ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    สวัสดีปีใหม่คะ
    เมิลก็ไปใกล้ ๆ กันกับวันราชนัดดา โอมพาเมิลไปวัดภูเขาทองแล้วเดินเล่นที่ราชดำเนินต่อ ระหว่างที่เดินขึ้นภูเขา มีเสียงเยอะแยะ เสียงคน เสียงสวดมนต์ เสียงระฆัง แต่เสียงเหล่านั้นกลับอยู่ข้างนอกไม่ได้ เข้ามาข้างในเลย เมิลรู้สึกว่าร่างกายกลวง ๆ เหมือนเป็นวัตถุที่เราบังคับให้เคลื่อนไหวได้เท่านั้นเอง ความอัดอึดกายเวลาโดนเบียดก็รับรู้ แต่ใจไม่ได้รู้สึกอัดอึดไปด้วย เหมือนมันนิ่งอยู่
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    วิธีตรวจจับ "อัตตาจิต" เพื่อเข้าสู่กระบวนการ "รู้ตัวดู" แบบง่าย ๆ

    +++ จากคำถามของคุณ xeforce ในกระทู้ "////// ผู้ไม่เข้าไปหาย่อมหลุดพ้น ///////" ในโพสท์ที่ 18 ของหน้าแรก
    +++ ผมจะโพสท์ "วิธีทำ" ลงใน 2 กระทู้คือ กระทู้ "ผู้ไม่เข้าไปหาย่อมหลุดพ้น" และกระทู้ "ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย" ในหมวด อภิญญา XP

    ขอถามท่าน ธรรม-ชาติ นะครับ "รู้ตัวดู" จะปฏิบัติอย่างไร เผื่อเป็นแนวทางในปฏิบัติสำหรับท่านอื่น ที่กำลังติดจุดนี้ครับ

    +++ คำถามถึง "หลักปฏิบัติ" ที่จะทำให้ "รู้ตัวดู" นี้เป็นคำถามที่สำคัญมาก เพราะ "ตัวดู คือ อัตตาจิต" และมันเป็น "ตัวกูของกู" ตัวจริง

    *** วิธีทำให้ "อัตตาจิต หรือ ตัวกูของกู ปรากฏโดยใช้ รูปกรรมฐาน" ***

    1. ให้นึกจนปรากฏวัตถุ "ของแหลม" เช่น เข็ม ฉมวก หอก "ให้ชัดเจนในจิต" (จะเรียกว่า กสิณ หรือ มโนมยิทธิ ก็ได้แล้วแต่สะดวก)
    2. เมื่อภาพปรากฏชัดเจนแล้ว "ให้ ซัดพุ่งเอาปลายแหลมนั้น วิ่งช้า ๆ เข้ามาเสียบที่ ตรงแสกหน้าของตน"
    3. ให้ตรวจจับ "อาการ เกร็งตัว ทั้งกายและจิต" ที่เกิดขึ้นในขณะที่ "ของแหลมกำลังเคลื่อนตัวเข้ามา เสียบตรงแสกหน้าของตนนั้น"
    4. อาการ "เกร็งตัว" ที่เกิดขึ้นมานั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ กายหรือจิต ก็ตาม อาการนั้นคือ "ตัวกูของกู หรือ อัตตาจิตนั่นเอง"

    +++ วิธีการเรียกให้ "อัตตาจิต" แสดงตัวขึ้นมานั้น "เหมาะกับ" นักกรรมฐานที่ยังหา "ความเป็นตน" ไม่เจอ รวมทั้งผู้ที่ยังเข้าใจผิด ๆ อยู่ว่า "รู้เรื่องของ สักกายะทิฐิ" มาดีแล้ว หรือนึกเอาเองว่า "พ้นจากสักกายะทิฐิ" ไปแล้ว จะได้พึงสำเหนียกตนเองว่า "อัตตาจิต หรือ ตัวกู นี้แหละคือ กาย ที่แท้จริง" หากยังไม่พ้นจากอาการ "เกร็งตัว" แล้ว จะเรียกว่า "พ้นสักกายะทิฐิ" ไม่ได้

    *** สำหรับผู้ที่ "มั่นใจว่า ตนเองสำเร็จ โสดาบัน หรือสูงกว่า" ให้ทำดังนี้ ***

    +++ กำหนดให้ "ของแหลมนั้น" พุ่งเข้ามาอย่าง รวดเร็วและรุนแรง แล้วให้มันมาปักแบบชำแรกเข้ามาตรงแสกหน้า ให้ลึกเข้ามาในกระโหลกศีรษะประมาณ 1 ใน 3 แล้วให้มันปักคา "เด่" อยู่อย่างนั้น

    +++ หากยังมีความ "พยายามปัดป้อง หรือ เบี่ยงเบนหลบหลีก" การพุ่งเข้ามานั้น ถือว่า "ยังไม่พ้น สักกายะทิฐิ" ตามพฤติแห่งจิต ดังนั้นจึงควร ประเมินตนเสียใหม่

    *** "รู้ตัวดู" ***

    +++ เมื่อพอที่จะ "คุ้นเคยกับอาการเกร็งตัวทางจิต" นี้แล้ว ให้หา "ผู้สร้าง อาการเกร็ง" นี้ให้เจอ เจอเมื่อไร ก็เมื่อนั้นนั่นแหละคือ "เจอตัวดู หรือ ผู้รู้ ที่ยังเป็น ตัวตน เราเขา" และเป็นต้นกำเหนิดแห่ง "โลกียะ" ทั้งหลายอยู่

    +++ สำหรับพวก "โสดาบัน" ที่มีอยู่จนยั้วเยี้อในเวปนี้ หากฝ่าด่าน "โลกียะ" นี้พ้นเมื่อไร จึงค่อยมาคุยเรื่อง "โลกุตระ" กันภายหลังก็ยังไม่สาย

    +++ จากคำถามของคุณ xeforce ที่ว่า "รู้ตัวดู" จะปฏิบัติอย่างไร นั้น หวังว่า "วิธีทำ" ในโพสท์นี้ น่าจะปูแนวทางจนถึง "การรู้ตัวดู" ได้โดยไม่ยากจนเกินไป นะครับ
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ นั่นคืออาการ "อยู่กับตน" อย่างเต็มฐาน อีกไม่นานสภาวะของ "มหาสติ" จะเริ่มตั้งได้ด้วยสภาวะของมันเอง โดยไม่ต้องใช้ ฐาน ใด ๆ อีก และจะเป็นเหมือนกับ สรรพสิ่ง วิ่งชำแรกผ่านไป ๆ มา ๆ ในเราซึ่งเป็นเพียง สภาวะรู้ ที่พ้นจาก สภาวะตน ไปแล้ว เท่านั้น
     
