น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +494
    ๑.ทำไมต้องมาถามครับในเมื่อสิ่งนั้นเขียนเอาไว้ในพระไตรปิฎกแล้วครับ
    ๒.เวียนว่ายตายเกิด
    ๓.วิญญาณน่ะสิครับ
    ก็พระพุทธเจ้าท่านสอนกับพราห์มไม่ใช่หรือที่คุณเอามาอ้างไว้
     
  2. tawatd

    tawatd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    506
    ค่าพลัง:
    +2,020
    ผมขอเสนอให้ผู้มีหนังสือเรียนวิชาพุทธศาสนานี้(สมาคมพุทธศานาศรีราชา ชลบุรีหรือผู้ที่ช่วยเหลือศานาพุทธ) ทำหนังสือชี้แจงความผิดพลาดในการเขียนหลักสูตรขอกระทรวงศึกษาธิการเสนอ มหาเถระสมาคม มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง วัดที่สอนศาสนาพุทธทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติ สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ สมาคมพุทธศาสนา เพื่อทราบและหาทางแก้ไขด่วนก่อนที่จะสร้างความเข้าใจผิดให้กับนักเรียนที่เป็นเยาวชนของชาติ และจะทำให้ศานาพุทธเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ขอขอบคุณที่นำมาบอกกล่าว
     
  3. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    ขันธ์มันเป็นกองๆ อยู่อย่างนั้น จิตเราเองนี่แหละ ไปหยิบมันมา
    อยาก เสพ ยึด ปรุงแต่ง แท้แล้วไม่มีอะไรเลยให้ได้ยึดไว้
    ..................................................................


    1. กายเรา ประกอบด้วย รูปขันธ์ มาจากธาตุสี่ประกอบกัน
    พอยึดว่ามีตัว ก็มีชื่อเรียกว่านั่นนี่ เกิดเป็น นาม-รูป ไป
    2. รอบตัวเราก็มีรูปขันธ์ จากธาตุสี่ประกอบกันมา มายั่วยวน
    ให้เรารู้สึก "ผัสสะ" แล้วเข้าสู่วงจร ปฏิจจสมุทบาท
    3. วิญญาณขันธ์นี้ มีรากเหง้ากิเลสอยู่ เรียกว่า "อวิชชา"
    คือ ความไม่รู้แจ้ง มันจึงวนเวียนหากิเลส
    4. วิญญาณขันธ์พุ่งไปตามกิเลสที่ยั่ว มันก็ดึงจิตไปดูด้วย
    จิตก็เสียสมาธิ แวบไปดูสิ่งเร้านั้นๆ ที่มายั่วยวน
    5. เมื่อจิตเห็นเข้าก็อยากเสพไว้ ความแปรปรวนในกายที่เรียกว่า
    "สังขารขันธ์" เช่น เวลาหลับตา เห็นแสงวูบวาบ นี่ก็เป็นขันธ์อีก
    กองหนึ่ง ที่จิตใช้เป็นวัตถุดิบในการสร้างสิ่งหลอกลวงตนเอง
    6. จิตอยากยึด อยากเสพ ก็ปรุงแต่งสังขารขันธ์นี้ ให้เป็นรูปร่าง
    เหมือนคนเพ่งกสิน ก็จะหลับตา เห็นแสงวูบวาบ คือ สังขารขันธ์
    ก็จะน้อมจิตคิดถึงดวงแก้ว ก็ได้เห็นดวงแก้ว ดวงแก้วที่เห็นนี้เป็น
    ผลมาจากจิตปรุงแต่ง แล้วทรงไว้ด้วยพลังสมาธิ เรียกว่าไปเอา
    สังขารขันธ์ มาปรุงด้วย "สัญญาขันธ์" (เวลานึกถึงดวงแก้ว) แล้ว
    ทรงไว้ด้วยแรงสมาธิ
    7. เมื่อจิตหวั่นไหวต่อสิ่งที่เห็น เรียกว่า เกิด "เวทนาขันธ์" ภาพ
    กสินก็เลือนหาย นี่ก็เป็น "อนิจจัง" จิตก็หลอกเราด้วยวิธีนี้เรื่อยมา
    ไม่ว่าจะตอนฝันถึงผู้หญิงแก้ผ้าเห็นชัดแจ๋วเลย หรือนั่งสมาธิเห็น
    สวรรค์ก็ตามที



    เมื่อกายยังทรงสภาพอยู่ จิตยังมี สังขารขันธ์, สัญญาขันธ์, รูปขันธ์
    เวทนาขันธ์ ยังมี เพราะมีสภาพเป็นเจตสิก หรือ ลักษณะอันรับรู้ได้
    ของจิต แล้วแต่จิตจะไปลงกองไหน โดยมีวิญญาณนี้คอยออกแรง
    ขับดันจูงจิตไป

    เมื่อกายไม่ทรงสภาพเดิมได้ จะเหลือเพียง "วิญญาณขันธ์" หลุดออก
    ตามแรงจิตสุดท้าย ว่าจะคิดถึงอะไร แล้วก็ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ
    เกิดตายตามกรรม ตามดวงวิญญาณที่บันทึก "อวิชชา" ไว้ทั้งมวล

    วิญญาณขันธ์นี้ รับรู้เจ็บปวดได้ เมื่อถูกลงโทษในนรกก็เจ็บปวดได้
    รับรู้เห็นได้ คิดได้ ล่องลอยไปไหนได้ เรียกว่ารู้ด้วยใจ (มโนมยิทธิ)
    แม้นกายดับ จิตสลายตามกาย สัญญาขันธ์ดับ ลืมไปว่าตนเคยเกิด
    เป็นใคร แต่วิญญาณขันธ์ นี้บันทึกไว้ทุกอย่าง ไม่ว่าเคยเกิดเป็นอะไร
    มา ตราบเมื่อขจัดซึ่งขยะในใจจนจิตบริสุทธิ์ก็สามารถมองเห็นทะลุ
    ได้ถึงเบื้องล่างนับไม่ถ้วน ประดุจน้ำใสที่มองเห็นได้ถึงก้น

