บันทึกปรากฏการณ์พิเศษตลอดการปฎิบัติธรรมมา๔๐ปี !!

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ปาริสัชชา, 14 มิถุนายน 2012.

  1. ปาริสัชชา

    ปาริสัชชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2004
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +2,693
    พบหลวงปู่โมคคัลลานะ และหลวงปู่สารีบุตร แสดงธรรมโปรด

    ๒๒ ต.ค. ๕๓ : เวลา ๑๐.๐๐น. วันนี้เจริญกรรมฐานเป็นรอบที่สอง ขณะสวดมนต์ก็ปรากฎภาพหลวงปู่ปานตั้งอยู่ในจิตไปพร้อมๆกันกับคำสวด ต่อมาเมื่อถึงบทชินบัญชรก็ปรากฎภาพหลวงปู่โต(พรหมรังสี) ขึ้นข้างๆหลวงปู่ปาน

    ข้าพเจ้าจึงทรงภาพทั้งสองนี้ไว้จนกระทั่งสวดจบ ต่อมาเมื่อสมาทานพระกรรมฐาน(ตามแบบวัดท่าซุง)แล้วก็ภาวนาคาถา "สัมปจิตฉามิ" ไปเรื่อยๆ (คาถานี้ใช้ดีมาก ทำให้จิตเบาเร็ว)

    ต่อมาก็ปรากฎภาพหลวงปู่โมคคัลลานะลอยลงมาจากอากาศในลักษณะยืน ข้าพเจ้าจึงใช้กำลังใจกราบท่านที่เท้า ท่านมีลักษณะรูปร่างคล้ายหลวงปู่โลกอุดร หรือหลวงปู่มหากัสสปะเถระมาก(จากที่เคยเห็นภาพถ่าย ยังไม่เคยเห็นองค์จริง)

    คือ สูงโปร่งแบบคนโบราณ แต่มีเนื้อเต็มกว่าหลวงปู่โลกอุดร ผิวท่านขาวแดง ไม่หนุ่มไม่แก่ ใบหน้าท่านงามน่าเลื่อมใสมาก

    ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นบุญตาอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานขอพบหลวงปู่สารีบุตร ก็ปรากฎว่าหลวงปู่สารีบุตรท่านก็ลอยลงมาจากอากาศในลักษณะเดียวกัน

    หลวงปู่สารีบุตรท่านยืนข้างๆหลวงปู่โมคคัลลานะ (หลวงปู่สารีบุตรยืนทางขวามือของข้าพเจ้า ส่วนหลวงปู่โมคคัลลานะอยู่ทางซ้ายมือ)<---(ท่านยืนกลับกันหรือเปล่า?_จากผู้เขียน)

    ผิวของหลวงปู่สารีบุตรออกขาวเหลือง รูปร่างทั้งสองท่านใกล้เคียงกันมาก ใบหน้าก็คล้ายๆกัน (แต่ในจิตรู้สึกว่า หลวงปู่โมคคัลลานะจะสูงกว่าเล็กน้อย)

    ข้าพเจ้าก้มกราบที่บาททั้งสองท่านด้วยจิตเลื่อมใส และถือโอกาสขอพระกรรมฐานโดยย่อเพื่อเข้าพระนิพพาน...ท่านจึงแสดงธรรมโปรดดังนี้

    ๑. รักษาศีลให้บริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา ใจ
    ๒. เจริญจิตแบบเมตตาภาวนาแผ่ขยายออกไป เพื่อให้จิตมีความอ่อนโยน และเมื่อจิตทรงตัวในศีลและพรหมวิหารดีแล้ว ให้เจริญต่อในข้อ ๓
    ๓. พิจารณาปฎิกูลในร่างกายอันมี กระดูก(ธาตุดิน), เลือด-น้ำเหลือง(ธาตุน้ำ) ให้เห็นถึงความสกปรก

    เมื่อเห็นความสกปรกจนจิตรู้สึกรังเกียจ ก็อย่าหยุดแค่นั้น ให้เห็นต่อไปว่า ขันธุ์ห้าของทุกๆคนเป็นของสกปรกอย่างนี้เอง จะรังเกียจไปก็เท่านั้น พึงพิจารณาให้เห็นว่าเป็นธรรมดา และมีความเกิดขึ้น-ดำรงอยู่และดับไป เป็นธรรมดา