  4. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    สวัสดีปีใหม่ค่ะท่านธรรม-ชาติ ท่านธรรม-ชาติพูดเกี่ยวกับสภาวะของบุญ บาป และที่ไม่เป็นบุญและเป็นบาป และเหตุที่ทำให้เกิดสภาวะเหล่านั้นให้ฟังหน่อยได้ไหมค่ะ ขอบคุณค่ะ ส่วนการปฏิบัติช่วงนี้มีอารมณ์ไม่ค่อยอยากจะฝึกอะไรเป็นพิเศษ ไม่ค่อยชอบการทำมากกว่าปกติ ชอบการทำไปเรื่อย ๆ ไม่เน้นอะไรเป็นพิเศษ และในขณะนั่ง นอนสมาธิไม่ค่อยจะรับรู้เกี่ยวกับความรู้สึกทั่วตัว เมื่อก่อนเวลานอนจะรู้สึกคล้ายกับมีพลังงานสนามแม่เหล็กอ่อน ๆ ไหลคลุมอยู่ทั่วร่าง แต่ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยรู้สึกเลยค่ะ ในการนั่งสมาธิบางครั้งความรู้สึกตัวก็ไม่ได้คลุมอยู่ทั่วตัวแต่มีความรู้สึกว่ามันเข้าไปอยู่ตรงกึ่งกลางร่างกาย ตรงไหนก็ไม่รู้แต่รู้สึกว่าตรงกลาง ความรู้สึกของตัวตนมันเข้าไปอยู่ ณ จุดกึ่งกลาง เป็นจุดเล็ก ๆ อยู่ลึก ๆ ลงไป หรือบางครั้งนั่งอยู่แต่ความรู้สึกตัวเหมือนไม่ได้นั่งอยู่ที่ตรงนั้น ความรู้สึกตัวไม่ได้นั่งอยู่ที่ตรงนั้นแต่ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    สวัสดีปีใหม่ค่ะท่านธรรม-ชาติ ท่านธรรม-ชาติพูดเกี่ยวกับสภาวะของบุญ บาป และที่ไม่เป็นบุญและเป็นบาป และเหตุที่ทำให้เกิดสภาวะเหล่านั้นให้ฟังหน่อยได้ไหมค่ะ ขอบคุณค่ะ

    +++ สวัสดีปีใหม่ครับ "สภาวะ ของ บุญ บาป และ กลาง ๆ" คือ "ผลลัพธ์ของการกระทำ" ที่สะท้อนกลับมาในสภาวะของ "ธรรมารมณ์" นั่นเอง ตัวอย่างจากการ ทำสติให้เป็นสมาธิ คือ ยามที่สติตั้งฐานได้ ธรรมารมณ์ จะเป็นสุขละเอียดในระดับฌาน (บุญ) แต่ผู้ที่ทำสมาธิไม่ได้ก็จะได้ ความอึดอัดรำคาญ ซึ่งเป็น ทุกข์ เหตุมาจากนิวรณ์ในจิตซึ่งออกผลลัพธ์มาเป็น บาป ชนิดหนึ่ง นั่นเอง

    ส่วนการปฏิบัติช่วงนี้มีอารมณ์ไม่ค่อยอยากจะฝึกอะไรเป็นพิเศษ ไม่ค่อยชอบการทำมากกว่าปกติ ชอบการทำไปเรื่อย ๆ ไม่เน้นอะไรเป็นพิเศษ และในขณะนั่ง นอนสมาธิไม่ค่อยจะรับรู้เกี่ยวกับความรู้สึกทั่วตัว เมื่อก่อนเวลานอนจะรู้สึกคล้ายกับมีพลังงานสนามแม่เหล็กอ่อน ๆ ไหลคลุมอยู่ทั่วร่าง แต่ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยรู้สึกเลยค่ะ ในการนั่งสมาธิบางครั้งความรู้สึกตัวก็ไม่ได้คลุมอยู่ทั่วตัวแต่มีความรู้สึกว่ามันเข้าไปอยู่ตรงกึ่งกลางร่างกาย ตรงไหนก็ไม่รู้แต่รู้สึกว่าตรงกลาง ความรู้สึกของตัวตนมันเข้าไปอยู่ ณ จุดกึ่งกลาง เป็นจุดเล็ก ๆ อยู่ลึก ๆ ลงไป หรือบางครั้งนั่งอยู่แต่ความรู้สึกตัวเหมือนไม่ได้นั่งอยู่ที่ตรงนั้น ความรู้สึกตัวไม่ได้นั่งอยู่ที่ตรงนั้นแต่ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน

    +++ ที่สำคัญที่สุดคือ "ให้เข้าไปอยู่ข้างใน ความรู้สึกตัว" อย่าออกมา "ข้างนอก ความรู้สึกตัว" เท่านั้นเองครับ
     
  6. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    ช่วงนี้เมิลจะรู้สึกถึงอาการหนัก ๆ กด ๆ อยู่ข้างใน เหมือนมีคลื่นพลังงานกำลังเคลื่อนไหวอยู่เวลาที่
    1. อ่านอะไรที่ขัดแย้งกับสิ่งที่รู้มา
    2. อยู่ดี ๆ มันก็เกิดขึ้นมาเอง (สังเกตว่าถ้ามันเคยเกิดเวลานี้ สถานที่นี้ มันจะเกิดซ้ำๆกัน เวลาที่เงื่อนไขมาเหมือนกัน ไม่ได้มีเจตนาหรือตั้งใจให้เกิด)
    พอรู้ถึงอาการพวกนี้ก็เลยหยุดอาการต่อ ๆ ไปที่จะเกิด ความคิดเห็นต่อเรื่องนั้น ๆ เลยไม่เกิดต่อ
    อาการรู้ มาก่อนความคิด มาก่อนภาษา
    พอดูเข้าไปในคลื่นพลังงานจะรู้ว่ามันคือความรู้สึกอะไร เกิดมาจากเหตุการณ์อะไรในจิตเรา ความเชื่อมโยงการอารมณ์สู่ความคิดเป็นไปในแบบไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2014
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มันเหมือนสิ่งที่ผูกจิตเราไว้ ทำให้จิตเราต้องเป็นทาสของมัน ไหมครับ
     
  8. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    มันเหมือนเป็น Pattern ของจิตที่จำไว้ พอเงื่อนไขเหมือนเดิม (เช่นสถานที่เดิม เวลาเดิม) มันก็เกิดขึ้นแบบเดิม ซ้ำ ๆ ทั้งที่ในขณะปัจจุบันเราไม่ได้คิดหรือรู้สึกอะไรแบบนั้นเลย จุ่ ๆ มันก็เกิดขึ้นมา
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ช่วงนี้เมิลจะรู้สึกถึงอาการหนัก ๆ กด ๆ อยู่ข้างใน เหมือนมีคลื่นพลังงานกำลังเคลื่อนไหวอยู่เวลาที่

    +++ น่าจะเป็นวิวัฒนาการของสติจาก ระดับที่ 5 สู่ระดับที่ 6

    1. อ่านอะไรที่ขัดแย้งกับสิ่งที่รู้มา

    +++ ตรงนี้คืออาการแยกแยะระหว่าง ผิด กับ ถูก รวมทั้ง ดี หรือ ชั่ว ซึ่งมักปรากฏในช่วง สติระดับที่ 6 "ดูตน" นี้ โดยความเป็น ตน เริ่มจะปัดและปิดทางเดินของสิ่งที่เรียกว่า "อธรรม" ที่ปรากฏในปัจจุบันขณะ ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่า "ปิดอบาย" จึงปรากฏเป็นจริงได้ ตั้งแต่ระดับนี้เป็นต้นไป