    ขันธ์ห้าจึงประกอบเกิดกันมาดั่งนี้ และดับไปดั่งนี้ ตามธรรมชาติแล
    ที่ว่าตกในสภาพ "อนิจจัง" ก็เพราะไม่เที่ยงดังได้กล่าวมา ไม่ว่าจะ
    หมดไปด้วยแรงสมาธิที่หมด ตื่นจากฝัน ตายลง หรือ "นิพพาน"
    ล้วนเป็นการดับขันธ์ได้ทั้งสิ้น แต่อาจชั่วคราวหรือถาวรเท่านั้น

    ที่ว่า "อนัตตา" นั้น ก็เป็นลักษณะธรรมชาติอยู่แล้ว ทุกขณะ
    ที่ว่า "ทุกขัง" นั้น ก็เพราะจิตไปยึดเอาไว้ อุปทาน เอาขันธ์ที่
    ปรุงแต่งนั้นมาเป็นของตน ยึดว่าต้องอยู่ "นิจจัง" จึงทุกขัง
    เพราะขัดแย้งกับธรรมชาติดั่งนี้แล


    ส่วนการเกิดใหม่นั้น วิญญาณไปเกิดใหม่ จนกว่าจะ "นิพพาน"
    ก็จะหยุดเกิดใหม่ ดวงวิญญาณก็ไปอยู่ใน "พระนิพพาน" รอวัน
    จักรวาลสิ้นสูญ ก็ถึงฤกษ์ชัยได้สร้างจักรวาลใหม่

    นี่ก็ "อนิจจัง" เช่นกัน หาได้ "อำมตะ" ไม่


    ก็เป็นดังเช่นนี้แล สาธุ............................................
     
  4. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    ขอให้ท่าน "เตชปญโญ ภิกขุ" ลองฝึกกสินดู
    จะรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง

    ขันธ์ห้านี้ไม่สามารถรู้ได้ด้วยการอ่านหรือท่องจำ
    หรือถามใครเขามา หากท่านปฏิบัติ ฝึกวิชาสาย
    "กสิน" ท่านจักเข้าใจ "ขันธุ์ห้า" นี้อย่างชัดแจ้ง
    ด้วยตนเอง



    เพียงปรารถนาให้ท่านรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง
    สาธุ............................................
     
  5. tawatd

    tawatd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    506
    ค่าพลัง:
    +2,020
    จำได้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุททธเจ้าตรัสไว้ว่าพระสัทธรรมในพระศาสนาของท่านจะเสื่อมลงเพราะมารปลอมมาบวชในพระศาสนาแล้วทำลาย
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +494
    โดนสิงครับ
    แต่ไม่มาเกิดแล้วทำลายแน่นอน
    ผมก็เป็นครับ
    เมื่อวานมีมารมาผจญ ลบข้อความเกือบหมดเลย...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤศจิกายน 2006
  8. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306

    ต้องทำให้เป็นข่าวสาธารณะให้ได้ครับ จึงจะได้ผล
     
  9. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306

    คือที่เขาติติง คือว่า ท่านควรจะตอบเขาไปว่า ทำไม ท่านจึงเลือกเชื่อ พุทธดำรัสเป็นบางส่วน แล้วปฎิเสธ พุทธดำรัส อีกกว่า ๘๓๐๐๐ หมื่นพระธรรมขันธ์ แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่า กาลามาสูตร และสูตรที่พุทธทาสสอนนั้น เป็นของจริงเท่านั้น แล้วพระสูตรอื่นเป็นของปลอมทั้งหมดครับท่าน

    สัมมสมาธิ คือ ฌาน ๔ ท่านยังไม่ได้ อย่ามาพูดเรื่อง ขันธ์ ๕ เลย เอาพื้นฐานให้ได้ก่อนครับ แล้วค่อยมาคุยกับผมเรื่อง พระนิพพาน


    ที่ท่านถามมานั้นมีอยู่ในพุทธดำรัส ในพระไตรปิฏก อยู่แล้วคงไม่จำเป็นจะต้องตอบนะครับท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2006
  10. ทิดหนึ่ง

    ทิดหนึ่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +768
    ปริยัติ คือการศึกษาจนเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถ่องแท้ อย่างสมบูรณ์
    ปฏิบัติ คือการนำสิ่งที่ได้ศึกษาแล้ว มาลงมือกระทำ ตามที่ได้ศึกษามานั้น
    ปฏิเวส คือการนำสิ่งที่ได้ศึกษามาดีแล้ว และลงมือประพฤติปฏิบัติมาดีแล้วนั้น นำมาเผยแพร่ให้กับหมู่ชนทั้งหลาย ได้รับรู้รับทราบถึงสิ่งที่ตนได้ศึกษา
    และประพฤติปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์และความยั่งยืนของ(ในที่นี้หมายถึงพระพูทธศาสนา) ศาสนาพุทธต่อไป
    ดังนี้นั้น หากการกระทำใด ๆ เป็นการกระทำที่ข้ามขั้นตอนไป เช่น ถ้าได้ศึกษาอย่างเดียว แต่ยังมิได้ลงมือประพฤติปฏิบัติ แล้วนำสิ่งที่ตัวเองได้ศึกษานั้น นำมาเผยแพร่ อาจทำให้เกิดข้อโต้แย้ง หรือข้อกับขา กับผู้ที่ได้รับฟัง นำมาซึ่งการแตกแยก มิรู้จบสิ้น (...ความเห็นของผู้เขียน...)
     
