ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    ว่าจะไม่เข้าก็เข้ามาอ่านอีกจนได้

    รายงานผลการทดลองค่ะ

    เข้า ออก ตรึง แช่ เข้าๆ ออกๆ นี่ได้ทั้งแบบลืมตา และไม่ลืมตาย ที่พิมพ์ๆ อยู่นี่ก็เข้าอ่อนๆ ไปด้วย เข้าแบบหลับตา ปกติจะงีบหลับโดยการนับลมหายใจ

    เมื่อวานก็ดูทั้งลม ดูทั้งความรู้สึกด้วย ทำสองยก บ่าย กับหัวค่ำ แบบว่าง่วงนอน ก็เลยจะนอนแบบทำให้รู้สึกตัวเหมือนหลับดิ่งแต่ก็รู้สึกตลอดเหมือนไม่ได้หลับ แต่ตาหลับ ครึ่งชั่วโมง ผลที่ได้ก็คือสดชื่น แบบนี้หรือที่เรียกว่า หลับแบบมีสติ

    ตอนหัวค่ำตื่นมา ก็มาทำความรู้สึกแบบลืมตา ทำไปเรื่อย เข้านอนสี่ทุ่ม ก็ลองทำแบบนี้อีก เหมือนหลับแต่ไม่หลับ รู้สึกตัวดีอยู่ ไม่มีความคิดความฝันเข้ามา หลับแบบนี้ไม่เหนื่อยเลย ตื่นมา สองครั้ง จำเวลาตื่นได้ด้วย

    แต่เวลาปกติ ที่ไม่ได้เฝ้าดูความรู้สึกเพราะทำงานหรือคุยโทรศัพท์ ความคิดจะเข้ามาบ่อยๆ หรือปกติมีบ่อยอยู่แล้ว แต่จับได้ไวกว่า ก็เลยดูเหมือนบ่อย เมื่อวานก็หงุดหงิดตัวเอง ความคิดบ้าวนเวียนมาอยู่ได้

    ถ้าเปรียบเทียบกับ 1.ดูลมหายใจ กับ 2.ดูลมหายใจ+รู้สึกตัว แบบที่สองดีกว่า อธิบายไม่ถูกค่ะ

    สงสัย ตัวสติ ตามรู้นี้ ตัดความรู้สึกกายแบบ เข้าญาณสี่ได้ไหมค่ะ


    ต๊ายยย ตาย โง่จังเลยเราเล่นกับตัวนี้มาตั้งหลายปี ไม่รู้ว่ามันคือ ความรู้สึกทั้งตัว ลองค้นหากูเกิ้ลในสายหลวงพ่อเทียน น้อยคนนักที่จะฝึกแล้วเจอหรือฝึกนานเลยกว่าจะเจอ"ความรู้สึกทั้งตัวเป็นยังไง" แต่เราเองไม่เคยฝึกยกมือแบบหลวงพ่อเทียนน่ะ แต่มาจากการดูลมหายใจนี่แหละ


    สภาวะตัวเราตอนนี้ คิดเรื่องงานไม่ออก คือไม่อยากคิด ไม่อยากสุงสิงกับคน เพราะรู้สึกว่าเจอคนมากๆมีผลต่อการฝึก
    ทุกครั้งที่ไปในที่ชุมชนจะปวดหัว เหมือนคลื่นพลังงานมันเยอะเกิน โดยปกติพิจารณามองทุกอย่างให้เป็นธรรมดาอยู่น่ะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2014
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    และหากสังเกตุขอบเขตของร่างกาย "ภายนอก" ก็จะเห็นการแตกชั้น เป็นละอองพวยพุ่งออกไปอีกชั้นหนึ่ง หรือ หลายชั้นก็ได้ ขึ้นกับความละเอียดของสติ ตรงนี้เป็นอาการของ "พรรณรังสี"

    คือจะสังเกตุอย่างไรคะ ดูตอนนี้ไม่เห็นเลย

    +++ อาการนี้จะเกิดขึ้นได้ในขณะที่อาการ "โล่ง โปร่ง เบา สบาย ใสเป็นแก้ว" เกิดขึ้นทั้งตัวแล้ว (ฌาน 3) จึงเห็นชั้น "พรรณรังสี" ที่ขอบเขตภายนอกของร่างกายได้

    คือ ต้องบอกก่อนว่าอาการที่เป็นอยู่นี้เกิดขึ้นเพิ่งเป็นได้ไม่นาน เพราะถือว่าปฏิบัติจริงจังได้ไม่นาน ก่อนมาปฏิบัติธรรมไม่เคยมีสัมผัสพิเศษ เราก็อาศัยทำไปเรื่อยๆ คนปฏิบัติธรรมที่อยู่ใกล้ตัวสองคนเค้าได้ของพิเศษมาน่าจะตั้งแต่เกิด เราก็คิดว่าเราไม่มีน่าจะเป็นแนวไม่เห็นหรือสัมผัสอะไรไม่ได้เลย พอปฏิบัติแล้วครั้งแรกปิติเกิดเลยไปถามเค้า เค้าก็บอกว่าเธอเป็นบ้าเหรอคนเค้าทำมาตั้งนานไม่เกิดอาการอย่างเธอเลย ก็เลยไม่ถามอีกจนมาเปิดเวปดูและมาถามพี่นี่แหละค่ะ

    +++ ทุกอย่างที่ผมสอนในนี้ "เป็นธรรมชาติของจิตทุกดวง ที่จะทำได้ทั้งสิ้น" เพียงแต่ว่า ช้า-เร็ว ยาก-ง่าย ต่างกันไปเท่านั้นเอง (ยกเว้นขี้เกียจ อันนี้ยกไว้ก็แล้วกัน)

    แต่มีอยู่ครั้งนึงก่อนสอบอ่านหนังสือหนักสอบมาหลายครั้งแล้วไม่ผ่าน พอไปนอนยังไม่หลับเลยนะคะรู้สึกตัวดีมากมีเสียงผู้หญิงมาพูดด้วยด้านขวาเสียงกังวานไพเราะบอกว่าจะขออะไรก็ขอกับท่านสิท่านช่วยได้อะไรประมาณนี้ ก็เลยลองอธิษฐานขอไปถือว่าเป็นประสบการณ์ครั้งแรก 55555 คือ ความคิดของตนเอง ตนเองน่าจะไม่มีวาสนาเห็นหรือสำผัสอะไรได้เรื่องถอดกายเวทนาก็เหมือนกันค่ะเพราะเดาว่าน่าจะเป็นสุขวิปัสโก (คือไม่คิดว่าจะบรรลุธรรมง่ายๆนะคะแต่จะทำไปเรื่อยๆ)

    +++ ไม่มีใครเกิดมาแล้ว ทำกับข้าว เป็นทันทีหรอก ต้องหัดกันทั้งนั้น ส่วนทำเป็นแล้ว "ใครชอบทำกับข้าวแบบไหน ก็อร่อยไปตามแบบฉบับส่วนตัว แบบนั้น"

    +++ เรื่องบรรลุธรรม หรือ สุขวิปัสโก อะไรนั่น "นึกเมื่อไร ผิดเมื่อนั้น" ยามใดที่ "เลิกนึก แล้วอยู่กับความเป็นจริงได้เมื่อไร ก็เริ่มเห็นธรรม ได้เมื่อนั้น" แล้วจะ "นึกว่า" ไม่เห็นธรรม ก็ไม่ได้อีก เช่นกัน

    สรุปแล้วงงตัวเองว่าทางใหนแน่

    +++ ทางไหนก็ช่างมัน "อยู่กับทางแห่งความเป็นจริงให้ได้ ก็แล้วกัน"

    แต่อาการเห็นทางหางตามีบ้างนะคะมีบางครั้งที่แน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง ก็เลยหลอนๆอยู่เพราะอยู่คนเดียว