    2. อยู่ดี ๆ มันก็เกิดขึ้นมาเอง (สังเกตว่าถ้ามันเคยเกิดเวลานี้ สถานที่นี้ มันจะเกิดซ้ำๆกัน เวลาที่เงื่อนไขมาเหมือนกัน ไม่ได้มีเจตนาหรือตั้งใจให้เกิด)

    +++ ใช้ปรากฏการณ์ "ซ้ำซ้อน" นี้ให้เป็นประโยชน์ ในการสืบสาวถึง "ต้นสาย ปลายเหตุ" ให้ดี หากพบว่าเป็นส่วนของ "รูป" ก็อาจทราบถึง "เจ้ากรรมนนายเวร" ได้ หากพบว่าเป็นส่วนของ "นาม" นั่นหมายถึง "วิบากเก่า" ให้สังเกตุถึง "ลักษณะการเกิดขึ้น ของปรากฏการณ์" ให้ชัดเจน เป็นการเพิ่มพูนความรู้ไปในตัวด้วย

    พอรู้ถึงอาการพวกนี้ก็เลยหยุดอาการต่อ ๆ ไปที่จะเกิด ความคิดเห็นต่อเรื่องนั้น ๆ เลยไม่เกิดต่อ

    +++ หากอาการตามข้อ 2 ยังเกิดขึ้นเรื่อย ๆ "ห้ามหยุดอาการ" ให้ "รู้ตนไว้เฉย ๆ" แต่ปล่อยให้เหตุการณ์นั้น "มันแสดงตัวของมันเอง" โดยที่เราไม่เข้าไปแทรกแซงทั้งสองทางคือทั้ง "ที่ตน และ ที่ปรากฏการณ์"

    อาการรู้ มาก่อนความคิด มาก่อนภาษา

    +++ ตรงนี้เป็นรอยต่อคาบเกี่ยว หรือ การเริ่มแสดงวี่แววของสติระดับที่ 7. "อยู่กับรู้ หรือ อยู่กับตน" ซึ่งสภาวะของ "สติ" เริ่มอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง และเริ่มที่จะไม่ "พึ่งพาอาศัยฐานใด ๆ" อีกต่อไป จนกว่าจะ "เห็น" อาการที่ "สติถูกบดบัง" จึงจะก้าวขึ้นสู่ขั้นที่ 8 โดยสมบูรณ์

    พอดูเข้าไปในคลื่นพลังงานจะรู้ว่ามันคือความรู้สึกอะไร เกิดมาจากเหตุการณ์อะไรในจิตเรา ความเชื่อมโยงการอารมณ์สู่ความคิดเป็นไปในแบบไหน

    +++ ตรงนี้เป็นอาการของ สติระดับที่ 7. "อยู่กับรู้ หรือ อยู่กับตน" ซึ่งกล่าวไว้ในหน้าแรกว่า "ไม่นาน การฝึกย่อมพัฒนาไปสู่การสำรวจ ขั้นตอนการกำเหนิดของสิ่งที่เรียกว่า ตน" และตรงนี้คือ "การเริ่มต้นการ เห็น วงจรการทำงานของ ปฏิจจะสมุปบาท" นั่นเอง

    +++ ประโยคนี้ทั้งประโยค "พอดูเข้าไปในคลื่นพลังงานจะรู้ว่ามันคือความรู้สึกอะไร เกิดมาจากเหตุการณ์อะไรในจิตเรา ความเชื่อมโยงการอารมณ์สู่ความคิดเป็นไปในแบบไหน" คืออาการเริ่มแรกของการเห็นวงจร "ปฏิจจะสมุปบาท" ดังนั้น "ควรรู้ในกระบวนการทำงานของมันทั้งหมด อย่างละเอียดถี่ถ้วน" จนกว่าจะ "รู้แจ้ง และ สิ้นสงสัย" ในกระบวนการนี้ นะครับ
     
  10. nokhook123

    nokhook123 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    สวัสดีครับคุณธรรมชาติ เมื่อก่อนผมไม่เคยรู้เลยว่าการนั่งสมาธิของผมเป็นแบบไหน จนกระทั่งได้มาอ่านกระทู้ของคุณ ปกติผมจะนั่งแบบอานาปานสติ ก็พิจารณาลมหายใจเข้าลมหายใจออกธรรมดา แต่พอนั่งไปจนถึงจุดหนึ่ง ก็รู้สึกได้ถึงการเต้นของชีพจรในส่วนต่างๆ มันจะเด้งๆ ดึ้บๆ ผมก็สงสัยเลยสังเกตมัน ปรากฏว่ามันเด้งหลายจุดมาก บางจุดเด้งช้า บางจุดเด้งเร็ว และมันก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นไปจนรู้สึกทั่วร่างกาย อยากจะกำหนดรู้ตรงไหนมันก็จะเด้งตรงนั้นและชัดกว่าจุดอื่น ผมก็ฝึกจนสามารถเข้าภาวะการรู้ตัวทั่วพร้อม แบบพอนึกอยากจะดูมันเมื่อไหร่มันก็เด้งตอนนั้นทันที พอเราดูมันไปเรื่อยมันก็จะชัดขึ้น และมีจุดอื่นเด้งๆดึ้บๆตามมาแต่ละจุดจะเด้งจังหวะช้าเร็วต่างกันไป ไม่ว่าจะลืมตาหลับตา นั่ง ยืน หรือนอน ผมสามารถเข้าออกอาการนี้ได้ตลอดตามความปราถนา จนพักหลังๆผมรู้สึกเหมือนกับว่ามันไม่พัฒนาต่อ ก็เลยไม่ค่อยได้ปฏิบัติ แต่อาการเด้งๆดึ้บๆกลับไม่หายไปด้วย เหมือนกับว่าได้มันมาแล้ว มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น สามารถเข้าออกได้เหมือนเดิม จนมาปีใหม่นี้ผมกลับมาปฏิบัตินั่งสมาธิอีก มันก็ยังคงเป็นแบบเดิม ผมก็สังเกตอาการเหล่านี้ไปเรื่อยๆ จนเลิกดูเลิกสนใจมัน แต่ยังมีความรู้สึกรู้ในอาการของมันอยู่ ก็ได้ความสงบจากอานาปานสติมา ทุกลมหายใจเข้า หายใจออก ผมรู้สึกว่าลมมันเข้าไปวิ่งตามส่วนๆของร่างกาย รู้สึกถึงอาการโยกไปข้างหน้าข้างหลัง แบบที่เหมือนกับว่าเรารู้สึกว่ามันขยับ แต่กายจริงๆไม่ขยับ ความซาบซ่าน ซู่ซ่าก็รู้ จนเกิดความสงบในระดับหนึ่งซึ่งเป็นสภาวะที่รู้และรู้สึกตัวทั่วร่างกาย บางครั้งผมมีอาการปากผเหยอ รู้สึกมันสั่นๆที่ปาก เปนแบบการยิ้มเกิดโดยอัตโนมัติ แต่ยิ้มน้อยๆ พอผ่านจุดนี้ไป ก็รู้สึกว่าสงบมาก เป็นความสงบที่ประกอบไปด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อม แม้จะออกจากสมาธิแล้ว อาการสงบและรู้สึกตัวนี้ก็ยังอยู่ และค่อยๆลดลงเมื่อเราเริ่มส่งจิตออกนอก ตอนนี้ผมก็ฝึกมาได้เท่านี้ แต่ก็ยังคงใช้อานาปานสติในการเริ่มนั่งสมาธิอยู่ พอผมได้อ่านกระทู้ของคุณ ก็รู้เลยว่าคุณเดินผ่านทางเส้นนี้ไปแล้ว เลยอยากขอยกคุณเป็นอาจารย์ ช่วยแนะนำและชี้แนวทางให้ผมได้ฝึกปฏิบัติต่อไปด้วยครับ ขอบพระคุณครับ
     
