นักฟิสิกส์ฮ่องกง พิสูจน์ "การเดินทางข้ามเวลา" เป็นไปไม่ได้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chate_SP, 25 กรกฎาคม 2011.

  1. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ตราบใดที่เรายังอยู่ภายใต้อิทธิพลของแสงอยู่ ตราบนั้นก็ไม่มีทางเดินทางไปอดีตหรืออนาคตได้..

    จะว่าไปการเดินทางไปในอดีต ก็คือการทะลุมิติ และเชื่อกันการทะลุมิติได้นั้นต้องใช้ความเร็วมากกว่าแสง แต่ด้วยกฏของมิตินี้มีอยู่ เวลา กับ ระยะทาง =ความเร็ว ยิ่งความเร็วเพิ่มขึ้นเวลาก็จะเดินช้าลง (ความเร็วอัตตาเร่ง ไล่ล่าความเร็วแสง) จนที่สุดหากสามารถทำความเร็วเท่าแสงได้เวลาก็จะหยุด เหมือนกับว่าเราว่ายน้ำตามกระแสน้ำ พอเราทำความเร็วเท่ากระแสน้ำได้เวลาก็จะหยุดไม่เห็นความเคลื่อนไหว หรือถ้าเราสามารถเกาะไปกับโฟตอนของแสงได้เวลาก็จะหยุดจนเห็นสิ่งรอบข้างเคลื่อนไหวผ่านไป

    สำหรับพลังงานมืดนั้น ถ้ามันมืดแสดงว่ามันไม่ได้อยู่มิติของเรานี้(มิติที่3) เพราะสสารหรือพลังงานใดๆก็ตามหากอยู่ในมิติของเรานี้ย่อมที่จะสะท้อนแสงออกมา และโฟตอนของแสงที่สะท้อนเข้าตาเนื้อของเราจึงจะทำให้เรามองเห็นได้ มีการทดลองในหลายรูปแบบมาแล้ว
    ฉนั้นสิ่งที่เห็นด้วยตาเนื้อหรือแม้แต่กล้องโทรศัทอิเล็กตรอนที่สะท้อนภาพกลับเข้ามาประมวลผลล้วนแล้วเป็นสิ่งที่อยู่ในมิตินี้ เป็นภาพลวงตา เป็นมายาของแสงในจักรวาลนี้เท่านั้น
     
  2. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ฉนั้นการเข้าไปในมิติอื่นจึงไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ด้วยประสาทสัมผัสของมิตินี้ทั้งสิ้น
    ในความคิดเห็นของผมจึงมั่นใจว่า หากวิทยาศาสตร์สามารถแทนค่าสมการของจิตในพุทธศาสนาได้ เมื่อนั้นก็ใกล้จะเข้าใกล้ความยิ่งใหญ่อีกครั้งสำหรับการเป็นมิติใหม่ในอนาคต

    ในมุมมองของผม วิทยาศาสตร์ผิดพลาดในการแยกแยะ และหลีกเลี่ยงการวิจัยในตัวเอง(จิต) ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น การจำแนก สิ่งนอกกาย กับ สิ่งในกาย มันจึงเหลื่อมล้ำกันอยู่นิดหน่อย แต่ที่นิดหน่อยนี้มันหมายถึงทั้งหมด
     
  3. pgame

    pgame เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +184
    ถ้า E=mc<sup>2</sup>

    ถ้างั้น การสร้างวัตถุ จาก กลุ่มพลังงาน ก็น่าจะเป็นไปได้

    เคยได้ยินมาว่า ปิรามิด สร้างด้วยความช่วยเหลือจาก ชาวดาวอังคาร(หรือเปล่าไม่แน่ใจ)
    ด้วยวิธีการทางแสง

    ถ้าชาวต่างดาวที่ว่าทำได้ ถ้างั้น เทวดา ก็คงเป็น ชาวต่างดาว
    เพราะ เทวดา สร้างวัตถุ จาก กลุ่มพลังงานธาตุอากาศได้

    ถ้า ที่กล่าวเป็นเช่นนั้นจริง การสร้างวิมานในอากาศ ก็ทำได้
    ส่วนวิธีการนั้น น่าจะเกี่ยวกับ E=mc<sup>2</sup> นะ คิดว่าไง
    <sup></sup>
     
  4. pinitko

    pinitko เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +291
    เคยอ่านเจอว่าถ้าเราอยู่ในอวกาศเวลาจะช้ากว่าโลก ถ้าเราเป็นเด็กอยู่ในอวกาศ20ปีพอกลับมาในโลก เพื่อนที่รุ่นเดียวกับเราจะแก่เหมือนคนอายุ70 (จำไม่ค่อยได้แล้ว) T^T
     
