น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. nrcl

    nrcl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +4,318
    จะตักน้ำเสียออกจากคลอง พยายามแค่ไหน ยังไงน้ำก็ไม่สะอาด ต้องใช้น้ำสะอาดไล่น้ำเสีย แล้วคอยดูแลไม่ให้ใครเอาขยะไปทิ้งลงในน้ำอีก จึงจะเป็นทางแก้ที่สมควร อย่าเสียเวลาวิดน้ำเน่าออกจากคลองเลยครับ


    ผมขอเสนอว่าควรหยุดทั้ง 2 ฝ่ายครับ


    สำหรับคนที่ไม่เห็นด้วย ต่างคนต่างเชื่อ ต่างปฏิบัติดีกว่า เสียเวลาเปล่าครับ เอาเวลาไปปฏิบัติ และสนับสนุนคนมีศรัทธาดีกว่า


    สำหรับหลวงพี่ ช่องโหว่ในบทความนี้ ถ้าหลวงพี่ยังมั่นใจไม่ได้ หรือแก้ยังไม่ได้หมด ไม่ควรเอามาเผยแพร่ เพราะเป็นกรรมหนักนะครับ


    สำหรับคนที่พึ่งมาอ่าน อย่าพึ่งเชื่อ เพราะฟังดูมีเหตุผล คล้อยตามกันดี วิทยาศาสตร์บอกว่าความจริงคือสิ่งที่พิสูจน์ได้โดยเครื่องวัดเท่านั้น แต่ความจริงอีกมากมายที่นักวิทยาศาสตร์ยุคนี้ไม่ฉลาดพอที่จะวัดออกมาได้ ดังนั้นถ้าอยากรู้ความจริง ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าในการพิสูจน์ด้วยตัวเอง อย่าเชื่อเพราะการอ่าน การฟังแล้วเป็นเหตุเป็นผล แล้วหยุดปฏิบัติ หยุดพิสูจน์ จะกลายเป็นมิจฉาทิฏิไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 ธันวาคม 2006
  2. Mr Kebab

    Mr Kebab Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +28
    อยากกราบเรียนหลวงพี่ว่า

    ข้อเขียนที่หลวงพี่นำมานั้น ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจในทางทฤษฎี อ่านแล้วเคลียร์ สมเหตุสมผล ผมไม่มีปัญหากับการอ่านข้อความนั้น และทุกอย่างผมเห็นด้วยนะครับ (คือไม่อยากบอกครับว่า มีข้อเขียนที่ยากกว่านี้มากที่ผมได้เคยอ่าน ไม่ต้องการโม้ว่าอะไรนะครับ อย่างไรก็ตามก็คงเป็นเพราะหลวงพี่ทำให้มันอ่านเข้าใจง่ายและเป็นขั้นตอนไว้แล้วเช่นกัน)

    อิ อิ อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้ ยังมีอัตตาและตัวตนอยู่เต็มประดาเช่นกัน กิเลสไม่ได้หายไปตามที่เข้าใจในความไม่มีตัวตน ตามที่ได้เข้าใจ จริง ๆ จริง ๆ อย่างที่หลวงพี่บอกได้เลย (คือเข้าใจว่าหลวงพี่บอกให้อ่านซ้ำแล้วหลาย ๆ รอบ เพื่อความเข้าใจจริง ๆ คือ เข้าใจจากการอ่านนั่นใช่ใหมครับ ซึ่งก็ทำให้เกิดจินตาและสุตตมยปัญญาขึ้นได้จริง)

    อย่างไรก็ตามถ้าหลวงพี่ได้หมายความว่าความเข้าใจ จากภาวนามยปัญญาด้วยนั้นแล้ว ผมก็ขอคารวะอนุโมทนาในภาวะสูงสุดอันนั้นซึ่งหลวงพี่ได้พบพานแล้วนั้นไซ้ร ผมก็ยังอยู่ระหว่างทางแค่นั้นครับ จะพยายามนำปัญญาที่สามให้ได้ก็แล้วกันครับ ซึ่งก็ต้องรอมันเกิดของมันเองจากการที่จิตเห็น อนิจจัง ทุขขัง และอนัตตา บ่อย ๆ จนเข้าขั้นกระมัง

    ขอบคุณครับที่ให้ความรู้
    ======================================

    อีกเรื่องที่ผมไม่เข้าใจนะ (ไม่เกี่ยวกับที่หลวงพี่บอกนะครับ) อย่างไรก็ตามผมอยากถามท่านอื่นๆ หน่อยครับ กรุณาทำตามหลวงพี่ท่านบอกข้อแรก ๆ นะครับ คือเปิดใจกว้างก่อนอ่านข้อความของผมนะครับ

    คือ ผมไม่เข้าใจในมโนมยิทธินะ เหตุผลหลายๆ เหตุผลทำเพื่ออะไร เพื่อความอยากที่จะเห็นอะไรต่างหรืออย่างไรครับ