  11. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    นี่คือkeyword ของการทำสมาธิให้ได้สมาธิ
     
  12. Broccocat

    Broccocat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    954
    ค่าพลัง:
    +4,094
    ท่านธรรมชาติและท่านอื่นๆ ใครก็ได้ ช่วยเค้าด้วยยยยย.....

    คือตั้งแต่เริ่มหัดนั่งทำสมาธิมาตลอดเวลาประมาณสามปี ไม่เคยมีอาการอย่างงี้เลยค่ะ พอถึงตอนนี้ ก็พบได้ว่ามีอาการแปลกๆ ในระหว่างการทำสมาธิ เพิ่งจะเป็นได้ 2 วันค่ะ คือ เมื่อคืนวันพุธ กับ คืนวันอังคาร ที่ผ่านมานี่เอง

    อาการคือ พอนั่งเห็นนั่นเห็นนี่ที่ไม่ได้ตั้งใจไปได้ซักครู่ จะรู้สึกเหมือนใจหาย(เปรียบเทียบกับตอนนอนหลับช่วงกำลังเคลิ้มๆ อยู่ดีๆ ก็ตกใจตื่นอ่ะค่ะ แนวๆ นั้น) ความรู้สึกจริงๆ นี่มันเหมือนมีสิ่งใดสิ่งนึง มาดึงใจเราออกไป ทำให้เราต้องฝืนตัวหรือร่างกายตั้งแต่เอวขึ้นไปไว้ถึง 3 ครั้ง>>>อันนี้เป็นกิริยาที่ทำตอนนั่งสมาธิเมื่อคืนวันพุธค่ะ) ตอนที่กำลังดึง เราก็ฝืนตัวไว้แล้วรีบบอกตัวเองว่า กลับมาๆ พอบอกเสร็จซักแป๊บก็ดึงอีกละ เป็นอย่างงี้ 3 ครั้งค่ะ เราเลยแบบ อะไรเนี่ยะ!!! ก็เลยออกจากสมาธิเลย แบบรำคาญอ่ะ ไรแบบนี้

    คือ เค้าเรียกอาการแบบนี้ว่าอะไรคะ แล้วพอจะมีคาถาบทสวดหรือวิธีอะไรที่คอยกำกับไว้รึป่าว แบบพอจะป้องกันไม่ให้เกิดอาการอย่างงี้อีกอ่ะค่ะ
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ของคุณ nokhook123

    สวัสดีครับคุณธรรมชาติ เมื่อก่อนผมไม่เคยรู้เลยว่าการนั่งสมาธิของผมเป็นแบบไหน จนกระทั่งได้มาอ่านกระทู้ของคุณ ปกติผมจะนั่งแบบอานาปานสติ ก็พิจารณาลมหายใจเข้าลมหายใจออกธรรมดา แต่พอนั่งไปจนถึงจุดหนึ่ง ก็รู้สึกได้ถึงการเต้นของชีพจรในส่วนต่างๆ มันจะเด้งๆ ดึ้บๆ ผมก็สงสัยเลยสังเกตมัน ปรากฏว่ามันเด้งหลายจุดมาก บางจุดเด้งช้า บางจุดเด้งเร็ว และมันก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นไปจนรู้สึกทั่วร่างกาย อยากจะกำหนดรู้ตรงไหนมันก็จะเด้งตรงนั้นและชัดกว่าจุดอื่น ผมก็ฝึกจนสามารถเข้าภาวะการรู้ตัวทั่วพร้อม แบบพอนึกอยากจะดูมันเมื่อไหร่มันก็เด้งตอนนั้นทันที พอเราดูมันไปเรื่อยมันก็จะชัดขึ้น และมีจุดอื่นเด้งๆดึ้บๆตามมาแต่ละจุดจะเด้งจังหวะช้าเร็วต่างกันไป ไม่ว่าจะลืมตาหลับตา นั่ง ยืน หรือนอน ผมสามารถเข้าออกอาการนี้ได้ตลอดตามความปราถนา จนพักหลังๆผมรู้สึกเหมือนกับว่ามันไม่พัฒนาต่อ ก็เลยไม่ค่อยได้ปฏิบัติ แต่อาการเด้งๆดึ้บๆกลับไม่หายไปด้วย เหมือนกับว่าได้มันมาแล้ว มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น สามารถเข้าออกได้เหมือนเดิม จนมาปีใหม่นี้ผมกลับมาปฏิบัตินั่งสมาธิอีก มันก็ยังคงเป็นแบบเดิม ผมก็สังเกตอาการเหล่านี้ไปเรื่อยๆ จนเลิกดูเลิกสนใจมัน แต่ยังมีความรู้สึกรู้ในอาการของมันอยู่ ก็ได้ความสงบจากอานาปานสติมา ทุกลมหายใจเข้า หายใจออก ผมรู้สึกว่าลมมันเข้าไปวิ่งตามส่วนๆของร่างกาย รู้สึกถึงอาการโยกไปข้างหน้าข้างหลัง

    แบบที่เหมือนกับว่าเรารู้สึกว่ามันขยับ แต่กายจริงๆไม่ขยับ

    +++ ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ กายในกาย โดยที่เราเป็น "ตัวข้างใน" และร่างกายปกติ "ไม่ใช่เรา"
    +++ ประสพการณ์ในบริเวณนี้ เป็นเรื่องสำคัญไม่ควรมองผ่าน เพราะมันจะทำให้เราเข้าใจในเรื่องของกายได้ดีขึ้น