    +++ ถ้า "ไม่นึก ไม่คิด" เมื่อไร "ความจริง ก็จะปรากฏ เมื่อนั้น" เพียงแต่ "เมื่อความจริงปรากฏแล้ว" อย่าไปนึกว่า "มันเป็นความคิด" ก็แล้วกัน "จริงก็คือจริง คิดก็คือคิด" ตรงไปตรงมากับตนเองให้ได้ก่อน แล้ว สภาวะธรรมอย่างตรงไปตรงมาก็จะปรากฏแก่เราเอง

    อ้อ อีกอย่างนึงตอนที่มีคนใกล้ชิดมานอนที่บ้านช่วงเคลิ้มๆหลับเหมือนไปรับอารมณ์เค้ามาอารมณ์ประมาณด่าๆแช่งชักหักกระดูกใครหลายๆคนซึ่งเราแน่ใจว่าไม่ใช่ตัวเองแน่นอนเป็นเสียงเค้าแต่เหมือนเราพูดไปค่ะ บ่นๆหน่อยนะคะเพราะไม่ค่อยกล้าไปถามใคร

    +++ ถ้า "ไม่นึก ไม่คิด" เมื่อไร "ความจริง ก็จะปรากฏ เมื่อนั้น" นั่นแหละ ส่วน "คนใกล้ชิด" คนนั้น "คิดดังไปหน่อย" เราก็เลยได้ยิน ตรงนี้ "เป็นธรรมชาติของจิต ของผู้ที่คิดดัง ที่จะวิ่งมาฟ้อง ผู้ที่ไม่ได้คิด (เป็นธรรมชาติอยู่ในตัวอยู่แล้ว)" หัดสังเกตุโดยไม่ต้องคิดบ่อย ๆ ธรรมชาติของจิต ก็จะ "เริ่มพัฒนา และ วิวัฒนาการ" ไปได้เรื่อย ๆ ด้วยตนเอง

    พี่ใจดีมากค่ะขอให้จบกิจในชาตินี้นะคะ

    +++ เคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน และลาได้ขาดเรียบร้อยแล้ว แต่นิสัยของ พุทธภูมิที่ยังต้องทำพุทธกิจ ยังมีอยู่ เท่านั้นเองครับ
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ในตอนนี้เมิลยังไม่รู้ถึงอนุภาคนะคะ จะตั้งใจฝึกปัฏฐานกับรู้ให้บ่อยขึ้นนะคะ

    +++ ตอนที่เมิล "อยู่กับรู้" (อสังขตะธรรม) นั้น หากไม่มี "อนุภาค" (สังคตะธรรม) ที่วิ่งผ่านไปมา ในความว่างแห่งรู้แล้ว เมิลย่อมไม่สามารถ "กลับมา" ได้เลย (ไม่ว่าใครทั้งสิ้น)

    +++ ให้สังเกตุตอน "ก่อนจะกลับมา" ให้ดี ให้ละเอียดที่สุด ก็จะ "เห็นเหตุ" ที่ตนกลับมาได้ (เหตุปัจจะโย)

    +++ อาการ "ก่อนกลับ" หลัง "เห็นเหตุ" นี้แล้ว จะเป็นอาการ "ยอมให้มันเกิด" (ขันธ์) ตรงนี้เป็น "อารัมมะณะปัจจะโย" (อารมณ์ คือ ธรรมารมณ์ คือ ตัวดู)

    +++ ดังนั้น "ก่อนดับตัวดู แล้วเหลือแต่รู้" ให้หมายมั่นให้ดีว่า "เราจะไม่กลับมาอีก" ตรงนี้เท่านั้น จึงจะเกิดอาการ "ไม่ยอมให้มันเกิด" เกิดขึ้น แล้วจึง "เห็นอนุภาค" ได้

    +++ ปกติแล้ว เมิลจะจับ "อนุภาคตัวแรกที่เห็น" แล้ว "ยอมให้มันเกิด" ตรงนี้ จึงทำให้ "ไม่เห็นอนุภาคตัวนั้น" กลายเป็น กลับมา ทันที

    +++ หาก "เห็น" ได้เมื่อไร ก็จะ "รู้แจ้ง" ได้เองว่า "เพราะเรายอม มันจึงเกิด" หากเรา "ปล่อยให้มันวิ่งอยู่ในความว่างเฉย ๆ มันก็ไม่เกิด" และ "หากเราจำเป็นต้องเกิด ก็แค่หยิบมันมา ก็กลับมาได้เลย"

    +++ นี่แล... ขันธ์ตัวแรกที่ "เกิดขึ้น" หลังจากที่มันเกิดขึ้นแล้ว เราจึงเป็น "ประธานหรืออธิบดี" ในขันธ์นี้ (อธิปะติปัจจะโย) ทำให้มัน "ตั้งอยู่" ยามที่หมดธุระแล้ว ก็ ย้ายออก มันก็ "ดับไป" เอง

    +++ นี่แล... การ "สร้างขันธ์" นี่แล... ไตรลักษณ์ ตัวจริง

    +++ เห็นได้เมื่อใด ทำได้เมื่อใด ก็จะ "สิ้นสงสัย" ทันทีว่า "นิพพานไปแล้ว จะกลับมาได้อย่างไร" มันเป็นเรื่องของ "คิดเอาเอง หรือ สัจจะธรรม" กันแน่

    แต่ช่วงนี้รู้ถึงพลังงานที่วูบไหว คลุมตัวอยู่ พลังงานไม่ได้นิ่ง แต่ไหวไปไหวมา ตามจิตเรา

    +++ ประดุจ "เปลวเทียน" ที่ไหวไปมาตามกระแสลม (สิ่งเร้า) แต่ใส้เทียน ไม่ได้ไหว และใครเป็นใส้เทียน "อธิปะติปัจจะโย" ตรงนี้ หากมีความหมายเป็น ตน ตรงนี้เป็น "ตัวดู" หากความเป็น ตน ไม่ปรากฏ ตรงนี้เป็น "สภาวะรู้" ที่เป็น "ปัฏฐาน" และเป็น "แกน" ของสรรพสิ่ง

    เช่นเวลาที่ดูหนังฟังเพลง ก่อนที่จะมีอาการรู้สึกมาถึงที่กาย ก่อนที่กายจะเกร็ง ก่อนที่จะมีความคิด จะรู้สึกถึงพลังงานที่ออกมาจากตัวก่อนเลย มันวูปไหวออกมาก่อนเลย คลุมทั้งตัว ยิ่งอารมณ์แรงนี่ยิ่งพลังงานยิ่งหนาแน่นพุ่งขึ้นมากว่าตอนปกติมากคะ

    +++ ถูกแล้ว หากทำ "ปัฏฐาน" ได้ละเอียดกว่านี้ จะ "เห็น" สภาวะตกกระทบ (รูป-นาม) ผนังอารมณ์ (มิติกางกั้น หรือ แยกชั้น) แต่ละชั้นจะมี "สภาวะของเนื้อหา" ในตัวมันเอง ให้ "รู้มิติ" ให้ดี ๆ และมั่นคง ก็จะ "เห็น" ได้ นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2014
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การที่คุณ mobilelizard ไปปรากฏตัวต่อภพภูมิ เช่นนั้น แล้วปฏิกิริยาของเหล่าภพภูมิ เห็นเป็น "เนิ้อนาบุญ" นั่นชี้ให้เห็นถึง "นิสัย" ที่ชอบทำบุญและ แสวงหาเนื้อนาบุญ ซึ่งจะต่างจาก นิสัย ของมนุษย์ในยุคนี้เป็นอย่างมาก (คนส่วนใหญ่)

    +++ ในมุมกลับกัน หากคุณ mobilelizard ไปปรากฏตัว ออกมาจากต้นไม้ หรือ รูปปั้น ในภพภูมิมนุษย์ปัจจุบัน ก็รับประกันได้ว่า เปลือกต้นไม้ต้องหลุดไม่เหลือแน่ หรือ รูปปั้นคงต้องสึกกร่อนไปอย่างรวดเร็วเพราะ มือขัด มือถู จะช่วยกันถูแบบ 7 X 24 ไม่มีวันหยุด จนกว่าจะถึงเวลา แทงหวย จึงพักชั่วคราว