    ในเมื่อจุดสูงสุดภาวะนิพพาน ก็เพื่อลดละกิเลสทั้งปวงนั้นไซร้ก็เน้นอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มต้นปฏิบัติว่า ทำเพื่อลดละกิเลส แต่ในทางตรงกันข้ามนั้น ในภาวะที่พวกคุณได้ไปพบวิมานของตัวเองนั้น หรือได้ไปพบอะไรอีกมากมายก็แล้วแต่นั้น ทำไปเพื่อความลดละกิเลสตัวเองหรือไม่อย่างไร

    อย่างผมก็เคยอ่านมานะครับ มโนมยิทธิเต็มกำลังที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด มีป้าท่านหนึ่งท่านเข้าไปได้ ไปเจอหลวงพ่อฤาษี พอคุยไปคุยมา ได้ขอเงินท่านเพราะป้าบอกว่าป้าไม่มีเงิน จน แกว่างั้น แสดงให้เห็นว่ากิเลสไม่ได้ลดละออกไปเลย แม้กระทั้งในสมาธินั้น

    คือ ผมไม่ได้ปรามาสนะครับ ถ้าข้อความนี้กระทบท่านใดก็ตาม กรุณาอย่าถือโกรธกันเลย เรา ๆ ก็ปฏิบัติธรรมกันทั้งนั้น แต่ที่ผมถามมานั้นเพราะไม่เข้าใจในหลักการสักเท่าไร สรุป

    ๑ ปฏิบัติเพื่ออยากเห็นนั้นเห็นนี่ เพื่อเพิ่มกิเลส เพิ่มตัวตน หรือไม่อย่างไร
    ข้อนี้ คือ ผมคิดว่านะ ถ้าผม "ได้" แค่คำนี้มันก็มีกิเลสในตัวมันแล้วว่า "ได้อะไร" ได้มโนนั้นแล้วไซร์ ผมก็คงได้ไปเห็นวิมานของตัวเอง และอาจจะคิดว่าโอ้ อยากอยู่มากเลยนะ ต้องปฏิบัติแล้ว เร่งมาก เร่งวันเร่งคืน นั่นก็เป็นการเพิ่มอัตตาตัวตนอยู่ร่ำไปมากกว่า อย่างไรก็ตามเท่าที่ได้ศึกษามานั้น มโนก็คงมีอะไรดี ๆ เหมือนกัน เช่น ไว้พิจารณาอสุภะ หรืออย่างน้อยก็ทำให้เกิดศรัทธาที่คงจะแรงอยู่

    แต่เมื่อใดที่ศรัทธาไม่มีปัญญามาเกี่ยวข้อง ผมก็ว่ามันคงจะยิ่งห่างความจริงออกไปเรื่อย ๆ ทุกที ๆ

    พระสารีบุตร ท่านบอกสภาพภาวะนิพพานไว้มากมาย แต่ไม่ได้มีบอกว่า เป็นวิมานแก้วหรืออะไรต่าง ๆ นั้นเลย ซึ่งตรงนี้ผมก็งงนะ ฮ่าๆ อย่าว่าผมนะครับ ขอร้อง อย่าถือโกรธ แต่ขอให้เรามาพิจารณากันหน่อยหนึ่งครับ อย่างน้อยก็ถือว่าให้ความรู้ผมสักนิดนะครับ

    ขอให้พิจารณาคำนี้นะครับ
    เราเริ่มต้นการฝึกก็เพื่อลดละกิเลสทั้งปวงให้ได้
    พระโสดาบัน พระสกิตาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ท่านเหล่านั้นก็ วัดกันที่การละสังโยชน์ได้กี่ข้อ กี่อย่างก็ว่ากันไป
    ตกลงภาวะสูงสุดที่ต้องการนั้น เป็นวิมานหรืออย่างไร แล้ววิมานนั้นเป็นอัตตาใหม อะไรเป็นเหตุให้เกิดวิมาน และความใหญ่น้อยบอกถึงอะไร แล้วถ้าเกิดเบื่อในวิมานนั้นแล้วจะได้ไปอยู่ที่ไหน ยังมีคำถามอีกมากมายที่รอคำตอบ แต่ผมไม่ถามแล้ว

    ขอบพระคุณที่จะกรุณาตอบอย่างสุถาพและมีเหตุผลนะครับ ไม่เอาตัวเรา ความคิดเรา ความคิดคุณมาเกี่ยวข้อง นะครับ
     
  3. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    มากอบกู้พุทธศาสนากันเถิดชาวพุทธ ๒!!!

    มากอบกู้พุทธศาสนากันเถิดชาวพุทธ ๒!!! <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    (เมื่อไม่มีเราแล้วจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?)<o:p></o:p>
    เมื่อเข้าใจแล้วว่า
     
  4. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    836
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ถ้าตายแล้วสูญจะปฏิบัติธรรมไปทำไม อยู่แบบนี้สบายอยู่แล้ว
     
  5. cheterk

    cheterk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    512
    ค่าพลัง:
    +1,568
    ตามอ่านกระทู้นี้มา ฟันธงไปเลยว่า เหมือนหลวงพี่จะไม่ยอมแพ้นะครับ ประมาณหาเหตุผลมีแก้ตลอด เช่นกันดั่งว่ากระทู้นี้ ตอบโต้กันไปมาแบบไม่ยอมกัน และสำนวนหลวงพี่ มีคำที่กระแทกกระทั่ง ลงไปแบบแรงได้เหมือนกันแม้จะเป้นคำที่นุ่มนวล

