เว็บพลังจิต บุญอะไรที่ทำให้คนได้พบคู่ดี

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย world500, 17 พฤศจิกายน 2008.

  1. จะเป็นคนดี+++

    จะเป็นคนดี+++ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +30
    อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจุบัน ให้ดีที่สุด เมื่อบ้านพังทลายลงแล้วจะได้ไม่ต้องมาอาลัย ไม่มีคำว่าบังเอิญในโลกนี้ ทุกอย่างล้วนมีเหตุเป็นต้นกำเนิดของที่มา
     
  2. mybrimstone

    mybrimstone Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +54
    ขอมาแชร์ประสบการณ์ด้วยคนน่ะค่ะ ปิ๋มเป็นคนนึงค่ะที่ไม่เคยประสบกับ
    ความรักที่สุขสมหวัง....ถ้าไปรักคนที่ดีมาก เค้าจะมีเจ้าของแล้ว
    ส่วนคนที่ไม่มีเจ้าของ(หรือมีแต่ไม่ยอมบอก)...ก็เข้ามาเพราะหวังผลประโยชน์
    หรือไม่ก็หลงเราเพียงวูบวาบๆแวบเดียวเท่านั้น..ประมาณว่า เราเพอร์เฟคทุกอย่าง
    แต่สูงเกินไป เอื้อมไม่ถึงแล้วก็ไปคบกับผู้หญิงคนอื่น
    นอกนั้นก็จะเป็นเพลย์บอย หวังแต่เรื่องอย่างงั้นๆ

    ปิ๋มมีคนมาชอบพออยู่เรื่อยๆ แต่คนดีไม่มีเข้ามาเลย
    เป็นอย่างนี้มาตลอดจนกระทั่งอายุจะย่างเข้ายี่สิบหกแล้ว
    สรุปคือ ไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนจริงๆสักกะคน ^^

    เคยถามหลายคนมากค่ะว่า "มีกรรมอะไรค่ะ ถึงเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนไม่ดี
    เข้ามาในชีวิตเยอะจัง" ยังไม่มีใครให้คำตอบเลยค่ะ เขาบอกแต่ว่า "ทำบุญเยอะๆน๊า
    อะไรๆมันจะดีขึ้นเอง" ปิ๋มเคยสงสัยค่ะ ว่าเป็นเพราะคุณพ่อของปิ๋มรึเปล่านะ
    ทุกคนนิสัยเหมือนพ่อปิ๋มมากถึงมากที่สุด เลี่ยงยังไงก็ยังเจออยู่เรื่อยค่ะ
    ขึ้นอยู่กับว่า จะรู้เร็วหรือช้าเท่านั้น

    หลังๆมานี้เริ่มทบทวนสังเกตดู...เริ่มเข้าใจว่า ทำไมคนที่เรารักบางคน
    เขาถึงอยู่กับเราไม่ได้ เพราะว่า "คุณธรรม"ของเขาไม่เสมอกะเราน่ะสิ
    แล้วก็เป็นไปได้ที่ปิ๋มไปดึงดูดคนเหมือนพ่อเข้ามาเยอะ
    เพราะปิ๋มเสียใจรุนแรงเรื่องพ่อมาก ฝังใจบาดลึก
    ไม่แน่นะจิตอาจจะคิดว่าเราชอบเลยดึงเข้ามาอีก
    เลยมีคนสอนให้ปิ๋ม"ให้อภัย" คุณพ่อแล้วก็ให้ปล่อยพ่อไปค่ะ

    ปรากฎว่า ปิ๋มมีความสุขขึ้นมากเลยนะแล้วปิ๋มก็เลิกคาดหวังแล้วล่ะ
    ว่า ปิ๋มอยากมีใครสักคนบ้าง เมื่อไหร่จะมีคนดีๆมารักเราบ้างน๊า
    โดยคิดว่า ถึงเวลาก็"คนดีๆ"ของเราก็คงมาเอง
    ทำดีต่อไป ฮิตาชิ!! ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ชีวิตก็มีความสุขดีน่ะค่ะ
    ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนน่ะค่ะ ^0^
     
  3. KOKOKING_<<0>>

    KOKOKING_<<0>> เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    813
    ค่าพลัง:
    +1,373
    ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ แต่ทุกคนก็ยังจะมุ่งไปหาทุกข์ มนุษย์ หนอ มนุษย์

    ปล.รวมเล่มทำหนังสือ ศาลาคนเศร้าได้เลยนะครับ (ล้อเล่นนะครับบบบ)

    ธุลีดินที่ยังไม่พ้นทุกข์เหมือนกันครับ
     
  4. kapooklookclub

    kapooklookclub สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +23
    เฮ้อ...เรื่องความรัก เรื่องของคุ่ครอง หาไม่เจอ หรือเธอไม่มี

    ทำบุญ ดูแลพ่อแม่ เพื่อบุญจะส่งให้พบเจอคู่ครองที่ดี
     
  5. Hillary

    Hillary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +338
    ถาม : ที่เป็นคู่กัน ทำยังไงถึงเป็นคู่กันได้ ?
    ตอบ : ประกอบด้วย ๒ อย่า่ง อย่างหนึ่งเรียกว่า ปุพเพสันนิวาส คือ เคยเกื้อกูลกันมาในชาติปางก่อน ปุพพะ...ปุพเพ แปลว่า แต่ปางก่อน สันนิวาส คือการอยู่ร่วมกันมา พวกนี้ถ้าเห็นหน้ารักเลย ประเภทหนีตามกันง่าย ๆ เลย ไม่ต้องเสียเวลาจีบนาน อีกประเภทหนึ่งเกื้อกูลในชาติปัจจุบัน เห็นอกเห็นใจกัน สองประการที่จะเป็นเนื้อคู่กันได้
    ถาม : แล้วประเภทอยู่กันไป แล้วทะเลากัน ...เขาทำกรรมอะไรกันมา ?
    ตอบ : พระพุทธเจ้าบอกว่า ครอบครัวที่จะอยู่กันอย่า่งมีความสุข สามีภรรยา ต้องมีทานเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ถ้าหากว่านอกเหนือจากนี้ อันไหนขาด อันไหนพร่อง เดี๋ยวก็ทะเลาะเบาะแว้งกันไป ถ้าใช้ง่าย ๆ ก็คือ บารมีเสมอกัน บางคู่เราเห็นว่าไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้
    ปรากฏว่าบารมีเขาเสมอกัน ที่เขาเปรียบคู่ว่า ยักษ์อยู่กับยักษ์ เทวดาอยู่กับเทวดา มนุษย์อยู่กับมนุษย์ ถ้าอย่างนี้จะอยู่อย่างมีความสุขใช่ไหม ถ้าเกิดว่าเทวดาไปอยู่กับยักษ์หรือมนุษย์ไปอยู่กับยักษ์ อย่างนี้ก็อาจโดนขย้ำสักฝ่ายหนึ่ง โบราณท่านเปรียบไว้เยอะ
    ��Ѻ��� � ˹�ҷ�� �
    บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
    ---------------------------------------------------------------------

    ใครต้องการปารถนาพระนิพพาน อยู่คนเดียว ไม่ต้องห่วงหลายขันธ์ คนเป็นพุทธภูมิ เขามีคู่สร้างคู่บารมี อย่างไรถ้าใครต้องการมีครวบครัว ขอให้เจอคู่บารมีไว ๆ นะ อย่าเป็นแบบคู่มนุษย์กับยักษ์ เดี๋ยวโดนขย้ำ เป็นคู่กรรมคู่เวรกันไม่จบไม่สิ้นอีก
     
  6. upon

    upon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +46
    การมีคู่ครองที่ดี

    เราต้องเป็นผู้ที่มีศิล5ให้ครบครับ ในทั้งอดีตชาติ
    และชาติปัจุบัน เราต้องดูที่ตัวเราก่อนว่าดีพอหรือยัง
    เราถึงจะเจอคนที่ดี คู่ครองที่ดีใช่ว่าจะหาได้ตามผับตามบาร์
     
  7. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    ขอขอบคุณกับกำลังใจที่คุณภัทรมอบให้ดิฉันนะคะ ดิฉันเองก็เป็นห่วงคุณภัทร สำนวนที่คุณภัทรเขียนนี้ ถ้าให้ดิฉันมองไปถึงความรู้สึกของผู้เขียนแล้ว คงเป็นความรู้สึกที่ยังเป็นทุกข์เหลือเกินกับความรัก ดิฉันขอมอบกำลังใจให้คุณผ่านบทเพลงนี้นะคะ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=IqkQh0HxMqA"]YouTube - กวีบทเก่า- นูโว[/ame]


    เมื่อวานตอนที่ดิฉันเข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้ เพลงนี้ได้ดังขึ้นมาจากวิทยุที่เปิดไว้ ทำให้ดิฉันคิดขึ้นมาได้ว่า เราจะหลอกตัวเองไปอีกถึงเมื่อไหร่ ในเมื่อความรักมันเปรียบเป็นดั่งกวีบทเก่า กับทุกเรื่อง กับทุกคน ทุกตอนที่ผ่านมา เราผ่านกับน้ำตา กับความทุกข์ใจเช่นนี้มาแล้วนับครั้ง และคงนับชาติไม่ถ้วน จึงได้ขอยืนยันกับจิตตัวเองไว้ว่า จะขอหยุด และสิ้นสุดมันซักที

    หวังว่าคุณภัทรคงเข้าใจความหมายที่ดิฉันให้กับคุณไปนะคะ ทั้งๆ ที่เวลารักใคร ดิฉันรักเดียวใจเดียวเสมอ รักอย่างไม่ลืมหูลืมตา รักอย่างที่สุดเสมอในใจ และคำนึงถึงความซื่อสัตย์กับคนรักเป็นหลัก แต่ผลตอบแทนที่ได้มาก็ยังคือทุกข์ แล้วเราจะรักต่อไปเพื่ออะไร ในเมื่อเราไม่มีบุญวาสนากับเรื่องพวกนี้
    ก็คงต้องขอลากันอย่างจริงๆ จังๆ ซักที

    คุณภ้ทรคะ เป็นกำลังใจให้คุณนะคะ ขอให้คุณได้กำลังใจอันยิ่งใหญ่เพื่อผ่านพ้นจากจุดนี้ไปให้ได้ ขอให้คุณเจริญในธรรม ตราบจนกระทั่งถึงพระนิพพาน หมดแล้วซึ่งความเกิด และความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักคุณ ถ้ามีเรื่องอะไรที่คุณอยากเล่าให้ดิฉันได้รับรู้ ส่ง เป็น PM มาก็ได้ค่ะ ยินดี
     
  8. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294
    เอาไปอ่านซะ
    จะเป็นเนื้อคู่กันต้องมี ทาน ศีล และปัญญา เสมอกัน
    ถาม : คนหนึ่งเข้าวัด อีกคนหนึ่งไม่เข้าวัด ?