  5. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    มันมีอยู่อย่างหนึ่ง ที่เร็วกว่าแสง (ถ้าใครชอบเรื่องอวกาศ จะเคยได้ยิน)

    คือ อัตราการขยายตัวของจักรวาล

    จักรวาล กำลังขยายตัวด้วย อัตราความเร็ว ที่มากกว่า ความเร็วแสง

    (ถ้าสิ่งที่เดินทางได้เร็วกว่าแสงจะย้อนเวลาได้ ก็แสดงว่า การขยายตัวของจักรวาล กำลังย้อนเวลาอยู่ทุกๆขณะอ่ะจิ่ ><)

    งงมะ ><

    (งงเหมือนกัล แต่ช่วงนี้มะค่อยได้ว่างหาคำตอบ.. ไว้หาคำตอบได้แล้วจะมาเล่าให้ฟังต่อค่ะ ^_^)
     
  6. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
  7. ชุณห์

    ชุณห์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +67
    ถ้าไม่หมดความพยายามก็ทำได้ครับ
     
  8. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    สร้างสสารจากแสง

    <dd>นัก<wbr>ฟิสิกส์<wbr>ได้<wbr>เคย<wbr>แสดง<wbr>ให้<wbr>โลก<wbr>ประจักษ์<wbr>เมื่อ 50 ปี<wbr>ก่อน<wbr>นี้<wbr>ว่า เรา<wbr>สามารถ<wbr>แปลง<wbr>สาร<wbr>ให้<wbr>เป็น<wbr>แสง<wbr>ความ<wbr>ร้อน<wbr> และ<wbr>พลัง<wbr>งาน<wbr>รูป<wbr>แบบ<wbr>อื่น<wbr>ได้ โดย<wbr>การ<wbr>สร้าง<wbr>ระเบิด<wbr>ปรมาณู<wbr>ขึ้น<wbr>ซึ่ง<wbr>ระเบิด<wbr>มหา<wbr>ประลัย<wbr>นี้<wbr> ทำ<wbr>งาน<wbr>โดย<wbr>การ<wbr>เปลี่ยน<wbr>สสาร<wbr>ที่<wbr>ใช้<wbr>ใน<wbr>การ<wbr>ทำ<wbr>ระเบิด<wbr> ไป<wbr>เป็น<wbr>พลัง<wbr>งาน<wbr>แสง ความ<wbr>ร้อน และ<wbr>เสียง ที่<wbr>มี<wbr>อำนาจ<wbr>ใน<wbr>การ<wbr>ทำลาย<wbr>ล้าง<wbr>สูง</dd><dt>
    </dt><dd>
    </dd><dd>
    </dd><dd>
    </dd><dd>
    </dd><dd>
    </dd><dd>
    </dd><dd>มา<wbr>บัด<wbr>นี้ คณะ<wbr>นัก<wbr>ฟิสิกส์<wbr>ที่<wbr>มหาวิทยาลัย Stanford ใน<wbr>สหรัฐ<wbr>อเมริกา ได้<wbr>ประกาศ<wbr>ว่า ได้<wbr>ประสบ<wbr>ความ<wbr>สำเร็จ<wbr>ใน<wbr>การ<wbr>แปลง<wbr>แสง<wbr> ให้<wbr>เป็น<wbr>สาร<wbr>แล้ว โดย<wbr>ใช้<wbr>แสง<wbr>เพียง ๆ แต่<wbr>เพียง<wbr>อย่าง<wbr>เดียว</dd><dt>
    </dt><dd>
    </dd><dd>
