ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. clearlove

    clearlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +644
    ที่จริงเขาตอบได้หมดเลยแต่เผิอญถูกห้ามเข้ามายุ่ง
     
  2. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398

    1. เรื่องคณะธรรมฑูตที่มีการอ้างนี้ ได้เคยมีการสอบถามในที่ประชุมสงฆ์ว่าคณะใดส่งไปในช่วงเวลาดังกล่าว ก็ไม่ปรากฎว่ามีการส่งไปจากหน่วยงานใด ทางสงฆ์ไทยไม่มีใครรู้เรื่องเลย แล้วการส่งคณะธรรมฑูตในช่วงดังกล่าวคือปี 2484 เป็นช่วงที่กำลังเกิดสงครามโลก จึงไม่น่าจะมีการส่งคณะธรรมฑูตไปยังที่ใด ไม่มีทางที่ราชการจะอนุมัติเพราะเสี่ยงอันตรายมาก ถ้าจะมีก็ลักลอบเดินทางไปกันเองโดยที่คณะสงฆ์และราชการไม่ได้รับรู้ด้วย แล้วตำแหน่งธรรมฑูตก็หมือนฑูตทางโลกต้องมีการแต่งตั้งและรับรองจากทางราชการ ไม่ใช่ใครอยากสถาปนาตัวเองเป็นธรรมฑูตจะทำได้ คณะที่ไป(ถ้ามี)จึงไม่ใช่คณะธรรมฑูต
    2. ศิลาจารึกดังกล่าวก็ยังหาตัวจริงไม่พบ ไม่มีการรับรอง มีแค่คำอ้างและภาพซึ่งไม่มีรายละเอียดชัดเจน ถ้าเป็นจริงต้องเป็นโบราณวัตถุล้ำค่าเพราะเก่าแก่มากถึงสมัยพุทธกาล น่าจะมีชื่อปรากฎในสารบบของโบราณวัตถุของโลก หรืออาจถูกขโมยหรือทำลายไปแล้วก็ไม่มีทางทราบได้ แต่ความมีอยู่ก็ลึกลับพอๆกับคำทำนายนั่นแหละ
    3. ไม่ทราบได้
    ถ้าอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมก็ลองสอบถามไปที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งมหาจุฬาและมหามกุฎที่รับผิดชอบงานคณะธรรมฑูตดู
     
  3. ผ้าไตร

    ผ้าไตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +116
    คุณเกษมส่งข้อมูลมาได้เต็มที่เลยครับ ผมในฐานะคนอ่านจะขอใช้วิจารณญาณเองว่าจะใช้แต่ละข้อมูลให้เป็นประโยชน์กับตนเองและผู้อื่นได้อย่างไร สำหรับผู้ที่เข้ามาแล้วเอาแต่กดไม่เห็นด้วยกับข้อมูลที่คุณเกษมนำมาบอกกล่าว ผมขอให้ออกจากบอร์ดนี้ไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์กับพวกคุณเองจะดีกว่านะครับ และขออย่าได้กลับมาที่นี่อีกเพราะข้อมูลในนี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับพวกคุณจริง ๆ ขอบคุณมากครับ
     
  4. dol_by

    dol_by เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +430
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เชื่อหรือไม่ เป็นสิทธิ์ของทุกๆท่านครับ !!!

    ผมก็เพียงทำหน้าที่บอกกล่าวในสิ่งที่ผมเชื่อ จะผิดหรือถูกอย่างไรกาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เองครับ แต่เรื่องกฏแห่งกรรมนั้นไม่เคยยกเว้นให้ผู้ใดจริงๆ นะครับ ถ้าท่านไม่เชื่อในพุทธทำนาย หรือไม่เชื่อในญาณหยั่งรู้อนาคตของผู้ทรงศีลทรงธรรมทั้งหลายแล้ว ก็ขอความกรุณาอย่าได้กล่าวคำปรามาสใดๆทั้งสิ้น เพราะจะเกิดโทษกับผู้กล่าวคำปรามาส และจะเกิดโทษกับผู้ที่กดปุ่มอนุโมทนา เห็นดีเห็นงามไปกับผู้กล่าวคำปราสมาสต่างๆเหล่านั้นด้วย

    กฏแห่งกรรม เป็นกฏแห่งความเที่ยงตรง ทุกความคิด ทุกคำพูด ทุกการกระทำ ที่ท่านทั้งหลายได้แสดงเอาไว้ในห้องภัยพิบัติและการเตรียมการแห่งนี้ จะตามติดตัวท่านไปในชาติภพเบื้องหน้าอย่างยาวนานนับกัปกัลป์เลยทีเดียว ยกตัวอย่างวิบากกรรมของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ ในตอนที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ได้กล่าวคำพูดว่า การบรรลุธรรมของพระกัสสปะพุทธเจ้าเป็นเรื่องไม่จริง เพียงแค่นี้ก็บังเกิดโทษภัยอย่างใหญ่หลวง กับตัวพระโพธิสัตว์ในทันที ตามกฏแห่งกรรม

    ท่านทั้งหลายที่ไม่เชื่อว่าพุทธทำนายเป็นของจริง ก็ไม่ควรเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่ท่านไม่คาดคิดแต่มีจริงยังมีอยู่อีกมาก และถ้าเกิดพุทธทำนายนี้เป็นของจริงขึ้นมา จะด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม แล้วท่านจะทำอย่างไรดีล่ะ เพราะสิ่งที่ท่านได้แสดงเอาไว้ในที่นี้ เป็นกรรมที่ได้กระทำสำเร็จลุล่วงไปแล้ว ไม่อาจจะแก้ไขกลับคืนมาได้ มีแต่จะต้องไปชดใช้กรรมในอบายภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

