเดินจงกรมอยู่หมูมาไม่เห็นสนใจกับเรา ถ้าเป็นกับพวกฆราวาส โถ ได้เมื่อไรมันไม่ให้เห็นเลย ผึงเดียวเท่านั้นละตกกี่ทวีป มันรวดเร็วนะ ถ้ากับพระนี่ไม่นะมันแปลกอยู่ สัตว์ตัวไหน ๆ เหมือนกันนะ แสดงว่าพวกนี้มันเคยกับผ้าเหลืองมาพอแล้ว มันถึงซึ้งเข้าในใจเลยตายใจไม่กลัว

    พวกสัตว์พวกงูนี่เหมือนกัน อย่างอยู่ในวัดนี้แต่ก่อน ทุกวันนี้จับออกเพราะคนมามากต่อมากสับปนกัน ได้ระวังกับแขกกับคนนั่นแหละจึงต้องได้จับงูออก แต่ก่อนไม่ได้จับมันก็เพ่นพ่าน ๆ อยู่ตามนี้ กับเรามันไม่สนใจนี่นะกับพระนะ คิดดูซิโรงน้ำร้อนนี่งูจงอางขนาดนี้...ท่านฉันน้ำร้อนอยู่ในโรงน้ำร้อนนี่มันเลื้อยเข้ามาตรงนั้นนะ องค์ไหนก็นั่งดูอยู่ มาทำไมไอ้ขี้ดื้อ มันก็มาของมันเฉย ไปสบายนะ

    แต่มันไม่สบายเวลาเข้าไปในครัวแหละ ฟังเสียงโยมแม่ร้อง เราอยู่กุฏิ มันเสียงอะไรพิลึกพิลั่นพวกนี้น่ะ ๕ โมงเย็นเสียงลั่นเทียวในครัว มันไปตรงนั้นไม่สบายพวกบ้านั่นยุ่งมัน มันไม่เป็นไรแหละพวกบ้ายุ่งมันต่างหาก พวกโยมแม่ ฟังเสียงลั่น เราอยู่กุฏินี่ได้ยินมันเสียงอะไรผิดปกติ เราก็เลยเดินเข้าไป มันเสียงอะไรเสียงเหมือนหมากัดกัน จะไม่เหมือนหมากัดกันยังไง บักอางมานี่ทั้งตัว บักอางคืองูจงอาง งูจงอางมานี่ทั้งตัวจะไม่ให้ร้องยังไง มันมาไหนล่ะ ก็มานี่ละคนทำงานอยู่นี่มันเข้ามานี่ละ คนแตกฮือ อ๋อ งูตัวนี้ไอ้ขี้ดื้อมันเคยอยู่กับพระมาพอแล้วแหละมันมาเยี่ยมทางนี้ซิ ทางนี้เป็นบ้าต่างหาก ไม่เป็นบ้ายังไงก็งูทั้งตัวใครก็กลัว โยมแม่เถียงลูก มันไปไหนล่ะ แน่ะเข้าไปในป่า ช่างมันเถอะอย่าไปสนใจมันนะ เราก็สอนอีกอย่าไปขว้างไปปาอย่าไปหยอกไปเล่นมัน มันมาก็ช่างมัน มันไม่ทำไมแหละงูตัวนี้น่ะ มันไปได้หมดนั่นแหละ

    จากโน่นจากนี่ตามกุฏิวันหนึ่งเจอไม่รู้กี่ครั้งกับพระนะ องค์นั้นมาก็ไปเจอตรงนั้น องค์นี้ไปก็ไปเจอตรงนั้น เจออยู่ทั้งวัน ๆ มันก็ชินกับพระ พระก็ไม่สนใจกับมัน สมมุติว่ามันอยู่อย่างนี้บางทีก็ผ่านทางหัวไปเสีย บางทีก็ผ่านทางหางไปเสีย มันมาขวางทางเดินไปนี่ เราก็ผ่านไปทางโน้นทางนี้เสีย ไม่หยอกไม่เล่นนะ คือเราสั่งพระไว้หมดห้ามไม่ให้หยอกให้เล่น สัตว์เหล่านี้ไม่ได้ถือการหยอกเล่นเป็นการหยอกเล่นนะ มันจะถือเป็นความจริงทั้งนั้นว่าทำมัน แล้วต่อไปสัตว์เหล่านี้มันเห็นเราก่อนนะ มันจดจ้องเดี๋ยวมันฉกเอานะเราว่างั้น

