ปัญญาอบรมสมาธิ ของหลวงตามหาบัว กับ หลวงพ่อพุธ ต่างกัน?????

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เตชพโล, 12 พฤษภาคม 2010.

  1. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ถ้ามองในแง่ของนักอ่าน ก็ต้องมอง wording
    และ direction ของ meaning อยู่แล้วครับ
    กรรมฐานที่แท้จริงจึงมองกันไม่ยาก

    หากเป็นนักปฏิบัติแล้ว จะมองในแง่การปฏิบัติ
    จะไม่สนใจ wording เลย
    อยากจะตั้งชื่ออะไรก็ตั้งไปเหอะ
    <O:p
    ทีนี้เมื่อมองในวิธีปฏิบัติ
    จะเห็นว่าวิธีของหลวงพ่อพุธ
    ท่านให้ใช้วิธีพิจารณาให้ลงสู่ไตรลักษณ์
    และให้จ่อดูความคิดเฉย ๆ
    <O:p
    แต่วิธีการของหลวงตามหาบัว
    ท่านให้คิดค้นอุบายปัญญาของตนเองขึ้นมาใหม่
    ให้ทันต่อกิเลส ให้เป็นปัจจุบัน เพื่อต่อสู้กับกิเลสขณะนั้น
    เมื่ออุบายปัญญาที่คิดค้นมาได้ผลประจักษ์
    กิเลสจะมอบราบคาบแก้วสงบตัวแต่โดยดี
    ดังที่ผมได้ยกตัวอย่างวิธีปฏิบัติของผมมาให้ดู

    นี่ยังไงครับความแตกต่าง
    แตกต่างตรงนี้ล่ะครับ
    คือการได้ฝึกคิดค้นอุบายปัญญาให้เป็นปัจจุบันธรรม
    นี่คือปัญญาอบรมสมาธิที่ผมต้องการสื่อถึง
    <O:p
    แล้วผมจะโพสต์วิธีการที่ผมปฏิบัติได้ให้อ่านอีกครั้งชัด ๆ ครับ
    ยินดีเช่นกันครับ<O:p
     
  2. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    เตช..... เตชนี้มั่วไปเรื่อย ปัญญาอบรมสมาธิบ้าบออะไรของนาย เห็นเตช
    พร่ามมา มันใช้ปัญญาที่ไหนกันล่ะ นายพอเข้าใจขบวนการทำงานของขันธ์
    มั้ย อะไรกันเอาขันธ์มาเป็นปัญญา
    ...จิตนายปรุงแต่งเสียจนล้า แล้วไอ้ที่บอกว่าสัญญาของนายน่ะมันไม่ใช่แล้ว
    เพราะมันปรุงแต่งเสียไกล เล่นไปถึงประชาธิปไตยอะไรโน้น รับรองได้เดี๋ยว
    ได้ไปประท้วงกับเขาแน่ๆ

    .....สัญญาก็สัญญา สังขารก็สังขาร ส่วนปัญญาก็ปัญญา นี้นายเล่นเอามาป่นมั่ว เป็น...ไมเคิลตั๋ง

    ปัญญาหรือสัญญานำสมาธิได้ แต่วิธีการของคุณมันเป็นสังขารการปรุงแต่ง
    มันจะมานำสมาธิได้อย่างไร
     
  3. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    เวทนามันหายไปแน่ๆก็เพราะ จิตนายในขณะนั้น ไปยึดเอาขันธ์อื่นเข้า
    ปรุงแต่งซะมั่ว คนตายไปเผาแล้วไม่เจ็บปวด ฟุ้งซ่านไปไกล เล่นไปรู้เรื่องศพ
    คนอื่นว่าไม่เจ็บปวด ถามจริงนายทำกรรมฐานหรือเล่นของอยู่

    วิธีที่จะทำให้เวทนาหายไปอย่างแท้จริง คือการตามดูเวทนาแต่อย่างเดียว
    ดูเพื่อให้เกิดไตรลักษณ์ ถ้าดูเวทนาแล้วมีอาการอย่างที่นายเล่ามา
    เราว่า...นายกำลังเมายาอยู่แน่ๆ
     
  4. ตรงประเด็น

    ตรงประเด็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +677


    คุณ เตชพโล ครับ

    จุดที่เข้าใจไม่ตรงกัน น่าจะอยู่ตรงที่ว่า ...