    +++ ในยามใดก็ตามที่ "รู้สึกว่า เราเป็นความรู้สึกที่ไม่เกี่ยวกับ กายเนื้อแล้ว" ก็ให้อยู่กับ "กายแห่งความรู้สึก" นั้นไปเลย เมื่ออยู่ได้ถูกส่วนแล้ว "กายแห่งความรู้สึก" นั้นจะสามารถ แยก หรือ ถอด ออกมาจากกายเนื้อได้ เรียกว่า "ถอดกาย" และกายนี้เป็นกายแห่งความรู้สึก ผมจึงเรียกมันว่า "กายเวทนา" และการเรียนรู้จากกายเวทนานี้ เป็นการเรียนรู้ในหมวดที่ใหญ่มาก แต่ยังจำกัดอยู่ในส่วนของ "สมถะสมาธิ" อยู่

    +++ นอกจากจะ "อยู่" กับกายเวทนาแล้ว ก็ยังสามารถ "ย้าย" ไป ๆ มา ๆ ระหว่าง "กายเนื้อ กับ กายเวทนา" ได้ ตรงนี้เป็นส่วนในการฝึก "อยู่และย้าย" ของวสี 5 และหากจะทำ "วิปัสสนา" ก็ให้ "รู้" กายทั้งสองไปพร้อม ๆ ในเวลาเดียวกัน ไม่นานก็จะพัฒนาให้ละเอียดขึ้นไปได้เรื่อย ๆ

    ความซาบซ่าน ซู่ซ่าก็รู้ จนเกิดความสงบในระดับหนึ่งซึ่งเป็นสภาวะที่รู้และรู้สึกตัวทั่วร่างกาย บางครั้งผมมีอาการปากผเหยอ รู้สึกมันสั่นๆที่ปาก เปนแบบการยิ้มเกิดโดยอัตโนมัติ แต่ยิ้มน้อยๆ พอผ่านจุดนี้ไป ก็รู้สึกว่าสงบมาก เป็นความสงบที่ประกอบไปด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อม แม้จะออกจากสมาธิแล้ว อาการสงบและรู้สึกตัวนี้ก็ยังอยู่ และค่อยๆลดลงเมื่อเราเริ่มส่งจิตออกนอก ตอนนี้ผมก็ฝึกมาได้เท่านี้ แต่ก็ยังคงใช้อานาปานสติในการเริ่มนั่งสมาธิอยู่ พอผมได้อ่านกระทู้ของคุณ ก็รู้เลยว่าคุณเดินผ่านทางเส้นนี้ไปแล้ว เลยอยากขอยกคุณเป็นอาจารย์ ช่วยแนะนำและชี้แนวทางให้ผมได้ฝึกปฏิบัติต่อไปด้วยครับ ขอบพระคุณครับ

    +++ อาการที่เล่าามานั้นเป็นอาการของ "หสิตุปบาท" มีรายละเอียดอยู่ในกระทู้ข้างล่างนี้ นะครับ

    https://palungjit.org/threads/496788/#post-7945041

    +++ ติดขัดในการปฏิบัติตรงไหนก็โพสท์ลงมาในกระทู้นี้ได้ นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2019
  14. nokhook123

    nokhook123 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    กราบขอบพระคุณอาจารย์ธรรมชาติครับ หลังจากอ่านแล้ว ทำให้ผมมีกำลังใจในการรักษาศีลและการฝึกปฎิบัติขึ้นมาก ผมจะกลับไปอ่านเรื่องของการฝึก "กายเวทนา" ที่อาจารย์ได้โพสไว้ตามกระทู้ต่างๆและจะฝึกเดินจิตตามที่อาจารย์ได้ชี้แนะครับ แล้วก็ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่ได้แชร์ประสบการณ์ของตัวเองลงในกระทู้นี้ด้วยนะครับ มันเป็นประโยชน์มาก อย่างน้อยๆก็เป็นประโยชน์กับผมหนึ่งคนแล้ว :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2014
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    จริง ๆ แล้วผมตอบข้อความของคุณ Broccocat ไว้ด้วยกันแต่ server ตัดข้อความออกข้างหลัง link เลยต้อง copy มาโพสท์อีกครั้ง

    ของคุณ Broccocat

    ท่านธรรมชาติและท่านอื่นๆ ใครก็ได้ ช่วยเค้าด้วยยยยย.....

    +++ ไปซนที่ไหนมาละ...

    คือตั้งแต่เริ่มหัดนั่งทำสมาธิมาตลอดเวลาประมาณสามปี ไม่เคยมีอาการอย่างงี้เลยค่ะ พอถึงตอนนี้ ก็พบได้ว่ามีอาการแปลกๆ ในระหว่างการทำสมาธิ เพิ่งจะเป็นได้ 2 วันค่ะ คือ เมื่อคืนวันพุธ กับ คืนวันอังคาร ที่ผ่านมานี่เอง

    อาการคือ พอนั่งเห็นนั่นเห็นนี่ที่ไม่ได้ตั้งใจไปได้ซักครู่ จะรู้สึกเหมือนใจหาย(เปรียบเทียบกับตอนนอนหลับช่วงกำลังเคลิ้มๆ อยู่ดีๆ ก็ตกใจตื่นอ่ะค่ะ แนวๆ นั้น)

    +++ การนั่งเห็นนั่นเห็นนี่ "ไม่ใช่การนั่งที่ดี" เพราะเป็นการปล่อยให้ "จิตใต้สำนึก" มันเจริญเติบโตไปเรื่อย ๆ ไม่นานก็จะตกลงไปสู่ "ภวังค์จรณะ" ซึ่งจะเป็นตุเป็นตะ เหมือนจริงไปหมด คล้ายกับ "ตาทิพย์หูทิพย์" แต่จริง ๆ มันกลายเป็น "ตาถั่วหูทึบ" ไปซะหมด และจะเป็นการปิดกั้นการปฏิบัติธรรมในอนาคตด้วย เพราะมันเป็น "มิจฉาสมาธิ" ทางที่ดีและง่ายที่สุดคือ "ให้นั่งแช่ความรู้สึกทั้งตัวไว้เฉย ๆ" ก่อน แล้วหลังจากนั้นก็จะค่อย ๆ พัฒนาไปเอง

    ความรู้สึกจริงๆ นี่มันเหมือนมีสิ่งใดสิ่งนึง มาดึงใจเราออกไป ทำให้เราต้องฝืนตัวหรือร่างกายตั้งแต่เอวขึ้นไปไว้ถึง 3 ครั้ง>>>อันนี้เป็นกิริยาที่ทำตอนนั่งสมาธิเมื่อคืนวันพุธค่ะ) ตอนที่กำลังดึง เราก็ฝืนตัวไว้แล้วรีบบอกตัวเองว่า กลับมาๆ พอบอกเสร็จซักแป๊บก็ดึงอีกละ เป็นอย่างงี้ 3 ครั้งค่ะ เราเลยแบบ อะไรเนี่ยะ!!! ก็เลยออกจากสมาธิเลย แบบรำคาญอ่ะ ไรแบบนี้

    +++ ตรงนี้เป็นการ "เผลอดู" กระแสของการดู นั้น "ดูไปที่ทิศทางไหน มันก็จะดึงเราไปทิศทางนั้น" หากเกิดอาการนี้อีก "ให้ดูกลับมาที่ ความรู้สึกตัว" แล้วการฝึกก็น่าจะพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งได้