    ผมสังเกตุโดยรวมทั้งหมดนะครับ
     
  6. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดยเตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ขอตอบปัญหาของคุณโยม Mr Kebab สักนิดที่ถามมาว่า...<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงพี่ครับ ช่วยให้ความหมายของ มหาสุญญตา ภาวะอนัตตา จักรวาลเดิม เหมือนกันกับจิตว่าง และนิพพาน ด้วยหรือไม่อย่างไรครับ?<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    คือคำว่า มหาสุญญตา นั้นเป็นคำของทางมหายานเขา ที่หมายถึงความว่างที่ยิ่งใหญ่ คือทุกอย่างมันว่างไปหมด ไปจนทั่วจักรวาล หาตัวตน(อัตตา)อะไรไม่มีเลยสักนิด ซึ่งของทางเถรวาทเราใช้เพียงแค่ สุญญตา ที่หมายถึงความว่างจากตัวตนที่แท้จริง หรือไม่มีอัตตาเท่านั้น ก็เป็นเพียงคำพูดให้ดูน่าสนใจหน่อยเท่านั้นไม่มีอะไรพิเศษ<o:p></o:p>
    ภาวะอนัตตา ก็หมายถึความมีความเป็นที่ปราศจากอัตตา หรือสภาวะที่ไม่มีอัตตา ซึ่งอัตตาก็หมายถึงสภาวะที่เป็นตัวของตัวเอง ที่ไม่มีการเกิดและดับ ไม่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น มันจะมีความเป็นอยู่ของมันอย่างนิรันดร เหมือนกับว่า เพชรสักเม็ดหนึ่ง ถ้าสมมติเพชรนั้นจะเป็นอัตตา มันก็จะไม่อาศัยคาร์บอนมาสร้างเป็นตัวของมัน แต่มันจะมีตัวตนที่เป็นเพชรของมันเอง และมันก็มีมาโดยตลอด ไม่มีการเกิดขึ้นและไม่มีอะไรจะมาทำลายให้มันแตกสลายได้ ไม่ว่าจะใช้อะไรมาทุบหรือเอาความร้อนสักเท่าใดมาเผามันก็ไม่แตกสลายหรือเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งที่จริงแล้วมันไม่มีสภาวะเช่นนี้เลย มันเป็นเพียงการคิดขึ้นมาว่ามันน่าจะมีเท่านั้น และก็หาของจริงมายืนยันไม่ได้ คือตามความจริงแล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา ล้วนต้องอาศัยสิ่งอื่นๆหลายๆสิ่งมาเป็นเหตุทำให้เกิดขึ้นมาทั้งสิ้น นี่เองที่เป็นที่มาของคำว่า อนัตตา<o:p></o:p>
    คำว่าจักรวาลเดิม อันนี้ไม่แน่ใจว่าเขาจะหมายถึงอะไร? ก็คงเป็นของทางมหายานเขาอีก แต่ก็น่าจะหมายถึงสภาวะดั้งเดิมของทุกสิ่ง คือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาที่เราสามารถรู้จักกับมันได้ทั้งหมดนี้เราเรียกว่า จักรวาล หรือเอกภพ รวมทั้งทุกสิ่งในโลกของเรานี้ด้วย คำว่าจักรวาลเดิมจึงน่าจะหมายถึงสภาวะดั้งเดิมของทุกสิ่งในจักรวาล ซึ่งสภาวะดั้งเดิมของมันก็คือ ความว่างเปล่า คือมันไม่มีอะไรมาก่อนเลย แต่พอมันมีสิ่งใดเกิดขึ้นมามันก็ต้องอาศัยเหตุอื่นสร้างมันขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงสอนให้มองกลับไปหาจักรวาลเดิม คือต้นตอของมัน อันได้แก่ความว่างจากตัวตน(หรือว่างจากอัตตา) ซึ่งเป็นอุบายที่ดีที่สอนให้เรามองย้อนกลับไปหาความจริงตอนเริ่มต้นของทุกสิ่ง (อย่างเช่น ที่เชื่อกันว่าจิตมันเป็นอัตตาไม่มีการดับนี้ เริ่มต้นจิตนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? น่าสงสัยใหม?)<o:p></o:p>
