นี่ ๆ เหล่านักปฏิบัติ จ๋าาา ช่วยวิสัชนา ตอบ นู๋บี ทีซิ ว่า ขรัวตาจะตีไหมค้าาาาาาาา ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย 5th-Lotus, 20 ตุลาคม 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หัวข้อ : เล่งฮู้ชง เก่งด้านลมปราณ หรือกำลังภายในบ้างรึเปล่า
    ข้อความ : เห็นใช้แต่วิชากระบี่ แล้วฝีมือกระบี่นี่แพ้ใครบ้างในเรื่อง

    จาก : linghu - 19/06/2002 22:15


    ข้อความ : ศิษย์พี่เล่งฮู้ก็ฝึกลมปราณเหมือนกันนะ แต่เชี่ยวชาญด้านกระบี่มากกว่า ฝีมือกระบี่ไม่รู้จะแพ้อาจารย์ปู่ฟงชิงหยางรึเปล่า

    จาก : บัณฑิตไร้วรยุทธ - 20/06/2002 12:17


    ข้อความ : ลมปราณของเล่งฮู้ชงเห่ยใช้ได้เลยมั้ง ถ้าไม่นับพวกตัวรองๆก็น่าจะแพ้หมด นับ ฉั้งแป๊ะกวง ปุกก่ายไต้ซือ แฝดหกท้อ เกือบจะได้ฝึกปราณเมฆม่วงอยู่แล้ว แต่หนังสือหายก่อน แต่ท้ายสุดพลังปราณคงสูงพระเจ้าเพราะได้เปลี่ยนเส้นเอ็นไปตอนท้ายเรื่อง ส่วนเพลงกระบี่ก็เก่งกว่าชงฮือเต้าเจี้ยง แต่เสมอกับยิ่มอั้วเกี่ย แต่คงแพ้ฮวงเช็ง***************งมั้ง

    จาก : ถ้าจำไม่ผิด - 20/06/2002 12:46


    ข้อความ : ลมปราณ น่าจะใช้ได้นะครับ เพราะได้รับลมปราณมาอื้อเลย แถมยังฝึกยอดวิชาดูดดาวอีก ตอนหลังฝึกคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น


    จาก : Nick - 20/06/2002 13:35


    ข้อความ : ตอนแก่คงเก่งสมบูรณ์แบบหนุ่มๆเากระบี่ไปก่อนเก่งเร็วดี

    จาก : เจียงจื่อหยา - 20/06/2002 15:37


    ข้อความ : - เริ่มแรกไม่เก่งเลย ลิ้วล้อ ดีๆนี่เอง

    - แล้วมาเก่งกระบี่ เพิ่งเริ่มเก่ง ลมปราณก็มีปัญหาใช้ออกไม่ได้

    - พอมีปัญหาเรื่องลมปราณ เลยใช้กระบี่สู้อย่างเดียว ยิ่งสู้เลยยิ่งเก่ง
    ด้านกระบี่ เพราะเก้ากระบี่เดียวดาย ท่าทางไม่ใช้ลมปราณช่วยก็จัดการ
    มือระดับกลางๆได้สบายๆ

    - แล้วมาได้วิชา มหาเวทย์ดูดดาว ลมปราณเลยแน่นเป็นพิเศษ เพราะดูด
    ได้แบบดูดโอเลี้ยง ชาดำเย็น แต่เหล็งหูชงกลับไม่พยายามฝึกให้รุดหน้า

    - ท้ายเรื่องได้วิชา โยกย้ายเส้นเอ็น เก่งแค่ไหนไม่รู้เพราะเรื่องจบก่อน

    อิๆๆ จำได้ประมาณนี้ล่ะครับท่านทั้งหลาย

    จาก : ป้อมเขาแดง - 20/06/2002 20:47


    ข้อความ : ลืมตอบอีกเรื่อง เรื่องกระบี่แพ้ใครในเรื่อง

    - กับ ฟงชิงหยา นี่ไม่ได้สูกัน แต่ถ้าสู้เหลิ่งหูชงน่าแพ้

    - กับ ยิ่มกัว*************** ผลแพ้ชนะไม่ปรากฎ เพราะคู่ต่อสู้ล้มกระดาน
    ด้วยการร้องโวยวายเสียงดัง เหลิ่งหูชงตกใจขวัญอ่อนเลยสลบไป

    - กับ ตงฟาง เข็มของตงฟางถือเป็นกระบี่ 1เล่ม ในเรื่องบอกไว้
    ฉนั้นด้านกระบี่ แพ้ให้ตงฟางปุกป่าย อย่างค่อนข้างเป็นทางการ

    จาก : ป้อมเขาแดง - 20/06/2002 20:53


    ข้อความ : เหล็งฮู้ชง แพ้ ตังฮึงปุกป่ายแน่นอนเพราะ ตังฮึงรวดเร็วกว่า
    อีกทั้งกระบวนท่าก็ล้ำเลิศเพียงแต่มีจำกัดใช้หมดแล้วต้องกลับไปใช้ทวนซ้ำแต่เหล็งฮู้ชงตรงกันข้ามเพราะ
    เขาไร้กระบวนท่า หากสู้กันไปนานๆ หรือหลายครั้งเข้า ชงยี้
    ชนะเพราะรับทราบกระบวนท่าของตังฮึงปุกป่ายหลายรอบ
    จนมองจุดอ่อนได้


    จาก : กระบี่ผลึกใบไม้แห้ง - 20/06/2002 23:21


    ข้อความ : ขอบคุณ จอมยุทธ์ทุกท่านที่มาตอบ ความรู้สูงส่งกันจริง ๆ

    จาก : linghu - 20/06/2002 23:58


    ข้อความ : อิๆๆผมว่าเหลิ่งหูชง ถ้าสู้เดี่ยวๆกับท่านตงฟาง
    คงไม่ต้องให้ท่านตงฟาง ทวนกระบี่รอบสองนะครับ
    เพราะพี่เหลิ่งตายก่อน แน่นอน

    กับงักปุกคุ้ง หรือลิ้มเพ้งจื้อ นั่นใช่ เพราะพลังฝีมือห่างกันไม่เด็ดขาด
    เพลงกระบี่ ที่ทวนวนรอบสอง รอบสาม ย่อมไม่มีประสิทธิภาพเท่ารอบแรก

    จาก : ป้อมเขาแดง - 01/07/2002 13:56


    ข้อความ : เก่งกว่า ต๊กโกสุดยอด

    จาก : เล่งฮู้ชง - 18/11/2004 22:21


    ข้อความ : ไม่ได้แพ้ใครเลยครับ แต่เล่งฮู้ชงยอมรับ ตงฟางฟุป้าย เพราะต้องรุมสู้ถึงชนะ

    จาก : นโปเลียน - - anurak_tee@hotmail.com - 26/04/2007 02:25


    ข้อความ : ภูเขาไม่ขาด สายน้ำไม่สิ้น คงได้พบกัน

    จาก : ไปป์ - - pipe_6447@hotmail.com - 17/01/2008 09:48


    ข้อความ : เล่งฮู้ชง ได้ฝึกสุดยอดลมปราณ 2 วิชา คือ มหาเวทย์ดูดดาว และ คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น ซึ่งวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นเป็นลมปราณอันดับ 1 ของวัดเส้าหลินและน้อยครั้งมากที่จะถ่ายทอดให้คนนอก ขณะที่สู้กับตงฟางปุ๊ป้าย ยังไม่ได้ฝึกเปลี่ยนเส้นเอ็น มีเพียงไม้ตายเคล็ดพิสดารเก้ากระบี่เดียวดายที่ยังไม่มีอานุภาพ
    ร้ายกาจเท่าไหร่ แต่ตงฟางก็ชมว่าเป็นยอดกระบี่ สุดท้ายเล่งฮู้ชงคือจอมยุทธอันดับ 1 ในแผ่นดินตัวจริงในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร

    จาก : หยางเค้งเพ้ง - 14/02/2008 18:30


    ข้อความ : แล้ว เก้ากระบี่ต๊กโกนี่เปนวิชาเดียวกับเพลงกระบี่ของ***************ก๊วยป่าวครับเหนเรียกเหมือนกัน

    จาก : ฮายาริ - 04/06/2008 03:08


    ข้อความ : เล่งฮู้ชงเป็นจอมยุทธ์ท่านหนึ่งที่มีความเป็นธรรมดาสามัญ
    แต่ความธรรมดาของเขาเป็นความดึงดูดใจผู้คนที่สุดเพราะเขาพิสูจน์ว่า
    คนธรรมดาผู้หนึ่งก็กลายเป็นวีรบุรุษได้ วีรบุรุษผู้กล้าไม่จำเป็นต้องมีฐานะอันพิเศษพิสดาร
    ขอเพียงมีจริยะอันสูงส่งเท่านั้น

    เล่งฮู้ชงเป็นบุคคลที่ปล่อยตัว เขาไม่วางท่าเคร่งขรึม ถึงกับไม่ยึดติดกับตัวตน
    ไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของธรรมเนียมคร่ำครึ เขาไม่สนใจว่าผู้อื่นมีความรู้สึกต่อเขาอย่างไร
    แม้แต่ท่านอาจรย์ปู่ “ฟงชิงหยาง” สั่งสอนเขาว่า คิดทำอะไรก็ทำเช่นนั้น
    เขาไม่เคยเห็นว่าตัวเองมีความสำคัญอันใด เป็นบุคคลอันรื่นรมย์ที่หาได้ยากยิ่งผู้หนึ่ง

    เล่งฮู้ชง กราบอาจารย์ฝึกกระบี่นานนับสิบปี ทุกครั้งที่ฝึกต้องตั้งสติ และให้คิดอยู่ในกรอบ
    เนื่องจากเป็นศิษย์พี่ใหญ่ย่อมต้องถูกอาจารย์เคี่ยวกรำ และเข้มงวดเป็นพิเศษ
    หากกระบวนท่าผิดเพี้ยนไปถือว่าผิด ครั้นมาพบท่านอาจารย์ปู่ฟงชิงหยาง ได้สอนเก้ากระบี่เดียวดาย
    ด้วยแนวทางตรงกันข้าม มิให้คร่ำครึงมงาย ให้ปล่อยตัวปล่อยใจ โดยเน้นที่สำนึกของกระบี่เป็นหลัก
    ซึ่งสอดคล้องกับนิสัยที่ไม่ยึดติด
    เก้ากระบี่เดียวดาย บัญญัติขึ้นโดยท่านปรมาจารย์ ต๊กโกวคิ้วป่าย (แสวงหาความพ่ายแพ้)
    ในชีวิตคิดแสวงหาความพ่ายแพ้ แต่ไม่ได้มา เคล็ดของเก้ากระบี่เดียวดาย ไม่เน้นที่กระบวนท่า
    แต่เน้นที่สำนึกของกระบี่ ทุกกระบี่ล้วนจู่โจมสู่ตำแหน่งที่ศัตรูมิอาจต้านรับ
    เคล็ดวิชาพอสรุปได้ดังนี้

    “กระบวนท่าต่าง ๆ ล้วนเป็นของตาย ผู้ใช้กระบวนท่าต่างหากที่เป็นของเป็น
    หากหลงยึดคร่ำครึกับกระบวนท่าที่เป็นของตาย ต่อให้ฝึกท่าไม้ตายหลายร้อยหลายพันกระบวนท่า
    ในที่สุดยังถูกผู้คนทำลายไปสิ้น ดังนั้นหัดกระบวนท่า ต้องหัดให้เป็นใช้ให้เป็น
    โดยการหล่อหลอมทุกกระบวนท่าเข้าด้วยกัน ศัตรูก็ไม่สามารถจู่โจมทำลายได้
    การหัดให้เป็นใช้ให้เป็นเป็นเพียงขั้นที่หนึ่ง ต้องทำถึงขั้นไร้กระบวนท่า
    ค่อยก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของวิชาฝีมือ คำว่า “หล่อหลอม” กล่าวถูกเพียงครึ่งเดียว
    ซึ่งความจริงท่ากระบี่ต่อให้หล่อหลอมอย่างไร ขอเพียงมีริ้วรอยให้สืบสาว ศัตรูยังมีช่องว่างฉกฉวย
    แต่หากซึ่งไร้กระบวนท่า ศัตรูจะทำลายกระบวนท่าได้อย่างไร เพียงแต่คนที่ไม่เคยฝึกวิชาฝีมือ
    ได้แต่ฟาดฟันออกไปแบบมั่ว ๆ โดยไร้กระบวนท่า ย่อมถูกผู้อื่นล้มได้ง่าย
    เพราะใช้ออกโดยไร้สำนึกของกระบี่ อีกทั้งมองกระบวนท่าของศัตรูไม่ออก ”

    เก้ากระบี่เดียวดาย เน้นการค้นหาจุดอ่อนของกระบวนท่าของคู่ต่อสู้ หากคู่ต่อสู้มีกระบวนท่าเดียว
    เก้ากระบี่เดียวดายก็มีกระบวนท่าเดียว หากคู่ต่อสู้มีกระบวนท่าที่เปลี่ยนแปลงนับร้อยนับพันกระบวนท่า
    เก้ากระบี่เดียวดายก็เปลี่ยนแปลงตามและมีนับพันกระบวนท่า
    (อ่านแร้วคล้ายสุดยอดวิชากระบี่ของท่านบุญฯเลยแฮะ [​IMG])


    จาก : franken - - sucharttttt@yahoo.co.th - 26/01/2009 10:58


    ข้อความ : ที่มาของกระบวนท่าต่างกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีอาวุธหรือไม่ สุดท้าย
    แล้วการที่จะก้าวขึ้นไปสู่ผู้ทักษะยุทธก็ไม่มีกระบวนท่าหรือรูปแบบ
    อะไรมากมาย ดังคำในเรื่องคือ มีกระบวนท่าย่อมมีจุดอ่อน ในมังกร
    หยก***************ก้วยและยอดฝีมือคนอื่นก็เหมือนกัน หรือเพลงหมัดไท้เก๊ก
    และเพลงกระบี่ไท้เก๊กที่เตียซัมฮงถ่ายทอดให้เตียบ่อกี้ให้ลืมให้หมด
    ใช้เอกลักษณ์ของต่อสู้และถ่ายทอดวิญญาณกระบี่ให้ก็แบบเดียวกัน
    ทั้งหมดนี้นำมาปรับใช้ได้ทุกๆอย่างแหละครับ

    จาก : จอมยุทธเล่งฮู^^ - - mattichai_p@hotmail.com - 30/08/2009 01:26

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2009
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    <!-------------------- Begin Banner Cafe Exclusive --------------------><TABLE cellSpacing=1 border=1><TBODY><TR><TD width="100%"><SCRIPT language=javascript src="http://ads.pantip.com/banner/jsbanner.php?cafe:exclusive:chalermthai"></SCRIPT></TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <!-------------------- End Banner Cafe Exclusive -------------------->