    คือ เค้าเรียกอาการแบบนี้ว่าอะไรคะ แล้วพอจะมีคาถาบทสวดหรือวิธีอะไรที่คอยกำกับไว้รึป่าว แบบพอจะป้องกันไม่ให้เกิดอาการอย่างงี้อีกอ่ะค่ะ

    +++ อาการแบบนี้ เรียกได้หลายแบบ แล้วแต่ใครจะเรียก แต่ความจริงมันเกิดจาก "กระแสการดู" เท่านั้นแหละ คาถานะหรือ ถ้าเกิดอาการแบบนี้อีก ก็ให้ท่องว่า "รู้สึกตัว รู้สึกตัว" แล้วก็ "ทำตามที่ท่อง" ให้ได้นะ ก็จะแก้ไขอาการได้เองแหละ
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ได้ผลลัพธ์อย่างไร ก็โพสท์ลงในกระทู้นี้ได้เลย นะครับ
     
  17. nokhook123

    nokhook123 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    สวัสดีครับอาจารย์ธรรมชาติ ขอเข้ามาส่งอารมณ์ครับ เริ่มจากเมื่อคืนได้สวดมนต์ทำวัตรและนั่งสมาธิตามปกติ ขณะนั่งสมาธิก็ได้นั่งดูความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและดูไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกโล่งโปร่งสบาย รู้ทุกการเด้งและอาการชา ซู่ซ่าในแต่ละจุดของทั้งร่างกาย จนกระทั่งรู้สึกร่างกายมันเหมือนกับว่าปลดล็อกไปทีละข้อๆ และก็มีอาการค่อยๆโยกก้มไปข้างหน้าตามจังหวะของการเด้งดึ้บๆ แบบว่าร่างกายขยับไปเองตามความรู้สึก จนมันคงที่แบบว่าไม่รู้สึกถึงการขยับตามการเด้งดึ้บๆอีกแล้ว ผมก็อยู่ในท่านั้น ซึ่งก้รู้สึกเบาสบาย เหลือแต่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในทุกจุด ก็ดูมันไปเรื่อยๆ สักพักนึง เหมือนกับว่าตัวเองหลับซะงั้น แต่ก็รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลานะ ประมาณว่ารู้สึกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่กับตัว เป็นเหมือนกับอาการจมดิ่ง ดับวูป ทุกสิ่งหายไป แต่เป็นการจมดิ่งที่มีความรู้สึกตัวอยู่ตลอด แต่เรื่องราวภายนอกนี่ไม่รู้เลย ผ่านไปซักพักนึง อยู่ดีๆก็รู้สึกตื่นขึ้นมา ตื่นในที่นี้เป็นการตื่นมาพร้อมกับสติที่รู้ตัวทั่วร่างกายเหมือนกับว่าสติมันชัดมาก ผมก็ตกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมหลับรึเปล่า แต่พิจารณาแล้วว่ามันไม่ได้หลับ เพราะมันรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาจริงๆ แต่แค่อาการเฝ้าดูมันหายไป ผมก็เลยทำการออกจากสมาธิตามปกติ แต่ขณะกำลังทำการออกจากสมาธิ มันก็ดับวูปหายไปอีัก แต่คราวนี้ผมมีสติรู้ตัวถึงการดับวูป ก็เลยดึงตัวเองมาทำำการออกจากสมาธิต่อ (การออกจากสมาธิของผมนั้นค่อนข้างจะใช้เวลานานหน่อย เพราะผมจะถวายการปฏิบัติภาวนานี้แก่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอาจารย์และอาจารย์ของผมทุกท่าน อุทิศส่วนกุศลให้กับเทวดาประจำตัว เจ้ากรรมนายเวร บิดามารดา ผู้มีพระคุณและเกื้อหนุนทั้งที่รู้หรือไม่รู้ก็ดี รวมถึงเพื่อนร่วมทุกข์ และภพภูมิทั้งสาม) สำหรับผลของการปฏิบัติก็มีเท่านี้ และผมอยากรู้ว่าสิ่งที่เกิดกับผมมันคืออะไรครับ ขอคำชี้แนะด้วยครับอาจารย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2014
  18. nokhook123

    nokhook123 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    ขออนุญาตถามเพิ่มเติมนะครับ

    - อาจารย์ธรรมชาติเคยบอกว่าเราสามารถย้ายเข้าย้ายออกไปๆมาๆระหว่างกายเนื้อกับกายเวทนาได้ ผมก็ลองย้ายดู ไม่รู้ว่าวิธีย้ายเป็นแบบนี้รึเปล่า คือ พอผมอยากกลับไปกายเนื้อ ความรู้สึกเด้งๆดึ้บๆก็ปรากฏขึ้นมาทันที พอผมจะกลับมากายเวทนา มันก็เป็นความรู้สึกที่เหมือนเราเป็นกายอยู่ในกายอีกทีหนึ่ง และหากจะวิปัสสนา ผมก็ลองรู้สึกอยู่กับทั้งสองกายตามที่อาจารย์แนะนำ มันก็รู้สึกได้ถึงอาการเด้งๆดึ้บๆ แต่เป็นความรู้สึกที่เบา พร้อมๆกับรู้สึกถึงกายอีกกายหนึ่ง แต่จะรู้สึกน้อยๆ แบบนี้คือการรู้สึกอยู่ทั้งสองกายรึเปล่าครับ

    - อาการที่อยู่กับกายเวทนาแล้วเหมือนกับมีก้อนพลังงานขนาดใหญ่เท่าตัวผมเนี่ยแหละอยู่ดีๆก็ค่อยๆเลื่อนขึ้นจากที่ท้องเคลื่อนตัวขึ้นข้างบนอย่างแรงเหมือนกับว่ามันจะหลุดออกจากร่างซะอย่างนั้น ผมไม่รู้ว่าใช่การแยกตัวของกายเวทนาออกจากกายเนื้อรึเปล่า ความรู้สึกตอนที่มันเคลื่อนตัวนั้นผมอึดอัดมาก อึดอัดแบบแทบจะขาดใจ รู้สึกว่าหายใจไม่ออก ผมก็พยายามกลั้นเอาไว้สุดชีวิต จนเหมือนกับว่าก้อนพลังนั้นเลยออกมาจากศรีษะผมไปซักนิด ด้วยความที่ผมพยายามกลั้นหายใจ สุดท้ายกลั้นไม่ไหว มันก็ผละออกมากลับมาเข้าตัวผมอีก ทำให้ผมเหนื่อยและหายใจเร็วและแรงมาก ซักพักการหายใจนั้นก็ค่อยๆเบาบางลง ผมตกใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ออกจากสมาธิแต่อยากใด อาการแบบนี้คืออะไรครับ

