น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,803
    ค่าพลัง:
    +18,983
    เอากันจะจะเลย...

    นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน มีจริงไหม?

    แล้ว ชีวิตหลังตายมีจริงไหม ?

    อย่าพูดมากกันเลย.... ตอบแค่นี้แหละครับ .. พูดตีความกันให้งงทำไม
     
  2. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    อันเรื่องกรรมนั้น จะยึดไว้เป็นตัวตนของตนก็หาได้ไม่ เพราะตัว
    ตนของตนนี้ ไม่ใช่สภาวะธรรม กรรมจึงมิได้ส่งผลต่อตัวตนของตน
    แต่กรรมนี้มีแน่นอน อันบุคคลเมื่อครองสภาพ ตามปฏิจจสมุทบาท
    คือ ชาติ ชรา มรณะ ช่วงก่อนมรณะก็ได้รับผลกรรม หลังมรณะก็ได้
    รับผลกรรม


    จึงเป็นสมมุติบัญญัติที่ใช้อธิบาย แต่ในระดับวิมุติแล้ว จักหาแยกเป็นตัว
    เป็นตน เป็นกรรมของผู้ใดก็หาได้ไม่


    ในระดับสมมุติบัญญัตินั้น บุคคลเมื่อก่อกรรม ย่อมต้องได้รับกรรมแน่นอน
    อุปมาก็เหมือน แรงกิริยา และแรงปฏิกิริยา ในทางฟิสิกส์ ฉันนั้น นี่คือกรรม
    ปัจจุบัน ทว่ากรรมนี้ส่งผลหลายระดับ คือ

    1. กรรมที่จิตก่อแก่กายผู้อื่น ย่อมย้อนกลับมาหา ไม่ว่าด้วยการโต้ตอบกลับ
    ผลของกฏหมาย หรือแม้นแต่เพราะกฏแห่งกรรมที่ส่งผลในอนาคต ซึ่งกรรม
    นี้บางคนไม่รู้ว่ามาจากไหน เพราะอาจไม่ได้ให้ผลทันทีก็มี จึงมองไม่เห็น
    สภาวะกรรม อุปมา เหมือนเขย่าของในภาชนะขนาดใหญ่ ของชิ้นหนึ่งกระทบ
    โดนของชิ้นต่อๆ ไปเรื่อย สุดท้าย ผลของแรงกระทบนั้น ก็ย้อนกลับมาโดนตัว
    ได้ ดั่งทฤษฎี เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว นั่นแล

    2. กรรมที่จิตก่อแก่กายตนเอง บุคคลเมื่อก่อกรรม จิตนี้จะมีสภาพ "บีบเค้น"
    อันเป็นความหมายของ "ทุกขัง" ในไตรลักษณ์นั่นแล เมื่อจิตบีบเค้นสมอง
    สั่งให้สมองหาสุข สมองหลั่งสารสุข ก็ไม่สมดุล สารทุกข์จะหลั่งตามภายหลัง
    นี่แหละสุขไม่แท้ด้วยกลไกลที่อธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้แบบนี้ จึงเกิดกลไกล
    สุข-ทุกข์ ที่ไม่จีรังขึ้น เมื่อจิตก่อกรรมต่อสมองบีบสั่งให้สุขเมื่อใด สมองตอบ
    กลับด้วยการสร้างสมดุล จิตผู้นั้นก็รับสภาพทุกข์จากสารทุกข์ที่สมองหลั่งนี่เอง
    นี่คือกรรมปัจจุบัน ที่ให้ผลแท้แน่นอน แม้นไม่มีผู้ใดกระทำตอบโต้

    3. กรรมที่จิตกระทำต่อวิญญาณ คือ การหมักหมม สั่งสมของอวิชชา
    เมื่อจิตก่อกรรมมากเข้า เท่ากับเป็นการฝึกจิตทางอกุศล กรรมนี้จะฝัง
    รากลึงลงในก้นบึ้งคือวิญญาณ เมื่อวิญญาณออกจากร่าง จะเต็มไปด้วย
    กิเลส ที่ไถ่ถอนยาก ติดตัวทุกชาติไป หากไม่ฝึกจิตขัดเกลาซึ่งกิเลส
    ในชาติที่เป็นคนแล้ว ชาติอื่นที่จุติเป็นอย่างอื่นล้วนทำมิได้เลย อันเทวดา
    จุติบนสวรรค์ สะสมบุญได้หลายประการ ด้วยการลงมาเป็นเทพคุ้มครองคนดี
    มาอนุโมทนาบุญ ฯลฯ แต่ไม่มีทางขจัดอาสวะกิเลสได้เลย ทำได้แต่ในชาติ
    ที่เป็นคนเท่านั้น


