ปัจจุบันธรรมหรือธรรมโม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 11 มิถุนายน 2012.

  1. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    กรรม จะตามสำหรับ ผู้เข้าถึงส่วน มีตน หรือ ดับสูญ
    ท่านเข้าใจว่า ทำไม่ พระอรหันต์ จึงไม่มีคำว่า เวรกรรม ตามมาในการกระทำใดของท่านอีก
    ท่านคิดว่า อนัตตา ที่ว่า ไม่ใช่ตัวตน ท่านอย่าเห็น มีตัวตน หรือ ไม่มีตัวตน
    หากท่านแยกธาตุแยกขันธ์ รูปก็เป็นอนัตตา นามทั้งหลายก็เป็นอนัตตา
    หากท่านแยก จิต และ เจตสิก แล้ว ท่าน จะเห็นว่า จะมีคำเรียกว่า สิ่งนี้ ว่า จิต ก็ต่อเมื่อ ทำงานร่วมกับ เจตสิก แล้ว
    มีสมมุติ ออกมาที่ กาย วาจา ใจ เมื่อไหร่ จิตทำร่วม เจตสิกแล้ว เมื่อนั้น
    ในสายปฏิจจ... ไม่มีผู้กระทำ มีแต่เหตุปัจจัย สืบเนื่อง ให้ได้ผล และผลก็เป็นเหตุปัจจัยต่อ ไปเป็นสันตติ

    วิปัสสนาได้ตลอดเวลา
    ครับ
     
  2. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    ถ้าจะบอกว่า รู้ที่อยู่ที่รู้ ก็ถูก เป็นปัจจุบันธรรม
    ก็ความหมายเดียวกับ รู้ที่อยู่ที่รู้กิเลส นั่นเเละ ก็เป็นปัจจุบันธรรม เหมือนกัน
    เเต่คุณจะหมายถึงว่า ตัวรู้มันอยู่ที่รู้เท่านั่น เพราะมันไม่รับกิเลสเเล้ว ''เเล้วใครที่ชอบรู้อยู่ที่กิเลส เพราะรับเต็มๆ '' ก็เลยให้อยู่ที่รู้เท่านั่น ก็คือรู้อาการของกิเลสไม่เข้าไปรวมด้วย ก็ถูก