    ตอบ: อยู่กันยากจ้ะ พระพุทธเจ้าท่านบอกเอาไว้ชัดเลยว่าบุคคลที่เป็นเนื้อคู่กัน ต้องมีทานเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน อันใดอันหนึ่งบกพร่องก็รังแต่จะขัดกัน แล้วเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ถ้าขัดกันมากก็คงต้องเลิกรากันไป ทาน ศีล ภาวนา ต้องเสมอกัน คงจะยากนะ ตัดใจบวชชีเสียเถอะลูก เดี๋ยวนี้เขาส่งหาคู่ทางอินเตอร์เน็ตไม่ใช่เหรอ เฮ้อ...ไอ้การแต่งงานน่ะลูก มันเหมือนกะซื้อหวยแล้วหวังรางวัลที่ ๑ แต่ละงวดๆ มันพิมพ์มากี่สิบกี่ร้อยล้านก็ไม่รู้ แล้วมันก็มีรางวัลที่ ๑ อยู่รางวัลเดียวอย่างนี้ ลำบากจ้ะ

    เอกายโน อะยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เป็นหนทางของคนเดียว สามารถนำพาสัตว์เข้าถึงความบริสุทธิ์ สองคนก็ไม่ใช่ โสกะปริเทวานัง สมติกะมายะ สามารถล่วงพ้นความทุกข์โศกทั้งหลายได้ ทุกขโทมนัส สานัง อัตถังคะมายะ ล่วงพ้นความทุกข์ความเศร้าเสียใจได้ ยายัสสะ อธิคะมายะ ธรรมทั้งหลายก็เจริญ จัตตาโร สติปัฏฐานา อันนี้เรียกว่า สติปัฏฐานทั้ง ๔ กตะมาจัตตาโร ๔ อย่างมีอะไรบ้าง อิธะ ภิกขเว ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย กาเย กายานุปัสสี วิหรติ ท่านให้พิจารณากายในกาย ว่าต่อไม่ได้จ้ะ เดี๋ยวหนูบรรลุ

    ธรรมดาของการเกิดมา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นสมบัติประจำร่างกายนี่ เมื่อเราอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ มันต้องมีเป็นปกติธรรมดา เพียงแต่ว่ามันอยากมี ก็ให้มันมีไป เราไม่ไปใส่ใจกับมันก็หมดเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าหากว่าเราไปนึกคิดปรุงแต่งกับมัน มันก็จะสนุกสนานไปใหญ่โตเลย ถ้าเราไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งกับมัน ก็เหมือนกับก๋วยเตี๋ยวปรุงใส่น้ำเปล่าๆ ไม่มีชูรส ไม่มีน้ำปลา ไม่มีน้ำส้ม ไม่มีพริกขึ้นมา มันไปไม่รอดหรอก จืดสนิท ตายแหงแก๋ สำคัญตรงที่ว่าเราอย่าเผลอไปร่วมมือกับมัน ถ้าเผลอไปร่วมมือกับมัน ตัวจิตสังขาร คือตัวปรุงแต่ง มันก็ปรุงไปเรื่อย ต้องหล่ออย่างนั้น ต้องสวยอย่างนี้ไปเรื่อยเปื่อย ก็ทำให้ราคะ โลภะ โทสะ โมหะกำเริบ

    ถ้าเราหยุดอยู่กับการภาวนา หยุดอยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่ปล่อยให้จิตเคลื่อนไปในอดีต แล้วก็ไม่ให้ไปในอนาคต หยุดอยู่เฉพาะหน้า เป็นอันว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำอันตรายเราไม่ได้ เพราะงั้นอย่าเผลอไปร่วมมือกับมัน ร่วมมือกับมันเมื่อไร ก็มีแต่จะพาให้เราทุกข์ แค่รักเขาก็ทุกข์แล้วเห็นเขาว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ เริ่มรักก็เริ่มหลง พอหลงแล้วก็หวาดระแวง พอหวาดระแวง คราวนี้ก็ชักจะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ มันไปของมันเรื่อยแหละ เพราะงั้นต้องระวังให้ดี รักษาไว้ให้ดี ไม่มีใครรักเราเท่ากับตัวเราเอง คนไหนมันบอกว่ามันรักเรามาก ขาดเราไม่ได้ ให้มายืนคู่กัน แล้วเราเอาถ่านร้อนๆ แดงๆ วางบนหัวมันพร้อมกันดูสิ จะปัดของใครก่อน ถ้ารักคนอื่นมาก ต้องปัดให้คนอื่นก่อน เห็นปัดให้ตัวเองทุกทีเลย ลองดูมั้ย ? มาถึงก็ถ่านแดงๆ คนละก้อน หย่อนใส่หัวมัน เธอรักฉันมาก เธอต้องปัดให้ฉันก่อน ไม่มีซะหรอก ปัดของมันเองก่อน

    ในเมื่อเรารักตัวของเราเอง ก็ให้รักในทางที่ถูก เมตตา...ตัวของเราเอง ก็อย่าทำชั่ว เพราะว่าการทำชั่ว พาให้เราตกสู่อบายภูมิ ต้องเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ทนทุกข์ทรมานนับชาติไม่ถ้วน ถ้าหากว่ารักตัวเอง ให้ตั้งใจปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา ให้มากไว้ ถึงเวลาตัวเองจะได้รับแต่ผลดี หลวงปู่มหาอำพันท่านว่า รักษาตัวกลัวกรรมอย่าทำชั่ว จะหมองมัวหม่นไหม้ไปเมืองผี จงเลือกทำแต่กรรมที่ดีดี จะได้มีความสุขพ้นทุกข์ภัย

    อยู่ใกล้พ่อก็ดีขึ้นมาจึ๋ง ห่างอีกก็ไปยาว เอาเหอะอย่างน้อยๆ มันก็ยังมีอยู่บ้าง อย่าให้ตลอดชีวิต ๓๐ กว่าปีมันเลวซะหมดละกัน

    การที่คนเราจะรักกัน จะแต่งงานแต่งการอยู่กินเป็นคู่ครองกัน พระพุทธเจ้าบอกว่าเกิดจากสาเหตุ ๒ ประเภทด้วยกัน ประการที่หนึ่งเรียกว่า บุพเพสันนิวาส บุพพะ บุพเพแต่ปางก่อน สันนิวาสการอยู่ร่วม การอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน แสดงว่าเคยเป็นคู่กันมา ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเกิดเป็นคู่กันมาหลายชาติหลายภพ ถ้าเจอหน้ากันมันหลีกไม่พ้น ประเภทเห็นปุ๊บ ปิ๊งเลย ที่วัยรุ่นสมัยนี้เขาว่าอะไร ใช่เลย ไม่ของมันน่ะ ใช่แล้วเลย ส่วนใหญ่มันใช่ไม่จริง เพราะว่าคนเราไม่ได้เกิดชาติเดียว แต่ละชาติแต่ละภพเกิดมาก็ไม่ใช่หมายความว่าจะเจอคนเดิมตลอดไป เพราะฉะนั้นมันก็จะมีใช่เลย ใช่เลยๆ ไปเรื่อยๆ ระวังเอาไว้ให้ดี คนเราถ้าไม่มีศีลควบคุมก็จะใช่ไปเรื่อย ยิ่งใช่มากเท่าไรก็ลงนรกไปมากเท่านั้น

    ส่วนอีกอย่างหนึ่งท่านว่าเกิดจากการเกื้อกูลกันในปัจจุบัน จนเห็นอกเห็นใจกัน ดังนั้นไม่ใช่หมายความว่า ถ้าไม่ใช่เนื้อคู่ คือไม่ใช่บุพเพสันนิวาสแต่ปางก่อน แล้วจะแต่งกันไม่ได้ เสร็จแล้วการแต่งงานกันไปมันก็ต้องลดทิฐิมานะลง ต่างคนต่างต้องฟังอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะตอนนี้มันเป็นสภาพครอบครัวแล้ว ไม่ใช่ตัวคนเดียว เราจะเคยทำอะไรก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ตอนนี้มันแบกขันธ์ ๕ ขึ้นมาเป็นขันธ์ ๑๐ แล้วนี่ ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของตัวเอง คนเดียวมันก็แย่แล้ว ไปหาเข้ามาขันธ์ ๑๐ คราวนี่แย่ตรงที่ว่าก่อนนี้ ถึงเวลากิน เราไม่กินก็ได้ คราวนี้ถึงเวลากินขึ้นมา นี่เราไม่กิน มันได้อยู่ แต่เขาไม่กินไม่ได้เพราะเขาหิวแล้ว มันก็ต้องทุกข์ในการหามาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเขาเพิ่มอีกคนหนึ่ง มีลูกขึ้นมาก็เป็นขันธ์ ๑๕ มี ๒ ลูกก็ขันธ์ ๒๐ มีแต่จะทุกข์หนักขึ้นไปเรื่อยๆ บรรดาเทวดาจ้อย นางฟ้าจิ๋ว นี่มันเจ้านายใหญ่ ถึงเวลาพ่อเจ้าประคุณ แม่เจ้าประคุณจะเอายังไงก็แหกปากจ๊ากจึ้นมา ก็ต้องตามใจ ไม่ตามใจก็เสร็จ เพราะว่าเขามีการร้องไห้เป็นกำลัง ผู้หญิงมีน้ำตาเป็นกำลังใช่มั้ย ? ถ้าหากว่าถึงเวลาความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้มันมีแต่จะพอกพูนเพิ่มขึ้นๆ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า การกินหนึ่ง การนอนหนึ่ง การเสพกามหนึ่ง การเสวยอำนาจหนึ่ง บุคคลจะไม่มีวันเบื่อเด็ดขาด ยกเว้นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร พยายามหลีกหนีมันให้ได้เท่านั้น การมีเนื้อคู่ถือว่าเป็นการเสพกามใช่มั้ย ? เพราะฉะนั้นการกิน การนอน การเสพกาม การเสวยอำนาจอยู่ คนจะไม่เบื่อ มีอยู่อย่างเดียวก็คือว่า พยายามหลีกหนีมัน เพราะเห็นโทษเห็นภัย ก็ลองคิดดูว่าเราอยู่คนเดียวสบายละ เหนื่อยจากงานมานอนแผ่หลาไม่อาบน้ำก็ได้ ไม่กินข้าวก็ได้

    คราวนี้กลับมาบ้าน เจ้านายใหญ่นั่งรอยอยู่ ต่างคนต่างเหนื่อยมา แทนที่จะช่วยเราไม่มีหรอก รอเราช่วยอย่างเดียว มันแทนที่จะทุกข์คนเดียวก็เลยทุกข์หนักขึ้น แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าหากว่าวันไหนเหนื่อยมากๆ แล้ว สติแตกกลับมาแทนที่เราจะช่วยกัน เปล่าหรอก นั่งเต๊ะจุ๊ยอ่านหนังสือพิมพ์รอเราทำกับข้าว โอ๊ยแทบจะขาดใจ มาจากที่โน่น มาถึงจะสลบเหมือด ก็ต้องมาเจอเจ้านายใหญ่อีก ไม่เป็นไรจ้ะ ค่อยๆ ดูไป อนุญาตให้ลอง ทดลองแล้วไปไม่รอดแล้วค่อยว่ากัน

    หลายคนเขาบอกว่า แต่งงานเพราะถึงเวลาแก่ตัวไปจะได้มีคนดูแล ฝันไปเถอะ แก่ตัวไปแล้วล้วนแล้วแต่มีคนให้เราดูแล ฟังให้ดีๆ ไม่ใช่แก่ตัวไปจะได้มีคนดูแล แก่ตัวไปจะได้มีคนให้เราดูแล แต่งไปไม่ต้องฝันหรอกว่ามันจะดูแลเรา รับรองได้รายไหนรายนั้น แล้วต้องไปดูแลเขาทั้งนั้น