    เป็นของว่างอย่างนี้เอง จิตก็จะสงบลงจากความโลภ-โกรธ-หลง แบบเข้าใจด้วยมหาสติอันนี้ คล้ายดูหนังดูละครที่สุดก็จบลง จิตก็จะพ้นจากเครื่องห่อหุ้มทั้งหลายกลายเป็น"จิตปภัสสร"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2012
  2. ปาริสัชชา

    ปาริสัชชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2004
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +2,693
    ชานหมากหลวงปู่ทิม วัดพระขาวแปรเป็นพระธาตุแล้วเคลื่อนให้เห็นต่อหน้า!!

    วันนี้ขออนุญาตเล่าแถมอีกสักเรื่องสองเรื่องนะครับ เพื่อเทิดทูลพระคุณครูบาอาจารย์

    เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่ทิม วัดพระขาว จ.พระนครศรีอยุธยาครับ ซึ่งเป็นพระองค์แรกที่หลวงปู่ปานท่านแนะนำให้ผมไปกราบ และฝากตัวเป็นศิษย์ท่านเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๑ ซึ่งทันท่านอยู่ ๑๑ เดือนก่อนท่านก็ละสังขาร

    เวลานี้สรีระสังขารของท่าน(ไม่เปลี่ยนแปลง)ถูกประดิษฐานไว้ในโลงแก้ว ณ มณฑปลายรดน้ำ ที่ท่านสร้างไว้เป็นสิ่งสุดท้าย และท่านเคยพูดเปรยๆไว้นานแล้วว่า "ท่านจะอยู่ถึงอายุ ๙๖ปี" แล้วท่านก็อยู่แค่นี้จริงๆ (เคยเป็นข่าวดังในหนังสือพิมพ์ ท่านใดประสงค์จะไปกราบสรีระท่านก็ขอเรียนเชิญนะครับ)

    หลวงปู่ทิม ท่านเป็นพระทองคำแล้ว (ตามนิมิตที่หลวงปู่ปานท่านบอก) และท่านก็มีครูบาอาจารย์คล้ายๆกันกับ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งผมเคยแอบถามหลวงปู่ท่านว่า "รู้จักหลวงพ่อมหาวีระมั้ยครับ" ท่านก็ตอบว่า "อ้อ! หลวงพ่อฤาษีลิงดำหน่ะเหรอ...ฉันรู้จัก...เคยเรียนนักธรรมมาด้วยกัน" ท่านนิ่งไปนิดนึงก่อนจะพูดต่อไปว่า "หลวงพ่อฤาษีก็เคยมาที่นี่"

    หลวงปู่ทิม ท่านมีเจโตปริยญาณไวมากเช่นกัน คิดอะไรท่านก็ทราบหมด ซึ่งหลายๆครั้งที่ผมประสบบ่อยๆ ผมมักจะขออยู่รั้งท้ายเพื่อขอฟังธรรมจากท่าน และท่านก็สอนไปตามระดับจิตผู้ฟัง จนกว่าจะนำไปปฎิบัติถึงตรงที่ท่านเคยสอนไว้แล้ว ท่านถึงจะสอนขยับให้สูงขึ้น(โดยที่ไม่ต้องมานั่งสอบอารมณ์เลย) ส่วนคำสอนของท่านก็คล้ายหลวงพ่อฤาษีมากครับ

    ซึ่งตรงนี้ผมขอเดาเอาเองว่า หลวงปู่ทิม ท่านอาจเป็นพระคณาธิการที่มีทิพยจักษุญาณรูปนั้นที่หลวงพ่อฤาษีเคยกล่าวถึง (ท่านใดเคยอ่านเรื่องนี้คงพอทราบนะครับ)<--ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะครับ_ผู้เขียน

    มาเข้าเรื่องเลยนะครับว่า ปรกติญาติโยมไปกราบหลวงปู่ทิม ท่านก็จะมอบชานหมาก(ที่คายจากปากแล้วนำมาปั้นกลมๆ)ให้กับทุกๆคนด้วยความเมตตา พร้อมจะกำชับว่า "เลี่ยมติดตัวเอาไว้ มีอะไรให้นึกถึงฉัน แล้วฉันจะไปช่วย"