    เเต่ถ้า รู้อยู่ที่เรื่อง หรือ อยู่ที่รู้ของกิเลส ก็จะรับกิเลสมาเต็มๆ ก็ถูกอีก

    สรุปก็ถูก


    เเต่ว่าวานร1ตัวท่องเที่ยวในป่าใหญ่ เกาะกิ่ง1 เปลี่ยนกิ่ง1
    เมื่อวานรเกาะ เเล้วอะไรเกิด?
    ก็ต้องมี สิ่งที่เกิด สิ่งที่กระทบ วิญญาณ กับ นาม-รูป
    ผู้ที่ฝึกสมาธิจนเป็น สมาธิสัมโพชฌงค์ ความเเน่วเเน่ของสมาธิ มีสติที่รวดเร็ว ก็จะเห็นอาการของจิตที่ลิงไปจับ นาม-รูป เร็วขึ้นไวขึ้นเท่านั่น
    จะบอกว่าให้เฝ้าดูอาการของจิต ที่ลิงไปรับรู้ จากกิ่งไม้นั่นอยู่เชยๆก็เป็นขั้นเเรก คุณก็จะบอกได้ถูก เเต่ก็ต้องรู้อะไรทำให้กิเลสเกิด เเล้วทำไมถึงมีอาการ จิตผูกกับอารมได้ เป็นเพื่อน2
    ตัวที่ทำเรื่องคือวานร ที่ขยันเปลียนกิ่ง ทั่งวันทั่งคืน ตัวนำคือวิญญาณ ''กิ่งไม้เป็นสิ่งที่มีเหมือนกับลิง เเต่ว่าลิงขยันเข้าไปเกาะเองทั่งวันทั่งคืน'' มันก็พึงพาอาศัยกันอย่างที่พระสารีบุตรท่านเปรียบเหมือนไม้2กำพิงกันไว้อยู่ อัน1หายไป อีกอันก็ล้ม
    หลักในการดูก็ต้องดูเกิดดับก่อน เเละนำมาพิจรณาบ่อยๆ ของอาการที่ ลิงเปลียนกิ่งไม้ก่อน เช่นตาเห็นรูปเกิดเวทนา หรือ นามรูปก็ทำให้เกิดผัสสะ ถ้าคุณบอกว่าให้อยู่เชยๆเเล้ว
    จะเห็น กิเลส เกิดดับ นั่นก็จะเห็นอาการของจิตได้อยู่ กิเลสไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ เพราะว่าเมื่อผัสสะเกิด 'จิตมันรับรู้ไปเเล้ว' หรือ ไม่ใช่ว่าสัญญาเกิดก็เห็นตัวสัญญาเกิดดับ เเต่เป็นจิตที่มีเจตสิกรู้เเทนเเล้วมันก็เกิดดับ ไปเอง เเต่ไม่มีเราเป็นผู้เข้าไปผูกอารมไว้เท่านั่น ไม่มีเราเป็นผู้เติมเชื้อไฟให้เกิดดับขึ้นไปอีก ก็คือการปริตัวออกมาดู จิตมีกิเลส กิเลสมีจิตเเทน เป็นผู้ถูกรู้
    ต้องเข้าใจ กฏของธรรมชาติที่ต้องอาศัยกันเเละกันอีก ในหลักปฏจสมุปบาท มันจะเชื่อมกันไปหมด'' จิตเกิดเพราะไปรู้กิเลส กิเลสเกิดได้เพราะมีจิต จิตเกิดเพราะมีเจตสิก เจสิกมีเพราะจิต เเต่ว่า ก่อนหน้านี้กิเลสเกิดยังไงหล่ะ ผมก็เคยบอกไปเเล้วกระทู้เก่าๆ '' ก็จะเห็นได้มีส่วนที่เกิดขึ้นเป็นคู่ๆอีก ผมก็มีพระสูตรยืนยันได้บางส่วน ตั้งเเต่อวิชชาถึงวิมุตติ ว่าพระองค์ให้ทำอะไรกันเเน่ เเล้วเเต่ว่าใครจะเข้าใจไง
    เเต่ว่า
    ถ้าสติไม่เร็วพอนะ ก็ยังไม่เห็นการเปลียนกิ่งของวานร ส่วนกิเลสก็ต้องมีเหตุปัจจัยถึงจะเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆเเน่นอน เเล้วเกิดเมื่อไหร จิตก็รับรู้ไปเเล้ว เเบบนี้ ก็เห็นได้ว่าเมื่อ กิเลสไม่เกิด จิตก็ไม่เกิด จิตไม่เกิด กิเลสก็ไม่เกิด ต้องจับต้นชนปลายให้ถูก
    ในการปฏิบัติ เราถึงต้องฝึกสมาธิ กับ สติ จนให้ไวกว่าการเกิดขึ้นของจิตที่ไปรับรู้ก่อน เมื่อนั่นกิเลสก็จะไม่เกิด ให้เห็น ก็สักเเต่ว่าได้ สักเเต่เห็น สักเเต่ว่าได้ยินได้ถูก

    เเต่ที่คุณบอกคือ เหมือนไปถึงขั้นตอนที่ว่า จะให้เฝ้าดูเชยๆเลย คือตอนที่มีสมาธิมากพอในการปล่อยวาง รู้เห็นตามความเป็นจริง นิพิทา ความจางคาย นิโรธ
    ช่วงนี้ต้องมีสติเร็วจนเท่ากับการเกิดของจิตได้ทุกขณะนะ
    เเต่นะ มันก็ต้องฝึกอย่างที่คุณบอกก่อนช่วงเเรกๆ คือ รู้อยู่ที่รู้ หรืออะไรก็ตามที่จะให้เห็นกิเลสเเบบที่คุณบอก เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ''เเต่ยังไงผมก็คิดว่า กิเลสมันมีปัจจัยเกิด เเล้วเมื่อเกิดเพราะ จิตก็เข้าไปรับรู้เเล้ว''
    คราวนี้เมื่อฝึกบ่อยๆ
    มันก็เหมือนไม่มีอะไรให้เห็นอีก เพราะมันจะดับไวขึ้น เเต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสะทีเดียว ยังเกิดอยู่เเต่มันจะดับไว้ เพราะลิงมันก็เกาะอยู่กับที่ ที่เดิม ไม่ปล่อยคือวิญญาณฐิติ จะเกิดเพราะอะไรอีกหล่ะ? ก็เพราะการที่ลิงจะเปลียนกิ่งนั่นเเละ เราก็บังคับมันไม่ได้นะ เมื่อถึงที่สุดจริงๆนะ ทีนี้ถึงจะเฝ้าดู สมาธิ นั่นเเละ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ถึงจะเจริญคือการมาเพ่ง อยู่สมาธิอย่างเดียวไม่ไปไหน ไม่ดูลม อยู่กับอุเบกขาอย่างเดียว ไม่พิจรณาอะไรละสติไวเเละ คือการเฝ้าดูลิงตอนมันจะเปลี่ยนกิ่งเเทน ไม่ใช่เฝ้าดูอาการของจิตเเละ เสียววินาทีที่เห็นการเปลียนกิ่ง ก็คือ การตกของลิง เกิดญาณขึ้นมาเเทน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2012
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    (ที่ยังค้างตอบ)