    ทีนี้พระก็ไม่เล่นอะไรกับมัน เจอแล้วก็เฉย ๆ มันก็คุ้นละซี เพราะฉะนั้นมันถึงเข้าไปในครัว ออกมาข้างนอกถูกเขาฆ่า อย่างนั้นแหละเอานิสัยวัดไปใช้ ไปนอนขวางทางอยู่นี้ตะวันตกวัดนี่น่ะทางสายหนึ่งมันไปนั้น มันออกไปจากนี้ ทางโน้นก็ป่าทางนี้ก็ป่า พอออกไปแล้วไปนอนขวางทางอยู่นั่น เขามาเขาเอาปืนยิงเลย เรายังจำไม่ลืมวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๖ โน่นน่ะ จำได้ขนาดนั้นนะ เด็กมาบอก โอ๊ย ไอ้ขี้ดื้อหลวงพ่อเห็นจะตายแล้วแหละ เขายิงเมื่อวานนี้ ยิงที่ไหนล่ะ ยิงตะวันตกวัดนี่ ตัวขนาดไหนเด็กก็บอก โอ๊ย แล้วกัน ตั้งแต่นั้นมาไม่เห็นอีกเลย เงียบไป นั่นตายแล้วถูกเขายิงเอา เอาปืนยิง มันเชื่องขนาดนั้น

    งูตัวไหนนิสัยพอ ๆ กันเหมือนกัน เราคล้องเราจับงี้มันไม่มีอากัปกิริยาจะฉกท่าทางโต้ตอบเรานะ มันจะดิ้นจะหนีท่าเดียว เราเอาเชือกคล้องแล้วใส่กระสอบเอาไปปล่อยดงไกล ๆ ใส่รถไป พอเปิดปากกระสอบแล้วเขาก็เลื้อยออกไปธรรมดาเขา บางทีก็ไปปล่อยตามถ้ำกลองเพลทางไปจังหวัดหนองบัวลำภู โอ๊ย มีแต่ตัวใหญ่ ๆ งูจงอาง เขาไม่มีอากัปกิริยากับเรานะ เขามีแต่บืนออกธรรมดาไปธรรมดา อยู่ในวัดก็เหมือนกัน เราคล้องได้อย่างนี้เขาก็ไม่มีอากัปกิริยากับเรา เขาบืนหนีเท่านั้นละ เพราะเขาเคยอยู่กับเรามาแล้ว

    นี่สัตว์เหล่านี้มันเคยบวชเป็นพระนะ เพราะตายมากี่กัปกี่กัลป์ จิตวิญญาณดวงหนึ่ง ๆ มีแต่เกิดกับตาย ๆ อยู่ตลอดไปเลย นี่ยังตลอด ๆ ไปนะ แต่คำว่าเกิดไม่แน่นอน เกิดสูงต่ำดีชั่วยึดไปได้หมดอำนาจแห่งกรรม กรรมเป็นเครื่องหนุนให้สูงให้ต่ำ ถ้ากรรมดีก็หนุนขึ้นสูง ถ้ากรรมชั่วก็กดลงทางต่ำ หากเกิดเรื่องเกิด เกิดเป็นเปรตเป็นผีเป็นยักษ์เป็นมารเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นผู้เป็นคน เป็นเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมเกิดได้ทั้งนั้น เพราะอำนาจแห่งบุญกรรมพาให้เกิด เชื้ออันหนึ่งที่จะพาให้เกิดคืออวิชชา ให้เกิดแน่ ๆ แต่จะเกิดเป็นอะไรต่ออะไรนั้นเป็นวิบากกรรมอีกหนุนให้เกิด จึงต้องสอนให้ทำความดี ๆ