    +++ ทาง ภพภูมิ เขาแสวงหา "เนื้อนาบุญ" ส่วนภูมิมนุษย์ ชอบแสวงหา "เนื้อนาหวย" นะครับ 555 yimm
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ว่าจะไม่เข้าก็เข้ามาอ่านอีกจนได้

    รายงานผลการทดลองค่ะ

    เข้า ออก ตรึง แช่ เข้าๆ ออกๆ นี่ได้ทั้งแบบลืมตา และไม่ลืมตาย ที่พิมพ์ๆ อยู่นี่ก็เข้าอ่อนๆ ไปด้วย เข้าแบบหลับตา ปกติจะงีบหลับโดยการนับลมหายใจ

    เมื่อวานก็ดูทั้งลม ดูทั้งความรู้สึกด้วย ทำสองยก บ่าย กับหัวค่ำ แบบว่าง่วงนอน ก็เลยจะนอนแบบทำให้รู้สึกตัวเหมือนหลับดิ่งแต่ก็รู้สึกตลอดเหมือนไม่ได้หลับ แต่ตาหลับ ครึ่งชั่วโมง ผลที่ได้ก็คือสดชื่น แบบนี้หรือที่เรียกว่า หลับแบบมีสติ

    +++ จะเรียกแบบนั้นก็ได้ เพราะมันเป็นอาการของ "หลับแต่ตื่นอยู่" แปลกแต่จริงเนอะ

    ตอนหัวค่ำตื่นมา ก็มาทำความรู้สึกแบบลืมตา ทำไปเรื่อย เข้านอนสี่ทุ่ม ก็ลองทำแบบนี้อีก เหมือนหลับแต่ไม่หลับ รู้สึกตัวดีอยู่ ไม่มีความคิดความฝันเข้ามา หลับแบบนี้ไม่เหนื่อยเลย ตื่นมา สองครั้ง จำเวลาตื่นได้ด้วย

    +++ ทำไปเรื่อย ๆ ไม่นานก็จะเกิดปรากฏการณ์ "หลับอยู่ส่วนหลับ และ ตื่นอยู่ส่วนตื่น" ที่แยกชั้น (มิติ) ออกจากกันได้ (หลวงปู่เทสก์ มักเน้นให้ลูกศิษย์ของท่าน ทำตรงนี้)(ลูกศิษย์หลวงปู่เทสก์ เล่าให้ฟัง นานแล้ว)

    แต่เวลาปกติ ที่ไม่ได้เฝ้าดูความรู้สึกเพราะทำงานหรือคุยโทรศัพท์ ความคิดจะเข้ามาบ่อยๆ หรือปกติมีบ่อยอยู่แล้ว แต่จับได้ไวกว่า ก็เลยดูเหมือนบ่อย เมื่อวานก็หงุดหงิดตัวเอง ความคิดบ้าวนเวียนมาอยู่ได้

    +++ เริ่มเห็น "ตัวปัญหา" แล้วนะ

    ถ้าเปรียบเทียบกับ 1.ดูลมหายใจ กับ 2.ดูลมหายใจ+รู้สึกตัว แบบที่สองดีกว่า อธิบายไม่ถูกค่ะ

    +++ คราวหน้าลองใช้ แบบที่ 3 คือ "อยู่" กับความรู้สึกตัวเฉย ๆ ไม่ต้อง "ดู" ลมหายใจ แต่ "ปล่อย" ให้ลมหายใจมัน "หายใจตามธรรมชาติ" ของมันไปเอง สัก 2-3 ยก ก็อาจจะเกิดอาการที่เรียกว่า "ลมหายใจถูกรู้ ส่วน เรารู้อยู่" ตรงนี้จะเป็น "อยู่-ย้าย" เบื้องต้น ที่จะเป็น รากฐาน ของการเดินจิตในอนาคต (อันใกล้นี้)

    สงสัย ตัวสติ ตามรู้นี้ ตัดความรู้สึกกายแบบ เข้าญาณสี่ได้ไหมค่ะ

    +++ คำว่า "ตามรู้" เป็นภาษาพูดเฉย ๆ แต่อาการจริง ๆ จะไม่มี "การตามใด ๆ ทั้งสิ้น" แต่จะเป็นอาการ "อยู่ หรือ แช่" เท่านั้น

    +++ ยามใดที่ "อยู่กับความรู้สึกทั้งตัว เป็นแล้ว" จะไปได้มากกว่า ฌาน ที่มีกล่าวไว้ในตำราอีกหลายประการ (ดูทบทวนเรื่อง การเดินจิตแบบ เอกัคตา (ฌาน 4) สู่ เอกัคตา (ฌาน 4) ใน "จิตเปล่งรังสี") ดูนะครับ
     
  6. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    อ่านแล้วมันส์เลยครับ ช่วงหลังๆ มีคนมาโพสต์ประสบการณ์หลายคน และได้อ่านคำตอบคุณธรรมชาติ เพิ่มความรู้ เหอะๆ ผมชอบอ่านครับ
     
  7. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    แต่ก่อนผมอ่านที่คุณธรรมชาติพูด ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกครับ แต่พอทำไปเยอะๆ ได้ประสบการณ์เพิ่มเติม แล้วกลับไปย้อนอ่านใหม่ก็จะเข้าใจดีขึ้นไป แต่ก่อนคุณธรรมชาติพูดเรื่องกายสีกายผมยังงงมันต่างกันยังไง ใช้ยังไง พอผมทำไปเยอะๆ ประสบการณ์เยอะขึ้น แล้วก็เข้าใจดีขึ้น

    บางคำไม่รู้จัก แต่พอได้ยินคุณธรรมชาติพูด ก็เข้าใจได้ว่าหมายถึงอะไรจากประสบการณ์

    ปัจจุบันผมยังไปย้อนอ่านหน้าแรกอยู่เลย เพราะบางทีผมได้ประสบการณ์ใหม่ๆ พอผมไปอ่าน ผมก็แบบ "จริงๆ ด้วย"
     
  8. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    เมื่อคืนฝันตอนตีสอง

    ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำลึกพอสมควร เห็นบางคนว่ายข้ามไปถึงฝั่งกระโน้น บางคนก็ยังอยู่ฝั่งนี้
    ส่วนตัวเราเองไม่กลัวที่จะว่ายน้ำ พอว่ายไปเจอร่องน้ำพาไป เหมือนเครื่องติดใบพัด ลอยฉิวไปฝั่งกระโน้น (kiss) คิดว่าเป็นนิมิตรหมายอันดี

    วันนี้เจอประสบการณ์แปลกมาก ไม่เคยเกิดมาก่อน
    วันนี้มีเหตให้ต้องใช้สมาธิในการตอบจดหมาย สติ สมาธิทั้งหมดได้ถูกส่งไปจดจ่อกับจดหมายฉบับนั้น
    สิ่งรอบข้างใดๆ ไม่สนใจ ใช้เวลาพอสมควร พอตอบจดหมายนั้นเสร็จ กลับมาสนใจสิ่งรอบตัวอีกครั้ง
    ปรากฎว่า ร่างกายไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุอันใด นิ้วมือนิ้วเท้าชาไปถึงโคนนิ้วมือเท้าเย็นเจี๊ยบเฉียบพลัน ถึงขั้นทั้ง เกิดอาการเจ็บมือเจ็บเท้ามาก ตั้งสติบอกตัวเองว่า ต้องไปแช่น้ำอุ่น แช่น้ำอุ่นอยู่นานเหมือนกันถึงจะหาย เหมือนกับว่าเย็นจากข้างในออกมาข้างนอก ไม่ได้เย็นจากข้างนอกไปข้างใน เพราะอากาศก็ร้อนอยู่ ตอนแช่น้ำสติบอกให้ต้อง ท่องคาถาบทใดบทหนึ่งเพื่อปรับสภาพ คาถาที่ท่องออกมาเองคือ คาถาเงินล้าน เพราะนึกคาถาอื่นไม่ออก แปลกดี ปกติถ้ามือเจออากาศเย็นมากๆ ก็ต้องค่อยๆ เย็นก่อนถึงจะชาแล้วเจ็บ นี่กลับเป็นว่า ชา เจ็บ แล้วถึงรู้ว่าเย็น หรือว่าจะป่วยก็ไม่ใช่น่ะ ณ ตอนนี้พิมพ์อยู่ก็สบายดี ใส่เสื้อแขนสั้นกางเกงขาสั้นก็ไม่ได้มีอาการหนาวหรือประการใด งง