    จะเสนออะไรก็ ศึกษาค้นคว้าให้มากกว่านี้

    ลองไปหานิยามลักษณะของเจตสิกสิว่า มีมาได้อย่างไร?

    มาจากไหน? ทำไมต้องมีเจตสิกธรรม?

    อย่ารีบสรุปเองตามตำราว่าไว้สิ

    หากจิต ไม่ทำงานร่วมกับ เจตสิก ก็ไม่มีคำว่าจิต

    แค่นิยามของเจตสิดข้อแรก คคห.ที่พูดไว้ก็มีอันตกไปแล้ว

    ก็บอกหลายครั้งแล้วว่า ให้รู้จักใช่เหตุผล ที่ตริตรองตามความเป็นจริงได้

    เจตสิกธรรมนั้นต้องอาศัยจิต จึงจะเกิดขึ้นมาได้ ใช่หรือไม่?

    ถามว่าใครที่เห็นอนัตตาธรรม? จิตหรือตาเนื้อที่รู้เห็น?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

    http://palungjit.org/threads/นักปฏิบัติภาวนาควรเข้าถึงสันตติธรรม.341688/page-9
    __________________
    ดูจิตแบบธรรมภูต


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2012
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    อ้าว

    ตกลงก็ไม่ได้ตอบแบบตรงๆ ในคำถามที่ถามไป

    ปกติมีความเชื่อว่า มีแต่การกระทำ ผู้กระทำหามีไม่ ใช่หรือไม่?

    แล้วที่ยกมาชัดๆ ว่า มีบุคคลนั้นละได้ ใช่หรือไม่?

    เขาทำให้เหมือนตาลมีขั้วยอดอันเน่าแล้ว ใช่หรือไม่?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    อ้าว!!!

    กลายไปเป็นเรื่องลิงไปโน้น

    แล้วรู้ธรรมชาติของลิงหรือยัง?

    ถ้ารู้ธรรมชาติของลิงและเปรียบเทียบได้ถูกต้อง

    จะไม่โชว์ให้ฟุ้งไปได้ขนาดนี้หรอก

    เดี๋ยวๆๆๆ เห็นบอกว่าชอบยกของครูบาอาจารย์และพระพุทธพจน์มาแก้อรรถา

    แล้วที่เห็นอธิบายมาเป็นคุ้งเป็นแควนะของ....หรืออธิบายเอง

    เรื่องเหล่านี้ต้องชัดเจน อยาเอานิสัยปราโมทย์มาใช้

    อันไหนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ อันไหนที่ตั้งใจโชว์เอง ชัดๆด้วย

    เพราะที่โชว์มานั้นมีข้อสักถามมากมาย ขอความชัดเจนก่อนนะ

    สนทนารรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ปัญหา อเจลกัสสปปริพพาชกได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่าทุกข์จนทำเองหรือผู้อื่นทำให้ หรือทั้งตนทั้งผู้อื่นทำ หรือไม่ใช่ทั้งตนทั้งผู้อื่นทำ ?
    พระผู้มีพระภาคทรงห้ามว่า อย่างกล่าวอย่างนั้น อเจลกัสสปทูลถามต่อไปว่า ทุกข์ไม่มีหรือ ? พระพุทธองค์ตรัสว่า ทุกข์มีแน่ และพระองค์ทรงรู้จักดี เมื่ออเจลกัสสปทูลขอให้อธิบายทุกข์