    เวลาจะเป็นจะตายจริง ๆ แล้วจิตจะไม่ไปไหนนะ มันจะวกมาหาเจ้าของแล้วหาความดีความชั่ว ถ้าไม่มีความดีมีแต่ความชั่วเดือดร้อน ตายแล้วก็ไปเลย ถ้ามีความดีพอจำเป็นจำใจมานี้มันจะวิ่งเข้ามาปั๊บ..จิตมีความดีแล้วอบอุ่นใจกับความดี เพราะความดีอยู่กับใจนี่ไปเอง

    นี่เราพูดถึงภาคทั่วๆ ไป ภาคจิตตภาวนายิ่งแน่ ภาคนี้ภาคแน่มากภาคจิตตภาวนา เห็นชัด ๆ อยู่ประจักษ์ว่าออกจากนี้จะไปเกิดไหน ทางต่ำไม่ไปว่างั้นเถอะน่า จะไปเกิดชั้นไหนมันบอกอยู่ในนี้หมด เหมือนว่าเข็มทิศบอกอยู่ในนี้ ดูเข็มทิศนี้ ปจฺจตฺตํ มองดูชัด ๆ ยิ่งละเอียดเท่าไรยิ่งแน่ ๆ ต่อภพชั้นนั้น ๆ ที่เป็นชั้นดีนะเรื่อย ๆ จนกระทั่งขาดสะบั้นออกหมดไม่มีภพมีชาติอีกแล้วก็ยิ่งแน่ อ๋อ นิพพานเป็นอย่างนี้เอง นี่หรือนิพพานเป็นอย่างนี้เอง มันชัดอยู่อย่างนั้น นี่ภาคภาวนา

    ภาคภาวนาเป็นภาคที่แน่ที่สุดเลย ไม่ต้องนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา ไอ้นี่ตายแล้วมันไปไหนนา อ้าว อย่างนั้นครั้งพุทธกาลไม่มีนะ เดี๋ยวบางคนจะไม่ทราบว่าอันนี้มีมาดั้งเดิม เวลาคนตายนิมนต์พระไป กุสลา มาติกา มีมาหลัง ๆ นี่ คือพระพุทธเจ้าท่านสอนให้พระไปปลงกรรมฐานไม่ใช่ให้ไป กุสลา ธมฺมา อย่างนี้นะ ไป ๆ ดูกรรมฐานจริง ๆ นี่ พระพุทธเจ้าพาเสด็จบางทีนะ พาไปปลงกรรมฐานไปดูกรรมฐาน บางองค์ได้ตรัสรู้ธรรม นั่น กรรมฐานซากอสภ ท่านพาไปอย่างนั้นต่างหากนี่นะ ท่านไม่ได้พาไปแบบ กุสลา ธมฺมา กล้วยหอมอยู่ไหนนา ไม่เห็นว่างั้น

    เดี๋ยวนี้เห็นมีแต่ไปหา กุสลา กล้วยหอม ตรงไหนมีเมรุมาก ๆ ตรงนั้นละเป็นบ่อเงิน มันไม่ได้ไปหาธรรมนะไปหาเงิน วัดไหนมีเมรุมาก ๆ นั่นละวัดนั้นละวัดหาเงินทั้งนั้นไม่ได้หาธรรมแหละ เรื่องธรรมอย่ามาพูด มีแต่หาเงินนับอยู่ตลอดเวลา นับอยู่ทั้งวัน วันนี้ศพนี้มาแล้วนับกี่ศพ ศพนี้มาแล้วนับอีก มีแต่นับเงินไม่ได้สนใจกับธรรม

    นี่เราถึงได้พูดเรื่องวัดอโศการาม ไปย้ำกับพระเมื่อไปเร็ว ๆ นี้นะ นี่ ท่านพ่อลี นะพูดต่อปากต่อคำกัน ท่านพูดนี้ถูกต้องที่สุดเรายอมกราบท่านเลยในคำพูดของท่าน ท่านบอกวัดนี้ห้ามไม่ให้มีเมรุ ถ้ามีเมรุแล้วพระจะเป็นบ้าไปหมด ฟังซิ นี่หลวงพ่อลีท่านพูดท่านเด็ดนี่นะ นิสัยท่านเด็ดขาดมาก ท่านถึงได้เป็นครูเป็นอาจารย์ของลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย ท่านเฉียบขาดมาก นิสัยเด็ดเดี่ยว แล้วท่านสั่งอย่างนี้ด้วยนะ วัดนี้เราตายแล้วก็ตามยังมีชีวิตอยู่ก็ตามจะมีเมรุขึ้นไม่ได้ ว่างี้ ถ้ามีเมรุขึ้นพระเป็นบ้าไปหมดเรื่องศีลเรื่องธรรมเข้าป่าเข้ารกไม่มีเหลือเลย จะมีเหลือแต่นั่งนับเงินเท่านั้น

