พระพุทธศาสนากับฟิสิกส์ควอนตัม "ความเหมือนที่แตกต่าง"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 1 พฤษภาคม 2009.

  1. ครูฟ้า

    ครูฟ้า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ไอสไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น..และมนุษย์ทั่วไปทำตามได้อย่างไร

    rat_wting;aa54มีการรวมแรงแรงทั้ง 4 แรงเอาไว้
    พร้อมทั้งค้นหามิติที่ 4 ที่ว่าด้วยเรื่องเวลา
    ถ้าเมื่อใดก้อตามที่เวลามีความเร็วเท่ากับแสงจะเกิดอะไรขึ้น
    มนุษย์ก้อจะสามารถหายตัวได้..ย้อนเวลาไปหาอดีตและอนาคตได้
    ไอสไตน์เสียชีวิตก่อนที่กำลังจะค้นพบเรื่องมิติที่ 4 ได้สำเร็จ
    แต่..พระพุทธเจ้าทรงพบแล้วว่าสิ่งหนึ่งที่มีความเร็วเท่ากับแสงคือ จิต
    จิตมีการเกิด-ดับได้เร็วยิ่งกว่าแสงดังนั้น
    .การมีหูทิพย์ ตาทิพย์ หายตัวได้ รับรู้เรื่องอดีตและอนาคต
    ดังนั้นต้องศึกษาเรื่องจิต....ต่อไป...
    ....................................................โปรดติดตามตอนต่อไป..
    ..............ครูฟ้า....ฟิสิกส์...ชลบุรี(||);aa24
     
  2. ภูติอาคเนย์

    ภูติอาคเนย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    723
    ค่าพลัง:
    +1,326
    ผมมองว่าถ้าเทียบกันในแง่การพิสูจน์แล้ว ฟิสิกส์แบบนิวตันกลับกลายเป็นฟิสิกส์แบบอ้างอิงจากผัสสะ เพราะมองวัตถุหรือพลังงานหรือปรากฏกาลใดๆในช่วงระยะเวลาหนึ่งในสภาวะหนึ่งๆที่สามารถสัมผัสได้แค่นั้น(ด้วยการได้ยิน ได้สัมผัส มองเห็นได้ หรือได้กลิ่น) แปลว่ากฏต่างๆของฟิสิกส์แบบยุคที่ผ่านมาใช้ได้แค่ในสภาวะหนึ่งๆในช่วงเวลาที่เราสัมผัสได้แค่นั้น ซึ่งเราไม่อาจรู้ได้ว่ากฏต่างๆนั้นจะเป็นนิรันดร์ได้หรือไม่

    ยกตัวอย่างถ้าคน(หรือสัตว์)ที่มีประสาทสัมผัสแตกต่างไปก็จะอธิบายกฏทางธรรมชาติต่างกันไปด้วย ในขณะเดียวกันอาจจะมีพลังงานที่เกิดขึ้นโดยไม่สามารถมองเห็นทางผัสสะหรือด้วยเครื่องมือที่ต้องใช้ผัสสะพิสูจน์ด้วยก็เป็นได้

    ตัวอย่างเรื่องสนามพลังแม่เหล็ก ถ้าเราไม่ใช้เครื่องมือวัดฟิสิกส์ก็ยังคงเชื่อว่ามันอาจจะไม่มีจริง แต่พอสามารถวัดได้ก็เลยยอมรับแบบนี้เป็นต้น

    หรือแม้แต่ในเรื่องการปลดปล่อยพลังงานของกัมตภาพวัตถุ ถ้าไม่มีการสังเกตุเห็นเกิดปฏิกิริยาของโลหะวัตถุ(เกลือยูเรเนียมกับเงิน)ก็จะไม่มีการนำพาไปสู่การทดสอบเรื่องสารที่ปลดปล่อยพลังงานได้เองและเปลี่ยนรูปไปเช่นสารกัมตภาพ ซึ่งจริงๆแล้วมันก็มีอยู่ในธรรมชาติเป็นปกติอยู่แล้วเป็นต้น พอเกิดสิ่งที่พิสูจน์ด้วยผัสสะได้ฟิสิกส์จึงยอมรับมัน อะไรประมาณนี้