    พระพุทธองค์ตรัสตอบดังต่อไปนี้....พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนกัสสป เมื่อบุคคลถืออยู่ นั่นผู้กระทำ นั้นผู้เสวย ถ้าเราจักกล่าวว่า ทุกข์ตนกระทำเอง ดังนี้
    อันนี้เป็นสัสสตทิฐิไป
    “เมื่อบุคคลถูเวทนาทิ่มแทงอยู่ (ย่อมเข้าใจไป) ว่า ผู้กระทำคนหนึ่งผู้เสวยเป็นอีกคนหนึ่ง ถ้าเราจักกล่าวว่า ทุกข์ผู้อื่นกระทำให้ดังนี้
    อันนี้เป็นอุจเฉททิฐิไป
    “.....ดูก่อนกัสสป ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้น ว่าเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ.... นามรูป... สฬายตนะ.... ผัสสะ.... เวทนา.... อุปาทาน.... ภพ....
    ชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัส อุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้
    “เพราะอวิชชานั่นแหละดับ ด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ สฬายตนะดับ.... ผัสสะ.... เวทนา.... อุปาทาน.... ภพ.... ชาติ.... ชรา..... มรณะ....จึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวล ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.....”

    อเจลกัสสปสูตร นิ. สํ. (๕๐)
    ตบ. ๑๖ : ๒๔-๒๕ ตท. ๑๖ : ๑๖-๒๐
    ตอ. K.S. II : ๑๖
    ^
    ^
    ยกมาเปรียบเทียบ จะเห็นความแตกต่างชัดเจน

    นั่นผู้กระทำ

    นั้นผู้เสวย

    ผู้กระทำคนหนึ่ง

    ผู้เสวยเป็นอีกคนหนึ่ง

    เฮ้อ!!! หัดอ่านให้ดีๆ

    เล่นไม่รู้จักใช้วิจารณญาณ พิจารณาให้ดีๆ

    พระพุทธองค์ไม่ทรงกล่าวขัดแย้งกันเองหรอก ใช่หรือไม่?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  7. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ไม่เห็น อนัตตา อธิบายกันเหนื่อย ยอมดีกว่า อิอิ
     
  8. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เหตุเพราะไม่มีผู้ที่เห็นจริงครับ ทั้งที่วิญญาณเป็นอาการ หรือ เป็นผลที่มาจากจิต

    การปรุงแต่งนั้นก่อให้เกิดเป็นวิญญาณขึ้นมา ซึ่งเป็นไปในรูปแบบต่างๆที่เป็นลักษณะ

    โดยสภาพจิตนั้น ว่างเปล่า แต่ไม่ว่างเปล่าอย่างแท้จริง เพราะมีการรับรู้อยู่เป็นนิตย์

    เมื่อจิตมีใจให้ยึดเกาะ จึงเกิดการปรุงแต่ง นี่คือที่มาของวิญญาณ การที่แยกจิตจากใจได้นั้น

    จะทำให้ไม่มีการเกิดของวิญญาณ เมื่อไม่มีการเกิดของวิญญาณจะไม่มีการดิ้นรน

    ที่จะแสวงหากายเนื้อเพื่อการอาศัยอยู่ นี่คือเหตุปัจจัยที่มีการเกิด

    สาธุครับ
     
  9. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    เคยโพสท์แล้วในโพสท์แรกๆ ค่ะ
    คุณพี่ก็แย้งว่าไม่ใช่ อันนั้นแหล่ะปัจจุบัน

    ในโพสท์ที่ 3 นั่นแหล่ะค่ะ ที่คุณพี่โต้แย้ง

    ส่วน ธาตุรู้ ก็รับได้ 3 กาลอยู่แล้วนี่คะ

    ไม่ปฏิบัติ ก็ไม่ปฏิบัติค่ะ แล้วแต่คุณพี่จะพิจารณาค่ะ
     
  10. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ที่เห็นจริงเห็นในขั้นของอะไร ขั้นของกัลยาณชน โสดา สกิทาคา อนาคา....อรหันต์