  11. Rules

    Rules Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +26
    เอ่อ! ข้าพเจ้ากลุ้มแทนพระคุณเจ้าตัวปลอมจริงๆ ผิดแล้วยังไม่รู้จักผิดอีก ไม่รู้ว่าเอาเหตุผลคอมมิวนิสต์สายพระมาอ้างทำไม จนชาวบ้นาเขารู้หมดเลย หุหุ
     
  12. ทิดหนึ่ง

    ทิดหนึ่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +768
    เห็นด้วยกับท่าน บรรพต อ. ที่ได้ท้วงติง ตามเหตุ ตามผล และตรงใจกับผู้อ่านกระทู้เป็นส่วนมาก
    ท่านเตชปัญโญ เอง ผมก็เห็นสมควรนะครับที่ท่านควรจะตอบข้อท้วงติงข้อเสนอแนะ อย่างเด่นชัด
    ขอสมา นะครับมิใช่ว่าจะติเตียนสงฆ์เลยนะท่าน แต่อยากจะได้ข้อเท็จจริงตาม พระธรรมจริง ๆ น่ะครับ
    ส่วนเรื่องที่เพื่อน ๆ จะเชื่อท่านหรือไม่ ท่านก็ต้องทำใจกว้าง ๆหน่อยนะครับ เพราะเป็นเรื่องของเขา ท่านเองก็บอกเองมิใช่หรือว่า มิให้เชื่อเพราะ............(ตามกาลมสูตร)
    ความเห็นของหลายท่านในกระทู้นี้ แสดงว่ายังมีคนเป็นห่วง ในพระพุทธศาสนาอยู่ไม่น้อยเลย ดีใจนะครับ
    ความเห็นของท่าน เตชปัญโญเอง ก็ถือว่าเป็นส่วนดี
    ผมเห็นว่า บางที เรามีจุดมุ่งหมายอันดีต่อพระพุทธศาสนาเหมือนกัน
    (หวังว่านะ) แต่บางที แนวคิด อุดมการณ์ อาจแต่งต่างกัน มันก็ยังเป็นบุญกุศลเหมือนกันนะครับ
    ถ้าเรามารวมแนวคิด ของเราให้มาเป็นหนึ่งเดียวเมื่อไร คงจะเป็นการดีไม่น้อย ศาสนาเราจะได้รุ่งเรืองต่อไปแน่ ๆ น๊อ
    อย่างน้อย ผมว่า ชาตินี้ถ้าผมจะตาย คงได้ตายอยู่ในบวรพุทธศาสนาแน่ ๆ ตายตาหลับนะครับ .......
     
  13. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    นี่ก็เป็นหนึ่ง....ในหลายๆอาเพศ....ซึ่งยืนยันว่า....ภัยพิบัติของโลกมีจริง....เพราะมีผู้.....เบี่ยงเบนพระธรรมคำสอน


    น่าเศร้าครับ......
     
  14. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ขอตอบปัญหาของคุณโยมหมอธรรมสักนิด<o:p></o:p>
    นิทานหลอกเด็ก น่าสนุก ถ้ามีจริงป่านนี้คงเกิดศาสดาใหม่ขึ้นมาในโลกแล้ว คนมีความคิดเขาไม่เชื่ออะไรง่ายๆหรอก เขาใช้เหตุผล เอาของจริงมาแสดง ทำไมเราถึงต้องซื้คอมฯ ซื้อโทรศัพท์มือถือหรือเทคโนโลยี่จากต่างประเทศมาใช้ ถ้ามีจริงทำไมเราไม่ใช้อิทธิปาฏิหาริย์ หรือผี สางเทวดาแทน ช่วยสอนให้คนเขามีปัญญาหน่อย อย่าเอาแต่มาหลอกคนอื่น ตัวเองถูกจิตตัวเองหลอกมาก่อนรู้ตัวหรือเปล่า. ทำไม่น่ะหรือ เพราะตัวเองยังไม่มีตัวเอง แล้วจะมาเอาตัวตนอะไรออกไปจากร่างกายได้<o:p></o:p>
    ป.ล. ช่วยให้ผี หรือเทวดาไปหลอกหลอนอาตมาที ถ้ามีจริงแล้วอาตมาจะเชื่อ หรือไม่ก็ตอบปัญหาของอาตามให้ได้เสียก่อน<o:p></o:p>
    เตชปญฺโญ ภิกขุwhatami@thai.com<o:p></o:p>
    www.whatami.8m.com<o:p></o:p>
    http://members.thai.net/whatami/



    +++++> ไม่น่าจะเป็นพระในพระพุทธศาสนาเลย.....พิโธ่
     
  15. ตาไฟ

    ตาไฟ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +66
    อยากยุติเร็วๆ ก็ส่งเรื่องให้กรมศาสนาตัดสิน หรือ