    เมื่อท่านทั้งหลายได้ทราบอันตรายในเรื่องนี้แล้ว ยังอยากเอาตัวเข้ามาเสี่ยงอยู่อีก ก็ต้องถือว่าเป็นกรรมของสัตว์โลกแล้วล่ะครับ เพราะใครทำกรรมอย่างไร ก็ต้องได้รับผลกรรมเช่นนั้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2012
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** โลกกำลังปรับให้สมบูรณ์ขึ้น ****

    กรรม มาจ่อแล้ว
    ถ้ามีผู้ใดกระทำความโหดร้ายที่จะสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว
    เปลืืกโลกจะขยับ ระส่ำระสายไปทั่วโลก
    กรรมที่ทำมาทั้งหมด จะมาบรรจบพร้อมๆกัน
    เหลือแต่คนที่มีสัจจะ คนที่ทำได้จริง
    เปิดศักราช เข้ายุคใหม่

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2012
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ตัวอันตรายทำลายล้างตัวเอง ****

    มานะทิฐิ ในความเชื่อ ในความเห็นผิด

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สัจจะธรรม...ตัวกระทำ มีผลตอบแทน ****

    ทุกการกระทำ มีผลตอบแทน
    ไม่ว่า ตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ
    ไม่ว่า เจตนา หรือ ไม่เจตนา
    ล้วนมี "ผลตอบแทน" ทั้งสิ้น

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** การแก้ตัวใหม่ ****

    ขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดินฟ้าอากาศ
    แล้วขอเริ่มต้นใหม่ ตั้งต้นใหม่ด้วยสัจจะ
    เอาตัวกระทำจากสัจจะ ไปลบล้างมลทินในอดีต

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    :cool::cool::cool:
    เยี่ยมทั้งสองท่านครับ ท่านถิ่นธรรม และ ท่าน tam220t
    ถ้าจะเป็นการดี เสนอให้ทางสื่อที่ทำสารคดีต่างๆ ลองทำ ลองหากันไหมครับ จะได้จบข้อโต้แย้งรวมเอาคำทำนายจากประเทศเพื่อนบ้านที่พิมพ์กันไปทั่วบ้านทั่วเมืองด้วยก็ดี

    "ครั้นนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงผินพระพักตร์มาทางพระสารีบุตร ตรัสถามว่า ดูกรสารีบุตร ที่เรากล่าวเช่นนี้ เธอเชื่อไหม พระสารีบุตรได้ทำอัญชลีแล้วจึงตอบพระพุทธฏีกาตรัสถามว่า "ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาค จอมศาสดา ยังไม่ปักใจเชื่อ พระพุทธเจ้าข้า" ข้างพระที่แวดล้อมอยู่ถึงกับ กล่าวกันเป็นเสียงอึงคนึงว่า พระสารีบุตร ถือตัวว่า พระพุทธองค์ทรงยกย่องเป็นอัครสาวก จึงบังอาจล่วงเกินพระศาสดา องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จึงทรงมีพุทธฏีกา ตรัสถามต่อว่า "ด้วยเหตุใดรือ สารีบุตร เธอจึงกล่าวเช่นนั้น" ข้างฝ่ายพระสารีบุตรจึงตอบพระพุทธฏีกาที่ทรงตรัสถาม ว่า "ธรรมใดที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ด้วยดีแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอนำไปทดลองปฏิบัติเสียก่อน ถ้าได้ผลตามนั้นแล้วจึงเชื่อตามพระพุทธเจ้าข้า" องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ยกมือขึ้น สาธุการ และกล่าวชมเชยพระสารีบุตรต่อหน้าคณะสงฆ์นั้น"
     
  11. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    วิธีคิดของคุณพูน ถูกต้องตามหลักกาลามสูตร มีสติมีปัญญาดีจริงๆ
     