    ดังนี้ กรรมที่ส่งผลต่อวิญญาณ หยั่งลึกลงพอกพูนให้อวิชชาหนาแน่น จึงเป็น
    กรรมที่ส่งผล ในชาติต่อไป ส่งดวงวิญญาณนั้นไปจุติตามกรรมที่ฝังอยู่ และ
    ติดตัวถึงชาติต่อๆๆ ไปอย่างหลีกเลี่ยงเสียมิได้ เกิดกี่ชาติ ก็จะเจอกับกองกิเลส
    ที่ติดมาทุกชาติไป เมื่อทำเลว ลงนรกแล้วลงนรกอีก เพราะก้อนอวิชชา อัน
    พอกพูนเพิ่มจากกำลังกิเลส ดังนี้แล



    แต่กรรมนี้ จักยึดไว้เป็น "ตัวตนของตน" ก็หาได้ไม่ อุปมาดั่งหนึ่งฝุ่น
    ผงที่กระจัดกระจาย กระทบกันไปกันมายุ่งเหยิง มั่วไปหมด แรงกระทบ
    ย่อมได้รับแน่นอน ความเจ็บปวดทุกขัง ดวงวิญญาณนั้นรับรู้ได้ด้วย
    อายตนะทางใจและกายแน่นอน แต่จะยึดมั่นไว้ก็หาได้ไม่


    สาธุ......................................................................
     
  3. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน มีจริงไหม?
    .........................................

    ย่อมมีแน่นอน แต่ก็จริงในระดับสมมุติบัญญัติ เพราะในระดับวิมุติแล้ว
    อุปมาก็เหมือนฝุ่นผงที่มีสภาพแตกต่างกันด้วยการยึดมั่นไว้ ว่าแบบนี้
    แบบหนึ่ง แบบนั้นอีกแบบหนึ่ง

    บุคคลย่อมได้รับทุกข์จากนรกแน่นอน เพราะดวงวิญญาณมีอายตนะ
    ทางใจ รับรู้ความสเจ็บปวดนั้นได้ และย่อมได้รับความสุขจากสวรรค์แน่นอน
    พรหมก็มีอยู่ในระดับสมมุติบัญญัติ บุคคลรับรู้และยึดมั่นไว้ เพราะยังไม่นิพพาน
    ย่อมได้รับความสุขจากชั้นพรหมแน่นอน ส่วนบุคคลผู้หลุดพ้นนิพพานแล้ว
    วิญญาณย่อมมีอายตนะรับรู้วิมุติสุขแห่งนิพานได้แน่ แต่จะยึดว่า สวรรค์ นรก
    พรหม นิพพาน นี้ "อำมตะ" หรือ "นิจจัง" ก็หาได้ไม่ วันหนึ่งถึงกาล ก็จัก
    "อนิจจัง" แปรเปลี่ยน ดับสูญสภาพสิ้นไม่เหลืออะไรให้ยึดมั่นถือมั่นไว้ได้เลย

    บุคคลผู้ถึงพระนิพพานแล้ว แม้นลองไปลงนรกเล่นๆ ก็หาได้จะทุกข์ไม่ หาก
    ทดลองรับโทษก็สัมผัสความเจ็บปวดนั้นได้แน่นอน แต่ท่านเหล่านั้น จะเห็น
    ความเจ็บปวดนี้ มิใช่สิ่งจะยึดมั่นว่า "เป็นความเจ็บปวดของเรา" ดังนี้ต่อ
    ให้ท่านเหล่านั้น ถูกทรมาน จึงหาทุกข์ไม่ แต่รับรู้ความเจ็บปวดได้แน่นอน


    แต่ไม่ต้องกลัว ทำชั่วได้รับทุกข์แน่นอน ทำดีได้สุขแน่นอน (แล้วแต่ว่าสุข
    ชั้นไหน)


    แล้ว ชีวิตหลังตายมีจริงไหม ?
    .................................................................................