    คำว่า จิตว่าง มีความหมายได้ ๒ อย่าง คือ<o:p></o:p>
    ๑. ตัวจิตเองเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเท่านั้น มันจึงว่างจากตัวตนของมันเอง(ไม่มีอัตตา) เมื่อมันไม่มีตัวของมันเอง มันจึงตกอยู่ในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และอนัตตา<o:p></o:p>
    ๒. จิตที่มันมีความว่างเป็นพื้นฐานอยู่นี้เอง ถ้ามันโง่มันก็จะเกิดความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวของมันเองขึ้นมา(มันคิดว่ามันมีอัตตา) นี่เรียกว่าจิตมันไม่ว่าง เพราะมันมีกิเลสหรือความยึดมั่นถือมั่นครอบงำอยู่ แต่ถ้าจิตมันไม่มีกิเลสครอบงำ ก็เรียกว่าจิตมันว่าง คือว่างจากกิเลส ที่เรียกว่า จิตประภัสสร ซึ่งจิตประภัสสรนี้จะเป็นจิตที่สะอาด บริสุทธิ์ และสุกสว่างเหมือนเพชรที่มีแสงส่องออกมาได้เองจากภายใน ซึ่งสภาวะของจิตประภัสสรนี้เอง ที่เรียกว่าเป็นจิตดั้งเดิมของมนุษย์ทุกคน คือเมื่อเริ่มเกิดมาทุกจิตจะประภัสสร คือว่างไม่มีกิเลส ไม่มีปัญญา ไม่มีความยึดถือว่าเป็นตัวตนของใครๆทั้งสิ้น เหมือนกับเครื่องบันทึกเสียงหรือภาพที่ยังไม่ได้บันทึกอะไรลงไปเลย แต่พอเกิดออกมาจากท้องแม่ จิตมันก็จะได้รับรู้สิ่งต่างๆ แล้วก็เกิดกิเลส(พอใจ-ไม่พอใจ)จึงทำให้ความประภัสสรหายไป เรียกว่า จิตเศร้าหมอง แล้วก็เป็นทุกข์ แต่เมื่อใดที่กิเลสจรหายไป ความประภัสสรก็จะกลับมาปรากฏได้อีกเหมือนเดิม แต่พอกิเลสกลับมาเกิดอีก ความประภัสสรก็หายไปอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป จนกว่าจะมีการปฏิบัติตามหลักอริยมรรค ทำให้รากเหง้าของกิเลส(สังโยชน์)หมดสิ้นไปอย่างถาวร ความประภัสสรนี้ก็จะกลับมาปรากฏได้อย่างถาวร<o:p></o:p>
    ที่นี้คำว่า นิพพาน. ซึ่งจิตที่ประภัสสรนี้เองที่มีสภาวะสงบเย็น ไม่ดิ้นรนอยู่แล้วเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของมัน เมื่อจิตเกิดกิเลส สภาวะที่สงบเย็นนี้ก็หายไป พอกิเลสจรหายไปบ้าง สภาวะของนิพพานก็ปรากฏกลับมาได้อีก เหมือนพระจันทร์เต็มดวงที่ถูกกลุ่มเมฆหมอกเคลื่อนมาปิดบังชั่วคราวเท่านั้น<o:p></o:p>
    บรรยายมาเสียยืดยาว ไม่รู้ว่าจะเข้าใจหรือไม่ เพราะมันเป็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2006
  7. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดยเตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เพิ่งเห็นคุณโยม Mr Kebab พูดมีสาระน่าสนใจที่สุดวันนี้เอง.........<o:p></o:p>
    อาตามาใคร่อยากให้ความคิดเห็นดังนี้<o:p></o:p>
    ๑. ดวงตาเห็นธรรมคืออะไร? การมีดวงตาเห็นธรรม(เข้าใจธรรมะอย่างถูกต้องชัดเจน)ก็คือการพิจารณาเห็นแจ้งแล้วว่า
     