    </dd><dd>เมื่อ<wbr>ประมาณ 300 ปี<wbr>ก่อน<wbr>นี้ Isaac Newton ได้<wbr>เคย<wbr>คิด<wbr>ว่า<wbr>แสง<wbr>เป็น<wbr>อนุภาค<wbr>เล็ก ๆ เคลื่อน<wbr>ที่<wbr>ใน<wbr>แนว<wbr>เส้น<wbr>ตรง ซึ่ง<wbr>เมื่อ<wbr>ตก<wbr>กระ<wbr>ทบ<wbr>กระจก<wbr> จะ<wbr>สะท้อน<wbr>ใน<wbr>ลักษณะ<wbr>เดียวกับที่<wbr>ลูก<wbr>บอล<wbr>กระ<wbr>ดอน<wbr>จาก<wbr>ผิว แต่<wbr>ใน<wbr>เวลา<wbr>ต่อ<wbr>มา<wbr><wbr>Thomas Young ได้<wbr>ทด<wbr>ลอง<wbr>ให้<wbr>ทุก<wbr>คน<wbr>เห็น<wbr>ว่า<wbr>แสง<wbr>จริง ๆ แล้ว<wbr>เป็น<wbr>คลื่น<wbr>ที่<wbr>สามารถ<wbr>เลี้ยว<wbr>ผ่าน<wbr>ขอบ<wbr>ของ<wbr>สิ่ง<wbr>ต่าง ๆ ได้ ทฤษฎี<wbr>คลื่น<wbr>ของ<wbr>แสง<wbr> จึง<wbr>เป็น<wbr>ที่<wbr>ยอม<wbr>รับ<wbr>กัน<wbr>ตั้ง<wbr>แต่<wbr>นั้น<wbr>มา จน<wbr>กระทั่ง<wbr>ถึง<wbr>ต้น<wbr>คริสต์<wbr>ศต<wbr>วรรษ<wbr>นี้ ได้<wbr>มี<wbr>การ<wbr>ทด<wbr>ลอง<wbr>มาก<wbr>มาย<wbr>ที่<wbr>แสดง<wbr>ให้<wbr>เห็น<wbr>ว่า แสง<wbr>มี<wbr>คุณสมบัติ<wbr>เป็น<wbr>ได้<wbr>ทั้ง<wbr>คลื่น<wbr>และ<wbr>อนุภาค<wbr> และ<wbr>ใน<wbr>ทำนอง<wbr>เดียว<wbr>กัน สสาร<wbr>เช่น อิเล็กตรอน<wbr><wbr>(electron) ก็<wbr>สามารถ<wbr>แสดง<wbr>คุณสมบัติ<wbr>เป็น<wbr>คลื่น<wbr>ได้ หรือ<wbr>จะ<wbr>ให้<wbr>เป็น<wbr>อนุภาค<wbr>ก็<wbr>ได้<wbr>อีก<wbr>เหมือน<wbr>กัน แต่<wbr>จะ<wbr>อย่าง<wbr>ไร<wbr>ก็<wbr>ตาม<wbr>ทั้ง สสาร<wbr>และ<wbr>แสง<wbr>ไม่<wbr>สามารถ<wbr>แสดง<wbr>คุณสมบัติ<wbr>เป็น<wbr>ทั้ง<wbr>คลื่น<wbr> และ<wbr>อนุภาค<wbr>ได้<wbr>พร้อม<wbr>กัน ทฤษฎี quantum แถลง<wbr>ไว้<wbr>ชัด<wbr>เจน<wbr>ว่า<wbr>ใน<wbr>โลก<wbr>ของ<wbr>อะตอม<wbr> หรือ<wbr>ปรมาณู<wbr>เล็ก ๆ แสง อิเล็กตรอน<wbr>หรือ<wbr>อนุภาค<wbr>มูลฐาน<wbr>จะ<wbr>ประพฤติ<wbr>ตัว<wbr> เสมือน<wbr>ว่า<wbr>เป็น<wbr>อนุภาค<wbr>หรือ<wbr>เป็น<wbr>คลื่น<wbr>อย่าง<wbr>ไร<wbr>ก็<wbr>ขึ้นกับการ<wbr>ทด<wbr>ลอง<wbr>ของ<wbr>เรา</dd><dt>
    </dt><dd>ใน<wbr>วาร<wbr>สาร Physical Review Letters ฉบับ<wbr>วัน<wbr>ที่ 1 กันยายน ศก<wbr>นี้ A.Mellissnos และ<wbr>คณะ<wbr>ซึ่ง<wbr>ประกอบ<wbr>ด้วย<wbr>นัก<wbr>ฟิสิกส์ 20 คน ได้<wbr>ใช้<wbr>แสง<wbr>เลเซอร์<wbr> ที่<wbr>มี<wbr>กำลัง<wbr>สูง<wbr>ถึง 5 แสน<wbr>ล้าน<wbr>วัตต์ โฟกัส<wbr>ผ่าน<wbr>เลนส์<wbr> ทำ<wbr>ให้<wbr>เป็น<wbr>ลำ<wbr>แสง<wbr>ที่<wbr>มี<wbr>เส้น<wbr>ผ่า<wbr>ศูนย์<wbr>กลาง<wbr>ยาว<wbr>เพียง 0.001 มิลลิเมตร แล้ว<wbr>พุ่ง<wbr>เข้า<wbr>ชนก<wbr>ระ<wbr>แส<wbr>อิเล็กตรอน<wbr> ที่<wbr>มี<wbr>พลัง<wbr>งาน<wbr>สูง<wbr>อย่าง<wbr>เฉียง