ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    ไซเอนโตโลยี มีการฝึกคนที่ดี ในการบริหารคน ผลัดกันเป็นผู้นำ ฝึกใช้ความคิด
    งานสึนามิที่พังงา ได้ไซเอนโตโลยีมาหกเจ็ดคน
    เป็นใหญ่มาจากไหน เจ้าของโรงแรมก็มี เขาทำได้หมดอย่างมีระบบ
    ระบบวัดย่านยาวเขาจัดการหมด ช่วยวางระบบเริ่มแรกให้
    คนไทยมัวแต่ทะเลาะกันเอง ว่าฉันเป็นลูกน้องมท ๑ เธอสั่งงานฉันไม่ได้ งานไม่เดินเลย

    เราควรศึกษาเขาว่าเขาบริหารคนอย่างไร
    ชาวพุทธ ถ้าพบแต่พุทธพาณิชย์ บอกว่าสึนามิเป้นเวรกรรม ให้มาทำบุญ (คือทำทาน) ที่วัด
    คนไม่รู้จะอยู่จะกินอย่างไร จะไปทำบุญอย่างไร (ไม่ได้สอนศีล-ปฏิบัติ)
    คริสต์มา แจกผักทุกวัน แจกหมูสัปดาห์ละครั้ง ให้ความโอบอ้อมอารี มาชวนไปร้องเพลงที่โบสถ์ก็ไป
    ไซเอนโตโลยีมา รักษาโรคให้ เจ็บป่วยหายก็ไป
    แม้แต่พุทธบางกลุ่ม สัญญาว่าได้ที่บนสวรรค์ ก็เลยไป
    ห้ามผู้คนไม่ได้นะคะ เพราะเขาได้สิ่งแลกเปลี่ยนที่ปรารถนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2010
  2. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>ฮือฮาน้ำศักดิ์สิทธิ์”พระพุทธชินราช” </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>วันนี้(9ก.พ.)ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่ามีชาวบ้านที่หมู่ 7 บ้านสะพานสาม ต.อรัญญิก อ.เมือง จ.พิษณุโลก

    แห่ไปดูพระพุทธรูปที่มีน้ำไหลออกจากปลายนิ้วภายในวัดสะพานสาม จึงรีบไปตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อไปถึงพบว่าภายในศาลาการเปรียญ มีชาวบ้านจำนวนมากกำลังยืนมุ่งดูพระพุทธชินราชจำลอง ขนาดหน้าตักกว้าง 69 นิ้ว สูง 89 นิ้ว ประดิษฐานเป็นองค์พระประธานอยู่กลางศาลาการเปรียญ โดยชาวบ้านทุกคนต่างใจจดใจจ่อจ้องมองดูที่บริเวณปลายนิ้วกลางมือขวาขององค์พระพุทธรูป ที่มีน้ำไหลออกมาเป็นระยะ โดยทางวัดได้นำแก้วน้ำมาวางรอหยดน้ำเอาไว้ เมื่อมีน้ำหยดลงแก้ว ชาวบ้านต่างพากันร้องเฮและยกมือไหว้ขอพรต่างๆ นานา โดยประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการนำน้ำที่ไหลออกมาไปผสมกับน้ำในโอ่ง ให้ประชาชนที่มากราบไหว้นำไปดื่มกินเพื่อความเป็นสิริมงคล เมื่อประชาชนทราบข่าวต่างเดินทางมากราบไหว้ขอพร นำน้ำศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวไปดื่มกันตลอดทั้งวัน

    นายเหลี่ยม จันทร์แก้ว อายุ 48 ปี ผู้ดูแลพระพุทธรูปและศาลาการเปรียญดังกล่าว เปิดเผยว่า ทราบว่าพระพุทธชินราชจำลอง มีน้ำหยดออกมาจากปลายนิ้วเมื่อประมาณเดือน พ.ค.2552

    ขณะนั้นตนเองได้เข้าไปทำความสะอาดองค์พระ ตอนแรกคิดว่าเป็นน้ำฝนที่หยดลงมาจากหลังคา แต่เมื่อเฝ้าสังเกตอยู่พักหนึ่งจึงมั่นใจว่าไม่ได้เป็นน้ำฝน แต่น้ำดังกล่าวได้ไหลออกมาจากนิ้วกลางมือด้านขวาขององค์พระฯ ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่ามีน้ำไหลออกมาได้อย่างไร จึงตัดสินใจเล่าให้พระวิรัช อธิปัญโญ เจ้าอาวาสวัดฟัง โดยเจ้าอาวาสได้กำชับว่าห้ามนำไปบอกใคร เพราะเกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่าสร้างเรื่องหลอกลวง แต่มีชาวบ้านที่ทราบข่าวได้พูดกันปากต่อปาก จึงมีผู้มารองน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปดื่มกินเพื่อรักษาโรค และเพื่อความเป็นสิริมงคลจำนวนมาก

    สำหรับประวัติของพระพุทธรูปชินราชจำลององค์นี้ เมื่อปี 2549 นายชวลิต ธนะชานันท์ อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ พร้อมคณะผู้มีจิตศรัทธาจากกรุงเทพฯ ได้นำผ้าป่ามาทอดที่วัด

    พร้อมอันเชิญพระพุทธชินราชองค์จำลองมาถวาย เพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานในศาลาการเปรียญที่กำลังก่อสร้างขึ้นใหม่ ทั้งนี้ ระหว่างที่หล่อองค์พระ คณะผู้จัดทำได้อันเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่นำมาจากประเทศอินเดียบรรจุไว้ที่ยอดเกศของพระพุทธรูป ภายหลังจากที่นำมาตั้งประดิษฐานไว้จึงพบสิ่งอัศจรรย์ดังกล่าว

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ผวาโรคกิแลงแบเร ...
    ผลข้างเคียงวัคซีนหวัดใหญ่ 2009

    [​IMG]

    สืบเนื่องจากปลายเดือนพฤศจิกายน 2552 มีรายงานข่าวไปทั่วโลกเกี่ยวกับบริษัทยายักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ขอให้แพทย์ในแคนาดาหยุดฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ของบริษัทชุดหนึ่ง ที่มีอยู่ประมาณ 1.7 แสนชุดหลังพบอาการข้างเคียงรุนแรงในคนไข้ 6 ราย บางคนหายใจติดขัด หัวใจเต้นเร็ว และ เป็นผื่นตามผิวหนัง เช่นเดียวกับในประเทศจีน ที่พบผู้เสียชีวิตแล้ว 2 ราย หลังฉีดวัคซีนของรัฐบาลจีน แม้รัฐบาลจีนจะออกมายืนยันว่าไม่เกี่ยวกันก็ตาม

    การฉีดวัคซีนทุกชนิดมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้...แต่ที่ควรระวังคือกระบวนการผลิตวัคซีนต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัย เนื่องจาก 30 กว่าปีที่แล้วมีบทเรียนจากอเมริกา ซึ่งรีบร้อนผลิตวัคซีนไข้หวัดหมู (Swine flu) เมื่อปี 2519 แล้วฉีดให้ชาวอเมริกันทันที ปรากฏว่า รัฐบาลอเมริกาถูกประชาชน 1,571 ราย เรียกร้องค่าเสียหายถึง 3.5 หมื่นล้านบาท เพราะชาวบ้าน 33 คนเสียชีวิต และ อีก 500 คนป่วยเป็นอัมพาต จากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ "โรคกิแลงแบเร" (Gullain-Barre Syndrome) ที่ยืนยันชัดเจนว่าเป็นผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนตัวนี้

    โรคกิแลงแบเร หรือเรียกย่อว่า "GBS" เป็นโรคที่เกี่ยวกับเส้นประสาทส่วนปลายทำงานผิดปกติ สาเหตุเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันเข้าไปทำลายเส้นประสาทส่วนปลาย เมื่อเส้นประสาททำงานผิดปกติ ร่างกายเกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรง อวัยวะแขนขาจะรู้สึกชา หรือเดินเซ ฯลฯ จนถึงวันนี้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญทั่วโลกก็ยังไม่พบเหตุผลที่ชัดแจ้งว่า ทำไมจึงเกิดอาการของโรคกิแลงแบเรขึ้นมาได้

    เมื่อวันที่ 24 มกราคม ที่ผ่านมา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข ยอมรับว่า หลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่สั่งซื้อมาจากฝรั่งเศสในกลุ่มเสี่ยงไปประมาณ 3 หมื่นกว่าคน ได้รับรายงานผู้เกิดอาการข้างเคียงแล้ว 12 ราย อาการหนัก 4 ราย รายที่ 1 มีอาการไตวาย รายที่ 2 คลอดบุตรแล้วบุตรเสียชีวิต รายที่ 3 มีอาการหน้าเบี้ยว และรายที่ 4 เกิดภาวะหายใจติดขัด จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า 3 รายแรกอาจไม่เกี่ยวกับวัคซีน แต่รายที่ 4 เป็นอาการข้างเคียงปกติที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้น จึงขอให้แพทย์ทุกโรงพยาบาลตรวจสุขภาพผู้ต้องการฉีดก่อน หากไม่มีสิ่งผิดปกติจึงค่อยฉีดวัคซีน และให้พักที่โรงพยาบาล 30 นาที เพื่อดูภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นก่อนอนุญาตให้กลับบ้าน

    นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ หนึ่งในคณะทำงาน "ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและควบคุมแก้ไขสถานการณ์การระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ 2009" วิเคราะห์ให้ฟังว่า รายที่มีอาการไตวายถือเป็นโรคเจ็บป่วยดั้งเดิมของคนไข้อยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับวัคซีนที่ฉีดเข้าไป ส่วนผู้ที่คลอดบุตรแล้วบุตรเสียชีวิตก็เป็นปัญหาการคลอดบุตรของคนไข้ ไม่เกี่ยวกับวัคซีนเช่นกัน แต่ที่ยืนยันว่าเป็นผลข้างเคียงหรือไซด์เอฟเฟคของวัคซีนตัวนี้ คือ ผู้ที่มีอาการหายใจติดขัด ที่เกิดอาการหลังฉีดวัคซีนได้เพียง 30 นาที ซึ่งทีมแพทย์ช่วยรักษาเยียวยาจนอาการดีขึ้นเรียบร้อยแล้ว

    "อาการฉีดแล้วหายใจติดขัดถือเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในผู้ฉีดวัคซีนประมาณ 1 ต่อแสนคน ไม่ใช่อาการที่ร้ายแรงอะไร บางคนก็เป็นผื่นคันแดง สักพักก็จะหายไป แต่รายที่น่าเป็นห่วงคือ คนไข้ที่หน้าเบี้ยวหลังฉีดวัคซีนได้เพียง 4 ชั่วโมง ขอยืนยันว่าไม่ใช่โรคกิแลงแบเรอย่างแน่นอน เพราะอาการข้างเคียงของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง จะไม่เกิดรวดเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมง ตอนนี้ตรวจสอบได้แล้วว่าคนไข้มีอาการของโรคหน้าเบี้ยว หรือที่เรียกว่าเบลล์พัลซี่ (Bell's palsy) หรือมีอาการอักเสบที่เส้นประสาทสมองเส้นที่ 7 ตอนนี้อยู่ในการดูแลรักษาของแพทย์แล้ว"

    นพ.คำนวณ กล่าวถึงผลการทำงานที่ผ่านมาว่า รัฐบาลตั้งเป้าให้ฉีดวัคซีนในคนไทยกลุ่มเสี่ยง 2 ล้านคน ปรากฏว่า มารับการฉีดเพียง 3 หมื่นกว่าคน เนื่องจาก

    1.คนไทยเริ่มรู้สึกว่าการระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 จบลงแล้วหรือไม่อันตรายอีกต่อไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาฉีดวัคซีนก็ได้

    2.มีความกังวลว่าวัคซีนที่ฉีดให้จะไม่ปลอดภัย เพราะได้ยินข่าวตามสื่อมวลชนว่า หลายประเทศส่งวัคซีนคืนให้บริษัทผู้ผลิต จึงขอยืนยันอีกครั้งว่าไข้หวัดใหญ่ 2009 ยังระบาดในเมืองไทย ถือเป็นการระบาดระลอก 2

    ดังนั้น กลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อควรมาฉีด ส่วนเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนนั้นไม่ควรเป็นกังวล เพราะมีเพียงอเมริกาและแคนาดาที่ส่งวัคซีนคืนให้บริษัทผู้ผลิต สาเหตุที่ส่งคืนก็เพราะจำนวนเชื้อในวัคซีนต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด ไม่ได้เกิดจากผลข้างเคียงของโรคกิแลงแบเรหรือโรคอื่นๆ

    ด้าน ศ.ดร.วันเพ็ญ ชัยคำภา ที่ปรึกษางานวิจัยวัคซีนไข้หวัดข้ามสายพันธุ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมว่า อาการข้างเคียงของการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่มี 3 ระดับ คือ

    1. มีอาการเจ็บคัน บวมแดงบริเวณที่ฉีดวัคซีน บางรายมีไข้ต่ำหรืออาเจียน ใช้เวลาประมาณ 1-2 วันร่างกายจะกลับเป็นปกติ

    2. ผู้ที่ฉีดวัคซีนเข้าไปสักระยะแล้วมีอาการคล้ายผู้ป่วยหอบหืด คือ หายใจติดขัด เพราะหลอดลมบีบตัว บางรายดูอาการสักพักก็หาย บางรายต้องฉีดยาขยายหลอดลม ส่วนระดับสุดท้ายเป็นระดับที่รุนแรง คือ ผู้ฉีดมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือที่เรียกว่าโรคกิแลงแบเร ต้องใช้วิธีทำกายภาพบำบัดเพื่อรักษา

    "วัคซีนทุกชนิดมีโอกาสทำให้ร่างกายแพ้หรือเกิดผลข้างเคียงได้ และผู้ที่ฉีดวัคซีนเข้าไปก็ไม่ได้ยืนยันว่า ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันทุกคน มีการรับรองผลเพียงร้อยละ 90 เท่านั้น หมายความว่าฉีด 100 คน จะมีประมาณ 10 คนที่วัคซีนไม่ได้ผล ที่ผ่านมาเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ตัวนี้ทำให้คนเสียชีวิตมาก และไม่เคยมีวัคซีนมาก่อน การฉีดในคนทั่วโลกถือเป็นการทดลองของวงการแพทย์ครั้งใหญ่ วัคซีนที่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลกและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของเมืองไทยก็น่าจะปลอดภัยในระดับหนึ่ง อาจพบคนเกิดอาการข้างเคียงบ้าง เพราะฉะนั้นแต่ละคนต้องใช้วิจารณญาณเองว่าอยากฉีดหรือไม่ มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน" ศ.ดร.วันเพ็ญ กล่าว

    ทั้งนี้ บริษัท ซาโนฟี่ ปาสเตอร์ จำกัด ที่ขายวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 จำนวน 2 ล้านโดส โดสละประมาณ 200 บาทให้แก่รัฐบาลไทย ได้ระบุรายละเอียดในสัญญาสั่งซื้อ ว่า บริษัทจะไม่รับผิดชอบกรณีที่เกิดผลข้างเคียงในการใช้วัคซีนนี้

    ข้อมูลและภาพประกอบจาก คมชัดลึก

    ที่มา http://health.kapook.com/view9674.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 99_69.jpg
      99_69.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.5 KB
      เปิดดู:
      2,288
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    โรคพิษสุนัขบ้า
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    [​IMG]

    โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) หรือ โรคกลัวน้ำ หรือในภาษาอีสานเรียกว่า โรคหมาว้อ เป็นโรคติดต่อร้ายแรงชนิดหนึ่ง ที่มนุษย์รู้จักมากว่า 500 ปีแล้ว ซึ่งอาจเกิดจากการกัด หรือ ข่วน จากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว หนู เป็นต้น เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ เรบีส์ ไวรัส (Rabies) ปัจจุบันยังไม่มีทางรักษาหาย แต่สามารถป้องกันได้ ผู้ป่วยมักคงสภาพอยู่ได้นานไม่เกิน 1 สัปดาห์ และเสียชีวิต เนื่องจากอัมพาตของกล้ามเนื้อ และระบบทางเดินหายใจ ในประเทศไทย ยังมีรายงานการเกิดโรคพิษสุนัขบ้า โดยสาเหตุหลักเกิดขึ้นจาก สุนัข