    [เดชคัมภีร์เทวดา] ทำไมตอนจบมันดูง่ายๆยังไงไม่รู้
    เพิ่งดูเดชคัมภีร์เทวดา 1996 จบ เลยมีข้อสงสัยเล็กน้อย ไม่รู้ว่าในหนังสือกับในหนังต่างกันขนาดไหน
    ทำไมดูคนเก่งๆตายง่ายจัง (จริงด้วยแฮะ แถวๆห้องอพินยา-มาทิ มีตรึมเลย ตกม้าตายเอง [​IMG])
    เริ่มแรกก็ ตงฟางปุ๊ป้าย ดูเหมือนจะเก่งมาก แต่โดนฝ่ามือเดียวตายเลย
    ต่อมาก็ งักปุ๊กคุ้ง ยังไม่ทันได้แสดงฝีมือ สักเท่าไหร่เลย โดนแม่ชีน้อยใช้ดาบเสียตาย
    สุดท้ายก็เยิ่นอั้วฮัง(เขียนถูกป่าวว้า) โมโหมาก หัวใจวายตาย โหไม่ทันได้สู้เลย
    หลังดูจบมีข้อสงสัยเล็กน้อยครับ
    - ฟงชิงหยางหลังจากออกมาช่วยสอน เพลงกระบี่นพเก้าแล้วไม่โผล่มาอีกเลยเหรอครับ(เป็นอาจารย์ของ งักปุ๊กคุ้ง หรือป่าว)
    - เพลงกระบี่นพเก้า นี่เกี่ยวอะไรกับ คัมภีร์นพเก้า รึป่าว
    - ถ้าเกี่ยวแล้ว ฟงชิงหยาง รู้มาได้ไง มาตกอยู่ หัวซานได้ไง
    - แล้วทำไมพวกพรรคมารถึงรักอิ๋งอิ๋ง จำได้ว่ามีตอนนึง เล่งฮูชงถาม พวกนั้นก็บอกให้ไปถาม อิ๋งอิ๋งเอาเอง แต่สุดท้ายก็ไม่รู้
    - สุดท้ายพวกเล่งฮูชงรู้จริงๆเลยไหมว่า งักปุ๊กคุ้งเป็นคนฆ่าแม่ชีทั้งสอง เห็นมีแต่อิ๋งอิ๋งเดาว่าน่าจะใช่เพราะเห็นใช้เข็มเป็นอาวุธ
    จากคุณ : เห็นด้วยครับ - [ 4 มี.ค. 50 17:38:16 ]
    --------------------------------------------------------------------------------
    ความคิดเห็นที่ 1
    ถ้าดูปี 1996 ต้องบอกว่า ภาคนี้สนุกมาก และก็ ดัดเเปลงไปมากด้วย ไม่ค่อยเหมือนในหนัง เลย
    ในหนังสือ ตงฟางปุ๊ป้าย อึดสุดๆ ถ้าไม่โดนโกงโดยการใช้ คู่ขา ตงฟาง มาเเบ่งเเยกสมาธิ มีหวังตายยกก๊วน
    - ฟงชิงหยาง นี้ไม่ใช้อาจารย์ของงักปุ๊กคุ้งเเต่น่าจะเป็นประมาณผู้อาวุุโสของพรรค มากกว่า
    - เพลงกระบี่นพเก้า นี้ตกทอดมาจากยุคมังกรหยก อีกที่นึง
    ส่วนข้ออื่น รอท่านอื่นดีกว่า จำมะค่อยได้เเล้ว ^^
    แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 50 18:23:35
    จากคุณ : รักนางเอกเซียนกระบี่ (the one man bin 2) - [ 4 มี.ค. 50 18:21:07 ]

    ความคิดเห็นที่ 2
    - สำนักหัวซานในอดีตแบ่งเป็นสองฝ่ายคือ สายกำลังภายใน และสายกระบี่ เกิดการต่อสู้กัน สายกระบี่พ่ายแพ้ บ้างก็ตาย บ้างก็ออกจากสำนักไป
    ฟงชิงหยางรอดตาย เพราะถูกสายกำลังภายในหลอกลงเขาให้ไปแต่งงาน กว่าจะรู้ก็สายเสียแล้ว จึงเก็บตัวอยู่หลังเขามาโดยตลอด เมื่อเห็นเหล็งฮู้ชง ก็รู้ว่าสอนได้ จึงออกมาสอนวิชาให้
    ส่วนวิชากระบี่นี้ ไม่เกี่ยวกับมังกรหยก เป็นวิชาดั้งเดิมสายกระบี่ของหัวซาน แต่เนื่องจากงักปุกคุ้งเป็นสายกำลังภายใน เน้นฝึกวิชาเมฆม่วง ประกอบกับผู้ฝึกสายกระบี่ล้วนจากไป จึงไม่มีการสอนวิชานี้
    - พรรคมารรักอิ๋งอิ๋ง เพราะนางมีฐานะสูงส่งในพรรค ตงฟางปุกป่าย เกรงใจนาง
    หนึ่ง เพราะกลัวคนจะครหาว่าตนสังหารบิดาอิ๋งอิ๋ง จึงต้องเอาใจนางไว้ก่อน
    สอง ตงฟางหลงใหลในความงามของนาง ไม่ใช่หลงใหลแบบชายหญิง แต่อยากสวยเหมือนอิ๋งอิ๋งมากกว่า
    ตงฟางใช้ยาพิษควบคุมลูกน้อง ทุกปี จะแจกยาถอนพิษให้ ลูกน้องบางคนไม่ได้ทำความดีความชอบ ตงฟางก็แกล้งไม่ให้ยาซะงั้น
    อิ๋งอิ๋งต้องออกหน้าขอร้อง ตงฟางจึงยอมให้ยา บรรดาพรรคมารจึงยกย่องว่านางมีบุญคุณ
    - เหล็งฮูชงเห็นงักปุกคุ้งใช้เข็มเป็นอาวุธ จึงรู้ว่า งักปุ๊กคุ้งเป็นคนฆ่าแม่ชีทั้งสอง
    จากคุณ : จอมยุทธหญิง (magarita30) - [ 4 มี.ค. 50 18:43:16 ]
    ความคิดเห็นที่ 3
    - ฟงซิงหยางเป็นผู้อาวุโสที่เหลือรอดมาจากศึกภายในหัวซานระหว่างสายกระบี่และสายลมปราณ (ซึ่งก็คือสายที่ชนะ ทำให้ตำแหน่งเจ้าสำนักตกมาทางงักปุ๊กคุ้ง) โดยฟงซิงหยางเป็นสายกระบี่ จะว่าไปถือเป็นอาจารย์ปู่ได้มั้ง.. ที่ไม่โผล่มาอีกเลย เพราะขอแค่เก้ากระบี่ต๊กโกวมีผู้สืบทอดได้แล้ว.. ตนเองก็หมดห่วง สังเกตได้ว่า เรื่องนี้ จะมีซักกี่คนที่สามารถละทิ้งเรื่องราวในยุทธภพ ละวางเรื่องพรรคฝ่ายธรรมมะกับอธรรม จนสามารถยิ้มเย้ยยุทธจักรได้..
    - เก้าในที่นี้คือเก้ากระบี่ต๊กโกวของผู้อาวุโสต๊กโกวคิ้วป้าย.. ซึ่งถูกกล่าวไว้ในมังกรหยก 2 โดย***************ก้วยอาจจะถือได้ว่าเป็นศิษย์สายกระบี่นี้คนแรก.. ส่วนคำภีร์นพเก้าอาจจะหมายถึงเก้าอิ๊มจินเกง สุดยอดคำภีร์ที่ขุนนางในราชสำนักท่านนึงได้บัญญัติขึ้นมาเพื่อปราบศัตรู ... รายละเอียดอันนี้ข้าเจ้าก็ลืมไปเยอะแล้วเหมือนกันต้องรอท่านอื่นมาอธิบายเพิ่มอีกที แต่คนละอย่างกับเก้ากระบี่ต๊กโกว
    - ฟงซิงหยางน่าจะเป็นผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดเก้ากระบี่ต๊กโกวมา.. โดยอาจจะสืบทอดมาทางสายกระบี่ของหัวซาน ข้าเจ้าไม่ค่อยได้เห็นรายละเอียดของตัวละครนี้เท่าไหร่..
    - พวกลูกน้องพรรคมารที่ว่า .. เกรงกลัวและเกรงใจธิดาเทพเพราะถูกบังคับด้วยยาพิษ ชื่ออะไรข้าเจ้าก็จำไม่ได้.. แต่ยาแก้จะอยู่ที่อิ๋งๆ ส่วนใหญ่ได้รับมาตั้งแต่สมัยเยิ่นอั๊วฮั้งยังเป็นประมุขพรรคเมื่อก่อนแล้ว.. จริงๆ จะมารหรือไม่ ถ้าดูจบก็จะสามารถคาดเดานิสัยผู้คนเหล่านี้ได้ว่าจริงๆ จัดเป็นพรรคมารหรือไม่.. มันจะสามารถอธิบายเหตุผลได้ว่า จริงๆ เค้ากลัวอิ๋งๆ กันจริงๆ หรือว่าใจนึงอาจจะเอ็นดูความไม่ประสาเรื่องรักในวัยรุ่นก็ได้.. เพียงแต่มันสอนให้รู่ว่า อย่าให้วัยรุ่นที่กำลังวุ่นรัก ถือยาแก้พิษที่ตัวเองได้รับอยู่เด็ดขาด .. ไม่งั้น อาจจะไม่ได้ตายเพราะพิษยา แต่อาจจะตายเพราะพิษรัก (ของเด็กๆ) ก็ได้ อิอิ
    - เล่งฮู้ชงเป็นเด็กกตัญญู จนต้องรู้ถึงไส้จริงๆ .. ถึงจะยอมเชื่อว่าอาจารย์ตัวเองร้ายกาจขนาดไหน... คนที่ดูออกจึงต้องเป็นคนที่ฉลาดมากๆ เข้าคู่กับเล่งฮู้ชงได้จริงๆ บางทีอาจจะสงสัยในตรรกะเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมด แต่ด้วยความที่เป็นลูกผู้ชายนายกตัญญุผู้เปิดเผย เลยอาจจะไม่กล้าฟันธง..
    จากคุณ : _K_F_C_ - [ 4 มี.ค. 50 18:58:10 ]
    ความคิดเห็นที่ 4
    แสดงว่าจริงๆแล้วคือ คนละเก้ากัน แต่ในหนังพากย์เป็น เพลงกระบี่นพเก้า ผมเลยเข้าใจผิดไปนึกว่าเกี่ยวกับ คัมภีร์นพเก้า
    - ว่าแต่ผมจำได้ว่า ในมังกรหยกภาคสอง ***************ก้วย ได้เรียนเพลงกระบี่ของตั๊กโกวคิ้วป้ายจริง แต่ตอนนั้นยังไม่มีสำนักหัวซานนี่หน่า แล้ว***************ก้วยก็น่าจะเป็นศิษย์คนเดียวของตั๊กโกวคิ้วป้าย แล้วสุดท้ายตกมาอยู่กับหัวซานได้ไง (หรือว่า หลังจากนั้น พี่อินทรีใจดี พาคนมาสอนแล้วไปตั้งสำนักหัวซานขึ้นมา)
    จะว่าไปตงฟางปุ๊ป้าย ก็ดูเป็นคนดีเหมือนกันนะเนี่ย ดูอิจฉา อิ๋งอิ๋ง แต่ไม่ริษยา เมื่ออิ๋งอิ๋งออกหน้าก็ให้ยา(ตามที่คุณจอมยุทธหญิงบอก ในหนังไม่ได้บอกไว้อะครับ) มิน่าพวกพรรคมารเลยรักนาง แต่จริงๆแล้วก็ไม่น่าจะเรียกว่าพรรคมารเท่าไหร่เลย ดูจากในหลายๆเรื่อง พวกพรรคมารนี่ดีกว่า พวกพรรคธรรมะอีก
    ส่วนตัวชอบเล่งฮู้ชง ตรงที่ดูเหมือนผสมผสานส่วนดีๆจาก ซีรี่มังกรหยก มีคุณธรรมเหมือนก๊วยเจ๋ง มีความเจ้าเล่ห์เหมือน***************ก้วย และบางทีก็ดูซื่อเหมือนเตียบ่อกี้ ทำดีกับทุกคน
    เห็นด้วยกับคุณ _K_F_C_ เลยว่าต้องมีนางเอกที่เข้าคู่กันได้มาเพิ่มความโหดเ******้ยม อย่างตอนที่อิ๋งอิ๋งกับเล่งฮู้ชงโดนจี้จุดอยู่ที่เหอซาน แล้วมีคนสี่คนที่โดนงักปุ๊กคุ้งหลอกให้จับตัวแม่ชีไป จะมาทำร้าย ดูเล่งฮุชงไม่กล้าฆ่า แต่ อิ๋งอิ๋งๆจัดให้
    นิยายของกิมย้งที่ผมดูมา นางเอกจะอยู่พรรคมารซะส่วนมาก แล้วจะต้องเจ้าเล่ห์กว่าฝ่ายชาย ซะส่วนมากเลย ทั้ง ก้วยเจ๋ง-อึ้งย้ง เตียบ่อกี้-หมิ่นหมิ่น เล่งฮู้ชง-อิ๋งอิ๋ง
    - ที่ว่าฉายาของตงฟางปุ๊ป้าย คือ บูรพาไม่แพ้ ไอ้"บูรพา"เนี่ย มันเป็น บูรพาเดียวกับของ อึ้งเอี๊ยะซือ "มารบูรพา" รึป่าว เพราะประเทศจีนใหญ่เหลือเกิน ไม่รู้ว่าเป็นเมืองเดียวกัน เขตเดียวกันรึป่าว
    จากคุณ : จขกท (เห็นด้วยครับ) - [ 4 มี.ค. 50 20:46:21 ]
    ความคิดเห็นที่ 5
    เิ่ิอ่อ ผมถูกเเล้วนี้คับ ที่มา เพลงกระบี่นพเก้า เนี้ย เเรกๆก็ งง กับชื่อที่ จขกท.บอก นะ เเต่เดา ว่ามันน่าจะอันเดียวกับกับ กระบี่เก้าเดียวดาย
    ส่วนตัวผมคิดว่า กิมย้ง ลุงเเก เกิดสับสนกับเวลา ของวิชา เพลงกระบี่เก้าเดียวดายนี้ เเหละ
    คืองี้นะคับ ถ้าจำไม่ผิดเลย โกวคิ้วป้าย นี้มีมาก่อนยุคมังกรหยกอีก น่าจะอยู่เเถวๆ 8 เทพ นะ เเต่ที่นี้ วิชากระบี่เดียวดาย ก็ มาโผล่อีกทีโดยพี่อินทรีย์ จากนั้น งานประพันธ์อื่นๆก็เงียบ ไป แล้วจึง ค่อยมายุค กระบี่เย้ย ซึ่ง เป็น ยุคที่ถัดมาจาก มังกรหยก อีกปีอีนนี้ผมจำไม่ได้ เลย แต่จำได้ว่าไม่ถึง 100 ปี น่าจะ 80 ปีได้มั้ง
    ซึ่งกระบี่เก้าเดียวดายก็โผล่มาอีกรอบ โดย ฟงชิงหยางเอามาสอนพระเอก แล้วยังพูดว่า ถ้าตนไม่สอนพระเอก วิชานี้ก็จะสาบสูญจากยุทธ์ภพไป จึงน่าเป็นที่สังเกตุว่าพี่อินทรีย์ ได้สอน เพลงกระบี่นี้แก่ ฟงชิงหยาง เองเลย แต่พี่อินทรีย์แกจะ อายุยืนขนาดนั้นเลย หรอ ผมเลย คิดว่า เกิดการสับสนทางเวลา