    ในวิธีการที่ไม่ใช้สมาธินำหน้า นั้น หลวงตามหาบัว ท่านไม่ได้แสดง การตามรู้เฉยๆ เอาไว้ ในบทธรรมที่คุณนำมาลง...

    เลย ทำให้ดูเหมือนว่า หลวงตามหาบัวท่านสอนไม่ตรงกันกับหลวงพ่อพุธ ในกรณีปัญญาอบรมสมาธิ???


    [ปล...เพราะ

    ในบทธรรมของหลวงพ่อพุธ นอกเหนือจากการพิจารณาจิตลงสู่ไตรลักษณ์แล้ว ท่านสอน การจ่อดูความคิดเฉยๆ เอาไว้ด้วย;

    ในขณะที่ บทธรรมของหลวงตามหาบัวที่คุณนำมาลงนั้น ท่านไม่ได้กล่าวถึง การตามรู้เฉยๆ (น่าจะสงเคราะห์ตรงกันกับ การจ่อดูความคิดเฉยๆ แบบของหลวงพ่อพุธ) เอาไว้ .ท่านแสดงเพียง การใช้ปัญญานำหน้าสมาธิ แบบกว้างๆ]



    คือ อย่างนี้น่ะครับ....

    หลวงตามหาบัวเอง ท่านก็เคยสอนในเรื่องการตามรู้เฉยๆ เอาไว้น่ะครับ.เพียงแต่ แสดงแยกเอาไว้ในที่อื่น



    เสนออ่าน

    โอวาทธรรม หลวงตา มหาบัว ญาณสัมปันโน





    ผมจึงเห็นว่า หลวงตามหาบัว ท่านก็ได้สอนเอาไว้ทั้ง

    1.การใช้ปัญญาพิจารณานำหน้าสมาธิ

    และ

    2.การกำหนดรู้เฉยๆ

    เอาไว้ทั้งสองอย่าง เช่นกัน....เพียงแต่ ท่านแยกแสดงเรื่องการตามรู้เฉยๆ เอาไว้ในบทอื่น ครับ
     
  5. ตรงประเด็น

    ตรงประเด็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +677
    ในระดับคำสอนของครูบาอาจารย์แต่ละองค์

    ถ้า จะให้ตรงกันเป๊ะ แบบ คำต่อคำ คงยากมากที่จะเป็นเช่นนั้น....



    เพราะอะไร???...

    เพราะ ครูบาอาจารย์แต่ละองค์แต่ละท่าน
    ย่อมมีจริตนิสัยพื้นฐานที่ไม่ตรงกันป๊ะเสียทีเดียว
    ย่อมมีวิธีการพิจารณาธรรมที่ไม่ตรงกันเป๊ะเสียทีเดียว(มีหลักการใหญ่ตรงกัน แต่ รายละเอียดปลีกย่อย ย่อมมีต่างกันบ้าง)
    และ เพราะในระดับพระสาวกที่ไม่บรรลุปฏิสัมภิทาญาณทั้งสี่ ย่อมมีข้อจำกัดเรื่องการใช้ภาษา


    ผมจึงกล่าวบ่อยๆว่า ผมขอถือเอาพระพุทธพจน์ที่แสดงเอาไว้ เป็นหลักใหญ่ สุด....
    คำสอนของอาจารย์ใดๆก็ตาม ผมจะต้องนำมาพิจารณาดูว่า จะสงเคระห์ลงกันกับพระพุทธพจน์ตรงบทไหน.(ไม่ใช่ว่า ไม่เคารพอาจารย์ใดๆน่ะครับ)

    .....................


    สำหรับ คำสอนเรื่องการเจริญภาวนาที่ไม่ใช้สมาธินำหน้า. ในประเด็น ใช้ปัญญาพิจารณานำสมาธิ ผมนำพระพุทธพจน์มาลงแล้วข้างต้น



    ผมจึงขอ อนุญาตเสนอ พระพุทธพจน์ที่ผมเห็นว่า น่าจะตรงกันกับ การทำสติตามรู้ความคิด(ภาษาของ หลวงพ่อพุธ) หรือ การตามรู้เฉยๆ(ภาษาของ หลวงตามหาบัว)


    ในระดับ พระสูตร ถ้าสนใจ ลองอ่าน สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ ดู

    http://www.84000.org.../read/?21/41/57

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะเป็นไฉน

    ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    รู้แจ้งเวทนาที่เกิดขึ้น รู้แจ้งเวทนาที่ตั้งอยู่ รู้แจ้งเวทนาที่ดับไป
    รู้แจ้งสัญญาที่เกิดขึ้น รู้แจ้งสัญญาที่ตั้งอยู่ รู้แจ้งสัญญาที่ดับไป
    รู้แจ้งวิตกที่เกิดขึ้น รู้แจ้งวิตกที่ตั้งอยู่ รู้แจ้งวิตกที่ดับไป

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ



    .......................