    เชื้อพิษสุนัขบ้า

    โรคพิษสุนัขบ้า เกิดจากไวรัสเรบี่ส์ (Rabies) ซึ่งเป็น อาร์ เอน เอ ไวรัส (RNA virus) สายเดี่ยว จัดอยู่ใน Family Rhabdoviridae, genus Lyssavirus และมีทั้งหมด 7 types ซึ่งไวรัสทุกตัวใน genus นี้ มี antigenicity ที่คล้ายคลึงกัน แต่จากการทดสอบด้วย Monoclonal antibody พบว่าไวรัสแต่ละตัวมี nucleocapsid และรูปแบบของ surface protein ที่อาจแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาคของโลกหรือในสัตว์แต่ละชนิด

    ไวรัสชนิดนี้ชอบอาศัยอยู่ในระบบประสาท จึงทำให้สัตว์ หรือ มนุษย์ที่ป่วยโรคนี้แสดงอาการทางประสาทออกมาอย่างเด่นชัด ลักษณะของเชื้อ รูปร่างคล้ายกระสุนปืน ปลายด้านหนึ่งโค้งมนและปลายอีกด้านหนึ่งตัดตรง เชื้อโรคชนิดนี้ตายได้ง่าย ถ้าถูกแสงแดด หรือแสงอุลต้าไวโอเลต จะตายใน 1 ชั่วโมง ถ้าต้มในน้ำเดือด จะตายภายใน 5 -10 นาที ถ้าถูกน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น ไลโซล ฟอร์มาลีน แอลกอฮอล์ ทิงเจอร์ไอโอดีน และโพวีโดนไอโอดีน และสบู่หรือผงซักฟอก เชื้อจะตายภายในเวลารวดเร็ว

    อาการของโรค

    อาการแสดงของโรค มักเป็นการอักเสบสมองและเยื่อสมอง ในระยะ 2-3 วันแรก ผู้ป่วยจะปวดเมื่อยตามเนื้อตัว มีไข้ คันหรือปวดบริเวณรอยที่ถูกกัด ทั้ง ๆ ที่แผลอาจหายเป็นปกติแล้ว ต่อมาจะหงุดหงิด กระสับกระส่าย ตื่นเต้นไวต่อสิ่งเร้ารอบกาย ไม่ชอบแสง ลม มีน้ำลายไหล กล้ามเนื้อคอกระตุก เกร็งขณะพยายามกลืนอาหารหรือน้ำ ทำให้เกิดอาการ "กลัวน้ำ" ต่อมาจะเริ่ม เพ้อคลั่ง สลับกับอาการสงบ ชัก ผู้ป่วยบางรายอาจเป็นอัมพาต โดยมีอาการแขนขาอ่อนแรง หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด เนื่องจากส่วนที่สำคัญของสมองถูกทำลายไปหมด อาการของโรคพิษสุนัขบ้า ยังจำแนก ได้ออกเป็นอีก 2 ประเภท ดังนี้

    อาการแบบคลุ้มคลั่ง

    โดยเฉลี่ยเสียชีวิตใน 5 วัน เพราะโรคลุกลามอย่างเร็ว โดยอาจแสดงอาการต่างๆ ดังต่อไปนี้

    1. อาละวาด

    <DL><DD>ผู้ป่วยจะกระวนกระวาย ตื่นเต้นต่อสิ่งเร้าได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น เสียง แสง และ ลมเป็นต้น รู้ตัวและไม่รู้ตัวบ้าง ซึ่งอาการจะรุนแรงยิ่งขึ้น จนอาละวาด ไม่อยู่สุข บางครั้งอาจจำไม่ได้ ไม่เข้าใจตนเอง ขณะแสดงอาการ จะเป็นเช่นนี้ประมาณ 2 - 3 วัน หลังจากนั้นจะเริ่มซึมเศร้า ไม่รู้สึกตัว มีความดันโลหิตต่ำ ซ็อกและอาเจียนเป็นเลือดได้ </DD></DL>2. กลัว
    <DL><DD>กลัวน้ำ กลัวลม ลักษณะดังกล่าว อาจไม่พบร่วมกัน อาจเป็นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เห็นได้ชัดขณะที่ผู้ป่วยรู้สึกตัว พอผู้ป่วยเริ่มซึมเศร้า อาการก็จะเริ่มหายไป ผู้ป่วยจะมีอาการถอนหายใจซึ่งเกิดขึ้นเอง </DD></DL>3. แสดงออกทางร่ายกาย
    <DL><DD>คันเฉพาะที่ตรงถูกสัตว์กัดในรูปของคัน ปวดแสบปวดร้อน ปวดลึก ๆ ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วแขน ขา หรือหน้าซีดที่ถูกกัด ผู้ป่วยอาจขนลุก รูม่านตาไม่สนองต่อแสง และ น้ำลายไหลมากผิดปกติ จะต้องบ้วน หรือถ่มเป็นระยะๆ </DD></DL>อาการแบบอัมพาต

    อาการอัมพาต เกิดจากการที่ไวรัสรุกรามเข้าไปในส่วนต่างๆ โดยเฉลี่ยเสียชีวิตใน 13 วัน โดยจะมีอาการอ่อนแรงของแขนขา

    การป้องกันและรักษา


    ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ การรักษาจึงทำได้เพียงการดูแล ประคับประคอง และรักษาตามอาการ เท่าที่จะทำได้เท่านั้น วิธีการดูแลผู้ป่วย ทำได้ดังนี้
    1. แยกผู้ป่วยให้ปราศจากสิ่งเร้าต่างๆ เช่น ห้องที่สงบ ปราศจากเสียงรบกวน แต่ไม่จำเป็นต้องปิดไฟ
    2. ให้สารอาหารแบบน้ำเข้าทางเส้นเลือด เนื่องจากผู้ป่วยมักจะกินอาหารไม่ได้
    3. ผู้ให้การดูแล ควรใส่เสื้อผ้ามิดชิด ควรใส่แว่นตา ผ้าปิดจมูก เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากผู้ป่วย
    การป้องกัน

    การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าที่ดีที่สุดคือ ระวังอย่าให้ถูกสุนัขกัดหรือแมวกัด เพราะการติดเชื้อ ส่วนใหญ่จะมาจากน้ำลายสัตว์ที่เป็นโรคอยู่แล้ว ที่สำคัญที่สุด คือ การเสริมภูมิคุ้มกันในสุนัข ซึ่งเป็นสัตว์นำโรคหลัก รวมทั้ง การควบคุมจำนวนสุนัข

    การปฏิบัติหลังคาดว่าได้รับเชื้อ


    เมื่อสงสัยว่าได้รับเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า ควรจะดำเนินการดังต่อไปนี้
    1. แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทราบ ประสานกับปศุสัตว์ในพื้นที่เพื่อควบคุมโรค
    2. ตัดหัวสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้า นำไปชันสูตรยืนยันที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจสอบยืนบันว่ามีเชื้ออยู่และจะได้ดำเนินการต่อไป
    การเก็บตัวอย่างส่งห้องปฏิบัติการ

    ในการการเก็บตัวอย่างส่งห้องปฏิบัติการ ควรกักขังสัตว์ไว้ในที่ปลอดภัย และเฝ้าดูอาการประมาณ 15 วัน ไม่ควรทำลายสัตว์โดยไม่จำเป็น ควรปล่อยให้สัตว์ตายเอง ซึ่งจะตรวจพบเชื้อได้ง่าย และแน่นอน ในการส่งซาก หลังจากที่สัตว์ตายลง ถ้าเป็นสัตว์เล็กเช่นสุนัข แมว การส่งตัวอย่างอาจส่งเฉพาะหัว หรือส่งทั้งซากก็ได้ แต่ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่เช่น โค กระบือ ต้องตัดหัวหรือสมองสัตว์ใส่ถุงพลาสติกแช่น้ำแข็ง นำส่งห้องปฏิบัติการ เพราะตัวอย่างที่จะใช้ตรวจโรคคือสมองของสัตว์ ซึ่งต้องทำอย่างระมัดระวัง อย่าใช้วิธีทุบที่กระโหลก เพราะอาจทำให้สมองเละ ตรวจหาสมองส่วน แอมมอนส ฮอน (Ammon's horn) ได้ยาก แล้วส่งให้เร็วที่สุด โดยต้องปฏิบัติอย่างระมัดระวัง โดยผู้ทำการต้องสวมถุงมือ หรือใช้ถุงพลาสติกหุ้มมือให้มิดชิด และล้างมือให้สะอาดหลังจากเก็บซาก

    พาหะนำโรค

    พาหะนำโรค เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ได้แก่ สัตว์เลี้ยง หรือสัตว์ป่า เช่น สุนัข แมว หนู ลิง ชะนี กระรอก สกั้งค์ แรคคูน และค้างคาว ในประเทศไทยมักพบในสุนัข รองลงมาคือแมว และมีรายงานการเกิดโรคพิษสุนัขบ้าในโค ปีละประมาณ 60 ตัว ในการติดต่อจากคนถึงคน สามารถเกิดได้ตามทฤษฎี หรือทางผิวหนังที่มีบาดแผล เนื่องจากมีการพบเชื้อในน้ำลายของผู้ป่วย แต่ไม่เคยมีรายงานยืนยันที่แน่ชัด

    การติดต่อ

    การติดต่อ อาจเกิดขึ้นได้ โดยเชื้อไวรัสออกมากับน้ำลายสัตว์ที่ติดเชื้อและเข้าสู่ร่างกายคนทางบาดแผล ซึ่งพาหะอาจ กัด ข่วน เลีย หรือมีน้ำลายกระเด็นเข้าตา จมูก นอกจากนี้ เชื้ออาจติดต่อจากการกิน ถ้ามีบาดแผลภายในช่องปากหรือหลอดอาหาร ซึ่งจะพบกรณีสัตว์กินเนื้อตัวป่วย หรือที่ตายใหม่ๆ เข้าไป

    แนวโน้มของการระบาด

    การระบาดของโรคส่วนใหญ่อยู่ในประเทศด้อยพัฒนา หรือกำลังพัฒนา คาดว่ามีผู้เสียชีวิตปีละกว่า 30,000 คน

    ในทวีปเอเชียมักมีสุนัขเป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ ในประเทศไทยผู้เสียชีวิตมีแนวโน้มลดลงตามลำดับจาก 370 คนในปี พ.ศ. 2523 เป็น 30 คน ในปี พ.ศ. 2545 พบมากในภาคกลาง

    ปัจจุบันในทวีปยุโรปยังมีปัญหาในสัตว์ป่า เช่น สุนัขจิ้งจอก ซึ่งหลังจากมีการใช้วัคซีนชนิดกิน ทำให้อุบัติการของโรคลดลงไปมาก ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สามารถกำจัดโรคไปได้ใน ปีค.ศ. 1986 แต่ยังมีรายงานโรคนี้ในค้างคาวในเดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และเยอรมันตะวันตก ส่วนในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา ยังมีปัญหาโรคนี้ในสัตว์ป่า

    ที่มา http://th.wikipedia.org
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2010
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    หิมะถล่มอัฟกานิสถาน คาดตาย 70 ศพ

    [​IMG]

    อัฟกานิสถาน เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เกิดเหตุหิมะถล่มทางเชื่อมกรุงคาบูลกับเมืองมาซาร์-ไอ-ชารีฟ ทางตอนเหนือ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 70 ราย

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานอ้างนายฮานิฟ อัตมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอัฟกานิสถานแถลงเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ว่า เกิดเหตุหิมะถล่มบริเวณทางผ่าน "ซาลัง" เชื่อมกรุงคาบูลกับเมืองมาซาร์-ไอ-ชารีฟ ทางภาคเหนือ ทำให้รถยนต์ถูกหิมะกวาดลงไปในหุบเขาหรือถูกหิมะท่วมทับจำนวนมาก คาดว่าจะมีผู้เสียชีวิตถึง 70 คน หน่วยกู้ภัยกู้ศพออกมาได้แล้ว 24 ศพ อีกกว่า 40 คนยังสูญหาย เชื่อว่าเสียชีวิตแล้ว

    นอกจากนี้ ยังมีผู้ถูกช่วยออกมาจากรถยนต์ท่ีถูกหิมะท่วมทับอยู่ราว 2,500 คน กว่า 400 คนได้รับบาดเจ็บ หิมะถล่มครั้งนี้นอกจากจะทำให้ทางผ่านซาลังถูกตัดขาดแล้ว ยังปิดกั้นอุโมงค์ลอดภูเขาฮินดูกูฏยาว 2.6 กิโลเมตรด้วย

    ไทยรัฐออนไลน์ 10 กุมภาพันธ์ 2553, 02:00 น.

    ราชการมะกัน ปิดยาว หิมะถล่มหนัก

    [​IMG]

    สถานที่ราชการที่สหรัฐฯ ต้องปิดทำการถึงวันที่ 10 ม.ค. เนื่องจากเจอพายุหิมะซัดถล่ม กรุงวอชิงตัน เมืองฟิลาเดเฟีย รัฐเพนซิลวาเนียกับนครนิวยอร์ก โดยมีความเป็นไปได้ที่หิมะจะสูงมากขึ้น จนหนักสุดในรอบ 126 ปี...

    เอพีรายงานว่า ผลของพายุหิมะที่ซัดถล่มกรุงวอชิงตัน เมืองฟิลาเดเฟีย รัฐเพนซิลวาเนียกับนครนิวยอร์ก และอีกหลายพื้นที่ของรัฐแมรี่แลนด์ รัฐเวอร์จิเนีย ทางฝั่งตะวันตกกลางไปถึงหลายรัฐฝั่งแอตแลนติกกลาง ทำให้สถานที่ราชการต้องปิดทำการถึงวันที่ 10 ก.พ. เจ้าหน้าที่รัฐกลางต้องทำงานที่บ้านชั่วคราว การประชุมและการพิจารณาคดีต่าง ๆ ต้องเลื่อนออกไป

    นอกจากนี้ พายุหิมะอาจตกลงมาจนสูงท่วมถึง 20 น้ิว ในกรุงวอชิงตัน และ 18 น้ิว ในเมืองฟิลาเดเฟียช่วงค่ำของวันที่ 10 ก.พ.ตามเวลาท้องถ่ิน ซึ่งเหลืออีกเพียง 9 น้ิว ทั้งสองเมืองก็จะประสบภัยหิมะสาหัสสุดนับแต่ปี 2427 หรือ 126 ปีที่ผ่านมา

    ขณะเดียวกัน คอนเสิร์ตฉลองสิทธิพลเมืองต้องเลื่อนขึ้นจากวันที่ 10 ก.พ.เป็นวันที่ 9 ก.พ.โดยมีประธานาธิบดี บารัค โอบามา พร้อมนางมิเชลล์ โอบามา สตรีหมายเลข1 เข้าร่วมงาน ภายในห้องอีสต์ รูม ที่ทำเนียบประธานาธิบดี ซึ่งปรับให้เป็นเวทีคอนเสิร์ตชมการแสดงของศิลปินชื่อดัง อาทิ บ๊อบ ดีแลน ,สโมกี โรบินสัน ,จอห์น ลีเจนด์ ,โจแอน บาเอซ ,นาตาลี โคล,เจนนิเฟอร์ ฮัตสัน และ จะมีการถ่ายทอดออกอากาศทั่วประเทศเวลา 20.00 น. ของวันที่ 11 ก.พ.

    ไทยรัฐออนไลน์ 10 กุมภาพันธ์ 2553, 08:40 น.

    ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ หนุ่มเฮติ ติดซากตึกถล่ม 4 สัปดาห์รอดตาย

    [​IMG]

    อีแวน มุนซี ชายชาวเฮติวัย 28 ปี รอดชีวิตอย่างเหลือเชื่อ หลังจากติดอยู่ใต้ซากตึกหลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวเป็นเวลายาวนานถึง 4 สัปดาห์ เจ้าตัวเชื่อพระเจ้าช่วยให้รอดมาได้

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 9 ก.พ. ว่า ทุกฝ่ายต่างแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าร่างของ อีแวน มุนซี พ่อค้าข้าววัย 28 ปี ชาวเฮติ ที่ถูกช่วยเหลือออกมาจากใต้ซากตึก ยังคงมีลมหายใจอยู่ เนื่องจากติดอยู่ในนั้นนานถึง 28 วัน หรือ 4 สัปดาห์ นับตั้งแต่ที่เฮติประสบภัยแผ่นดินไหว โดยเจ้าหน้าที่รีบนำส่งโรงพยาบาลในปอร์โตแปรงซ์ทันที

    สาเหตุที่ มุนซี รอดมาได้นั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวเล่าให้แพทย์ฟังว่ามีใครบางคนในชุดคลุมสีขาวนำน้ำมาให้ ขณะที่ติดอยู่ในนั้น นอกจากนี้ มุนซี ยังเล่าว่าเขายังได้ยินเสียงการขุดสำรวจอยู่รอบๆ และกลัวการถูกฝังทั้งเป็นมาก

    ขณะที่ แพทย์กล่าวภายหลังจากตรวจอาการของหนุ่มเหนือดวงคนนี้แล้วว่า มุนซี ยังสับสนและไม่เข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้นรอบตัวเอง รวมถึงน่าจะเกิดภาพหลอนขึ้นในระหว่างที่ติดอยู่ใต้ซาก โดยเขามีอาการขาดสารอาหารและน้ำอย่างรุนแรง

    ไทยรัฐออนไลน์ 10 กุมภาพันธ์ 2553, 03:36 น.

    เฮติปรับยอดผู้เสียชีวิตเป็น 230,000 รายเท่ากับเหยื่อสึนามิ

    [​IMG]

    ยอดเหยื่อแผ่นดินไหวเฮติ ทะลัก 212,000 ราย เทียบเท่าผู้เสียชีวิตจากเหตุสึนามิถล่มเอเชีย เมื่อปี 2547ขณะที่ทั่วโลก เตรียมทุ่ม 300 ล้านเหรียญสหรัฐเยียวยา...

    เอพี เอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานเมื่อ 9 ก.พ.2553 รัฐบาลเฮติปรับตัวเลขยอดผู้เสียชีิวิตจากภัยพิิบัติแผ่นดินไหวเมื่อ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา จาก 212,000 รายเป็น 230,000 ราย เทียบเท่ากับยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุคลื่นยักษ์สึนามิถล่มเมื่อปี 2547

    ทั้งนี้ นางมารี-ลอร็องซ์ โจเซลีน รมว.หญิงด้านการสื่อสารโทรคมนาคมเฮติยังคาดว่า ตัวเลขอาจสูงขึ้นอีก พร้อมเน้นว่าจำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าวนี้ยังไม่ได้รวมกับศพที่ประชาชนแยกไปจัดพิธีฝังญาติตัวเอง นอกจากนี้ รัฐบาลประกาศให้วันที่ 12 ก.พ.2553 เป็นวันหยุดราชการเพื่อให้ชาวเฮติร่วมกันไว้อาลัยและรำลึกถึงผู้ที่ต้่องสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สินและญาติพี่น้อง

    วันเดียวกัน ประธานาธิบดี ราฟาเอล คอร์เรีย แห่งเอกวาดอร์ ประธานจัดการประชุมกลุ่มชาติสหภาพอเมริกาใต้ (Unasur) ในกรุงกีโต ประเทศตนเอง พร้อมกับผู้นำหลายประเทศต่างรับปากช่วยเหลือชาวเฮติรวมเป็นเงิน 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ(ราว9,900ล้านบาท) โดยขอกู้ยืมจากธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างอเมริกาเป็นเงิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และแต่ละรัฐบาลช่วยกันสมทบอีก 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดี เรเน เปรวัล แห่งเฮติ วิงวอนระหว่างการประชุมขณะเดียวกัน องค์การอนามัยโลก(WHO) หยุดแจกจ่ายยาฟรีกับสถานพยาบาลของเอกชน รวมถึงกลุ่มเอ็นจีโอในเฮติ หลังมีรายงานว่าผู้ป่่วยถูกคิดค่ารักษาพยาบาล ยกเว้นโรงพยาบาลของรัฐ

    ส่วนนายอีวานส์ มอนซิเกรซ ซึ่งอ้างว่ารอดชีวิตจากแผ่นดินไหวนานถึง 27 วัน แต่ก็ไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนเพื่อยืนยันถึงปาฎิหาริย์ว่านายอีวานส์อยู่รอดโดยไม่มีน้ำดื่มได้อย่างไร

    ไทยรัฐออนไลน์ 10 กุมภาพันธ์ 2553, 09:45 น.

    ที่มา http://www.thairath.co.th/oversea
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2010
  6. amittra

    amittra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +41
    ภัยพิบัติ เกิดแน่นอนครับ มนุษย์ต่างดาวก็ต้องมี ข่าวประโคมออกใหญ่โตแบบนี้ ถ้าไม่เกิดเดี๋ยวไม่มีเรื่องเรื่องให้เขียนอีก
     
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    จับตา 10 วันอันตราย คนเสื้อแดงกดดันก่อนตัดสินคดียึดทรัพย์ “แม้ว” 26 ก.พ.53

    [​IMG]

    การเมืองระอุ แม้วคุมเกมกดดันทั้งใน –นอกสภา เตรียมเฝ้าระวัง 10 วันอันตราย 16-26 ก.พ. 53

    สถานการณ์การเมืองยังร้อนระอุ ทุกฝ่ายต่างเดินเกมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด (18 ม.ค.) หนังสือพิมพ์ยังคงจับตาข่าว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นำ 5 รมต.ใหม่ถวายสัตย์ฯ พร้อมสั่งสอบไทยเข้มแข็ง สธ. โดยเฉพาะ นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รมช.สาธารณสุขคนใหม่ น้องสาวของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ปัดว่าไม่ได้นั่งเก้าอี้เพราะส้มหล่ม ชี้เป็นทางเลือกสุดท้ายให้ผู้ใหญ่มากกว่า ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เร่งประเมินสถานการณ์การเมือง ที่รุกหนักทั้งในและนอกรัฐบาล โดยอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้ประเทศเพื่อนบ้านเป็นฐานควบคุมเกมการเมือง

    ชี้เตรียมจับตา 10 วันอันตรายในเดือนกุมภาพันธ์ ตามที่กลุ่มคนเสื้อแดง หรือ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประกาศจะชุมนุมใหญ่เพื่อล้มล้างรัฐบาลและอำมาตย์หลังวันตรุษจีน ว่า จากการวิเคราะห์สถานการณ์เชื่อว่าคนเสื้อแดงจะชุมนุมตั้งแต่หลังวันที่ 16 - 26 ก.พ. ซึ่งวันที่ 26 ก.พ. เป็นวันตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของพ.ต.ท.ทักษิณ จึงถือว่าช่วงดังกล่าวเป็นช่วง 10 วันอันตรายที่ต้องจับตามองอย่างยิ่ง

    ส่วนพรรคเพื่อไทย โดยนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงการปรับครม.ว่าเป็นเพียงการปรับเพื่อหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งมีผลกระทบเล็กน้อยเท่านั้น โดยเป้าหมายใหญ่ของเพื่อไทยยังคงมุ่งไปที่ นายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ในวันที่ 19 ม.ค. จะมีการประชุมพรรครวบรวมสรุปข้อมูลอีกครั้ง อาจพิจารณาว่าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อใด ขณะที่แกนนำคนเสื้อแดง 100 คนแจ้งจับ "พล.อ.สุรยุทธ์-ภรรยา" กรณีรุกพื้นที่ป่าสงวน หลังถือครองที่ดินเขายายเที่ยง อ้างทำให้สภาพป่าและต้นน้ำเกิดความเสียหาย เตรียมหาเจ้าของเดิมมายืนยันต่อไป

    ด้านเอแบคโพล์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการออกกฎเหล็ก 9 ข้อของนายกรัฐมนตรี พบว่า ประชาชนร้อยละ 91.2 เห็นว่าควรนำกฎเหล็ก 9 ข้อของนายกรัฐมนตรีไปประยุกต์ใช้กับข้าราชการประจำ และข้าราชการการเมือง และประชาชนร้อยละ 70.2 ยังให้โอกาสรัฐบาลมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป ในการทำงานบริหารประเทศ

    ที่มา http://news.sanook.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • News5-18-01.jpg
      News5-18-01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      36.8 KB
      เปิดดู:
      2,203
  8. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>พบปลาหน้าตาประหลาดในจีน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A14 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A14 vAlign=top>แอนนาโนวา ดอท คอม 10 ก.พ.-ชาวบ้านในจีนจับปลาหน้าตาประหลาดได้จากทะเลสาบแห่งหนึ่งในถ้ำที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน 1,000 เมตร

    ชาวบ้านจับปลาชนิดนี้ได้จำนวนหนึ่งที่ถ้ำใกล้หมู่บ้านต้าลั่ว เมืองป้ามา เขตปกครองตนเองกว่างซี

    ผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นปลาอะไร ลักษณะของปลาประหลาดมีปากแบนยาวคล้ายปากเป็ด มีริมฝีปากสีแดง มีหนวดและมีตาอยู่ใกล้ปาก ผู้ใหญ่บ้านต้าลัว บอกว่า ก่อนพบปลาชนิดนี้ ชาวบ้านเคยได้ยินผู้สูงอายุเล่าถึงปลาประหลาด แต่ยังไม่เคยมีคนในรุ่นปัจจุบันพบเห็น ทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงมากกว่าเรื่องจริง

    สถาบันสัตว์น้ำของกว่างซีส่งผู้เชี่ยวชาญไปยังเมืองป้ามาเพื่อตรวจสอบ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นปลาอะไร

    เมืองป้ามา ซึ่งตั้งอยู่ในเขตภูเขาห่างไกล ได้ชื่อว่ามีประชากรอายุยืนกว่าร้อยปีอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านเชื่อว่าน้ำในทะเลสาบแห่งนี้ทำให้อายุยืน การสำรวจสำมะโนประชากรในปี 2543 พบว่ามีผู้ที่มีอายุเกินร้อยปีอาศัยอยู่ 74 คนจากจำนวนประชากรทั้งหมด 238,000 คน สูงกว่ามาตรฐานสากล ทำให้สมาคมการแพทย์ธรรมชาตินานาชาติ ยอมรับว่า เมืองนี้เป็นเมืองของคนอายุยืน.- สำนักข่าวไทย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:"ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง"
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>พังงาวุ่น รถติดยาว คนแห่ชม ไหว้ต้นไม้ รูปปู่ทวด</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>ประชาชนจำนวนมากแห่ชมต้นไม้รูปทรงคล้ายหลวงปู่ทวด กลางเมืองพังงา จนรถติดหนึบ ตร.จราจรต้องออกมาอำนวยความสะดวก

    บางคนถึงกับพนมมือไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล ในขณะที่บางคนก็ตีเป็นตัวเลขกันตามสูตร แห่กันไปชมต้นไม้ตลอดทั้งวัน ลือหลวงปู่ทวดมาให้โชคลาภในช่วงวันตรุษจีน ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าต้นไม้ประหลาดดังกล่าวเป็นต้นอะไร เนื่องจากอยู่บนเขาสูงชัน เดินทางขึ้นไปยากลำบาก

    จากกรณีพบต้นไม้ประหลาดบนยอดเขาล้างบาศ หลังโรงเรียนสตรีพังงา ต.ท้ายช้าง อ.เมือง จ.พังงา

    โดยกลุ่มต้นไม้มีลักษณะลำต้น กิ่ง ก้าน และใบ ประกอบกันเป็นรูปทรงลักษณะคล้าย กับพระพุทธรูปในท่านั่งขัดสมาธิ ชาวบ้านส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าคล้ายหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ และเชื่อว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีต่อบ้านเมืองและชาวพังงา ตามข่าวที่เสนอไปแล้ว

    เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 9 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ตลอดทั้งวัน มีชาวบ้านเดินทางมาชมต้นไม้เหมือนหลวงปู่ทวด

    ที่หน้า สภ.เมืองพังงา และหน้าโรงเรียนสตรีพังงากันอย่างเนืองแน่น จนการจราจรค่อนข้างติดขัด ตำรวจจราจรต้องมาช่วยอำนวยความสะดวก เมื่อเห็นต้นไม้แล้วต่างพนมมือไหว้ด้วยความทึ่ง ขณะที่บางคนก็หารือกันเพื่อแปรเป็นตัวเลข นอกจากนี้ ยังพากันไปชมบนเนินเขาล้างบาศ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ เนื่องจากต้นไม้ประหลาดอยู่บนเนินสูงกว่าเชิงเขาล้างบาศประมาณ 300 เมตร และสูงชัน

    นายไพโรจน์ เสรีรักษ์ อายุ 80 ปี อยู่บ้าน เลขที่ 13 ซอยนากรอก ถนนเพชรเกษม อ.เมือง จ.พังงา ปราญ์ชาวบ้านเมืองพังงา กล่าวว่า

    เขาล้างบาศเป็นภูเขาโดดเดี่ยวที่อยู่กลางเขาช้าง สมัยก่อนรัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประพาสบนเขา โดยเสด็จฯ ด้วยช้าง แต่ขึ้นไปได้เพียงครึ่งทางเนื่องจากสูงชัน ที่มาของชื่อเขาล้างบาศ เพราะเป็นสถานที่ที่ล้างบ่วงบาศในการจับช้างสมัยก่อน ต่อมาจึงกลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวบ้านในเชิงวัฒนธรรมและเป็นแหล่งโบราณคดี การที่มีต้นไม้ใหญ่เกิดขึ้นดูคล้ายๆ พระพุทธรูปปางสมาธิ ตนเชื่อว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีของชาวพังงา และแสดงว่าบ้านเมืองจะสงบสุขขึ้น

    พระครูใบฎีกาจรูญ สุภโร จากสำนักสงฆ์คลองชะมวง อ.คลองท่อม จ.กระบี่ ที่เดินทางมาชม กล่าวว่า ดูต้นไม้ใหญ่แล้วเป็นรูปในท่านั่งสมาธิเหมือนหลวงปู่ทวด

    ส่วนที่ศีรษะและใบหูทั้งสองด้าน ดูเหมือนพระจีน ดีใจมากที่ได้เดินทางมาชมในวันนี้ รวมทั้งดีใจที่เห็นชาวบ้านแห่กันมาดูและยกมือไหว้ แสดงให้เห็นว่าคนไทยจะช่วยกันทะนุบำรุงศาสนาต่อไป นางนวลจันทร์ สุขรักษา อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 22 หมู่ที่ 3 ต.ถ้ำน้ำผุด อ.เมือง จ.พังงา เปิดเผยว่า การที่ต้นไม้มีลักษณะเหมือนพระ พุทธรูป เป็นนิมิตหมายที่ดีที่เกิดขึ้นในจังหวัด ถือว่าหลวงปู่ทวดมาโปรดคนพังงาให้โชคดีมีสุขในช่วงเทศกาลตรุษจีน

    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีใครทราบว่า ต้นไม้ประหลาดดังกล่าว เป็นต้นอะไร เนื่อง จากอยู่บนเขาสูงชัน เดินทางขึ้นไปยากลำบาก

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ข่าวสารจากจิตจักรวาล

    [​IMG]