    พระอนาคามีผล อรหันตมรรค โน้นล่ะ ที่จะเห็นจิตจริง ที่ว่า "จิตเดิมแท้นั้นผ่องใส"

    เห็นด้วยมหาสติ มหาปัญญา คงเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างละมั้ง ที่ว่า "เจอพุทธะให้ฆ่าพุทธะ"
    หรือ "พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้" น่ะ

    ดังนั้น ที่ บอกว่าเห็นจิตๆ เห็นในขั้นของอะไร ด้วยปัญญา หรือสัญญาพาไปในสุญญตา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2012
  11. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    พี่หม้อ สัญญาพาไปในสุญญตา อย่างไรเหรอครับ
     
  12. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้สักแต่ว่า จึงถามพี่oatthidet ^^
     
  13. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    งั้นอุปมาใหม่
    เปรียบเหมือนเเสงที่สาดส่องมา มีเรือนตั้งอยู่มีหน้าต่างทางทิศตะวันออก ฝาเรือนทางทิศตะวันตก ถ้าเเสงส่องมาเข้าทางหน้าต่างทางทิศตะวันออกเเสงจะปรากฏที่ไหน?
    สาวกตอบ ปรากฏฝาเรือนทางทิศตะวันตก พระองค์ตรัสต่อ ถ้าฝาเรือนทางทิศตะวันตกไม่มี เเล้วเเสงปรากฏที่ไหน สาวกตอบ ปรากฏที่พิ้นดิน ถ้าพื้นดินไม่มี ก็บอกปรากฏที่น้ำ ถ้าน้ำไม่มี เเสงก็ไม่ปรากฏ
    -----
    ใครเป็นเเสง = กิเลส
    เเสงมาจากไหน ?
    อะไรที่กระทบจนเกิดเเสง = จิต
    เเล้วใครเป็นผู้เห็นเเสง?

    ต้องมีผู้ถูกกระทำผู้เห็น ผู้รู้ เเสงที่มันกระทบในอุปมาคือดวงตาอีกที
    ถ้าจิต มโน วิญญาณ ไม่เกิดดับ ไม่มี ไม่ทำงานด้วยกัน เเสงก็ไม่ปรากฏให้เห็น
    เหลือเพียงความว่าง
    เพราะมันต้องอาศัยซึ่งกันเเละกัน เช่น วิญญาณกับนามรูป

    ส่วนธรรมชาติของลิงที่มันเกาะกิ่งไม้ มันก็ต้องมีเป็นคู่ ถ้างั้นพระองค์ก็อุปมาเป็นลิงเกาะกิ้งไม้ ไม่ได้ ถ้าขาด ลิง หรือ กิ่งไม้
    ก็เปรียบว่า
    ถ้าไม่มีกิ้งไม้คือ นามรูป ก็ไม่มี จิตมโนวิญญาณ
    ถ้าไม่มีจิตมโนวิญญาณ ก็ไม่มี นามรูป
    เป็นไม้2กำพิงกันไว้อยู่
     
  14. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หากสังเกตุจะเห็นว่าผมไม่ลำดับขั้นครับ ผมไม่ระบุเจาะจงว่าขั้นใด

    ผมกล่าวตามที่ผมได้เห็น ได้เข้าใจมา จากการแยก กาย ใจ จิต

    หากไม่มี กาย ใจ จะปรุงแต่งไม่ได้เลย จิตจึงต้องมี กาย ใจ จึงจะปรุงแต่งได้

    จิตเดิมนั้นมีแต่การรับรู้ แต่หากไม่มีสิ่งใดให้รับรู้เลย มีแต่ความนิ่งสงบ

    จิตจะคงอยู่ในสภาพใด คุณลองมองดูสิครับ ว่าวิญญาณมาตอนไหน

    หากจะกล่าวว่า วิญญาณ คือ จิต ไม่ใช่ฐานะที่ควรครับ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของจิต

    เพราะการปรุงแต่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมต้องมีพลังงานที่แสดงออกในการเคลื่อนย้าย

    ร่างกายเป็นไปตามอำนาจจิต ขยับได้ด้วยพลังงานวิญญาณ จิตจึงมีการจดจำ

    แม้จะออกจากร่างไปแล้ว ยังคงจดจำรูปของร่างกายก่อนตาย จึงเป็นวิญญาณในรูปแบบเดิมที่คงอยู่

    สาธุครับ
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    อย่ามาใช้ลูกไม้นี้เลย

    ยอมหรือไม่ยอมแล้วได้อะไร?