    จากคุณ : รักนางเอกเซียนกระบี่ (the one man bin 2) - [ 4 มี.ค. 50 21:32:13 ]
    ความคิดเห็นที่ 6
    กระบี่เย้ยยุทธ์จักร ไม่ได้ระบุเวลาครับ ว่าเนื้อเรื่องอยู่ยุคไหน ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องราวการเมือง หรือราชสำนักด้วย เพราะกิมย้งจงจงใช้เรื่องราว การช่วงชิงความยิ่งใหญ่ในวงการนักเลง เสียดสีเรื่องของการเมือง
    แต่เราจินตนาการได้ว่า น่าจะเกิดหลังยุคมังกรหยก จากการบรรยายฉากในนิยายหลายๆ ตอน เช่น ในมังกรหยก เตียซำฮง ก่อตั้งสำนักบู้ตึง พอในกระบี่เย้ยยุทธจักร์มีสำนักบุ้ตึ้งด้วย ก็แสดงว่าเป็นยุคหลังแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่ากี่ปี
    ดังนั้นพวกเรื่องเวลา เราจึงเอามาอ้างอิงไม่ค่อยได้ครับ
    เก้ากระบี่เดียวดาย เป็นของ ต๊กโกวฉิวป้าย ไม่ใช่วิชาของหัวซานนะครับ ศิษย์หัวซานไม่เคยมีใครเรียนมาก่อน ฟงซินหยาง ก็ไม่ได้บอกว่าหัดมาจากไหน แต่ก็ไม่แปลกหรอก เพราะมังกรหยกภาคสอง ***************ก้วย ก็ฝึกมาจากท่าทางของนกอินทรีย์เลย และก็ไม่ได้ระบุนะครับ ว่าต๊กโก้วฉิวป้าย ไม่เคยรับศิษย์ หรือว่าไม่เคยเขียนคัมภีร์ทิ้งไว้ หรือถ่ายทอดให้ใครทางใดทางหนึ่ง. . .
    คาดว่า เก้ากระบี่เดียวดาย ของฟงซินหยาง จะสมบรูณ์แบบกว่า***************ก้วยซะด้วย เนื่องเพราะมีกระบวนท่า มีหลักการครบถ้วน ต่างจากของ***************ก้วย ที่เหมือนกับการฝึกกำลังภายในซะมากกว่า(เพราะเดาจากท่าทาง และยาวิเศษของนกอินทรีย์) เพียงแต่***************ก้วย ได้ดีตรงที่ได้กระบี่เหล็กนิล ของแท้ต๊กโก้วฉิวป้าย มาด้วย 3 เล่มครับ
    ที่เหลือนอกนั้น ก็ตามท่านอื่นที่ตอบไปแล้วครับ
    จากคุณ : เล็กเรียว - [ 4 มี.ค. 50 22:52:40 ]
    ความคิดเห็นที่ 7
    คำถามที่ว่าเก้ากระบี่ต๊กโกวมาถึงมือฟงชิงหยางได้อย่างไร
    กิมย้งไม่เคยกล่าวถึงเพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมดล้วนแต่เป็นสิ่งที่นักอ่านทั้งหลายจินตนาการเองทั้งสิ้น
    บูรพาไม่แพ้ กับ มารบูรพา
    บูรพาไม่แพ้ มาจากภาษาจีนกลาง "ตงฟังปู๋ไป้"
    "ตงฟัง" แปลว่า ทิศตะวันออก
    "ปู๋ไป้" แปลว่า ไม่แพ้
    มารบูรพา มาจาก " ตงเสีย"
    "ตง" ตัวเดียวกับ "ตงฟัง" แปลว่าตะวันออก
    "เสีย" แปลว่า เสนียด สิ่งที่เป็นอัปมงคล
    ตงฟังปู๋ไป้ กับ ตู๋กูฉิวไป้
    นี่เป็นคำอ่านจีนกลางของ บูรพาไม่แพ้ และ ต๊กโกวฉิวไป้
    "ตู๋กู" แปลว่า เดียวดาย
    "ฉิวไป้" แปลว่า ขอแพ้ (อยากจะแพ้ซักครั้งในชีวิตแต่ไม่เคยสมหวัง)
    คัมภีร์มารนพเก้า กับ เก้ากระบี่เดียวดาย
    คัมภีร์มารนพเก้า มาจาก (จิ่วอินเจินจิง)
    เก้ากระบี่เดียวดาย มาจาก (ตู๋กูจิ่วเจี้ยน)
    สังเกตคำว่า จิ่ว แปลว่า เก้า ทั้งคู่
    (อิน) แปลว่า มืด น่าจะหมายถึงพระจันทร์
    (เจินจิง) แปลว่า คัมภีร์
    (ตู๋กู) แปลว่า เดียวดาย
    (เจี้ยน) แปลว่า กระบี่
    ยังมีอีกคำที่น่าจะกล่าวถึง วิชาเก้า***************ง
    มาจากภาษาจีน (จิ่วหยางเจินจิง)
    หยาง แปลว่า พระอาทิตย์
    ในภาค***************ก้วยจะมีทั้งสองวิชาโผล่มา
    (จิ่วอินเจินจิง) วิชาเก้าอิม
    (จิ่วหยางเจินจิง) วิชาเก้าเอี๊ยง
    จากคุณ : ยูไลพันมือ - [ 4 มี.ค. 50 23:08:19 ]

    ความคิดเห็นที่ 8
    ช่วยบอกหน่อยได้ไหมคะ ว่า ประวัติ ของ 5 สำนักเนี๊ยะ เป็นมายังไง
    แล้ว ได้ดูนางพญากระบี่มารอ่าคะ ซื้อมาดูพร้อมกัน ได้ยินพวกเขาพูดถึง สำนักหัวซานด้วย
    ว่าตอนนี้ เหล่าชาวยุทธได้มารวมตัวกันแล้ว เพื่อกำจัดเนี๊ยะเสี่ยงฟง
    รวมทั้งสำนักหัวซานด้วย ไม่ทราบว่า ยุคนี้ นี่ หลังจาก หมดยุค น้องเหลียงของอาชง แม่นบ่
    น้องเหลียงที่เป็น เจ้าสำนักหัวซาน ต่อจากงั๊กปุ๊กคุง นางพญาฯ นี่ดูเวอร์ชั่น ของกงฉือเอินอ่าคะ
    คาราวะ น้ำแดง 1 จอก
    แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 50 23:41:09
    จากคุณ : อิอิ (antonio7th) - [ 4 มี.ค. 50 23:28:15 ]
    ความคิดเห็นที่ 9
    ตอนแรกผมก็คิดว่าเรื่องวิชาดาบไม่น่าจะเกี่ยวกัน เพราะเป็นคนละเรื่องแล้ว เวลาไม่น่าจะสัมพันธ์กันได้ แต่ว่าผมไม่เคยอ่านในหนังสือ บวกกับ เผอิญชื่อวิชามันตรงกันอีกเลยคิดว่ามันจะมีความสัมพันธ์กันรึป่าว แหะ แหะ - -"
    คุณ antonio7th ครับ ผมก็งงตั้งนาน ว่า 5 สำนักเนี๊ยะ คืออะไร นึกว่ามี สำนักชื่อ "5 สำนักเนี๊ยะ" ต้องขออภัยด้วย ฮา ฮา
    คงหมายถึง
    ซงซาน - ภูกลาง
    หัวซาน - ภูตะวันตก อยู่ในมณฑลซานตง
    เหิงซาน - ภูเหนือ อยู่ในมณฑลซานซี
    เหิงซาน - ภูใต้ อยู่ในมณฑลหูหนาน
    ไท่ซาน - ภูตะวันออก อยู่ในมณฑลซานตง
    มีอยู่เหิงซานนึง เป็นสำนักของ แม่ชีน้อย
    อีกเหิงซานนึง เป็นของ มู่ต้า
    ไม่รู้อันไหนเป็นอันไหน ส่วนรายละเอียดนอกจากนี้รอผู้รู้ต่อไป
    จากคุณ : จขกท (เห็นด้วยครับ) - [ 5 มี.ค. 50 00:22:36 ]

    ความคิดเห็นที่ 10
    มี เหิงซาน 2 สำนักหรอ
    มะช่ายมี
    ซงซาน ของ จอแน่เซียง
    หัวซาน ของงักปุ๊กคุง
    เหิงซาน แม่ชี
    หานซาน มู่ต้า
    ไท้ซาน ของใครมะรู้
    ตามนี้ป่าว -..-
    แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 50 00:38:12
    จากคุณ : antonio7th - [ 5 มี.ค. 50 00:33:03 ]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    PANTIP.COM : A5192260 [പ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2009
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center></TD><TD vAlign=center>สิ่งที่ดีๆ....เล้งฮู้ชง กรุณาเปิดใจถ้าจะอ่านกระทู้นี้

    ชายใดไม่ท่องเทียวไป...ทุกแคว้นแดนไพรไม่อาจประสพพบสุข ยุทธ

    ชายใดอยู่เย้าเนาว์ทุกข์....................ก็ถือว่าชั่วมัวเมา คัมภีร์ กระบี่เย้ยยุทธจักร ...เล็งฮู้ชง



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เจ้าคือสายลม
    ข้าคือทราย
    สายลมพัดผ่าน
    ทรายน้อยล่องลอย
    สายลมโบกพริ้ว
    ทรายน้อยปลิวตาม
    สายลมพัดผ่านเขาเทียนซาน
    ทรายน้อยขอตามข้ามขอบฟ้า"

    "หนึ่งขลุ่ยหนึ่งกระบี่ท่องทั่วหล้า
    ความทุกข์หมื่นแสนเหล้าหนึ่งกา
    สองขาย่างก้าวไปทั่วแดน
    ห่มด้วยผืนฟ้ารองด้วยดิน"

    "หน้าไม่เห็นอดีต หลังไม่เห็นผู้ตาม คร่ำครวญฟ้าดินยาวนาน
    อ้างว้างอัศชลไหลลิน"

    "หนึ่งไปหนึ่งมา หนึ่งมาหนึ่งไป ไป ๆ มา ๆ ลาแล้วลาลับ
    ยังไปยังมา ยังมายังไป ไป ๆ มาๆ ลาแล้วพบกัน"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2009
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เล้งฮู้ชง ตอนจบอยากรู้

    ลาจากยุทธภพ ละทิ้งอำนาจที่ใครต่างแสวงหา ดีชั่วอยู่ที่ใจ เหลือเพียง เสียงพิณขลุ่ย บรรเลงกับผู้รู้ใจ คือการได้ยิ้มเย้ยยุทธจักรอย่างแท้จริง.......

    http://roch.clubdara.com/topic.php?topic=5385

    กระบี่เก้าเดียวดาย
    [​IMG]
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ซานเซิงโหย่วซิ่ง :โชคดีทั้งสามชาติ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>4 พฤศจิกายน 2552 17:32 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>三生有幸

    三生 (sān shēng)อ่านว่า ซานเซิง แปลว่า สามชาติ (หมายถึงความเชื่อเรื่องชาติก่อน ชาตินี้ และชาติหน้า ทางพระพุทธศาสนา)
    (yǒu) อ่านว่า โหย่ว แปลว่า มี
    (xìng) อ่านว่า ซิ่ง แปลว่า โชคดี


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left><CENTER>ที่มา auction.sc001.com.cn</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ตำนานเล่าขานกันมาว่า ในสมัยราชวงศ์ถัง ยังมีนักบวชรูปหนึ่ง ฉายา หยวนเจ๋อ ได้บวชเรียนศึกษาพระธรรมจนเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึงขอบเขตขั้นสูง

    นักบวชหยวนเจ๋อมีสหายสนิทนามว่า หลี่หยวนซ่าน วันหนึ่งทั้งสองออกเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน เมื่อผ่านไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง พบหญิงสาวกำลังตักน้ำอยู่ริมลำธาร หญิงผู้นั้นท้องใหญ่โต เห็นได้ชัดว่ากำลังตั้งครรภ์

    นักบวชหยวนเจ๋อชี้มือไปยังหญิงตั้งครรภ์ พร้อมทั้งกล่าวกับหลี่หยวนซ่านผู้เป็นสหายสนิทว่า “หญิงผู้นั้นตั้งครรภ์มานานกว่า 3 ปีแล้วเพราะรอให้ข้าไปจุติในท้องของนาง เนื่องจากตามชะตา ในชาติหน้าข้าต้องเกิดเป็นลูกของนาง แต่ข้าพยายามบ่ายเบี่ยงมาตลอด แต่บัดนี้เมื่อได้พบหน้ากันแล้ว จึงทราบว่าไม่อาจยื้อเวลาได้อีกต่อไป
    “จากนี้อีก 3 วัน หลังจากที่หญิงผู้นี้คลอดบุตร ท่านจงเดินทางไปยังบ้านของนางเพื่อเยี่ยมทารก หากทารกยิ้มให้ท่าน นั่นแสดงว่าเป็นตัวข้าพเจ้า จงให้รอยยิ้มเป็นเสมือนคำสัญญา และจากนั้นอีก 13 ปี ในคืนวันไหว้พระจันทร์ ข้าจะรอท่าน ณ วัดอินเดียในเมืองหางโจว วันนั้นเราจะได้พบกันอีกครั้ง” กล่าวจบทั้งสองจึงร่ำลาและแยกย้ายกันไป

    ในคืนนั้นเอง นักบวชหยวนเจ๋อก็ถึงแก่กรรม เป็นเวลาเดียวกันกับที่หญิงท้องแก่ให้กำเนิดบุตรชาย หลังจากนั้นอีก 3 วัน เมื่อหลี่หยวนซ่านเดินทางไปเยี่ยมทารก ทารกนั้นยิ้มให้เขาจริงๆ จากนั้น 13 ปีให้หลัง เมื่อถึงวันไหว้พระจันทร์ หลี่หยวนซ่านเดินทางไปยังวัดอินเดีย ณ เมืองหางโจวตามสัญญา เมื่อถึงประตูวัด เขาพบเด็กเลี้ยงวัวผู้หนึ่ง นั่งอยู่บนหลังวัวพลางร้องเพลง

    “วิญญาณทั้ง 3 ชาติสลักแน่นบนศิลา
    ผ่านพบสิ่งใดมามิต้องเอ่ย
    อาจมากมายจนละอายเมื่อถามไถ่
    แม้รูปกายเปลี่ยนไป แต่จิตใจยังเป็นเช่นเดิม”

    เมื่อได้ฟังเพลงดังกล่าว หลี่หยวนซ่านก็รู้ชัดว่า ในที่สุดเขาได้มาพบสหายที่พลัดพรากกันไปอีกครั้ง

    สำนวนดังกล่าว มักใช้เปรียบเปรยกับพรหมลิขิตบันดาลชักพา หรือใช้ในกรณีที่มิตรสหายมาพบกันโดยบังเอิญ หรือคนที่ได้รู้จักกันในสถานการณ์พิเศษแล้วกลายมาเป็นผู้รู้ใจ

    สำนวนนี้ใช้ในตำแหน่งภาคแสดง มักใช้เพื่อขอบคุณ หรือแสดงไมตรี

    ตัวอย่างประโยค
    久闻大名, 今天相见 , 真是
    三生有幸 !
    ได้ยินชื่อเสียงมานาน วันนี้ได้พานพบ นับว่า
    ~ จริงๆ


    China - Manager Online


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>พิชิต"เขาไท่ซาน"ภูผาศักดิ์สิทธ์มรดกโลก</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>2 พฤศจิกายน 2552 13:45 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> โดย : หมวยเกี๊ยะ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บรรยากาศเขาไท่ซาน เขาศักดิ์สิทธิ์ของเมืองจีน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ในตำนานจีน มีเรื่องเล่าว่า สรรพสิ่งต่างๆรวมทั้งโลกหล้าฟ้าดิน ล้วนเกิดจากการสร้างสรรค์ของ"ผันกู่"ผู้มีฤทธิ์เดช ครั้นผันกู่สวรรคต ศีรษะ ร่างกายและแขนขาต่างก็กลายเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิเต๋า 5 ลูก ประกอบด้วย เขาไท่ซาน-มณฑลซันตง เขาเหิงซานเหนือ-มณฑลซันซี เขาเหิงซานใต้-มณฑลหูหนาน เขาหัวซาน-มณฑลซันซี และเขาซงซาน-มณฑลเหอหนาน(ข้อมูลขุนเขาทั้ง 5 อ้างอิงจาก หน้ามุมจีน เว็บไซต์ASTVผู้จัดการออนไลน์)

    สำหรับเขาไท่ซานนั้น เชื่อกันว่าเขาเป็นดังศีรษะของผันกู่ ซึ่งใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีบวงสรวง คารวะฟ้า ดิน และขุนเขาของจักรพรรดิในประวัติศาสตร์จีน นับตั้งแต่สมัยฉิน (221-202 ก่อนคริสตศักราช) ลงมาจนถึงฮั่นและหมิงรวม 72 รัชสมัย และยังเป็นแหล่งอารยธรรมอันรุ่งเรือง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ความยิ่งใหญ่ของเขาไท่ซาน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ด้านความเชื่อและศาสนาในแผ่นดินจีน และเป็นที่แสวงบุญของนักพรตเต๋า ซึ่งเริ่มเข้ามาวางรากฐานในบริเวณเขาไท่ซานตั้งแต่สมัยจั้นกั๋ว โดยนักพรตผู้แสวงหาความสันโดษจะหลบมานั่งบำเพ็ญพรตตามถ้ำที่เขาไท่ซาน และพุทธศาสนายังได้แผ่ขยายเข้ามาสู่ดินแดนถิ่นนี้ ตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 4 โดยในปี ค.ศ.351 ภิกษุผู้ใหญ่หลางกง เริ่มเข้ามาสร้างวัดหลางกงและวัดหลิงเหยียน ต่อมาเมื่อเข้าสู่สมัยราชวงศ์วุ่ยจิ้นเหนือใต้ มีการสร้างวัดขนาดใหญ่ เช่น วัดหุบเขาอี้ว์หวง วัดจิ้นเจ้า เป็นต้น นอกจากนี้ ยังปรากฏศิลาสลักพระไตรปิฎก ที่พวกแคว้นฉีทางเหนือทำขึ้น เรียก คัมภีร์จินกัง เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญ

    ภายหลังผ่านพ้นสมัยฉินและฮั่นไปแล้ว ศาสนาเฟื่องฟู วัดวาอารามก็มั่งคั่ง ที่เขาไท่ซานมีวัดเก่าแก่ที่ยังคงรักษาสภาพมาจนถึงปัจจุบันมากมาย เช่น วัดปี้เสียที่โด่งดัง วิหารหลงเฉวียน และสระเจ้าแม่หวังหมู่(วัดฉวินหวัง) ซึ่งสร้างขึ้นก่อน ค.ศ.220 เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุด

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>สภาพทางเดินขึ้นสู่เขาไท่ซาน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เขาไท่ซาน มีสภาพภูมิศาสตร์ทอดตัวยาวอยู่ท่ามกลางพื้นที่ราบสลับเนินเขาเตี้ยๆในมณฑลซานตง ถิ่นกำเนิดของท่านขงจื๊อ ปรัชญาเมธีของจีน ยอดเขาหลัก อี้ว์หวง หรือจักรพรรดิหยก มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,545 เมตร ภูเขาไท่ซานถึงแม้จะไม่ใช่เทือกเขาที่มีความสูงมากนัก แต่ด้วยภูมิประเทศโดยรอบส่งให้เทือกเขาแห่งนี้โดดเด่นขึ้นเป็นแนวยาวทางตอนกลาง ราวกับเป็นกระดูกสันหลังของมณฑล

    ขุนเขาไท่ซานถือว่ายังมีความอุดมสมบูรณ์ เพราะมีพื้นที่ป่าปกคลุมถึง 80 % เป็นแหล่งทรัพยากรที่สมบูรณ์ และทรงคุณค่าทางชีววิทยา เนื่องจากอุดมด้วยพันธุ์พืชหายาก และพืชสมุนไพรกว่า 144 ตระกูล และด้วยร่องรอยการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกที่ปรากฏ รวมถึงซากฟอสซิลที่ขุดพบบนเทือกเขาแห่งนี้ ยังมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ล้านปี จึงเป็นแหล่งศึกษาทางธรณีวิทยาที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ศิลาจารึกที่แกะสลักไว้ด้านบนเขาไท่ซาน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ความยิ่งใหญ่ ความทรงคุณค่าและความสง่างามและเขาไท่ซานนี้ เป็นสัญลักษณ์พิเศษที่มีความสำคัญต่อจิตใจของชาวจีนนับตั้งแต่อดีตโบราณกาลมาแล้ว ขนาดที่ว่าขงจื๊อยังเคยอุทานขึ้นว่า "โลกนี้หนอ ดูช่างเล็กลงไปถนัดใจ" เมื่อครั้งที่ได้ปีนขึ้นสู่ยอดเขาไท่ซาน และด้วยความงามทางสุนทรียศาสตร์ของเขาไท่ซาน จึงเป็นแหล่งจุดประกายและกำเนิดทางจิตวิญญาณของศิลปิน และนักคิดชาวจีนอีกด้วย และนอกจากขงจื้อแล้ว ตู้ฝู่ กวีเอกของจีนได้เขียนบทกลอนชื่นชมเขาไท่ซานไว้ว่า "เมื่ออยู่ยอดเขาไท่ซัน ขุนเขาอื่นช่างเตี้ยลงถนัดตา" นายกัว โม่โยะนักประพันธ์ชื่อดังคนหนึ่งในยุคปัจจุบันของจีน ก็ได้เคยกล่าวถึงเขาไท่ซานไว้ หลังจากที่ได้ปีนขึ้นเขาไท่ซานมาแล้วไว้ว่า "เขาไท่ซาน เป็นอีกมุมหนึ่งแห่งประวัติวัฒนธรรมของจีน"


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ซุ้มประตูอันสวยงาม</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เรียกได้ว่าเขาไท่ซาน เป็นขุนเขาอันยิ่งใหญ่ที่น่าสนใจมาเที่ยวไม่น้อยเลย ซึ่งการเดินทางขึ้นสู่เขาไท่ซาน มีให้เลือกเดินทางแบบสบายๆ และแบบต้องใช้แรงกันสักหน่อย ถ้าอยากขึ้นเขาไท่ซานแบบสบายๆ และชมทิวทัศน์มุมสูงอันสวยงาม ก็จะมีกระเช้าให้บริการนั่งสบายๆ ขึ้นสู่ยอดเขาไท่ซานกัน แต่ถ้าใครอยากจะพิชิตเขาไท่ซานแบบภาคภูมิใจด้วยสองขาน้อยๆ ของตัวเอง ก็มีเส้นทางให้เดินขึ้นสู่ยอดเขาไท่ซาน ซึ่งจะได้สัมผัสกับทัศนียภาพอันงดงามไปตลอดทาง และได้ซึบซับกับความงดงามของขุนเขาอย่างเต็มอิ่ม

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ยามสายหมอกปกคลุมเขาไท่ซาน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ขอแนะนำว่าหากยังแข็งแรงอยู่ การเลือกขึ้นเขาไท่ซานด้วยการเดินจะเป็นสิ่งที่ดียิ่ง ซึ่งการไต่พิชิตเขาไท่ซานมักจะเป็นการเดินขึ้นตามบันไดหินที่ทอดตัวลดเลี้ยวเคี้ยวคดไปตามทางเขาเพื่อขึ้นสู่เขาไท่ซาน โดยเริ่มต้นจากวัดไต้เมี่ยวและไปถึงซุ้มประตูแห่งแรกที่เรียกว่า "เทียนเหมิน" และที่ซุ้มประตูแห่งนี้ ยังมีศิลาจารึกที่สร้างขึ้น เพื่อรำลึกถึงการมาไต่เขาไท่ซานของขงจื๊อด้วย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ผู้คนมากมายพากันเนขึ้นสู่เขาไท่ซาน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> จากซุ้มประตูเทียนเหมิน เดินขึ้นเขาตามขั้นบันไดมาเรื่อยๆ ระหว่างทางขึ้นเขามาสู่จงเทียนเหมิน จะมองเห็นหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ซึ่งข้างบนมีการจารึก "คัมภีร์พระวัชรปรัชญาปารมิดา"ไว้กว่าพันปี และเมื่อไปถึงจุดจงเทียนเหมินที่มีความสูงกว่าระดับทะเล 800 เมตร แล้วมองลงไปข้างล่าง ก็จะเห็นตึกระฟ้าในตัวเมืองเล็กเหมือนราวกับตัวหมากรุกในกระดาน พอครั้นเงยหน้าขึ้นมองไปข้างบน ก็จะเห็นทางขึ้นเขาที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวดูคล้ายกับบันไดขึ้นสู่สรวงสวรรค์ที่ถูกแขวนไว้บนท้องฟ้า

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ความงดงามของเขาไท่ซานยามอาทิตย์ทอแสง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> หากถึงตรงนี้ใครเกิดอาการเหนื่อยเมื่อยล้าขาขึ้นมา ก็มีกระเช้าให้นั่งขึ้นเขาจากจุดจงเทียนเหมินนี้ไปถึง จุดหนานเทียนเหมิน ได้ ซึ่งทางขึ้นเขาตรงนี้เป็นเส้นทางขึ้นเขาที่มีความสูงชันและอันตรายสักหน่อย แต่นักท่องเที่ยวส่วนมากที่ยังคงมีแรงกาย บวกกับความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะพิชิจเขาไท่ซานด้วยสองขาตัวเองให้ได้ ก็ยังคงจะเดินด้วยสองขาน้อยๆ ของตัวเองต่อไป

    เพราะเมื่อขึ้นมาถึงยังหนานเทียนเหมิน จะได้มองเห็นทัศนียภาพที่กว้างใหญ่ยิ่งขึ้น และเมื่อยืนอยู่ตรงจุดนี้ จะสัมผัสได้กับสายลมพัดที่พัดโชยมาปะทะร่างกาย และเมื่อมองไปเบื้องหน้าก็จะมองเห็นแต่ยอดเขาที่อยู่ไกลโพ้นแบบลิบตา เคล้าคลอกับกลุ่มเมฆที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า เป็นภาพความสวยงามของธรรมชาติที่งดงามอันพิสุทธิ์และทำให้ความเหน็ดเหนื่อยทั้งหลายของการเดินขึ้นมาสู่เขาไท่ซานนั้นหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งไปเลย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>มีกระเช้าพาขึ้นสู่เขาไท่ซาน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อซึมซับกับความงดงามของธรรมชาติอย่างเต็มที่แล้ว ก็เดินไปทางทิศตะวันออกจะไปถึงเทียนเจ (เทียนเจแปลว่า ตลาดบนสวรรค์) ที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ราบบนภูเขา จึงสร้างเป็นย่านการค้าของไท่ซาน ที่ช่างมีบรรยกาาศอันคึกคัก มีโรงเตี๊ยม และภัตตาคารต่างๆ ให้แวะเข้าไปใช้บริการนั่งพักผ่อนและอิ่มอร่อยกับอาหารที่มีบริการอยู่มากมาย

    ถึงแม้ว่าการเดินขึ้นสู่ไท่ซานจะดูเหน็ดเหนื่อยไปสักหน่อย แต่ถ้าได้ขึ้นมาถึงยอดเขาแล้วจะรู้ว่าคุ้มค่าเหนื่อย เพราะเขาไท่ซานมีความงดงามเกินคำบรรยาย ยิ่งในยามเช้า เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ยอดเขาไท่ซานที่เรียกว่า "ยู่หวงติ่ง"จะเปล่งประกายแสงสีทองทอออกมาดูงดงามอร่ามตาของวันใหม่ ท่ามกลางสายหมอกขาวโพน ที่ได้เห็นแล้วราวกับอยู่ในความฝัน หรือสรวงสวรรค์ยังไงอย่างนั้นเลย

    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

    “เขาไท่ซาน” ตั้งอยู่ที่มืองไท่อันและจี่หนัน มณฑลซันตง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ในปี ค.ศ. 1987 มีช่วงเวลาที่น่าท่องเที่ยวที่สุดคือ เดือนเมษายน – พฤศจิกายน

    Travel - Manager Online


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันนี้ฉันอ่าน FW mail จากเพื่อนในออฟฟิส อ่านแล้วปรมัตถ์มันกระเด้งมาขำก๊ากเรย
    ส่วนฉันก็อดรนทนเป็นกลางไม่ไหว เกิดชอบใจไปกะเขาด้วย เหอๆ ไหนๆก็เกิดเป็นตัวตน
    แระ... ก็ขอเอามาแปะไว้แระกัน เพื่อระลึกถึงกัน เหอๆ

    FW: ผู้ชายไม่รักษาสัญญา...แล้วไง...อ่านให้ได้นะจ๊ะ
    <O:p</O:p
    <TABLE class=MsoNormalTable style="MARGIN-LEFT: 10.5pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0pt; PADDING-LEFT: 0pt; PADDING-BOTTOM: 0pt; PADDING-TOP: 0pt" vAlign=top><TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%" cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0pt; PADDING-LEFT: 0pt; PADDING-BOTTOM: 0pt; WIDTH: 99%; PADDING-TOP: 0pt" vAlign=top width="99%"><TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%" cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0pt; PADDING-LEFT: 0pt; PADDING-BOTTOM: 0pt; WIDTH: 99%; PADDING-TOP: 0pt" vAlign=top width="99%"><TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%" cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0pt; PADDING-LEFT: 0pt; PADDING-BOTTOM: 0pt; WIDTH: 99%; PADDING-TOP: 0pt" width="99%">วันหนึ่ง สมชายเกิดปวดท้องขนาดหนัก <O:p></O:p>
    จึงรีบวิ่งตรงเข้า ห้องน้ำสาธารณะ แต่..
    โชคไม่เข้าข้าง เพราะทุกห้องเต็มเหยียด <O:p></O:p>
    แถมไม่มีทีท่าว่าใครจะออกมา

    หลังจากที่เขาเดินกระวนกระวายอยู่หลายนาที
    เผอิญมีหญิงสาวคนหนึ่งสังเกตเห็นเข้า
    และเดาได้ว่าสมชายกำลังกลัดกลุ้มทุกข์หนัก เช่นใด
    หญิงสาวจึงตรงเข้ามาหาและพูดด้วยความเห็นใจว่า <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    “คุณ คะ ๆ ห้องน้ำหญิงว่างอยู่ค่ะ” <O:p></O:p>
    “แต่ว่า…อ่า…” สมชายยังมีอาการ ลังเล <O:p></O:p>
    “เถอะค่ะ.. ฉันเห็นใจ ฉันยินดีจะเฝ้าหน้าห้องน้ำให้<O:p></O:p>
    ถ้าคุณยอมสัญญากับฉัน 3 ข้อ”

    หญิงสาวยื่นเงื่อนไข <O:p></O:p>
    “ครับ ๆ ๆ ๆ…ผมตกลง สัญญาอะไร บ้างครับ”

    สมชายรับปากด้วยความเต็มใจยิ่ง <O:p></O:p>
    เนื่องจากอะไรต่อมิอะไรในลำไส้<O:p></O:p>
    ใกล้ระเบิดออกมาให้ขายขี้หน้าอยู่รอมร่อ

    “ข้อแรก คุณต้องรีบใช้ห้องน้ำให้เร็วที่สุด
    เพราะฉันอยู่เฝ้าได้ไม่นาน <O:p></O:p>
    เดี๋ยวอาจจะมีสุภาพสตรีที่ต้องการใช้ห้องน้ำมาที่นี่
    แล้วเธออาจจะตกใจได้ถ้าเจอคุณอยู่ในนั้น<O:p></O:p>
    หญิงสาวเอ่ยขอคำสัญญาข้อแรก

    “อูยยย…เร็ว ๆ ครับ รีบบอกข้อ 2 ข้อ 3 มาด่วนเลย” <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    “ข้อ 2 คุณต้องรักษาความสะอาด ห้ามทำให้เลอะเทอะสกปรก
    เด็ดขาด พวกผู้ชายน่ะ ชอบทำห้องน้ำสกปรก” <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    “ข้อ 3 ต่อเลยครับ เร็ว ๆ ๆ ๆ” <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    “ข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด.. คุณต้องสัญญาว่า <O:p></O:p>
    ห้ามกดปุ่มใด ๆ ทั้งสิ้นในห้องน้ำหญิง นอกเหนือจากปุ่มชักโครก<O:p></O:p>
    คำสัญญาข้อสุดท้าย.. แม้จะทำสมชายค่อนข้างงง <O:p></O:p>
    ไม่เข้าใจว่าจะมีปุ่มอะไรในห้องน้ำหญิงนักหนา

    แต่เขาก็รับคำเนื่องจากปวดท้องจนทนไม่ไหว
    ว่าแล้วสมชายก็วิ่งพรวดเข้าไปในห้องน้ำ <O:p></O:p>
    หลังปลดทุกข์ อันหนักหน่วง เฮ้อ สบายตัวแล้ว

    เขาจึงมีโอกาสได้พิจารณาห้องเล็ก ๆ โดยรอบ
    ซึ่งพบว่าไม่มีอะไรต่างจากห้องน้ำชายสักเท่าไร <O:p></O:p>
    เว้นแต่.. ปุ่มแปลกประหลาดจำนวน 3 ปุ่ม <O:p></O:p>
    สีเขียว สีฟ้า และ สีแดงอยู่ที่ผนังห้องน้ำ!

    แถมปรากฏอักษรย่อ <O:p></O:p>
    “น.อ.” ที่ปุ่มสีเขียว<O:p></O:p>
    “พ.ล.” ที่ปุ่มสีฟ้า และ <O:p></O:p>
    “ด.ผ.อ.น.ม.” ที่ปุ่มสีแดง<O:p></O:p>
    สมชายเริ่มเกิดความอยากรู้ อยากเห็น
    เพราะห้องน้ำชายไม่ยักมีปุ่มพวกนี้

    เขาจึงอดไม่ได้ที่จะละเมิดคำสัญญา<O:p></O:p>
    ลองกดปุ่มแรกที่เขียน ว่า “น.อ.”<O:p></O:p>
    ทันใด.. สิ่งน่าประ หลาดใจก็เกิดขึ้น เมื่อปรากฏมี<O:p></O:p>
    สายน้ำอุ่นพุ่งขึ้นฉีดล้างทำความสะอาดบั้นท้ายของเขา<O:p></O:p>
    อย่างนุ่มนวล แผ่วเบา และอุ่นสบาย <O:p></O:p>
    สมชายจึงรู้ว่า ที่แท้ “น.อ.” ย่อมา จากน้ำอุ่น!

    ขณะนึกอิจฉาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องน้ำหญิง <O:p></O:p>
    เขาก็อดใจไม่ไหว ต้องลองกดปุ่มที่สองที่เขียนว่า <O:p></O:p>
    “พ.ล.” ทันใดนั้น..ก็มีสายลมพัดพุ่งตรงใส่บั้นท้ายเขา <O:p></O:p>
    เป่าให้แห้งอย่างนุ่มนวล แผ่วเบาและอุ่นสบายเช่นเคย <O:p></O:p>
    ทีนี้ สมชายจึงเข้าใจกระจ่างว่า “พ.ล.” แปลว่าพัดลม!