    อันใดเล่าที่เรียกว่า "ชีวิต"? อันใดเล่าเรียกว่า "มี"?

    แต่การที่วิญญาณเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ตกนรก จุติเป็นสัตว์ต่างๆ นั้น
    จริงแน่ในระดับสมมุติบัญญัติ พระพุทธองค์ทรงเทศนาว่า เหตุเพราะจิตนั้น
    อุปทานยึดมั่นไว้ จึงมี "ปฏิจจสมุทบาท" หากแม้น ไม่อุปทานยึดมั่นแล้ว แม้น
    แต่ "ปฏิจจสมุทบาท" ก็ไม่อาจจะกล่าวได้ว่ามี


    อันสัตว์นั้น ต้องทุกข์รับทุกขืได้ดังกล่าวมา เวียนว่ายในวัฏสงสารดังกล่าวมา
    แต่จะเรียกว่า "ชีวิต" ก็ไม่รู้จะใช้นิยามทางพุทธ ทางชีววิทยา หรืออะไรดีมา
    อธิบาย จะเรียกว่า "มี" ก็ไม่รู้ว่า "มี" นี้สอดคล้องกับธรรมข้อใด?


    ด้วยสุดท้ายแล้ว อนิจจัง อนัตตา ดั่งไตรลักษณ์นั่นแล

    สาธุ............................................................................
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,702
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,015
    พุทธ เถรวาสและมหายาน, ฮินดู, คริส, อิสลาม ต่างก็ เชื่อว่า มีชีวิตหลังความตาย
     
  5. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    ในทางศาสนาแล้วจะไม่มีคำว่าจบ สิ้น สูญ เพราะเป็น negative thinking ไม่สามารถสร้างศรัทธาได้

    ...สำหรับศาสนิกชนที่มุ่งมั่นทำความดี จะมีแต่โลกหน้าที่ดีกว่า สวรรค์ พระเจ้า พระนิพพาน...รออยู่
     
  6. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    คำว่า "ชีวิตหลังความตาย" นี้เป็นสมมุติบัญญัติ เป็นศัพท์เพื่อให้คน
    เข้าใจ ถ้าไม่มีคำใช้ก็ไม่รู้จะสื่อสารอย่างไร ประการหนึ่ง

    สอง การที่มีเวียนว่ายในสังสารวัฏนี้ก็ไม่ผิดแน่ แต่ข้าพเจ้า ไม่อยาก
    ใช้คำว่า "มี" และ "ชีวิต" เพราะเสี่ยง ต่อท่านสาธุชนจะยึดมั่นถือมั่นได้

    สาม ศาสนาอื่นๆ ใช้คำนี้ ย่อมต้องมีคำอธิบายต่อแน่นอน ข้าพเจ้ามิได้
    คัดค้านหากท่านเหล่านั้นจะใช้คำนี้อธิบาย และเชื่อว่าท่านเหล่านั้นมีวิธี
    อธิบายให้คนไม่ยึดติด

    แต่ข้าพเจ้าไม่มีความสามารถนั้น จึงต้องกันไว้ก่อน ไม่ใช่คำว่า "มี"
    และ "ชีวิต" เพื่อไม่ให้ท่านสาธุชนยึดติด

    จึงได้อธิบายถึงว่าหลังตายแล้ว ก็ยังต้องรับทุกข์-สุขแน่นอน ด้วยอะไรดัง
    ที่กล่าวมา แต่จะให้กล่าวว่า "มี" ก็เกรงว่า ท่านสาธุชน จะยึดติด จะบอกว่า
    "ไม่มี" ก็ไม่ใช่ จึงได้อธิบาย การเวียนว่ายในสังสารวัฏตามข้อความข้างต้น



    สาธุ.......................................................................
     