  12. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    จูฬมาลุงโกยวาทสูตร
    เรื่องพระมาลุงกยบุตรดำริถึงมิจฉาทิฏฐิ ๑๐
    [๑๔๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก-
    *เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ท่านพระมาลุงกยบุตรไปในที่ลับ เร้นอยู่ เกิดความดำริ
    แห่งจิตอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงพยากรณ์ ทรงงด ทรงห้ามทิฏฐิเหล่านี้ คือ โลกเที่ยง
    โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง
    สรีระอย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ สัตว์เบื้องหน้า
    แต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ ข้อที่พระผู้มี-
    *พระภาคไม่ทรงพยากรณ์ทิฏฐิเหล่านั้นแก่เรานั้น เราไม่ชอบใจ ไม่ควรแก่เรา เราจักเข้าไปเฝ้า
    พระผู้มีพระภาค แล้วทูลถามเนื้อความนั้น ถ้าพระผู้มีพระภาคจักทรงพยากรณ์แก่เรา ฯลฯ
    เราก็จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค ถ้าพระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงพยากรณ์ ฯลฯ เราก็จัก
    ลาสิกขามาเป็นคฤหัสถ์.
    พระมาลุงกยบุตรทูลบอกความปริวิตก
    [๑๔๘] ครั้งนั้น เวลาเย็น ท่านพระมาลุงกยบุตรออกจากที่เร้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
    *พระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้ว
    ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เมื่อข้าพระองค์
    ไปในที่ลับ เร้นอยู่ เกิดความดำริแห่งจิตอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงพยากรณ์ ทรงงด
    ทรงห้ามทิฏฐิเหล่านี้ คือ โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพอันนั้น
    สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้า
    แต่ตายไปไม่มีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่
    ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ ข้อที่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงพยากรณ์ทิฏฐิเหล่านั้นแก่เรานั้น เราไม่ชอบใจ
    ไม่ควรแก่เรา เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทูลถามเนื้อความนั้น ถ้าพระผู้มีพระภาคจักทรง
    พยากรณ์ ฯลฯ เราก็จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค ถ้าพระผู้มีพระภาคจักไม่ทรง
    พยากรณ์ ฯลฯ เราจักลาสิกขามาเป็นคฤหัสถ์. ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่าโลกเที่ยง ขอจง
    ทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่าโลกเที่ยง ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า โลกไม่เที่ยง ขอจง
    ทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่าโลกไม่เที่ยง ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงทราบว่าโลกเที่ยงหรือ
    โลกไม่เที่ยง เมื่อไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็น ก็ขอตรัสบอกตรงๆ เถิดว่า เราไม่รู้ เราไม่เห็น
    ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่าโลกมีที่สุด ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า โลกมีที่สุด
    ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า โลกไม่มีที่สุด ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า โลกไม่มี
    ที่สุด ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงทราบว่าโลกมีที่สุดหรือโลกไม่มีที่สุด เมื่อไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็น
    ก็ขอตรัสบอกตรงๆ เถิดว่า เราไม่รู้ เราไม่เห็น. ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า ชีพอันนั้น
    สรีระก็อันนั้น ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ถ้าพระผู้มี-
    *พระภาคทรงทราบว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า
    ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงทราบว่า ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น
    หรือว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง เมื่อไม่ทรงรู้ไม่ทรงเห็น ก็ขอตรัสบอกตรงๆ เถิดว่า
    เราไม่รู้ไม่เห็น. ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ ขอจงทรงพยากรณ์
    แก่ข้าพระองค์เถิดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า สัตว์
    เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป
    ไม่มีอยู่ ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงทราบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ หรือว่าสัตว์เบื้องหน้า
    แต่ตายไปไม่มีอยู่ เมื่อไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็น ก็ขอตรัสบอกตรงๆ เถิดว่า เราไม่รู้ เราไม่เห็น.
    ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี ขอจงทรงพยากรณ์
    แก่ข้าพระองค์เถิดว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า
    สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า
    สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงทราบว่า สัตว์
    เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี หรือว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่
    เมื่อไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็น ก็ขอตรัสบอกตรงๆ เถิดว่า เราไม่รู้ เราไม่เห็น.
    [๑๔๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมาลุงกยบุตร เราได้พูดไว้อย่างนี้กะเธอหรือว่า
    เธอจงมาประพฤติพรหมจรรย์ในเราเถิด เราจักพยากรณ์ทิฏฐิ ๑๐ แก่เธอ ฯลฯ
    ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
    ก็หรือว่า ท่านได้พูดไว้กะเราอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักประพฤติ
    พรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค ถ้าพระผู้มีพระภาคจักทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์ ฯลฯ
    ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
    ดูกรมาลุงกยบุตร ได้ยินว่า เรามิได้พูดไว้กะเธอดังนี้ว่า เธอจงมาประพฤติพรหมจรรย์
    ในเราเถิด เราจักพยากรณ์แก่เธอ ฯลฯ ได้ยินว่า แม้เธอก็มิได้พูดไว้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ข้าพระองค์จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค ถ้าพระผู้มีพระภาค จักทรงพยากรณ์แก่
    ข้าพระองค์ ฯลฯ ดูกรโมฆบุรุษ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอเป็นอะไร ๑- จะมาทวงกะใครเล่า?
    เปรียบคนที่ถูกลูกศร
    [๑๕๐] ดูกรมาลุงกยบุตร บุคคลใดแลจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคจักไม่ทรง
    พยากรณ์แก่เรา ฯลฯ เพียงใด เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น ตถาคต
    ไม่พึงพยากรณ์ข้อนั้นเลย และบุคคลนั้นพึงทำกาละไปโดยแท้. ดูกรมาลุงกยบุตร เปรียบเหมือน
    บุรุษต้องศรอันอาบยาพิษที่ฉาบทาไว้หนา มิตรอมาตย์ ญาติสาโลหิตของบุรุษนั้น พึงไปหา
    นายแพทย์ผู้ชำนาญในการผ่าตัดมาผ่า. บุรุษผู้ต้องศรนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เรายังไม่รู้จักบุรุษ
    ผู้ยิงเรานั้นว่าเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ หรือศูทร ... มีชื่อว่าอย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ ...