    คห.ส่วนตัว

    คำว่า ความคิด มันจะตรงกับคำว่า สังขารขันธ์

    แต่ เวลา เราจำได้(สัญญา)ในเรื่องใด ก็จะรู้สึกสุข ทุกข์ หรือ เฉยๆ(เวทนา)ไปด้วยในสิ่งที่เราจำได้ และ ก็จะมีสิ่งที่เรียกว่า วิตก (คำแปล จะแปลว่า ความตึก ความตริ ความคิด; ซึ่ง อาการปรุงแต่ง หรือ สังขาร น่าจะอยู่ในนี้ด้วย)

    สัญญา เวทนา วิตก และ อาการรู้แจ้ง(วิญญาณ)ซึ่งธรรมเหล่านั้น จึงจะปรากฏรวมๆกัน ในเวลาที่มีความคิดปรากฏ นั่นเอง






    มี การวิจัยของตะวันตกใช้"สติ" ร่วมรักษา โรคกังวลและซึมเศร้า

    ปรากฏว่า ได้ผลที่ดี


    (ไม่ได้ใช้ การเจริญภาวนามาแทน การรักษาแผนปัจจุบันทั้งหมด น่ะครับ
    อีกทั้ง ต้องไม่ป่วยจนรุนแรงมากเกินไป และ ควรปรึกษากับแพทย์ที่ดูแลอยู่ด้วย ว่า จะสามารถใช้ร่วมรักษาได้ไหม)


    เรื่อง"สติ"กับการรักษาโรคกังวลและซึมเศร้า

    ในผลการวิจัยของทางชาติตะวันตก.


    Mindfulness Meditation for Depression

    THE GOAL

    The goal of mindfulness meditation is to help place you totally in the present moment, "mindful" of your immediate sensations and surroundings and aware of what's happening in your body and your mind. You learn the futility of spending your days regretting the past (which you can do very little about, haven't you noticed?) or agonizing about the future. Instead, you focus on the "now." As you do this, you also get a deeper perspective on how you react to everyday stresses and pressures. As far as mindfulness for depression goes, the new objectivity you gain as you master the techniques - not to mention the new calmness you feel - may allow you to plan the next steps in getting everything back together in your life.

    PRACTICE HELPS
    There are mindfulness meditation classes taught by trained instructors available through many hospitals or adult education centers. However, even without an instructor, you can learn to do mindfulness meditation informally at home. For best results, it's important to practice every day, ideally morning and evening for at least 10 minutes. Don't think, "Can I practice my meditation today?" but rather, "When should I practice my meditation today?"
    Believe me, by doing mindfulness meditation regularly, it moves from "task" to "habit" very quickly. In a couple of weeks, you'll wonder how you ever survived without it. In fact, you'll soon find that you can meditate anywhere: sitting in the bathtub, while on the train going home from work, or in that break during the day when you used to chow down coffee and doughnuts.

    SITTING MEDITATION
    A technique called sitting meditation is perhaps the best-known and easiest mindfulness practice. Just follow these simple steps in your own living room.

    HOW TO DO SITTING MEDITATION
    1. Sit comfortably erect in a straight-backed chair with your feet on the floor.
    2. With your eyes open or closed, focus on your breathing. Feel each breath as it passes in and out of your nostrils. Once you have achieved concentration on your breathing, you can extend your awareness and begin to focus on your thoughts.
    3. When thoughts come into your mind, don't ignore them (even depressing ones), but don't indulge yourself in them either. Use your breathing as an anchor if you become distracted.
    4. As you become more relaxed and less distracted, pay more attention to your thoughts. Don't force them; simply see them as if reading them on paper. Let one thought end and another begin. Simply observe the thoughts nonjudgmentally.
    5. Do this for at least 10 minutes morning and evening, if possible.
    For more on meditation, see the

    http://www.wholeheal...bstances_view/1,1525,717_MO,00.html


    จากข้างบน เขาเน้นหลักของสติ คือการทำความระลึกรู้อยู่กับ"ปัจจุบัน"…..หลักของเขาใช้ อานาปนสติ(3ขั้นแรก ในกายานุปัสสนา) ผสมกับ การเจริญสติตามรู้ความคิด

    เขาใช้หลักวิธีดังนี้ครับ

    1.นั่งอย่างสบาย หลังตั้งตรง บนเก้าอี้ที่วางบนพื้น วางเท้าบนพื้น

    2.จะเปิด หรือ ปิดตาก็ได้ รวมความรู้สึกมาไว้ที่ลมหายใจเข้า-ออก. ทำความรู้สึกในลมหายใจแต่ล่ะครั้งเมื่อมันผ่านเข้าออกโพรงจมูก.