  7. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    อนึ่ง คำว่า "สมมุติบัญญัติ" นี้ ไม่ได้แปลว่า โกหก สมมุติ หรือไม่มี
    แต่จะใช้คำว่า "มี" ก็ไม่ได้ จะใช้ว่า "ไม่มี" มันก็ไม่ใช่ ถึงได้อธิบายกันยืด
    ยาวเพราะขีดจำกัดของสมมุติบัญญัติ

    ส่วนในระดับวิมุตินี้ ก็ไม่ใช่ว่า "ไม่มี" อะไรเลย การที่วิญญาณสัมผัส
    ความเจ็บปวดได้แน่นอน เมื่อเขาก่อกรรม ย่อมต้องได้รับอย่างนั้น


    เต๋า ก่อเกิด เต็ก
    เต็ก ก่อเกิด หยิน หยาง


    ความไม่ใช่ว่าไร้และไม่ใช่ว่ามี ก่อ ความมี และความไม่มี
    ดั่งหนึ่ง เต๋า ก่อเกิด เต็ก ก่อเกิดหยิน หยาง


    ตัวอย่างเช่น


    เพศชาย เพศหญิง เป็นลักษณะหยิน หยาง แต่ที่มีลักษณะนี้ เพราะ
    เราไปยึดด้านใดด้านหนึ่งมาพิจารณา คือ ด้านเพศ (ระดับเต็ก)
    แท้แล้วหากเราไม่ยึดมั่นถือมั่น แม้แต่เพศก็ไม่สามารถจะยึดไว้
    ได้ (ระดับเต๋า)


    ทีนี้แล้วแต่จะพิจารณาเต็ก หรือดูด้านไหน ก็สามารถแบ่งแยกไปได้
    สารพัน ให้ได้ยึดมั่น หรือได้เรียก เป็น นาม-รูป กัน


    แต่ถ้าเราเอาคนมาพิจารณาด้านอื่น โดยดูในระดับเต็ก คือ ดูคุณ
    งามความดี ก็จะได้ หยิน หยาง เป็น คนดี และคนเลว แต่ในระดับเต๋า
    แล้วไม่ยึด จึงไม่ยึดมั่นว่า คนนี้คนเลว คนนี้คนดี แต่ย่อมรู้ดีเลวได้แน่
    นอน เป็น "ความรู้แจ้ง" ที่ "ไม่ยึดติดแม้นความรู้นั้น"


    ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เลยยืมศัพท์อันเป็น สมมุติบัญญัติของเต๋า
    มาอธิบาย เพราะลองใช้ คำว่า "สมมุติบัญญัติ" และ "วิมุตติ" ใน
    ทางพุทธแล้วอาจไม่พอ


    สาธุ................................................................
     
  8. biphai

    biphai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2006
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +61
    นมัสการ เตชปญฺโญ ภิกขุ
    ในฐานะที่กระผมโหวต ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เรื่องสอนตายแล้วสูญ
    เพราะกระผมประสบเจอมาด้วยตัวเอง

    กระผมไม่เก่งเรื่องปริยัตินะครับ แค่นั่งสมาธิได้นิดๆหน่อยๆ
    กระผมเห็นว่า มีคนถอดจิตได้กันเยอะแยะ เป็นเรื่องธรรมดา
    เห็นวิญญาณกันได้เป็นเรื่องธรรมดา
    ท่องเที่ยว ไปนรกชั้นต่างๆ เมืองลับแล เมืองนาค สวรรค์ ทั้งเทวโลก พรหมโลกได้ เป็นเรื่องธรรมดา หรือแม้แต่นิพพาน
    กระผมเห็นว่า การเดินทางไปยังอดีตได้ ไปยังอนาคตได้เป็นเรื่องธรรมดา
    การฝึกก็ง่ายนิดเดียว เพียงมีอิทธิบาท4 แล้วทำสมาธิจิตให้ได้ ก็เท่านั้น

    การรู้การเห็นของแต่ละท่านก็ไม่เท่ากัน ขึ้นกับบารมีที่สั่งสมมา

    หลวงพี่ น่าจะเป็น อาภัพะ ภิกขุ ที่ไม่ได้ ทำฌานให้แจ้ง
    อ่านธรรมมะแค่จากตำรา แล้วก็หมายมั่นเอาตามตำรา

    มีคำถามหนึ่งที่ยังไม่มีคนตอบเรื่องขันธ์5 ที่หลวงพี่ถามไว้
    ท่านที่จะตอบขันธ์5 เป็นอย่างไร ได้นั้นต้องเป็น พระอริยะขั้นอรหัตมรรคขึ้นไป
    ถึงจะตอบให้ถูกต้องได้ ตอบแล้วบุคคลธรรมดา ฟังแล้วก็ยังไม่สามารถ
    เข้าใจเข้าถึงได้ เนื่องจากยังมีภูมิธรรมหรือภูมิจิตไม่ถึง จึงยังไม่เข้าใจ
    เช่นผมบอกว่า ประตูกับพัดลมคืออย่างเดียวกัน ก็คงมีคนแย้ง
    กระผมไม่มีในกระผม ท่านไม่มีในท่าน ... อีกมาก ขอข้ามนะครับ
    เราๆท่านๆ อย่าได้มาพูดธรรมชั้นสูงกันเลย รู้จากตำรา เถียงกันไม่มีวันจบ
    ภูมิจิตภูมิธรรมนั้นไม่เท่ากัน