    เมื่อสมชายเห็นความอัศจรรย์สุดยอดของบริการทันสมัย<O:p></O:p>
    ไปสองปุ่มแล้วเขาอดไม่ได้ที่ จะลองกดปุ่มสุดท้ายที่กำกับ <O:p></O:p>
    ด้วยอักษรย่อยาวที่สุดว่า “ด.ผ.อ.น.ม.” <O:p></O:p>
    พลางนึกว่าปุ่มนี้น่าจะเป็นทีเด็ดสุดยอด
    เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ<O:p></O:p>

    กว่าสมชายจะรู้ตัวอีกที ก็ตอนได้สติที่โรงพยาบาล <O:p></O:p>
    ทันทีที่ลืมตาขึ้น เขารีบถามพยาบาลที่อยู่ตรงหน้าทันทีว่า<O:p></O:p>
    “นี่มันที่ไหนกัน ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย เกิดอะไรขึ้น <O:p></O:p>
    ผมจำได้ว่าผมใช้บริการห้องน้ำหญิง แล้วผมมาอยู่นี่ได้ไง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    “ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ
    ที่คุณต้องมาอยู่นี่ก็เพราะคุณไปกดปุ่มสีแดงเข้าน่ะนะคะ” <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เมื่อเห็นสมชายทำหน้างง พยาบาลสาวนางนั้นจึงเฉลยว่า
    “ปุ่มสีแดงที่มีอักษรย่อว่า ‘ด.ผ.อ.น.ม.’ <O:p></O:p>
    หมายถึง ‘ดึงผ้า อนามัย’ ไงคะ…

    ฉันต้องแสดงความเสียใจด้วย <O:p></O:p>
    เพราะคุณหมอต่อให้คุณไม่สำเร็จค่ะ เครื่องมันดึงของคุณ<O:p></O:p>
    แล้วยัดลงท่อชักโครกไปแล้วล่ะ ทำใจนะคะ <O:p></O:p>


    </TD></TR></TBODY></TABLE><O:p></O:p>


    </TD></TR></TBODY></TABLE><O:p</O:p


    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2009
  8. lamb of god

    lamb of god เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +436
    อ้าาาา....ธาตุไฟเข้าแทรก...อ้า เหลือเดินลมปราณทะลวงอีก3จุดเท่านั้น....
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เฮ้อ...วันนี้อิชั้นท่องโลก เจอแต่เรื่อง เวียนเฮด ยิ่งนัก [​IMG]
    ดูดิ๊... อิชั้นไปเจอแฟชั่นที่กำลังมาแรงในอนาคตอันใกล้ มิรู้จะเข้ามาฮิตในสยามประเทศไหม
    ดูไปทำใจไป ตรู...ละกลุ้ม...ถ้าเขาเกิดฮิตระเบิดขึ้นมาจะเป็นยังไงน้า....
    จะวิ๊ด...บึ้ม ไหมคะ คุณหญิง...เหอๆ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“Skirt Boy” หนุ่มแดนปลาดิบหันมาฮิตใส่กระโปรง !?! </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>3 พฤศจิกายน 2552 10:33 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=267 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=267>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>งานนี้ต้องขอร้อง โอ๊ว...แม่เจ้า ดังๆ เมื่อหนุ่มๆ แดนปลาดิบ โดยเฉพาะในย่านแฟชั่นอย่างฮาราจูกุ และอาโอยาม่า ขออินเทรนด์เหมือนสาวๆ ด้วยการหยิบกระโปรงมาใส่ พร้อมกับมิกซ์แอนด์แมตซ์เข้ากับเสื้อและรองเท้าเหมือนสาวๆ เปี๊ยบ !

    ความจริงแล้วการใส่กระโปรงของผู้ชาย (แท้) หรือเรียกง่ายๆ ว่า Skirt boyนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะที่ผ่านมา เราคงเคยเห็นหนุ่มชาวสก็อตแลนด์ใส่กระโปรงลายสก็อตเดินทั่วเมือง หนุ่มๆ ชาวพม่าก็ยังสวมโสร่ง หรือหนุ่มๆ อินเดียก็สวมdhoti แต่แค่สวมกระโปรงชุดพื้นเมืองนั้น มันยังไม่เก๋ไก๋ถึงใจหนุ่มอินเทรนด์ในยุคนี้ เมื่อเหล่าแฟชั่นดีไซเนอร์ต่างนำเสนอแฟชั่นโชว์ผู้ชายใส่กระโปรงกันอย่างคึกคัก

    ดีไซเนอร์คนดังอย่าง Vivian Westwood และ Jean-Paul Gautier น่าจะเป็นผู้จุดประกายความคิดในการสวมใส่กระโปรงของผู้ชายเป็นแฟชั่นมากขึ้น และแฟชั่นวีกประจำฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน และประจำฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว ปี 2009 ดีไซเนอร์หลายแบรนด์ก็ได้ตอกย้ำเทรนด์ฮอตอย่าง Skirt boy ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Etro, Comme des Garcons และ John Galliano

    และผู้ที่กระพือเทรนด์นี้ให้ร้อนแรงยิ่งขึ้นคงเป็น ดีไซเนอร์ Marc Jacobs เมื่อเขาย่างกรายเข้าสู่แฟชั่นวีกของนิวยอร์ก ประจำฤดูใบไม้ผลิ/ ฤดูร้อน 2009 ด้วยการสวมกระโปรงสีม่วงคู่กับเสื้อเชิ้ตสีดำ และยังปรากฏกายในงานเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ของ Louis Vuitton ด้วยการใส่กระโปรงสุดหรูคู่กับเสื้อรัดรูปลายพิมพ์กราฟิตี

    ไม่เพียงหนุ่มๆ ฝั่งอเมริกาเท่านั้นที่หันมานุ่งกระโปรง ตอนนี้หนุ่มๆ แดนปลาดิบก็กำลังคลั่งไคล้กับแฟชั่นกระโปรงหลากรูปแบบ โดยรูปแบบกระโปรงยอดนิยมคงเป็นกระโปรงยาวถึงข้อเท้า บางคนก็เลือกสวมกระโปรงสั้นทับกางเกงอีกทีหนึ่ง ซึ่งกระโปรงยอดนิยมสนนราคาถึง 200 เหรียญ และตอนนี้ที่ชอปเสื้อผ้าของผู้หญิง ก็เห็นหนุ่มๆ เข้าไปเลือกกระโปรงลายเก๋กันแล้ว

    ฮารูกิ ชานะ (Haruki Shana) หนุ่มนักศึกษาศิลปะปี 2 ที่เรียกสายตาของนักท่องเที่ยวย่านฮาราจูกุด้วยชุดกระโปรงชาวเขาที่เจ้าตัวได้จากร้านขายเสื้อผ้ามือสองสนนราคาถึง 1000 เยน เขาเผยว่า เขาไม่ได้ใส่กระโปรงเพราะเป็นผู้หญิง แต่เขาชอบลวดลายและเนื้อผ้าของกระโปรงชุดนี้ โดยเฉพาะความพลิ้วไหวของกระโปรงเวลาโดนลม

    เจ้าตัวจะยอมรับว่าคนในครอบครัวของเขาก็ไม่ได้ออกความคิดเห็นว่าอย่างไรกับการใส่กระโปรง แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ใส่ให้เพื่อนบ้านเห็น

    ด้านเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าอินเดียนบนถนน Takeshita ก็มาร่วมยืนยันความฮอตของเทรนด์ Skirt boy ว่า เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา มีผู้ชายถึง 6 คน เข้ามาซื้อโสร่งของผู้หญิง และเดี๋ยวนี้ก็มีวิธีการใส่โสร่งหลายแบบที่ผู้ชายสามารถนำมาสวมใส่ให้เข้ากับรูปร่างของตัวเอง

    โทโมยูกิ โอตะ บรรณาธิการบริหารนิตยสารสำหรับผู้ชายอย่าง Smart เผยว่า ขณะนี้ไลน์เสื้อผ้าของผู้ชายทำให้ดูผสมผสานความเป็นผู้หญิงมากขึ้น กระโปรงก็ทำให้ดูเข้ากันกับชุดมากขึ้น และทางนิตยสารก็เตรียมที่จะทำเรื่อง Skirt boy ในฉบับหน้า

    ด้าน รีโอนา มิทซุยามา จากเว็บไซต์สตรีทแฟชั่นอย่าง Fashionsnap.com เผยว่า ตอนนี้นอกจากผู้ชายจะหันมาสวมกระโปรงกันมากขึ้นแล้ว พวกเขายังเน้นรูปร่างที่บอบบาง ผอมเรียว ในแบบของ “Slim macho look” และยิ่งทำให้ตัวเองดูเป็นสไตลิสต์มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งโดดเด่นขึ้นเท่านั้น

    ทีนี้ก็คอยดูว่า เทรนด์กระโปรงสุดฮอตของผู้ชายในแดนปลาดิบจะบินลัดฟ้าข้ามมาฮิตในเมืองไทย เหมือนแฟชั่นเกาหลีที่กำลังฮิตในตอนนี้หรือไม่!?!


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ฮารูกิ ชานะ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=267 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=267>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>หนุ่มญี่ปุ่นที่ฮาราจูกุ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=266 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=266>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=267 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=267>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=223 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=223>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=267 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=267>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=267 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=267>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=266 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=266>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=253 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=253>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>Marc Jacobs</TD></TR></TBODY></TABLE>
    Metro Life - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ส่วนอันนี้เห็นแร้ว...กรี๊ด...อยากได้มั่ง...อ่า...แต่ไม่มีกะตังค์ เหอๆ ดูรูปเอาละกัน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“หมูจิ๋ว” ของเล่นชิ้นใหม่ของไฮโซฮอลลีวู้ด</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>5 พฤศจิกายน 2552 23:07 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>หมูจิ๋ว ของเล่นใหม่ของไฮโซ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ลองจินตนาการเล่นๆ ดูกันว่า ถ้าคุณคือเซเลบริตี้มหาเศรษฐี ที่เพียบพร้อมทุกอย่างแล้ว คุณจะซื้ออไรให้เป็นของขวัญต่อคู่รักของคุณ คำตอบคงมีของขวัญหรูๆ ชวนประทับใจอยู่หลายชิ้น แต่จะมีสักกี่คน ที่จินตนาการของขวัญนั้นคือ “ลูกหมู”
    อาจจะเป็นเพราะมีทุกอย่างเพียบพร้อม ทั้งเสื้อผ้า รถสปอร์ต เครื่องประดับ สำหรับเซเลบฯ คู่รักของวงการ เดวิด-วิกตอเรีย เบ็คแฮม ดังนั้น พอจะให้ของขวัญกัน ก็เลยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ระดับเหนือชั้นกว่าชาวบ้านขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง จนกลายเป็น “ลูกหมูสองตัว” ที่สาวเปรี้ยว วิกตอเรีย ซื้อให้เป็นของขวัญล่วงหน้าก่อนคริสต์มาสแก่สามี


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เดวิด-วิคตอเรีย เบ็คแฮม</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> แต่อย่าคิดว่าลูกหมูสองตัวนี้จะเป็นหมูแบบที่อยู่ในฟาร์ม ระดับวิกตอเรียแล้วต้องไม่ธรรมดาอย่างคนอื่น เพราะหมูที่ซื้อให้นี้คือ หมูจิ๋ว หรือ Micro pig สัตว์เลี้ยงที่กำลังเป็นที่นิยมในเกาะอังกฤษอย่างมากในขณะนี้ เจ้าหมูจิ๋วนี้คือหมูที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์กันถึงสี่สายพันธุ์ คือ Miniature pot bellied, Tamworth, Kune kune และ Gloucester old spot ตัวโตเต็มวัยสูงประมาณ 12-16 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 18-29 กิโลกรัม มีช่วงอายุไม่เกิน 18 ปี จากขนาดตัวที่เล็กจิ๋ว จึงมักถูกเรียกว่า หมูถ้วยน้ำชา
    แต่ถึงขนาดจะจิ๋วแต่ราคาไม่จิ๋วตามไปด้วย สาวพอชเธอต้องยอมจ่าย 1,400 ปอนด์ สำหรับหมูจิ๋วคู่นี้ แหล่งข่าวเพื่อนสนิทของวิกตอเรียเล่าว่า “วิกตอเรียตกหลุมรักเจ้าสองตัวนี้ทันทีตั้งแต่แรกเห็น ด้วยความน่ารักของมันทำให้สาวพอชตัดสินใจว่า นี่จะเป็นของขวัญที่เยี่ยมที่สุดในปีนี้สำหรับเดวิด”
    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=246 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=246> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ตอนนี้ดูเหมือนว่า ทั้งพอชและเดวิดจะเห่อเจ้าหมูถ้วยน้ำชานี้เอามากๆ และได้ตั้งชื่อสำหรับมันทั้งคู่แล้วว่า Pinky กับ Perky ตามชื่อตัวละครในทีวี โดยวิกตอเรียพูดถึงของขวัญไอเดียสุดบรรเจิดของเธอว่า “เจ้าหมูถ้วยน้ำชามันแตกต่างจากหมูปกติที่อยู่ในฟาร์มทั่วไป หมูจิ๋วสะอาดกว่า ตัวเล็กกว่า เราสามารถปล่อยให้มันวิ่งเล่นในบ้านเราได้ หรือแม้แต่อุ้มมันมาดูทีวีบนตักกับเราด้วยก็ได้ ที่สำคัญ มันฉลาดพอที่จะฝึกให้ทำอะไรได้เหมือนสุนัขเลย” และดูเหมือนว่าของขวัญคู่นี้จะไม่ได้เพอร์เฟกต์เฉพาะเดวิดเท่านั้น แต่บรรดาลูกๆของทั้งคู่ บรูคลิน, โรมีโอ และ ครูซ ดูท่าจะมีเพื่อนเล่นเพิ่มขึ้นด้วย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=233 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=233>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>รูเพิร์ต กรินท์ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ไม่เพียงแค่วิกตอเรียและเดวิดเท่านั้น ที่ตกหลุมรักเจ้าหมูน้ำชา คนดังอีกหลายคน ต่างก็ซื้อเจ้าหมูจิ๋วนี้ไปไว้เป็นคอลเลกชันสัตว์เลี้ยงของตัวเอง อย่างเมื่อเดือนที่แล้ว ปารีส ฮิลตัน ก็เพิ่งจะซื้อไปหนึ่งตัว พร้อมตั้งชื่อว่า พิกเล็ต เช่นเดียวกับตัวละครในการ์ตูน “วินนี่เดอะพูห์”

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=320 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=320>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>จอร์จ คลูนีย์ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ส่วน รูเพิร์ต กรินท์ ดาราจาก แฮร์รี่ พอตเตอร์ ก็ซื้อหมูน้ำชาไปเลี้ยงถึงสองตัว แต่ถ้าหากจะให้พูดถึงคนดังที่ริเริ่มเอาหมูมาเป็นสัตว์เลี้ยงนั้น ก็ต้องยกให้ดาราหนุ่มใหญ่ จอร์จ คลูนีย์ กับ เจ้าแมกซ์ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นหมูจิ๋วก็ตามแต่ คลูนีย์ก็เลี้ยงเจ้าแมกซ์มานานถึง 18 ปี ก่อนที่มันจะตายไปเมื่อปี 2006
    ฟาร์มหมูจิ๋วที่เลื่องชื่อแห่งหนึ่งในอังกฤษคือ Little Pig Farm ของ เจน ครอฟต์ อยู่ที่ไครสต์เชิร์ช เขตแคมบริดจ์เชียร์ เผยว่า มีออร์เดอร์และคนติดต่อสอบถามเข้ามาอาทิตย์หนึ่งราวสี่พันคนเลยทีเดียว จุดเด่นที่เจ้าหมูน้ำชากลายเป็นที่นิยมขึ้นมาในเกาะอังกฤษ นั่นก็เพราะหมูน้ำชาเป็นสัตว์สุขอนามัยสูงสะอาด สอนให้ขับถ่ายเป็นที่ทางได้ง่าย เหมาะกับผู้เป็นโรคภูมิแพ้ เพราะไม่สร้างปัญหาในเรื่องนี้ และร้องเสียงไม่ดังถึงขั้นน่ารำคาญ

    แถมได้คนดังหันมาเลี้ยงกันมากๆ แบบนี้ รับรองกระแสหมูจิ๋วคงขยายไปทั่วโลกแน่นอน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>Metro Life - Manager Online</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อ่า...คะ...อ่านแร้ว งง เหอๆ

    สรุปว่า คุณแล้ม ธาตุไฟเข้าแทรก ก่อนที่สำเร็จยุทธ หรือเจ้าคะ

    ยังไงก็รักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ กินน้ำแข็งเข้าไปสกัดจุดบล๊อคธาตุไฟไว้ก่องน้า

    บรรเทาอาการรักษาสติไว้ก่อน..เดี๋ยว..หมอเทวดามาก็ค่อยรักษาให้หาย

    เหอๆ [​IMG]
     
  12. lamb of god

    lamb of god เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +436
    ออ...ก็เข้ามาดูกระทู้สุดยอดเช่นนี้ ลมปราณเลยตีกลับ มันช่างร้อนแรงเสียจริง
    ครบเซ็ท ทั้งโหดทั้งฮา สับสน และมึนตึ๊บค่ะท่าน...555+เอิง เอย
     
  13. lamb of god

    lamb of god เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +436
    “Skirt Boy” หนุ่มแดนปลาดิบหันมาฮิตใส่กระโปรง !?!