    การบรรยายครั้งที่ 152 วันที่ 7 มิ.ย.52 เรื่อง อีก 3 ปีโลกนี้จะมีภัย

    วิกฤตในไทยปี 2009-2012

    1. เกิดโรคระบาดรุนแรง
    2. ขาดแคลนอาหาร และอาชญากรรมมากขึ้น
    3. คนว่างงาน ยาเสพติดระบาดขั้นโคม่า
    4. ภัยธรรมชาติรุนแรงอีก 3 ครั้ง
    5. สงครามกลางเมือง-ผู้นำอ่อนแอ
    6. บุคคลสำคัญของชาติจะป่วย-อาจถึงขั้นเสียชีวิต
    7.ได้รับผลกระกระทบจากภาวะเอลนินโญ่
    8. เกิดเรื่องไม่งามในวงการศาสนา
    9. แก้ปัญหาเศรษฐกิจ-การเมืองไม่สำเร็จ
    10.คนไทยจะพึ่งอวิชชามากขึ้น - คนจะได้ฤทธิ์แบบไม่รู้ตัวมาก<!-- google_ad_section_end -->

    วิกฤตโลกปี 2009-2012
    ------------------------------
    ด้านอุบัติภัยทางธรรมชาติ
    ------------------------------
    1. อาจเกิดแผ่นดินไหวใหญ่รุนแรง โหดกว่าครั้งที่ผ่านมา เอาชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก ไทยก็อาจโดนด้วย
    2. อุบัติเหตุทางเครื่องบิน-เรือล่ม -ทางรถยนต์ การตายหมู่ถี่มากขึ้น
    3. อุทกภัยหนักที่สุดพัดถล่มทั่วโลก ไทยก็อาจโดนด้วย จีนหนักที่สุด
    (ทำบาปมาก เพราะสร้างเขื่อนกั้นนำ้โขง อันจะเป็นเหตุให้ แม่น้ำโขงหายไปจากแผนที่โลก)
    4. อาจเกิดน้ำท่วม กทม. และอัคคีภัยรุนแรง แผ่นดินทรุด น้ำทะเลหนุน ท่วมแล้วลด
    5. เกิดหิมะตกในเขตร้อน อากาศหนาวก็หนาวมากๆ
    6. อาจเกิดอุบัติเหตุจากอาวุธนิวเคลียร์
    ------------------------------
    ด้านสาธารณสุข
    ------------------------------
    1. เกิดโรคร้ายรุนแรงในหลายประเทศ เชื่อโรคมาจากต่างดาวที่ไม่หวังดีกับมนุษย์
    2. ขาดแคลนอาหารบริโภค
    3. ขาดแคลนเครื่องอุปโภค - เครื่องใช้
    4. ไข้หวัดนกกลายพันธุ์สำเร็จ
    5. โรคร้ายเก่าๆ จะกลับมาใหม่และร้ายแรงกว่าเดิม เช่น อหิวาต์ ไข้เลือดออก

    **************************************************************
    การบรรยาย ครั้งที่ 159 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2553 ณ ห้องทิพย์พิมาน โรงแรมมิโด้ สะพานควาย กรุงเทพฯ

    [​IMG]

    เตือน! มหันตภัยแผ่นดินไหว-คลื่นยักษ์สึนามิในครั้งต่อไป จะรุนแรงกว่าเฮติอาจสั่นถึง 8.3 ริคเตอร์ ตรงพิกัดอินโดนีเซีย

    อาจารย์ปริญญา ตันสกุล นักวิชาการสัมผัสพิเศษ ประธานชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลกและประธานเครือข่ายชมรม ผู้ประพฤติธรรมแห่งประเทศไทย ได้รับสาสน์ในการสื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจิตจักรวาล ครั้งที่ 159 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2553 ณ ห้องทิพย์พิมาน โรงแรมมิโด้ สะพานควาย กรุงเทพฯว่า มหันตภัยทางธรรมชาติอันเกิดจากปฏิบัติการชำระโลกที่รุนแรงในครั้งต่อไปนั้น หากเกิดขึ้นจริงตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ มันอาจรุนแรงยิ่งกว่ากรณีของเมืองปอโตแปรงก์ ประเทศเฮติ เพราะมหันตภัยครั้งหน้ามันจะเกิดจากภัยของแผ่นดินไหวบวกกับภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิร่วมกัน

    อาจารย์ปริญญา เปิดเผยข่าวสารนี้ต่อเพื่อนสมาชิกชมรมฯ และฝากผ่านต่อไปยังเพื่อนร่วมโลกทุกท่านให้ได้รับทราบโดยทั่วกันว่า ตั้งแต่ กลางเดือนกุมภาพันธ์ศกนี้จนถึงสิ้นเดือน ในใจกลางโลกอาจเกิดอาการช็อกกระตุกอย่างรุนแรง จนสั่นสะเทือนเป็นคลื่นแผ่นดินไหวที่รุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง คาดว่าพิกัดตำแหน่งที่จะมีโอกาสเผชิญมหันตภัยครั้งนี้มากที่สุดก็คือ ติมอร์ตะวันออก ในหมู่เกาะของประเทศอินโดนีเซีย

    โดยอาจจะมีระดับความรุนแรงราวๆ 8.3 ริคเตอร์ ซึ่งรุนแรงกว่ากรณีที่เกิดขึ้น ณ กรุงปอโตแปรงก์ ประเทศเฮติ ย่านทะเลแคริเบี้ยนที่ผ่านมา

    ซึ่งการไหวครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพราะแผ่นเปลือกโลก ในพิกัดดังกล่าวเกิดการหักทรุดตัวลงกะทันหัน ไม่ใช่เกิดจากการไหลสไลด์ของแผ่นเปลือกโลก แล้วคายพลังงานออกมาเหมือนกรณีแผ่นดินไหวทั่วไป ดังนั้นผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก็คือ แผ่นดินของเกาะนี้ทางด้านตะวันออก จะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนเกิดการยุบตัวลงของแผ่นดินหรือเกิดธรณีสูบ บ้านเรือนอาจพังพินาศล่มจมไปทั่วบริเวณกว้างจนแทบจะกลายเป็นเกาะร้างภายในเวลาไม่กี่นาที

    ถ้าข่าวสารการชำระโลกดังกล่าวนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและกำหนดเวลา คือ ถ้าหากมันเกิดขึ้นมาจริงๆ นั้น นอกจากแผ่นดินจะไหวรุนแรงจนแผ่นเปลือกโลกทรุดตัวจมลงแล้ว มันยังจะก่อให้เกิดภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิตามมาอีกด้วย โดยเพื่อนร่วมโลกที่อาศัยอยู่ตรงพื้นที่ๆ จะต้องระมัดระวังมหันตภัยนี้ไว้เป็นพิเศษก็คือ นอกจากเพื่อนๆ ชาวติมอร์ตะวันออกแล้ว ผู้ที่อยู่อาศัยบนเกาะเล็กเกาะน้อยในย่านทะเลติมอร์ รวมทั้งผู้อยู่อาศัยบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของเกาะนิวกินี เกาะอีเรียนจาย่าก็จักต้องระวังภัยครั้งนี้ไว้ให้มาก เพราะบางเกาะอาจจะถึงขั้นจมหายไปใต้ทะเลลึก หรือต้องลบออกจากแผนที่โลกเลยทีเดียว ส่วนพื้นที่ชายฝั่งทะเลทางตอนบนของทวีปออสเตรเลีย บริเวณเมืองดาวิน และอ่าวโบนาปาร์ทก็ต้องคอยเฝ้าระวังภัยที่จะเกิดจากผลกระทบของแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิครั้งสำคัญนี้เอาไว้ด้วยเช่นกัน จงอย่าประมาท

    ถ้าช่างเท็คนิคผู้อยู่เบื้องหลังกระบวนการชำระโลกครั้งนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงพิกัด กำหนดการ และเงื่อนไขใดๆมันจะยังผลให้กรณีพิบัติภัยครั้งนี้เกิดขึ้นแน่นอน คาดว่าน่าจะมีผู้เสียชีวิตและสูญหายไปราวๆ หนึ่งแสนสองหมื่นห้าพันคน

    แน่นอนว่า...,มหันตภัยครั้งนี้หากเกิดขึ้นนั้น มันจะเกิดขึ้น ตามรหัส 11 ในวันเวลาที่ 11 อีกครั้ง! อาจารย์ปริญญาจึงใคร่ขอส่งข่าวสารชิ้นนี้มายังเพื่อนร่วมโลกอีกครั้ง ดังเช่นที่เคยฝากข่าวสารการชำระโลกในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาแล้ว ด้วยความรักและปรารถนาดีต่อเพื่อนร่วมโลกทุกคนอย่างจริงใจ ขอวอนให้เพื่อนร่วมโลกทั้งหลายจงดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท หรือขาดสติ มีความรักมอบให้แก่เพื่อนร่วมโลกอย่างจริงจังมากขึ้น และไม่เบียดเบียนทำร้ายทำลายกัน เพื่อร่วมกันสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ให้จงได้ในเร็ววัน ก่อนมหันตภัยร้ายจะย่างกรายมาถึงตัวเราเอง และจะได้ช่วยกันผ่อนมหันตภัยรุนแรงที่จะเกิดขึ้นต่อไปข้างหน้า จากหนักให้เป็นเบาลงให้จงได้ เพียงแค่เพื่อนร่วมโลกของเราทั้งหลายมาร่วมใจกัน รักกันให้ได้ ให้กันให้เป็น และไม่ก้าวล่วงซึ่งกันและกัน” เท่านั้นเอง

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->แม่นายมล<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2958316", true); </SCRIPT> สมาชิก

    10-02-2010, 07:56 AM

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ข่าวสารจากจิตจักรวาล.66981/page-31
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2010
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>หิมะถล่มอัฟกานิสถานตายแล้วอย่างน้อย 165 ศพ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 กุมภาพันธ์ 2553 22:29 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เอเอฟพี - เจ้าหน้าที่กู้ภัยค้นพบศพผู้เสียชีวิต 165 คน และผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 135 คน จากเหตุหิมะถล่มต่อเนื่องกันระลอก ในบริเวณช่องเขาทางภาคเหนือของประเทศ ทั้งนี้ตามการแถลงของ ซูรอยะ ดาลิล รักษาการรัฐมนตรีสาธารณสุขเมื่อวันพุธ(10) โดยเธอบอกด้วยว่า โศกนาฏกรรมคราวนี้ถือเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของอัฟกานิสถาน

    ผู้สื่อข่าวบอกว่าพายุหิมะรุนแรงได้กระหน่ำใส่ถนนที่เชื่อมระหว่างเมืองหลวงคาบูลกับภาคเหนือของประเทศตั้งแต่วันจันทร์(8) ทำให้เกิดเหตุหิมะถล่มหลายครั้ง ซึ่งได้โถมทับผู้คนที่อยู่ในยวดยานต่างๆ บนช่องทางยุทธศาสตร์สายนี้ รวมทั้งกวาดเอารถจำนวนหนึ่งลงจากถนนสู่หุบเหวลึกเบื้องล่าง

    ที่มา http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9530000019523

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>พายุหิมะถล่มสหรัฐฯ อีกรอบ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 กุมภาพันธ์ 2553 21:36 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เอเจนซี - พายุหิมะรุนแรงพัดถล่มพื้นที่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ตั้งแต่กรุงวอชิงตันจนถึงนิวยอร์กในวันอังคาร (9) นับเป็นพายุหิมะระลอกที่สองภายในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์

    สำนักอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติสหรัฐฯ คาดว่าหิมะในนิวยอร์กและวอชิงตันจะมีความสูงถึง 14 นิ้ว ส่วนที่บัลติมอร์จะสูงถึง 20 นิ้ว และที่ฟิลาเดลเฟียอาจสูง 19 นิ้ว อีกทั้งจะมีลมกรรโชกแรงซึ่งทำให้ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าสูงขึ้นด้วย

    หน่วยงานของรัฐบาลในวอชิงตันปิดทำการในวันพุธ และเป็นการปิดต่อเนื่องกันถึง 3 วันแล้ว ซึ่งทำให้เสียค่าใช้จ่ายจากการสูญเสียศักยภาพในการสร้างงานถึงราววันละ 100 ล้านดอลลาร์ ขณะที่สำนักงานสหประชาชาติในนิวอร์กก็ปิดทำการด้วยเช่นกัน

    ด้านสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ งดการลงมติในสัปดาห์นี้ ส่วนแฮร์รี รีด ผู้นำเสียงข้างมากของวุฒิสภาให้เลื่อนการประชุมวุฒิสภาจากวันพุธไปเป็นวันพฤหัสบดี ขณะที่การรับฟังข้อมูลเรื่องต่างๆ ของสภาคองเกรสก็ต้องเลื่อนออกไปเช่นกัน

    ที่มา http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9530000019499

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>พม่า-อินเดียปิดปากเงียบเรื่องซื้ออาวุธ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>21 มกราคม 2549 15:21 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เรือพิฆาตติดขีปนาวุธ "รานจิต" เป็นจ่าฝูงนำกองเรือรบจากอินเดีย เข้าจอดเยี่ยมที่เมืองท่าย่างกุ้งปลายปีที่แล้ว

    กรุงเทพฯ- ประธานสภาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐของพม่า คือ พล.อ.อาวุโสตานฉ่วย พบและหารือกับ พล.ร.อ.อรุณ ประกาศ (Arun Prakash) ผู้บัญชาการทหารเรือของอินเดียที่ไปเยือน ในวันศุกร์ (20 ม.ค.) ที่ผ่านมา สำนักข่าวซินหัวรายงานเรื่องนี้โดยอ้าง รายงานของสถานีวิทยุทางการพม่า ซึ่งไม่ได้ให้รายละเอียดอื่นใดอีก รวมทั้งเกี่ยวกับเนื้อหาของการพบหารือด้วย

    ผบ.ทร. อินเดีย เดินทางถึงกรุงย่างกุ้งเมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งก่อนหน้านั้นสื่อของอินเดียรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวว่า พม่ามีความสนใจในเรือรบและระบบขีปนาวุธของอินเดีย หลังจากทางการพม่าพึ่งพาอาวุธจากจีนสำหรับใช้ในกองทัพมาเป็นเวลานาน สำหรับ พล.อ.อาวุโสตานฉ่วย นั้นยังมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพพม่าอีกด้วย

    การเดินทางเยือนพม่าของ พล.ร.อ.อรุณ มีขึ้นหลังจากกองเรือรบของอินเดีย ซึ่งนำโดยเรือพิฆาตติดขีปนาวุธ "รานจิต" (Ranjit) กับเรือคอร์แว็ตติดขีปนาวุธ "กุฑา" (Kutha) ไปแวะจอดที่ท่าเรือยย่างกุ้งเป็นเวลา 5 วันในเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นครั้งที่สาม ในรอบ 3 ปี สำหรับการเยือนของเรือรบจากอินเดีย

    นอกจากนั้นในระหว่างวันที่ 9-14 ม.ค. ที่ผ่านมา อินเดียยังได้เป็นเจ้าภาพจัดการซ้อมรบทางเรือขึ้นในแถบหมู่เกาะนิโคบาร์ ในมหาสมุทรอินเดีย โดยมีเรื่อรบจากบังกลาเทศ พม่า ศรีลังกา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย เข้าร่วมด้วย

    อินเดียได้กระชับความสัมพันธ์กับพม่าในหลายด้าน รวมทั้งด้านกลาโหมด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย "มุ่งตะวันออก" (Look East) โดยคณะเยือนทางทหารของทั้งสองประเทศ ได้แลกเปลี่ยนการเยือนกันหลายคณะ นอกเหนือจากที่มีรายงานว่าบุคคลากรทางทหารจากพม่าจำนวนมากกำลังได้รับการฝึกฝนอยู่ในอินเดีย.