    เอาเรื่องง่ายๆ ก่อน ท่านที่เคยเห็นผี กับท่านที่ไม่เคยเห็นผี ต่างคนก็มีความรู้(วิชชา) ต่างกัน คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก

    ท่าน WebSnowโพธิสัตว์ ก็อธิบายเรื่อง ผี วิญญาณ ตายแล้วเกิดไว้แล้ว
    ขืนก็พูดมากกว่านี้ ท่านก็ไม่เชื่ออยู่ดี และผมจะเล่าอีก ท่านก็คงไม่เชื่อ

    เล่าง่ายๆ นิดหนึ่งครับ ผมเห็นวิญญาณทั่วไปได้ เห็นตุ๊กแก เห็นสัตว์ต่างๆ
    ก็เห็นเป็นวิญญาณ คุยกันได้ เห็นวิญญาณเร่ร่อน ที่เรียกว่าสัมภเวสี เห็นท่านพระภูมิได้เมื่อไปที่ต่างๆ เห็นแม้กระทั่งพระเครื่องที่เป็นรูปสัตว์ เขาก็มีวิญญาณเป็นสัตว์นั้น เห็นทุกคนว่ากำลังฝันอะไร
    คุยกับพระสงฆ์ที่มรณภาพไปแล้วหลายปีแต่ยังสังขารอยู่ในโลงแก้วได้เป็นต้น

    คุยกับญาติๆที่อยู่ดาวดึงส์ได้ ถ้าคุยกันไม่ได้ผมคงไม่ถูกหวยติดๆ กัน มาหลายงวดในสมัยก่อน และผมก็ไม่ใช่พระอริยเจ้านะครับ

    ... พอแค่นี้ก่อน
    ท่านที่ไม่เชื่อก็ไม่เชื่ออยู่นั่นเอง

    เรียนท่าน พรเทพ พระไตรปิฎก อาจจะมีการแก้ได้ครับ รอท่านผู้เดียวเท่านั้นครับ
    ท่านจะมาดูแลพระศาสนา กระผมเคยเห็นท่านตอนที่ท่านเป็นเณร(ในอนาคต) สง่างามมากครับ
    ต่อไปพระจะได้กราบเณรก็งานนี้แหล่ะ กระผมขอเรียกท่านว่าท่านเณรดิจิตอลครับ ขณะนี้พุทธภูมิมีมาก พระอรหันต์ก็ไม่น้อยครับ

    การสอนเรื่องตายแล้วสูญ คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรมครับ
    บางอย่างก็เข้าไปฝืนอำนาจของกฎแห่งกรรมไม่ได้
    เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

    ก็ช่วยได้เท่าที่จะพอจะช่วย หรือเตือนกันได้เท่านั้น
    เรียนท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ หากท่านไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ หรือผี
    อยากจะพิสูจน์ก็ได้นะครับ กระผมเคยไปธุดงค์ป่าช้าแห่งหนึ่ง รับรองครับ
    จะลองไปธุดงค์ดูก็ได้นะครับ เป็นการทดสอบว่าตอนนี้ท่านมีศีลบริสุทธิ์อยู่หรือไม่ ไม่เกินสองวันครับ ได้รู้แน่นอน

    ถ้าหยุดได้ก็ขอให้หยุดเถิดครับ สงสารชนรุ่นหลัง ท่านอาจจะหวังเขียนเอาฮา หรือหวังลาภยศ หรือ อะไรก็แล้วแต่ ขอบอกว่าผิด ให้ปฏิบิติดู
    จะรู้ธรรมะที่แท้จริง ต้องปฏิบัติให้เห็นจริงตามนั้นครับ

    ท่านอยากรู้มั๊ยครับว่าพระอรหันต์มีลักษณะเช่นไร หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดุลย์
    หลวงพ่อ.... อีกมากมาย แต่ พุทธทาส ยังไม่ใช่ครับ