    ต่อเมื่อคุณสามารถกำหนดลมหายใจได้ชัดเจนดีแล้ว คุณสามารถขยายขอบเขตการระลึกรู้ของคุณ และเริ่มกำหนดดูความคิด.

    3.เมื่อความคิดเข้ามาในจิตของคุณ. คุณไม่ควรละเลยมัน(รวมทั้งไม่เศร้าสร้อยไปกับมัน)แต่ก็ไม่ปล่อยให้คุณหมกมุ่นอยู่กับมัน.

    ให้ย้อนกลับมาใช้ลมหายใจเป็นตัวถ่วงความคิด เมื่อคุณเริ่มรู้สึกไขว้เขว.

    4.เมื่อคุณสามารถผ่อนคลายและไขว้เขวน้อยลงแล้ว ให้กลับไปให้ความสำคัญกับความคิดเพิ่มขึ้นอีก.อย่าบังคับความคิด….มองดูความคิดอย่างธรรมดาราวกับว่าได้อ่านมันบนแผ่นกระดาษ. ปล่อยความคิดเก่าจบไป และความคิดใหม่เริ่มมา…..เฝ้าสังเกตุมันอย่างง่ายๆ โดยไม่ไปตัดสินใดๆเกี่ยวกับความคิดนั้น.

    5.ควรทำอย่างน้อยประมาณ10นาที ในตอนเช้าและตอนเย็น เท่าที่สามารถจะทำได้....

    .................


    หลักจากข้างต้น คือ

    ไม่ห้ามความคิด แต่ ไม่ไปช่วยคิด...

    ไม่สนใจในรายละเอียดของความคิด ไม่อินไปกับความคิด....

    ดูมันเฉยๆ ....มันมาก็รู้ มันตั้งอยู่ก็รู้ มันดับก็รู้... มันมาอีก ก็ดูมันอีก ๆลๆ


    เรื่อง การเจริญสติตามรู้ความคิดนี้ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านเทศน์เอาไว้หลายครั้ง ใครสนใจลองหาอ่านในกระทู้เก่าๆดูเอาน่ะครับ. ท่านแสดงไว้ละเอียดมาก.


    ปล...

    ความเห็นส่วนตัว

    ผมเห็นว่า ลักษณะการเจริญสติตามรู้ความคิดนี้ ยังไม่ตรงเป๊ะกับการน้อมจิตลงสู่ไตรลักษณ์แล้วบังเกิดสมาธิ(เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า)เสียทีเดียว ครับ.
    มีรายละอียดแตกต่างกันอยู่.
     
  6. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ตรงประเด็น<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3300948", true); </SCRIPT> สมเป็นพหูสูตรโดยแท้.....วิธีการศึกษาของผมกับของท่านดูจะเป็นวิธีเดียวกัน....แต่ดูแล้วท่านละเอียดกว่าผมมากเลย...

    รักษาความดีไว้นะครับท่าน....จะได้เป็นกำลังพระศาสนา......สัทธรรมปฏิรูปเยอะเหลือเกิน.....หาคนรู้จริงได้น้อยแล้ว.....

    โมทนาสาธุธรรมครับ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2010
  7. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ไม่ใช่เข้าใจไม่ตรงกันหรอกครับ
    เพียงแต่คุณและคนอื่น ไม่เข้าใจประเด็นที่ผมนำเสนอมากกว่า

    องค์หลวงตาท่านสอนหมดล่ะครับ
    ทุกแง่ทุกมุม

    ที่ผมยกมาคือ
    หลวงตาท่านสอนให้เราผลิตอุบายปัญญาใหม่ ๆ ขึ้นมา
    เพื่อให้ทันต่อกิเลส เป็นปัจจุบันธรรม

    ผู้ที่เหมาะกับจริต
    เมื่อนำไปปฏิบัติบ่อย ๆ ฝึกบ่อย ๆ
    ก็จะเป็นการฝึกปัญญาให้แก่ตน
    ให้ปัญญาเจริญรุดหน้าไปเรื่อย
    นี่คือการเจริญปัญญา วิธีหนึ่งครับ

    ผมนำเสนอตรงนี้
    ใครจะเอาไปปฏิบัติก็เอา
    ไม่เอาไม่สนใจ หรือปฏิเสธ มันก็เรื่องของเค้า

    ผมทำเองผมก็ได้เอง ก็แค่นั้น...