    มรรค ผล นิพพาน ก็ไม่ใช่

    แล้วใครหละที่เห็นอนัตตาธรรม?

    ถ้าของมันถูกต้อง

    ถึงอธิบายเหนื่อยยังไงก็ต้องอธิบายจนได้

    แต่ของที่คิดขึ้นเองเออเอง เดาสวด อวดธรรม

    ล้วนเหมือนกันหมด โชว์ได้ ไม่ชอบตอบหรืออธิบาย

    แค่ยอมก็แล้วกันจะได้พ้นๆไปที ไม่ใช่หลุดพ้นนะ

    สนทนาธรรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน

    ปล. ใครที่ใช้ล๊อกอินว่า "ขุนทราย"

    มารายงานตัวด้วย ที่กดไม่เห็นดวย ไม่เห็นด้วยเพราะอะไร?แสดงคคห.ด้วย

    อย่าเอานิสัยเลวๆมาแพร่เชื้อไว้ โดยไม่รับผิดชอบ
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    โพส์แรกก็ชัดเจนว่าเดาสวดเอาเอง ไม่ได้ปฏิบัติมาจริงเลย

    ถ้าปฏิบัติมาจริง ย่อมต้องรู้จักจิตและอาการของจิตต่างกันอย่างไร?

    ต้องตรงต่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า "เอก จรํ"

    ถูกถามไปจึงไม่ยอมตอบ ได้แต่ใช้ลูกไม่เก่าๆ เล่นลิ้นกะลาวนไปได้

    อ้าวจะยกมาสัมทับอีกที

    V
    v

    ^
    ^
    อ้าว!!!

    ที่พูดมาไม่รู้สึกว่าขัดกันเองหรือ?

    "จิตที่เราไปรู้นั้น"

    เราที่ไปรู้จิตหนะ ใคร? ใช่จิตของตนมั้ยทีไปรู้?

    ถ้าไม่ใช่จิตของเราที่ไปรู้ แล้วอะไรที่ไปรู้หละ?

    เห็นเป็นรูป รู้เป็นนาม(ตำราว่าไว้อย่างนั้น)

    แค่ตรงนี้ แก้อรรถให้ตกด้วย

    เพราะเป็นการปฏิเสธ เหตุผลที่ยกมาแบบขาดเหตุผล

    แล้วที่อธิบายมาหนะ เป็นธรรมโมตรงไหน?

    แล้วจิตที่เป็นปัจจุบัน กับจิตที่เป็นอดีตตรงไหน?

    จิตคือธาตุรู้ ใช่หรือไม่?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

    ปล. ใครที่ใช้ล๊อกอินว่า "ขุนทราย"

    มารายงานตัวด้วย ที่กดไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยเพราะอะไร?

    ต้องแสดงคคห.ด้วยว่า ที่ไม่เห็นด้วยๆเหตุใด?

    อย่าเอานิสัยเลวๆมาแพร่เชื้อไว้ โดยไม่รับผิดชอบ
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    จะเปรียบเทียบอะไร อย่าเปรียบเทียบแบบรู้เองคนเดียวสิ

    แถมยังเปรียบแบบไม่ชัดเจนอีกด้วย

    อะไรที่จะเป็นกิเลสของตนได้นั้น ต้องมีจิตของตนเข้าไปยึดในสิ่งนั้นใช่หรือไม่?

    อย่าเลี่ยงตอบแบบตรงสิ ใช่เพราะอะไร? ไม่ใช่เพราะอะไร?

    เมื่อเปรียบกิเลสเป็นแสงที่ปรากฏให้เห็น

    แล้วถามว่า "อะไรที่กระทบจนเกิดเเสง = จิต"

    ตกลงแสง=จิต หรือ สิ่งที่มากระทบจนเกิดแสง=จิต

    เอาแบบชัดๆ อย่าคิดเองเออเองสิ

    เวลาเห็นกิเลสเกิดขึ้น ใช้ตาเนื้อเห็น หรือใช้จิตเห็น?

    สนทนาธรรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เก่งจริงๆ เรื่องอุปมาแบบรู้เองคนเดียว

    ใครคือผู้ถูกกระทำ? ใครคือผู้รู้ ใครคือผู้เห็น?

    เอาแบบชัดๆ อย่าเล่นลิ้นกะลาวน เบื่อจริงกับนักตำรานิยม

    "แล้วแสงที่มากระทบใน อุปมาคือดวงตาอีกที?"

    ถามตรงๆเถอะอุปมาเข้าไปได้ยังไง?

    ก็เปรียบไว้เองว่า แสงคือกิเลส

    เมื่อแสงที่มากระทบใน ก็เท่ากับกิเลสคือดวงตา

    ถามตรงๆเถอะเมาน้ำตาลอยู่หรือเปล่า

    แล้วทำไมต้องวิญญาณกับรูป-นามหละ?

    ในเมื่อรูป-นามขันธ์๕ ก็มีวิญญาณขันธ์เสร็จสับอยู่ในนั้นแล้ว

    อย่าพยายามใช้คำพูดที่ฟังแล้วงงๆ

    เข้าใจยากแบบปราโมทย์เลย ไม่ช่วยให้ดูดีหรอก

    เอาแบบที่ชัดๆ ไม่ต้องตีความให้มากมาย

    เพราะในบอร์ดนี้ มีพวกประเภทนี้เยอะอยู่แล้ว

    สนทนาธรรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เรื่องเดาสวดนี่สุดยอดจริงๆ

    ผิดแล้ว ธรรมชาติของลิงต้องเกาะกิ่งไม้

    ลิงหนะเกาะอะไรก็ที่มีให้เกาะ มีให้เล่น

    เพราะธรรมชาติของลิงนั้นอยู่นิ่งไม่เป็น หรืออยู่ไม่เป็นสุขใช่หรือไม่?

    พระพุทธองค์จึงเปรียบจิตที่อยู่ในโลก(โลกียจิต) เหมือนลิง

    ชอบจับอารมณ์หรือเปลี่ยนอารมณ์ไปเรื่อยๆ เหนื่อยไม่เป็น รู้หรือเปล่า?

    ก็เหมือนที่เปรียบเทียบไว้เป็นของคู่กัน(จิตกับอารมณ์)

    แต่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้แยกจิตออกจากอารมณ์ ใช่หรือไม่?

    ทำไม ถ้าลิงขาดกิ่งไม้แล้วจะอยู่ไม่ได้ อยู่ไม่สิ

    มีเชือกกับห่วงสักสองสามอันทำไมจะอยู่ไม่ได้

    ดีนะ ที่แสดงคคห.ของตนเองออกมาชัดๆ

    จะได้รู้ว่าเข้าใจพระสูตรได้ขนาดไหน

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน


    ปล. ใครที่ใช้ล๊อกอินว่า "ขุนทราย"

    มารายงานตัวด้วย ที่กดไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยเพราะอะไร?

    ต้องแสดงคคห.ด้วยว่า ที่ไม่เห็นด้วยๆเหตุใด?

    อย่าเอานิสัยเลวๆมาแพร่เชื้อไว้ โดยไม่รับผิดชอบ
     
  20. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ถ้าไม่มีจิตจะมีกิเลสหรือไม่?
    ถ้าไม่มีกิเลสจิตจะเข้าไปรู้ เข้าไปยึดหรือไม่?
    ''อะไรกระทบจนเเสง''
    ก็ถ้าไม่มีจิตเเล้วก็เกิดเเสงมั้ย
    ถ้ามีเเสงเเล้วไม่มีจิต เเสงจะเกิดขึ้นมาได้ ได้หรือไม่
    ผมสรุปให้ คือ มันเป็นสิ่งที่อาศัยซึ่งกันเเละกันจนเกิด
    'เวลาเห็นเเสงคือกิเลสวิ้งเข้ามา' =จิตเป็นผู้เห็นกิเลส เเต่กิเลสเกิดขึ้นเพราะจิต ...
    ส่วนที่รู้จิต,เจตสิกหรือกิเลส ก็คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น ก็ต้องเป็นตัวที่มันรู้ เป็นตัวทำเกิด เพราะเมื่อมันเปลียนกิ่งมันจะไม่รู้หรอว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวมันเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...