    สมัยก่อนหมวยนี้ไปกับหลวงพ่อบ่อยๆ เขาก็ซึมซับเอาสิ่งต่างๆ ที่หลวงพ่อพาไป ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา รับเข้าไปๆ บวกกับการปฏิบัติของตัวเอง เขาตั้งใจว่าไม่แต่งงาน ทางบ้านพ่อเอย แม่เอย อากู๋ อากิ๋มอะไรให้ยุ่งไปหมด พยายามจะแงะให้แต่งให้ได้ แกก็ฝืนมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ มีแต่คนเปลี่ยนความคิดละ พูดว่าเป็นหมวยนี้ก็สบายจังเลยเนอะ มันชักเห็นทุกข์แล้วตอนก่อนนี้ล้วนแต่ว่าทุกข์น่ะดี มีครอบครัวไหนบ้างที่ไม่ทะเลาะกัน ถามจริงๆ หนูเคยเห็นมั้ย ? ดีแสนดีมันต้องมีวันผีเข้าซักวันหนึ่ง

    อยู่คนเดียวเปลี่ยวกายแสนสบายแต่ไม่สนุก อยู่สองครองทุกข์ถึงสนุกก็ไม่สบาย เลือกเอาก็แล้วกัน

    พระเจ้าฑีฆีติโกศล ตรัสกับฑีฆาวุกุมารว่ารักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ เพราะฉะนั้นถ้าเห็นแก่อนาคตอันยืดยาวเบื้องหน้า อยากจะไปดี รักในการปฏิบัติธรรม เพื่อความหลุดพ้นจริงๆ ก็รีบๆ ตัดกรรมซะ รักยาวให้บั่น ถ้าเห็นแก่ความสุขเฉพาะหน้าในระยะสั้นๆ รักสั้นให้ต่อ สร้างกรรมต่อไปไม่มีใครว่า พระเจ้าฑีฆีติโกศลโดนพระเจ้าอชาตศัตรูบุกแคว้นโกศลน่ะ จับได้ไปประหารชีวิต เพื่อยึดเอาแว่นแคว้นมาเป็นของตัว ฑีฆาวุกุมารซึ่งเป็นลูกชายหลบไปได้ ถึงเวลาเขาประหารชีวิตก็ย่องมาดู พ่อก็รู้ว่าลูกชายต้องอยู่แถวๆ นั้นก็เลยตะโกนบอก รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ คนอื่นฟังไม่เข้าใจ แต่ฑีฆาวุกุมารฟังแล้วเข้าใจเลย

    คราวนี้ก็พยายามไปร่ำเรียนวิชาศิลปะศาสตร์อะไรต่างๆ นานา จนกระทั่งเติบใหญ่ขึ้นมาก็ไปสมัครเป็นข้าราชบริพารในสำนักพระเจ้าอชาตศัตรู จะได้หาโอกาสฆ่าพระเจ้าอชาตศัตรูเพื่อล้างแค้นให้พ่อ มีอยู่วันหนึ่งพระเจ้าอชาตศัตรูออกเสด็จประพาสป่าพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ฑีฆาวุกุมารตอนนั้นเป็นมหาดเล็กตัวโปรด ก็ทำหน้าที่สารถีขับรถให้ ฑีฆาวุกุมารก็แกล้งให้ม้ามันตกใจ วิ่งเตลิดเปิดเปิงจะได้ทิ้งพวกข้าราชบริพารให้ไกลๆ จนกระทั่งเตลิดเข้าไปในป่าลึก พระเจ้าอชาตศัตรูเหนื่อยเต็มที่ ก็บอกพักก่อนเถอะ เราไม่ไหวแล้ว ฑีฆาวุกุมารก็พัก พระเจ้าอชาตศัตรูก็หนุนตักฑีฆาวุกุมารก็หลับเหนื่อย พระเจ้าแผ่นดินไม่ใช่ว่าประเภทได้มาออกกำลังหนักหนาอย่างเรา ฑีฆาวุกุมารเห็นได้โอกาสก็เลยชักมีดสั้นที่ซ่อนไว้ จะจ้วงซะให้เต็มๆ ก็นึกถึงคำพูดของพ่อว่า รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ ก็ลดมีดลง พอขยับจะแทงอีก นึกได้ก็ลดมีดลง ๓ ครั้งด้วยกัน พระเจ้าอชาตศัตรูลืมตาขึ้นมาจ๊ะเอ๋เข้าพอดีก็ตกใจ ร้องขอชีวิต ถามฑีฆาวุกุมารว่าเป็นใคร ฑีฆาวุกุมารก็เล่าให้ฟังว่าเป็นลูกของพระเจ้าฑีฆีติโกศล พระเจ้าอชาตศัตรูก็สำนึกได้ว่า ตัวเองไม่ควรที่จะไปแย่งบ้านชิงเมืองคนอื่นเขาถึงขนาดนั้น ทำให้เดือดร้อนกันไปหมด ฑีฆาวุกุมารก็บอกว่าไม่ต้องกลัวหรอก ตอนนี้เชื่อในสิ่งที่พ่อบอก ก็ให้อภัยพระเจ้าอชาตศัตรูแล้วแต่ว่าต่อไปจะไม่อยู่รับราชการ เพราะการอยู่ใกล้พระราชาเหมือนกับการอยู่ใกล้เสือหรือไฟ จะโดนเสือกัด โดนไฟไหม้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะขอลาออก พระเจ้าอชาตศัตรูก็ได้สำนึกเห็นในความมีน้ำใจ แล้วก็เห็นแก่บุญคุณที่ไว้ชีวิต ก็เลยบอกไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวจะยกแคว้นโกศลคืนให้ เธอกลับไปครองแว่นแคว้นของเธอตามเดิมก็แล้วกัน เรื่องก็เลยแฮปปี้เอ็นดิ้ง ไอ้คำว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรก็มาจากเรื่องนี้แหละ



    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนธันวาคม ๒๕๔๕(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    เรื่องของบุพเพสันนิวาส
    ถาม: (คุยเรื่องคู่ครอง )

    ตอบ: เรื่องของเนื้อคู่นี้ ถ้าเป็นบุพเพสันนิวาส คือเคยเนื่องกันมาแต่ชาติก่อนจริงๆ พบเจอหน้ามันเลี่ยงกันไม่พ้นหรอก ยิ่งเกิดมากเท่าไรความผูกพันก็จะมากเท่านั้น อาตมาสมัยบวชใหม่ๆ เจอหน้าผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาก็ไม่ได้อยู่ในสเป๊ก รูปร่างก็ไม่ได้อยู่ในสเป๊ก แต่มีแรงดึงดูดมหาศาลเลย ชนิดเราทำอะไรไม่ถูกเลยนะ เห็นคราวนี้ โอ้ย ! ตายละวา ...เจ้าหนี้ตามทวง ความรู้สึกมันว่างั้น แต่คราวนี้ว่า เราไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองไปให้หลบรอดไปได้มากกว่าสติสัมปะชัญญะที่พอมีอยู่เท่านั้น แต่สติที่มีอยู่มันหายไปเกินค่อนหนึ่ง สมาธิก็หายไปเหมือนกัน ทำวัตรก็มองหน้า นั่งกรรมฐานแทนที่จะหลับตาก็ลืมตามองอยู่นั่น ความรู้สึกบอกว่า ถ้าพูดกับเขาแม้แต่คำเดียว เราเสร็จแน่ แล้วยายนั่นเขาก็รู้เหมือนกัน ถึงเวลาก็ต้องแถเข้าไปใกล้ๆ พอถึงเวลาเขาพูดอะไร ความรู้สึกเราบอกว่า ถ้าพูดแม้แต่คำเดียวเราเสร็จแน่ ยอมเสียมารยาทคุยกับคนอื่น พอเขาเสียบเข้ามา เอ่ยปากถามปุ๊บ เราเดินหนีไปเลย หลบอยู่ ๓-๔ วัน เห็นท่าไม่รอดแน่ พอดีหลวงพ่อสั่งให้ไปประจำอยู่ที่หน้าตึกของท่าน ตรงจุดนั้น ถ้าไม่มีธุระจริงๆ ห้ามเข้า ก็เป็นอันว่ารอดไป ไม่อย่างนั้นเสร็จ เพราะว่าพวกนี้ ถ้าช่วงวาระเวลาของเขามาถึง บุญกรรมที่มันส่งมาถึงจะทำให้เราอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าเราสามารถตื้อให้พ้นช่วงนั้นไปได้ มันก็พ้นไปเลย จนกว่ามันจะมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่ง

    ถาม: แล้วเขาจะไปมีคู่กับผู้อื่น ?

    ตอบ: มันจะไปมี ก็ปล่อยมันไป ยิ่งมีเร็วเท่าไรยิ่งดี หลวงปู่ฝั้น ครูบาอาจารย์ที่เคารพท่านมากที่สุดองค์หนึ่งนะ ท่านบอกว่าท่านธุดงค์ไป ท่านจะข้ามลำน้ำ มีเรือจ้างอยู่สองแม่ลูก พอเห็นหน้าลูกสาวปุ๊บหลวงปู่บอกว่าใจหายแว๊บเลย หน้าอย่างนี้ใช่เลยล่ะ เสร็จแล้วท่านจะทำอย่างไร ? ท่านก็พอขึ้นเรือได้ บอกขอบอกขอบใจเสร็จก็รีบเดิน เดินอย่างไม่มีสติ ภาวนามันหายหมดเลย เดินไปจนกระทั่งค่ำก็ปักกลดปรากฏว่าเขาตามมา แม่ลูกตามมา แม่มาถึงก็บรรยาย ตัวเองมีนากี่ไร่มีควายกี่ตัว เฒ่าชะแรแก่ชราป่านนี้แล้ว มีลูกสาวคนเดียว ยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝาเลย เห็นท่านนี้แหละพอจะเป็นที่พึ่งได้ ถ้าหากว่าท่านสึกหาลาเพศไปก็พร้อมจะยกสมบัติและลูกสาวให้ด้วย หลวงปู่ท่านบอกว่าสติสตังที่จะต่อต้านสักนิดหนึ่งก็ไม่มี ได้แต่เออ...ไปตามเรื่อง บอกว่าตอนนี้ยังเป็นพระอยู่ ถ้าหากสึกแล้วเราค่อยพูดกันอีกทีหนึ่ง เขาบอกว่าพรุ่งนี้เขาจะมาเอาคำตอบ แล้วก็กลับบ้าน หลวงปู่ท่านยอมเสียสัจจะถอนกลดหนีคืนนั้นเลย ปกติพระธุดงค์ถ้าไม่สว่างห้ามถอน หลวงปู่ท่านบอกว่ายอมเสียสัจจะถอนกลดหนีคืนนั้น ธุดงค์ข้ามไป ๓ จังหวัด มีปัญญาให้มันตามมา ถ้าตามมาก็จะยอมรับมันล่ะ แต่ระหว่างที่เดินอยู่นั่นเห็นแต่หน้าลอยอยู่ ท่านบอกว่า เห็นแต่หน้ายายหน้าใบโพธิ์ คือหน้าเป็นรูปหัวใจ เห็นแต่หน้ายายหน้าใบโพธิ์ ตามอยู่นั่นแหละ โอ้โห ! ความผูกพันแรงขนาดนั้น

    ถาม: แล้วตัวผู้หญิง เขาก็ผูกพันด้วยไหมครับ ต้องทั้งสองคนไหมครับ ?