    เอ๊ะยังไง ทำไมความรู้สึกมันกลับกัน หรือเพราะละความรู้สึกตัวทั้งหมดไปจดจ่ออย่างอื่น

    แต่เคยมี ประสบการณ์คล้ายๆ อย่างนี้แต่ไม่เหมือน หลายปีก่อนตอนฝึกสมาธิใหม่ๆ ไปเรียนครอสสั้นๆ ตั้งใจทำงานที่ ครูสั่งไว้มาก คือทำคนเดียว เขียนๆ จดๆ ไปด้วย พอออดหมดเวลา ก็รู้สึกตัว คราวนั้นมองเห็นเส้นเลือดตัวเอง เหมือนมองทะลุผิวเหมือนผิวใสเห็นเส้นเลือดข้างในชัดเจนมาก ก็งงๆ ก็เอาปากกามีขีดรอยเส้นเลือดที่มือไว้ ว่าไปทางไหนบ้าง


    ณ ตอนนี้ฝึกถึงแค่ เข้า ออก ตรึง แช่ ให้เป็นนวสีอยู่ค่ะ อ่านและพยายามทำความเข้าใจกับบทความ หน้าที่ 1 อยู่ อยากจะทดลองซ้ำๆ ว่าผลที่ได้จะเหมือนเดิม หรือเปลี่ยนไปยังไงค่ะ เพราะอ่านข้อต่อจากนั้นก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี กะทู้นี้เน้นปฎิบัติจริงๆ ไม่สนใจมองออร่าตัวเองนานแล้ว วันนี้มองสะนิด สีออกม่วงอ่อนๆ เหมือนมีสีเหลืองปนด้วย


    อีกอย่างนึงจากการสังเกตุ ถ้าอยู่กับความ รู้ สึกตัว สมองส่วนที่สั่งการเหมือนทื่อๆ ยังไงไม่รู้ คิดงานไม่ออกปรุงไม่ได้ ลืมคิดหรือไม่ก็ คิดไม่ออก ไม่อยากคิด ถ้าฝึกแบบนี้ต้องทำงานแบบใช้แรงงานไปเลยทั้งวัน น่าจะใช้ได้ดีกับการบำบัดผู้ป่วยโรคเครียดน่ะเนี่ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2014
  9. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    ขออนุญาติลบเดี๋ยวท่านอื่นเข้าใจผิด

    ขอเข้าใจผิดคนเดียวพอแล้วค่ะ


    อีกรูปนึง เป็นรูปใกล้เคียงที่สุดเท่าที่หาได้ในกูเกิ้ล แต่ที่ดาวเห็นจะเป็นเส้นละเอียดกว่านี้ ถ้ามองดีๆ เหมือนพวกเรืองแสง ถ้าจะฝึกให้เห็นชัดๆ ตอนหัวค่ำน่ะค่ะ ใกล้ๆ มืด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2014
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    เมื่อคืนฝันตอนตีสอง

    ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำลึกพอสมควร เห็นบางคนว่ายข้ามไปถึงฝั่งกระโน้น บางคนก็ยังอยู่ฝั่งนี้ ส่วนตัวเราเองไม่กลัวที่จะว่ายน้ำ พอว่ายไปเจอร่องน้ำพาไป เหมือนเครื่องติดใบพัด ลอยฉิวไปฝั่งกระโน้น คิดว่าเป็นนิมิตรหมายอันดี

    +++ ใช่แล้วครับ

    วันนี้เจอประสบการณ์แปลกมาก ไม่เคยเกิดมาก่อน วันนี้มีเหตให้ต้องใช้สมาธิในการตอบจดหมาย สติ สมาธิทั้งหมดได้ถูกส่งไปจดจ่อกับจดหมายฉบับนั้น สิ่งรอบข้างใดๆ ไม่สนใจ

    +++ ตรงนี้เป็น "จิตส่งออก" อย่างเต็ม ๆ จน "ไม่รู้ว่า ตัว มีอยู่หรือไม่" เป็นการ "ส่งออกในระดับ ฌาน 4" ทีเดียว แบบพวก "เล่นไพ่" ตอนตรุษจีน นั่นแหละ สมาธิแรงกล้ามาก อิอิ

    ใช้เวลาพอสมควร พอตอบจดหมายนั้นเสร็จ กลับมาสนใจสิ่งรอบตัวอีกครั้ง ปรากฎว่า ร่างกายไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุอันใด นิ้วมือนิ้วเท้าชาไปถึงโคนนิ้วมือเท้าเย็นเจี๊ยบเฉียบพลัน ถึงขั้นทั้ง เกิดอาการเจ็บมือเจ็บเท้ามาก

    +++ พอเสร็จงาน สติ ก็กลับมาอีกครั้ง จึงรู้ว่า "ร่างกายมีปัญหา" ตรงนี้ จริง ๆ ก็คือ ทำงานจนเกร็งไปทั้งตัว "ทุกข์เกิด ตั้งแต่เริ่มเกร็งแล้ว และน่าจะมี เครียด เป็นองค์ประกอบ" ในตอนนั้นด้วย เพียงแต่ว่า "สติ" มันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เท่านั้นเอง

    ตั้งสติบอกตัวเองว่า ต้องไปแช่น้ำอุ่น แช่น้ำอุ่นอยู่นานเหมือนกันถึงจะหาย เหมือนกับว่าเย็นจากข้างในออกมาข้างนอก ไม่ได้เย็นจากข้างนอกไปข้างใน เพราะอากาศก็ร้อนอยู่ ตอนแช่น้ำสติบอกให้ต้อง ท่องคาถาบทใดบทหนึ่งเพื่อปรับสภาพ คาถาที่ท่องออกมาเองคือ คาถาเงินล้าน เพราะนึกคาถาอื่นไม่ออก แปลกดี ปกติถ้ามือเจออากาศเย็นมากๆ ก็ต้องค่อยๆ เย็นก่อนถึงจะชาแล้วเจ็บ นี่กลับเป็นว่า ชา เจ็บ แล้วถึงรู้ว่าเย็น หรือว่าจะป่วยก็ไม่ใช่น่ะ ณ ตอนนี้พิมพ์อยู่ก็สบายดี ใส่เสื้อแขนสั้นกางเกงขาสั้นก็ไม่ได้มีอาการหนาวหรือประการใด งง

    +++ ไม่มีอะไรหรอก "รู้ตอนไหน ก็เริ่มนับจากตอนนั้น" เท่านั้นเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลก เพราะความคิดทำให้แปลก ทั้ง ๆ ที่ ไม่มีอะไรให้แปลก อือ... แปลกนะ

    เอ๊ะยังไง ทำไมความรู้สึกมันกลับกัน หรือเพราะละความรู้สึกตัวทั้งหมดไปจดจ่ออย่างอื่น

    +++ ใช่เลย ตรงนี้แหละ

    แต่เคยมี ประสบการณ์คล้ายๆ อย่างนี้แต่ไม่เหมือน หลายปีก่อนตอนฝึกสมาธิใหม่ๆ ไปเรียนครอสสั้นๆ ตั้งใจทำงานที่ ครูสั่งไว้มาก คือทำคนเดียว เขียนๆ จดๆ ไปด้วย พอออดหมดเวลา ก็รู้สึกตัว คราวนั้นมองเห็นเส้นเลือดตัวเอง เหมือนมองทะลุผิวเหมือนผิวใสเห็นเส้นเลือดข้างในชัดเจนมาก ก็งงๆ ก็เอาปากกามีขีดรอยเส้นเลือดที่มือไว้ ว่าไปทางไหนบ้าง