    ทำหนังสือรวบรวมรายชื่อ แล้วเข้าพบอุปัชฌาย์ของท่านสิ



    อยากปกป้องพระศาสนาจริง อย่ามัวพูดให้ยาวความ
    พูดไม่รู้เรื่องก็ลงดาบ
     
  16. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ท่านพูดอย่างนี้ก็เป็นพวกลัทธิ
    1. ลัทธิวัตถุนิยม
    2. ลัทธิอัตตานิยม
    3. ลัทธิตายแล้วสูญ
    เพราะนิยมเฉพาะสิ่งจับต้องได้ เห็นได้ ฯ ด้วยประสาททั้ง 5 แต่ทำไมไม่คิดถึง คำว่า จิต มันเป็นนาม พระพุทธเจ้าก็บอก คำว่า นาม มันไม่ใช่คำว่ารูป มันเป็นของตรงข้ามกัน อยากเห็นนาม เอาตาดูได้เหรอ พระคุณเจ้า เรื่องตายแล้วสูญเนี่ย พระพุทธเจ้าก็บอกมีมาในพระไตรปิฎก 3 ลัทธินี้ไม่ให้เชื่อถือ ไม่ใช่ทางสายกลาง ไม่ใช่ทางที่จะนำไปสู่ความดี คือมีพระนิพพานเป็นที่สุด
    สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นธรรมเพื่อการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง พระองค์สอนเรื่องสำคัญอยู่หลายเรื่อง หลักๆ คือสอนเรื่องศีล, สมาธิ, ปัญญา, กรรม, วัฏฏะสงสาร, นรก สวรรค์ เปรต สัตว์ มนุษย์ อสุรกาย เทวดา พรหม นิพพาน หากเป็นของพราหมณ์ ช่วยไปหาตำราพราหมณ์มาทีเถอะว่า เค้าสอนได้ละเอียดเท่าพุทธเหรอ ตำราไหน อย่าอ้างมั่วซั่วไม่มีที่มาที่ไป พระไตรปิฎกมีบันทึกไว้ คำภีร์พระเวทมีบันทึกไว้ที่ไหนไม่ทราบ (ไม่ทราบว่าสมาธิท่านเคยได้ถึงฌาณ 4 หรือยัง หรือว่าสมาธิ 40 แบบนั้นเป็นของพราหมณ์ ช่วยบอกหน่อยเถิดว่า ตำราของพราหมณ์เล่มไหน ที่สอนให้หายใจเข้าว่า พุท หายใจออกว่า โธ)
    ศีลอาจจะได้ แต่ถ้าสมาธิไม่ได้ ปัญญาก็ไม่เกิดหรอก อ่านเข้าไปเถอะพระไตรปิฎกน่ะ อ่านตั้งแต่เกิดจนตาย หากไม่ทำศีลให้บริสุทธิ์ ไม่ทำสมาธิให้ถึงฌาณสมาบัติ ก็ไม่มีทางพบแสงสว่างแห่งปัญญา ได้แต่อ่านแล้วรู้ ดันรู้เกินพระพุทธเจ้าสอนไปอีก วิเคาะ วิจาน พระไตรปิฎกที่พระอรหันต์ต่างจารึกชำระสืบทอดกันมา ก็เห็นจะมีสมัยนี้แหละ ที่คนบางกลุ่มนำพระไตรปิฎกมา วิเคาะ วิจาน แล้วเขียนใหม่ ตามอำเภอใจของตน คิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์หรือไง ถึงได้กล้าทำแบบนี้ ทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยน พระอรหันธรรมดาๆ ท่านยังไม่กล้าไปวิเคราะห์ตีความพระไตรปิฏกเลย(เพราะถูกอยู่แล้วจะไปเคาะหาหวยอะไร ธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีคำว่าขึ้นสนิม เพราะฉนั้นไม่ต้องไปเคาะ) พระอรหันต์อภิญญา จนถึงปฏิสัมภิทาญาณ เท่านั้นนั่นแหละ ท่านถึงจะกล้าอธิบาย ย่นย่อ สรุป ขยาย พระไตรปิฎกได้อย่างถูกต้องคล่องแคล่ว และไม่เห็นมีพระอรหันต์ท่านใดกล่าวจาบจ้วง บิดเบือนคำสั่งสอน ในพระไตรปิฎกเลย ถ้าสอนกันมาผิด ทำกันมาผิด ก็แสดงว่าโลกว่างจากอรหันต์มานานมากทีเดียว เพิ่งมาบังเกิดผู้มีปัญญา(รู้เท่าทันว่าพระไตรปิฎกผิด) เป็นอรหัน องค์เอกองค์เดียวในโลกนี่แหละ ระวังหันไปหันมา หันลงนรกไปเลยนะ จะหาว่าไม่เตือน(อ้อลืมไปท่านคงไม่กลัวว่าจะลงนรกหรอก ก็นรกท่านไม่มีนี่นา คนหลายคนก็เลยไม่ต้องลงนรกกัน เพราะนรกไม่มี ก็เลยฆ่ากันเป็นว่าเล่น กินเหล้าทุกเช้าค่ำ ฯ)
    หากคุณไม่เชื่อพระพุทธเจ้าสอน(ก็สึกไปซะ เพราะคนที่มาบวชนั้น บวชเพราะเชื่อพระพุทธเจ้า ถ้าบวชเข้ามาแล้วมาเถียงพระไตรปิฎกนี่ เท่ากับเดียรถีย์ ที่เถียงพระพุทธเจ้า ยังมีหน้ามาห่มผ้าเหลือง เพราะพระพุทธเจ้ากล่าวก่อนนิพพานว่า พระธรรมวินัย นั้นแลจักเป็นศาสดาสั่งสอนเธอทั้งหลายสืบไป ดังนั้นเถียงพระธรรมวินัย คือพระไตรปิฎก ก็เท่ากับเถียงศาสดา เถียงพระพุทธเจ้า เถียงบรมครู แล้วมันจะได้ดีกันขึ้นมาตรงไหน) แล้วสอนขัดกับพระองค์ ก็อย่าหวังเลยว่าจะเข้าถึงโลกุตตรได้
    ลัทธิอัตตานิยม เชื่อว่า ตัวกูมีตัวเดียว ชาติเดียว เกิดขึ้นทีเดียว แล้วก็ตายทีเดียว ไม่มีวัฏฏะ ไม่มีเวียนวาย จะนับเอาแต่สิ่งที่ปรากฎรู้ได้เท่านั้น นี่ท่านก็ห้ามเชื่อ ไว้เช่นกัน