    ผู้หญิงอย่างเราๆใส่กางเกงได้...55 ทำไมหนุ่มๆจะใส่กระโปรงมิได้ละ 555 อาร์ตดี
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>แกลเลอรี่ชีวิตจีน (วันที่ 31 ต.ค.-6 พ.ย.) </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>7 พฤศจิกายน 2552 12:42 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=480 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=480>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>(31 ต.ค.) ชาวเมืองฉงชิง (จุงกิง) นับพันต่างกางร่มกันฝนที่ตกปรอยๆ ออกมาร่วมฉลองงานเทศกาลจิ้มจุ่ม หม้อไฟ ที่เทศบาลนครเมืองฉงชิงจัดขึ้น ซึ่งเป็นเทศกาลอาหารท้องถิ่นที่นิยมจัดกันในช่วงเข้าฤดูหนาว เป็นประเพณีที่มีมายาวนานย้อนกลับไปกว่า 1,700 ปี ในสมัยราชวงศ์จิ้น (ภาพเอเอฟพี)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=480 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=480>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>(1 พ.ย.) ในทุกๆ ปี ผู้คนต่างเฝ้ารอชมปรากฎการณ์หิมะแรกตกลงมาจากท้องฟ้า ดั่งละอองแห่งความสุขจากสวรรค์ สำหรับปีนี้ กรุงปักกิ่งมีหิมะตกลงมาเร็วที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งมาเร็วกว่าปกติถึง 2 เดือน จากในภาพ จะเห็นจตุรัสเทียนอันเหมินมีหิมะตกลงมาปกคลุมหลังอุณหภูมิติดลบ 2 องศาเซลเซียส (ภาพเอเอฟพี)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=480 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=480>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>( 2 พ.ย.) รูปสลักใบหน้าประธานเหมา เจ๋อตง ในวัยหนุ่ม ขนาดสูง 32 เมตร บนเนินหิน ในนครฉางซา ตอนกลางของมณฑลเหอหนาน ซึ่งปีนี้ ทางการจีนให้ความสำคัญกับวาระครบรอบวันเกิดปีที่ 115 ของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ผู้พลิกแผ่นดินสถาปนาชาติจีนเป็นปึกแผ่นตราบจนถึงทุกวันนี้ (ภาพเอเอฟพี)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=480 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=480>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>(3 พ.ย.) นางแบบกำลังโพสต์ท่าแสดงแบบเสื้อในคอลเลคชั่น "รังไหม" ฤดูใบไม้ผลิ/ร้อน ปีหน้า 2553 โดยดีไซน์เนอร์จีน หยิง กุยเจียน ระหว่างงานแฟชั่นวีค ในกรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นงานแสดงแบบเสื้อหรูหราที่จัดขึ้นปีละสองครั้ง และมีผู้สนใจจากทั่วโลกมาเข้าชม เสมือนเมืองแห่งแฟชั่นอีกเมืองของโลก (ภาพเอเอฟพี)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=480 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=480>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>(4 พ.ย.)จีนเป็นประเทศมีอาณาเขตติดทะเล และมีชายฝั่งยาวที่สุดในโลก แต่นักโต้กลางเกลียวคลื่น ที่หาดหูไห่ ทางใต้ของมณฑลไห่หนาน และกีฬากลางแจ้งประเภทอื่นยังไม่เป็นที่นิยมนัก โดยเพาะกับสาวๆ เพราะทัศนคติที่ว่า คนผิวคล้ำคือคนที่ยากจนใช้แรงงาน และการศึกษาไม่สูง(ภาพเอเฟพี) </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=480 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=480>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>(5 พ.ย.)กังหันพลังงานลม บนภูเขาเจ้อโหมว นอกเมืองต้าลี่ ทางใต้มณฑลยูนนาน ตลอดสองปีมานี้ จีนได้เร่งมือจัดสร้างแหล่งผลิตพลังงานสะอาดจำนวนมาก เพื่อลดค่าซีดีเอ็ม ให้เป็นไปตามพิธีสารเกียวโต (ภาพเอเอฟพี)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=480 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=480>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>(6 พ.ย.)หู จินเทา ประธานาธิบดีจีน (คนกลาง) ออกต้อนรับผู้บัญชาการ กองทัพอากาศ จาก 30 ประเทศต่างๆ ณ มหาศาลาประชาชน ในกรุงปักกิ่ง เนื่องในวันครบรอบ 60 ปี กองทัพอากาศจีน(ภาพเอเอฟพี)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    China - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อ่านข่าวนี้แล้ว สะเทือนใจมากมาย น้ำตาไหลเรย... ฉันเองก็ไม่รู้ว่าร้องเพราะอะไรเหมือนกัน[​IMG]
    [​IMG] พวกเขาเลือกทำเพื่อคนที่เขารัก ...นะ..เธอ...ฉันก้เลยกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ขาประจำบริจาคโลหิต แลกเงินเลี้ยงครอบครัว</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>9 พฤศจิกายน 2552 18:38 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ประชาชนกำลังรอบริจาคเลือดที่ศูนย์บริจาคโลหิตของสำนักงานสาธารณสุขในอำเภอหยุนเซียน, มณฑลเหอเป่ย - เอเจนซี่</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ไชน่าเดลี่ – ทุกวันนี้ ชาวนา ที่ยากจนกว่า 6,000 คน ในมณฑลเหอเป่ย ทางภาคกลางของจีน กำลังขายหยดเลือดของตน ในนามของการ บริจาค เพื่อหารายได้พิเศษมาจุนเจือครอบครัว

    ปัจจุบัน ที่ศูนย์รับบริจาคโลหิตของสำนักงานสาธารณสุขในอำเภอหยุนเซียน มีชาวนาเกือบ 6,400 คน เดินทางมาขายเลือดครั้งละ 600 ซีซี ทุกๆ 2 สัปดาห์ โดยแต่ละครั้ง จะได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน 168 หยวน หรือราว 825 บาท

    หนังสือพิมพ์ไชน่า ยู้ท เดลี่ รายงานเมื่อวันพุธ (4 พ.ย.) ว่า นับตั้งแต่ศูนย์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 11 ปีก่อน มีประชาชนมาขายเลือดแล้วเกือบ 20,000 คน โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่า เงินที่ให้ไปนั้น จัดอยู่ในประเภทเงินอุดหนุน ที่รัฐช่วยเหลือ เป็นค่าอาหารและค่าเดินทาง

    อำเภอหยุนเซียนถูกรัฐบาลกลางขึ้นบัญชีเป็นเขตยากจนมานานหลายสิบปีแล้ว นางเกา ฉงเฟิง วัย 51 ปี และสามี เริ่มขายโลหิตมาตั้งแต่ปี 2543 เพื่อนำเงินมาจ่ายเป็นค่าเล่าเรียนของบุตรชาย ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยม จนขณะนี้เรียนในระดับมหาวิทยาลัย ส่วนนางโจว เหวินเฟิน วัย 53 ปีเล่าว่า นางเวียนมาขายโลหิตอยู่เป็นประจำตั้งแต่ปี 2550 เมื่อหมอตรวจพบว่า หลานชาย วัย 3 ขวบ เป็นโรคโลหิตจางชนิดหนึ่ง โดยในแต่ละครั้ง นางต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เดินข้ามภูเขานานกว่า 1 ชั่วโมง เพื่อมาลงเรือ ล่องไปตามแม่น้ำ กว่าจะมาถึงศูนย์ได้ก็นานหลายชั่วโมง

    “ฉันไม่มีทางเลือกนี่นะ เพียงแต่ต้องการเงินไปรักษาเจ้าหลานชาย เราใช้เงินไปเกือบครึ่งล้านหยวนแล้ว เป็นค่ารักษาพยาบาล” นางเล่า

    เจ้าหน้าที่ของศูนย์ ซึ่งเปิดเผยแต่แซ่ของตน กล่าวว่า ตัวเลขผู้มาบริจาคเลือดเป็นประจำเกือบ 6,400 คน และเรื่องเงินอุดหนุนนั้นเป็นความจริง อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของศูนย์อยู่ภายใต้กฎหมาย และมาตรฐานความปลอดภัย โดยทางศูนย์ไม่สามารถห้ามชาวนามาบริจาคเลือดได้ เนื่องจากคนเหล่านั้นต้องการได้รับเงินอุดหนุน

    ในแต่ละปี ศูนย์แห่งนี้ได้รับเลือดประมาณ 60,000 ถุง และจ่ายเงินค่าบริจาคทั้งสิ้นราว 10 ล้านหยวน โดยกระทรวงสาธารณสุขออกกฎ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ห้ามบริจาคเลือดเกิน 600 ซีซีในแต่ละครั้ง และไม่อนุญาตให้บริจาคเลือดเกินกว่า 2 สัปดาห์ต่อครั้ง

    ด้านผู้เชี่ยวชาญชี้แจงว่า หากปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ การบริจาคโลหิตเป็นประจำไม่มีผลเสียต่อสุขภาพของชาวนา อย่างไรก็ตาม ทางการและชาวนาเองควรพยายามแก้ไขปัญหาความยากจนด้วยวิธีการอื่น ๆ ด้วย

    ทั้งนี้ จีนยังมีแก๊งรับบริจาคโลหิตใต้ดิน ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุการแพร่ระบาดโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ในหมู่ประชาชนชนบทภาคกลางเมื่อกลางทศวรรษ1990

    China - Manager Online

    ปล.สภากาชาดไทย อนุญาติให้บุคคลหนึ่งบริจาคได้ 3 เดือนครั้ง ครั้ง300ซีซี
    ถ้ามีการกินยาปฏิยาชีวนะและยาแก้ปวดภายในระยะเวลา...วันก่อนจะบริจาค ก็ไม่ให้บริจาคด้วย




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2009
  16. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    <TABLE height=36 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top noWrap width="80%">ความคิดเห็นที่ 1</TD><TD vAlign=top noWrap align=right width="50%">[​IMG]<SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[1], 1);</SCRIPT> </TD></TR></TBODY></TABLE>


    เมื่อ นู๋บี เขียน จม.( เปิดผนึก ) ....




    ถึง ขรัวโต




    ขรัวโต ค้าาาาาา ขรัวโต ค้าาาาาาา
    นู๋บีมีเรื่องจะปรึกษา ขรัวโต ค้าาาาา
    ขรัวโต ค้าาาาาา ขรัวโต ค้าาาาาาา
    นู๋บีมีเรื่องอยากจะถามขรัวโต ค้าาาาาาา




    คือสมมติ เจ้าค่ะ สมมติ สมมติ ขรัวโตป็นเด็ก
    สมมติว่าตอนยังเล็ก ขรัวโตไปชนจนบาตรมันแตก
    ขรัวโตก็เก็บเรียบร้อย ขรัวตาก็ยังไม่รู้
    นู๋บีจะถามขรัวโต ว่าขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา


    ตอบ แทนขรัวโต ทุกสิ่งมีอันแตกดับไปเป็นธรรมดา
    บาตรมันแตกก็เข้ากฏพระไตรลักษณ์




    ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา
    ขรัวโตจะบอกขรัวตา แล้วขรัวตาจะว่าไหมค้าาาาา
    ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา
    ขรัวโตจะบอกขรัวตา แล้วขรัวตาจะตีไหมค้า


    ตอบ ของมันก็เสียไป แล้ว สำคัญอย่าให้ใจเราเสียไปตามของ




    (ไม่ตีหรอกจ้ะ ขรัวตาจะไม่ตีนู๋บีหรอก เพราะนู๋บีพูดความจริงไงจ๊ะ)
    (ถ้านู๋บีเป็นเด็กกล้าหาญ นู๋กล้าพูดว่านู๋ทำอะไร ขรัวโตว่านะ ไม่ตีหรอกจ้ะ)

    ตอบ แม้แต่เราก็ไม่ตีนู๋บี ผู้รู้แล้วอย่างท่านขรัวโตก็จะไม่ตีขรัวโตเอ็ดดูมนุษย์ และ สรรพสัตว์ถ้าจะตีก็จะตีสอน


    ขรัวโต ค้าาาาาา ขรัวโต ค้าาาาาาา
    นู๋บีมีเรื่องจะปรึกษา ขรัวโต ค้าาาาา
    ขรัวโต ค้าาาาาา ขรัวโต ค้าาาาาาา
    นู๋บีมีเรื่องอยากจะถามขรัวโต ค้าาาาาาา

    คือสมมติ เจ้าค่ะ สมมติ
    สมมติ ว่า ตอนเป็นเด็ก
    แล้ว ขรัวตา เทอาหารในบาตรมาผสมกันยังกับข้าวหมู
    ดูแล้วไม่น่ากิน สยองลิ้น แถม กลิ่นก็แสนจะพิลึกกึกกือ
    หลังตักแจกทุกคน กับมือ
    ขรัวตาก็อ้าปากถาม ว่ารสชาดเป็นไง
    ขรัวโตรู้สึกเช่นไร ขรัวตาก็ยังไม่รู้
    นู๋บีจะถามขรัวโต ว่าขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาาา

    ตอบ ก็ขรัวโตวางกับข้าวขนมข้าวต้มในบาตรที่พอแต่ละคำกลืน
    ให้ไปด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นรสชาติก็เป็นธรรมดา
    มีเปรี้ยว หวาน เค็ม ขม เผ็ด ขรัวโตก็เอาจากอาการปัจจุบันมาบอกนู๋บี





    ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา
    ขรัวโตจะบอกขรัวตา แล้วขรัวตาจะว่าไหมค้าาาาา
    ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา
    ขรัวโตจะบอกขรัวตา แล้วขรัวตาจะตีไหมค้า

    ตอบ ขรัวโตได้ยืมมือของเจ้า Sriaraya5. ตอบนู๋บีแล้ว





    (อืม.. เด็กที่พูดความจริง นะจ๊ะ ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนหรอกจะตีลง)
    (บอกขรัวตาไปเถอะจ๊ะ ว่าหนูรู้สึกยังไง แล้วขรัวตาจะภูมิใจมากเลย)

    ตอบ แม้แต่เราก็ไม่ตีนู๋บี ผู้รู้แล้วอย่างท่านขรัวโตก็จะไม่ตีขรัวโตเอ็ดดูมนุษย์ และ สรรพสัตว์ถ้าจะตีก็จะตีสอน

    ขรัวโต ค้าาาาาา ขรัวโต ค้าาาาาาา
    นู๋บีมีเรื่องจะปรึกษา ขรัวโต ค้าาาาา
    ขรัวโต ค้าาาาาา ขรัวโต ค้าาาาาาา
    นู๋บีมีเรื่องอยากจะถามขรัวโต ค้าาาาาาา

    ขอสมมติเป็นเรื่องสุดท้าย ตอนขรัวโต อยู่กับ ขรัวตา
    แล้วขรัวตา ก็เอาวิดีโอชีวประวัติของสมณะท่านหนึ่งมาให้ดู
    ดูแล้ว ขรัวโต ก็ซาบซึ้งจนถึงกะร้องไห้
    แบ่บว่า รู้สึก เลื่อมใส (แต่ไม่ศรัทธา)

    ตอบ ขรัวโตรู้สึกเลื่อมใสจริง แต่ต้องทำศรัทธาของตนให้บังเกิดมีขึ้นเสียก่อน ขรัวโตจึงจะไปศรัทธาผู้อื่น

    เมื่อขรัวตาอ้าปากถาม ว่า ที่ดู ๆ ไปนั้น รู้สึกยังไงบ้าง
    ขรัวโตรู้สึกเช่นไร ขรัวตาก็ยังไม่รู้ทุกอย่าง
    นู๋บีจะถามขรัวโต บ้าง ว่าขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาาา​

    ตอบขรัวโตจะบอกนู๋บีว่า มัวไปชื่นชมบุญกุศลผู้อื่น เสียเวลาเอาเราก่อนนู๋บี




    ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา
    ขรัวโตจะบอกขรัวตา แล้วขรัวตาจะว่าไหมค้าาาาา
    ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา
    ขรัวโตจะบอกขรัวตา แล้วขรัวตาจะตีไหมค้า​