    สูงต่ำหรือปานกลาง ... ดำขาวหรือผิวสองสี ... อยู่บ้าน นิคม หรือนครโน้น เพียงใด
    เราจักไม่นำลูกศรนี้ออกเพียงนั้น บุรุษผู้ต้องศรนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เรายังไม่รู้จักธนูที่ใช้ยิงเรานั้น
    @๑. ไม่ใช่ผู้ขอร้อง หรือผู้ถูกขอร้อง
    เป็นชนิดมีแหล่งหรือเกาทัณฑ์ ... สายที่ยิงเรานั้นเป็นสายทำด้วยปอผิวไม้ไผ่ เอ็น ป่านหรือ
    เยื่อไม้ ลูกธนูที่ยิงเรานั้น ทำด้วยไม้ที่เกิดเองหรือไม้ปลูก หางเกาทัณฑ์ที่ยิงเรานั้น เขาเสียบด้วย
    ขนปีกนกแร้ง นกตะกรุม เหยี่ยว นกยูงหรือนกชื่อว่า สิถิลหนุ (คางหย่อน) ... เกาทัณฑ์นั้น
    เขาพันด้วยเอ็นวัว ควาย ค่างหรือลิง ... ลูกธนูที่ยิงเรานั้น เป็นชนิดอะไร ดังนี้ เพียงใด
    เราจักไม่นำลูกศรนี้ออกเพียงนั้น ดูกรมาลุงกยบุตร บุรุษนั้นพึงรู้ข้อนั้นไม่ได้เลย โดยที่แท้
    บุรุษนั้นพึงทำกาละไป ฉันใด ดูกรมาลุงกยบุตร บุคคลใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาค
    จักไม่ทรงพยกรณ์ทิฏฐิ ๑๐ นั้น ฯลฯ แก่เราเพียงใด เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มี-
    *พระภาคเพียงนั้น ข้อนั้นตถาคตไม่พยากรณ์เลย โดยที่แท้ บุคคลนั้นพึงทำกาละไป ฉันนั้น.
    [๑๕๑] ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า โลกเที่ยง ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติ
    พรหมจรรย์หรือ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น.
    ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า โลกไม่เที่ยง ดังนี้ จักไม่มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์
    หรือ แม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่.
    ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อยังมีทิฏฐิว่า โลกเที่ยง หรือว่า โลกไม่เที่ยงอยู่ ชาติ ชรา
    มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็คงมีอยู่ทีเดียว เราจึงบัญญัติความ
    เพิกถอนชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสในปัจจุบัน.
    ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด ดังนี้ จักได้มีการอยู่ ประพฤติพรหมจรรย์หรือ
    ก็ไม่ใช่อย่างนั้น.
    ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า โลกไม่มีที่สุด ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์
    หรือ แม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่.
    ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อยังมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด หรือว่า โลกไม่มีที่สุดอยู่ ชาติ ชรา
    มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็คงมีอยู่ทีเดียว เราจึงบัญญัติความ
    เพิกถอนชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปายาสในปัจจุบัน.
    ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติ
    พรหมจรรย์หรือ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น.
    ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ดังนี้ จักได้มีการ
    ประพฤติพรหมจรรย์หรือ แม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่
    ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อยังมีทิฏฐิว่า ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง
    สรีระอย่างหนึ่งอยู่ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็คงมี
    อยู่ทีเดียว เราจึงบัญญัติความเพิกถอนชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
    และอุปายาส ในปัจจุบัน. ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ ดังนี้
    จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือ ก็มิใช่อย่างนั้น.
    ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ ดังนี้ จักได้มีการอยู่
    ประพฤติพรหมจรรย์หรือ แม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่.
    ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อยังมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ หรือว่าสัตว์เบื้องหน้า
    แต่ตายไปไม่มีอยู่ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็คงมีอยู่
    ทีเดียว เราจึงบัญญัติความเพิกถอน ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
    และอุปายาส ในปัจจุบัน. ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี
    ไม่มีอยู่ก็มี ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น.
    ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีอยู่ก็ไม่ใช่
    ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือ แม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่.
    ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อยังมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี หรือว่า
    สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีอยู่ก็ไม่ใช่ ดังนี้ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
    ทุกข์ โทมนัส และ อุปายาส ก็คงมีอยู่ทีเดียว เราจึงบัญญัติความเพิกถอน ชาติ ชรา มรณะ
    โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสในปัจจุบัน.
    ปัญหาที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์และไม่ทรงพยากรณ์
    [๑๕๒] ดูกรมาลุงกยบุตร เพราะเหตุนั้นแล เธอทั้งหลายจงทรงจำปัญหาที่เราไม่
    พยากรณ์ โดยความเป็นปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ และจงทรงจำปัญหาที่เราพยากรณ์ โดยความ
    เป็นปัญหาที่เราพยากรณ์เถิด. ดูกรมาลุงกยบุตร อะไรเล่าที่เราไม่พยากรณ์ ดูกรมาลุงกยบุตร
    ทิฏฐิว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพ
    อย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่
    สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป มีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่
    ก็หามิได้ ดังนี้ เราไม่พยากรณ์. ดูกรมาลุงกยบุตร ก็เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์
    เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย
    เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อ
    นิพพาน เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ข้อนั้น. ดูกรมาลุงกยบุตร อะไรเล่า ที่เราพยากรณ์ ดูกร
    มาลุงกยบุตร ความเห็นว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความ
    ดับทุกข์ ดังนี้ เราพยากรณ์. ก็เพราะเหตุไร เราจึงพยากรณ์ข้อนั้น เพราะข้อนั้น ประกอบด้วย
    ประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อ
    ความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงพยากรณ์
    ข้อนั้น. เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงทรงจำปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ โดยความเป็นปัญหา
    ที่เราไม่พยากรณ์ และจงทรงจำปัญหาที่เราพยากรณ์ โดยความเป็นปัญหาที่เราพยากรณ์เถิด.
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระมาลุงกยบุตร ยินดีชื่นชม พระภาษิต
    ของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.