    ส่วนคนอื่นจะได้หรือไม่ได้ จะทำหรือไม่ทำมันเรื่องของเค้า
    ผมไม่ไปเพ่งโทษใครหรอก
    (และนี่ไม่ได้เพ่งโทษผู้เพ่งโทษเช่นกัน แต่แสดงด้วยความเมตตา)
     
  8. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    นำไปใช้ประโยชน์ต่อโลกได้ผมก็อนุโมทนาด้วยครับ
    ตรงนี้ผมเห็นด้วย
     
  9. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    นายก็เอาไปปฏิบัติบ้างสิวะ
    จะได้หายเมาโลกซะที
    เราจริงใจนะโว้ย...
     
  10. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    เห็นมั้ยล่ะกิเลศโผล่แล้ว เล่นหยาบกับเราก่อนน่ะ
    เราสู้อุตสาห์ให้เกียรตินายนะ เรื่องส่วนตัวของนาย
    ที่มีสมาชิกเข้ามาวิจารณ์นายในกระทู้ก่อนเรายังไม่ยุ่งด้วย
    ทั้งๆที่เราเชื่อว่าเป็นจริง แต่เห็นว่ามันไม่เกี่ยวกับที่เราคุยกันอยู่

    .....ไม่อยากคุยก็ไม่ต้องคุย สองกระทู้แล้วนะว่อย!
    ไอ้ขี้โม้55555555
     
  11. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    นายจะเชื่อยังไงก็เชื่อไปเถอะว่ะ
    แต่ความจริงมันก็ยังเป็นความจริงอยู่นั่นล่ะ

    เหมือนกับนิพพาน
    แม้ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ เพื่อรื้อขนสัตว์
    นิพพานก็มีอยู่อย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง

    เหมือนเรานั่นล่ะไม่เคยเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2010
  12. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เออ...เอ้าตอบให้ก็ได้
    นายรู้จักวิธีทำให้จิตสงบกี่วิธี

    แต่เราจะบอกคร่าวแล้วกันเท่าที่นึกได้ตอนนี้
    1.ในกรรมฐาน 40 กอง
    2.วิธีของนายตามดูความคิด(จนเผลอไปกับความคิดเพราะขาดสติ)
    เรานึกได้แค่นี้ตอนนี้

    แต่วิธีนี้ที่เราบอก
    เป็นวิธีใช้การคิดเพื่อให้หยุดคิด
    มันก็สังขารปรุงแต่งอย่างนายว่านั่นล่ะ
    แต่ปรุงแต่งเพื่อให้หยุดปรุงแต่ง

    นี่ละวิธีของเราทำได้ทุกอย่าง
    พลิกผันไร้ท่วงท่า
    สูงสุดคืนสู่สามัญ

    จะคิดก็สงบใจได้
    จะไม่คิดก็สงบใจได้
    จะตามดูความคิดก็สงบใจได้
    ขณะคิดก็ยังสงบใจได้

    อย่างหลวงพ่อพุธเราก็เป็น
    สังขารความคิดพุ่งขึ้นเหมือนน้ำพุแล้วก็ตกลง
    คือคิดปุ๊บดับปั๊บ เหมือนน้ำพุ พุ่งขึ้นแล้วก็ตกลงไป
    พุ่งเป็นน้ำพุอยู่อย่างนั้น

    ก็มันรู้ซอกแซกไปหมด
    จะให้ว่ายังไง
    ก็มันรู้เอง

    ไม่ได้โม้!!!!
     