    ก่อนโพสท่านคงเห็นเป็นเรื่องตลก แต่รู้ใหมว่าคนที่อ่านพระทู้ท่านแล้วเห็นเป็นเรื่องเศร้า ในที่สุดเมื่อท่านไม่ยอมเปลี่ยนความคิด เมื่อตายกายแตกลงไปแล้วท่านจะตลกไม่ออก บอกไว้แต่เพียงเท่านี้
     
  17. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ฟังดีๆ นะ เตชปัญโญ ภิกขุ

    1. ที่กล่าวว่า "เนื่องด้วยอายตนะสำหรับถูกต้องอารมณ์ ๖ ชนิด"
    - อายตนะมี 6 คือ รูป, รส, กลิ่น, เสียง, สัมผัส, ใจ
    - ในนรกก็ดี สวรรค์ก็ดี ฯ มีอายตนะครบถ้วน 6 อย่างนั้น
    - กำเนิดสัตว์นรกก็ดี กำเนิดสัตว์ก็ดี กำเนิดเปรตก็ดี กำเนิดอสุรกายก็ดี กำเนิดมนุษย์ก็ดีฯ ล้วนมีอายตนครบถ้วน 6 อย่างนั้น
    - จงเข้าใจไว้ว่า มิใช่เพียงรูปกาย, รูปลิ้น, รูปจมูก, รูปตา ฯ ของมนุษย์หรือสัตว์เท่านั้นที่เป็นอายตนะ หากรวมถึงอาทิสมานกาย อันมีรูปลิ้น, รูปจมูก, รูปตา ฯ ของเปรต สัตว์นรก เทวดา ฯ ก็มีอายตนะเหมือนกัน (อาทิสมานกาย คือกายละเอียด ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ แต่สามารถมองเห็นได้ด้วยทิพเนตร-ทิพจักษุญาณ)

    2. ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ก็ได้ทรงตรัสแสดงถึงเรื่องการเกิดขึ้นของวิญญาณ ๖ เช่นเมื่อรูปมาสัมผัสกับ ตาจึงเกิดวิญญาณทางตาขึ้น, เมื่อสียงมาสัมผัสกับหูจึงเกิดวิญญาณทางหูขึ้น เป็นต้น
    - เหตุที่ไม่ให้ตรัสว่าวิญญาณเป็นตัวเวียนว่ายตายเกิด ก็เพราะว่า วิญญาณไม่ใช่ตัวเวียนว่ายตายเกิด ๆ ก็เพราะว่า จิตต่างหากที่เวียนว่ายตายเกิด
    - ส่วนวิญญาณเป็นหนึ่งในขันธ์ 5 ขึ้นชื่อว่าขันธ์ 5 ย่อมไม่เที่ยง ๆ ย่อมเป็นทุกข์ ๆ ย่อมไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง (จะอธิบายให้กว้างขวางออกไปอีกในข้อต่อๆไป)

    3. นิพพานที่หมายถึงความไม่มีทุกข์ หรือความสงบเย็นนั้น คนธรรมดาก็มีได้ขณะจิตไม่มีกิเลส(เช่นตอนจิตปลอดโปร่ง แจ่มใส) แต่ไม่สมบูรณ์หรือเย็นสนิทและถาวรเท่านั้น ยิ่งคนที่ได้ ฌาน ๔
    จิตจะบริสุทธิ์ที่สุด และนิพพานสูงสุด(เย็นสนิท)ก็จะปรากฏ เพียงแต่ถ้าฌานนี้เสื่อม นิพพานนี้ก็จะหายไปเท่านั้น
    - เข้าใจเสียใหม่นะ สาธุชนทั้งหลาย นิพพานแปลว่าเที่ยง แปลว่าสุข นั้นแลเป็นของแท้จริง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั่นไม่ใช่ของจริง
    - ความสุขประเดี๋ยวประด๋าว มันเที่ยงรึเปล่าท่าน ความสุขในฌาณ มันเที่ยงรึเปล่าท่าน (ที่สำคัญในฌาณที่ 4 จตุตถฌาณ ไม่มีความสุขนะครับ มีแต่อุเบกขา กับอเกคตา กดข่มกิเลสไว้เท่านั้น) เพราะฉะนั้นที่ท่านกล่าวมาจึงผิด เพราะจิตที่เป็นนิพพานนั้น แปลว่าตัดขาดจากกิเลส กิเลสดับถึงที่สุด ไม่สามารถข้องจิตของพระอรหันต์ได้เลย จึงชื่อว่าถึงพระนิพพาน เป็นของแท้ทั้งแท่ง ก็จิตนั่นแหละที่ไม่หวั่นไหว จิตนั้นแหละไม่เปลี่ยนแปลง จิตนั้นแหละตัดกิเลิสได้หมดสิ้น จิตนั้นแหละถึงซึ่งวิมุตติสุข คือสุขอันปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง

    4. แล้วก็ไปหวังนิพพานที่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ของจริงมีอยู่เท่านี้ เรากลับไม่พอใจ เรากลับโลภไปอยากได้นิพพานที่เป็นบ้านเมืองที่เป็นอมตะ เมื่อมีความโลกที่เป็นกิเลส ถ้าสมมตินิพพานนั้นมีจริงก็ไม่
    มีทางที่คนโลภจะได้เป็นแน่
    - ของจริงที่ท่านว่ามันไม่ใช่ของจริงหรอกนะ เพราะของจริง จิตจะนิพพานตลอด ไม่มีคำว่าเสื่อม ไม่มีคำว่าถอย ไม่มีคำว่าเปลี่ยนแปลงได้ นิพพานตั้งแต่วันบรรลุอรหันต์นั้นแหละเป็นต้นไป สู่ความเป็นอมตนิพพาน
    - มนุษ์สร้างความดี เพียงแค่ถวายเข็มกับด้าย ก็เกิดเป็นเทวดา นางฟ้าได้ มีวิมานอยู่ อายุนานนับโกฏ นับล้านปี เพราะอานิสงฆ์แห่งทาน, มนุษย์ผู้ทำศีลให้บริสุทธิ์ ย่อมสามารถยังสมาธิให้เกิด ตายแล้วก็สามารถเกิดเป็นเทวดาชั้นสูง หรือเป็นพรหมได้(เข้าฌาณตาย) มีวิมานอยู่ อายุนานนับมิได้ ก็ด้วยอานิสงฆ์แห่งศีล และสมาธินั้นแหละ, ก็มนุษย์เป็นผู้มีทาน ศีล สมาธิ ปฏิบัติตามธรรมวินัย ย่อมยังปัญญาวิมุติให้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมชื่อว่าถึงนิพพานในเดียวนั้น ไม่ต้องรอกายดับ เมื่อกายดับ ย่อมมีวิมานอันไม่เคลื่อน ไม่มีกำหนดอายุขัย เพราะไม่ได้เกิด(เพียงแค่กายดับเท่านั้น) เหตุไฉน คนที่ทำทาน, รักษาศีล, ได้ฌาณสมาบัติ เป็นผู้มีวิมานอยู่เมื่อกายแตกดับ, แล้วอานิสงฆ์ความดีแห่งพระอรหันต์ จะไม่มีวิมานให้อยู่ ไม่มีที่ให้ซุกเลยอย่างนั้นหรือ ?
    - ก็นิพพาน พระพุทธองค์ตรัสว่ามีอยู่ เหตุใดท่านจึงพูดว่าตายแล้วสูญๆ นิพพานแล้วสูญๆ , คำว่านิพพานังปรมังสุญญังนั้นหมายถึง กิเลสสูญ จิตไม่ได้สูญ นิพพานไม่ได้สูญหายหรือดับสิ้น

    5. ส่วนเรื่องนรกคือความร้อนใจ และสวรรค์คือความสุขใจตามที่อาตมากล่าวถึงนั้น มันก็คือจิตสำนึกของเราทุกคนนั่นเอง คือถ้าใครทำความผิด ความชั่ว จิตสำนึกมันก็รู้อยู่ว่านั่นเป็นความผิด
    ความชั่ว แล้วมันก็จะเกิดความเสียใจ ไม่สบายใจ หรือทุกข์ใจไปตามระดับความผิดหรือชั่วที่ทำไว้ ไม่มีทางที่ใครจะทำชั่วแล้วไม่รู้สึกว่านั่นเป็นความชั่ว แม้คนที่ฆ่าลูกเมียเพื่อบูชายันต์ ถึงแม้
    จะเชื่อว่าได้บุญ แต่ความรู้สึกส่วนลึกก็ต้องรู้สึกเสียใจที่ฆ่าลูกเมียตนเองเพื่อบูชายันต์ ซึ่งนั่นก็คือผลของบาปนั่นเอง
    ส่วนบุญก็เหมือนกัน คือถ้าเราทำความดีจริง จิตสำนึกมันก็จะบอกว่านั่นคือความดี แล้วมันก็จะเกิดความรู้สึกอิ่มเอมใจของมันขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องมีใครบอก แต่ถ้าทำบุญอย่างเช่นด้วยการให้
    ทานอย่างมากมายแก่พระภิกษุเพื่อหวังสวรรค์หรือนิพพานนั่นเสียอีกที่จิตสำนึกมันจะบอกว่าไม่ใช่ความดีจริง มันเป็นความโลก แล้วจิตมันก็จะไม่เกิดความอิ่มเอมใจอย่างแท้จริง อาจจะเกิดบ้าง
    ก็เพียงความสบายใจว่าได้ทำบุญแล้ว และก็จะไปรับเอาเมื่อตายไปแล้วเท่านั้น
    - ถ้าอย่างนั้น บุคคลที่พอใจในการฆ่า ได้ฆ่าแล้วมีความสุข งั้นก็ไม่ควรจับขังคุก ปล่อยออกมาให้ฆ่ากันเลยดีมั้ย ทุกคนจะได้มีความสุขกันยังไงล่ะ ทุกคนจะได้ขึ้นสวรรค์กันยังไงล่ะ ทุกคนก็จะได้นิพพานอย่างท่านว่ายังไงล่ะ ความจริงท่านน่าจะเสียสละให้พวกฆาตกร ฆ่าท่านซะเลยนะ เพราะฆาตกรพวกนั้นจะได้ไปสวรรค์ จะได้ถึงซึ่งพระนิพพาน เป็ราะใจเค้าเป็นสุข พอนิพพานนั้นหายไป สุขนั้นหายไป ก็ฆ่าคนใหม่ที่มีความคิดอย่างท่าน ดีมั้ย ผมว่าดีนะ
    - ถ้าอย่างนั้นบางคน เกิดมาก็หาความสุขใส่ตัวพอไม่ต้องสนคนอื่น หาความสุขมากเท่าที่จะมากได้ เพราะมีความสุขเท่าไหร่ ก็คือถึงนิพพานมากเท่านั้น บางคตนอาจจะเที่ยวผู้หญิงไปเรื่อย เพื่อหาความสุข เพราะนั่นทำให้เขามีความสุข พอเค้าทำกิจเสร็จป๊บมีความสุข ท่านก็เอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบเขาเลยนะ เพราะนั้นเขากำลังนิพพานเลยทีเดียว ต้องรีบไปไหว้นะเดี๋ยวความสุขเค้าจะหายไปอีก นิพพานจะหายไปอีก