    จบ จูฬมาลุงโกฺยวาทสูตร ที่ ๓.
    -----------------------------------------------------
     
  13. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    นินทา-ว่าร้าย

    ปัญหา ตามปกติ การนินทาลับหลังก็ดี การว่าร้ายต่อหน้าก็ดี ถือกันว่าเป็นสิ่งไม่ควรกระทำ พระผู้มีพระภาคทรงแนะนำในเรื่องนี้ไว้อย่างไร ?

    พุทธดำรัสตอบ “ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่ถึงกล่าววาทะลับหลัง ไม่พึงกล่าวคำล่วงเกินต่อหน้านั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในประการแรกนั้น พึงทราบว่า วาทะลับหลังใด ไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่พึงกล่าววาทะลับหลังนั้นเป็นอันขาด แม้ทราบว่าวาทะลับหลังใด จริง แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็พึงสำเนียกเพื่อจะไม่กล่าววาทะลับหลังนั้น พึงเป็นผู้รู้จักกาลเพื่อจะกล่าววาทะลับหลังนั้น
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในประการหลังนั้น พึงทราบว่า คำล่วงเกินต่อหน้าใด ไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่พึงกล่าวคำล่วงเกินต่อหน้านั้นเป็นอันขาด แม้ทราบว่าคำล่วงเกินต่อหน้าใดจริง แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ก็พึงสำเนียกเพื่อจะไม่กล่าวคำล่วงเกินต่อหน้านั้นและทราบว่า คำล่วงเกินต่อหน้าใดจริง แท้ ประกอบด้วยประโยชน์ ในเรื่องนั้น พึงเป็นผู้รู้จักกาล เพื่อจะกล่าวคำล่วงเกินต่อหน้านั้น....”

    อรณวิภังคสูตร อุ. ม. (๖๖๐)
    ตบ. ๑๔ : ๔๒๘-๔๒๙ ตท. ๑๔ : ๓๖๕
    ตอ. MLS. III : ๒๘๑-๒๘๒
     
  14. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    สมณพราหมณ์ที่ไม่ควรไหว้

    ปัญหา ขึ้นชื่อวาเป็นสมณพราหมณ์ ครองเพศบรรพชิตแล้ว เราควรเคารพกราบไหว้บูชาทั้งนั้นหรือ ? หรือว่ามีสมณพราหมณ์ประเภทใดบ้างที่ไม่ควรเคารพกราบไหว้ ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนคฤหบดีทั้งหลาย สมณพราหมณ์ เหล่าใดยังมีความกำหนัด ความขัดเคือง ความลุ่มหลงในรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ..... ในเสียงที่รู้ได้ด้วยโสต.... ในกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ... ในรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา.... ในโผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย.... ในธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยมโน ไม่ไปปราศแล้ว ยังมีจิตไม่สงบภายใน ยังมีความประพฤติลุ่ม ๆ ดอนๆ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ อยู่สมณพราหมณ์ เช่นนี้ ไม่ควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นั่นเพราะเหตุไร เพราะว่าแม้พวกเราก็ยังมีความกำหนัด ความขัดเคือง ความลุ่มหลงในรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ.... ธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยมโน ไม่ไปปราศแล้วยังมีจิตไม่สงบภายใน ยังประพฤติลุ่มๆ ดอน ๆ ทางกาย ทางวาจา ทางใจอยู่ก็เมื่อเราทั้งหลายไม่เห็น แม้ความประพฤติสงบของสมณพราหมณ์ พวกนั้นที่ยิ่งขึ้นไป ดังนั้น ฉะนั้นท่านสมณพราหมณ์ เหล่านั้นจึงไม่ควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา....”

    นครวินเทยยสูตร อุ. ม. (๘๓๓)
    ตบ. ๑๔ : ๕๒๙ ตท. ๑๔ : ๔๕๔
    ตอ. MLS. III : ๓๔๐
     
  15. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าปริพาชกเจ้าลัทธิอื่นถามท่านทั้งหลาย
    อย่างนี้ว่า ก็อาการและความเป็นไปของท่านผู้มีอายุทั้งหลายเช่นไร จึงเป็นเหตุให้
    พวกท่านกล่าวถึงท่านผู้มีอายุทั้งหลายอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุเหล่านั้น เป็นผู้
    ปราศจากราคะแล้ว หรือปฏิบัติเพื่อนำปราศราคะแน่ เป็นผู้ปราศจากโทสะ
    แล้ว หรือปฏิบัติเพื่อนำปราศโทสะ เป็นผู้ปราศจากโมหะแล้ว หรือปฏิบัติ
    เพื่อนำปราศโมหะแน่ ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า
    ความจริง ท่านผู้มีอายุเหล่านั้น ย่อมเสพเฉพาะเสนาสนะอันสงัด คือ ป่าดง
    ซึ่งเป็นที่ไม่มีรูปอันรู้ได้ด้วยจักษุ ซึ่งคนทั้งหลายเห็นแล้วๆ จะพึงยินดีเช่นนั้นเลย
    เป็นที่ไม่มีเสียงอันรู้ได้ด้วยโสต ซึ่งคนทั้งหลายฟังแล้วๆ จะพึงยินดีเช่นนั้นเลย
    เป็นที่ไม่มีกลิ่นอันรู้ได้ด้วยฆานะ ซึ่งคนทั้งหลายดมแล้วๆ จะพึงยินดีเช่นนั้นเลย
    เป็นที่ไม่มีรสอันรู้ได้ด้วยชิวหา ซึ่งคนทั้งหลายลิ้มแล้วๆ จะพึงยินดีเช่นนั้นเลย
    เป็นที่ไม่มีโผฏฐัพพะอันรู้ได้ด้วยกาย ซึ่งคนทั้งหลายสัมผัสแล้วๆ จะพึงยินดี
    เช่นนั้นเลย