  13. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ที่นายบอกว่าเป็นวิธีของเรา เราว่าไม่ใช่มันเป็นวิธีของนายต่างหาก ไอ้ที่
    นายเล่ามามันตรงกับที่นายกำลังปฏิบัติอยู่ เอาสังขารปรุงแต่ง หยุดสังขาร
    ปรุงแต่ง
    ....สิ่งที่นายเข้าใจว่าสังขารมันหยุดก็เพราะ สังขารหรือความคิดนั่นมันเปลี่ยน
    เรื่องไป หรือไม่ก็คิดเสียจนจิตล้าเพลีย ทำให้นายคิดไปว่าเป็นสมาธิ
    ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ การมีสมาธิต้องทำให้จิตมีกำลัง เหมาะแก่การงาน


    .....ส่วนวิธีของเราดูจิตโดยใช้ สติไปหยุดความคิด แล้วไม่ได้โม้ตอนนี้
    สติเราไปหยุดแค่เวทนา จะมีบ้างแต่นานน้านนาน จะปรุงแต่งสักครั้ง
    ฉะนั้นนายอย่ามาง่าวพูดว่า เราดูความคิด นั้นมันเรื่องของคนปฏิบัติใหม่หรือปฏิบัติไม่เป็น อย่างนายเป็นต้น
     
  14. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    เอาละเว้ย! ไปจิตเตลิดเปิดเปิงแล้ว เตชตั้งสติให้ดีเอากระบี่ที่สั้นจุ๊ดจู๋ของ
    นายเก็บเสียเดี๋ยวบาดมือ บาดไม้เอา รู้นะว่ากำลังโกรธเราจิตปรุงแต่งอยากฆ่า
    เราแต่ทำไม่ได้ เลยต้องปรุงแต่งเรื่องใหม่โดยคิดว่าตัวเป็น จอมยุทธ์
    ไอ้ผลิกผันไร้ท่วงท่าของนาย มันท่าดีที่เหลวหรือเปล่า
    แล้วสูงสุดคืนสู่สามัญ มันสูงเกินตาตุ่มหรือเปล่า555 เพ้อเจ้อได้ใจเลย

    ไปกันใหญ่แล้วเตช สงบจิตสงบใจบ้างนะ
    เดี๋ยวหมอไม่ให้กลับบ้านนะ


    นายนิมนต์หลวงพ่อ หลวงตามาหมดวัดหรือยัง ตั้งแต่คุยกับนายมาเราเห็นนาย
    อ้างพระมาสามสี่รูปแล้วนะ ระวังเนื้อหาของหลวงพ่อหลวงตาที่นายเอามา
    เข้าข้างตัวเอง มันจะตีกันเอง สติสตังเป็นแบบนี้ด้วย

    แบบนี้เข้าไม่เรียกว่าโม้หรอก เขาเรียกว่า..เพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่าน!!!
     
  15. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เออ..ว่ะ
    นายเริ่มปฏิบัติยังไงวะ
    แล้วมันเป็นยัง
    แล้วทำไมมาติดอยู่ที่เวทนา

    ลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ
     
  16. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ก็นายมาว่าเรา ตามดูความคิดจนเผลอเพราะขาดสติ เราก็บอกการปฏิบัติของ
    เราให้ฟัง แล้วมันก็อธิบายได้ว่าสิ่งที่นายว่ามันไม่จริง
    .....วิธีปฏิบัติการดูจิตของเรา ใช้การปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริงอายตนะหรือผัสสะ
    ที่เกิดขึ้นก็เป็นของแท้ เราไม่ใช้วิธีนั่งแช่แล้วเที่ยวได้โม้กับใครๆว่า ใช้ปัญญา
    ให้เกิดสมาธิ ไม่ว่าใครได้ฟังประโยคนี้แล้ว นายว่ามันน่าหัวเราะมั้ยล่ะ

    ....ที่บอกว่าติดที่เวทนาก็เพราะ เวทนาก็เป็นอารมณ์ ชอบ ไม่ชอบหรือเฉยๆ
    คนเราถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ เมื่อได้รับผัสสะจิตย่อมมีอารมณ์ ขบวนการขันต์ก็จะ
    ดำเนินไป เช่นสัญญา สังขาร
    ....แต่คนที่รู้จักการปฏิบัติดูจิตบ่อยๆ รู้และจำอารมณ์ที่เคยเกิด สติก็จะตามมา
    เพื่อหยุดการปรุงแต่งต่างที่จะเกิดตามมา
    ...ฉะนั้นนายเลิกพูดง่าวๆเสียที่นะว่า พวกดูจิตเขาดูความคิด ที่จริงเขาดู
    อารมณ์ที่เกิดในปัจจุบัน เพื่อทำให้เกิดสติ นายรู้ไว้ด้วยนะว่าอารมณ์กับ
    ความคิดมันไม่เหมือนกัน