    6. เจริญพรมายังทุกท่านที่เชื่อมั่นในพระไตรปิฎก
    อาตมาใคร่อยากทราบคำอธิบายดังต่อไปนี้
    ๑. ขันธ์ ๕ คืออะไร? แต่ละขันธ์มีอะไรบ้าง? และแต่ละขันธ์เกิดขึ้น,ตั้งอยู่,และดับไปอย่างไร?
    ๒. ที่ว่าขันธ์ ๕ แต่ละขันธ์ตกอยู่ในสภาพของอนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตานั้นเป็นเช่นไร?
    ๓. ถ้าเชื่อว่ามีการเกิดใหม่ได้อีก แล้วอะไรที่ไปเกิด?
    ผู้ที่สามารถตอบคำถามทั้ง ๓ ข้อนี้ได้แจ่มแจ้งก็แสดงว่าเข้าใจถึงความจริงสูงสุดของชีวิตแล้ว แต่ถ้าใครเชื่อมั่นในคัมภีร์พระไตรปิฎกแล้วไม่ยอมศึกษาให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ระวังจะกลายเป็น
     
  18. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    ต้องขอเรียนเบื้องต้นว่า ไม่ปรารถนาจะให้เกิดการวิวาทเพราะพระธรรม
    แต่ต้องการให้เกิดความ "รู้แจ้งในธรรม" ไม่ผิดเพี้ยนเท่านั้น
    .........................................................................

    ขอสนทนาธรรมกับ คุณยายทองประสา ครับ


    กล่าวคือ อันจิตนี้ เกิดดับ อย่างรวดเร็ว มากมาย หากมองในมุมวิทยาศาสตร์
    ก็คือ กระบวนการทำงานของกระแสประสาทในสมอง หรือการสื่อสารของ
    เซลประสาทสมองในแต่ละรอบ ซึ่งรวดเร็วมาก (พระพุทธองค์ทรงสอนว่า
    จิตนี้เกิดดับ อย่างรวดเร็ว เลยสงสัยว่า แล้วมันจะไปทรงอยู่ ถอดไปไหนต่อ
    ไหน โดยไม่ดับได้อย่างไร?)


    ปัญหา คือ เมื่อ กายดับแล้ว เหตุปัจจัยแห่งจิตดับลง จิตนี้จะไม่ดับลงได้
    อย่างไร? และถึงแม้กายไม่ดับ แต่จิตนี้ก็เกิดดับนับไม่ถ้วน เอ? อย่างนี้
    ดวงจิตจะไปเกิดใหม่อย่างไร?


    อันว่าพระพุทธองค์ ไม่สอนว่าวิญญาณไปเวียนว่ายตายเกิดนี้ ท่าน
    ไม่สอนกับผู้ใด? ทุกคนเลยหรือไม่ หรือเพราะคนผู้นั้น ยึดติดท่าน
    จึงไม่สอน แต่ ปฏิจจสมุทบาท ท่านได้เทศนาให้พระอรหันต์ ท่าน
    ก็บอกว่ามีการเวียนว่ายตายเกิด

    เป็นธรรมดาหรือไม่ ที่พระองค์ไม่ทรงสรรเสิญการรอคอยชาติหน้า
    จึงไม่ทรงไปสอนเรื่องเวียนว่ายตายเกิด แต่สอนให้นิพพานแทน
    ทว่า พระโพธิสัตว์กวนอิม ท่านก็สอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
    และวิญญาณต่างๆ ซึ่งมหายานก็เชื่ออย่างนี้


    เพียงแต่ต้องรู้จริงว่า ไม่ใช่สิ่งที่ควรสรรเสริญถึงการไปรอเกิดเอา
    ชาติหน้า นิพพานก็ควรไปเสียชาตินี้เลย ดีกว่าไปลงนรก เกิดเป็น
    สัตว์เดียรฉานให้เขาฆ่ากินอีกหลายรอบกว่าจะได้มาเป็นคนอีกรอบ


    ส่วนการรับรู้ถึง "วิญญาณ" และผี นี้ มีหลายวิธีด้วยกัน วิทยาศาสตร์
    สมัยใหม่ ได้พัฒนาการถ่ายภาพรังสีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "ออร่า" แต่
    เทคโนโลยีนี้ยังไม่ได้รับทุนวิจัยมาก เพราะไม่ทำกำไร แต่อย่างไรก็
    ตาม มีการพัฒนาเทคโนโลยีไปมาก สามารถถ่ายติด "ภาพวิญญาณ"
    หรือ "ผี" นี้ได้มากมาย


    ส่วนคำว่า "ถอดจิต" นี้ เราอาจใช้กับจนเคยชิน เพราะจิตนี้ เกิด ดับ
    อย่างรวดเร็ว มันจะถอดไปไหน มันจะทรงอยู่ได้อย่างไร? เมื่อเหตุ
    ปัจจัยนี้ดับลง จิตก็ดับลงด้วย

    ที่เรียกว่า "กายทิพย์" ถอดกายทิพย์ นี่ ข้าพเจ้าคิดว่า คือ การถอด
    วิญญาณ มากกว่า "ถอดจิต" แต่เราใช้คำภาษาไทย จนเคยชินเท่านั้น
    เอง


    "จิต" กับ "ใจ" นี่ก็ใช้ จนสับสน ให้นึกพิจารณาดังนี้ ใจนั้น หมายรวม
    ทั้งกระบวนการทั้งหมด ของสมองไปเลย ใจ เสมือนหนึ่งแผ่นน้ำ และ
    จิต นี้เสมือนหนึ่งหยดน้ำ ที่เมื่อแผ่นน้ำไม่นิ่ง ก็ก่อเกิดน้ำทีละหยด สะท้อน
    ออกมาจากแผ่นน้ำ แล้วตกลงกลับสู่แผ่นน้ำ ดับไปเป็นดวงๆ จะไปไหนก็ไป
    ไม่ได้จริง (อธิบายเพื่อให้ลองจิตนาการเฉยๆ ไม่ใช่ว่าเป็นน้ำจริงๆ)