  8. Mr Kebab

    Mr Kebab Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +28
    ขอบคุณอีกครั้งครับหลวงพี่ที่ให้ความรู้ แต่ผมไม่อยากให้หลวงพี่ชมผมสักเท่าไร เพราะไม่อยากโดนโจมตี แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญอะไร เพราะโดยนัยแล้ว ณ ที่นี่ เราก็ปราศจากตัวตน ไม่มีจริง เพราะไม่มีใครรู้จักใครอยู่ดี (ยกเว้นหลวงพี่เอง)

    โอเค ได้อ่านสองรอบแล้วครับ ก็ขอบคุณมากครับ เรื่องคำถามที่ถามไปและได้รับคำตอบ ฮ่า ๆ เรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะว่าจุดมุ่งหมายของหลาย ๆ แนวทางมาลงตัวอยู่ที่ ความว่าง เอาแบบง่าย ๆ นี่เอง ความว่างแน่นอน อย่างน้อยก็คือไม่มีตัวตน

    ผมแค่อยากเล่าประสบการณ์การปฎิบัติให้หลวงพี่ได้รับฟัง ไม่ได้หวังอะไรมากนะครับ และไม่ได้โม้เพราะไม่ได้มีอะไรเลย แต่เพราะจากประสบการณ์ตรงนั้นเองทำให้เข้าใจว่า จักรวาลเดิม ว่าง ไม่มีตัวตน แบบว่ามหาสุญญาตาก็อาจจะเรียกได้ เพราะประสบการณ์ตรงนี้เกิดจากที่จิตวางทุกอย่าง วางทุกข์เวทนา ละจากสิ่งที่เกิดดับทั้งปวง จนทั้งร่างกายละลายไป เหลือแต่ความว่าง เหมือนกับอยู่ในอวกาศ ไม่มีตัวเรา ไม่มีความเป็นเรา มีแต่สุญญาตา ซึ่งตรงนี้ต่างกันมากกับการนั่งสมาธิแล้วให้บอกตัวเองว่าเป็นความว่าง มีแต่ความว่าง เพราะสองเหตุการณ์นี้มีความแตกต่างกันมากถึงจะบอกว่าว่างเหมือนกัน ความว่างอย่างที่สองเหมือนกับว่าจิตคิดไปเอง ไม่ได้เป็นเพราะมันเป็นของมันไปเอง ไม่ได้เป็นเพราะจิตวาง จิตละสิ่งต่าง ๆ เอง อ.โกเอนก้าบอกภาวะแรกนั้นต่อท่านดาไลลามะว่า นั่นคือภาวะสุญญาที่จะปรากฏเมื่อปฏิบัติแนวทางนั้น ๆ เป็นต้น ส่วนแนวทางอื่นเข้าใจว่าคงจะไปในทางเดียวกัน ไม่ได้ต้องการจะเพ้อเจ้อ ยึดติดอะไรนัก หรือโฆษณา เพราะเมื่อจิตวางแล้วไม่ว่าจากแนวทางปฏิบัติใดก็คงได้เจอกับภาวนั้นเองเช่นกัน ส่วนจะช้าเร็วก็แล้วแต่คน

    ทีนี้มาถึงเรื่องความว่าง ซึ่งใกล้ตัวมาก ๆ จนคนไม่ให้ความสำคัญ ตรงนี้ก็น่าสนใจอีก เพราะจากที่ได้ปฏิบัติ กามราคะ ถึงมันมีความสุขมากก็จริงนะ คนไม่ปฏิบัติไม่รู้ว่ายังมีสุขเหนือกว่าอีก เมื่อปฏิบัติแล้วเจอสิ่งที่ดีกว่าคือความว่าง ๆ ไม่มัวหม่น ความไม่มีกิเลส จิตจึงวางอารมณ์ความอยากตรงนั้นได้ คือมันไม่อยากของมันเอง เหมือนกับการกินเหล้า แรก ๆ หยุดได้แต่อยากกินมาก เห็นคนกินอยากกินด้วย แต่พอสติปัญญาแกร่งกล้ามากขึ้น มันก็ละของมันเอง ไม่เห็นอยากเลย ถ้าบอกว่าภาวะนี้ใกล้ตัวใหม ก็ใกล้มาก ๆ อีก เพราะแค่ละมันได้เอง มันดูเหมือนไม่มีค่าเลยไอภาวะละได้นี่ เพราะมันไม่มีอะไร แต่มันมีสุขมากกว่าการไปเสพมันมากนัก เทียบกันไม่ได้ ซึ่งที่พูดตรงนี้ก็เพื่อเน้นว่า บางเรื่องดูเหมือนว่าไม่มีอะไร ไม่น่าสนใจ เช่นจิตว่าง แต่จริง ๆ แล้วภาวะตรงนั้นแหละที่คนเสาะแสวงหา ฮ่า ๆๆๆ เข้าใจแล้ว

    ตรงนี้ก็ทำให้เข้าใจอีกว่า สำหรับผู้ตัดกิเลสตัดตัวตนได้ทั้งปวงแล้วนั้นก็ถ้าอยู่กับอารมณ์นิพพานได้ตลอด คือวางตลอด มันก็ไม่ยึดติดกับอะไรทั้งปวงโดยอัตโนมัตเท่านั้นเอง


    แต่ ...ขอถามเรื่องหนึ่งครับ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท่านเป็นผู้รู้สามเรื่อง

    ๑ previous lives (ชีวิตก่อน ชาติก่อน) ๒ the working of Kamma (เรื่องของกรรม) and ๓ the destruction of the asavas (และเรื่องของการกำจัดอาสวะ)

    ถ้าเราจะปฏิเสธเรื่องตรงนี้ก็กระไรอยู่ หลวงพี่กรุณาให้ความกระจ่างหน่อยครับ

    ทำงานต่อแล้วครับ
     
  9. ปอ.ปลา

    ปอ.ปลา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +4
    นั้นสิเห็นด้วยเหมือนกัน
     
  10. Mr Kebab

    Mr Kebab Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +28
    อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา

    ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท

    ปริยัติ จะถูกได้เมื่อมีผลของการปฏิบัติมารองรับ และพิสูจน์ได้ว่าจริง และสิ่งนี้ต้องไปด้วยกันและกัน

    ฉะนั้นผมไม่ค่อยเห็นด้วยในการที่หลวงพี่นำ คำว่าอนัตตามานำการปฏิบัติ เพราะเมื่อนำความหมายของคำซึ่งอาจจะเข้าใจไม่ถูกต้องได้นั้น มานำการปฏิบัติแล้วอาจจะผิดไปทั้งกระบวนการก็เป็นไปได้