    ซึ่งผมก็ได้รับชานหมากจากมือท่านมาด้วยเช่นกัน และก็ได้ทุกๆครั้งที่ไปกราบท่าน สิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นเมื่อค่ำวันหนึ่ง ผมหยิบชานหมากของท่านซึ่งใส่รวมกันหลายองค์ในถุงซิปออกมาดู

    ก็ปรากฏว่า ลักษณะชานหมากที่เป็นลูกกลมๆนั้นป่นลงไปคล้ายๆเมล็ดทราย แต่โตกว่า และที่แปลกก็คือ ผงชานหมากเหล่านั้นจับตัวรวมกันกลายเป็นผลึกใสแจ๋วแวววาว บางส่วนก็เป็นสีน้ำตาลแต่มีความมัน

    และที่อัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้นคือ ขณะผมกำลังพิจารณาอยู่นั้น พระธาตุชานหมากที่เป็นองค์ใสก็ได้ขยับตัวแยกออกมารวมกันไปทางหนึ่ง ส่วนพระธาตุสีน้ำตาลก็แยกออกไปรวมตัวกันอีกทางหนึ่ง ส่วนที่ยังเป็นผงชานหมากก็ขยับไปรวมกัน

    รวมความว่า นอกจากชานหมากของหลวงปู่ทิมท่านจะแปรสภาพเป็นพระธาตุให้เห็นแล้ว ยังเคลื่อนตัวแยกไปรวมกันต่อหน้าต่อตาผมให้หายสงสัย คลายสันดานขี้สงสัยของผมได้อย่างอัศจรรย์จริงๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2012
  3. ปาริสัชชา

    ปาริสัชชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2004
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +2,693
    เรื่องที่ ๑๙... น้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้...ด้วยจิต

    วันนี้ผมขอเล่าต่อไปเลยนะครับ เรื่องนี้มันคล้ายๆจะเป็นลักษณะอิทธิวิธี แต่ผมยังไม่ใช่ผู้สำเร็จกสิน๑๐นะครับ คือมันคงเป็นระดับสมาธิจิตที่วางกำลังใจพอดี ซึ่งเรื่องลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นในเวลาคับขันอยู่บ้างเหมือนกันครับ ซึ่งผมขอรวมไว้ในเรื่องนี้เลยนะครับ เรื่องมีอยู่ว่า...

    ราวๆเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๙ ซึ่งยังเป็นฤดูร้อน ผมจำเป็นต้องไปทำธุระที่จ.สมุทรสงคราม และก็ต้องแวะพักบังกะโลระหว่างทาง

    โดยปรกติผมก็จะทรงอารมณ์กรรมฐานไว้เสมอ โดยเฉพาะอานาปานสติ กับกสินภาพพระ หรือบางทีก็เป็นกสินแสงสว่าง

    ระหว่างที่จะหลับก็เจริญกรรมฐานไปจนรู้สึกสงบสบาย พอถอนอารมณ์ออกมาก็รักษาอาการสบายนี้ไว้และหลับไปด้วยอาการใจสบาย

    ผ่านกลางคืนไปจนรุ่งเช้าพอตื่นขึ้นมาผมก็จับอารมณ์สบายแบบเดิม ลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นจะดื่มน้ำเพราะอากาศค่อนข้างร้อน

    ก็ปรากฎว่าตู้เย็นไม่ค่อยเย็น ผมก็หยิบขวดน้ำออกมาขณะจะเทใส่แก้ว จิตรู้สึกว่าถ้ามีน้ำแข็งก็จะดี จากนั้นผมก็เทน้ำลงแก้ว

    ผลปรากฏว่า น้ำมีลักษณะหมุนตัวตามเข็มนาฬิกาแล้วกลายเป็นน้ำแข็งจากด้านบนแล้วลงไปข้างล่างพรึบเดียว รวดเร็วมาก