    +++ ความรู้สึกตัว และ อารมณ์ที่จิตครอง ต่างกันมาก ในสองเหตุการณ์นี้ ลองทำตัว "ให้กลับไปสู่เหตุการณ์ที่มองทะลุผิว" ได้ดู หากสามารถ "ไล่ได้ตั้งแต่ต้น" ก็ย่อมชี้ได้ว่า ในขณะนั้น "มีสติที่อยู่ในสมาธิ" ซึ่งจะต่างกับเหตุการณ์อันหลังมาก

    ณ ตอนนี้ฝึกถึงแค่ เข้า ออก ตรึง แช่ ให้เป็นนวสีอยู่ค่ะ อ่านและพยายามทำความเข้าใจกับบทความ หน้าที่ 1 อยู่ อยากจะทดลองซ้ำๆ ว่าผลที่ได้จะเหมือนเดิม หรือเปลี่ยนไปยังไงค่ะ

    +++ หลังจาก ตรวจสอบ ทดลอง แล้ว ควรทำ ประเมินผลเอาไว้ด้วย เพราะในภายภาคหน้าจะได้เข้าใจในเรื่องของ ค่าตัวแปร ได้ไม่ยาก

    เพราะอ่านข้อต่อจากนั้นก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี กะทู้นี้เน้นปฎิบัติจริงๆ ไม่สนใจมองออร่าตัวเองนานแล้ว วันนี้มองสะนิด สีออกม่วงอ่อนๆ เหมือนมีสีเหลืองปนด้วย

    +++ สีของออร่า สามารถเปลี่ยนแปรได้ตามสภาพของ กายและอารมณ์ (ธรรมารมณ์) ที่ครองอยู่ในขณะนั้น ๆ หากสามารถเดินจิต เปลี่ยนอารมณ์ไปมาได้ ออร่าก็จะเปลี่ยนแปลงไปมาได้เช่นกัน

    อีกอย่างนึงจากการสังเกตุ ถ้าอยู่กับความ รู้ สึกตัว สมองส่วนที่สั่งการเหมือนทื่อๆ ยังไงไม่รู้ คิดงานไม่ออกปรุงไม่ได้ ลืมคิดหรือไม่ก็ คิดไม่ออก ไม่อยากคิด

    +++ ถูกแล้วในขณะที่ "อยู่ กับความรู้สึกตัว" นั้น จะมี ฌาน เป็นส่วนประกอบไปด้วยเสมอ ดังนั้น "ความปรุงแต่ง" จึงปรุงไม่ออก เป็นธรรมดา

    +++ ดังนั้น นอกจากจะฝึก เข้า-ออก-เพิ่ม แล้ว จึงยังต้องฝึก "ลด" และ "แช่อยู่ในอาการที่ ลดลงแล้วนั้น" ประกอบกันไปด้วย โดยปรับระดับที่ "เปอร์เซ็นต์" ว่าตรงไหน "เหมาะกับอะไร" พอจัดการกับตรงนี้ได้แล้ว ก็จะสนุกไปเอง แน่นอน

    ถ้าฝึกแบบนี้ต้องทำงานแบบใช้แรงงานไปเลยทั้งวัน

    +++ จริง ๆ แล้ว การทำงานแบบ "นั่งวางแผนทังวัน" ก็เหมาะสมเหมือนกัน ทั้งหมดขึ้นกับ "เพิ่ม-ลด เข้า-ออก และ แช่อยู่" ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ (ปรับจิตให้เข้ากับสถานการณ์)

    น่าจะใช้ได้ดีกับการบำบัดผู้ป่วยโรคเครียดน่ะเนี่ย

    +++ มากกว่านั้นอีก "อยากลองกับคนเป็น มะเร็ง ด้วยซ้ำไป" แต่ยังไม่มีโอกาส นะครับ
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ภาพประกอบ คคห -308

    จากรูป ตัวที่ 1234 เรียงกันไป

    คนทั่วไปจะมองเห็นเป็น ดังรูปตัวไซย่า 2 แต่คนที่ฝึก สามารถ รู้-เห็น ได้ 1234 ตัว แล้วแต่ว่าจะอยากดู หรือเพิกเฉย

    +++ ตัวที่ 2 ไม่มี ออร่า ซึ่งต่างจากตัวอื่นอยู่แล้ว "เขาวาดมาให้เป็นอย่างนั้น"

    ดังรูปซุปเปอร์ไซย่า ตัวที่ 134 แต่ไม่รู้สึกไม่เห็น

    +++ "ลืมตาเฉย ๆ ก็เห็นเอง" เพียงแต่อย่าเอา "ความคิดมาบังความจริง" เท่านั้นเอง

    ที่เราฝึกกันคือ ทำยังไงให้รู้ ให้ รู้สึกให้เห็น กำหนด ให้เป็นซุปเปอร์ไซย่า

    ไม่ทราบว่าถูกต้องไหมค่ะ

    +++ ผิดเรียบเลยครับ 555 อ่านโพสท์ถัดไปของผมก่อนดีกว่า นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2014
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ความเข้าใจเบื้องต้น ในการอ่านกระทู้นี้

    +++ มีหลายคนที่อ่าน กระทู้นี้ แล้วไม่เข้าใจ ว่าอะไรเป็นอะไร จึงขอชี้แจงไว้คร่าว ๆ ดังนี้

    +++ กระทู้นี้เป็นกระทู้ "ฝึก" กรรม-ฐาน ด้วยการใช้ภาษาปัจจุบันที่มี ที่สามารถชี้ให้ตรงกับอาการที่เกิด รวมทั้งแนะนำ "วิธีการเดินจิต" เพื่อให้เข้าถึงอาการนั้น ๆ ส่วนคำศัพท์ (ในวงเล็บ) หรือบางครั้งใน "เครื่องหมายคำพูด" ก็มักจะใช้อ้างอิงกับภาษาอื่นที่ยังใช้กันอยู่ เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนกว่าเดิม

    +++ ด้วยเหตุที่กระทู้นี้เป็นกระทู้ "ฝึก" ดังนั้น "ผู้ที่ฝึกถึงตรงไหน ก็มักจะเข้าใจ และ เห็นได้ในบริเวณนั้น" นอกเหนือกว่านั้นออกมา ก็ย่อมไม่เห็น เป็นธรรมดา วิธีที่ดีที่สุดก็คือ "อ่านตั้งแต่ต้น" เพื่อให้พอรู้คร่าว ๆ ก่อนว่า "ตนอยู่ในบริเวณไหนของกระทู้" และที่สำคัญที่สุด ก็ใช้การตรวจสอบจาก "สติ ตามระดับของผู้ฝึก" ในโพสท์ที่ 5 ของหน้าแรก เป็นเกณฑ์ในการรวัดระดับของตน

    +++ กระทู้นี้จะแยก ประเภทการฝึกออกเป็น 2 ชนิด คือ กรรม-ฐาน ชนิดใดก็ตาม ที่ใช้การ "มองหรือดู ไม่ว่าจะเป็น ตาเปล่าหรือตาจิตหรือการคิด ก็ตาม แล้วเห็น" ก็จะเรียกกรรมฐานแบบนั้นว่า "กรรมฐานฝ่าย รูป" ส่วนกรรมฐานที่ ตัด ความนึกหรือคิด ทิ้งไปตั้งแต่ต้น แล้วเหลือแต่ "รู้ หรือ รู้สึก เห็น" (รู้ = ญาน เห็น = ทัศนะ) ก็จะเรียกกรรมฐานแบบนั้นว่า "กรรมฐานฝ่าย นาม" และ กระทู้นี้เป็นการฝึกของ "กรรมฐานฝ่าย นาม" เป็นหลัก

    +++ อาการของ "รู้ หรือ รู้สึก" ซึ่งในภาษาบาลีเรียกว่า "ญาน" นั้น จะตรงกับภาษาไทยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คือคำว่า "สติ" และอาการของ สติ จะเริ่ม "เห็น" ได้นั้น สติต้องอยู่ใน "ฌาน" เสมอ ดังนั้น ในยามใดที่ "สติทรงฌาน" ยามนั้นก็จะเกิด "ญานทัศนะ" ขึ้นมาเอง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ ตรงนี้ "พระป่าสายหลวงปู่มั่น" ท่านเรียกการเห็นชนิดนี้ว่า "ตาสติ"