    นี้แลอาการและความเป็นไปของท่านผู้มีอายุทั้งหลายของพวกข้าพเจ้า
    ซึ่งเป็นเหตุให้พวกข้าพเจ้ากล่าวถึงท่านผู้มีอายุทั้งหลายได้อย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ
    เหล่านั้น เป็นผู้ปราศจากราคะแล้ว หรือปฏิบัติเพื่อนำปราศราคะแน่ เป็นผู้ปราศ-
    *จากโทสะแล้ว หรือปฏิบัติเพื่อนำปราศโทสะแน่ เป็นผู้ปราศจากโมหะแล้ว หรือ
    ปฏิบัติเพื่อนำปราศโมหะแน่ ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว
    พึงพยากรณ์แก่ปริพาชกเจ้าลัทธิอื่นเหล่านั้นอย่างนี้เถิด ฯ
    [๘๓๖] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์คฤหบดีชาวบ้าน
    นครวินทะ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า แจ่มแจ้งแล้ว พระเจ้าข้า แจ่มแจ้ง
    แล้ว พระเจ้าข้า พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศธรรมโดยปริยายมิใช่น้อย เปรียบ
    เหมือนหงายของที่คว่ำ หรือเปิดของที่ปิด หรือบอกทางแก่คนหลงทาง หรือตาม
    ประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า ผู้มีตาดีจักเห็นรูปทั้งหลายได้ ฉะนั้น พวกข้าพระองค์
    นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระโคดม
    ผู้เจริญ จงทรงจำพวกข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้
    เป็นต้นไป ฯ
     
  16. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    วิธีล่วงรู้คุณสมบัติผู้อื่น

    ปัญหา เพราะรู้ได้อย่างไรว่า ผู้ใดมีศีล มีกำลังใจ หรือมีปัญญาหรือไม่ ?

    พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนมหาบพิตร ศีลถึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ก็ศีลนั้นจะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้
    “ดูก่อนมหาบพิตร กำลังใจพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย ก็กำลังใจนั้น จะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้
    “ดูก่อนมหาบพิตร ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ก็ปัญญานั้น จะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้
    “คนผู้เกิดมาดี ไม่ควรไว้วางใจ เพราะผิวพรรณและรูปร่างไม่ควรไว้วางใจ เพราะการเห็นกันชั่วครู่เดียว เพราะว่านักบวชผู้ไม่สำรวมทั้งหลาย ย่อมเที่ยวไปในโลกนี้ ด้วยเครื่องบริขารของเหล่านักบวชผู้สำรวมดีแล้ว ประดุจกุณฑลดินและมาสกโลหะ หุ้มด้วยทองคำปลอมไว้ คนทั้งหลายไม่บริสุทธิ์ในภายใน งามแต่ภายนอก แวดล้อมด้วยบริวาร ท่องเที่ยวอยู่ในโลก”

    ชฏิลสูตรที่ ๑ ส. สํ. (๓๕๖)
    ตบ. ๑๕ : ๑๑๔ ตท. ๑๕ : ๑๑๓
    ตอ. K.S. I : ๑๐๕-๑๐๖
     
  17. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ภัยของพระพุทธศาสนา

    ปัญหา ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีภัย เมื่อภัยเกิดขึ้นย่อมทำลายสิ่งนั้น ๆ ให้เสียหายหรือพินาศ พระพุทธศาสนาก็น่าจะมีภัยเช่นเดียวกัน อยากทราบว่าภัยของพระพุทธศาสนามีอะไรบ้าง?

    พุทธดำรัสตอบ “......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอนาคตภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย... ศีล... จิต... ปัญญาจักให้อุปสมบทกุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำกุลบุตรแม้เหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แม้กุลบุตรเหล่านั้น ก็จักไม่อบรมกาย... ศีล... จิต... ปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย... ศีล... จิต... ปัญญา ก็จักให้อุปสมบทกุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำกุลบุตร แม้เหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แม้กุลบุตรเหล่านั้น ก็จักไม่อบรมกาย... ศีล... จิต... ปัญญา เพราะเหตุนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย.....

    “อีกประการหนึ่ง ในอนาคตภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย....ศีล.... จิต.....ปัญญา.... จะให้นิสัยแก่กุลบุตรเหล่านั้น จักไม่สามารถแนะนำกุลบุตรแม้เหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แม้กุลบุตรเหล่านั้น ก็จักไม่อบรมกาย... ศีล... จิต... ปัญญา เพราะเหตุนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย ย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย.....

    “อีกประการหนึ่ง ในอนาคตภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย....ศีล.... จิต.....ปัญญา.... เมื่อแสดงอภิธรรมกถา เวทัลลกถา หยั่งลงสู่ธรรมที่ผิด ก็จักไม่รู้สึก เพราะเหตุนี้แล การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม.....

    “อีกประการหนึ่ง ในอนาคตภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย....ศีล.... จิต.....ปัญญา.... พระสูตรต่างๆ ที่ตถาคตได้ภาษิตไว้ เป็นสูตรลึกซึ้ง เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตาธรรม พระสูตรเหล่านั้นอันบุคคลแสดงอยู่ก็จักไม่ฟังด้วยดี.... จักไม่เงี่ยโสตลงสดับ จักไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ จักไม่ใฝ่ใจในธรรมเหล่านั้น ว่าควรศึกษาเล่าเรียน แต่ว่าสูตรต่างๆ ที่นักกวีแต่งไว้ ประพันธ์เป็นบทว่า มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะสละสลวย เป็นพาหิรกถา เป็นสาวกภาษิต เมื่อสูตรเหล่านั้นอันบุคคลแสดงอยู่ จักฟังด้วยดี... เพราะเหตุนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย.....