    จิตขณะนั้นมีอาการปรกติมาก มันเป็นจิตที่จะว่าไม่สนใจก็ไม่ใช่ หรือจะว่าตั้งใจมากให้เป็นน้ำแข็งก็ไม่ใช่ มันเป็นจุดพอดี และเมื่อเป็นน้ำแข็งแล้วใจก็ยังคงปรกติ

    คล้ายๆกับเราลุกขึ้นเดิน เราก็ลุกขึ้นเดินได้โดยไม่ต้องตั้งใจมาสั่งขาว่าให้ลุกขึ้นแล้วเดิน มันเป็นธรรมชาติ ที่ไม่ลังเลสงสัย

    เคล็ดสำคัญที่ผมสังเกตุดูก็คือ การทำจิตให้สงบด้วยกรรมฐานกองใดกองหนึ่งไว้จนชิน และในความสงบนั้น มันมีความเบาสบาย มีปิติน้อยๆที่คล้ายๆเป็นกำลังอัดเอาไว้ในอกอีกที

    อ้อ! ธาตุขันธุ์ก็มีส่วนนะครับ ขณะอิ่มไปหรือข้องติดกับวัตถุโลกหรือเรื่องราวทางโลกมากนัก ก็ทำไม่ค่อยได้ คือมันสบายแต่ไม่เบาครับ

    ---------------------

    มีอีกหลายๆครั้งที่เกิดขึ้นด้วยอาการของจิตแบบเดียวกันนี้เช่น การเปิดล๊อคประตู , การใช้มือเปล่าหมุนคลายน๊อตล้อรถยนต์(ต้องทำเพราะฉุกเฉิน), การยกลังที่หนักประมาณ๔คนยก แต่สามารถยกขึ้นด้วยแค่สองมือ ฯลฯ

    และที่คล้ายๆ แต่ไม่เหมือนซะทีเดียวก็คือ การอธิษฐานยกพระพุทธรูปให้หนักหรือเบา ตรงนี้ผมเข้าใจว่าเป็นพระพุทธานุภาพมาช่วยด้วยมากกว่า ซึ่งการยกพระพุทธรูปให้หนักหรือเบานี้ จะทำกี่ครั้งก็ได้ แต่ขอให้เป็น

    พระพุทธรูปที่มีขนาดหน้าตักสัก ๙นิ้ว หรือถ้าจะเป็นองค์ที่มีขนาดหน้าตักเล็กกว่านี้ก็ขอให้พอมีน้ำหนักสักหน่อย ราวๆสัก๕กิโลกรัมขึ้นไป (ผมเห็นบางท่านที่มีสมาธิจิตดี ท่านสามารถยกพระพุทธรูปขนาดเล็กๆน้ำหนักเบาๆเลยก็ได้)

    การอธิษฐานยกพระพุทธรูปให้หนักหรือเบานี้ ขณะที่ยกเบาก็เบามาก ขณะที่ขอให้หนักก็จะหนักเสมือนถูกตรึงไว้กับพื้นไม่ขยับเขยื้อนเลยทีเดียวครับ


    ผมเชื่อว่า มีหลายๆท่านในที่นี้คงทำได้เป็นปรกติอยู่แล้ว หรือหากบางท่านยังไม่เคยทำและอยากจะลอง ผมก็เชื่อว่า ไม่ใช่ของยากนะครับ หากวางกำลังจิตให้พอดีจะทำได้ไม่ยากครับ
     
  4. ศุภกร_ไชยนา

    ศุภกร_ไชยนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    627
    ค่าพลัง:
    +1,122
    มารอฟังนะครับ เป็นกำลังใจปฏิบัติอย่างแท้จริง ผู้รู้ ก็รู้ได้ เฉพาะตน
     
  5. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    เป็นธรรมทาน และเป็นกำลังอย่างดีเยี่ยมสำหรับบางคนที่กำลังปฏิบัติเลยครับพี่