    ที่มา http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9490000008898

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"โจลี" เยี่ยมเหยื่อแผ่นดินไหวเฮติถึงที่</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 กุมภาพันธ์ 2553 10:39 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    แองเจลีนา โจลี เผชิญข้อกล่าวหาว่าสร้างภาพมาตลอด ขณะที่เธอก็ยังเดินทางไปทำหน้าที่ทูตสันถวไมตรีของ UNHCR มาอย่างต่อเนื่อง

    เอเอฟพี - แองเจลินา โจลี ดาราฮอลลีวูดที่โลกรู้จักกันดี เดินทางเยี่ยมผู้ประสบภัยชาวเฮติถึงที่ หลังจากที่ชาวเฮติเหล่านี้ต้องทุกข์ทรมานกับความยากลำบากที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหว 7.0 ริกเตอร์เมื่อเกือบ 4 สัปดาห์ก่อน

    ดาราสาวชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นทูตสันถวไมตรีของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ(UNHCR)ด้วย เดินทางไปถึงกรุงปอร์โตแปรงซ์ เมืองหลวงของเฮติวันจันทร์(8) จากนั้นได้ไปเยี่ยมเจ้าหน้าที่สหประชาติในกรุงปอร์โตแปรงซ์ ก่อนจะเดินทางออกนอกเมืองไปเยี่ยมเด็กๆ ที่ศูนย์ผู้ลี้ภัยในเมืองซานโต รวมถึงไปยังโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บด้วย

    โจลี ซึ่งเคยคว้ามรางวัลออสการ์มาแล้ว เดินทางไปพื้นที่ประสบภัยพร้อมกับคณะของหัวหน้าทีมภารกิจเฮติของยูเอ็นเอชซีอาร์ และมาริโอ วาร์กาส ลโลซา บุตรชายของนักเขียนชาวเปรู ทั้งนี้ มีคนเห็นว่าเธอสวมแจ็กเก็ตสีดำและสวมแว่นกันแดด

    การเดินทางเยือนของดาสาวเกิดขึ้นขณะที่ในเวลานี้ ศูนย์ลี้ภัยเด็กกำลังพยายามทำให้เด็กๆ ได้กลับไปอยู่กับครอบครัว แต่กลับมีปัญหาขัดแย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับเด็ก 33 คนที่กำลังอยู่ในศูนย์พักพิงแห่งนี้ โดยมิชชันนารีชาวอเมริกันหลายคนกำลังถูกตั้งข้อหาพยายามลักพาตัวเด็กไปยังสาธารณรัฐโดมินิกัน

    นอกจากจะเดินทางไปให้กำลังใจชาวเฮติมถึงที่แล้ว เมื่อเดือนที่แล้ว โจลี และสามี แบรด พิตต์ ยังบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์แก่องค์กรแพทย์ไร้พรมแดน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเฮติ หลังจากแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมาด้วย

    ที่มา http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9530000019033

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เขมรขนทหาร-รถถัง-ปืนใหญ่ประชิดไทย - “ตาเมือนธม-ตาควาย”ตึงเครียดอีก</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 กุมภาพันธ์ 2553 18:20 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    ทหารไทยยังปิดทางเข้าปราสาทตาเมือนธม หลังชายแดนไทย-กัมพูชาตึงเครียดหนักอีกพบทหารเขมรเสริมกำลังพร้อมอาวุธหนัก รถถัง ปืนใหญ่ ประชิดชายแดนด้าน จ.สุรินทร์ วันนี้ ( 10 ก.พ.)

    สุรินทร์- สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านสุรินทร์ตึงเครียดหนักอีกพบทหารเขมรระดมเสริมกำลังพร้อมอาวุธหนักทั้งรถถัง-ปืนใหญ่-ปืนต่อสู้อากาศยานเข้าประชิดปราสาทตาเมือนธม-ตาควาย พร้อมเตือน ปชช.กัมพูชาอย่าเข้าใกล้ชายแดน ขณะ กกล.สุรนารีสั่งทหารไทยตรึงกำลังเตรียมพร้อมเต็มที่และยังปิดเส้นทางเข้า“ตาเมือนธม” ขณะด่าน “ช่องจอม” เงียบเหงาผิดปกติเหตุผวาการสู้รบ

    เขมรเหิมส่งกำลังชายแดนตาเหมือนธม

    วันนี้ (10 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ โดยเฉพาะพื้นที่พิพาทบริเวณปราสาทตาเมือนธม บ้านหนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ล่าสุดวันนี้ได้ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้งโดยทหารกัมพูชาได้เสริมกำลังพร้อมอาวุธหนัก ทั้งปืนใหญ่ ปืนกลต่อสู้อากาศยาน และรถถังอีกจำนวน 6 คันเข้ามายังบ้านโอร์รุมจอง หรือเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบ้านตาเมือน ต.โคกหมอน อ.บันเตียอำปึล จ.อุดรมีชัย ห่างจากชายแดนไทยด้านปราสาทตาเมือนธม เพียง 6 กิโลเมตร (กม.)

    นอกจากนั้นยังเสริมกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือ อีกกว่า 300 นาย วางกำลังประชิดชายแดนไทยตลอดแนวใกล้กับปราสาทตาเมือนธม

    ทภ.2 สั่งตรึงกำลังพร้อมอาวุธป้องอธิปไตย

    ขณะที่ฝ่ายทหารไทย กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งตรึงกำลังพร้อมอาวุธหนัก เข้าประชิดชายแดนเพื่อปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มที่เช่นกัน รวมทั้งยังคงปิดเส้นทางเข้าปราสาทตาเมือนธม ห่างจากตัวปราสาท 200 เมตรห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปปราสาทตาเมือนธม อย่างเด็ดขาด รวมถึงไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนให้ขึ้นไปบันทึกภาพในบริเวณปราสาทตาเมือนธมด้วย เพราะเกรง จะไม่ได้รับความปลอดภัยจากสถานการณ์ความตึงเครียดทางทหารดังกล่าว

    นอกจากนี้ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านปราสาทตาควาย บ.ไทยสันติสุข ต.บักได อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธมออกไปทางด้านทิศตะวันออกราว 13 กิโลเมตร (กม.) ตรงข้ามกับบ้านทะมอโดน ต.โคกหมอน อ.บันเตียอำปึล จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา พบว่า ทหารกัมพูชาได้มีการเคลื่อนย้ายกำลังพร้อมอาวุธหนัก จากบ้านปะอง อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย เข้ามายังฐานปฏิบัติการบ้านทะมอโดนเป็นจำนวนมาก ทำให้กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการให้ชุดทหารพราน กรมทหารพรานที่ 26 และกรมทหารราบเฉพาะกิจ ที่ 23 เข้า ตรึงกำลังในพื้นที่ชายแดนด้านนี้อย่างเต็มที่เช่นกัน และให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

    เขมรเตือน ปชช.ออกห่างเขตพื้นที่ชายแดน

    ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เป็นที่สังเกตวันนี้ทางการกัมพูชาได้ประกาศเตือนประชาชนชาวกัมพูชาไม่ให้เข้าใกล้เขตพื้นที่ชายแดนในช่วงนี้ โดยอ้างเหตุผลเรื่องความไม่ปลอดภัย ซึ่งได้สร้างความวิตกกังวลให้กับชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนเป็นอย่างมากว่า การระดมพลเสริมกำลังเข้าประชิดชายแดนไทยด้านปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายอย่างผิดปกติของทหารกัมพูชาดังกล่าวเป็นสัญญาณที่จะนำไปสู่จุดแตกหักหรือเปิดฉากปะทะกันขึ้นในเร็วๆ นี้ สอดรับกับเหตุการณ์บ้านเมืองที่ร้อนแรงในประเทศไทย

    ด่าน "ช่องจอม-โอร์เสม็ด" เงียบเหงา

    ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ส่วนบรรยากาศการค้าชายแดนที่บริเวณด่านผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องจอม-โอร์เสม็ด ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ วันนี้ (10 ก.พ.) เงียบเหงาลงไปมากมีประชาชนชาวกัมพูชาเดินทางผ่านเข้า-ออก บางตา แม้แต่นักแสวงโชคชาวไทยที่เข้าไปเล่นการพนัน ในบ่อนกาสิโนชายแดน ฝั่งประเทศกัมพูชาก็ลดจำนวนลงมากเช่นกัน เหลือประมาณ 300 คน จากเดิมช่วงวันปกติมีประมาณ 500-800 คน/ วัน และหนาแน่นวันหยุดช่วงเทศกาลและวันเสาร์-อาทิตย์ ระดับมากกว่า 1,000 คน/วันขึ้นไป

    ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากความกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ร้อนระอุอยู่ในขณะนี้โดยเฉพาะการออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวรุนแรงกับประเทศไทยอย่างต่อเนื่องของสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผู้นำที่สามารถสั่งประเทศกัมพูชาหันซ้ายขวาหรือเดินหน้าถอยหลังได้ทุกเวลา

    ที่มา http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000019415
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. goldbell

    goldbell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +1,340
    ไทยร้อนสุด22เม.ย.-กทม.อุณหภูมิทะลุ40องศา

    <TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เผยปีนี้กรุงเทพฯ ร้อนเกิน 40 องศาฯ โดยช่วงร้อนที่สุดอยู่ระหว่างเดือน มี.ค.ไปจนถึงเดือน เม.ย. ซึ่งวันที่ร้อนที่สุดคือ วันที่ 22 เม.ย.นี้....

    เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ดร.สมชาย ใบม่วง รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวในการเสวนาเรื่อง “ร้อนปนฝน เกิดอะไรขึ้นกับฤดูหนาวของไทยในปี 2553”

    ที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า การที่มีฝนตกในฤดูหนาว เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ ทั้งนี้ เนื่องจากมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมายังตอนล่างสู่ประเทศไทยและบริเวณ ใกล้เคียง มวลอากาศเย็นนี้ถ้าสู่ประเทศไทยจะทำให้เกิดเป็นลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดนำ เอาความหนาวเย็นมาด้วย ถ้าเคลื่อนลงสู่ทะเลจีนใต้จะทำให้เกิดเป็นลมตะวันออกเฉียงใต้ พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้เข้าสู่คาบสมุทรอินโดจีน ทำให้เกิดฝนตกได้ โดยแต่ละปีจะมีความหนักเบาแตกต่างกันไป แต่ปีนี้ถือว่ามีฝนตกมากกว่าปกติโดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ถึงขนาดเกิดน้ำท่วม สาเหตุทั้งหมดน่าจะมาจากปัญหาโลกร้อนทำให้ภูมิอากาศของโลกแปรปรวน ขณะเดียวกันโลกพยายามปรับสภาพเข้าสู่ภาวะสมดุลของตัวมันเอง ดังนั้นในพื้นที่บางแห่งจะมีฝนมาก บางแห่งมีน้อย บางแห่งร้อนมาก บางแห่งหนาวมาก เป็นต้น

    “สำหรับ คนกรุงเทพฯ อาจรู้สึกหน้าหนาวไม่นาวหรือหนาวช่วงสั้นๆ สาเหตุเพราะสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป มีการสร้างตึกเกิดขึ้นมาก สภาพอากาศจึงเปลี่ยนไป ขณะที่ในภาคเหนือหรือตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศยังหนาวเย็นตามปกติ” รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าว

    ด้าน ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ จากภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า อุณหภูมิหนาวหรือร้อนของคนกรุงเทพฯ เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์

    อาทิ จากประชากรที่เพิ่มมากขึ้น การเกษตร การใช้พลังงาน เป็นต้น อย่างไรก็ตามปีนี้สภาพอากาศ ค่อนข้างแปรปรวน เพราะภาวะเอลนิโญ ทวีความรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ระบบหมุนเวียนอากาศของโลกอ่อนกำลังลง จึงทำให้เกิดฝนตกในฤดูหนาว ที่สำคัญปีนี้จะเกิดจุดความร้อนมากขึ้นในกรุงเทพฯ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือบาง

    ส่วน ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ปัญหาที่ไทยจะเจอแน่คือ ปรากฏการณ์เอลนินโญ่ระดับรุนแรงในรอบ 10 ปี

    โดยจะทำให้เกิดภาวะร้อนและแล้งมากกว่าปีที่ผ่านมา มีการคาดการณ์แล้วว่าจะส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้น 40-42 องศาในบางพื้นที่ โดยเฉพาะภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพฯ น่าจะเกิน 40 องศา โดยช่วงร้อนที่สุดอยู่ระหว่างเดือน มี.ค.ไปจนถึงเดือน เม.ย. ซึ่งวันที่ร้อนที่สุดคือ วันที่ 22 เม.ย.นี้


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>พายุหิมะถล่มหนัก"วอชิงตัน"หนาถึง55นิ้ว เส้นทางสัญจรอัมพาตหมด</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A14 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A14 vAlign=top>สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า จากการที่พายุหิมะระลอกล่าสุด

    ซึ่งเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 10 ก.พ. ที่ผ่านมา ส่งผลให้กรุงวอชิงตัน ดีซี ในสหรัฐ มีหิมะตกหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์ ข้าราชการเกือบ 230,000 คน ในพื้นที่กรุงวอชิงตัน ต้องหยุดงาน ประเมินความเสียหายคิดเป็นมูลค่าวันละ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ท่าอากาศยานดัลเลสในกรุงวอชิงตันปิดทำการ 24 ชั่วโมง ส่วนที่ท่าอากาศยานโรนัลด์ เรแกน มีรายงานว่า หิมะท่วมสูง 55 นิ้ว และนับว่ามากที่สุดในรอบ 111 ปี


    สภาพอากาศเลวร้ายมากทำให้ทางการเมืองบัลติมอร์ห้ามประชาชนขับรถ รถโดยสารประจำทางในกรุงวอชิงตันหยุดวิ่ง

    และหยุดเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนบางส่วน ส่วนที่มหานครนิวยอร์ก นายกเทศมนตรีไมเคิล บลูมเบิร์ก สั่งการให้ปิดโรงเรียนและปิดสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐยกเลิกการประชุมและการลงมติกฎหมายทุกฉบับในสัปดาห์นี้ แต่วุฒิสภาจะกลับมาประชุมในวันที่ 11 ก.พ.


    ทั้งนี้ เที่ยวบินทุกเที่ยวจากท่าอากาศยานกรุงวอชิงตันถูกเลื่อน และมีรายงานว่าสายการบินที่มาจากนิวเจอร์ซีย์ ฟิลาเดลเฟีย บัลติมอร์ และชิคาโก ถูกยกเลิกหรือล่าช้ากว่ากำหนดการ

    อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาสหรัฐระบุว่า หิมะท่วมสูง 20-30 นิ้ว และมากที่สุดที่ทางเหนือและตะวันออกของเมืองบัลติมอร์ วัดได้ 3-6 ฟุต อิทธิพลของพายุหิมะทำให้บางครอบครัวในรัฐแมริแลนด์ เวอร์จิเนีย รวมถึงในกรุงวอชิงตัน ไม่มีไฟฟ้าใช้มานานเกือบ 1 สัปดาห์ ตั้งแต่ถูกพายุหิมะถล่มระลอกแรกเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A14 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A14 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A14 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A14 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A14 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A14 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A14 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A14 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A14 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>เฮติเซ่นสังเวยแผ่นดินไหว 270,000 ศพ </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>วันนี้ ( 11 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โฆษกของประธานาธิบดีเรเน่ เปรวาลของเฮติ แถลงยืนยันเมื่อวันพุธว่า

    ความผิดพลาดในการพิมพ์ ทำให้ประธานาธิบดีเปรวาลประกาศเมื่อวันพุธ เพิ่มยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.0 ริคเตอร์ในกรุงปอร์โตแปรงซ์ เมื่อ 12 มกราคม เป็น 270,000 คน ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งยืนยันว่า ยอดผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่มากกว่า 217,000 คนนิดหน่อย ตัวเองที่เพิ่มสูงขึ้นมากนี้ ปรากฏอยู่ในสำเนาคำกล่าวสุนทรพจน์ของนายเปรวาล ต่อที่ประชุมสุดยอดรายการหนึ่งที่เอกวาดอร์เมื่อวันอังคาร ซึ่งตั้งเป้าจะระดมความช่วยเหลือให้กับเฮติ

    และตัวเลขที่จู่ก็เพิ่มสูงกะทันหัน จากมหันตภัยทางธรรมชาติที่ร้ายแรงสุดเป็นประวัติการณ์ของทวีปอเมริกาครั้งนี้ ได้สร้างความกังขา ก่อนจะถูกระบุในเวลาต่อมาว่าเป็นตัวเลขที่ผิดพลาดในระหว่างการพิมพ์

    นายปอล บิแอง ไอเม่ รัฐมนตรีมหาดไทยเฮติแถลงว่า นับตัวเลขได้มากกว่า 217,000 ศพนิดหน่อยและว่าเป็นตัวเลขที่ผ่านการรับรองแล้ว แต่สำนักข่าวเอเอฟพียังตั้งข้อกังขาว่ามีการนับยอดผู้เสียชีวิตจริงๆหรือเพราะมีศพมากมายเหลือเกินที่ถูกฝังรวมในหลุมฝังศพหมู่หลายแห่งหลังเกิดเหตุ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>รวบสาววัย28ปลอมเป็นราชนิกุลชั้นสูง</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>คมชัดลึก :จับสาววัย28ปลอมเป็นราชนิกุลชื่อ "หม่อมอุ๋มอิ๋ม" บุกโรงพักบางเขน ขอพบผู้กำกับ ยื่นเอกสารอย่ายึดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ตำรวจไม่หลงกล วางแผนจับพร้อมหนุ่มใหญ่สกุลดัง อ้างเป็นเลขาฯ เผยพฤติกรรม เปลี่ยนชื่อนำหน้าจาก "น.ส." เป็น "ม.ล."


    เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.)

    พร้อมด้วย พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 (ผบก.น.2) และ พ.ต.อ.พัฒนา เพศยนาวิน ผู้กำกับการ (ผกก.) สน.บางเขน ร่วมกันแถลงผลจับกุมผู้ต้องหา 2 คน ซึ่งแอบอ้างเป็นราชนิกุลชั้นสูง คือ นายปิญช์ มาลากุล ณ อยุธยา อายุ 42 ปี และ น.ส.จุฬาลักษณ์ ฟอสเตอร์ หรือ “หม่อมอุ๋มอิ๋ม” อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 35/76 หมู่ 3 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ พร้อมของกลางซองเอกสารสีน้ำตาล 1 ซอง และเอกสารที่มีตราประทับประจำราชสกุลกิติยากร เลขที่ ม.ญ.จ. 51-1/53 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2553 อีก 1 ฉบับ โดยจับกุมได้ที่ สน.บางเขน ก่อนแจ้งข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน ซึ่งทำให้ประชาชนหรือผู้อื่นได้รับความเสียหาย และใช้เอกสารปลอม




    พ.ต.อ.พัฒนา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา น.ส.จุฬาลักษณ์มาขอพบ

    แต่ตนติดภารกิจ จึงมอบหมายให้ พ.ต.ท.พิเชษฐ์ ฟูสินไพบูลย์ รอง ผกก.สส.สน.บางเขน เป็นผู้ดำเนินการแทน โดย น.ส.จุฬาลักษณ์ได้ยื่นเอกสาร 1 ชุด มีข้อความสำคัญที่เข้าข่ายอ้างถึงราชสกุล “กิติยากร” ระบุว่า “ขอไม่ให้ดำเนินการในเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ และขอความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ห้ามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับลิขสิทธิ์เข้าไปในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ทุกท่านควรปกป้องและควรดูแลบุคคลสำคัญในราชนิกุลชั้นสูง" ซึ่งเอกสารดังกล่าวมีการปลอมแปลงลายพระนาม และตราประทับราชสกุลกิติยากร เมื่อ พ.ต.ท.พิเชษฐ์ เห็นเอกสารดังกล่าว จึงแนะนำ น.ส.จุฬาลักษณ์ มาพบตนอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น


    “ในช่วงค่ำวันเดียวกัน นายปิญช์ มาลากุล ณ อยุธยา อ้างว่าเป็นเลขาฯ ของ น.ส.จุฬาลักษณ์ ได้นำเอกสารชุดเดิมมายื่นผมอีกครั้ง ด้วยความไม่แน่ใจ กลัวจะมีการแอบอ้าง ผมจึงประสานไปยัง พล.ต.ท.ไตรรัตน์ อมาตยกุล ผู้บัญชาการสำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ เพื่อตรวจสอบเอกสารดังกล่าวว่าเป็นของจริงหรือไม่ เมื่อตรวจสอบก็พบว่าเอกสารเป็นของปลอม จึงควบคุมตัวนายปิญช์ไว้สอบปากคำเพิ่มเติม" พ.ต.อ.พัฒนากล่าว


    จากการตรวจสอบประวัติ น.ส.จุฬาลักษณ์ พบว่าเคยต้องคดีอาญาที่ สน.บางชัน ในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลตัดสินจำคุกเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2545

    และตรวจสอบชื่อกับสำนักงานทะเบียนราษฎร พบว่าเปลื่ยนชื่อในบัตรประชาชน จากชื่อเดิมมาเป็น “ม.ล.จุฬาลักษณ์ กิติยากร” นอกจากนี้ยังพบนามบัตรและเอกสารจัดตั้งมูลนิธิหม่อมเจ้าหญิงกิติปปิยา กิติยากร เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อนำเงินที่ได้รับการบริจาคมาใช้ส่วนตัว จากกรณีที่ถูกจับดังกล่าว เนื่องจากตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหามักจะทำตัวเป็นหัวคิวลิขสิทธิ์ ที่ตลาดนัดหน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ล่าสุดพบว่าเปลี่ยนคำนำหน้าของลูกเป็น “หม่อมหลวง” ด้วย


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>ไทยร้อนสุด22เม.ย.-กทม.อุณหภูมิทะลุ40องศา</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เผยปีนี้กรุงเทพฯ ร้อนเกิน 40 องศาฯ โดยช่วงร้อนที่สุดอยู่ระหว่างเดือน มี.ค.ไปจนถึงเดือน เม.ย. ซึ่งวันที่ร้อนที่สุดคือ วันที่ 22 เม.ย.นี้....

    เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ดร.สมชาย ใบม่วง รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวในการเสวนาเรื่อง “ร้อนปนฝน เกิดอะไรขึ้นกับฤดูหนาวของไทยในปี 2553”

    ที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า การที่มีฝนตกในฤดูหนาว เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ ทั้งนี้ เนื่องจากมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมายังตอนล่างสู่ประเทศไทยและบริเวณ ใกล้เคียง มวลอากาศเย็นนี้ถ้าสู่ประเทศไทยจะทำให้เกิดเป็นลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดนำ เอาความหนาวเย็นมาด้วย ถ้าเคลื่อนลงสู่ทะเลจีนใต้จะทำให้เกิดเป็นลมตะวันออกเฉียงใต้ พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้เข้าสู่คาบสมุทรอินโดจีน ทำให้เกิดฝนตกได้ โดยแต่ละปีจะมีความหนักเบาแตกต่างกันไป แต่ปีนี้ถือว่ามีฝนตกมากกว่าปกติโดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ถึงขนาดเกิดน้ำท่วม สาเหตุทั้งหมดน่าจะมาจากปัญหาโลกร้อนทำให้ภูมิอากาศของโลกแปรปรวน ขณะเดียวกันโลกพยายามปรับสภาพเข้าสู่ภาวะสมดุลของตัวมันเอง ดังนั้นในพื้นที่บางแห่งจะมีฝนมาก บางแห่งมีน้อย บางแห่งร้อนมาก บางแห่งหนาวมาก เป็นต้น

    “สำหรับ คนกรุงเทพฯ อาจรู้สึกหน้าหนาวไม่นาวหรือหนาวช่วงสั้นๆ สาเหตุเพราะสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป มีการสร้างตึกเกิดขึ้นมาก สภาพอากาศจึงเปลี่ยนไป ขณะที่ในภาคเหนือหรือตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศยังหนาวเย็นตามปกติ” รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าว

    ด้าน ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ จากภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า อุณหภูมิหนาวหรือร้อนของคนกรุงเทพฯ เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์

    อาทิ จากประชากรที่เพิ่มมากขึ้น การเกษตร การใช้พลังงาน เป็นต้น อย่างไรก็ตามปีนี้สภาพอากาศ ค่อนข้างแปรปรวน เพราะภาวะเอลนิโญ ทวีความรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ระบบหมุนเวียนอากาศของโลกอ่อนกำลังลง จึงทำให้เกิดฝนตกในฤดูหนาว ที่สำคัญปีนี้จะเกิดจุดความร้อนมากขึ้นในกรุงเทพฯ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือบาง

    ส่วน ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ปัญหาที่ไทยจะเจอแน่คือ ปรากฏการณ์เอลนินโญ่ระดับรุนแรงในรอบ 10 ปี

    โดยจะทำให้เกิดภาวะร้อนและแล้งมากกว่าปีที่ผ่านมา มีการคาดการณ์แล้วว่าจะส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้น 40-42 องศาในบางพื้นที่ โดยเฉพาะภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพฯ น่าจะเกิน 40 องศา โดยช่วงร้อนที่สุดอยู่ระหว่างเดือน มี.ค.ไปจนถึงเดือน เม.ย. ซึ่งวันที่ร้อนที่สุดคือ วันที่ 22 เม.ย.นี้


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    อุกาบาตชนพื้นที่เม็กซิโก เป็นหลุมกว้า 30 เมตร

    2010-02-11 09:22:12 - Cosmic Event - Mexico

    EDIS CODE: CO-20100211-24898-MEX
    Date & Time: 2010-02-11 09:22:12 [UTC]
    Area: Mexico, Ahuazotepec Municipality, Between the cities of Puebla and Hidalgo,
    Not confirmed information!


    Description:
    A meteorite has smashed into the ground in Mexico, leaving a 30 meter (100 feet) wide crater, reports said. The meteorite impact was in the Ahuazotepec Municipality in Central Mexico between the cities of Puebla and Hidalgo. The precise impact area of the meteorite was in a relatively unpopulated area and hit around 6.30pm local time, Mexican media said. The Ahuazotepec, Mexico meteorite impact was so massive it broke windows in homes many kilometers from the epicenter and people reported buildings swaying and mass confusion. Other reports said the Mexico meteorite impact partially damaged a road and a bridge.
    อุกาบาตลูกใหญ่มาก ทำให้หน้าต่างบ้านหลายหลังแตกซึ่งบ้านเหล่านี้อยู่ห่างจากจุดที่ตกไปหลายกิโลเมตร แล้วทำให้ตึกต่างๆ สั่นไปมา แล้วยังมีรายงานมาอีกอว่า ทำให้ถนนและสะพานพัง

    The Mexican military was called in to lock down the area where the apparent space rock slammed into the ground. Initial fears where that the impact was a aircraft crashing to the ground, but that report was later dismissed. The Central Mexico meteorite event was witnessed by countless people in the region of the impact, with people as far away as Mexico City saying they saw the burning object enter the atmosphere.

    ทีแรกนึกว่าเครื่องบินตก แต่ตอนหลังมีพยานเห็นว่ามีลูกไฟวิ่งเข้ามาจากบนท้องฟ้า
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เริ่มแล้ว ภัยพิบัติด้านต่างๆ เริ่มมาปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้น
     
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ตำนานเทพเจ้าฮินดูกับตำนานเทพเจ้ากรีก

    [​IMG]

    [​IMG]

    เกี่ยวกับประเด็นที่รามเกียรติ์อันเป็นวรรณกรรมของซีกโลกตะวันออก มีความคล้ายคลึงกับวรรณกรรมของซีกโลกตะวันตกอย่างอีเลียดนั้น พอจะหาคำตอบได้อย่างหนึ่ง

    นั่นคือเผ่าอารยันที่เข้ามาตั้งรกรากในอินเดียและกลายเป็นผู้ครอบครองดินแดนนี้แทนที่ชาวดราวิเดียนนั้น เป็นพวกที่อพยพมาจากทางฝั่งซีกโลกตะวันตก

    มีบันทึกประวัติศาสตร์จำนวนมากได้บันทึกว่าชาวอารยันคือพวกที่อพยพมาจากดินแดนทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ในราวๆ 1500 ปีก่อนคริสตกาล โดยในยุคนั้นดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียกำลังมีอาณาจักรใหม่เกิดขึ้นโดยชาวอารยันอีกกลุ่มหนึ่งเช่นกัน นั่นคือประเทศอิหร่านในปัจจุบัน

    ในยุคนั้นอินเดียยังไม่ได้รวมตัวกันเป็นอาณาจักรเดียวกัน โดยศูนย์กลางความเจริญสูงสุดของดินแดนนี้อยู่ที่บริเวณลุ่มน้ำสินธุซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอารยธรรมที่รุ่งเรืองมาก มีการสร้างเส้นทางค้าขายไปยังโลกตะวันออกกลาง และได้ติดต่อค้าขายกับทางเมโสโปเตเมียอยู่เป็นประจำ แต่หลังจากนั้นอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุนี้ก็เริ่มถูกทำลายลงเพราะแม่น้ำสินธุเกิดท่วมและเข้าทำลายบ้านเมือง อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะโดยผู้รุกรานอย่างพวกอารยัน ซึ่งได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานและขยายอำนาจไปจนถึงทางตะวันออกของแม่น้ำคงคา

    สำหรับพวกดราวิเดียนอันเป็นชนเผ่าที่ตั้งรกรากอยู่ในดินแดนนี้มาแต่แรกนั้น ได้ลงไปตั้งถิ่นฐานอันมั่งคงที่ตอนใต้ของอินเดียและเกาะศรีลังกา หรือก็คือนครลงกาในรามเกียรติ์นั่นเอง

    จากการขยายดินแดนของชาวอารยันแล้ว ดูเหมือนชาวอารยันจะเป็นพวกชนชาติที่ชอบการทำสงครามขยายดินแดนเป็นหลัก ซึ่งค่อนข้างจะเป็นนิสัยประจำตัวของชนชาติทางโลกตะวันตกในยุคนั้นเช่นชาวไมซีเนียนที่ได้เข้าครอบงำกรีก ชาวอัสซีเรียนที่ได้สร้างอาณาจักรอัสซีเรียขึ้น และชาวไมแทนนีกับชาวฮิตไทต์ที่ต่างก็สร้างอาณาจักรขึ้นมาเป็นใหญ่แถบดินแดนพระจันทร์เสี้ยวเมโสโปเตเมียในช่วงนั้น ซึ่งชาวอารยันเองก็อาจจะเป็นบรรพบุรุษหรือมีความเกี่ยวเนื่องกับชนชาติเหล่านั้นอยู่บ้างก็ได้

    จากความที่ชนชาติอารยันมีความเกี่ยวเนื่องกับชนชาติทางโลกตะวันตก จึงอาจจะรับเอาอะไรหลายๆอย่างเช่นวัฒนธรรม แนวคิด ความเชื่อ รวมไปถึงตำนานเกี่ยวกับเทพเจ้ามาด้วย และในชาวอารยันเป็นผู้ที่เข้ามาสร้างรากฐานอำนาจในอินเดียและเหล่าพราหมณ์ซึ่งจะว่าไปก็คือชนชั้นสูงของชาวอารยันเป็นพวกที่ให้กำเนิดศาสนาฮินดูขึ้นมา ศาสนานี้จึงมีความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าหลายๆอย่างที่คล้ายคลึงกับของพวกกรีกมากอย่างไม่น่าเชื่อ

    อะไรที่คล้ายกันบ้าง เริ่มตั้งแต่สถานที่ ที่สิงสถิตของเทพฮินดูและกรีกต่างก็เป็นภูเขาเหมือนกัน ของฮินดูคือเขาไกรลาส ส่วนของกรีกคือเขาโอลิมปุส