    ลาภ ยศ สรรเสริญ นินทา ทุกข์ สุข มันไม่เที่ยง ท่านก็รู้กันแล้ว

    การกระทำของทุกคน มีสิ่งที่รู้ สิ่งที่เห็นอยู่ตลอดเวลา พึงสังวร
    เช่นการป่วย การอาพาธ ของทุกคนทุกท่านก็ล้วนมาจาก ปาณาติบาตกรรม เป็นต้น
    ท่านที่มีหิริโอตัปปะ ก็ได้ไปจุติบนสวรรค์ก็มีให้เห็นแล้วมากมาย

    ครั้งหนึ่งกระผมเคยลงไปนรก ยังเคยโดนเหล็กสามง่ามทิ่มหน้าอก เพื่อทดสอบบุญบาป ก็ยังเคยเจอ บอกมากขนาดนี้แล้วนะครับ บอกมากกว่านี้ผมซวยแน่

    สวัสดี
     
  9. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    ผมรู้สึกได้ว่า ท่าน "เตชปญโญ ภิกขุ" จะได้อริยบุคคลเร็วๆ นี้
    ท่านใบไผ่ไม่ต้องกลัวนะ บางทีท่านอ่านกระทู้แล้ว ท่านกำลัง
    ปรับจิตให้นิ่ง เพื่อรับธรรมอยู่ ก็จะไม่เวทนาหวั่นไหวเป็นอื่น


    บุคคลย่อมมีทางเดินสู่พระนิพพานต่างกัน บ้างเดินสายปัญญา
    ก็จะปฏิเสธอภิญญาในตอนแรก คนที่เดินสายอภิญญาก็มักไม่
    ค่อยพุ่งตรงไปสู่พระธรรม มัวหลงอภิญญาในตอนแรก


    แต่วันหนึ่งเมื่อพากเพียร ทั้งสองสายก็กลายเป็นหนึ่งเดียว พระนิพพาน
    ย่อมอยู่ไม่ใกล


    ส่วนการสานต่อพระศาสนานี้ เป็นกุศลมาก ผมขอร่วมด้วยคนครับ

    สาธุ.....................................................................
     
  10. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    ผู้ที่จะเป็นหัวหน้าสังคายนาพระไตรปิฏก ข้าพเจ้าคิดว่าควรเป็น
    อาจารย์ ไชย ณ พล (อัคร ศุภเศรษฐ์)


    สาธุ.............................................................
     
  11. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4901918/Y4901918.html


    พระสงฆ์ท่านหนึ่งปรารถนาพระนิพพาน ถึงขนาดยอมตัดอวัยวะเพศตนเอง
    น่าสงสารมาก ท่านปฏิบัติเพื่อพระนิพพานด้วยวิริยะ แต่ไม่มีครูที่ดีชี้แนะ


    สาธุ........................................................................
     
  12. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306
    ครับทำผิดแต่จะได้ผลมาก เพราะจิตแรงกล้า แต่ไม่ใช่ชาตินี้นะครับ
     
  13. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306
    แต่ผมว่าเป็นไปไม่ได้นะครับ สำหรับผู้ที่ลบหลู่ปรามาสพระพุทธเจ้าถึงขนาดนั้น
     
  14. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    หน่อเนื้อพระโพธิสัตว์ เมื่อจุติจะปรารถความหลุดพ้นทุกชาติไป
    แต่ด้วยกำลังอธิษฐานบารมี ที่ไม่แรงพอที่จะยั้งตนเองไม่ให้เข้านิพพาน
    ได้ เพื่อไปสะสมบุญเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต จึงได้ตั้งจิตอฐิษฐาน
    บางประการ กันไว้ไม่ให้ตนได้ไปนิพพาน


    เมื่อร่างกายไม่ครบสามสิบสอง ก็ไม่อาจได้บรรลุอรหันต์


    พระสงฆ์รูปนี้จักสะสมบุญบารมี ช่วยงานพระศาสนาต่อไป ความกล้าหาญ
    สละได้แม้นร่างกายตนเพื่อพระนิพพานนี้ จักส่งผลดั่งพระสังขจักรผู้ตัดเศียร
    ตนถวายแด่พระสมณโคดม แม้นไม่เทียบเท่าได้ก็จะดำเนินไปทางเดียวกัน