    +++ อานาปานสติ เป็น "กรรมฐานฝ่าย นาม" ลมหายใจที่วิ่งเข้าออกทั้งหลาย "รู้ได้ด้วย รู้สึกเห็น" โดยไม่ต้องมีการ "สมมุติ หรือ นึกคิด" อะไรเพิ่มเติม ก็จะรักษา "อานาปานสติ" ไว้ได้ และยามใดที่ "ลมหายใจ ถูกรู้" ส่วนตัวผู้ฝึก "รู้อยู่" ก็จะ รู้จัก "อาการแยกตัวออกเป็นสอง" นั่นคือ "ลมหายใจเป็นส่วนหนึ่ง" และ "ตนเป็นอีกส่วนหนึ่ง" ในส่วนแห่ง "ตน" ตรงนี้ ภาษาของ "ฌาน" เรียกมันว่า "วิตก" และส่วนของ "ลมที่ถูกรู้" ก็จะถูกเรียกว่า "วิจารณ์" ยามที่อาการนี้เกิดขึ้น ก็จะเป็นเครื่องชี้ระบุว่า "อยู่ในฌาน 1" เรียบร้อยแล้ว และอาการที่แยกตัวออกจากกันนั้น คือ "อาการแยกขันธ์" เบื้องต้น นั่นเอง

    +++ แต่กระทู้นี้ มักจะไม่เอ่ยถึง อานาปานสติ เพราะมีผู้พูดถึงมากแล้ว แต่จะ "ข้าม ฌาน 1 โดยเข้าสู่ ฌาน 2" ไปเลย เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม "ผู้ที่แยก ลม ออกจาก ตน ได้" ก็ย่อม "เหลืออยู่แต่ ตน" ซึ่งจะปรากฏเป็น "ความรู้สึกตัว" นั่นเอง และ "ผู้ที่สร้าง ความรู้สึกตัว ได้แล้วนั้น" ย่อมรู้จัก "อาการแผ่ซ่านของความรู้สึกได้เอง" ซึ่งเป็นอาการของ "ผรณาปีติ" ที่อยู่ใน ฌาน 2 โดยปริยาย

    +++ และกระทู้นี้ จะไม่ใช้คำว่า "ฌาน" จนพร่ำเพื่อ เว้นไว้แต่ว่า "จำเป็น" เท่านั้น เช่นในกรณีของการ "ฝึกเดินจิตเปร่งรังสี" ซึ่งจะเป็นในระดับ "การเดินจิตใน ฌาน 4 ต่อ ฌาน 4 ทั้ง รูปและอรูป ในขั้นตอนเดียวกัน" และจะใช้คำว่า การเดินจิตแบบ "เอกัคตา สู่ เอกัคตา" ซึ่งเป็นอาการ "เดินจิตใน อารมณ์หลัก และอารมณ์รอง ที่แฝงตัวอยู่ด้วยกัน" นั่นเอง

    +++ สรุป กระทู้นี้ เริ่มต้นที่ "สติในฌาน 2" โดยมี "สติ อยู่กับ ตน" จนกว่าจะเกิดความ "รู้แจ้ง" ในสิ่งที่เรียกว่า "ตน" ทั้งหมด

    +++ ช่วงนี้ต้องไปธุระ 1-2 วัน หากใครได้ประสพการณ์อะไร หรือสงสัย หรือติดขัดตรงไหน ในการฝึก ก็ให้โพสท์ข้อความไว้ก่อนได้ นะครับ
     
  13. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    555555+ :cool::cool::cool: คาราวะ สามจอกค่ะท่าน

    ผู้น้อยยังด้อยประสบการณ์ :'(
     
  14. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    สงสัยค่ะ

    +++ แต่กระทู้นี้ มักจะไม่เอ่ยถึง อานาปานสติ เพราะมีผู้พูดถึงมากแล้ว แต่จะ "ข้าม ฌาน 1 โดยเข้าสู่ ฌาน 2" ไปเลย เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม "ผู้ที่แยก ลม ออกจาก ตน ได้" ก็ย่อม "เหลืออยู่แต่ ตน" ซึ่งจะปรากฏเป็น "ความรู้สึกตัว" นั่นเอง และ "ผู้ที่สร้าง ความรู้สึกตัว ได้แล้วนั้น" ย่อมรู้จัก "อาการแผ่ซ่านของความรู้สึกได้เอง" ซึ่งเป็นอาการของ "ผรณาปีติ" ที่อยู่ใน ฌาน 2 โดยปริยาย

    ผรณาปีติ นี่ไม่มีอยู่แต่ในณาน 2 หรือค่ะ อุปจารสมาธิ กับ ณาน 1 ไม่มีหรือค่ะ
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ผรณาปีติ เป็นอาการที่อยู่ใน ฌาน 2 เรียบร้อยแล้ว สมาธิที่ต่ำกว่านั้น จะไม่มี ผรณาปิติ ปรากฏอยู่เลย

    +++ คืนนี้ต้องขอตัวก่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทาง นะครับ
     
  16. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    อ้ออออ........ มิน่าละ เมื่อก่อนไม่ได้ทำความรู้สึกตัว ดูลมหายใจอย่างเดียว ทำสมาธิเมื่อไหร่ ตัดหลับไปทุกครั้ง อ้อออ... ถึงบางอ้อแล้ว

    ดีใจเหมือนถูกหวย ณานโลกีย์แบบลืมตา ได้แล้วไม่เสื่อมน่ะพี่น้อง มาฝึกกันไวไว อันนี้บอกได้เต็มปากเลยน่ะเพราะเคยได้ ความรู้สึกตัวแบบลืมตาเมื่อหลายปีก่อน ณ ตอนนี้ก็ยังไม่หายไปไหน


    เดินทางปลอดภัยน่ะค่ะคุณธรรม-ชาติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2014
  17. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    สงสัย.....

    จิตรับรู้อารมณ์ของคนอื่นได้ไหม

    สงสัยว่าถ้าปฎิบัติธรรมมาได้สักระยะนึง ไม่อยากคบหา สมาคมกับใคร ไม่ใช่ถือว่าตัวเองเป็นคนถือศีลกินเจประเภทนั้นน่ะ แต่รู้สึกว่า เวลาคุยกับคนอื่นแล้วจิตใจมัวหมอง คุยกันแต่เรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง อิจฉา ริษยา ถ้าคุยกันแล้วเหมือนไปรับอารมณ์คนอื่นมาด้วยน่ะค่ะ แล้วก็มีปัญหาเวลาไปอยู่ในกลุ่มคนเยอะ มักจะปวดหัว เหมือนคลื่นมันเยอะเกิน เหมือนตอนนี้จิตไม่อยากเสพอารมณ์ใดๆ ภายนอก เบื่อไปหมด
    แต่ถ้าอยู่ในที่โล่ง อยู่ในป่า เดินป่าอะไรแบบนี้กลับรู้สึกดี
     
  18. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    เมิลรู้สึกถึงอนุภาคได้ 1 ครั้งแล้วคะพี่
    ตอนนั้นอยู่กับรู้ แล้วก็มีความรู้สึกที่เหมือนมีจุดเล็ก ๆ วิ่งมาโดน (ไม่ได้โดนกาย แต่โดนอะไรสักอย่างที่เราอยู่ในตอนนั้น) แลัวความคิดก็เกิดคะ
    ความคิดแบบที่พี่เคยบอกว่า "เสียเวลา" นะคะ
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    สงสัย.....