    .....เรื่องสมาธิในรูปแบบเราก็ทำ แต่เราทำเพื่อให้จิตสงบไม่ให้ฟุ้งซ่านและ
    เลิกใช้ความคิดหรือการการปรุงแต่งต่างๆ และในความคิดเราสิ่งที่จะทำให้
    จิตสงบมีสมาธิได้ คือสติที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่สังขารหรือความคิดที่นายเข้าใจว่า
    เป็นปัญญา

    ส่วนที่นายถามเราว่าเราใช้วิธีใดทำให้จิตสงบ เมื่อก่อนเริ่มปฏิบัติใหม่ๆเราใช้
    วิธีสวดมนต์ วิธีนี้อาจเรียกว่าใช้ สัญญาเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสติก็ได้ เราทำ
    หรือปฏิบัติแบบนี้ จนได้ฌานอะไรก็ไม่รู้ไม่อยากจะอ้าง มันมีลักษณะเหมือน
    อากาศว่างๆสุดลูกหูลูกตา มันเป็นอย่างนี้ทำกี่ครั้งก็แบบนี้
    ....แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ใช้วิธีนี้แล้ว พอจะทำสมาธิเราก็เพ่งเข้าไปภายในเลย ต้อง
    เข้าใจด้วยว่า นี่เป็นการทำสมาธิของเราเพื่อให้จิตสงบ ไม่มีวิปัสสนา
     
  17. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    อ้าวอาจารย์นายสอนนี่หว่า
    ว่า สติ เป็น อนัตตา
    เกิด แล้ว ดับ
    สติต่อเนื่อง สืบเนื่อง ไม่ได้

    แล้วนายมาบอกว่าสติมันสืบเนื่องได้
    มันก็ค้านกับ อาจารย์ ของนายสิ
     
  18. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    ขอบคุณครับ
     
  19. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ....มันน่าขำจริงๆ ไม่อยากจะเยาะเย้ยถากถางหรอกนะ แต่สิ่งที่นายแสดงออก
    มาทำให้ชาวบ้านรู้ได้ว่าที่แล้วๆมา นายขี้โม้อวดเก่งแบบไม่มีดีอวด
    ความรู้ปริยัติหรือบัญญัติไม่มีเอาเลย แถมเล่นไปเอาคำของครูบาอาจารย์
    คนนั้นนิดคนนี้หน่อยมาผสมกันจนมั่ว แล้วนำมาโพส ถามจริงนายทำเพื่ออะไรอยากดังหรือไร

    ......จะบอกให้นะ ไอ้เรื่องสติเป็นอนัตตา เรารู้มาก่อนพระ ที่นายกำลังเหน็บ
    แนมถึง จะบวชเสียอีก หัดไปอ่านในพระอภิธรรมแล้วก็ลองปฏิบัติดู แล้วอย่าลืม
    ใช้..ธัมมวิจยะด้วยล่ะ แต่สงสัยธัมมวิจยะนายคงยังอีกไกล เห็นยังดักดานกับ
    เรื่องง่ายๆอยู่เลย

    ....สติต่อเนื่องหรือสืบเนื่อง มันก็มีความหมายในตัวอยู่แล้วว่า ไม่ใช่ดวงเดียว
    หรืออันเดียว มันต้องมีอันใหม่หรือดวงใหม่มาต่อมาสืบเนื่องจากดวงก่อนที่มีมา
    แล้วหรือดับไปแล้ว ถ้านายยังไม่เข้าใจก็ไปเปิดพจนานุกรมดู ดูแล้วใช้
    ความคิดตามไปด้วยล่ะ อย่าเอาประเภทอ่านแบบนกแก้วนกขุนทองที่
    นายกำลังเป็นอยู่

    ... ทีนี้ลองย้อนกลับไปพิจารณา สติในความหมายที่ไม่เกิดดับของนาย
    นายเคยบอกว่า ให้มีสติสืบเนื่องเป็นสายน้ำ ในเมื่อสติมีดวงเดียวไม่เกิดดับ
    นายลองอธิบายประโยคนี้ให้ฟังหน่อยซิ ในเมื่อสติมีดวงเดียวแล้วมันจะเป็น
    สายน้ำได้อย่างไร แถมนายยังบอกว่า เมื่อสติเป็นสืบเนื่องเป็นสายน้ำแล้ว
    จึงดูการปรุงแต่งของจิต 555..สติมีดวงเดียวไม่เกิดดับ นายสามารถทำให้
    มันเป็นสายน้ำได้ แถมยังดูการปรุงแต่งได้อีก โอโห้! สุดยอดเลย มั่วๆๆๆ
    .....ในเมื่อมีสติสืบเนื่องเป็นสายน้ำ การปรุงแต่งมันเข้ามาตอนไหน
    ถ้าการปรุงแต่งเข้ามา สติมันก็ขาดตอน แล้วจะเรียกสติสืบเป็นสายน้ำ
    ได้อย่างไร แล้วอีกอย่างนายเอาวิธีการทำสมาธิ สมถ มาปนกับวิปัสสนา
    กันให้มั่วไปหมด