    “อีกประการหนึ่ง ในอนาคตภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย....ศีล.... จิต.....ปัญญา.... ภิกษุผู้เถระจักเป็นผู้มักมาก มีความประพฤติย่อหย่อนเป็นหัวหน้าในความล่วงละเมิด ทอดธุระในความสงัด จักไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง.... ประชุมชนรุ่นหลังก็จักถือเอาภิกษุเหล่านั้นเป็นตัวอย่าง แม้ประชุมชนนั้นก็จะเป็นผู้มักมาก..... เพราะเหตุนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย.....
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคต ๕ ประการนี้แล.... อันเธอทั้งหลายถึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยเหล่านั้น”

    อนาคตสูตร ที่ ๓ ป. อํ. (๗๙)
    ตบ. ๒๒ : ๑๒๑-๑๓๒ ตท. ๒๒ : ๑๐๔-๑๐๖
    ตอ. G.S. III : ๘๔-๘๕
     
  18. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    [​IMG]

    โลกธรรม 8

    บอร์ดธรรมะวัดประยุรวงศาวาส


    "โลกธรรม 8 หมายถึง เรื่องของโลกซึ่งมีอยู่ประจำกับชีวิต สังคมและโลกของมนุษย์ เป็นความจริงที่ทุกคนต้องประสบด้วยกันทั้งนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม อยู่ที่ว่า ใครจะประสบมาก หรือประสบน้อยช้าหรือเร็วกว่ากัน

    โลกธรรม แบ่งออกเป็น 8 ชนิด จำแนกออกเป็น 2 ฝ่ายควบคู่กัน ซึ่งมีความหมายตรงข้ามกัน คือ ฝ่ายอิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่น่าปรารถนาและฝ่ายอนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ดังนี้


    โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ คือ ฝ่ายที่มนุษย์พอใจมี 4 เรื่อง คือ

    1. ได้ลาภ หมายความว่า ได้ผลประโยชน์ ได้ทรัพย์สินเงินทอง ได้บ้านเรือนหรือที่สวน ไร่นา

    2. ได้ยศ หมายความว่า ได้รับแต่งตั้งให้มีฐานันดรสูงขึ้น ได้ตำแหน่ง ได้อำนาจเป็นใหญ่เป็นโต

    3. ได้รับสรรเสริญ คือ ได้ยิน ได้ฟัง คำสรรเสริญคำชมเชย คำยกยอ

    4. ได้สุข คือ ได้ความสบายกาย สบายใจ ได้ความเบิกบาน ร่าเริง ได้ความบันเทิงใจ

    โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ คือ ฝ่ายที่มนุษย์ไม่พอใจมี 4 เรื่อง คือ

    1. เสียลาภ หมายความว่า ลาภที่ได้มาแล้วเสียไป

    2. เสื่อมยศ หมายถึง ถูกลดความเป็นใหญ่ ถูกถอดออกจากตำแหน่ง ถูกถอดอำนาจ

    3. ถูกนินทา หมายถึง ถูกตำหนิติเตียนว่าไม่ดี ถูกผู้อื่นพูดถึง ความไม่ดีของเราในที่ลับหลังเรียกว่าถูกนินทา

    4. ตกทุกข์ คือ ได้รับความทุกข์ทรมานกายทรมานใจ


    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรเป็นตัวของเราเอง ไม่มีใครในโลกนี้จะพบแต่ความสมหวังตลอดชีวิต จะต้องพบกับคำว่าผิดหวังบ้าง

    ผู้มีปัญญาได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างดีแล้ว พึงทำใจเอาไว้กลางๆ ว่า มีคนนินทา ก็ต้องมีคนสรรเสริญ มีสุขก็ต้องมีทุกข์ มีลาภย่อมเสื่อมลาภ มียศก็ย่อมเสื่อมยศ หากเราหวังอะไรเกินเหตุ เมื่อเวลาเราผิดหวัง ไม่สมหวัง ให้ทำใจไว้ว่านั่นคือโลกธรรมทั้ง 8 คือ มีได้ก็ต้องเสื่อมได้ เป็นของธรรมดาในโลกนี้ ไม่ว่าสัตว์หรือบุคคลใด ก็ย่อมหนีสิ่งเหล่านี้ไปไม่พ้น เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ย่อมหนีสิ่งเหล่านี้ไปไม่พ้นอย่างแน่นอน เพราะเมื่อไม่สมปรารถนาที่ตัวเองคิดไว้ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียอกเสียใจ รำพึงรำพันกับตัวเองถึงความไม่สมหวัง จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์มาก

    เพราะฉะนั้น จงใช้สติปัญญาหมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ ว่า สิ่งใดมีเกิดขึ้น ก็ต้องมีเสื่อมไปเป็นของธรรมดา เหมือนโลกธรรมทั้ง 8 ประการ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนจะต้องตกอยู่ในโลกธรรม 8 กันถ้วนหน้า จะได้ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นสุข"
    *

    *****************************
    สาธุ! เห็นจริงดังว่าแล้วทุกประการ
    ความรู้ในโลกธรรมสำหรับผู้เขียนนั้น

    อาจจะพอกล่าวลำดับความได้ดังนี้ :-

    ในช่วงวัยทีน นับเป็นวัยสับสนงุนงงกับสภาพครอบครัวที่เคยสุขกลับมาทะเลาะเบาะแว้ง อยากหลีกหนีไปจากครอบครัว เพราะบ้านไม่อบอุ่นเหมือนเก่า

    ในช่วงวัยเรียน วัยรุ่นตอนปลาย ไร้หางเสือไร้ทิศทาง อ้างว้าง เดียวดาย ทั้งที่มีครอบครัวแวดล้อม ทั้งยังหวาดระแวงอายไม่กล้าคบใคร เพราะกลัวผิดหวัง