    อย่างไรก็ตาม การสละร่างกายนี้ ยังได้อานิสงค์น้อยกว่าการใช้ปัญญา
    เพื่อสละ "ทางจิต" พระพุทธเจ้าสมณะโคดม จึงได้เทศนาสั่งสอนมิให้
    ใช้วิธีนี้เพื่อข่มกิเลส ท่านจึงสอนให้ใช้การตัดกิเลสที่ใจแทน


    อย่างไรก็ตามหากท่านใดเป็นหน่อเนื้อพระโพธิสัตว์อันแท้จริง จักต้องเจอ
    บททดสอบที่พิสูจน์ความกล้า อันเป้นคุณธรรมหนึ่งที่เสริมความเมตตา
    (กล้าหาญ + เสียสละ + หวังเห็นผู้อื่นได้ดี = เมตตา) และหากกอรป
    ด้วยปัญญาแล้ว เมตตานั้น จักต้องไม่เบียดเบียนแม้นแต่ตนเองเกินไป

    สาธุ......................................................................
     
  15. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    ท่านเตชปญโญ ภิกขุ ย่อมได้รับกรรมจากการนั้นแน่นอน
    ซึ่งเราต่างปรามาสท่านกลับมากมาย ทั้งๆ ที่ท่านไม่ใช่
    ต้นตอแห่งการบิดเบือนพระศาสนา แต่ท่านก็โดนรับไปคนเดียวเต็มๆ
    ......................................................................

    แต่ความผิดพลาดเพราะความไม่รู้นี้ พระพุทธองค์ย่อมเข้าใจ
    ว่าสรรพสัตว์ย่อมต้องหลงก่อนเป็นธรรมดา เมื่อพระศาสนา
    ของพระองค์ได้นำทางสู่ทางหลุดพ้นแล้ว บุคคลผู้กลับตัวกลับ
    ใจย่อมเดินทางได้ถึงพระนิพพาน


    องคุลีมาล ผู้หลงผิดเพราะกรรมเก่า กระทำไว้ เมื่อกลับตัวกลับใจ
    แม้นจักฆ่าผุ้บริสุทธิไปมากมายถึง 999 คน ก็ยังบรรลุได้ถึงพระนิพพาน
    ฉันใดก็ฉันนั้น ท่านเตชปญโญ ภิกขุ หากตั้งใจบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุ
    พระนิพพานในชาตินี้ เมื่อบุญบารมีถึง ก็จักได้ดังใจปรารถนาเช่นกัน


    สาธุ.................................................................
     
  16. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดยเตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ขอถามปัญหาอีกว่า<o:p></o:p>
    ๑.จิตกับขันธ์ ๕ นั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร?<o:p></o:p>
    ๒. จิตเป็นอัตตา หรืออนัตตา?<o:p></o:p>
    ๓. นิพพาน ในความหมายของคุณโยมนั้นเป็นเช่นไร?<o:p></o:p>
    ๔. และนิพพานนั้นเป็นอัตตา หรืออนัตตา?<o:p></o:p>
    ยินดีที่ได้ความรู้ใหม่ๆ แต่คุณโยมยายทองประสาไม่ทราบไปไหน? ทำไมไม่มาตอบ เลยขาดความต่อเนื่อง เพราะจากคำตอบเก่าๆบางเรื่องยังไม่หายสงสัย<o:p></o:p>
    แล้วใครที่อยากจะรวมรายชื่อทำอะไรจำไม่ได้?ไม่เห็นทำอะไรเลยและก็ไม่เห็นมีใครมาตรวจสอบอาตมาเลย น่าแปลกใหม????
    อย่าลืมว่าจิตนี้มีความพิศดารมากมันหลอกตัวมันเองได้อย่างแนบเนียนที่สุด ระวังให้ดีมันหลอกว่ามีตัวเราเองอยู่ในโลกได้ด้วย??? แถมหลอกว่ามีกายทิพย์ตาทิพย์ได้อีกด้วย พอจำภาพอะไรไว้มากๆ มันก็จะเกิดภาพนั้นขึ้นมาหลอกเอา.. ฝรั่งนั่งสมาธิกลับไม่เห็นภาพอะไรเหมือนคนไทยเลย... น่าสงสาร