    ยังไงก็อย่าลืมนะครับ แวะมาทางนี้ ก็ ส่งข่าวกันบ้างนะครับ

    โมทนาสาธุในธรรมทานครับผม
     
  6. ป้าเล็ก

    ป้าเล็ก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +2,447
    เข้ามารออ่านด้วยคนค่ะ เก็บสะสมความรู้และวิธีปฎิบัติจิตเอาไว้สอนตัวเองต่อ เพื่อใช้ประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรมเพื่อการเตรียมตัวรับเรื่องต่างๆที่จะเกิดขึ้น
    อนุโมทนาในธรรมทานค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  7. rapeepat

    rapeepat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +138
    ขอบคุณทุกประสบการณ์..ที่ทำให้ผมมีกำลังใจในปฏิบัติ..ธรรม และ สมาธิ ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องอยาก สำหรับผม แต่ก็จะพยามครับ

    เปลี่ยนจิต..เปลี่ยนใจ..ยึดมั่น ในธรรม และ สมาธิ
     
  8. อำไพพันธุ์

    อำไพพันธุ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +905
    โมทนา พี่ปาริสัชชา ด้วยครับ

    นึกถึง หลวงพ่อเลยครับ ป่วยแต่ก็ยอมสละตนเพื่อ พระพุทธศาสนา

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2012
  9. ปาริสัชชา

    ปาริสัชชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2004
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +2,693
    ผมขอขอบคุณ คุณ Apinya17, คุณ ศุภกร_ไชยนา, คุณ โมกขทรัพย์, คุณ ป้าเล็ก, คุณ rapeepat, คุณ อำไพพันธุ์ และโมทนากับทุกๆท่านที่ได้เข้ามาอ่านเช่นกันนะครับ

    ถือว่าทุกๆท่านช่วยกันสืบพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่จนครบห้าพันปีกันนะครับ

    ------------------------

    วันนี้ผมขอเข้ามาเล่าต่อ คือเป็นเรื่องแนวคล้ายๆอิทธิวิธีต่อไปเลยนะครับ

    ผมขอเล่าเรื่องที่ ๑๘... ดับไฟที่ลุกไหม้หญ้าแห้งกว้าง๓-๔วาข้างทางเดินจงกรม...ด้วยน้ำเพียงถังเดียว(ที่แตกแล้ว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2012
  10. ปาริสัชชา

    ปาริสัชชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2004
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +2,693
    เรื่องที่ ๑๘... ดับไฟที่ลุกไหม้หญ้าแห้งกว้าง๓-๔วาข้างทางเดินจงกรม...ด้วยน้ำถังเดียว

    เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นช่วงหลังจากออกพรรษาไปแล้วราวๆปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ณ วัดถ้ำประทุน ต.เขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นสายพระป่า

    ผมไปเจริญกรรมฐานอยู่บริเวณกุฎิพระสงฆ์ ซึ่งกุฎิแต่ละหลังจะแยกห่างกันไปตามมุมป่ามุมเขา และมองไม่เห็นกัน

    ทางขึ้นไปยังทางจงกรมของผมนั้นค่อนข้างยาก เพราะต้องเดินขึ้นไปยังเนินสูง และมีหินแหลมๆคมๆ หากไม่ระวังจริงๆก็จะถูกหินบาดได้

    คืนนั้นผมเจริญกรรมฐานตามแบบของวัดป่า คือเดินจงกรม ซึ่งวันนั้นทางเดินจงกรมจะมีเทียนพรรษาเล่มเตี้ยๆ คงเพราะถูกจุดมาตลอดพรรษาแล้ว

    เทียนเล่มนี้ปักอยู่บริเวณริมขอบข้างทางจงกรมตรงช่วงกลางๆทาง และมีต้นหญ้าแห้งขนาบอยู่ใกล้ๆ ซึ่งผมก็จุดเทียนเล่มนั้นเพื่อเป็นแสงสว่าง

    แล้วก็เดินไปเดินมาสำรวมสติตามแบบพระป่า เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่ทราบ ความรู้สึกว่าเทียนเริ่มเตี้ยลงไปเรื่อยๆ น้ำเทียนไหลแยกออกไปปรกคลุมหญ้าแห้ง

    ยาวแยกเป็นสองทาง ขณะนั้นอากาศที่แห้งและหนาวเริ่มมีลมพัดแรงขึ้นเร่งให้เทียนพรรษาเล่มนี้มอดลงเร็วกว่าเดิม ทันใดนั้นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คือไฟลุกไหม้หญ้าแห้ง