    ทั้งๆที่ปรากฏการณ์อีกมากมายทั้งๆเคยมีอยู่ กำลังจะมี หรือมีอยู่ในปัจจุบัน ฟิสิกส์อาจจะยังไม่สามารถทดสอบ หาคำตอบด้วยผัสสะอีกเป็นจำนวนมากได้ แต่ในอนคตเมื่อทดสอบด้วยผัสสะได้อาจจะผนวกมันเข้าไปกับฟิสิกส์ก็ได้อีกอย่างที่ทำๆกันมา
     
  3. jint

    jint สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    แท้จริงแล้ว...เราก็แค่พยายามจะหาหรือสร้างทฤษฎีเพื่อมาอธิบายสิ่งที่เราไม่เข้าใจเพื่อให้เข้าใจ...และสุดท้ายสิ่งที่คุณเข้าใจว่าเข้าใจแล้วนั้นคุณอาจจะไม่เข้าใจมันเลย......
    เป็นไปได้มั๊ยว่าโลกของเรา....ก็แค่อิเล็กตรอนตัวหนึ่งที่หมุนวนโปรตรอนอย่างสิ่งที่เรียกว่า...พระอาทิตย์
     
  4. อุดม53

    อุดม53 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +15
    แฮะๆ เรียนมาน้อยครับขอแจมหน่อย กระทู้อื่นก่อนหน้าเป็นวิชาการอวด อัตตา.กันดีขอชื่นชม แต่กระทู้นี้สุดยอด ลึกนะ!
     
  5. ultimatetruth

    ultimatetruth สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +0
    อ้างอิงจากวงจรปฏิจสมุปบาทนะครับ

    จิต(วิญญาณ) มีได้ก็เพราะการปรุงแต่งไปบนโมหะอวิชชา ดังนั้น จิตจริงๆจึงไม่มี ทุกสรรพชีวิตล้วนมีพุทธะอยู่แล้ว สิ่งนั้นคือมโนธาตุอันเป็นเนื้อหาดั้งเดิมที่ถูกอวิชชาครอบงำอยู่ จนเกิดเป็นจิต จนเกิดเป็นนามรูป

    การเข้าไปกำหนดสติ(วิญญาณขันธ์)มันก็คือไปอุปาทานหรือยึดอยู่กับจิต ทำให้เกิดสภาวะ "คล้ายนิพพาน" แต่ไม่ใช่นิพพาน เป็นกรรมที่กระทำบนวิญญาณขันธ์เท่านั้น

    และจิตเองนั้นก็คือการปรุงแต่งบนตัวมันเองว่าเป็นจิตว่าเป็นเรา การเข้าไปเจริญสติก็ไม่ต่างจากการไปเจริญอัตตานั่นแหละครับ กำหนดรู้ กำหนดเห็นขึ้นมาที ก็อัตตาแล้ว

    เมื่อโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเป็นตัวตน(อนัตตา) แล้วจะเอาใครไปฝึกอะไร เอาอะไรไปกำหนดอะไรได้เล่า มันก็หลงไปทำทั้งนั้น แค่ปลง ไม่เข้าไปบังคับกายบังคับจิต ไม่ดิ้นรน ไม่ต้องไปยึดสภาวะอารมณ์ใดๆมันก็จบโดยตัวมันเองอยู่แล้ว กรรมทั้งหลายมันก็จะคลายของมันเอง (เมื่อไม่บังคับสภาวะธรรมใดๆที่เกิดกับกายกับจิต มันก็จะคายพลังงานผิดปกติที่เรียกว่ากรรมออกไป แล้วเข้าสู่สมดุลแท้จริงที่เรียกว่านิพพานไปเองโดยไม่ต้องเข้าไปทำอะไร)
     

แชร์หน้านี้

Loading...