    เตชปญฺโญ ภิกขุwhatami@thai.com<o:p></o:p>
    www.whatami.8m.com<o:p></o:p>
    http://members.thai.net/whatami/<o:p></o:p>
    ***************************<o:p></o:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2006
  17. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ตามความคิดของหน่อยนะคะ


    ๑.จิตกับขันธ์ ๕ นั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

    จิต น่าจะเป็นผู้หยิบเอา สัญญาขันธ์มาปรุงแต่งเข้ากับสังขารขันธ์ค่ะ คือ สังขารมันไม่เที่ยง แปรปรวนใช่ไหมคะ อย่างที่อ่านมา อืม เช่น เขาบอกว่าเวลาหลับตาเห็นภาพวูบๆ วาบๆ ก็ความไม่เที่ยงของสังขาร คือ สังขารขันธ์มั้ง เมื่อจิตถูก วิญญาณขันธ์ จูงไป คือ วิญญาณนี่ก็มีรากเหง้ากิเลสและอวิชชาใช่ไหมคะ มันก็จะพุ่งไป แต่วิญญาณมันคงอยู่ลึกข้างใน เลยส่งผลต่อจิตจูงจิตไป แล้วจิตก็เอาสัญญาขันธ์มาปรุงเข้ากับสังขารขันธ์ เหมือนคนเพ่งกสิน เวลาหลับตาเห็นอะไรววูบวาบ (สังขารขันธ์) แล้วน้อมจิตคิดถึงดวงแก้ว (สัญญาขันธ์) ก็เห็นดวงแก้วได้ค่ะ (รูปขันธ์) แต่เมื่อจิตผู้นั้นหวั่นไหว (จิตลงไปที่กองเวทนาขันธ์) ภาพกสินก็เลือนหายค่ะ นี่คือ จิตปรุงแต่ง โดยเอาขันธ์ต่างๆ มาหลอก มายึดมั่นไว้แบบนี้

     
  18. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ๒. จิตเป็นอัตตา หรืออนัตตา?


    จิตก็คงไม่ได้เป็น "อัตตา" นะคะ เพราะ เห็นคนโพสไว้ว่าทุกสรรพสิ่งไม่มีสภาพอัตตาน่ะค่ะ (อันนี้เป็นความเข้าใจของหน่อยเองนะคะ) เพราะเขาบอกว่า จิตมันเกิดดับเป็นดวงๆ รวดเร็วมาก นับไม่ทัน มันคงยึดเป็นตัวๆ ไม่ได้มั้ง แล้วเขาก็เขียนว่าเป็นกระบวนการทำงานของสมองอะไรนี่แหละ มันก็นามธรรมนะคะ ถ้าร่างกายมันสิ้นลง กระบวนการทำงานของสมองก็จบลง จิตไม่เหลือ มันก้ไม่น่าจะอัตตาได้ค่ะ (แต่เขาว่าวิญญาณยังอยู่แล้วออกร่างไปอะไรนี่ หน่อยไม่รู้ค่ะ ไม่กล้าพูด)
     
  19. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ๓. นิพพาน ในความหมายของคุณโยมนั้นเป็นเช่นไร?

    หน่อยเคยอ่านเทศน์ของพระพุฒาจารย์โต ท่านเปรียบเปรยว่าผู้หญิงที่แต่งงานแล้วย่อมรู้รสชาติของการมีสามีเองค่ะ

    หน่อยว่า ท่านลองไปชิมเองไม่ดีกว่าหรือค่ะ?
     
  20. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ๔. และนิพพานนั้นเป็นอัตตา หรืออนัตตา?

    <o:p>แหม อยากรู้ก็เอาพลังความอยากรู้ไปดูเองเลยค่ะ</o:p>
    <o:p>ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนะคะ หากให้คนอื่นมาตอบแทนเรื่อยๆ</o:p>
    <o:p>ตนเองก้ไม่ได้นิพพานสิคะ อย่ามัวสงสัยค่ะ ไปเลย</o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p>(หน่อยรอทำบุญกับพระอรหันตือย่างท่านอยู่นะคะ พระอรหันต์หายากค่ะ</o:p>
    <o:p>ท่านปฏิบัติสู่พระนิพพานเลยค่ะ ไปด้วยตนเอง ไม่มีใครนำนิพพานมาให้เราได้ค่ะ เราต้องไปเอาเองนะคะ)</o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p>หน่อยน่ารักค่ะ</o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...