    ทั้งนี้การเข้าใจความหมายไม่ได้บอกได้ว่า ในทางปฏิบัตินั้นเราได้ค้นพบสัจธรรมนั้นจริงหรือไม่ และอีกอย่าง เมื่อสติแกร่งมากมายแล้ว ผมไม่เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่ปฏิบัติแล้วเห็นนู่นเห็นนี้จะถูกหลอกได้ เพราะสติไม่ได้หลอกใครได้ คนที่ยืนยันสิ่งเหล่านั้นถ้าเห็นด้วยสติแล้ว ก็จงมั่นใจไปเถิด แต่กรุณาทำให้เกิดการเพิ่มตัวตนก็เท่านั้น ส่วนที่มีการปฏิเสธไปเลยนั้น ผมไม่ได้ยอมรับในข้อนี้เลยนะครับ

    ที่ผมเห็นด้วยกับหลวงพี่นั้นไม่ได้หมายความว่า ผมจะปฏิเสธกับทฤษฎีการเกิดใหม่ ชาติหน้าชาติหลังเลย แต่สิ่งที่หลวงพี่อธิบายไปนั้น ทำให้ผมเข้าใจความเป็นอรหันต์มากขึ้น การที่เราจะเข้าใจว่า ไม่มีอะไรไปเกิดเลย เพราะไม่มีตัวเราตั้งแต่แรกนั้น เป็นความเข้าใจของพระอรหันต์ทั้งนั้น(เท่าที่ผมเข้าใจนะครับ) ผมไม่อาจจะยอมรับตรงนี้ได้ในขณะนี้ เพราะยังมีอัตตา ติดอยู่กับตัวตนอยู่ เพราะฉะนั้นสำหรับผมแล้ว อนัตตา หรือขบวนการไปเกิดใหม่นั้นยังมีอยู่ ตราบไปจนกระทั้งขณะเมื่อไม่มีอัตตาแล้วเท่านั้น ที่ผมจะเข้าใจจริง ๆ ว่าไม่มีอะไรไปเกิดใหม่และไม่มีตัวเราทั้งสิ้น

    พระพุทธเจ้าเป็นแค่ธาตุที่บังเอิญเกิดขึ้นมาหรือ

    นัยหนึ่งก็ใช่ แต่อีกนัยนั้นอาจจะไม่ใช่เลย ไม่งั้น ทำไมไม่บังเอิญเกิดกับผู้นั้นผู้นี้อีกล่ะ

    ขอตัวครับ และคงไม่พูดเรื่องนี้ต่อแล้วเพราะมันเกินกำลังผมแล้วครับ
     
  11. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ท่านเตชปญโญ ภิกขุ กำลังใช้อุบายเพื่อให้คนเข้าถึงธรรมที่ลึกซึ้งขึ้น โดยเริ่มจากลึกซึ้งไม่มาก แล้วเดินนำมามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามเราอย่าท้อก่อน ค่อยๆ เดินตามไป
     
  12. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    สิ่งหนึ่งดับ ก่อเกิดสิ่งใหม่ เมื่อสิ่งใหม่ดับ สิ่งหนึ่งจึงเกิด
    อันจะกล่าวถึงสรรพสิ่งหรือวิญญาณก็เป็นเช่นนี้แล
     
  13. ahantharik

    ahantharik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,595
    ค่าพลัง:
    +6,346
    ผมว่าไม่มีพบหน้า สำหรับคนที่ทำลายศาสนาพุทธ มีแต่ความแตกแยก
     
  14. santa

    santa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +5
    น่าดีใจที่เราต่างก็หวังดีต่อพุทธศาสนา ใจเย็นกันหน่อยครับ อย่าใจร้อน

    หนังสือของหลวงพี่ ผมเห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่ แต่ขอไม่เห็นด้วย2เรื่องคือเรื่องกรรมกับเรื่องชาตินี้ชาติหน้า การปฏิเสธสองเรื่องนี้เท่ากับปฏิเสธเหตุปฏิเสธผล ทางที่ดีเรื่องนี้ควรพูดไว้กว้างๆ (อาจบอกว่าพุทธศาสนากล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ แต่ตอนนี้ยังไม่ควรสนใจ ให้สนใจสุขทุกข์ใกล้ๆตัวก่อน -อยากให้หลวงพี่ช่วยปรับปรุงส่วนนี้ด้วยครับ ) ส่วนเรื่องพระไตรปิฎกถูกแต่งเติมนั้น ผมว่าเราถกเถียงกันได้ ยิ่งถ้าหาข้อธรรมในพระไตรปิฎกที่ขัดแย้งกันเอง มาแสดงได้ก็จะเป็นการดี เป็นหลักฐานที่ดี

    สำหรับเรื่อง เรามีหรือไม่มี ขอยกตัวอย่าง
    เมื่อเราลิ้มรสอาหาร รสอาหารจะเป็นอย่างไร อร่อยหรือไม่อร่อยก็แล้วแต่ลิ้นและความชอบของแต่ละคน การบอกว่าไม่มี(รส)อะไรเลย มันก็ย่อมไม่ถูก รสอาหารก็เปรียบเหมือน ทุกข์ ไม่มีอะไรเลยก็แปลว่าไม่รู้ทุกข์ จึงไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ แต่หากรู้รสก็อาจรู้ต่อว่ารสที่อร่อยหรือไม่อร่อย ที่แท้แล้ว มันประกอบขึ้นด้วย รสเปรี๊ยว หวาน มัน เค็ม ฯลฯ นอกจากนี้ ยังต้องอาศัย ลิ้นและการใส่ใจชิม รสถึงจะปรากฎ ส่วนอร่อยหรือไม่อร่อย ก็ยังต้องอาศัย ความชอบความเคยชิน ดังนั้น รสชาติอาหารที่จะปรากฎขึ้นมาได้ ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างรวมๆแล้วหมายถึงว่า มันเป็นอนัตตา หาอะไรเป็นแก่นแท้ไม่ได้ อาศัยเหตุ จึงเกิดขึ้น
    ธรรมทั้งปวง อาศัยกันเกิด
    ที่หลวงพี่อธิบายเรื่องอนัตตา มันก็ถูกแล้ว แต่การสรุปว่าไม่มีตัวตน อันนี้ไม่น่าจะถูกนะครับ