    ตอบ: เขาเห็นปุ๊บเขารู้เลย พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ครูบาอาจารย์ใหญ่ สาย หลวงปู่มั่น ท่านบอกว่าเห็นหน้าปุ๊บผู้หญิงหงายหลังสลบ ตัวท่านเองก็เข่าอ่อนกองอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน คิดดูว่ามันแรงขนาดไหน นั่นแสดงว่าใช่แน่ๆ อย่างไรก็หนีไม่พ้น

    หลวงปู่สิงห์ ท่านก็เจ็บปวดยิ่งกว่านั้นอีก พ่อแม่เขามาบอกว่าขอให้สึกไปแต่งงาน ท่านบอกก็ได้ แต่ต้องทำที่ต้องการนะ อันดับแรกให้สร้างปราสาทลอยอยู่กลางท้องฟ้า เอาไว้เป็นเรือนหอ อันดับที่สองให้หายาอะไรก็ได้ที่กินแล้วไม่แก่ไม่เฒ่า ไม่ตาย โอ้โห ! สิ่งที่ท่านยื่นมาทั้งนั้นนี่นิพพานทั้งหมดเลย ไม่มีที่อื่นนี่ บอกถ้าหาให้ไม่ได้ ไม่แต่ง เอากับท่านสิ ก็คือท่านรู้เสียแล้วว่านิพพานเป็นอย่างไร ในเมื่อรู้แล้วก็พยายามจะไปให้ได้ เขาก็เลยขวาง ก็เลยยื่นข้อเสนอเสียเลย มีปัญญาหามาได้ ก็ยอมแต่งเหมือนกัน

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เรียกว่าปรมาจารย์ใหญ่ของสายกองทัพธรรมเหมือนกัน ท่านบอกว่า ไปเยี่ยมเขา ด้วยประเภทที่เรียกว่าจิตห่วงใยตามปกติ เห็นว่าเจ็บไข้ได้ป่วยก็ชวนเด็กวัดไปด้วย เจ้าเด็กวัดระยำเสือกหลับ อาจารย์นั่งมองอยู่ สาวเจ้าก็ตาหวานขึ้นมาเรื่อยๆ ท่านก็บอกว่าสติสตังมันไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ก็เลยต้องบอกลา ปลุกเด็กแล้วรีบกลับเลย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ไปอีกเลย ถ้าคนนี้มาก็บอกเขาด้วยว่าไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นก็เสร็จ น่ากลัวขนาดไหน ?

    ถาม: (คุยเรื่องคู่ครอง)

    ตอบ: มันคล้ายๆ กับว่า ถ้าวาระและเวลามาถึง มันจะโคจรเข้ามาชนกันเอง อันนี้เป็นแรงกรรมส่ง บุญบาปที่เคยทำร่วมกันมาจะส่งผลเข้ามา เมื่อส่งผลมาถึง คราวนี้ก็อยู่ที่ว่ารักษาตัวรอดไหม และถ้าหากว่าพ้นจากคนนี้ไปแล้ว เดี๋ยวคนใหม่ก็เข้ามาอีก เราไม่ได้เกิดชาติเดียวนะ ในเมื่อไม่ได้เกิดชาติเดียว เนื้อคู่มันก็มีหลายคนไปด้วย คนไหนที่เกิดร่วมกับเรามากชาติที่สุดก็มีอิทธิพลต่อเรามากที่สุด คนไหนเกิดน้อยชาติหน่อย ก็อิทธิพลน้อยหน่อย

    สมัยหลวงพ่อบวชกับหลวงปู่ปาน มีพระอยู่องค์หนึ่งท่านได้อภิญญาและก็ได้ทิพจักขุญาณแจ่มใสมาก ท่านจะบอกเลยว่าวันนั้นเวลานั้น ถ้ามีผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างอย่างนี้ แต่งตัวอย่างนี้มา ผมต้องสึกนะ ก็จริงๆ ถึงเวลาต้องสึกไปอยู่กินกับเขา แต่คราวนี้ท่านมีอภิญญาอยู่ ก็พยายามรวบรวมกำลังของอภิญญาใช้ในการดูหมอ ใช้ในการรักษาโรคบ้าง หาเงินให้เขาก้อนหนึ่ง ไม่ใช่น้อยๆ นะ หลวงพ่อบอกประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท ของสมัยนั้น หือ...สมัยนี้ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ยังจะน้อยกว่าล่ะมั้ง ? อย่าลืมว่าสมัยนั้นก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ เท่ากับ ๔๐ บาท สมัยนี้ ๕๐ สตางค์ ก็ ๔๐๐ บาท บาทหนึ่งก็แปดร้อยนั่นแหละ เสร็จแล้วท่านก็กลับมาบวชใหม่ แล้วก็บอกไว้อีกว่าวันนั้นเวลานั้น ถ้ามีผู้หญิงหน้าตาอย่างนั้นอย่างนั้นมา ท่านจะต้องสึก แล้วก็สึกอีก สึกอยู่อย่างนั้นแหละ ๔ เที่ยว ๕ เที่ยว

    จนกระทั่งครั้งสุดท้าย พอกลับเข้ามาบวชก็ลาหลวงปู่เข้าป่าเลย หลวงพ่อก็ย่องไปถามว่า ทำไมงวดนี้ไม่อยู่แล้วหรือ ? ท่านบอกว่าหมดหนี้แล้ว ไปแล้ว เผ่นเข้ามาแล้วสบายใจ เพราะว่าของท่านได้อภิญญาอยู่แล้ว พอเข้ามาอยู่ในร่มกาสาวพักตร์รักษาศีลบริสุทธิ์แป๊บเดียว ก็ได้กำลังอภิญญาเต็มคืนมา ไม่เหมือนตอนเป็นฆราวาส มันโดนจำกัดให้ใช้ได้น้อย ท่านรู้ขนาดนั้นยังต้องสึกเลย อาตมาเองยังรอว่า รายต่อไปคือใคร มาจะด่าให้กระจายเลย ถึงเวลาอ้าปากไม่ขึ้น ประมาทไม่ได้ อย่าคิดว่าตัวเองแก่แล้ว

    หลวงพ่อท่านสมัยก่อนก็อายุประมาณนี้แหละ ท่านบอกว่า โอ้โห !....แก่จะตายชักอยู่แล้ว เด็กๆ มันเรียน ม. ๕ ม. ๖ อาชีวะบ้าง อะไรบ้าง มาถึงก็ประจ๋อ ประแจ๋เต็มกุฏิไปหมด แล้วหลวงพ่อก็ไม่มีทีท่าจะเล่นด้วย ไปๆ มาๆ ก็ประเภทว่าฉันไม่เชื่อหลวงน้าแล้วล่ะ ทำท่าเหมือนอยากจะแต่งงานด้วยแล้วอยู่ๆ ก็ลืมไปเฉยๆ อะไรอย่างนั้น หลวงพ่อก็นึกได้แต่เวทนาอยู่ในใจไม่รู้จะช่วยมันอย่างไรวะ ฟังดูในปฏิปทาท่านผู้เฒ่าว่าหลวงพ่อท่านโดนมาขนาดไหน บางอย่างท่านเล่าไว้นิดเดียว แต่ถ้าเรามีประสบการณ์ก็จะรู้เลยว่า นิดเดียวของท่าน กว่าจะผ่านได้ เลือดตาแทบกระเด็น

    ถาม: (คุยเรื่องคู่ครอง)

    ตอบ: พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ไม่ว่าท่านจะหนีไปซอกเขา ไปลำห้วย ในกลีบเมฆ ในถ้ำ ในก้นมหาสมุทรที่ใดก็ตาม ไม่สามารถจะหนีกรรมได้พ้น คุณทำไว้เอง ไม่ต้องไปกลัวมัน ถ้าตั้งใจหนีจริงๆ หนีพ้น อาตมาอย่างน้อยก็พ้นมาหลายยกแล้ว มันจะมีอีกสักยกสองยกก็เชื่อว่าน่าจะพ้นนะ จำเอาไว้อย่ายื่นหน้าไปให้เขาตบหน้าก็พอ ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก

    ถาม: (คุยเรื่องคู่ครอง)

    ตอบ: คือมันน่ากลัวมาก มันไม่ใช่ขึ้นแค่นั้นลงแค่นั้น เพราะว่าเราพอถึงเวลาแต่งงานไปปุ๊บ ไหนจะตัวเขา ไหนจะพ่อแม่พี่น้องของเขา แล้วถึงเวลาลูกอีก หลานอีก ตายล่ะหวา ถึงบอกว่าบางทีก็พูดกับพระว่าตอนนี้นะต่อให้น้องป๊อบมาคุกเข่าต่อหน้าว่า หลวงพี่เจ้าขาสึกไปแต่งกับหนูเหอะ ไม่กล้าไปเลย กลัว จริงๆ เอ้อ... มันอธิบายเป็นคำพูดได้ แต่ถ้าเห็นนี่ เห็นเลยว่าน่ากลัวจริงๆ ไม่มีจุดลงท้ายเลย มีแต่ยาวไปเรื่อย ไปเรื่อย

    ถาม: (คุยเรื่องคู่ครอง)

    ตอบ: ไม่ต้องโทษใคร โทษตัวเอง มันแปลกอยู่อย่าง ตอนบวชอยู่มันดูดีไปหมด ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าหากว่าสึกไปก่อน เขาก็ไม่โอเคเหมือนกันยุ่งเป็นบ้าเลย ที่ขำๆ ก็เคยถามบางคนนะ ผู้ชายเยอะแยะ ทำไมต้องมาแถววัดด้วยวะ คือเราปากเสียว่าตรงๆ อยู่แล้วใช่ไหม เขาเองก็แน่เหมือนกัน เขาว่าในวัดแหละดีไม่มีเอดส์ ก็บอก เออ....ถ้าวันไหนเจอเอดส์แล้วจะรู้




    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนสิงหาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
    เรื่องของบุพเพสันนิวาส<!-- google_ad_section_end -->
     
  9. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294
    ในความคิดของเรานะค่ะ ไม่ต้องแต่งเลยค่ะ เพราะคนเรานะค่ะ เวลาเกิดมาก็เกิดมาคนเดียว เวลาตายเราก็ต้องไปคนเดียวอีกอยู่ดี จะเห็นว่าทุกๆอย่างยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น ไม่รู้กี่กัลป์ค่ะ
     
  10. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    เหตุแห่งความรัก นี้ เป็นเหตุตาม หลักพุทธศาสนา
    ซึ่งพุทธศาสนา ได้อธิบายว่า ว่าทุกอย่างเกิดจากกฏแห่งกรรม


    เนื้อคู่ตัวอย่างในพุทธประวัติ




    ปิปผลิมานณพ(พระมหากัสสปะ)และพระนางภัททกาปิลาณีย์
    ค่แท้แน่นอน คือ คู่บุญบารมี อยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่มีเรื่องกามมาเกี่ยวข้องในชีวิตคู่เลย
    อย่างนี้ดีกว่า

    เนื้อคู่มี ๒ แบบ คือ
    ๑ เนื่อคู่ที่ล็อคแบบตายตัว คือไม่ว่าเกิดชาติใดลองได้เจอกัน เป็้นต้องมาอยู่ร่วมกันอีก ประเภทนี้ เพราะได้ทำการอธิษฐานร่วมกันว่าจะร่วมบำเพ็ญบารมีคู่กันจนถึงฝั่งพระนิพพาน เลยทีเดียว เช่น เจ้าชายสิทถัตถะ และ พระนางพิมพา หรือ ปิปผลิมานณพ(พระมหากัสสปะ)และพระนางภัททกาปิลาณีย์ ดังนี้เป้นต้น
    ๒ เนื้อคู่ที่ไม่ตายตัว คือ อยู่ที่วิบากกรรม กำลังบุญและบาปว่าเสมอหรือต่ำกว่ากัน เหมาะสมที่จะได้คู่กับใครก็จะได้อยู่ร่วมกับผู้นั้น ถึงแม้จะได้เคยอธิษฐานว่าขอให้ได้เป็นคู่กับใครมาแล้วก็ตาม(อธิษฐานเป็นคู่ เฉยๆไม่ได้อธิฐานเป็นคู่สร้างบารมี)แต่ถ้าบุญไม่เสมอกันก็พลาดกัน อันนี้ไม่ตายตัว
    บุญและบาปจะคอยกำหนดคู่ให้