    ฮินดูและกรีก ต่างก็มีเทพเจ้าผู้ใช้สายฟ้าเป็นอาวุธ และเป็นเทพผู้ดูแลทุกข์สุขของมนุษย์ โดยของฮินดูคือพระอินทร์ ของกรีกคือเทพซุส ในทางโหราศาสตร์ถึงกับบอกว่าดาวพฤหัสฯซึ่งเปรียบดั่งเทพจูปีเตอร์หรือเทพซุสนั้น ก็คือคือองค์เดียวกับพระอินทร์

    ยังมีอะไรอีกมากมายที่ซุกซ่อนอยู่ในตำนานความเชื่อของโลกตะวันออกและตะวันตกที่มีความคล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งหากจะสาธยายก็คงจะออกนอกเรื่องมากเกินไป

    เหล่าเทพเจ้าแห่งฮินดู - ก่อนจะเริ่มการเจาะลึกลงไปในเรื่องรามเกียรติ์ได้นั้น ต้องเริ่มพูดถึงเหล่าเทพเจ้าของฮินดูเสียก่อน เพราะเทพเจ้าทั้งหลายที่ปรากฏในเรื่องนั้นต่างก็มีบทบาทที่ทำให้เกิดเรื่องราววุ่นวายต่างๆขึ้นมา

    พระศิวะ เทพผู้ปกครองสูงสุดของเขาไกรลาส ตามความเชื่อของศาสนาฮินดูนั้นเชื่อว่าเป็นเทพผู้ทำลายล้าง แต่บางนิกายจะนับว่าเป็นเทพผู้สร้างด้วย โดยเป็นผู้ที่ได้สร้างโลกนี้ขึ้นมา ลักษณะเด่นของพระศิวะคือมีตาที่สามซึ่งจะปิดอยู่ตลอดเวลา หากว่าลืมขึ้นเมื่อไหร่จะก่อเกิดเป็นเปลวไฟแผดเผาโลกจนสิ้น ดูจากภายนอกแล้วพระศิวะจะแต่งกายน่ากลัวด้วยการห่มชุดเหมือนดั่งฤาษี และมีพระศอเป็นงู นอกจากนี้ยังเป็นเทพเจ้าแห่งการประทานพร สามารถให้พรแก่ผู้ที่บำเพ็ญเพียรอย่างหนักได้สมหวัง และด้วยความสามารถอันนี้เองที่มักจะก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายกับโลกอยู่บ่อยๆ

    ลักษณะของพระศิวะในเรื่องรามเกียรติ์ เป็นเหมือนผู้ใหญ่ที่คอยดูแลเรื่องต่างๆ แต่ก็เป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆมากมายเช่นกันจากความที่ไม่ว่าใครขออะไรแล้วก็มักจะให้พรตามนั้นโดยไม่ได้สนใจว่ามันอาจจะก่อให้เกิดผลอะไรตามมา เช่นการมอบกระบองที่ทำให้ไม่มีใครสู้ได้แต่อสุรพรหมแล้วจากนั้นก็ได้สร้างความวุ่นวายขึ้นไปทั่ว ให้พรแก่หิรันตยักษ์ให้มีอิทธิฤทธิ์มากจนม้วนแผ่นดินไปเก็บไว้ที่บาดาล ฯลฯ และยังอีกมากมายจนคณานับ ความที่เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่แต่ชอบเป็นต้นเหตุของปัญหาแบบนี้ ดูแล้วไม่ค่อยต่างไปจากเทพซุสของกรีกเท่าไหร่นัก แต่พระศิวะยังดีกว่าตรงที่ไม่ได้มีอารมณ์เกรี้ยวกราดอย่างไร้เหตุผลและมีนิสัยเจ้าชู้เหมือนเทพซุส

    พระนารายณ์(พระวิษณุ) – เทพผู้ปกครองเกษียรสมุทร เป็นเทพเจ้าแห่งการพิทักษ์และปกป้องเหล่ามนุษย์ มีสี่กร แต่ละมือจะถืออาวุธเอาไว้ ประกอบด้วย จักร สังข์ ตรี และคฑา ว่ากันว่าหลังจากพระศิวะสร้างโลกแล้วก็ได้ให้กำเนิดพระนารายณ์ต่อมา ในนิกายไวษพนั้นนับถือพระนารายณ์เหนือยิ่งกว่าพระศิวะเสียอีก

    บทบาทของพระนารายณ์ในรามเกียรติ์นั้น ถ้าจะว่ากันตรงๆแล้วก็คือเทพผู้มีหน้าที่คอยตามเก็บหรือจัดการเรื่องราวยุ่งๆที่เกิดขึ้นเพราะการชอบให้พรแบบไม่คิดของพระศิวะ ยามที่โลกเกิดความวุ่นวายขึ้นซึ่งส่วนใหญ่จุดเริ่มมาจากพรของพระศิวะนั้น พระนารายณ์ก็จะได้รับบัญชาให้ลงไปจัดการแก้ไข โดยการอวตารลงไปเกิดบนโลกมนุษย์ในรูปลักษณ์ต่างๆ เช่น ปลา หมู คนธรรพ์ ฯลฯ โดยในฮินดูมีความเชื่อว่าพระนารายณ์จะอวตารลงมาเกิดทั้งหมด 10 ชาติ เพื่อขจัดความชั่วร้ายและช่วยเหลือโลกมนุษย์ สำหรับในเรื่องรามเกียรติ์นั้น ต่างเชื่อกันว่าพระนารายณ์ได้ลงมาอวตารเป็นพระรามเพื่อปราบเหล่ายักษ์ โดยถือเป็นการอวตารในชาติที่ 7

    เกี่ยวกับการอวตาร 10 ชาติของพระนารายณ์นี้ ในช่วงที่ศาสนาพุทธเริ่มรุ่งเรืองและเผยแพร่ไปทั่วอินเดียนั้น ทางฝ่ายฮินดูเองได้พยายามที่จะหาทางสกัดกั้น แต่การใช้ความรุนแรงจะถูกต่อต้าน นอกจากนี้ในยุคที่พระพุทธเจ้าเริ่มเผยแพรคำสอนนั้น เหล่ากษัตริย์ของแคว้นต่างๆล้วนแต่ยอมรับคำสอนของศาสนาพุทธว่าดีจริง และในการโต้แย้งธรรมระหว่างพุทธกับฮินดูโดยพระสงฆ์กับพราหมณ์นั้น ปรากฏว่าทางพระสงฆ์สามารถโต้แย้งในเรื่องหลักธรรมชนะพวกพราหมณ์หลายครั้ง ทำให้ศาสนาฮินดูเริ่มเสื่อมถอยลง เพื่อให้ฮินดูสามารถยืนหยัดได้ จึงต้องมีการผสมผสานความเชื่อของทางฮินดูให้เข้ากับของพุทธ ดังนั้นทางฮินดูจึงถือกันว่าเจ้าชายสิทธิทัตถะหรือพระพุทธเจ้านั้น คือร่างอวตารชาติที่ 9 ของพระนารายณ์ และหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบด้วยตนเองนั้น ก็เป็นหลักธรรมที่พระเจ้าของฮินดูได้บอกมาอีกที

    เกี่ยวกับการอวตารทั้ง 10 ชาติของพระนารายณ์นั้น ตัวผู้เขียนไม่อยากจะตีควาอะไรมากมายนัก เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนทางศาสนา อาจทำให้คนนับถือฮินดูไม่พอใจได้

    พระพรหม – เทพเจ้าผู้สร้างแห่งฮินดู บางนิกายยกให้พระพรหมอยู่เหนือพระศิวะ โดยเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมา ลักษณะเด่นคือมีสี่หน้า เป็นเพทผู้รังสรรค์สิ่งต่างๆขึ้น เมื่อรวมกับพระศิวะและพระนารายณ์แล้ว ทางฮินดูต่างนับถือเป็นสามเทพสูงสุดที่เรียกกันว่าตรีมูรติ คล้ายกับพระบิดา พระบุตร และพระจิตของทางคริสต์เลยว่าไหม ผู้ให้กำเนิด ผู้ช่วยเหลือ และผู้สร้างสรรค์

    Posted by kingkaoz วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2550

    ที่มา http://www.oknation.net/blog/kingkaoz/2007/12/03/entry-2

    เทพเจ้ากรีก-โรมัน แห่งยอดเขาโอลิมปัส

    เทพโอลิมปัส (The Olympians, Major gods) เป็นเทพที่อาศัยบนยอดเขาโอลิมปัส (Olympus) มีทั้งหมด 12 องค์ แต่ถ้านับอย่างถี่ถ้วนจะมีทั้งสิ้น 16 องค์ ดังนี้

    1. ซุส (Zeus) เป็นราชาของบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายและเหล่ามนุษย์บนโลก ซีอูสมีอาวุธเป็น Thunderbolt (สายฟ้า) เทพซีอูสมีพี่น้องซึ่งเป็นเทพปกครองโลกร่วมกัน 5 องค์ ได้แก่ เทพโพไซดอน เทพีดีมิเทอร์ เทพีเฮร่า เทพฮาเดส และเทพีเฮสเตีย

    2. โพไซดอน (Poseidon) เทพเจ้าแห่งท้องทะเล สัญลักษณ์ของพระองค์คือ “สามง่าม” หรือ “ตรีศูล” ที่สามารถแหวกน้ำทะเลและทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้

    3. ดิมิเทอร์ (Demeter) เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรรม การเก็บเกี่ยว

    4. เฮรา (Hera) ราชินีแห่งสวรรค์ เป็นทั้งน้องสาวของซีอูสและเป็นภรรยาด้วย เฮร่าเป็นเทพีแห่งการให้กำเนิดทารก การสมรส และสตรี สัตว์ประจำพระองค์คือนกยูง

    5. เฮสเทีย (Hestia) เทพีพรมจรรย์แห่งการครองเรือน เทพแห่งครอบครัว ในฐานะของเทพีผู้รักษาบ้าน พระนางเป็นผู้ที่สร้างบ้านขึ้นเป็นคนแรก วิหารของพระนางอยู่ที่กรุงโรม ซึ่งจะได้รับการบวงสรวงจากสาวพรหมจารี พระนางมีสัญลักษณ์เป็นไฟนิรันดร

    6. เอรีส (Ares) เทพแห่งสงคราม บุตรของ ซูส กับ เฮร่า สัตว์ประจำพระองค์คือเหยี่ยวและสุนัขมังกรไฟ (บางตำราว่าเป็นนกแร้ง)

    7. อพอลโล (Apollo) เทพเจ้าแห่งการทำนาย กีฬา การรักษาโรคภัย การดนตรี และ เป็นเทพแห่งพระอาทิตย์ เป็นบุตรแห่ง ซีอุส และ เทพีลีโต้ (Leto) มีน้องสาวฝาแฝดชื่อ อาร์ทามิส (Artemis) อะพอลโล่มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์คือ ต้นลอเรล Laurel สัตว์ศักดิ์สิทธิ์คือนกกาเหว่าและห่าน เครื่องดนตรีประจำพระองค์คือพิณ วิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์อยู่ที่เดลฟี่ Delphi ซึ่งที่นั่นจะมีนักบวชคอยบอกคำทำนายของพระองค์ให้แก่ประชาชนที่มาสักการบูชา

    8. อาร์เทมีส (Artemis) เทพีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์ เป็นบุตรีของซูสและ เทพีลีโต้ เป็นน้องสาวแฝดของอะพอลโล่ พระองค์เป็นเทพีพรหมจรรย์องค์หนึ่งใน 3 องค์ ภาพที่ผู้คนเห็นอยู่เสมอๆ คือพระองค์จะถือธนูและศร มีสุนัขติดตาม สวมกระโปรงสั้น บางครั้งอาจเห็นเธออยู่บนรถศึกเทียมด้วยกวางขาว

    9. เฮอร์มีส (Hermes) เทพแห่งการค้า การโจรกรรม และผู้ส่งสารของเหล่าทวยเทพ เป็นบุตรของ ซูส กับ มีอา พระองค์มักจะปรากฏกายในลักษณะสวมหมวกขอบกว้าง สวมรองเท้ามีปีก ถือคทาที่มีงูพัน

    10. อะธีนา (Athena) เทพีแห่งความเฉลียวฉลาด และศิลปศาสตร์ทุกแขนงของกรีกรวมถึงศิลปะการต่อสู้ด้วย ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์คือต้นมะกอก
    เทพีอธีน่า เป็นผู้ที่มอบมะกอกให้กับมนุษย์เป็นองค์แรก ทำให้เมือง Athens ได้ใช้ชื่อของพระองค์เป็นชื่อเมืองเพื่อเป็นเกียรติ

    11. อโฟรไดท์ (Aphrodite) เทพีแห่งความรักและความงาม เป็นบุตรีของ ซูส กับ เทพีไดโอนี่ (บางตำราว่าเกิดจากฟองคลื่น) สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเธอได้แก่นกกระจอก นกนางแอ่น ห่าน และเต่า ส่วนดอกไม้และผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระนางได้แก่กุหลาบ Myrtle และแอปเปิล กล่าวกันว่าพระนางเป็นเทพีผู้คุ้มครองเหล่าโสเภณีด้วย

    12. เฮฟเฟตัส (Hephaestus) เทพแห่งไฟ โลหะ และการช่าง เป็นบุตรของ ซูส กับ เฮร่า (บางตำราว่าเป็นบุตรของ Hera ผู้เดียว) พระองค์เป็นเทพที่พิการและอัปลักษณ์

    13. ไดโอไนซัส (Dionysus) เทพแห่งไวน์ การทำไวน์ และการเก็บเกี่ยวผลไม้ เป็นเทพองค์ล่าสุดที่ขึ้นไปอยู่บนโอลิมปัส

    14. เพอร์เซโฟเน (Persephone) เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิ เป็นบุตรีแห่ง ซูส และ ดีมิเทอร์

    15. อีรอส (Eros) กามเทพ รู้จักกันดีในภาษาโรมันว่า คิวปิด Cupid เป็นบุตรแห่งเทพีความรัก อะโฟร์ไดตี้ และ เทพการศึกสงคราม เอเรส

    16. เฮเดส (Hades) เทพแห่งใต่พิภพยมโลก และเป็นเทพดูแลอัญมณีใต้ดิน ชาวกรีกบูชาพระองค์ก่อนเสมอที่จะลงมือทำเหมืองแร่

    ปัจจุบันได้จัดให้มีแค่ 12 องค์ เพราะ ตามตำราบางเล่มบอกไว้ว่าเทพรุ่นที่ 3 มีแค่ 12 องค์

    ที่มา http://th.wikipedia.org
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2010
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>โรคหวัด 2009 ดุ! คาดติดเชื้อนับแสนคน แล็ปชี้อัตราเพิ่ม 30%</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>11 กุมภาพันธ์ 2553 18:29 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    สถานการณ์โรคหวัด 2009 ในรอบสัปดาห์นี้น่าห่วง คาดมีผู้ติดแล้วนับแสนราย เผยผลตรวจห้องปฏิบัติพบผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น 30% ยังไม่พบการดื้อยาโอเซลทามิเวียร์ กระตุ้น 5 กลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีน ย้ำผู้เชี่ยวชาญยืนยันชัดเจนวัคซีนไม่ทำให้แท้ง

    นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ขณะนี้มีความน่าเป็นห่วงเนื่องจากรอบสัปดาห์นี้เริ่มเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีผู้ติดเชื้อคล้ายไข้หวัดใหญ่เพิ่มมากขึ้น จากการคาดการณ์คาดว่ามีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 แล้วนับแสนราย กระจายอยู่ใน 10 จังหวัด ตามสถานที่ชุมชุมชนต่างๆ โดยมีการติดเชื้อเป็นกลุ่มๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องทำให้แม้ว่าจะมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดสูงขึ้นแต่ก็สามารถสกัดการแพร่ระบาด รวมทั้งสามารถให้ยาโอเซลทามิเวียร์รักษาได้ทันท่วงทีทำให้อัตราการเสียชีวิตไม่เพิ่มสูงขึ้น