    +++ ความสงสัย เกิดมาจากความที่ "ยังไม่รู้แจ้ง" ในประเด็นนั้น ๆ หาก "รู้แจ้ง" แล้วก็จะถึง "ความสิ้นสงสัย" ไปเอง ตามธรรมชาติของจิต

    จิตรับรู้อารมณ์ของคนอื่นได้ไหม

    +++ ธรรมชาติของจิต คือ "รับรู้อารมณ์" ไม่ว่าจะเป็นของใครก็ตาม ไม่มีขีดจำกัด แต่ที่สำคัญที่สุดคือ "แยกแยะออกได้หรือเปล่า ว่าเป็นของใคร" เท่านั้นเอง

    สงสัยว่าถ้าปฎิบัติธรรมมาได้สักระยะนึง ไม่อยากคบหา สมาคมกับใคร ไม่ใช่ถือว่าตัวเองเป็นคนถือศีลกินเจประเภทนั้นน่ะ แต่รู้สึกว่า เวลาคุยกับคนอื่นแล้วจิตใจมัวหมอง

    +++ ยามใดที่อาการนี้ปรากฏ ย่อมบ่งชี้ถึง ระยะแรกเริ่มก่อนที่จะเริ่มลงมือ "เร่งความเพียร" อย่างจริงจัง โดยเฉลี่ยมากกว่า 90% ขึ้นไปจะเข้าสู่ขั้นตอน "เอาจริง" กับการปฏิบัติธรรม ส่วนที่เหลือมักจะโดน "วิบากกรรม หรือ เจ้ากรรมนายเวร เก่า" เข้ามาตัดรอน ทำให้ เร่งความเพียรไม่ได้ บางรายถึงขั้น "เลิกฝึกไปเลย" และบางรายก็ "เปลี่ยนสายของการปฏิบัติ" ทำให้ทุกอย่างล่าช้าลง ก็มี

    คุยกันแต่เรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง อิจฉา ริษยา ถ้าคุยกันแล้วเหมือนไปรับอารมณ์คนอื่นมาด้วยน่ะค่ะ

    +++ ทุกอย่างที่มนุษย์คุยกันในโลก ก็วนเวียนกันอยู่ในเรื่องของ "รัก โลภ โกรธ หลง อิจฉา ริษยา" ทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่บ่งชี้ว่า นอกจากจะ "ติดและผูกพัน" ในเรื่องเหล่านี้แล้ว "ยังมีเจตนา" ที่จะ "เพ่ง" ลงไปให้ผูกพันให้ลึกถึงระดับ "ฌาน" เสียอีก (ไสยศาสตร์ทุกสาขา กำเหนิดมาจากตรงนี้) สถานการณ์ที่ทำให้ชาติต้อง "บอบช้ำ" อยู่จนทุกวันนี้ เกิดจาก การ "เพ่งโลภ" จนอยู่ในระดับ "รูปฌาน 4" ของคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง (กลุ่มบริวารจะมี มิจฉาสมาธิ ในระดับต่ำกว่าลงไป)

    +++ มีเพียง % ส่วนน้อยเท่านั้น ที่ใช้หลักการของ "สติ" หรือหลักการของ "เพ่ง" เพื่อให้ออกพ้นมาจาก การติดและผูกพันทาง "รัก โลภ โกรธ หลง อิจฉา ริษยา" ซึ่งรวมกันแล้ว สรุปออกมาได้เพียงอาการเดียวคือ "จิตใจมัวหมอง" นั่นเอง แต่อุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการ "ปกปิดจิตใจมัวหมอง" ไม่ให้ "เห็น" ได้ ก็คือ "ความคิด" นั่นแหละที่ "ปกปิดครอบงำ" จนทำให้สำผัสถึง "ความมัวหมอง" นั้นไม่ได้

    +++ วิธีการฝึกที่ลัดสั้นตรงที่สุดคือ "กรรมฐานฝ่ายนาม" ที่มาโดย สติ เท่านั้น ที่จะตัดทางตรงสู่การ "รู้อารมณ์" แบบตรง ๆ ที่ซ่อนอยู่ภายใน หากเป็น "กรรมฐานฝ่ายรูป" ก็ต้องใช้วิธีของการ "หยุดรูป ไม่ให้เคลื่อนไหว" อันเป็นบ่อเกิดของ "กสิณแบบต่าง ๆ รวมทั้งกสิณพระพุทธรูป" และกรรมวิธีโดยใช้ "รูปล้างรูป" เช่น อสุภะกรรมฐาน ต่าง ๆ ตามจริตของผู้ฝึก เป็นต้น

    แล้วก็มีปัญหาเวลาไปอยู่ในกลุ่มคนเยอะ มักจะปวดหัว เหมือนคลื่นมันเยอะเกิน เหมือนตอนนี้จิตไม่อยากเสพอารมณ์ใดๆ ภายนอก เบื่อไปหมด แต่ถ้าอยู่ในที่โล่ง อยู่ในป่า เดินป่าอะไรแบบนี้กลับรู้สึกดี

    +++ ตรงนี้เป็นความจริง ในสมัยที่ผมยังเป็น "พระป่า" อยู่ ยามใดที่เข้า "เขตเมือง" ทุกครั้ง ก็ จะสัมผัสถึง "การรบกวนทางจิต" ได้ทุกครั้ง ยิ่งเมืองที่มีความเจริญทางวัตถุมาก การรบกวนก็จะเป็นแบบ หลากหลาย หนาแน่น และ ถี่ยิบ คล้ายกับเป็น "สภาพของคลื่นความถี่ที่เต็มไปด้วย การส่งออก โดยที่ไม่มีการ รับเข้า แต่ประการใดทั้งสิ้น" ต่างฝ่ายต่าง ส่ง ๆ ๆ ๆ ลูกเดียว นี่แหละ "ทางโลก ย่อมสวนทางกับ ทางธรรม" เป็นธรรมดา
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    บาลี ม.ม. 13/461/509 ตรัสแก่โพธิราชกุมาร

    +++ ในการฝึก "ระดับที่ 9 อยู่กับความเป็นจริง" นี้ "เป็นทางขากลับ (อนุโลม) เข้าสู่ โลกตามความเป็นจริง" ส่วนการฝึกจาก กายหยาบ สู่ ละเอียด จนเห็น อวิชชา หรือ อัตตาจิต ตัวดู นั้น เป็นการฝึกขาออกไป (ปฏิโลม) จากโลก ตามลำดับของ ปฏิจจสมุปบาท

    +++ การฝึก ขากลับ (อนุโลม) นี้ ต้องเริ่มต้นจาก "สภาวะรู้" ได้เพียงประการเดียว เท่านั้น และ

    +++ "สังขตะธรรม" ทั้งหมดจะมีอาการ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" โดยสภาวะของตัวมันเอง

    +++ "อสังขตะธรรม" จะมีอาการ "ไม่ได้เกิดขึ้น" (มันมีอยู่แล้ว) "มีการคงอยู่" (มันมีอยู่แล้ว) และ "ไม่มีการดับไป" (มันมีอยู่ตลอดเวลา)(อมตะธรรม)

    +++ ทั้ง 2 สภาวะธรรมนี้ "มีอยู่จริง และ เป็นอยู่จริง" อยู่ตลอดเวลา

    ============================================================================

    +++ หากมีแต่ "สังขตะธรรม" แต่เพียงประการเดียว "มรรค ผล นิพพาน" ก็จะมีไม่ได้

    +++ และถ้าหากมี "อสังขตะธรรม" แต่เพียงประการเดียวก็จะ" ไม่มีใครเกิด และ ภพภูมิต่าง ๆ ก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ รวมทั้งตัวเราด้วย"

    ============================================================================

    +++ ดังนั้น "ผู้ที่ฝึกอยู่ในระดับที่ 9" นี้ จะต้องตระหนักชัดอยู่ตลอดเวลาว่า "ทั้ง 2 สภาวะนี้ มีอยู่จริงตลอดเวลา"

    +++ "สังขตะธรรม" ผมเคยใช้คำศัพท์ว่า Dynamic Stage ส่วน "อสังขตะธรรม" ผมเคยใช้คำว่า Static Stage

    +++ เพื่อเป็น การใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ต่อไปนี้คำว่า "สังขตะธรรม" ผมจะใช้คำว่าสภาวะ "จล ไม่เสถียร เคลื่อนไหว แปรปรวน" หรือคำอื่น ๆ ที่ชี้ระบุว่า "ไม่เสถียรภาพ" ตามแค่กรณี