    .......อธิบายเรื่อง สติเกิดดับเปรียบเทียบกับสายน้ำให้รู้นะ เวลาที่นายมองดู
    สายน้ำที่สืบเนื่อง นายดูนะจุดๆหนึ่ง สายน้ำมันต้องไหลอยู่ตลอดเวลา ช่วงน้ำ
    ที่นายกำลังมองที่จุดๆนั้น มันยังอยู่กับที่หรือมันได้ไหลไปแล้ว มันย่อมไหลผ่าน
    ไปแล้ว เปรียบได้กับสติ ถ้าสติเป็นสายน้ำ สติย่อมเกิดดับทดแทนกันไป
    ตลอดสาย แล้วการที่เรียกสติสืบเนื่องเป็นสายน้ำ เพราะสติเกิดดับรวดเร็วมาก
    จนมองดูเป็นสายเดียวกันตลอด หรือมันทำให้นายมองดูว่า มันไม่เกิดดับ

    .....ปล. เรารอนายอธิบายเรื่อง มิจฉาสติอยู่นะ ถ้านายอธิบายไม่ได้
    ก็บอกมา เราจะอธิบายให้นายฟังเอง แม้กระทั้งในส่วนที่นายอ้างมา
    ด้วย
     
  20. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เอาล่ะวะ...ศิษย์ล้างครูซะแล้ว

    ที่ยกเรื่องการเจริญสติให้สืบเนื่องกันไป
    เหมือนสายน้ำ ไม่ให้เหมือนหยดน้ำ นี่
    เป็นการเปรียบเทียบ ให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น

    น้ำนี่ เป็นรูปธรรมนะ เป็นธาตุ
    นายจะหาจุดของน้ำ เป็นโมเลกุลก็ได้
    หรือจะให้เป็นอะตอมก็ได้ หรือจะลงไปถึงนิวเคลียสก็ได้
    หรือจะให้ละเอียดสุดด้วย นาโนเทคโนโลยี ก็ได้
    เรื่องของรูปธรรม เรื่องของธาตุ ใช้ตรงนี้ได้

    แต่สตินี่เป็นนามธรรมนะ ไม่ใช่ธาตุ
    ไม่มีโมเลกุล ไม่มีอะตอม ไม่มีนิวเคลียส ใช้นาโนเทคโนโลยีไม่ได้
    แล้วนายจะไปหาจุดอะไรกับ
    สิ่งที่เป็นนามธรรม

    แล้วมีสติทำไมจะคิดไม่ได้วะ
    หลวงพ่อพุธท่านก็ยังบอก
    จิตสงบลงไป
    ความคิดมันผุดมายังกับน้ำพุ
    แล้วท่านก็ให้ตามดูความคิดอย่างมีสติ
    เห็นมั้ยมีสติ ก็คิดได้

    แล้วยังมาบอกอีกว่าสติเกิดดับเร็วมากจนมองดูเป็นสายน้ำ
    มีใครวะมาบอก
    แม้พระพุทธเจ้าท่านยังไม่เคยบอกเลยว่าสติเกิดดับเร็วมาจนมองไม่ทัน
    แถมสติมีเป็นดวงอีกต่าง สติอะไรวะเป็นดวง

    มันก็มีแต่นาย กับ อาจารย์ของนาย ล่ะนะที่ว่าอย่างนี้

    ส่วนเรื่องมิจฉาสติ เป็น อกุศล นี่
    เอาอย่างนี้แล้วกัน
    คนที่เค้าทำอกุศลกรรมบถ 10 นี่
    เค้ามีสติมั้ย
    คนฆ่าสัตว์กันทั่วโลก
    โกหกกันทั่วโลกเค้ามีสติมั้ย คนพวกนี่น่ะ
    ถ้าว่าเค้าไม่มีสติซะแล้ว
    สัตว์ทั้งหลายบนโลกคงหาคนมีสติได้ยากเต็มทน
    มันจะไม่บ้ากันหมดโลกเหรอ....
     

แชร์หน้านี้

Loading...