    ตอบ แม้แต่เราก็ไม่ตีนู๋บี ผู้รู้แล้วอย่างท่านขรัวโตก็จะไม่ตีขรัวโตเอ็ดดูมนุษย์ และ สรรพสัตว์ถ้าจะตีก็จะตีสอน




    ( วิดีโอชีวประวัติของสมณะ...ผู้ชายพายเรือ ...ที่อยู่เหนือวัดระฆัง....)
    (ที่ตอนนี้กลายเป็นกาทู้ที่ ดับสูญ ใช่ไหมจ๊ะ ใช่ไหมจ๊ะ)

    ตอบ ขรัวโตแสดงใด ๆ ใน โลกย่อมดับสูญเมื่อถึงเวลาต้องพลัดพลาดจากของรักของชอบใจ เป็นธรรมดา มนุษย์เกิดมาเพื่อผิดหวังและร้องไห้ ที่สมหวังนั้นก็เป็นทุกข์ที่ลดน้อยลงนะ นู๋บี





    ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา
    ขรัวโตจะบอกขรัวตา แล้วขรัวตาจะว่าไหมค้าาาาา
    ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา ขรัวโตจะบอกไหมค้าาาาา
    ขรัวโตจะบอกขรัวตา แล้วขรัวตาจะตีไหมค้า

    ตอบ แม้แต่เราก็ไม่ตีนู๋บี ผู้รู้แล้วอย่างท่านขรัวโตก็จะไม่ตีขรัวโตเอ็ดดูมนุษย์ และ สรรพสัตว์ถ้าจะตีก็จะตีสอน







    [SIZE=-1]แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 52 21:10:43[/SIZE] [SIZE=-1]แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 52 21:08:54[/SIZE] <TABLE cellSpacing=1 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top noWrap width=75>จากคุณ</TD><TD>: นู๋บี [​IMG] [​IMG] </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom noWrap width=75>เขียนเมื่อ</TD><TD vAlign=bottom>: 12 ต.ค. 52 21:07:26 [​IMG] </TD></TR><TR><TD id=xscore1 vAlign=top noWrap width=75></TD><TD id=score1></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อ่านเรื่องนี้แล้วประทับใจจัง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>อาภัพอับโชคของสองศิษย์เอก/นรา</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>9 พฤศจิกายน 2552 12:07 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>นักศึกษาคณะจิตรกรรม-ประติมากรรม รุ่น 1-2-3 ถ่ายรูปร่วมกันที่ภาพปั้นชายแผลงศร ฝีมือของอาจารย์แช่ม ขาวมีชื่อ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>แช่ม ขาวมีชื่อ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>พระสรลักษณ์ลิขิต</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>นักศึกษารุ่นแรกของโรงเรียนประณีตศิลปกรรม แถวยืนคนที่สามนับจากซ้ายคือ แช่ม ขาวมีชื่อ และถัดมาคือ เฟื้อ ทองอยู่</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>บันทึกไว้ว่า ศิษย์ก้นกุฏิของอาจารย์ศิลป์ พีระศรีเมื่อปี พ.ศ. 2476 (ในบทความคราวที่แล้ว ผมเลินเล่อระบุปีพ.ศ.ผิดพลาดเป็น 2466 ขออนุญาตแก้ไขและขออภัยผ่านทางข้อเขียนชิ้นนี้ด้วยครับ) มีทั้งหมด 10 คน คือ แช่ม แดงชมภู, พิมาน มูลประมุข, อนุจิตต์ แสงเดือน, จงกล กำจัดโรค, พวงทอง ไกรหงส์, ม.ร.ว. ถนอมศักดิ์ กฤดากร, สิทธิเดช แสงหิรัญ, แช่ม ขาวมีชื่อ, สวัสดิ์ ชื่นมานา และเฟื้อ ทองอยู่

    อาจารย์น. ณ ปากน้ำ เขียนเล่าไว้ว่า ในจำนวนนี้มี 2 คนที่เด่นล้ำเป็นพิเศษ จนยกย่องและนับถือกันว่าเป็น "ศิษย์เอก" ของอาจารย์ฝรั่ง

    ทั้ง 2 ท่านก็คือ แช่ม ขาวมีชื่อ และเฟื้อ ทองอยู่

    อาจารย์เฟื้อมักจะกล่าวถึงเพื่อนร่วมสำนักของท่าน ในการสัมภาษณ์หลายๆ ครั้งว่า "คนนี้เก่งเรื่องปั้น" และ "คนนี้หัวดี น่าเสียดาย"

    ในระหว่างค้นข้อมูลเพื่อเขียนถึงอาจารย์เฟื้อ ผมผ่านตาเรื่องราวเก่าๆ จำนวนหนึ่งเกี่ยวกับศิษย์รุ่นแรกของอาจารย์ศิลป์

    พบว่า มีการเอ่ยชื่นชมยกย่องความเก่งกาจของแช่ม ขาวมีชื่อ อยู่มากมายหลายแห่ง

    ท่านผู้นี้สมควรเป็นประติมากรผู้ยิ่งใหญ่รุ่นแรกๆ ของเมืองไทย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็น

    เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์เอกที่มีผู้เปรียบว่า เป็นเสมือน "มือขวา" ของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ขอรบกวนเวลาผู้อ่านสักหลายๆ บรรทัด ก่อนจะเล่าต่อถึงชีวิตของอาจารย์เฟื้อ

    แช่ม ขาวมีชื่อ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2457 ศึกษากับอาจารย์ศิลป์ พีระศรี โดยเลือกเรียนทางด้านประติมากรรม จบแล้วเข้ารับราชการที่กรมศิลปากร แผนกช่าง

    ได้รับการยกย่องว่า รอบรู้ทั่วถึงทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติ เก่งวิชากายภาคคน-สัตว์, วาดเส้น, จิตรกรรม, ประติมากรรม, แบบอย่างศิลปและประวัติศาสตร์ศิลป

    ผลงานเท่าที่ปรากฏและทราบแน่ชัด ได้แก่ บางส่วนของภาพนูนสูงฐานปีกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (ซึ่งอาจารย์ศิลป์ต้องระดมศิษย์รุ่นแรกๆ มาช่วย เพื่อให้เสร็จทันกำหนด)

    และอีกหนึ่งชิ้นงานซึ่งโด่งดังเป็นที่ร่ำลือกันมาก คือ รูปปั้นผู้ชายโก่งคันธนู เป็นงานศึกษากายวิภาค ถอดแบบจากผลงานประติมากรโบราณของตะวันตก ซึ่งปั้นได้เหมือนจริงไร้ที่ติ สัดส่วนสวยงาม ถูกต้อง แม่นยำตามหลักวิชา และฝีมือเข้าขั้นทัดเทียมศิลปินตะวันตก ทั้งๆ ที่สร้างขึ้นโดยเด็กหนุ่มที่ยังเป็นเพียงแค่นักเรียนช่างปั้น

    ในประวัติย่อๆ สั้นๆ ยังระบุไว้อีกว่า แช่ม ขาวมีชื่อ ไม่นิยมปั้นงานประเภทอนุสาวรีย์ เนื่องจากอึดอัดขัดใจกับกรอบบังคับและการแก้ไขโดยคณะกรรมการ (ที่ปราศจากความรู้) แต่ก็ยินดีทำงานเหล่านี้ รวมถึงงานวิชาการด้านอื่นๆ เพื่อแบ่งเบาภาระหนักหน่วงของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี

    คำให้สัมภาษณ์ของอาจารย์เฟื้อที่ว่า "คนนี้หัวดี น่าเสียดาย" นั่นก็เพราะว่า แช่ม ขาวมีชื่อ หัวใจวายถึงแก่กรรม เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2485 ขณะมีอายุเพียงแค่ 28

    หนึ่งปี ก่อนหน้าที่จะมีการสถาปนามหาวิทยาลัยศิลปากร

    ขณะที่แช่ม ขาวมีชื่อ โดดเด่นทางด้านงานปั้น เฟื้อ ทองอยู่-อีกหนึ่งศิษย์เอก-ก็สร้างชื่อฝากฝีมือกับงานจิตรกรรม และล้ำเลิศเป็นเอกกันคนละแขนง

    แต่ชีวิตด้านอื่นพ้นจากการเรียนและทำงานศิลปะแล้ว นับได้ว่าอาจารย์เฟื้อประสบอุปสรรคอาภัพอับโชคไปอีกแบบ

    แรกสุดคือ ปัญหาเดิมๆ เช่นเดียวกับที่เคยพบเผชิญสมัยเรียนเพาะช่าง

    ระยะเริ่มต้นที่เรียนกับอาจารย์ศิลป์ พีระศรี สภาพเป็นดังนี้

    "...คราวแรกก็เพียงแต่มาชุมนุมอะไรกัน สอนด้วยความเมตตา แล้วก่อเป็นโรงเรียนขึ้น แล้วก็มีระบบการสอน

    "...ก็แบ่งฝ่ายเป็นช่างเขียน ช่างปั้น ผมถูกส่งไปเรียนวิชา Painting ผมชอบทางจิตรกรรม ไม่ชอบทางประติมากรรม ผมก็ไปเรียนอยู่กับ พระสรลักษณ์ลิขิต ซึ่งสอน Painting แต่ผมมันดวงแบบเก่า แต่ดีกว่าเก่า เพราะพบกับผู้เชี่ยวชาญ แต่แนวความคิดมันก็ยังไม่ตรงกัน ผมจะไปเรียนได้ยังไง เสียเวลา ผมก็ลาออก..." (จากข้อเขียนคำบอกเล่าของอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ในหนังสือ "อาจารย์ศิลป์กับลูกศิษย์")

    ยุคสมัยนั้น นับถือกันว่า พระสรลักษณ์ลิขิต (มุ่ย จันทรลักษณ์) เป็นช่างเขียนชาวไทยฝีมือเยี่ยมสุดคนหนึ่ง และเป็นจิตรกรไทยเพียง 1ใน 2 ที่มีโอกาสเรียนเขียนภาพจากโลกตะวันตก (อีกท่านคือ ขุนปฏิภาคพิมพ์ลิขิต) เมื่อคราวติดตามพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรป

    เมื่อรำลึกย้อนหลังสู่ช่วงเวลาดังกล่าว อาจารย์เฟื้อในวัยชรา มักจะยกย่องชื่นชมพระสรลักษณ์ลิขิตอยู่เสมอ

    อาจกล่าวได้ว่า เป็นความเคารพนับถือกันในทางส่วนตัวและฝีไม้ลายมือความสามารถ แต่ขัดแย้งและปฏิเสธเกี่ยวกับการเรียนการสอน ซึ่งระหว่างครูกับศิษย์ มีแนวคิดไม่ตรงกัน

    "...ท่านสอนแบบโรงเรียนเพาะช่าง ผมเลยไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม เพราะมันเป็นแบบเก่า จริงๆ แล้ว เราก็อยากจะให้เหมือนชาวบ้านเขา ไม่อยากจะแปลกจากเขาหรอก หลักสูตรมันมีขอบเขต ขอบเขตมีกรอบของมันอยู่..."

    บทความ "เฟื้อ หริพิทักษ์ จิตรกรเอกของเมืองไทย" โดย น. ณ ปากน้ำ ให้รายละเอียดช่วงนี้เพิ่มเติมว่า "พระสรลักษณ์ฯ ท่านเริ่มสอนแบบมาตรฐานด้วยการให้ฝึกแรเงาจากแบบรูปปั้นเสียก่อน ซึ่งทำให้เฟื้อเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาทันที แม้ว่าเขาจะนิยมชมชอบในฝีมือความสามารถของท่าน แต่ท่านไม่ได้ละเว้นให้เป็นรายบุคคล สำหรับผู้ที่จัดเจนต่อการเขียนมาแล้ว ผลที่สุดเฟื้อก็ต้องถอนชื่อออกจากบัญชีของโรงเรียน"

    อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งครั้งนี้ คลี่คลายลงเอยด้วยดี เนื่องจากอาจารย์ศิลป์ พีระศรี มีความเมตตาและเข้าใจถึงอารมณ์ "ขบถ" ต่อกฎกรอบต่างๆ, นิสัยรักอิสระ และความเป็นตัวเอง รวมทั้งชื่นชมฝีมือการวาดภาพด้วยลายเส้นอันอ่อนไหว เปี่ยมอารมณ์ แม่นยำชนิดหาตัวจับได้ยากของเฟื้อหนุ่ม

    สุภาพบุรุษจากฟลอเรนซ์เคยเขียนถึงศิษย์เอกผู้นี้ไว้ว่า "...เฟื้อ หริพิทักษ์ เป็นผู้หนึ่งที่รวมอยู่ในหมู่นักเรียนช่างคณะนี้ และเป็นผู้ที่ไม่ชอบอยู่ในกรอบข้อบังคับของสถานศึกษานัก แม้เขาจะเป็นคนที่เคารพต่อกฎและไม่เคยร่ำร้องอะไร ก็ยังเห็นได้ว่าเขาไม่สบายใจเลยที่จะต้องปฏิบัติตนให้อยู่ในวินัยของสถานศึกษาศิลปะ โดยส่วนตัวข้าพเจ้านั้น ได้พยายามอย่างที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งซึ่งเป็นการขัดแย้งต่อคุณลักษณะเฉพาะตนของเฟื้อหนุ่ม เขาได้ทำการฝึกฝนทดลองเทคนิคของงานจิตรกรรมหลายประเภทด้วยกัน ทั้งนี้เพื่อค้นหาว่าเทคนิคใดจะเหมาะกับธรรมชาติของเขา เขาเป็นคนกระหายใคร่เรียนและสิ่งใดที่เขาเรียนก็เรียนด้วยใจจริง..."

    รวมทั้งทำนายทายทักผ่านสายตาหยั่งลึกมองการณ์ไกล "...ข้าพเจ้าจึงมั่นใจว่า วันหนึ่งเด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นศิลปินที่แท้จริงขึ้นมาได้..."

    ผ่านบทพิสูจน์โดยกาลเวลา ผ่านการเรียนรู้ไม่หยุดหย่อนว่างเว้น และผ่านการทำงานศิลปะอย่างหนักหน่วงเอาเป็นเอาตาย ความเห็นดังกล่าวของอาจารย์ศิลป์ ปรากฏเป็นจริงทุกประการ

    โดยนัยนี้ หลังจากลาออก ไม่ยอมศึกษาตามระบบ เฟื้อหนุ่มจึงขอเรียนกับอาจารย์ศิลป์ พีระศรีโดยตรงและเลือกเรียนกับครูอื่นๆ อีกบางท่าน "...เรียนทุกวัน แต่ไม่มีสิทธิ์สอบ ก็เรียน เรามันอยากรู้ ก็ทิ้งงาน ไม่ได้สตางค์ มันก็อด อยู่กับอาจารย์นี่ก็อด ส่วนมากที่มาเรียนนี่ก็ต้องทิ้งงานทั้งนั้น อยากได้ความรู้ก็ต้องทิ้งงาน แล้วก็ไม่ได้หวังประกาศนียบัตรอะไร ผมต้องการความรู้เท่านั้น...

    "เราก็มีบุญนะ มาพบกับอาจารย์สำคัญ แต่เราก็ต้องเสาะๆ หาไปนะ แล้วเราก็มีบุญที่มีคนนำไปหา ไม่งั้นก็คงเละเหมือนกัน ก็คงไปอย่างคนอื่นเค้า บ้านเราได้อาจารย์ขนาดนี้ก็บุญของเราแล้ว หาไม่ได้หรอก ไปเมืองนอกหาอาจารย์อย่างอาจารย์ศิลป์ หาไม่ได้แล้ว นอกเวลาก็ยังไปถามได้ มันหาไม่ง่าย มันยาก การเป็นครูบาอาจารย์ไม่ใช่ง่าย การเป็นครูบาอาจารย์ดีจริงๆ มีความรู้จริง และมีความรักที่จะให้วิชาเขา ฉลาดในการที่จะให้ นี่ไม่ใช่ง่าย. ใครพบอาจารย์ดีๆ อย่างนั้นก็บุญแล้ว ไอ้เราน่ะไม่ได้ขี้กะผีกของอาจารย์นะจะบอกให้..."