    ในช่วงวัยเริ่มทำงาน สนุกสนานเพลิดเพลินกับงานกับเพื่อนใหม่ จนลืมทุกข์เก่าๆ ไปได้บ้าง

    ในช่วงวัยทำงาน ได้ราว 10 กว่าปี ได้คิดทบทวนและเข้าใจพ่อแม่มากขึ้น

    ต่อมาอีก ราว 10 ปี เป็นช่วงบั้นปลายชีวิตของพ่อแม่ ได้เข้าไปคลุกคลีดูแลใกล้ชิด ได้พูดได้คุยกับพ่อแม่มากขึ้น ก็จึงเริ่มเข้าใจความเป็นมาเป็นไปของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับพ่อแม่และครอบครัวของเรา

    ทั้งหมดล้วนเกิดจาก โลกธรรม 8 ทั้งสิ้น
    มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา

    เมื่อพ่อแม่อยู่ในช่วงทำอะไรก็สำเร็จ มีชื่อเสียงเงินทอง เพื่อนฝูงที่เหลวไหลก็เข้ามา จิตใจก็เหลิงลอยลมนึกคิดที่จะทำอะไรตามแต่ใจจะคว้าไขว่โดยไม่กลัวว่าจะนำพาครอบครัวไปสู่หุบเหว เพราะคิดว่ายังไงก็แก้ไขได้ ยังไงก็ไม่เกินกำลัง แต่เมื่อคนเปลี่ยน เงื่อนไขความสัมพันธ์เปลี่ยน อารมณ์และความคิดก็เปลี่ยน ในที่สุดก็ร้าวรานใจต่อกัน แกล้งทำร้ายกัน เถียงกัน เอาชนะกัน ไม่อยากแก้ไขอีกต่อไป...ทั้งหมดจึงมีผลเป็นลูกโซ่ไปถึงลูกนั่นเอง
    ..เศร้าใจ สงสารทั้งพ่อและแม่ ...
    ..แต่ก็ดีใจที่ได้เข้าใจ..รู้สึกโชคดีที่มีโอกาสได้เข้าใจ..รู้สึกขอบใจบทเรียนในชีวิตนี้จากบทบาทของพ่อแม่ที่เราได้เรียนรู้ ดีใจที่ได้ตอบโจทย์ชีวิตนี้โดยถูกต้อง...

    มีทุกข์ รู้จักทุกข์ ก็เกิดสติ เกิดปัญญา และวางเฉยในทุกข์ที่เกิดขึ้นได้เช่นนี้เอง..
    นี่คือประโยชน์ของโลกธรรม8....


    *จง รู้ จัก ตัว เอง*


    โลกธรรม 8 และประโยชน์ของโลกธรรม 8
     
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    สัญญาณอันตราย..น่าวิตกยิ่งนัก !!!

    [​IMG]

    ฮั้วโต๋ สมาชิก

    ..ภาพท้องฟ้าแดง.สัญญลักษณ์แห่ง"ไฟ"ยังไม่จาง แต่กลับทวีความรุนแรงมากขึ้นอีก.น่าวิตกยิ่งนัก.และภาพของพระจันทร์ที่รอบขอบนอกมีสีแดง ก็สอดคล้องและประจักษ์ชัดเจนในความรุนแรงเข้าไปอีก.งานนี้หนักจริง ๆ..ภาพท้องฟ้าและพระจันทร์.สัญญาณอันตราย.ถ่ายภาพวันนี้ที่ ลำปางครับ..

    เจริญในธรรม มีพระพุทธเจ้าในจิตให้มาก ๆ


    26-12-2012, 12:35 PM

    ที่มา http://palungjit.org/threads/สัญญาณฟ้าเตือนภัยพิบัติ.294356/page-505
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ภัยแผ่นดินไหวใกล้ตัวเข้ามาแล้วครับ !!!

    kiatp123 สมาชิก

    ว่ากันต่อเรื่องขององค์ความรู้โลกใบนี้

    การไหวสะเทือนครั้งนี้เกิดขึ้ันด้านทิศตะวันออกของรอยเลื่อนสะแกง
    ห่างไปประมาณ 2 องศาตะวันออกจากแนวรอยเลื่อนหลัก

    นักธรณีวิทยาประเทศนี้เคยนำเสนอแล้วว่า
    รอยเลื่อนสะแกงวางตัวแนวเหนือใต้เลื่อนเหลื่อมขวามุ่งเหนือ

    หมายความว่ารอยเลื่อนสะแกงซึ่งเดิมเมื่อหลายล้านปีก่อน
    เป็นรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกชานไทยกับแผ่นเปลือกโลกพม่า
    เกิดก่อนแผ่นทวีปอินเดียจะมาถึง

    เมื่อแผ่นอินเดียมาถึง ขอบแผ่นทวีปยูเรเชียบริเวณเชิงเขาหิมาลัย
    ส่วนหนึ่งก็มุดสอดเข้าใต้เขาหิมาลัย (จนเขาหิมาลัยต้องเลื่อนย้อน)
    อีกด้านตะวันออกของแผ่นอินเดียก็เบียดเข้ากับแผ่นชานไทย
    คือมุดนั่นแหละ ส่งแรงเฉือนม่งเหนือตามทิศทางการเคลื่อนที่ของ
    แผ่นอินเดีย คือ มุ่งเหนือ

    เราจึงเห็นด้านขวาของรอยเลื่อนสะแกง เคลื่อนตัวบ่อยครั้ง
    จากแรงมุดสอด(Slab pull) นี่แหละ

    26-12-2012, 02:08 PM

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ประกาศ...ช่วงนี้จับตารอยเลื่อนสะแกงพม่า.51734/page-632
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...