    เรื่อง ชาตินี้ชาติหน้า ท่านกล่าวว่า ชาตินี้หาอะไรเป็นตัวตนไม่ได้ แล้วชาติหน้าจะมีได้อย่างไร ถ้ามีก็เป็นอัตตา

    ตอบ ในเมื่อชาตินี้หาอะไรเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ ก็ถ้าชาติหน้าจะมีเหมือนๆกันกับชาตินี้ แล้วทำไมคิดว่าในชาติหน้านั้นมีตัวมีตน?
    อย่างนั้น ชาตินี้เป็นอนัตตาแต่พอชาติหน้ากลายเป็นอัตตาหรือครับ ก็เท่ากับลึกๆยังเห็นขันธ์5เป็นตัวเป็นตน
    อีกอย่างขนาดชาตินี้มันหาอะไรเป็นตัวตนที่แท้ไม่ได้ ชาตินี้ยังปรากฎ และอาจปรากฎไปอีกหลายๆชาติโดยที่เราก็ท่องเอาว่า ไม่มีตัวตนๆ ไม่มีอะไรมี มันว่าง ทั้งหมดเป็นภาพลวงตา ไม่หิว ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ไม่ทุกข์ ?!

    ถ้ามันจะเป็นเช่นนั้นก็เป็นเพราะ เราไปมองว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรมี ในการจะรู้ว่ามันเป็นของว่างเปล่าได้ มันต้องรู้ตามจริงก่อน เมื่อไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรมี ก็รู้ตามจริงไปไม่ได้

    ปัญหาเรื่อง อะไรเกิด

    อะไรเกิด อุปาทานเกิด(วิญญาณ)
    อะไรไปเกิด นามรูป(กรรม)
    อะไรเป็นเหตุให้เกิด* ตัณหา
    เหตุใดจึงเกิด อวิชชา

    เรื่องกรรม เราก็รู้ๆอยู่ บางส่วนเป็นอย่างเดียวกับวิทย์ในปัจจุบัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2006
  15. Mr Kebab

    Mr Kebab Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +28
    กระทู้นี้ทำให้ผมเห็นอะไรหลาย ๆ อย่างนะครับ หลวงพี่

    ผมเห็นหลาย ๆ คน มีเหตุผล แต่ก็ยังยึดติดสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ไม่ได้เปิดใจรับความคิดเห็นคนอื่น โจมตีด่าว่าอีกฝ่ายอย่างรุนแรง ห่างไกล ครับ ห่างไกล ห่างไกล ธรรมะมากมาย

    ผมเห็นหลาย ๆ คน ไม่มีเหตุผล เอ...มันเป็นสิ่งที่แปลกมากสำหรับสังคมผู้ปฏิบัติธรรม ปัญญาทั้งสามที่ต่างคนต่างติดยึด ไม่ได้ละออกไปเลย

    ผมเห็นการไม่ให้ความเคารพพระสงฆ์ น่ากลัวครับน่ากลัว เพราะเมื่อพิจารณาคำสอนของท่านแล้ว มีเหตุมีผลมากมาย อย่างไรก็ตามเมื่อไปผิดกับความเชื่อของหลาย ๆ ท่านแล้วนั้น แม้แต่พระสงฆ์ก็ปรามาสกันแบบไม่มีการเคารพ ห่างไกลครับ ห่างไกล (ถ้าเป็นพระสงฆ์ที่ไม่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สอนผิดหลาย ๆ ก็ว่าไปอย่าง)

    ผมเห็นความเชื่อ ศรัทธา มีอิทธพลเหนือปัญญา น่ากลัว ๆ

    ผมเห็นความแปลกของคน ที่สนใจที่สิ่งที่ไม่ถูกกับความคิดของตนเอง โดยที่สิ่งที่ดี ๆ อีกมากมาย ซึ่งควรจะได้รับด้วยนั้นกลับปฏิเสธ เพราะไปยึดติดกับบุคคล

    ผมหวังว่ากระทู้แบบนี้จะเป็นกระจกสะท้อนผลการปฏิบัติของแต่ละคน จะละทิฐิมานะ เพื่อการเพิ่มพูนทางปัญญากันเถิด
     