    ปุถุชนผู้ยังละกิเลสไม่ได้ เกิดมาก็ย่อมต้องมีความรักทั้งหญิงและชาย พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุที่ทำให้หญิงชายรู้สึกรักกันไว้ใน สาเกตชาดก พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ดังนี้

    “ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เหตุไรหนอ เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้พอเห็นกันเข้าก็เฉย ๆ หัวใจก็เฉย บางคนพอเห็นกันเข้า จิตก็เลื่อมใส ”

    “ ความรักนั้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ด้วยการอยู่ร่วมกัน ในกาลก่อน ๑ ด้วยความเกื้อกูลต่อกันในปัจจุบัน ๑ ”

    เหมือนดอกอุบลและชลชาติ เมื่อเกิดในน้ำ ย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุ ๒ประการ คือน้ำและเปือกตม ฉะนั้น ”

    จึงจะเห็นว่าการที่หญิงชายมารักกัน ชอบกัน และอาจได้อยู่ร่วมกันนั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่มีปัจจัยมาจาก ๒ ประการดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุให้รู้ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยที่เกี่ยวเนื่องกับความรัก คู่ครอง เนื้อคู่ ฯลฯ อีกมากมาย



    บุพเพสันนิวาส คือ การได้เคยอยู่ร่วมกันในอดีตชาติ จนส่งผลให้ได้มาเป็นคู่ครองกันในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดว่าเคยอยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยาเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วบุพเพสันนิวาสหมายถึงการที่อาจจะได้อยู่ร่วมกันในฐานะอื่นก็ ได้ เช่น พี่กับน้อง พ่อกับลูก แม่กับลูก เพื่อครูกับศิษย์ นายกับบ่าว เป็นต้น การที่มีบุพเพสันนิวาสร่วมกันนี้เมื่อเกิดมาร่วมกัน ก็มักจะสร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันมา ทำอะไรตามกัน มีความเห็นสอดคล้องกัน ทำให้อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข

    เนื้อคู่ คือ หญิงและชายที่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันมาก่อนในอดีตชาติ

    คู่ครอง คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันในชาติปัจจุบัน

    คู่กรรม คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกันเป็นสามีภรรยา แต่มักไม่มีความสุข

    เนื่องจากการมาอยู่ร่วมกันนั้นเกิดจากวิบากของกรรมที่ทำร่วมกันหรือวิบาก กรรมที่มีต่อกันมาส่งผล เช่น อาจเคยทำบาปร่วมกัน หรือเคยเป็นศัตรูกันมาก่อนเป็นต้น

    คู่บารมี คือ เนื้อคู่ที่ได้ติดตามกันมา ส่งเสริมกันและกันในทางที่ดี ได้ใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยาร่วมกันนับชาติไม่ถ้วน และจะติดตามกันต่อไปจนกว่าจะสามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ มักใช้คำนี้กับพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีกับเนื้อคู่ลำดับ ๑ ที่จะได้เป็นคู่ครองกับในชาติสุดท้าย


    ดังที่พระพุทธองค์ได้แสดงเหตุที่หญิงชายได้รักและได้เป็นสามีภรรยากันนั้นมี ๒ ปัจจัย คือ

    • การได้อยู่ร่วมกันในกาลก่อน

    • การได้เกื้อหนุนกันในชาติปัจจุบัน

    เนื่องจากวัฎสงสารยาวไกลจนหาจุดเริ่มต้นและที่สุดไม่ได้ หญิงชายแต่ละคนจึงมีเนื้อคู่มากมายเป็นแสนคน แต่ละชาติที่เกิดมาก็อาจได้พบเจอเนื้อคู่ได้หลาย ๆ คนพร้อมกัน หรืออาจไม่ได้เจอเนื้อคู่เลยสักคนก็เป็นได้ กรณีที่ไม่เจอเนื้อคู่เลยนั้น หญิงชายนั้นก็อาจมีคู่ได้กับบุคคลใกล้ชิดที่ได้เกื้อหนุนกันในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อได้เป็นคู่กันในปัจจุบันแล้วหญิงชายนั้นก็จะได้เป็นเนื้อคู่กันต่อ ไป


    เพราะเหตุที่แต่ละคนมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าแล้วใครกันเล่าที่สมควรจะได้อยู่เป็นคู่ครองกันมากที่ สุด และจะมีวิธีการเลือกอย่างไร แม้จะมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เมื่ออยู่ร่วมกันแล้วมีความสุขที่สุด เมื่อพบหน้ากันแล้วไม่อาจตัดใจรักให้ขาดจากกันได้ บุคคลนี้คือเนื้อคู่ที่ได้อยู่ร่วมกันมามากที่สุดเป็นแสนเป็นล้านชาติ เป็นเนื้อคู่ลำดับที่ ๑ กฎแห่งกรรมจะจัดสรรการมีคู่ไว้ให้เราเรียบร้อย คือ หากเรามีเนื้อคู่เกิดมาพร้อมกัน ใจเราจะเป็นผู้เลือกเนื้อคู่ลำดับต้นเสมอ เมื่อเลือกแล้วคู่ลำดับอื่นเขาจะหลีกทางและไปหาคู่ของเขาต่อไป แต่กฎแห่งกรรมอีกเช่นกัน ที่บางชาติ กลับทำให้คู่ลำดับต้น ๆ ได้มาพบกันทีหลังหลังจากที่อีกฝ่ายได้เลือกคู่ครองไปแล้วซึ่งแม้จะได้พบกัน ทีหลัง แต่เพราะเป็นคู่ลำดับต้น จิตใจของทั้งคู่ก็จะร้อนรนทนไม่ไหว จึงต้องรักกันอีกครั้งซึ่งความรักครั้งนี้ต้องหัก ต้องบังคับฝืนใจกันอย่างเต็มกำลัง

    กล่าวกันว่าแม้พระภิกษุผู้มั่นคงในศีล เมื่อได้เจอเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ ยังทนไม่ได้ มีจำนวนไม่น้อยต้องสึกหาลาเพศมาอยู่กับเนื้อคู่ของตนจน

    เหตุที่เนื้อคู่ลำดับต้นมาเกิดในชาติภพเดียวกัน แต่กลับไม่สมกันนั้น มีเหตุเดียว คือ กรรมพลัดพรากได้มาส่งผลเป็นวิบากแก่ทั้งคู่อย่างร้ายแรง หากกรรมนั้นใกล้จะหมดผลเขาทั้งสองก็อาจได้เป็นคู่ครองกันในชาตินั้น แต่หากกรรมนั้นยังรุนแรงอยู่ทั้งสองก็ต้องทนทุกข์ทรมานชดใช้กรรมนั้นให้หมด แล้วจึงจะได้มีวาสนาอยู่ร่วมกันในชาติต่อ ๆ ไป




    นอกจากการผิดหวังจากเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ ซึ่งเกิดจากกรรมพลัดพรากแล้ว บางครั้งคนเราก็อาจต้องผิดหวังในความรัก โดยมีเหตุมาจากกรรมทั้งสิ้น คืออยู่กับคู่ครองไม่มีความสุข ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำหรือมีปัญหาให้ทุกข์ใจตลอด เหตุที่เป็นดังนี้ แสดงว่าคู่ครองนั้นไม่ใช่เนื้อคู่ลำดับที่ ๑-๕ เนื่องจากกรรมจากการเป็นคนไม่ดี ไม่มีศีลธรรมส่งผลให้ไม่ได้พบเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองไม่ใช่เนื้อคู่กัน แต่ทั้งคู่เป็นศัตรูคู่อาฆาต ได้เคยผูกใจเจ็บกันมา ชาตินี้จึงต้องมาแก้แค้นกันเอง และแรงอาฆาตได้ผลักดันให้ทั้งสองมาอยู่ร่วมกัน และแก้แค้นกันเองตามแรงอาฆาตนั้น หรือบางคนรักเขาข้างเดียว อกหักบ่อยครั้ง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจด้วยเลย เหตุนี้เกิดขึ้นเนื่องจากอดีตชาติเคยอาฆาตเขาไว้ แต่เขาไม่ได้อาฆาตตอบและไม่ได้ถือโกรธด้วย ชาตินี้จึงต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเขาอยู่เพียงฝ่ายเดียว อย่างนี้ไม่ได้เป็นเนื้อคู่ เป็นเพียงคู่กรรมเท่านั้น



    เมื่อความรักหวานชื่น คู่ครองทั้งหลายย่อมต้องอยากเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันอีก ซึ่งผลกรรมก็ได้จัดสรรการเกิดมาเป็นคู่ครองกันอีกตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่นอกจากการรอให้กรรมเป็นตัวจัดสรรแล้ว เรายังสามารถเลือกที่จะได้พบและอยู่เป็นคู่ครองกับเนื้อคู่ของเราได้ในอนาคต โดยการอธิษฐาน แต่แม้จะมีอธิษฐานร่วมกัน สุดท้ายการได้อยู่ร่วมกันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมอยู่ดี การอธิษฐานนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษคือ ในด้านประโยชน์ ทำให้เนื้อคู่ทั้งสองมีโอกาสกลับมาเป็นคู่ครองกันในชาติต่อ ๆไป ได้ง่าย แต่ในแง่ของโทษ บางครั้งก็ทำให้การใช้ชีวิตไม่เป็นปกติสุข เช่น หากเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้ไม่ได้มาเกิด หรือมาเ กิดแล้วแต่ยังไม่ได้พบกัน ฝ่ายที่รออยู่จะไม่สามารถมีคู่ได้ จิตใจไม่รักใคร หรือแม้จะได้พบเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ แต่ก็มีเหตุให้ไม่สมหวังทุกครั้งไป เนื่องจากแรงอธิษฐานนั้นฉุดรั้งไว้ หรือบางครั้งจิตใจมีสังหรณ์อยู่เสมอว่ารอคอยใครอยู่ ทั้งที่ไม่รู้ว่ารอคอยใคร


    หากแน่ใจว่าเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้คงไม่ได้พบเจอกันแน่แล้ว หรืออยากจะปล่อยวางเพื่อมีโอกาสได้ตัดสินใจกับเนื้อคู่ลำดับอื่น สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงอธิษฐานขออนุญาตเนื้อคู่ว่า ขอละคำอธิษฐานนั้น ขอให้ชีวิตได้พบเนื้อคู่ที่สมกัน และได้ใช้ชีวิตคู่อย่างปกติและมีความสุข


    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

    สุดท้ายคือเรื่องของคู่บารมี เป็นคู่สำคัญ เป็นคู่ที่ยาวนาน เพราะต้องร่วมกันสร้างบารมีขณะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเนื้อคู่ที่จะเคียงข้างกันไป การเป็นพระโพธิสัตว์นั้นต้องการกำลังใจที่เข้มแข็ง มั่นคง และเสียสละความสุขทั้งปวงเพื่อประโยชน์ของสัตว์โลก พระโพธิสัตว์นั้นต้องใช้เวลายาวนานมากในการสร้างบุญบารมีกว่าที่จะสามารถ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึง ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป และอย่างช้าก็เนิ่นนานจนถึง ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปเลยทีเดียว

    คนที่ตั้งใจเป็นคู่บารมีจึงต้องมีความเสียสละและเด็ดเดี่ยวไม่แพ้กัน บุคคลผู้ปรารถนาเป็นคู่บารมีนั้น จะเป็นผู้ที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากที่สุดได้เป็นคู่ครองกันมากที่สุด และเป็นเนื้อคู่ลำดับ ๑ อย่างเที่ยงแท้ การเป็นคู่บารมีนั้นลำบากมากยิ่งนัก เพราะคนเป็นคู่บารมีนั้นจะต้องพบกับสิ่งต่อไปนี้ คือ ต้องเกิดเป็นผู้หญิง ไม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย ต้องช่วยพระโพธิสัตว์ทำงานอย่างเต็มกำลัง ในบางชาติอาจต้องร่วมสร้างบารมีกับพระโพธิสัตว์ เช่น ต้องสละชีวิตร่วมกัน ต้องถูกบริจาคลูก หรือตัวเองเพื่อเสริมบารมีให้พระโพธิสัตว์ เป็นต้น ตราบใดที่พระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คู่บารมีนั้นก็ยังไม่มีโอกาสบรรลุโลกุตรธรรมได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 มีนาคม 2010
  11. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    ตัวกระผม มุ่งสะสมกำลัง เพื่อรอคอย และช่วยเพื่อนร่วมวัฏฏะสงสาร
    ส่วนแฟนผม เธอ ขอลัดตัดเข้านิพพานอย่างเดียว

    หลายครั้ง เธอบอกกับผมว่า มันทุกข์นะ เกิดแล้วเกิดอีก
    แต่ผมก็บอกว่า ยังมีพ่อแม่พี่น้อง คนที่เรารักในอดีตมากมาย ที่รอเราอยู่วัฏฏะสงสารนะ
    ซึ่งเธอก็เข้าใจ

    เธอเคยพูดว่า ถ้าเธอถ่วงเราให้ทำดีไม่สะดวก เธอสามารถหลีกทางได้

    แต่ความจริงแล้ว ตั้งแต่พบกัน ทุกอย่างดีขึ้นทั้งโลกและธรรม
    ( เคยคุยกับครูอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านบอกว่า เพราะแรงแห่งบารมี กรรมดีที่สร้างมาด้วยกัน
    ให้ผลแล้ว หลังจาก ที่ต่างคนต่างใช้กรรมก่อนมาเจอกันชาตินี้ )

    ส่วนเธอนั้น ขอไปนิพพานอย่างช้า ที่สุดคือ ยุคสมัยที่ในหลวงองค์ปัจจุบันท่านสำเร็จพระโพธิญาณ เพราะ เธอรักในหลวงมาก ไปบวชให้ในหลวงประจำ

    เธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ที่เราต้องดูแลช่วยเหลือ ไปจนกว่าจะถึงฝั่ง

    แก่นสาระที่ทำให้เราคู่กัน นั้นคือ ธรรม ซึ่งไม่มีอะไรสั่นคลอนได้แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 มีนาคม 2010
  12. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    ตัวอย่างคู่บารมีในสมัยพุทธกาล ที่เป็นพระสาวก