    “ตัวเลขผู้ป่วยที่สูงขึ้นเห็นได้จากสัญญาณการตรวจพบเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ในห้องปฏิบัติการ มีเพิ่มสูงขึ้น ทั้งในโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชน จากเดิมตรวจพบประมาณ 20% ขยับเพิ่มขึ้นเป็น 30% ซึ่งนอกจากจะมีการตรวจเฝ้าระวังเชื้อไข้หวัดใหญ่อยู่ตลอดเวลาแล้ว ยังทำการตรวจเชื้อดื้อยาด้วยซึ่งขณะนี้ยังไม่พบว่ามีการดื้อยาแต่อย่างใด”นพ.ศิริวัฒน์กล่าว

    นพ.ศิริวัฒน์ กล่าวด้วยว่า มาตรการรับมือไข้หวัดใหญ่ระลอก 2 ในขณะนี้ นอกจากการดูแลรักษาสุขภาพแล้ว การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ใน 5 กลุ่มเสี่ยง ถือว่าเป็นมาตรการที่มีความสำคัญที่สธ.พยายามเร่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในการรับวัคซีน เนื่องจากการให้บริการวัคซีนไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ประชาชนยังคงตื่นตระหนกและเข้าใจผิด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญยืนยันชัดเจนแล้วว่า วัคซีนไม่ส่งผลให้หญิงตั้งครรภ์แท้งบุตรแต่อย่างใด รวมทั้งจากการฉีดวัคซีนทั่วโลกก็ไม่พบว่า วัคซีนเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงและมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    ด้านนายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในวันที่15ก.พ.นี้ จะแถลงความคืบหน้า ตัวเลขล่าสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มสะท้อน ให้เห็นว่าโรคมีการแพร่ระบาดมากขึ้น ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ 100 คน พบเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ 2009 จำนวน 25 คน จึงต้องเร่งเฝ้าระวังและหามาตรการป้องกัน

    นอกจากมาตรการกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัยแล้ว ยังมีเรื่องการฉีดวัคซีน เป็นมาตรการใหม่ป้องกันเพิ่มเติม เร่งรณรงค์ให้กลุ่มเสี่ยง 5 กลุ่ม เข้ารับบริการฉีดวัคซีนตามความสมัครใจ ไม่ใช่การบังคับ โดยผู้ให้บริการฉีดจะต้องปฏิบัติตามาตรฐาน 6 ข้อที่กำหนด อย่างเคร่งครัด ได้แก่ ตรวจสุขภาพ มีเครื่องมือช่วยเหลือผู้ที่เกิดอาการแพ้รุนแรง ต้องเฝ้าระวังอาการหลังฉีดวัคซีนแล้ว 30 นาทีโดยแพทย์ และมีมาตรการติดตามอื่นๆภายหลังฉีด ประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่ฉีดวัคซีนจะได้รับการดูแล

    ขณะนี้วัคซีนที่กระทรวงสาธารณสุขได้จัดซื้อมาจำนวน 2 ล้านโดส ฉีดไปแล้ว 1 แสนกว่าโดส ยังเหลืออีก 1 ล้าน 8 แสนกว่าโดส พร้อมที่จะให้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น มีไม่มากไปกว่าวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปกติ ที่ใช้ฉีดมาแล้ว10 กว่าปี เป็นคำยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ วัคซีนที่นำมาฉีดครั้งนี้นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส ได้รับคำการรับรองจากองค์การอนามัยโลก ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และทุกโดสที่นำไปฉีดได้ผ่านการตรวจรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว

    ที่มา http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000020056
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. CASIO12

    CASIO12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,133
    PARIS - Scientists Friday unveiled fresh evidence that gas drillers were to blame for unleashing a mud volcano in Indonesia's East Java that claimed 14 lives and displaced tens of thousands of people.Feb 12, 2010 - 9:04:00 AM

    แสดงว่า การสูบแก้สขึ้นมาใช้ ทำให้เกิดภูเขาไฟได้ ทำให้คิดถึงอ่าวไทยเรา สูบแก้สมาหลายปีแล้ว น่าหวาดเสียวนะ
     
  19. bluejet

    bluejet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +2,181
    อันนี้คงไม่ใช่อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจนะครับ เป็นโคลนทะลักขึ้นมา ปริมาณมหาศาลครับ ไม่ได้ระเบิดขึ้นมาเป็นภูเขาไฟครับ เรื่องของเรื่องก็คือ ที่อินโด หลายปีก่อน อยู่ๆก็มีโคลนพุ่งขึ้นมาท่วมบ้านเรือน จากใต้ดิน และมันก็ไม่ยอมหยุดไหลเสียที และแถวนั้นมีหลุมเจาะแกสธรรมชาติอยู่หลายหลุม เข้าใจว่า แนวเจาะ ไปเจอ "ตาโคลนแรงดันสูง" มันก็เลยดันออกมาท่วมมากจนท่วมเมือง
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    สหรัฐตายเกิน 1.7 หมื่นราย สังเวยโรคหวัด 2009

    [​IMG]

    ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐฯ เผยตัวชาวอเมริกันเสียชีวิตจากหวัดมรณะมากกว่า 17,000 ราย ยอดป่วยอีก 41-48 ล้านคน หรือตัวเลขกลางคือ 57 ล้านคน.....

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 13 ก.พ.53 ว่า ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐฯ หรือซีดีซี เปิดเผยตัวเลขชาวอเมริกันเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่แล้วมากกว่า 17,000 ราย เหยื่อเคราะห์ร้ายรวมทั้งเด็กๆ 1,800 ราย ซีดีซีประเมินยอดผู้ป่วยระหว่างปี 52 ถึงวันที่ 16 ม.ค.ปีนี้ อยู่ที่ 41-84 ล้านคน หรือตัวเลขกลางคือ 57 ล้านคน ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ 8,330 - 17,160 ราย หรือตัวเลขกลางอยู่ที่ 12,000 ราย เหยื่อผู้เสียชีวิตวัยผู้ใหญ่ 13,000 ราย ส่วนกลุ่มผู้เสียชีวิตอายุเกิน 65 ปี อยู่ที่ 1,000 - 2,000 ราย

    ขณะเดียวกัน การแพร่ระบาดของไข้หวัดตามฤดูกาลในสหรัฐฯเฉลี่ยผู้เสียชีวิตปีละราว 36,000 คน เหยื่อเคราะห์ร้ายร้อยละ 90 เป็นกลุ่มคนอายุเกิน 65 ปี ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลราว 200,000 คน.

    ไทยรัฐออนไลน์ 13 กุมภาพันธ์ 2553, 21:15 น.

    มะกันกระอัก หิมะตกเกือบทั่วประเทศ

    [​IMG]

    อเมริกาอ่วมประสบปัญหาหิมะตกทั่วประเทศ ยกเว้นเพียงฮาวาย ส่งผลให้เกิดความยุ่งยากในการจัดการหิมะ เพราะคนในท้องที่ไม่คุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้...

    สำนักข่าวเอพีรายงาน เมื่อวันที่ 13 ก.พ ว่า สหรัฐอเมริกาประสบพายุหิมะเกือบทั้งประเทศ รวม 49 รัฐ จากทั้งหมด 50 รัฐ ยกเว้นรัฐฮาวาย ส่วนรัฐเท็กซัสไปถึงตอนเหนือของรัฐฟลอริดาปริมาณหิมะตกน้อย จากนั้น ก็ตกตามชายฝั่งทะเลของรัฐจอร์เจีย และ เซาท์ คาโรไลนา ส่งผลให้เกิดความยุ่งยากในการจัดการหิมะ เพราะคนในท้องที่ไม่คุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้ โดยผลจากหิมะที่กองสูง เพียง 1 น้ิว ทำให้โรงเรียนทางเหนือของรัฐฟลอริดา รวมถึงหลายพื้นที่ในรัฐอลาบามา และรัฐจอร์เจีย ปิดการเรียนการสอน นอกจากนี้ สายการบินภายในประเทศก็ต้องระงับเที่ยวบิน

    ขณะที่ นายเดวิด โรบินสัน หัวหน้ากลุ่มห้องแล็บหิมะทั่่วโลก เผยว่า คงต้องใช้เวลาหลายวันสำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติปรากฏการณ์หิมะตก นอกจาก คาดการณ์ย้อนไปเมื่อ 19 ม.ค.ปี 2520 เคยเกิดหิมะตกที่รัฐฟลอริดา รัฐหลุยเซียน่า รัฐมิซซิสซิปปี้ รัฐอลาบามา และ รัฐจอร์เจีย

    ไทยรัฐออนไลน์ 13 กุมภาพันธ์ 2553, 10:15 น.

    บราซิลเอลนินโญ อุณหภูมิพุ่ง 50 องศา ทนไม่ได้ดับครึ่งร้อย

    [​IMG]

    บราซิลกำลังเผชิญปรากฏการณ์เอล นินโญ อุณหภูมิพุ่ง 50 องศา สูงสุดในรอบ 25 ปี คนทนร้อนไม่ได้ดับแล้ว 56 ราย ประชาชนแห่หนีร้อนไปทะเล บิกินีตัวจิ๋วขายดี คนซื้อเพียบ...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 12 ก.พ. ว่า ประเทศบราซิลกำลังเผชิญปรากฏการณ์เอล นินโญ ส่งผลให้อุณหภูมิสูงที่สุดในรอบ 25 แตะ 50 องศาเซลเซียสแล้ว ขณะนี้มีรายงานว่า ประชาชนในเซา เปาโล เสียชีวิตเพราะทนต่อสภาพอากาศร้อนขั้นรุนแรงไม่ไหว เสียชีวิตแล้ว 56 ราย

    อย่างไรก็ตามประชาชนบราซิล ต่างพากันหาสถานที่คลายร้อน โดยชายหาดกรุงริโอ เดอ จาเนโร ได้รับความนิยมมากที่สุด และสืบเนื่องมาจากสภาพอากาศร้อนจัด ทำให้แฟชั่นบิกินีระบาดทั่วบริเวณชายหาด สำหรับแฟชั่นกรุงริโอในตอนนี้ บิกินีไร้สาย กำลังมาแรง แทบทุกคนสวมใส่บิกินีไร้สาย โดยร้านค้าบริเวณรอบๆชายหาดเผยว่า ลูกค้าทุกรายถามหาแต่สินค้าแบบดังกล่าว ทั้งยังทำราคาได้ดีในขณะนี้

    ไทยรัฐออนไลน์ 12 กุมภาพันธ์ 2553, 14:00 น.

    ครบ 1 เดือน แผ่นดินไหว ชาวเฮติยังแย่

    [​IMG]

    ครบรอบ 1 เดือนเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ที่เฮติ ยอดผู้เสียชีวิตเป็นทางการอยู่ที่ 212,000 ศพ การบรรเทาทุกข์ยังต่อเนื่องแต่ยังไม่เพียงพอ...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 12 ก.พ. หรือวันครบรอบ 1 เดือนเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ท่ีเฮติ ยอดผู้เสียชีวิตเป็นทางการอยู่ท่ี 212,000 ศพ บ้านเรือนถูกทำลายกว่า 250,000 หลัง ประชาชน 3 ล้านคนจากทั้งหมด 9 ล้านคนได้รับผลกระทบ และ 1 ล้านคนยังอยู่ในค่ายพักชั่วคราว 492 แห่งบนท้องถนน

    การบรรเทาทุกข์ยังต่อเนื่องแต่ยังไม่เพียงพอ ขณะท่ีมิชชันนารีชาวอเมริกัน 10 คนท่ีถูกจับในข้อหาพาเด็กเฮติ 33 คนจะไปโดมินิกันอย่างผิดกฏหมายอาจต้องนอนคุกต่อช่วงสุดสัปดาห์ ถึงแม้ผู้พิพากษาเฮติจะเสนอให้ปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว

    ไทยรัฐออนไลน์ 12 กุมภาพันธ์ 2553, 18:45 น.

    หวั่นสองชาติเมืองแขกถล่มระเบิดปรมาณู เกิดเป็น "ฤดูหนาวนิวเคลียร์"

    [​IMG]

    นักวิทยาศาสตร์ทำการวิจัยถึงผลเสียหายพบว่าอาจจะก่อให้เกิดภูเขามลพิษซึ่งเป็นเศษซากและ ควันจำนวนมหาศาลขึ้น ในบรรยากาศ บดบังแดดไปชั่วนาตาปีหลายสิบปีและเกิดเป็น "ฤดูหนาวนิวเคลียร์"...

    รายงานการศึกษาร่วมของคณะกรรมการการลดอาวุธและการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์เปิดเผยให้ทราบว่า หากอินเดียกับปากีสถาน ใช้ระเบิดปรมาณูเข้าถล่มกัน มันอาจจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์ "สภาพลมฟ้าอากาศเย็นยะเยือก" ซึ่งจะยังความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับเกษตรกรรมทั่วโลก

    แค่เพียงสงครามปรมาณูในภูมิภาคอย่างจำกัด อย่างเช่น ศึกระหว่างอินเดียกับปากีสถาน ต่างฝ่ายต่างใช้ระเบิดปรมาณูขนาดแรงต่ำ ถล่มเมืองใหญ่ๆของกันและกันสัก 50 ลูก จะทำให้พ่นห่าขี้เขม่าขึ้นฟ้าขึ้นไปค้างอยู่บนชั้นบรรยากาศสูงจากโลกระหว่าง 15-50 กม. อยู่เป็นเวลานาน ก่อให้เกิดสภาพลมฟ้าอากาศเย็นยะเยือกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับการเกษตรทั่วโลก

    รายงานได้เปิดเผยว่า นักวิทยาศาสตร์ได้เคยทำการวิจัยถึงผลเสียหายของสงครามนิวเคลียร์ ที่มีกับสภาพลมฟ้าอากาศและพบว่าอาจจะก่อให้เกิดภูเขามลพิษซึ่งเป็นเศษซากและควันจำนวนมหาศาลขึ้น ในบรรยากาศ บดบังแดดไปชั่วนาตาปีหลายสิบปีและเกิดเป็น "ฤดูหนาวนิวเคลียร์" ขึ้นในที่สุด

    ปรากฏการณ์เนื่องจากนิเวศวิทยาแปรปรวนอย่างหนักเช่นนั้น จะทำให้พืชและสัตว์ล้มตายลงเป็นอันมาก นำไปสู่ทุพภิกขภัย พลอยทำให้ชุมชนอื่นๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงล่มสลายไปด้วย.

    ไทยรัฐออนไลน์ 12 กุมภาพันธ์ 2553, 10:00 น.

    แผ่นดินไหวเขย่าตองกา 6.3 ริกเตอร์

    [​IMG]

    แผ่นดินไหวขนาด 6.3 ริกเตอร์ ใกล้ชายฝั่งตองกา แถบมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ แต่ไม่มีการเตือนภัยสึนามิ ขณะที่เตรียมพร้อมรับมือพายุไซโคลนเรเน โดยมีการสั่งปิดโรงเรียนรับมือ...

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ว่า เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 ริกเตอร์ ใกล้ชายฝั่งตองกา ชาติหมู่เกาะแถบมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ แต่ไม่มีรายงานความเสียหายและเตือนภัยสึนามิ ขณะตองกาเตรียมรับมือพายุไซโคลน “เรเน” ซึ่งปัจจุบันมีความรุนแรงเป็นไซโคลนระดับ 3 และ พัดเข้าฝั่งของอเมริกัน ซามัว เมื่อวันศุกร์ แต่มีการสั่งปิดโรงเรียนและให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือไว้แล้ว

    ขณะเดียวกัน เกิดน้ำท่วมฉับพลันหลายส่วนในนครซิดนีย์ของออสเตรเลีย หลังเกิดฝนตกหนักสุดในรอบ1 ทศวรรษ อุทกภัยและพายุถล่มซิดนีย์ ยังทำให้ต้นไม้โค่นล้ม และไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้าง

    ไทยรัฐออนไลน์ 13 กุมภาพันธ์ 2553, 18:50 น.

    ที่มา http://www.thairath.co.th
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2010

แชร์หน้านี้

Loading...