    - การควบคุมกายเวทนานี่เป็นแบบนี้รึเปล่าครับ คือ ในขณะที่เราอยากหันซ้ายความรู้สึกมันก็ค่อยๆหัน อยากหันขวาความรู้สึกมันก็ค่อยๆหัน อยากกลับมาหน้าตรงความรู้สึกมันก็กลับมาหน้าตรง แต่ทั้งนี้ผมรู้สึกได้ชัดเจนเลยว่าตอนที่กายแห่งความรู้สึกขยับหันซ้ายหันขวาอยู่นั้น กายเนื้อผมนั้นนิ่งและหลังตรง
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ หลังจากเวปผิดปกติ ชอบมันเด้งขึ้นไปด้านบน ต่อด้วย login ไม่เข้า ตามมาด้วยตู้เตรือข่าย net ของ isp ช็อตก็เลยไม่ได้เข้ามา 2-3 วัน เพิ่งเข้ามาตอนนี้เอง

    สวัสดีครับอาจารย์ธรรมชาติ ขอเข้ามาส่งอารมณ์ครับ เริ่มจากเมื่อคืนได้สวดมนต์ทำวัตรและนั่งสมาธิตามปกติ ขณะนั่งสมาธิก็ได้นั่งดูความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและดูไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกโล่งโปร่งสบาย รู้ทุกการเด้งและอาการชา ซู่ซ่าในแต่ละจุดของทั้งร่างกาย จนกระทั่งรู้สึกร่างกายมันเหมือนกับว่าปลดล็อกไปทีละข้อๆ และก็มีอาการค่อยๆโยกก้มไปข้างหน้าตามจังหวะของการเด้งดึ้บๆ แบบว่าร่างกายขยับไปเองตามความรู้สึก จนมันคงที่แบบว่าไม่รู้สึกถึงการขยับตามการเด้งดึ้บๆอีกแล้ว ผมก็อยู่ในท่านั้น ซึ่งก้รู้สึกเบาสบาย

    +++ 1. ตรงที่เบาสบาย แต่ถ้าหากรับรู้ถึง "ขอบเขตของร่างไปด้วย" ก็จะคล้ายกับ "ใสเป็นแก้ว" ตรงนี้จะเกิดอาการ "หน้ายิ้ม แต่ จิตสงบเฉย" ที่เรียกว่า "หสิตุปบาท" ตามธรรมชาติของ สติ ที่ทรงฐานได้ เป็นอาการที่ ขอบเขตของกายเนื้อ ครอบคลุมอยู่ภายนอก

    เหลือแต่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในทุกจุด ก็ดูมันไปเรื่อยๆ สักพักนึง เหมือนกับว่าตัวเองหลับซะงั้น แต่ก็รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลานะ ประมาณว่ารู้สึกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่กับตัว เป็นเหมือนกับอาการจมดิ่ง ดับวูป ทุกสิ่งหายไป แต่เป็นการจมดิ่งที่มีความรู้สึกตัวอยู่ตลอด แต่เรื่องราวภายนอกนี่ไม่รู้เลย

    +++ 2. ตรงนี้เป็อาการที่ สติ ลงไปฝังตัว "อยู่ข้างในกายเวทนา" ต่างจากข้างบนที่ "สติฝังตัวอยู่ข้างในกายเนื้อ"

    ผ่านไปซักพักนึง อยู่ดีๆก็รู้สึกตื่นขึ้นมา ตื่นในที่นี้เป็นการตื่นมาพร้อมกับสติที่รู้ตัวทั่วร่างกายเหมือนกับว่าสติมันชัดมาก ผมก็ตกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมหลับรึเปล่า แต่พิจารณาแล้วว่ามันไม่ได้หลับ เพราะมันรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาจริงๆ แต่แค่อาการเฝ้าดูมันหายไป

    +++ 3. ให้เทียบกับสติระดับที่ 5. "อยู่กับตน" ในโพสท์ที่ 5 "สติ ตามระดับของผู้ฝึก" ในหน้าแรก ว่าตรงกันพอดีหรือไม่

    ผมก็เลยทำการออกจากสมาธิตามปกติ แต่ขณะกำลังทำการออกจากสมาธิ มันก็ดับวูปหายไปอีัก แต่คราวนี้ผมมีสติรู้ตัวถึงการดับวูป

    +++ 4. ตรงนี้น่าจะใช้ภาษาพลาดไป เพราะมันน่าจะเป็นอาการ "มันดับ แต่ เราซึ่งเป็นสภาวะรู้ ไม่ได้ดับ" มากกว่า แต่ น่าจะเป็น "รู้เฉย ๆ ไม่ใช่รู้ตัว"

    ก็เลยดึงตัวเองมาทำำการออกจากสมาธิต่อ (การออกจากสมาธิของผมนั้นค่อนข้างจะใช้เวลานานหน่อย เพราะผมจะถวายการปฏิบัติภาวนานี้แก่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอาจารย์และอาจารย์ของผมทุกท่าน อุทิศส่วนกุศลให้กับเทวดาประจำตัว เจ้ากรรมนายเวร บิดามารดา ผู้มีพระคุณและเกื้อหนุนทั้งที่รู้หรือไม่รู้ก็ดี รวมถึงเพื่อนร่วมทุกข์ และภพภูมิทั้งสาม) สำหรับผลของการปฏิบัติก็มีเท่านี้ และผมอยากรู้ว่าสิ่งที่เกิดกับผมมันคืออะไรครับ ขอคำชี้แนะด้วยครับอาจารย์

    +++5. อาการสุดท้ายคือ "ตัวดูมันดับ" ไป คือ "สังขารทั้งหลายดับหมดไม่มีเหลือ" สิ่งที่เหลืออยู่คือ "วิสังขาร" เท่านั้น และ ตรงนี้ควรทำให้เป็น นิสัย

    ขออนุญาตถามเพิ่มเติมนะครับ

    - อาจารย์ธรรมชาติเคยบอกว่าเราสามารถย้ายเข้าย้ายออกไปๆมาๆระหว่างกายเนื้อกับกายเวทนาได้ ผมก็ลองย้ายดู ไม่รู้ว่าวิธีย้ายเป็นแบบนี้รึเปล่า คือ พอผมอยากกลับไปกายเนื้อ ความรู้สึกเด้งๆดึ้บๆก็ปรากฏขึ้นมาทันที พอผมจะกลับมากายเวทนา มันก็เป็นความรู้สึกที่เหมือนเราเป็นกายอยู่ในกายอีกทีหนึ่ง และหากจะวิปัสสนา ผมก็ลองรู้สึกอยู่กับทั้งสองกายตามที่อาจารย์แนะนำ มันก็รู้สึกได้ถึงอาการเด้งๆดึ้บๆ แต่เป็นความรู้สึกที่เบา พร้อมๆกับรู้สึกถึงกายอีกกายหนึ่ง แต่จะรู้สึกน้อยๆ แบบนี้คือการรู้สึกอยู่ทั้งสองกายรึเปล่าครับ

    +++ ถูกต้อง ตอนเป็นกายเวทนา เราเป็นกายตัวข้างใน หากเราเป็นกายเนื้อ เราจะเป็นตัวข้างนอก สังเกตุได้ในขณะที่เปลี่ยนไปมา และให้ดูข้อ 1 และ 2 ข้างบนประกอบไปด้วย