    พระมหากัสสปะ เป็นบุตรของกปิลพราหมณ์ ตระกูลกัสสปะในบ้านมหาติฏฐะ
    แคว้นมคธ ชื่อเดิมของท่านคือ “ปิปผลิ” แต่คนทั่วไปมักเรียกท่านตามวงศ์ตระกูลว่า
    “กัสสปะ” เมื่อท่านอายุได้ ๒๐ ปี ได้ทำการอาวาหมงคลกับนางภัททกาปิลานี ซึ่งเป็นสาวงาม
    วัย ๑๖ ปี ธิดาของพราหมณ์ตระกูลโกลิยะ ณ เมืองสาคลนคร แคว้นมคธ
    • ปิปผลิมาณพถูกแปลงสาร
      เมื่อปิปผลิมาณพ อายุได้ ๒๐ ปี บิดามารดาได้ปรึกษากันว่าจะหาภรรยาให้แก่บุตรชาย
      จึงได้มอบเงินและทองให้แก่พราหมณ์ ๘ คน เพื่อสืบแสวงหาสาวงานที่มีฐานะเสมอกัน
      พราหมณ์เหล่านั้นเที่ยวสืบแสวงหาไปตามเมืองต่าง ๆ มาจนถึงสาคลนคร ได้พบธิดาของ
      โกลิยพราหมณ์นามว่า “ภัททกาปิลานี” วัย ๑๖ ปี เป็นที่ถูกอกถูกใจยิ่ง จึงสู่ขอกับบิดามารดา
      ของนาง ตกลงแล้วได้มอบสิ่งของเงินและทองหมั้น กำหนดวันอาวาหมงคลแล้วกลับไปแจ้งข่าว
      สารแก่กปิลพราหมณ์
      ปิปผลิมาณพ ได้ทราบข่าวสารนั้นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ เพราะตนไม่มีความปรารถนาจะ
      แต่งงาน จึงหลบเข้าไปในห้อง เขียนจดหมายบรรยายความประสงค์ของตนให้นางทราบว่า
      “ตนไม่ปรารถนาจะแต่งงาน ขอให้นางจงแต่งงานกับชายที่มีชาติตระกูลเสมอกัน และอยู่ครอง
      ชีวิตคู่ด้วยความสุขสำราญเถิด ส่วนข้าพเจ้าจะออกบวช” เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ก็มอบให้คนใช้
      สนิทนำไปส่งให้แก่นางภัททกาปิลานี
      แม้นางภัททกาปิลานีก็มีใจตรงกัน และได้เขียนจดหมายซึ่งมีใจความเหมือนกัน มอบให้
      คนรับใช้นำไปส่งให้แก่ปิปผลิมาณพ บังเอิญคนถือจดหมายทั้งสองฝ่ายมาพบกันระหว่างทาง ทัก
      ทายปราศรัยถามไถ่กิจธุระของกันและกันแล้วนำจดหมายทั้งสองฉบับออกอ่าน ทราบความโดย
      ตลอดแล้วฉีกทำลายทิ้งแล้วเขียนจดหมายขึ้นมาใหม่ บรรยายความรักแก่กันและกันแล้วนำไปส่ง
      ให้แก่เจ้านายของตน การอาวาหมงคลระหว่างคนทั้งสองจึงเกิดขึ้น
    • สภาพชีวิตการครองคู่
      ภายหลังจากแต่งงานกันแล้ว การครองคู่ของคนทั้งสองนั้นไม่เหมือนสามีภรรยาคู่อื่น ๆ
      เพราะสักแต่ว่าอยู่ร่วมห้องกันเท่านั้น ต่างก็ไม่มีจิตคิดจะร่วมสังวาสกัน แม้เวลาจะขึ้นเตียงนอนก็
      ขึ้นกันคนละข้าง มีแจกันดอกไม้ตั้งอยู่ตรงกลางเตียง ตลอดระยะเวลาที่ทั้งสองอยู่ร่วมกันนั้น มิ
      ได้สัมผัสถูกต้องกันเลยจึงไม่มีบุตรหรือธิดาสืบสกุล
      เมื่อบิดามารดาถึงแก่กรรมแล้ว ทรัพย์สมบัติและหน้าที่การงานทุกอย่างจึงเป็นภาระของ
      สองสามีภรรยา และเนื่องจากตระกูลทั้งสองเป็นตระกูลมหาเศรษฐีมีทรัพย์มาก เมื่อรวมสอง
      ตระกูลเข้าเป็นตระกูลเดียวกันแล้วทรัพย์สมบัติก็ยิ่งมากมายมหาศาล มีสัตว์เลี้ยงและคนงาน
      จำนวนมาก สองสามีภรรยาต้องบริหารสั่งการทุกอย่าง
      จนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่ปิปผลิกำลังตรวจดูทาสและกรรมกรทำงานอยู่ในไร่นา ได้
      เห็นนกกาจิกกินสัตว์น้อยมีไส้เดือนเป็นต้น ก็รู้สึกสงสารและสลดใจที่สัตว์เหล่านั้นต้องตาย
      เพราะตนเป็นเหตุ ส่วนนางภัททกาปิลานี ก็ให้คนนำเมล็ดถั่วงาออกมาตากที่ลานหน้าบ้าน เห็น
      หมู่นกกามาจิกกินตัวหนอนและแมลงต่าง ๆ ก็เกิดความสงสารและสลดใจเช่นกัน เมื่อสองสามี
      ภรรยามีโอกาส อยู่กันตามลำพังได้สนทนาถึงเรื่องความในใจของกันและกันแล้ว จากนั้นทั้งสอง
      ก็มีความคิดตรงกันว่า
      “ผู้อยู่ครองเรือน แม้จะไม่ได้ลงมือทำการงานเอง แต่ก็ต้องคอยรับบาปที่ทาสและ
      กรรมกรทำให้” จึงเกิดความเบื่อหน่ายเพศฆราวาสพร้อมใจกันสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ญาติ
      และบริวาร
      ส่วนทั้งสองสามีภรรยาพากันออกบวช จัดหาผ้ากาสาวพัสตร์และบริขารพากันปลงผม
      แล้วครองผ้ากาสาวพัสตร์ อธิฐานเพศบรรพชิตบวชอุทิศต่อพระอรหันต์ในโลกแล้วเดินร่วมทาง
      กันไป พอถึงทางสองแพร่งจึงแยกทางกัน ปิปผลิไปทางขวา ส่วนนางภัททกาปิลานี ไปทางซ้าย
      นางเดินทางไปพบสำนักปริพาชกแล้วได้เข้าไปขอบวชในสำนักนั้น เนื่องด้วยขณะนั้น พระผู้มี
      พระภาคยังมิได้ทรงอนุญาตให้สตรีบวชในพระพุทธศาสนา ต่อเมื่อพระนางปชาบดีโคตรมีได้
      บวชแล้ว นางจึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระเถระ ศึกษาพระกรรมฐาน บำเพ็ญ
      วิปัสสนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล
    • อุปสมบทด้วยวิธีโอวาท ๓ ข้อ
      ปิปผลิ เดินทางไปตามลำดับ ได้พบพระผู้มีพระภาคเสด็จประทับที่ภายใต้ร่มไทร
      ระหว่างกรุงราชคฤห์กับนาลันทา เห็นพุทธจริยาน่าเลื่อมใสแปลกกว่านักบวชอื่น ๆ ที่ตนเคยพบ
      มา ปลงใจเชื่อว่าต้องเป็นพระอรหันต์แน่นอน จึงน้อมกายกราบถวายบังคมแทบพระบาท กราบ
      ทูลขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา
      พระพุทธองค์ ประทานการอุปสมบทด้วยวิธีให้รับโอวาท ๓ ข้อ เรียกว่า
      “โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา” โอวาท ๓ ข้อนั้นคือ
      ๑) กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจักตั้งความละอายและความเกรงใจไว้ในภิกษุทั้งที่
      เป็นพระเถระผู้เฒ่า ผู้มีพรรษาปานกลาง และทั้งผู้บวชใหม่
      ๒) กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจักฟังธรรม บทใดบทหนึ่งอันประกอบด้วยกุศลด้วย
      ความตั้งใจฟังโดยเคารพ และพิจารณาจดจำเนื้อความธรรมบทนั้น
      ๓) กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจะไม่ละสติไปในกาย คือ พิจารณากายเป็นอารมณ์
      โดยสม่ำเสมอ
    • ได้รับยกย่องในทางผู้ทรงธุดงค์
      เมื่อท่านอุปสมบทแล้วทำความเพียรไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตผล หลังจากอุปสมบท
      ได้ ๘ วัน พุทธบริษัททั้งหลายรู้จักท่านในนาม “พระมหากัสสะ” ท่านได้ช่วยรับภารธุระอบรม
      สั่งสอนพระภิกษุและพุทธบริษัทอื่น ๆ จนมีภิกษุเป็นบริวารจำนวนมาก ท่านมีปกติสมาทาน
      ธุดงค์ ๓ ประการ อย่างเคร่งครัด คือ:-
      ๑) ถือการนุ่งห่มบังสุกุลเป็นวัตร
      ๒) ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
      ๓) ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร
      เพราะการปฏิบัติในธุดงค์คุณทั้ง ๓ ประการนี้อย่างเคร่งครัด พระบรมศาสดาจึงทรงยก
      ย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้ทรงธุดงค์
      นอกจากนี้ พระบรมศาสดายังทรงยกย่องท่านในทางอื่น ๆ อีกหลายประการ กล่าวคือ:-
      ครั้งหนึ่ง ท่านติดตามพระพุทธองค์ไปประทับที่ภายใต้ร่มไม้ต้นหนึ่งท่านได้พับผ้า
      สังฆาฏิของท่านเป็น ๔ ชั้นแล้วปูถวายให้พระพุทธองค์ประทับนั่งพระพุทธองค์ตรัสว่า:-
      “กัสสปะ ผ้าสังฆาฏิของเธอนุ่มดี”
      “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์ทรงใช้สอยเถิด พระเจ้าข้า”
      “กัสสปะ แล้วเธอจะใช้อะไรทำสังฆาฏิเล่า ?”
      “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อข้าพระองค์ได้รับจากพระองค์ ก็จะใช้เป็นสังฆาฏิ
      พระเจ้าข้า”
      ครั้นแล้ว พระบรมศาสดาได้ประทานผ้าสังฆาฏิของพระองค์ ซึ่งเก่าคร่ำคร่าให้แก่ท่าน
      แล้วทรงยกย่องท่านอีก ๔ ประการคือ:-
      ๑) กัสสปะ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอด้วยตถาคต เป็นผู้มักน้อยสันโดษภิกษุทั้ง
      หลายควรถือเป็นแบบอย่าง
      ๒) กัสสปะ เมื่อเธอเข้าไปใกล้ตระกูลแล้ว ชักกายและใจออกห่างประพฤติตนเป็นคน
      ใหม่ ไม่คุ้นเคย ไม่คะนองกาย วาจา และใจ ในสกุลเป็นนิตย์ จิตไม่ข้องอยู่ในสกุลนั้น
      ตั้งจิตเป็นกลางว่า “ผู้ใคร่ลาภจงได้ลาภ ผู้ใคร่บุญจงได้บุญ ตนได้ลาภแล้วมีจิตเป็นฉันใด ผู้อื่นก็
      มีใจเป็นฉันนั้น”
      ๓) กัสสปะ มิจิตประกอบด้วยเมตตา กรุณา แสดงธรรมแก่ผู้อื่น
      ๔) ทรงแลกเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิกับท่านไปใช้สอย ทรงสอนภิกษุให้ประพฤติดีปฏิบัติ
      ชอบ โดยยกพระมหากัสสปะขึ้นเป็นตัวอย่าง
      พระเถระขับล่านางเทพธิดา
      ครั้งหนึ่งพระเถระพักอยู่ที่ถ้ำปิปผลิ เข้าฌานสมาบัติอยู่ ๗ วัน ออกจากฌานแล้วเข้าไป
      บิณฑบาต ในบ้านหญิงสาวคนหนึ่งเห็นพระเถระแล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใส ได้นำข้าวตอกใส่บาตร
      พระเถระแล้วตั้งความปรารถนา ขอเข้าถึงส่วนแห่งธรรมที่พระเถระบรรลุแล้ว พระเถระกล่าว
      อนุโมทนาแก่เธอแล้วกลับยังที่พัก
      ฝ่ายนางกุลธิดานั้นมีจิตเอิบอิ่มด้วยทานที่ตนถวาย ขณะเดินกลับบ้านถูกงูพิษกัดตาย และ
      ได้ไปเกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นามว่า “ลาชา” (ลาชา = ข้าวตอก) มีวิมานทอง
      ประดับด้วยขันทองห้อยอยู่รอบ ๆ วิมาน ในขันนั้นเต็มด้วยข้าวตอกทองเช่นกัน นางมองดูสมบัติ
      ทิพย์ที่ตนได้แล้วก็ทราบว่าได้มาเพราะถวายข้าวตอกแก่พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นบุญเพียงเล็กน้อย
      นางต้องการที่จะเพิ่มผลบุญให้มากยิ่งขึ้น จึงลงจากเทวพิภพเข้าไปปัดกวาดเสานาเสานะและ
      บริเวณที่พักของพระเถระ จัดตั้งน้ำใช้น้ำฉันเสร็จแล้วกลับยังวิมานของตน
      พระเถระคิดว่ากิจเหล่านี้คงจะมีพระภิกษุหรือสามเณรมาทำให้ ในวันที่สองที่สาม นาง
      เทพธิดามาทำเหมือนเดิม แม้พระเถระก็คิดเช่นเดิม แต่พระเถระได้ยินเสียงไม้กวาดและเห็นแสง
      สว่างจากช่องกลอนประตูจึงถามว่า “นั่นใคร ?”
      “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเทพธิดาชื่อลาชา เป็นอุปัฏฐายิกาของท่าน”
      พระเถระคิดว่า หญิงผู้เป็นอุปัฏฐากของเราชื่ออย่างนี้ไม่มี จึงเปิดประตูเห็นนางเทพธิดา
      กำลังปัดกวาดอยู่ จึงสอบถามทราบความโดยตลอดตั้งแต่ต้นแล้ว จึงกล่าวห้ามว่า “กิจที่เธอทำ
      แล้วก็ถือว่าแล้วกันไป ต่อแต่นี้เธอจงอย่างมาทำอีก เพราะในอนาคต จะมีพระธรรมกถึกยกเอา
      เหตุนี้เป็นตัวอย่างอ้างแก่พุทธบริษัททั้งหลาย ว่า “พระมหากัสสปะมีนางเทพธิดามาปฏิบัติใช้
      สอย ดังนั้น เธอจงกลับไปเถิด”
      นางเทพธิด้านอ้อนวอนช้ำแล้วช้ำเล่าว่าขอพระคุณเจ้าอย่างทำให้ดิฉันประสบหายนะเลย
      ขอให้ดิฉันได้ครองสมบัติทิพย์นี้ตลอดกาลนานเถิด
      พระเถระเห็นว่านางเทพธิดาดื้อดึงไม่ยอมฟังคำ จึงโบกมือพร้อมกล่าวขับไล่นางออกไป
      นางลาชาเทพธิดาไม่สามารถดำรงอยู่ได้ จงเหาะขึ้นไปบนอากาศยืนประนมมือร้องไห้เสียดายที่
      ไม่มีโอกาสทำทิพยสมบัติของตนให้ถาวรได้
    • พระมหากัสสปะเถระ เป็นประธานปฐมสังคายนา
      ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ยินดีในการอยู่ป่า มักน้อย สันโดษ ประวัติของท่านจึงไม่ค่อย
      โดดเด่นเป็นที่รู้จักกันมากนัก จวบจนสมัยที่พระบรมศาสดาปรินิพพานได้ ๗ วัน ขณะที่ท่าน
      กำลังเดินทางพร้อมด้วยภิกษุบริวารของท่านเพื่อไปเข้าเฝ้าประบรมศาสดา ได้ทราบข่าวจาก
      อาชีวกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ทำให้ภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชนพากันร่ำไห้เสียใจ
      รำพึงรำพันถึงพระบรมศาสดา รำพึงรำพันถึงพระบรมศาสดา แต่มีภิกษุวัยชรานามว่า สุภัททะ
      พูดห้ามปรามภิกษุเหล่านั้นมิให้ร้องไห้โดยกล่าว่า “ท่านทั้งหลาย อย่าร้องไห้เสียใจไปเลย พระ
      พุทธองค์ปรินิพพานเสียได้ก็ดีแล้ว ต่อไปนี้พวกเราพ้นจากอำนาจของพระศาสดาแล้ว จะทำ
      อะไรก็ย่อมได้ ไม่มีใครมาบังคับว่ากล่าวห้ามปรามพวกเราอีกแล้ว”
      พระเถระ ได้ฟังคำของพระสุภัททะแล้วเกิดความสังเวชสลดใจว่า “พระพุทธองค์
      ปรินิพพานได้เพียง ๗ วัน ยังมีผู้กล่าวจ้วงจาบล่วงเกินพระธรรมวินัยถึงเพียงนี้ ต่อไปภายหน้าก็
      คงจะหาผู้เคารพในพระธรรมวินัยได้ยากยิ่ง”
      ด้วยคำพูดของพระสุภัททะเพียงเท่านี้ หลังจากถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว ท่านได้
      ชักชวนพระเถระผู้เป็นพระอรหันต์ ประชุมกันทำปฐมสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัยตั้งไว้
      เป็นหมวดหมู่ เป็นตัวแทนองค์พระบรมศาสดาปกครองหมู่สงฆ์ต่อไป
      สาระสำคัญของปฐมสังคายนา
      ๑) พระมหากัสสปะเถระ เป็นประธาน มีหน้าที่ซักถามเกี่ยวกับพระธรรมวินัย
      ๒) พระอุบาลี เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับขอบัญญัติพระวินัย
      ๓) พระอานนท์ เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับพระสูตร และพระอภิธรรม
      ๔) กระทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา แห่งภูเขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์
      ๕) พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นองค์ศาสนูปถัมภ์
      ๖) กระทำอยู่ ๗ เดือน จึงสำเร็จ
    • ชีวิตในบั้นปลาย
      ในคัมภีร์พระสาวกนิพพานกล่าว่า พระมหากัสสปะเถระ เมื่อทำหน้าที่เป็นประธานใน
      การทำปฐมสังคายนาแล้ว ได้พักอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ดำรงอยู่ถึง ๑๒๐ ปี
      ก่อนที่ท่านจะนิพพาน ๑ วัน ท่านได้ตรวจดูอายุสังขารของท่านแล้วทราบว่าจะอยู่ได้อีกเพียงวัน
      เดียวเท่านั้น ท่านจึงประชุมบรรดาภิกษุผู้เป็นศิษย์ของท่านแล้วให้โอวาทเป็นครั้งสุดท้าย สั่งสอน
      ภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนมิให้เสียใจกับการจากไปของท่าน ให้พยายามทำความเพียรและอย่าประมาท
      แล้วพระเถระก็เข้าไปถวายพระพรลาพระเจ้าอชาตศัตรู จากนั้นท่านได้พาหมู่ภิกษุไปยัง
      ภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพต แสดงอิทธิปาฏิหาริยิ์ และให้โอวาทแก่พุทธบริษัทแล้ว อธิษฐานจิต
      ขอให้ภูเขาทั้ง ๓ ลูกมารวมเป็นลูกเดียวกัน ซึ่งในภูขาทั้ง ๓ ลูกนั้นมีภูเขาเวภารบรรพตสถานที่ทำ
      ปฐมสังคายนารวมอยู่ด้วย แล้วท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ณ ที่นั้น
      ท่านยังอธิษฐาน ขอให้สรีระของท่านยังคงสภาพเดิมไม่สูญสลาย จนกระทั่งพระศาสนา
      พระศรีอริยเมตไตร ซึ่งพระองค์จะพาหมู่ภิกษุสงฆ์มายังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพตแล้ว ยกสรีระ
      ของพระเถระวางบนพระหัตถ์ขวาชูขึ้นประกาศสรรเสริญคุณของพระเถระแล้ว เตโชธาตุก็จะเกิด
      ขึ้นเผาสรีระของท่านบนฝ่าพระหัตถ์ของพระศรีอริยเมตไตรพุทธเจ้านั้น
     