  16. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดยเตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    อยากทำความเข้าใจกับคุณโยม Mr Kebab สักนิด<o:p></o:p>
    ***ที่คุณโยมถามมา ๓ ข้อนั้น อาตมาเห็นว่าคุณโยมพยายามจะวิ่งหนีความจริงพื้นฐานไปเสียแล้ว<o:p></o:p>
    ***ทำไมคุณโยมไม่ถามปัญหาอะไรที่มันจะทำให้ตนเองเกิดปัญญาขึ้นมาบ้าง<o:p></o:p>
    ***เช่น ทำไมไม่ถามว่า
     
  17. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดยเตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    อยากบอกกับคุณโยม Mr Kebab สักนิด<o:p></o:p>
    อาตมาเชื่อว่าคุณโยมคงพอจะมองเห็นอะไรลางๆขึ้นมาบ้างแล้ว...<o:p></o:p>
    ก็หวังว่าจะเกิดผู้ที่มีดวงตาขึ้นมาจริงบ้าง.....<o:p></o:p>
    อาตมาจะได้ไม่เหนื่อยเปล่า....<o:p></o:p>
    เตชปญฺโญ ภิกขุ whatami@thai.com<o:p></o:p>
    www.whatami.8m.com<o:p></o:p>
    http://members.thai.net/whatami/<o:p></o:p>
     
  18. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306
    ไม่เข้าใจว่าท่านจะลบหลู่ปรามาสพระพุทธเจ้าทำไม

    พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนวัจฉะ ชนที่กล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมเป็นสัพพัญญู มีปกติเห็นธรรมทั้งปวง ทรงปฏิญาณญาณทัสสนะไม่มีส่วนเหลือว่า เมื่อเราเดินไปก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับก็ดี ตื่นก็ดี ญาณทัสสนะปรากฏแล้วเสมอติดต่อกันไปดังนี้ ไม่เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้วและชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำที่ไม่มี ไม่เป็นจริง
    “ดูก่อนวัจฉะ เมื่อบุคคลพยากรณ์ว่า พระสมณโคดมเป็นเตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา ๓ ) ดังนี้แล เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ชื่อว่าไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่เป็นจริง ชื่อว่าพยากรณ์ถูกสมควรแก่ธรรม....
    “ดูก่อนวัจฉะ ก็เราเพียงต้องการเท่านั้น ย่อมจะระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง..... ตลอดสังวัฎวิวัฎกัปเป็นอันมาก ในภพโน้นเรามีชื่อย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น... เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศด้วยประการฉะนี้
    “ดูก่อนวัจฉะ ก็เราเพียงต้องการเท่านั้น ย่อมจะเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติกำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดีตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ซึ่งเป็นไปตามกรรมว่าสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียน พระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิฉาทิฐิ เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมทิฐิ..... เบื้องหน้า แต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์
    “ดูก่อนวัจฉะ เมื่อบุคคลพยากรณ์ว่า พระสมณโคดมเป็นเตวิชชะ เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ชื่อว่าไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่เป็นจริง...”

    จูฬวัจฉโคคตสูตร
     
  19. nrcl

    nrcl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +4,318
    ใช้อุเบกขา หยุดเถอะครับหลวงพี่ ผมไม่เห็นมันจะเกิดประโยชน์กับใครทั้งนั้น ทั้งตัวหลวงพี่เอง พวกผม หรือคนที่มาอ่าน โต้เถียงกันมาตั้งหลายเดือน มีใครยอมเปลี่ยนบ้างรึเปล่าครับ แถมพลาดพลั้งปรามาสพระรัตนไตรโดยไม่รู้ตัวไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้

    ใครจะเป็นมิจฉาทิฐิก็ตาม ถ้ากรรมไม่หนักเกินไป ผมขอให้รู้ตัว และแก้ไขทันก่อนจะสายแล้วกันครับ
     
  20. Mr Kebab

    Mr Kebab Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +28
    หลวงพี่ครับ กรุณาบอกหน่อยครับว่า

    ***ทำอย่างไรเราจึงจะเกิดดวงตาเห็นธรรม?<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ***ทำอย่างไรเราจึงจะบรรลุเป็นพระอริยะบุคคลขั้นต้น(โสดาบัน)ได้ในปัจจุบัน?


    ทั้งสองข้อเลยนะครับ คือ เท่าที่รู้นี่ก็เพียงแค่ขอให้อยู่กับการเกิดดับของรูปกับนามจนกระทั่ง จิตเริ่มละและปล่อยวาง ทีละนิดละน้อย ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้น ผมคงไม่ลงไปสู่รายละเอียดมาก เพราะมีอยู่ในหนังสือทั่วไป หาอ่านได้ เช่น หนังสือ ประทีปส่องธรรม และทางเอก ของ อ.ปราโมชจ์ (โทษครับถ้าเขียนผิด)ซึ่งกำลังศึกษาเพิ่มเติมและปฏิบัติอยู่ครับ อิ อิ โดยหลัก ตอนนี้ก็ตามดู กาย เวทนา จิต อยู่เนือง ๆ แล้วแต่สติครับ อย่างไรก็ตาม อยากให้หลวงพี่กรุณาช่วยบอกวิธีเพิ่มเติมเป็นวิทยาทานครับ

    ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...