    ขึ้นอย่างรวดเร็วและขยายวงกว้างขึ้นไปตามแนวของน้ำตาเทียน
    ทันใดนั้นผมรีบออกจากทางเดินจงกรม เหลือบไปเห็นถังสีเหลืองใบหนึ่ง(คล้ายที่คนชอบนำมาถวายสังฆทาน)

    วางไว้ในกองขยะใกล้ๆ ผมก็วิ่งไปหยิบถังใบนั้นแล้วก็ตรงไปยังห้องน้ำเพื่อตักน้ำมาดับไฟ ซึ่งจิตขณะนั้นยังคงทรงอารมณ์กรรมฐานอยู่ ผมจ้วงถังลงไปในอ่างน้ำ ๑ ครั้ง

    ก็คล้ายๆว่าจะได้น้ำมาค่อนถัง แล้วผมก็วิ่งขึ้นเนินเขากลับไปโดยผ่านหินแหลมๆคมๆไปได้อย่างไรก็ไม่ทราบ พอไปถึงที่บริเวณไฟไหม้ซึ่งขณะนั้นแผ่วงกว้างออกไปมากแล้ว

    (ซึ่งน้ำค่อนถังเล็กๆยังไงๆก็ไม่พอแน่) จิตอัตโนมัติของผมมันรู้สึกว่า "ต้องดับให้ได้" แล้วผมก็เทลงไปที่ตรงกลางเทียน สิ่งที่ปรากฏก็คือ ไฟดับลงทั้งหมด โดยดับจากจุดที่ผมเท

    (คือตรงกลาง)แล้วดับไล่ไปสองข้างพรึบเดียวอย่างน่าอัศจรรย์ เหลือแต่ตอหญ้าดำๆมีควันลอยขึ้นมา


    ตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกใจหายแว่บๆขึ้นมาว่า "นี่เราเกือบเผาวัดซะแล้วหรือนี่?" ผมขอบคุณถังน้ำใบนั้น ขอบคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่น แล้วก็วางถังลง ค่อยๆคลำทางมืดๆกลับกุฎิ

    ไปเจริญภาวนาต่อในกุฎิและระลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัยในครั้งนี้ จนรุ่งเช้าฟ้าสาง ผมก็ออกไปดูที่เกิดเหตุอีกรอบหนึ่ง หยิบถังน้ำผู้มีคุณใบนี้ขึ้นมาดู ก็พลันต้องเกิดอัศจรรย์

    อีกครั้ง เพราะถังใบนี้ก้นแตกทะลุเกินครึ่ง ซึ่งไม่มีทางที่จะเก็บน้ำไว้ได้เลย หรือหากพอเก็บได้บ้าง ระยะทางที่ห่างระหว่างห้องน้ำกับทางจงกรม ก็ไม่มีทางที่น้ำจะเหลือในถังได้อย่างแน่นอนครับ

    เหตุการณ์ครั้งนี้คงเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพระคุณของพระรัตนตรัยที่มาช่วยอย่างแน่นอนครับ
     
  11. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    อัศจรรย์ใจเหลือครับ...! น้ำก็ไม่มี แต่ไฟดับได้ ผมว่าส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากอารมณ์ที่พี่ทรงฌานอยู่ด้วย บวกกับแรงอธิฐานจิตที่ บอกว่า "ต้องดับให้ได้" นี่กระมังครับ จึงเกิดปฏิหาริย์ขึ้น นี่ล่ะครับ เรื่องอจินไตย


    รอชมเรื่องต่อไปครับพี่

    โมทนาสาธุกับธรรมทานเป็นอย่างสูงครับ
     
  12. nichaojung

    nichaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    392
    ค่าพลัง:
    +8,247
    :cool::cool: สุดยอดครับ ขอบคุณมากสำหรับประสบการณ์ดีๆครับ เอาอีกๆ อิอิ
     
  13. ป้าเล็ก

    ป้าเล็ก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +2,447
    (ซึ่งน้ำค่อนถังเล็กๆยังไงๆก็ไม่พอแน่) จิตอัตโนมัติของผมมันรู้สึกว่า "ต้องดับให้ได้" แล้วผมก็เทลงไปที่ตรงกลางเทียน สิ่งที่ปรากฏก็คือ ไฟดับลงทั้งหมด โดยดับจากจุดที่ผมเท