  13. เพียงพบ

    เพียงพบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    932
    ค่าพลัง:
    +1,275
    อนุโมทนาค่ะ
    "เอกายโน อะยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา"
     
  14. ภัทรอังคาร

    ภัทรอังคาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    4,904
    ค่าพลัง:
    +14,098
    อบคุณ คุณ no-one มากนะค่ะ สำหรับเพลงเพราะๆ และกำลังใจที่มากมาย สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดภัทรจะนำไปพิจารณา จริงๆแล้วถามว่าอยู่คนเดียวก็เริ่มชินแล้ว การที่จะมีใึครสักคนเราก็อาจจะรับไม่ได้ เพราะเวลามีใคร อะไรๆในชีวิตมันก็ต้องเปลี่ยนไปมากมาย ติดขัดไม่สะดวกหลายๆอย่าง ภัทรก็คิดไว้เสมอว่าจะตัดความารักให้ได้ แต่ทุกคร้ังพอเราคิด พอเราจะทำมันก็เหมือนมีขารมาคอยขัดขวางไม่ให้เราตัด ต้องมีคนเดินเข้ามาในชีวิตตลอด เดินเข้ามาหลอก แล้วก็จากไป ไม่ได้คิดว่าจะจริงใจกับคำพูดหรือคำมั่นสัญญาอะไรเลย ภัทรร้องไห้ ภัทรเหนื่อยหน่ายกับโลกใบนี้ นึกตัดพ้อเวลาร้องไห้ว่าจะให้เราอยู่ทำไมอีก ทำไมไม่ให้เราตายๆไปซะ ทำไมต้องให้เรามาเจออะไรทีเลวร้ายอยู่ตลอดเวลา ต้องโดนหลอกไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ทั้งๆที่เราไม่อยากมีใคร ไม่อยากจะมีความรักเลย แต่ก็เข้ามาให้เราเพ้อฝันหลงไหลได้ปลื้ม ทำไมคนเราช่างใจร้าย เมื่อเร็วๆนี้ก็พึ่งเจอ เจ็บใจมากด้วยค่ะ คนแถวๆนี้แหละ ภัทรมองว่าไม่น่าทำเรา เราก็อยู่ของเราดีๆ คุณเดินเข้ามาเอง คุณเข้ามาเพื่อที่จะมาสัญญิง สัญญา ให้คนอื่นเขาเทใจให้คุณ แต่ไม่เคยคิดที่จะรักษาสัญญา คำพูดไม่เคยคิดจะทำ ใช่สิ ก็โจร คำว่าสัจจะมันไม่มีในหมู่โจรหรอก เห็นไหมค่ะ ภัทรก็ผหิดหวังอีกแล้วอยู่ดีๆของเราแท้ๆเลย นับจากนี้ไปภัทรก็จะขอสาปส่งความรัก ไม่ขอเอามาเป็นทุกข์แล้ว ร้องไห้ให้กับผู้ชายเลวๆ สู้เก็บน้ำตาไว้ร้องไห้ ให้กับพ่อแม่ พี่น้องเราดีกว่าอีก พอกันทีกับชีวิตที่บัดซบ ทำให้เราเป็นคนเลวไปด้วย ไปเครียดแค้นเขา เนี่ยแหละถึงได้เชื่อว่าคู่เวร คู่กรรมมีจริงเขามาเอาคืนเรา ก็ใช้ๆให้เขาไป มาเพื่อปั่นหัว มาเพื่อให้เราเสียใจ

    ภัทรไม่อยากมาเกิดแล้วค่ะ ภัทรเบื่อโลกเน่าๆ เบื่อเจอคนที่จิตใจต่ำ เบื่อความทุึกข์ เบื่อที่ตัวเองเป็นคนไม่ดี เบื่อร่างกายสังขารนี้ที่สุด ขอเถอะขอถึงซึ่งพระนิพพานโดยเร็ว หากยังไม่ถึงพระนิพพานชาตินี้ และต้องเกิดมาอีกชาติหน้าก็ขออย่าให้มีจิตใจใฝ่หาความรัก ขอให้เห็นหน้าชายใดก็เกลียดหน้าให้หมด รักไม่เป็นจะได้ไม่ต้องเจ็บ :'( ไม่ต้องทุกข์ เกิดมาไม่มีไรดีเลย มีแต่ทุกข์ล้วนๆ สุขนั้นมีน้อยนิดเท่าหางอึ่ง อยากจะตายก่อนวัยอันควรก็ตายไม่ได้ ให้นั่งอมทุกข์อยู่อย่างงี้ไม่เลิกเสียที คลื่นลมมากระทบทุกที เมื่อไหร่ จะ นิ่ง สงบ เย็น หมดความรู้สึกทุกอย่าง กิเลส ตัณหา ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ ให้ตายไปพร้อมตัวเรา มีคนเคยบอกว่าภัทรเคยฆ่าตัวตาย เลยต้องชดใช้กรรมที่ฆ่าตัวตายอยู่หลายชาติ แต่หลุดพ้นในชาตินี้แล้ว กรรมจากการฆ่าตัวตายจบลงในชาตินี้ แต่ยังเหลือเชื้ออยู่ เวลาไม่สบายใจ ทุกข์ขึ้นมา ก็คิดอยากแต่จะตายอย่างเดียว อันนี้เรื่องจริง คิดจะไปโดดแม่น้ำโขงตาย ลงไปอยู่เมืองบาดาล เพราะผูกพันธ์กับที่นั่นเชื้อความอยากฆ่าตัวตายยังไม่หมดหรอก แต่ถ้าทำแบบนั้นอีก ก็ไม่รู้ต้องกลับมาใช้กรรมอีกกี่ภพกี่ชาติ ก็วนอยู่ในวัฎฎะนี้อีกตราบเท่านั้นแสนนาน ทุกวันนี้ถึงเจ็บยังไงก็ยังข่มใจไม่ให้ปลิดชีวิตตัวเอง แล้วที่อยากตายไม่ใช่ท้อแท้ หรืออ่อนแอ หรือหนี่ความทุกข์ไม่ใช่เลย ที่อยากจะตายเพราะอยากหลุดพ้นจากโลกนี้คิดว่าตายแล้วจะได้เข้านิพพานไม่ต้องมาเกิดอีก คิดโง่ๆ เพราะยังไม่รู้เลยว่าจะไปนิพพานหรือไปนรกขุมไหน :'( ความรักมันเป็นยาทิพย์ชะโลมใจ รองมีความรักสิไม่อยากตายหรอก แต่อีกทางมันก็เป็นยาพิษ เป็นเหมือนน้ำกรดที่สาดหัวใจเราให้เป็นแผลเหวะหวะแล้วทำให้เราอยากตายๆให้รู้แล้วรู้รอด ตายเมื่อไหร่ก็จะไม่ขอรู้จักกับมันอีกเลยไอ้ความรัก ที่มีแต่เฮง แล้วก็ ซวยเนี่ย :'(
     
  15. ภัทรอังคาร

    ภัทรอังคาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    4,904
    ค่าพลัง:
    +14,098
    ขอบพระคุณ คุณโอม และ คุณ Vatairat สำหรับบทความดีๆที่คุณนำมาฝากค่ะ มีประโยชน์สูงสุด จะอ่านบอ่ยๆเพื่อนำไปพิจารณาและปฎิบัติตามค่ะ ขอให้ท่านทั้งสองมีความรักที่หมดงาม มีคู่ที่ดี ที่อยู่กันยืนยาวถาวรค่ะ
     
  16. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,172
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    รายละเอียด ดังแจกแจงไว้ข้างบน ตามโพส 73

    คู่ ที่ท่านปรารถนา พึงสำรวจว่า ใจท่านแล้ว ปรารถนาแบบใด


    คู่ครอง เนื้อคู่ คู่กรรม คู่บารมี

    จะพบ หรือ ไม่ , พบแล้วสมหวังหรือไม่ , สมหวังในการได้มาแล้ว

    ที่เหลือ ก็เป็นผลจากการตัดสินใจ่ของแต่ละท่านแล้วว่า...

    คู่แบบใด ผลแบบใด


    ขอให้ทุกท่านสมหวังในสิ่งที่หวัง มีทุกข์น้อย พบทางไปที่ดีของชีวิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 มีนาคม 2010
  17. kamen rider den-o

    kamen rider den-o Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +86
    ผมเกิดมาไม่เคยมีแฟนเลยสักคนเลยคับ อยากเจอใครสักคนที่ใช่จังเลยคับ

    ขออนุโมทนาคับ
     
  18. ภัทรอังคาร

    ภัทรอังคาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    4,904
    ค่าพลัง:
    +14,098
    เป็นที่น่าเหลือเชื่อ แต่ก็ถือว่ามีบุญนะค่ะ ไม่มีแฟน ไม่มีรัก ก็ไม่มีทุกข์ ถ้าอยากรู้จักทุกข์ก็รองมีแฟน หรือมีความรักดูจะรู้ค่ะ ว่าทุกข์เป็นเช่นไร ต่้อให้เราเจอแฟนที่ดีที่ใช่แต่ทุกข์มันก็มาอยู่ดี เช่น หากเรารักเขามากเขาเป็นคนดี เขาเจ็บไข้ได้ป่วย มา หรือจากเราไปแบบกระทันหัน เราก็ทุกข์ เขาเป็นคนดีรักเราจริง แต่พ่อแม่เขาเกลียดเราๆ ก็ทุกข์ฺ คือทุกข์ที่มากับแฟนและความรัก มันมีหลายเหตุหลายปัจจัย รักกันจริงแต่เถียงกันเรื่องความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิต เรื่องครอบครัวของทั้งสองฝ่าย มันก็ทุกข์ ถนนแห่งความรัก ไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ แต่จะเป็นหนามกุหลาบซะมากกว่า แต่หลายๆคนก็อยากที่จะเดินมัน สักวันก็จะเจอค่ะ คนที่เราคิดว่าใช่ แต่ถ้าใช่แล้วก็ไม่แน่ว่าจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป ดังนั้นเผื่อใจไว้บ้างนะค่ะ แต่ก็ขอให้เจอคู่ดีๆ เจอความรักที่แท้จริง อย่างน้อยชีวิตก็จะดูมีสีสันเพราะเวลามีความรักโลกทั้งโลกก็จะเ้ป็นสีชมพู นั่งอมยิ้มได้ทั้งวัน
     
  19. MAGNETICS

    MAGNETICS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +995
    หลงทางเข้ามาอ่าน.. แต่อ่านแล้ว รู้สึกอยากอ่านอีก เลยอ่านยาวมาถึงหน้า 5 ...

    อนุโมทนา ตัวหนังสือของทุกท่านค่ะ...



    ^_^
     
  20. leia17

    leia17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +1,368
    ตามมาอ่านเรื่องเจ้าแม่ของคุณโอม ^^

    เป็นกำลังใจให้กับทุกท่านนะคะ ถ้าไม่เจอคนที่อยู่ด้วยแล้ว happy

    บางทีอยู่คนเดียวอาจจะทุกข์น้อยกว่าอีกนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...