    เราไม่ลืมนะท่านพูดให้ฟังชัด ๆ ในพระทั้งหลายอยู่นั้น แต่พระรุ่นนั้นก็คงจะหมดไปยังเหลือแต่เราที่ได้ยินได้ฟังว่างั้นเถอะ ท่านห้ามอย่างเด็ดขาดนะพูดอย่างเฉียบขาด จะมีไม่ได้เป็นอันขาดถ้าไม่อยากให้พระตายหมดวัด ว่างี้นะ ถ้ามีแล้วมันจะนับแต่เงิน ไม่ได้นับศีลนับธรรมนะมันจะนับแต่เงินวันยังค่ำคืนยังรุ่ง ใครบวชมาก็มาหาแต่เงิน ๆ สถานที่นี่เลยเป็นบ่อหาเงิน เป็นบ่อกิเลสตีตลาดหาเงิน ท่านว่าเราไม่ลืม

    เพราะฉะนั้นเวลาเราไปที่นั่นจึงย้ำคำนี้ให้พระทั้งหลายได้ทราบ นี่ท่านพ่อลีพูดอย่างนี้เราจำได้ตั้งแต่วันท่านพูดจนกระทั่งป่านนี้ไม่จืดจาง และขอให้รักษาคำพูดท่านไว้อย่าให้มีเมรุวัดนี้ ให้รักษาคำพูดของท่าน ท่านเป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้นมา วัดอโศการาม อย่าให้มีนะ ตายเผาไหนเผาได้แต่พระตายนี่ลำบากนะ พระตายตายทั้งวัดเลยนี่นะ แล้วพระจะเป็นผู้นำเสียด้วยนะ แล้วพระตายแล้วว่าไง ตายด้วยโลกามิสนี่มาทำลาย

    สกฺกาโร ปุริสํ หนฺติ บุรุษหรือสตรีก็ตาม ใครก็ตามโง่แล้วตายเพราะลาภสักการะ ลาภสักการะนี้สังหารคนให้ตายมามากต่อมากแล้ว แปลออกมาว่าอย่างงั้น ทีนี้เวลามีเมรุขึ้นมานี้มันจะมาหัวสุมกันอยู่เมรุนั่น กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา หมดวันยังค่ำคืนยังรุ่ง จะไม่สนใจกับศีลกับธรรม นี่ท่านพ่อท่านพูดให้จำให้ดีนะ ผมจำต่อปากต่อคำท่านมานะ อย่าให้มี ถ้าอยากให้มีศีลมีธรรมติดวัดติดวาติดพระติดเณรแล้วอย่าให้มีสิ่งเหล่านี้

    ตายแล้วฝังไหนเผาไหนได้ทั้งนั้นแหละไม่เป็นของสำคัญยิ่งกว่าพระตายนะ ถ้าพระตายด้วยอำนาจของ กุสลา ธมฺมา หาเงินหาทองนี้ฉิบหายหมด ตายอันนี้ฉิบหายนะ คนตายทั้งหลายฝังไหนก็ได้ เขาเคยฝังเคยเผากันมาแล้วแต่พระตายกองกันทั้งวัด ๆ นี้ มาหัวสุมตายอยู่นี้ดูไม่ได้นะ ว่าอย่างนี้แหละเราพูด ไปเมื่อคราวที่แล้วนี่ เพราะเราสลดสังเวชจริง ๆ