    (คือตรงกลาง)แล้วดับไล่ไปสองข้างพรึบเดียวอย่างน่าอัศจรรย์ เหลือแต่ตอหญ้าดำๆมีควันลอยขึ้นมา

    อ่านแล้วได้ข้อธรรมว่า ดับที่เหตุ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  14. ปาริสัชชา

    ปาริสัชชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2004
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +2,693
    โมทนากับ คุณป้าเล็ก ครับ....เป็นข้อธรรมว่า"ดับที่เหตุ" จริงๆด้วยครับ...สาธุ สาธุ สาธุ
    --------------------------

    วันนี้จะเข้ามาเขียนต่อเรื่องที่ ๑๔ และ ๑๕ ก็รู้สึกเวียนๆศีรษะ หลังจากเขียนตอบPMไป วันนี้ผมจึงขอผลัดไปอีกนิดนะครับ

    แล้วหลังจากนั้น ผมจะขอเขียนเรื่องที่ ๑ ถึงเรื่องที่ ๕ ซึ่งเกี่ยวกับแม่ผม รวดเดียวเลยนะครับ
     
  15. ส้มจุก

    ส้มจุก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +1,054
    ขออนุโมทนากับธรรมทานที่คุณปาริสัชชาได้ตั้งใจไว้ทุกประการค่ะ
    ขอผลบุญกุศลที่ท่านตั้งใจได้กระทำจงเป็นพลวปัจจัยให้คุณปาริสัชชามีสุขภาพแข็งแรงโดยเร็ว และขอให้ถึงมรรคถึงผลถึงพระนิพพานตามความปรารถนาโดยเร็วนะคะ

    ขออนุโมทนาค่ะ
     
  16. Mareo

    Mareo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2012
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +39
    ขออนุญาติมาติดตามอ่านด้วยคนนึงครับ
    ขอบพระคุณท่านปาริสัชชา ที่ช่วยแบ่งปันประสบการณ์ครับ
     
  17. ปาริสัชชา

    ปาริสัชชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2004
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +2,693
    ผมขอขอบคุณ คุณส้มจุกที่อวยพรให้นะครับ ขอพรทั้งหลายนี้พึงเกิดขึ้นกับคุณส้มจุก และครอบครัวเช่นกันครับ
     
  18. ปาริสัชชา

    ปาริสัชชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2004
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +2,693
    เข้ามาทักทายคุณ Mareo ,คุณ Safetyman และทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านด้วยนะครับ

    -------------------------------------

    ก่อนที่จะเล่าเรื่องอื่นๆต่อไป ผมขอคั่นด้วยเรื่อง ... ประสบการณ์ การฝึกมโนมยิทธิ แล้วกลับพลิกไปเป็นสติปัฎฐาน ก่อนนะครับ (คิดว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ปฎิบัติครับ)
     
  19. ปาริสัชชา

    ปาริสัชชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2004
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +2,693
    เรื่อง... ประสบการณ์ การฝึกมโนมยิทธิ แล้วพลิกไปเป็นสติปัฎฐานได้ยังไง

    ปี ๒๕๒๘ เป็นปีที่วัดท่าซุงได้เปิดสอนมโนมยิทธิแบบเต็มกำลังจนถึงปลายปี ซึ่งผมก็ได้มีโอกาสไปฝึกด้วย ซึ่งตอนนั้นจะเป็นการสอนตัวต่อตัว อันมีหลวงพ่อฤาษีนั่งคุมเป็นประธานในบางวัน

    และผมก็มีท่านหลวงตาเกษม (เข้าใจว่าท่านมาจากวัดเขาถ้ำตะพาบ จ.อุทัยธานี)เป็นผู้สอน
     
  20. ปาริสัชชา

    ปาริสัชชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2004
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +2,693
    เตรียมตัวก่อนไปฝึก

    ผมทบทวนอานาปานสติให้คล่องอยู่ ๗ วันก่อนจะไปวัดท่าซุงเพื่อเอาจริง แต่จริงๆผมใช้อานาปานสติมาตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...