    มีคำถามหนึ่งในบทสัมภาษณ์ "เฟื้อ หริพิทักษ์ ศิลปินเอกของชาติ" ในคอลัมน์ชีวิตต้องสู้ โดย วิจารณ์ จากวิทยาจารย์ พฤษภาคม 2529 ปีที่ 84 ฉบับที่ 5

    ถามสั้นๆ ง่ายๆ แค่ว่า "เมื่อพบอาจารย์ศิลป์แล้วเป็นอย่างไร?"

    คำตอบจากอาจารย์เฟื้อ "......เมื่อผมมาเป็นศิษย์ท่านอาจารย์ศิลป์.....ท่านก็ช่วยให้ผมถีบตัวขึ้นไปอีกเยอะแยะเลย ....เพราะอาจารย์ศิลป์ท่านรอบรู้หมดทุกอย่างใช่ไหม และวิธีการของผม ท่านว่ามันไม่ผิดนะ ท่านกลับส่งเสริมเลย มันก็เลยยิ่งไปได้ดีขึ้น ก็เป็นอันว่าไปๆ ผมก็ได้พบอาจารย์ดีใช่ไหมละ ส่วนที่เกี่ยวกับเพาะช่างนะ เขาก็ไม่ใช่ผิดนะ เพราะแนวเขาวางไว้แค่นั้น เมื่อผมเป็นมากกว่านั้นเขาก็ไม่ยอมซิ เราจะไปโทษเขาไม่ได้นะ โทษเขาไม่ได้ (หัวเราะ) เรากระโดดข้ามเขาไปเอง...ทีนี้ผมมาเรียนกับอาจารย์ศิลป์นะ ท่านเป็นช่างปั้นก็จริงแต่ท่านรอบรู้ เพราะท่านเป็นนักศิลปะคนสำคัญ และท่านเป็นครูบาอาจารย์ชนิดที่หายากมาก ฉลาดในการถ่ายเทและท่านถ่ายเทอย่างหมดพุงเลย ท่านไม่มีการยั้งเลยเพราะฉะนั้นผมเลยนับถือท่านเหลือเกิน

    "เหมือนพ่อ.....ให้หมดเลยและความรู้ที่ท่านให้ผมนั้นมันวิเศษที่ผมได้จากท่านมามันวิเศษ ไปหาที่อื่นก็ไม่ได้อย่างนั้นหรอกครับ ผมไปอยู่อิตาลีผมก็ไม่พบอย่างอาจารย์ ผมบอกได้เลยว่าหาไม่ได้หรอกอย่างอาจารย์ศิลป์นี่"

    การเรียนของอาจารย์เฟื้อ อาจขลุกขลักไม่ราบรื่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสเกินกว่าจะทานทน

    มรสุมชีวิตอันแท้จริงที่โหมกระหน่ำ จนทำให้ชีวิตของอาจารย์เฟื้อในวัยหนุ่ม แทบล้มพังทลายย่อยยับ ชนิดยากที่ใครสักคนผู้พบเผชิญจะสามารถเอาตัวรอดผ่านพ้น และลุกขึ้นยืนหยัดได้อีกครั้ง กลับเป็นเรื่องปัญหาหัวใจ

    ความรักที่เข้มข้นโลดโผนราวกับนิยายของอาจารย์เฟื้อ นับเป็นอีกหนึ่งตำนานเรื่องเล่าชวนสะทกสะท้าน

    มันทำให้ผู้สดับรับรู้ได้ยินได้ฟัง ร่ำๆ ว่า "หัวใจสลาย" แตกร้าวออกเป็นเสี่ยงๆ...
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    Entertainment - Manager Online
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>อีพู่สือหาน : อุ่นหนึ่งวัน เย็นสิบวัน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>11 พฤศจิกายน 2552 10:20 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> 一暴十寒 

    一 (yī) อ่านว่า อี แปลว่า หนึ่ง
    暴 (pù) อ่านว่า พู่ แปลว่า รับแดด
    十 (shí) อ่านว่า สือ แปลว่า สิบ
    寒 (hán ) อ่านว่า หาน แปลว่า หนาวเย็น


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=260 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=260>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left><CENTER>ที่มา www.findart.com.cn/</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    เมิ่งจื่อ ปรัชญาเมธีในสมัยสงครามระหว่างรัฐ(จั้นกั๋ว) ซึ่งถือเป็นตัวแทนคนสำคัญที่สืบทอดและเผยแพร่แนวคิดปรัชญาของขงจื้อ หรือเรียกว่า "หรูเจีย" ในประวัติศาสตร์ของจีน

    เมิ่งจื่อยึดถือหลักคิดเรื่อง "เมตตาธรรม" ที่เป็น แนวคิดหลักของขงจื้อ โดยเชื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายมีความดีเป็นพื้นฐาน แต่ก็ต้องไม่หยุดที่จะส่งเสริมให้ความดีนั้นคงอยู่และเจริญงอกงามต่อไป โดยเมิ่งจื่อเสนอแนวคิดให้ผู้ปกครองบ้านเมืองต้องถือหลักเมตตาธรรม เน้นความสำคัญของประชาราษฎร์มากกว่าขุนนาง คนเป็นผู้ปกครองต้องได้รับการยอมรับสนับสนุนจากประชาชน นอกจากนี้ เมิ่งจื่อยังเป็นนักปรัชญาเมธีที่นิยมใช้การยกตัวอย่าง เพื่อเผยแพร่แนวคิดให้คนเข้าใจ

    ครั้งหนึ่ง มีผู้กล่าวโทษว่าเหตุใดเมิ่งจื่อจึงไม่ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการช่วยอ๋องฉีเซวียนปกครองบ้านเมือง เมิ่งจื่อจึงกล่าวชี้แจงโดยการยกตัวอย่างเปรียบเปรยว่า

    “ในโลกนี้ พืชพรรณไม้บางประเภทช่างเติบโตได้อย่างง่ายดาย แต่หากปล่อยให้ต้นพืชเหล่านั้นได้รับแสงแดดสัก 1 วัน จากนั้นตลอด 10 วันติดต่อกันต้องอยู่ในสภาวะหนาวเย็น ไร้แสงแดด เช่นนั้นแล้ว แม้ว่าจะเป็นพืชพรรณที่มีพลังชีวิตกล้าแข็งเพียงไร ก็ไม่อาจเจริญงอกงามได้อย่างเต็มที่
    “ตัวข้านั้นโอกาสที่จะได้พบหน้ากับอ๋องฉีเซวียนมีไม่มาก ยามที่ไม่ได้พบหน้ากลับมีมากกว่า อีกทั้งยามที่มิได้พบหน้า ก็ย่อมมีผู้คนมากมายที่มีแนวคิดไม่ตรงกับข้า มีผู้คนมากมายที่เอาแนวคิดในทางมิชอบมาสุมใส่ให้พระองค์ ต่อให้แม้ว่าตัวท่านอ๋องเอง เดิมที่อาจจะมีความคิด จิตใจที่ดีงามอยู่ แต่ข้าเองก็จนปัญญาจะทำให้ความดีงามเหล่านั้นเพิ่มเติมขึ้นหรือแม้กระทั่งรักษาให้คงอยู่”


    จากตำนานดังกล่าว ต่อมาจึงเกิดสำนวนที่ว่า “อีพู่สือหาน” หรือ “อุ่นหนึ่งวัน เย็นสิบวัน” ความหมายคือ แม้จะเป็นพรรณไม้ที่ทรหดอดทน เติบโตง่ายเพียงใด แต่หากได้รับแสงแดดอบอุ่นแค่เพียง 1 วัน จากนั้นต้องอยู่ในความหนาวเย็นจัดติดต่อกันถึง 10 วันย่อมไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ใช้เปรียบเทียบได้กับการเรียนหรือการทำงานที่ขยันขันแข็งเพียงชั่วครู่ชั่วยาม จากนั้นเอาแต่เกียจคร้าน ขาดความสม่ำเสมอ ย่อมไม่พบความสำเร็จ

    สำนวนนี้ใช้ในตำแหน่งภาคประธาน ส่วนขยายนาม หรือกรรมของประโยค

    ตัวอย่างประโยค
    为学要有耐心,不能一暴十寒。 
    การศึกษาต้องใช้ความอดทน จะ ~ ไม่ได้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>China - Manager Online</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไม่รู้ว่าเข้าข่ายโปรโมทหนังหรือเป่า แต่เรื่องของเธอคนนี้ก็แปลกดี...นะ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>แอนนา วินทัวร์ “นางมารตัวแม่” แห่งวงการแฟชั่น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>9 พฤศจิกายน 2552 14:43 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ในที่สุดแฟนๆ เจ้าแม่แฟชั่น แอนนา วินทัวร์ ในเมืองไทย ก็จะได้ยลภาพยนตร์ “September Issue : ฉันนี่แหละ นางมารตัวแม่” กันแล้ว ใครที่รู้จักบรรณาธิการนิตยสารจอมวีนของโว้ค อเมริกา คนนี้ คงไม่แปลกใจว่า ทำไมเรื่องราวชีวิตของเธอถึงโด่งดัง (ในด้านลบ) และหลายๆ คนขนานนามให้เธอเป็น “นางมารตัวแม่”

    แอนนา วินทัวร์ เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 1949 พร้อมพกความแรงและความมุ่งมั่นมาตั้งแต่เกิด เห็นทำงานกับนิตยสารแฟชั่นมานาน แต่ความจริงแล้ว เธอไม่ได้จบการศึกษาด้านแฟชั่นแต่อย่างไร ความจริง...เธอเรียนไม่จบชั้นมัธยมปลายด้วยซ้ำ ด้วยเหตุผลที่ว่าคุณครูไม่อนุญาตให้เธอสวมกระโปรงสั้นไปเรียน แต่การเป็นลูกสาวของบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่าง Evening Standard ของอังกฤษ เธอจึงได้เข้าทำงานในวงการนิตยสาร ไม่ว่าจะเป็นเครือ Harpers Bazaar, New York Magazine และ Vogue โดยดำรงตำแหน่งเป็นบรรณาธิการบริหารของโวค อเมริกา ตั้งแต่ปี 1988

    ภาพของราชินีแห่งวงการแฟชั่นคนนี้คือ ผมบ๊อบหน้าม้า สวมแว่นตาอันโต พร้อมเฟอร์คลุมไหล่ บวกกับลักษณะนิสัยของนางมารร้ายสุดๆ ชนิดที่ว่าคนที่เคยทำงานกับเธออดรนทนไม่ได้ ต้องออกมาเขียนหนังสือระบายความแค้น ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ "front row Anna Wintour" โดย Jerry Oppenheimer และหนังสือ The Devil Wears Prada เขียนโดยอดีตผู้ช่วยส่วนตัวของเธอ Lauren Weisberger ซึ่งโด่งดังและเป็นนวนิยายขายดีเมื่อปี 2003 จนได้ทำเป็นภาพยนตร์

    เอกลักษณ์เฉพาะของ แอนนา วินทัวร์ จนถูกขนานนามว่า นางมารตัวแม่ นั้น ถูกถ่ายทอดโดยคนสนิททั้งที่เอ่ยนามและไม่อยากเอ่ยนาม โดยเฉพาะกับพนักงาน หากใครเดินผ่านเจ้านายคนนี้ ต้องห้ามสบตาและห้ามพูดด้วย นอกจากเธอจะพูดด้วยก่อนเท่านั้น พนักงานทุกคนต้องแต่งกายแบรนด์เนมเท่านั้น เวลาคุยโทรศัพท์กับใครหากเธอเสร็จธุระก็จะวางสายทันทีโดยที่ไม่เซย์ Bye หรือให้คุณตั้งตัวใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อก่อนเวลาเธอได้เป็นหัวหน้าที่ไหน เธอจะไล่พนักงานเก่าแก่ออกหมด แล้วจ้างหนุ่มๆ สาวๆ เข้ามาทำงานแทน และที่ร้ายที่สุดคือ เธอมักใช้คนเป็นบันไดก้าวสู่ความสำเร็จ และหากคนนั้นหมดประโยชน์หรือเป็นภัยต่อตำแหน่งของเธอ เธอก็พร้อมที่จะกำจัดทันที

    โดยเฉพาะ เมื่อครั้งที่เธอเข้าสัมภาษณ์งานกับ Grace Mirabella บรรณาธิการบริหารโว้คคนก่อน ซึ่งเห็นความสามารถของเธอ และถามเธอว่าอยากเข้าทำงานในตำแหน่งอะไร แอนนาบอกชัดถ้อยชัดคำว่า Your Job !!! และแน่นอนเธอไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ แต่ภายหลังด้วยความสามารถและความมุ่งมั่นทำให้เธอได้ทำงานกับเกรซ และแผ่รัศมีของนางมารจนเบียดเข้าทำงานในตำแหน่งของเกรซได้สำเร็จในที่สุด

    นอกจากนั้น ผู้นำแฟชั่นคนนี้ยังเป็นผู้ที่นำเทรนด์ให้นางแบบหันมาลดหุ่นจนผอมกะหร่อง แถมยังนิยมใช้ผ้าขนสัตว์ ซึ่งถูกกลุ่มนักต่อสู้เพื่อสิทธิสัตว์ต่อต้านอยู่บ่อยๆ และไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นโชว์ไหนๆ ในนิวยอร์ก ถ้าเธอยังไม่ปรากฏกายก็อย่าหวังว่าจะเริ่มโชว์ได้ และต้องยกที่นั่งฟรอนท์โรว์ไว้ให้เธอโดยเฉพาะ

    แต่ใช่ว่านังมารคนนี้จะมีแต่ภาพด้านลบ หากเธอเปรียบเหมือนนางฟ้าของดีไซเนอร์หน้าใหม่ เพราะการให้โอกาสเสื้อผ้าของดีไซเนอร์หน้าใหม่มาอวดโฉมบนนิตยสารโว้ค ไม่ว่าจะเป็น มาร์ก จาคอบส์ หรือ กาลิอาโน่ ต่างก็ดังมาจากฝีมือเธอแทบทั้งสิ้น

    ล่าสุด ดีไซเนอร์คนไทยอย่าง ฐากูร พานิชกุล กับแบรนด์ Takoon เป็นอีกหนึ่งแบรนด์โปรดของสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐอเมริกา และเป็นดีไซเนอร์คนโปรดของแอนนา จนได้ร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ฐากูรเผยว่า "สำหรับผม แอนนาเป็นเหมือนกับ มาดอนน่า ของวงการแฟชั่น เธอทั้งแสบ เป็นผู้นำเทรนด์ เธอมีเสน่ห์ แล้วก็พลังในการสร้างสรรค์มาก"

    นอกจากนั้น เธอยังทำให้โว้คหันมาช่วยเหลือสังคมหลายๆ ด้าน อาทิ เปิดกองทุนช่วยเหลือผู้ติดเชื้อ HIV ได้มากกว่า 10 ล้านเหรียณสหรัฐ ตั้งแต่ปี 1990 และหาทุนเปิดบิวตี้ซาลอนใน Kabul เพื่อหางานให้หญิงแอฟริกันซึ่งเป็นอีกหนึ่งในโปรเจกต์ของโวค และหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เธอก็จัดจำหน่ายเสื้อทีเชิ้ตหารายได้สมทบกองทุนของตึกทวิน ทาวเวอร์

    ตอนนี้คนไทยก็จะได้รู้จักความร้ายกาจของ นางมารตัวแม่ แอนนา วินทัวร์ มากยิ่งขึ้น ผ่านภาพยนตร์เรื่อง The September Issue : ฉันนี่แหละ นางมารตัวแม่ ที่จะเข้าฉายในวันที่ 12 พ.ย.นี้ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ตีแผ่ทุกซอกมุมการทำงานของสาวแอนนา วินทัวร์ ซึ่งรับบทด้วยตัวเธอเอง ในการเตรียมงานการทำนิตยสารโวค ฉบับเดือน ก.ย.2007 ซึ่งเป็นนิตยสารฟอร์มยักษ์แห่งประวัติศาสตร์เนื่องจากมีความหนาถึง 840 หน้า อัดแน่นด้วยแฟชั่นเซ็ตของแบรนด์ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20 หน้า และทุกหน้าเป็นหน้าสี ไบเบิ้ลแฟชั่นเล่มนี้สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 13 ล้านเล่ม และทำเงินหมุนเวียนในโลกแฟชั่นไม่ต่ำกว่า 300 ล้านเหรียญ

    แม้จะเป็นนางมารสุดๆ เฮี้ยบสุดๆ แต่เธอก็เจ๋งสุดๆ...ว่าไหม !?!
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>Metro Life - Manager Online</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. lamb of god

    lamb of god เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +436
    ถ้าเจออย่างนี้ หนูขอบาย...ม่าวอาว
     

แชร์หน้านี้

Loading...