    - อาการที่อยู่กับกายเวทนาแล้วเหมือนกับมีก้อนพลังงานขนาดใหญ่เท่าตัวผมเนี่ยแหละอยู่ดีๆก็ค่อยๆเลื่อนขึ้นจากที่ท้องเคลื่อนตัวขึ้นข้างบนอย่างแรงเหมือนกับว่ามันจะหลุดออกจากร่างซะอย่างนั้น ผมไม่รู้ว่าใช่การแยกตัวของกายเวทนาออกจากกายเนื้อรึเปล่า

    +++ นั่นแหละ ใช่ เราซึ่งเป็นกายเวทนากำลังจะแยกออกมา จากกายเนื้อ

    ความรู้สึกตอนที่มันเคลื่อนตัวนั้นผมอึดอัดมาก อึดอัดแบบแทบจะขาดใจ รู้สึกว่าหายใจไม่ออก ผมก็พยายามกลั้นเอาไว้สุดชีวิต จนเหมือนกับว่าก้อนพลังนั้นเลยออกมาจากศรีษะผมไปซักนิด ด้วยความที่ผมพยายามกลั้นหายใจ สุดท้ายกลั้นไม่ไหว มันก็ผละออกมากลับมาเข้าตัวผมอีก ทำให้ผมเหนื่อยและหายใจเร็วและแรงมาก ซักพักการหายใจนั้นก็ค่อยๆเบาบางลง ผมตกใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ออกจากสมาธิแต่อยากใด อาการแบบนี้คืออะไรครับ

    +++ ธรรมดาของความไม่คุ้นเคย ย่อมเกิดความต่อต้านจากจิตตนเอง เมื่อคุ้นเคยแล้ว จะพบได้ว่า "มันเป็นปิติ แบบตื่นเต้น" ชนิดหนึ่ง หากปล่อยให้ ปิติ มันเป็นไป โดยไม่มีการต่อต้าน ก็จะเป็น "ตัวเองออกมาจากตัวเอง" ได้ บางคนอาจต้องเป็น 2-3 ครั้งก่อนที่จะถอดออกมาฝึกได้ภายหลัง

    - การควบคุมกายเวทนานี่เป็นแบบนี้รึเปล่าครับ คือ ในขณะที่เราอยากหันซ้ายความรู้สึกมันก็ค่อยๆหัน อยากหันขวาความรู้สึกมันก็ค่อยๆหัน อยากกลับมาหน้าตรงความรู้สึกมันก็กลับมาหน้าตรง แต่ทั้งนี้ผมรู้สึกได้ชัดเจนเลยว่าตอนที่กายแห่งความรู้สึกขยับหันซ้ายหันขวาอยู่นั้น กายเนื้อผมนั้นนิ่งและหลังตรง

    +++ ใช่ การคุมกายเวทนาเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าหากปรับการควบคุม "ที่กายเวทนา" ให้ดี และไม่มีการต่อต้านจาก "กายเนื้อแล้ว" "กายเวทนาจะบังคับให้กายเนื้อ เคลื่อนที่ตามไปด้วย" จริง ๆ แล้วตรงนี้เป็นหลักสูตรเฉพาะของ "การใช้จิตเคลื่อนร่าง" ซึ่งควรจะมาตามหลังหลักสูตรของ "การถอดกายเวทนา" ซึ่งเคยมีกล่าวไว้ในกระทู้ "ตามรอยพระพุทธบาท ท่าเท้าพระพุทธองค์" มาก่อนแล้ว
     
  20. buddy0

    buddy0 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +142
    สวัสดีค่ะ คุณครูธรรมชาติ หายไปนานเลยเนื่องจากเกิดเรื่องวุ่นวายในครอบครัว. แต่ยังฝึกอยู่ค่ะ เวลานั่งสมาธิ แล้วมักมีอาการตึงแน่นเป็นก้อนนิ่งที่หน้าผาก ก็พยายามให้ความรู้สึกนั้นแผ่ตลอดทั้งตัว ตอนทำสมาธิจะได้นานหน่อย แต่ถ้าทำเวลาที่ทำกิจวัตรปกติจะได้แป๊บๆ แต่ตอนที่เคลื่อนไหวด้วยความรู้สึกทั้งตัวนี้จะมีความเบาสบายมาก ร่างกายเหมืนมีพลังงานหยุ่นๆรอบๆ แต่พอมีคนมาคุยด้วยจะหายไปทันที. และมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น คือปกติแล้วบางทีถ้าหลับไปแล้ว ตื่นขึ้นมา แล้วไปนอนต่อจะเห็นหรือได้ยินอะไรแปลกๆ
    . เมื่อเช้านี้ตอนแรกฝันอยู่. แต่อยู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงพูดด้วยนำ้เสียงอาฆาตเคียดแค้น ดังมาจากกลางศรีษะ ทำนองสาปแช่ง แบบแค้นมาก พูดแบบคนโบราณ ก็พยายามฟังว่าเค้าแช่งเราหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าจะไม่ใช่ค่ะ คล้ายจะแช่งบ้านเมืองเรามากกว่า แล้วทีนี้เค้าพูดไม่หยุดเลย แบบไม่หายใจ รู้สึกอึดอัดมากทนไม่ไหวเลยขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยลูกด้วย. มีพลังงานพุ่งเข้ามาที่กลางหน้าผาก จิตหลุดแยกออกมาแต่กำลังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บินไปสักพักก็ตกลงพื้น. แล้วก็เหมือนหมุนๆ แล้วก็เห็นคุณป้าสองคนเค้าคุยกันว่าจะเตือนอะไรเราบางอย่าง ป้าคนนึงก็เรียกไปนั่งคุย ป้าเค้าก็พูดสอนอะไรเยอะมาก. แต่หลักๆคือให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เราก็รับคำป้าบอกว่าค่ะ หนูจะพยายามเป็นคนอ่อนน้อม ตลอดเวลาสังเกตุว่าตาป้าไม่มองหน้าเราเลยมองไปทางอื่นตลอด น้อยมากที่จะมองเรามองก็แวบๆ แล้วตอนนั้นมีความรู้สึกว่าพ่อเดินอยู่ข้างนอกเลยลองมองป้าแล้วส่งจิตโดยที่ไม่ได้พูดว่า. พ่ออยู่ข้างนอกต้องไปแล้วนะคะ. ป้าก็รู้บอกว่าจะไปแล้วใช่มั๊ย. แล้วก็บอกลา แล้วก็กลับมาทันที ลืมตาตื่นค่ะ มีอีกเรื่องอยากถามครูเรื่องญาติฆ่าตัวตายค่ะทำยังไงบุญถึงจะไปถึงคะ ทุกวันนี้พยายามนั่งสมาธิแล้วอุทิศบุญให้ในสมาธิ แบบนี้ญาติจะรับได้หรือเปล่าคะ. ขอบพระคุณค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...