    +++ ส่วน "อสังขตะธรรม" ภาษาที่ผมใช้หลัก ๆ คือ "สภาวะรู้ สติ รู้ ว่าง" หรือคำอื่น ๆ ที่ระบุชี้ถึงสภาวะที่เป็น "อมตะธรรม" ซึ่งแล้วแต่กรณี อีกเช่นกัน

    +++ การฝึกในระดับที่ 9 นี้ "ผู้ฝึกจะต้องเป็น สภาวะรู้" แล้วเท่านั้น จึงจะ "เห็น" สภาวะ "จล" ที่เป็น "อณู" เบื้องต้น ได้

    +++ ลอง กูเกิล ค้นหาประโยคข้างล่างดู เพื่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้นเอานะ

    ============================================================================

    1. บาลี ม.ม. 13/461/509 ตรัสแก่โพธิราชกุมาร "กาลนี้ ไม่ควรประกาศธรรมที่เราบรรลุได้แล้วโดยยาก ธรรมนี้ สัตว์ที่ถูกราคะโทสะรวบรัดแล้ว ไม่รู้ได้โดยง่ายเลย สัตว์ที่กำหนัด ด้วยราคะ "ถูกกลุ่มมืดห่อหุ้มแล้ว" จักไม่เห็นธรรมอันให้ถึงที่ทวนกระแส อันเป็นธรรมละเอียดลึกซึ้ง เห็นได้ยากเป็นอณู" ดังนี้

    ============================================================================

    +++ จากพุทธดำรัสตามประโยคข้างบนตรง "อันเป็นธรรมละเอียดลึกซึ้ง เห็นได้ยากเป็นอณู" ตรงนี้ จะเป็นบทฝึกของ "นักศึกษาในระดับที่ 9 ของกระทู้นี้" เท่านั้น

    +++ และ "นักศึกษาในระดับที่ 9 ของกระทู้นี้" ไม่ควรนำไปพูดหรือซักถามกับ ผู้ที่ยัง "ถูกกลุ่มมืดห่อหุ้มแล้ว" (อวิชชา) และยัง "อยู่ข้างใน กลุ่มมืดที่ห่อหุ้มอยู่" และ "กาลนี้ ไม่ควรประกาศธรรมที่เราบรรลุได้แล้วโดยยาก" เพราะพวกเขา "จักไม่เห็นธรรมอันให้ถึงที่ทวนกระแส" นี้

    +++ แม้แต่ พระพุทธเจ้าเอง ยังทรงตระหนักถึง ธรรมะตรงนี้ ดังนั้น "นักศึกษาในระดับที่ 9 ของกระทู้นี้" พึง "ตระหนักให้มาก" ถึง พุทธดำรัส ข้างบนนั้น

    *******************************************************************************************************

    +++ เอาละ "เข้ามาต่อในห้องเรียน"

    +++ อมตะธรรม แห่งสภาวะรู้นี้ ต้องมีเสถียรภาพ (ปัฏฐาน) อย่างเพียงพอ จึงจะ "เห็น" อนุภาคจล (อณู) ได้ ดังนั้นจึงต้องใช้ภาษาว่า ต้องเริ่มที่กาาร "เป็น" สภาวะรู้ เท่านั้น จึงจะเห็น "อนุภาคจล" ได้ รวมทั้งต้อง "อยู่กับรู้" ได้มั่นคง จึงจะไม่เกิดอาการ "ต่อติด" เข้ากับ อนุภาคจล ได้้

    เมิลรู้สึกถึงอนุภาคได้ 1 ครั้งแล้วคะพี่

    +++ ยกต่อไป ให้ปล่อยให้ "อนุภาค" นี้ "วิ่งทะลุ" "เรา" ไปเลย ซัก หลาย ๆ ที จนเกิดอาการ "คุ้นเคย" เสียก่อน (ต้องใช้ภาษาธรรมดา ที่เข้าใจได้ ไม่งั้นก็จะพูดกันไม่รู้เรื่อง) จากนั้นจึงให้ "ค่อย ๆ รู้ อาการ ต่อติด กับอนุภาคนี้" ในภายหลัง

    ตอนนั้นอยู่กับรู้ แล้วก็มีความรู้สึกที่เหมือนมีจุดเล็ก ๆ วิ่งมาโดน (ไม่ได้โดนกาย แต่โดนอะไรสักอย่างที่เราอยู่ในตอนนั้น) แลัวความคิดก็เกิดคะ

    +++ ในสภาวะนั้นคำว่า "กาย" หรือสภาวะของ "มหาสติปัฏฐาน 4" ไม่ปรากฏ เพราะมันเป็น "สติปัฏฐาน โดยไร้ฐาน" ได้แล้ว หากจะใช้คำว่า "กาย" ตรงนี้ก็มีแต่เพียงคำว่า "ธรรมกายา" (หลีกเลี่ยงคำว่า "ธรรมกาย" ของลัทธิ ลูกแก้ว มิจฉาทิฐิ ของคลองสาม) ที่พอเป็นที่รู้จักกันได้ เท่านั้น

    +++ มีอีกคำหนึ่งใน นิกาย "เซ็น" ของ "พุทธศาสนามหายาน" ที่พอจะนำมาใช้ในที่นี้ได้ก็คือคำว่า "ตนที่แท้" เท่านั้น ต่อไปอาจจะใช้คำว่า "ตนที่แท้" มากขึ้น (เพราะลัทธิ "ธรรมกลาย" คลองสาม มัน Block คำว่า "ธรรมกาย" ของจริง โดยพฤติกรรมของมันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)

    +++ หลังจากที่ ปล่อยให้ "อนุภาค" นี้ "วิ่งทะลุ" "เรา" ไปซัก หลาย ๆ ทีแล้ว ก็น่าจะเริ่มเห็น "อาการก่อหวอด" ของ "กลุ่มมืด" (อวิชชา) ได้

    +++ ภาษาใน "มหาปัฏฐาน" จะเรียก ตัวอนุภาค นี้ว่า "เหตุ" หรือ "เหตุปัจจัยโย" ส่วน อาการก่อหวอด ของ "กลุ่มมืด" (อวิชชา) คือ "อารมณ์ หรือ ธรรมารมณ์ ของ มหาสติปัฏฐาน 4 หรือ ตัวฌาน" นั่นเอง และ ภาษาใน "มหาปัฏฐาน" จะเรียกตรงนี้ว่า "อารัมมะณะปัจจะโย"

    +++ ก่อนที่จะ "ต่อติด" แล้ว เข้าไป "อยู่และเป็น ประธานหรือ อธิบดี ข้างในนั้น" ซึ่งตรงนี้เรียกว่า "อธิปะติปัจจะโย" และแล้ว "เมิล" ก็เกิดขึ้นมาเป็น "อรูปพรหม หรือ อรูปอาภัสสรพรหม" (ผู้ที่เคย เดินจิต จนถึงชั้น จิตเปล่งรังสี แล้วเท่านั้น จึงจะรู้ได้ว่า "อาภัสสรพรหม" นั้น ไม่มี "รูป" มีแต่ "สภาพที่เปล่งรังสี" เฉย ๆ เท่านั้น) ตรงนี้ "ตำราไปไม่ถึง" ดังนั้น ใครจะไปตามตำรา ก็ต้องไปฝึกกันเอาเองก็แล้วกัน ส่วนผู้ที่ฝึกอยู่ในกระทู้นี้ ไม่เกี่ยวข้องด้วย

    +++ สรุป ให้ปล่อยให้ "อนุภาค" นี้ "วิ่งทะลุ" "เรา" ไปหลาย ๆ ที แล้วให้รู้ "อาการก่อหวอด" ที่ "มีสภาพ" ของ "กลุ่มมืด" (อวิชชา) ให้ดี ๆ รวมทั้ง "ร่องรอยของ อนุภาค ที่ชำแรก" ไปในสภาวะรู้ด้วย (ละเอียดกว่า ร่องรอย ของแนวแรงในการยิงอนุภาค ของจิตเปล่งรังสี หลายเท่า) ดังนั้น "ให้เป็นสภาวะรู้" ให้ดี ๆ ก็แล้วกัน นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...