    แต่วิญญาณนี้ ถึงอยู่ก้นบึ้งในใจ หรือในแผ่นน้ำนั้น หากทำเลว อวิชชาก็พอก
    พูนสะสมใน "วิญญาณ" อันเป็นก้นบึ้งของใจ เมื่อตายลง มันก็บันทึก "กรรม"
    และรากเหง้าแห่งกิเลสนี้ไว้หมด วิญญาณ ก็ล่องลอยไป ตามเวรกรรมที่ตนทำ
    มา วิญญาณนี้ มีอายตนะของตนเอง รับรู้สัมผัสเจ็บปวดได้ เมื่อถูกทรมานใน
    นรกก็เจ็บปวดแสนสาหัสได้เช่นกัน


    ปล. ผมเป็นฝ่ายมหายาน อาจพูดไม่ตรงกับเถรวาทบางประการ
    ต้องขออภัย แต่มหายานก็เชื่อเรื่องวิญญาณแบบนี้ ไม่ทราบว่า
    เถียรวาทจะว่าอย่างไร?


    สาธุ..............................................................
     
  19. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    ส่วนประเด็นพระนิพพานนั้น ไม่ควรถกเถียง แต่หากกล่าวผิด
    ก็ควรท้วงติง ดังจะกล่าวดังนี้
    ..............................................................


    นิพพาน นี้คือ ดับสูญ ไม่เกิดอีก ยังไม่พอ ต้องมีปัญญาสว่าง
    ไสวด้วย

    หนึ่ง ดับซึ่งกิเลสทั้งมวล
    สอง ปัญญาสว่างไสว


    เพราะฉะนั้น หากจะกล่าวว่า บางท่านจิตว่าง นี่ก็เรียกว่าไม่บรรลุ
    ธรรม แม้นไม่มีกิเลส แต่เพราะปัญญายังไม่สว่างไสวนั่นเอง
    สัตว์ก็ไม่บรรลุพระนิพพานได้เพราะเหตุนี้ คนที่วิกลจริตก็ไม่บรรลุ
    ธรรม แม้นไม่มีความอยากใดๆ แล้วก็ตาม คนที่นอนเป็นคนจิต
    ไม่สมประกอบ เช่น บิ๊ก ดีทูบี ไม่มีความอยากอะไร เพราะจิตไม่
    สมประกอบ แบบนี้ก็ไม่เรียกว่านิพพาน เพราะไม่สว่างไสวมีปัญญา
    เห็นธรรมแต่อย่างใด

    จิตว่าง ก็ยังไม่นิพพาน
    จิตปราศจากกิเลส ก็ยังไม่นิพพาน
    ตราบเมื่อปัญญายังไม่สว่างไสวแท้จริง


    ส่วนคำว่า "นิพพานเที่ยง" นี้ไม่ควรใช้ เพราะจะทำให้สับสน
    กับ ไตรลักษณ์ ที่สอนว่า "อนิจจัง" ไม่เที่ยงหนอ

    แท้แล้วสิ่งใดเที่ยง? แม้แต่พระนิพพานก็ไม่เที่ยงไปได้ดอก
    เมื่อถึงวันหนึ่งวิญญาณที่ไปอยู่ในพระนิพพาน ทั้งหลายก็สลาย
    หมดสิ้น เมื่อจักรวาลระเบิดอีกรอบ พระเจ้าก็สร้างจักรวาลใหม่
    ที่ (พยายาม) จะไม่สร้างมนุษย์มาผิดๆ อีกรอบเท่านั้นเอง



    ปล. เรื่องพระเจ้าสร้างโลกนี้ พระพุทธเจ้าก็ไม่สอน แต่ไม่ได้แปล
    ว่าไม่มีนะครับ พระเยซูคริสตร์ท่านสอนไว้ ไม่ได้แปลว่าพระเยซู
    คริสตร์โพธิสัตว์เจ้า จะกล่าวเท็จ แต่คนเราสะสมบุญบารมีมาไม่เท่า
    กัน พระเยซูคริสตร์รู้เรื่องบางอย่าง เพราะท่านสะสมบุญบารมีมาแล้ว
    อธิษฐานขอความรู้นั้น ท่านก็ได้ไป แต่พระพุทธเจ้าสมณโคดม ไม่
    จำเป็นต้องสอน ท่านเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าสอนคนไปนิพพาน


    ดังนี้ ก็ไม่ได้แปลว่า พระเจ้าสร้างโลก เป็นเรื่องโกหกของพระเยซู
    คริสตร์เจ้าแต่อย่างใด


    ปล. ข้าพเจ้าเป็นมหายาน เชื่อเรื่องพระโพธิสัตว์ และพระโพธิสัตว์ต่างๆ
    ท่านลงมาจุติสร้างศาสนาอะไรไว้ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ไปค้าน หรือกล่าวว่าท่าน
    เหล่านั้นโกหกแต่อย่างใด ที่สำคัญ ท่านสอนอย่างนี้จริงๆ
    (พระเยซูคริสตร์ สอนว่าพระเจ้าสร้างโลก ซึ่งข้าพเจ้าก็เชื่อเช่นนั้น ท่านสอนว่า
    พระเจ้าจะรับมนุษย์ไปอยู่กับพระองค์ ซึ่งก็คือ ส่งพระบุตร หรือก็คือ พระพุทธ
    เจ้าและพระโพธิสัตว์ศาสดาต่างๆ มาเผยแพร่ศาสนาให้ทุกดวงวิญญาณได้ไป
    พระนิพพานนั่นแล)



    อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้ายอมรับภูมิธรรมของท่านยาย เพียงแต่หากยังไม่
    บรรลุอรหันต์ เรื่องเหล่านี้ก็อาจผิดเพี้ยนได้ทั้งเราและท่าน

    สาธุ.....................................................................
     
  20. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,702
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,016
    คุณยายทองประสาตอบได้ดีมาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...