    วัดไหนมีเมรุนี้แหม ไม่มีอะไรมีแต่อันเดียวนี่ โห ทุเรศ พระก็ไม่ต้องบอกละว่าจับเงินหรือไม่จับเงิน ถ้าลงขนาดนี้แล้วจะไปบอกอะไร ไม่บอกก็รู้ ท่านห้ามไม่ให้พระจับเงินจับทองนี่นะ โห อย่าว่าแต่เงินแต่ทอง โคตรเงินก็มาเถอะจะจับหัวมันหมดเลย เข้าใจหรือเปล่าที่พูดนี่ พูดให้ถึงใจ ไม่ได้พูดหยาบพูดให้ถึงใจ ให้ฟังให้ถึงใจทุกคน ๆ ให้รู้จักวิธีปฏิบัติต่อตัวเอง มันน่าทุเรศจริง ๆ นะ

    บิณฑบาต สุดท้ายเวลามันเป็นบ้าเงินพอแล้ว บิณฑบาตถ้ารายไหนไม่มีซองใส่บาตรจะไม่มารับบาตรนะพระ ถ้าที่ไหนไม่มีซองไม่มารับ ที่ไหนมีซองหัวสุมเข้าไป นั่นซองเงิน มาใส่บาตรแล้วก็เอาเงินมาพร้อมน่ะซี นี่ก็ล่อให้พระตายอีกแหละมันหลายแบบไม่รู้จะว่าไง นี่ละอำนาจของกิเลสตีตลาดดูเอา ทันมันเมื่อไร ไม่ทัน ไม่ทันกิเลส

    เวลานี้พระพุทธรูปก็กำลังเป็นสินค้าอันใหญ่โต อู๊ย น่าทุเรศ มองเห็นพับอดไม่ได้มันสะดุ้ง ๆ หลายครั้งหลายหนมาเราก็เลยพูดแหละ มันฝังมานานแล้วแหละพระพุทธรูปเป็นสินค้าขายเกลื่อนตลาด ตั้งหน้าตั้งตาออกห้างออกร้านขายจริง ๆ นี่นะพระพุทธรูปขายเป็นสินค้า เราดูแล้วปลงธรรมสังเวช พูดก็ลำบากไม่พูดก็ลำบาก พิจารณาเอาก็แล้วกันนะ ถ้าพูดก็ลำบากประเภทหนึ่ง ไม่พูดก็ลำบากประเภทหนึ่ง

    ให้พวกลูกศิษย์ลูกหาพากันไปพิจารณา อย่าไปหาซื้อมานักเลย เอ้า กราบลงไปพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในองค์พระพุทธรูปโดยถ่ายเดียวแหละ อยู่ในหัวใจ พุทธะ ๆ อยู่ในหัวใจ ได้มามาบูชาก็ดี แต่จะไปหาซื้อเอามา ๆ โอ๊ย เรามันทุเรศนะ พระพุทธเจ้าเป็นสินค้านี้ทุเรศ ตรงนั้นละหนัก หนักตรงพระพุทธเจ้าเป็นสินค้าหนักตรงนั้น มันเป็นทุกอย่างนั่นแหละ อย่างไม่เคยมีก็มี ไม่เคยเป็นก็เป็นมาให้เห็น มีแต่เรื่องกิเลสออกทั้งนั้นนะธรรมะไม่ได้ออก ธรรมะนี่ออกไม่ได้

    อะไรถ้าไม่ได้ขายอยู่ไม่ได้นะ ต้องได้ขายทั้งนั้น ได้ขาย ๆ ยื่นไปก็ยื่นมา ๆ ให้กันเปล่า ๆ ไม่ได้เหรอมนุษย์มีน้ำใจด้วยกัน เรื่องพระพุทธรูปนี่ใครจะมีใจบุญใจกุศลก็สร้างขึ้นมา เอาแจกจ่ายกันไปบูชาไม่ได้เหรอถ้าไม่ได้เงิน เงินมันเก่งกว่าพระพุทธรูปนี่นะ เพราะฉะนั้นพระพุทธรูปจึงเป็นสินค้าได้ เงินต้องเหนือพระพุทธรูปแล้วเวลานี้ พระพุทธรูปจึงกลายเป็นสินค้าไปได้ ซื้อขายกันอย่างง่ายดายมากทีเดียวไม่คิดไม่อ่านเลยแหละ
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไป ขออนุโมทนาทุกท่าน ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต เจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรม
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...