ๆ เมื่อ<wbr>กระแส<wbr>อิเล็กตรอน<wbr>ปะทะ<wbr>ลำ<wbr>แสง<wbr> จะ<wbr>เกิด<wbr>การ<wbr>ชน<wbr>กัน<wbr>ระหว่าง<wbr>อนุภาค<wbr>อิเล็กตรอนกับอนุภาค<wbr>แสง เหมือนกับลูก<wbr>ฟุต<wbr>บอล<wbr>พุ่ง<wbr>ชน<wbr>ลูก<wbr>ปิงปอง<wbr>ยังไงยังงั้น ดัง<wbr>นั้น<wbr>ลูก<wbr>ปิงปอง<wbr>ซึ่ง<wbr>ใน<wbr>ที่<wbr>นี้<wbr>คือ<wbr>แสง จะ<wbr>มี<wbr>พลัง<wbr>งาน<wbr>สูง<wbr>ขึ้น เมื่อ<wbr>แสง<wbr>มี<wbr>พลัง<wbr>งาน<wbr>สูง<wbr>ขึ้น ความ<wbr>ยาว<wbr>คลื่น<wbr>ของ<wbr>แสง<wbr>จะ<wbr>ลด<wbr>น้อย<wbr>ลง นั่น<wbr>คือ แสง<wbr>จะ<wbr>เปลี่ยน<wbr>สภาพ<wbr>จาก<wbr>การ<wbr>เป็น<wbr>แสง<wbr>ที่<wbr>ตา<wbr>เคย<wbr>เห็น กลับ<wbr>เป็น<wbr>รังสี<wbr>แกมมา (gamma) ที่<wbr>ตา<wbr>มอง<wbr>ไม่<wbr>เห็น แต่<wbr>รังสี<wbr>แกมมา<wbr>ที่<wbr>เกิด<wbr>ขึ้น<wbr>นี้<wbr> จะ<wbr>ถูก<wbr>อนุภาค<wbr>แสง<wbr>จาก<wbr>แสง<wbr>เลเซอร์<wbr>ชน<wbr>อีก ทำ<wbr>ให้<wbr>มัน<wbr>มี<wbr>พลัง<wbr>งาน<wbr>สูง<wbr>ยิ่ง<wbr>ขึ้น<wbr>ไป<wbr>อีก จน<wbr>ถึง<wbr>ระดับ<wbr>ที่<wbr>สามารถ<wbr>เปลี่ยน<wbr>สภาพ<wbr>เป็น<wbr>อนุภาค<wbr>อิเล็กตรอน ซึ่ง<wbr>มี<wbr>ประจุ<wbr>ลบ<wbr>และ<wbr>อนุภาค<wbr>โพ<wbr>สิต<wbr>รอน<wbr><wbr>(positron) ซึ่ง<wbr>มี<wbr>ประจุ<wbr>บวก แต่<wbr>มี<wbr>คุณสมบัติ<wbr>อื่น ๆ เหมือน<wbr>อิเล็กตรอน<wbr>ทุก<wbr>ประการ</dd><dt>
    </dt><dd>การ<wbr>ทด<wbr>ลอง<wbr>นี้<wbr>เป็น<wbr>การ<wbr>ทด<wbr>ลอง<wbr>แรก<wbr> ที่<wbr>แสดง<wbr>ให้<wbr>เห็น<wbr>ว่า แสง<wbr>สามารถ<wbr>ทำ<wbr>ให้สุญญากาศ (vacuum) เกิด<wbr>กา<wbr>รส<wbr>ปาร์ก (spark) โดย<wbr>การ<wbr>ปลด<wbr>ปล่อย<wbr>อนุภาค (particle) และปฏิอนุภาค<wbr><wbr>(antiparticle) ออก<wbr>มา<wbr>ให้<wbr>เรา<wbr>เห็น</dd><dt>
    </dt><dd>ใน<wbr>อดีต<wbr>ที่<wbr>ผ่าน<wbr>มา นัก<wbr>ฟิสิกส์<wbr>ได้<wbr>เคย<wbr>เห็น<wbr>อนุภาค<wbr>อิเล็กตรอน<wbr> และ<wbr>โพ<wbr>สิต<wbr>รอน<wbr>ใน<wbr>การ<wbr>ทด<wbr>ลอง<wbr> ที่<wbr>ใช้เครื่องเร่ง<wbr>อนุภาค<wbr><wbr>ต่าง ๆ เสมอ<wbr>มา<wbr>แต่<wbr>ใน<wbr>การ<wbr>เกิด<wbr>อนุภาค<wbr>เหล่า<wbr>นี้<wbr>นั้น อนุภาค<wbr>ทั้ง<wbr>สอง<wbr>เกิด<wbr> เมื่อ<wbr>เรา<wbr>ให้<wbr>แสง<wbr>ผ่าน<wbr>ใกล้<wbr>อนุภาค<wbr>มูลฐาน<wbr>ที่<wbr>มี<wbr>ประจุ แสง<wbr>จึง<wbr>ถูกสนาม<wbr>แม่<wbr>เหล็ก<wbr>ไฟ<wbr>ฟ้า<wbr>ความ<wbr>เข้ม<wbr>สูง<wbr>กระ<wbr>ทำ ทำ<wbr>ให้<wbr>แสง<wbr>เปลี่ยน<wbr>สภาพ<wbr>เป็น<wbr>สาร<wbr>ตาม<wbr>สูตร m = E/c<sup>2</sup> คือ<wbr>สาร<wbr>มวล m เกิด<wbr>ขึ้น<wbr>เมื่อ<wbr>พลัง<wbr>งาน E หาย<wbr>ไป</dd><dt>
    </dt><dd>
    </dd><dd>
    </dd><dd>แต่<wbr>การ<wbr>ทด<wbr>ลอง<wbr>ครั้ง<wbr>นี้ อิเล็กตรอน<wbr>และ<wbr>โพ<wbr>สิต<wbr>รอน<wbr>ที่<wbr>เกิด<wbr>ขึ้น เกิด<wbr>จาก<wbr>แสง<wbr>ล้วน ๆ โดย<wbr>ไม่<wbr>มี<wbr>อนุภาค<wbr>อื่น<wbr>ใด<wbr>มา<wbr>ข้อง<wbr>เกี่ยว<wbr> เป็น<wbr>ปัจจัย<wbr>ใน<wbr>การ<wbr>เกิด<wbr>เลย</dd><dt>
    </dt><dd>คุณ<wbr>ประ<wbr>โยชน์<wbr>ของ<wbr>การ<wbr>ทด<wbr>ลอง<wbr>นี้<wbr>คือ นัก<wbr>ฟิสิกส์<wbr>พบ<wbr>วิธี<wbr>สร้าง<wbr>กระแส<wbr>อนุภาค<wbr>โพ<wbr>สิ<wbr>ตรอน<wbr>วิธี<wbr>ใหม่ ทำ<wbr>ให้<wbr>สามารถ<wbr>นำ<wbr>โพ<wbr>สิต<wbr>รอน<wbr> ไป<wbr>ใช้<wbr>ใน<wbr>การ<wbr>ทด<wbr>ลอง<wbr>อื่น ๆ เช่น ในเครื่องตรวจ<wbr>สมอง<wbr>หรือ<wbr>ใน<wbr>การ<wbr>วิเคราะห์<wbr>โลหะ นอก<wbr>จาก<wbr>นี้ ใน<wbr>การ<wbr>ทด<wbr>ลอง<wbr>ยิง<wbr>เลเซอร์<wbr>ด้วย<wbr>กระแส<wbr>อิเล็กตรอน<wbr> ที่<wbr>มี<wbr>พลัง<wbr>งาน<wbr>สูง<wbr>เช่น<wbr>นี้ ยัง<wbr>สามารถ<wbr>ใช้<wbr>ทด<wbr>สอบ<wbr>คำ<wbr>ทำนาย<wbr>ของ<wbr>ทฤษฎี QED (Quantum Electrodynamics) ใน<wbr>เรื่อง<wbr>ที่<wbr>ว่า<wbr>ด้วย<wbr>พฤติกรรม<wbr>ของ<wbr>แสง<wbr> ใน<wbr>สภาวะ<wbr>แวด<wbr>ล้อม<wbr>ที่<wbr>มีสนาม<wbr>แม่<wbr>เหล็ก<wbr>ไฟ<wbr>ฟ้า<wbr>ความ<wbr>เข้ม<wbr>สูง เช่น<wbr>ที่<wbr>ผิว<wbr>ของ<wbr>ดาว<wbr>นิวตรอน<wbr>ได้<wbr>อีก<wbr>ด้วย <hr> <table> <tbody><tr> <td width="300"> [SIZE=-1] ที่มา : ดร.สุทัศน์ ยกส้าน
    สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
    [/SIZE]</td></tr></tbody></table></dd>
    ที่มา :
    http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet3/dr_sutat/objlight.htm
     
  9. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ^
    ^
    คุณ pgame

    เืรื่องปิรามิด มนุษย์ดาวอังคาร หรือเทวดานี่ ดิฉันไม่ทราบนะคะว่าเกี่ยวพันกันรึเปล่า

    ทราบแต่เพียงว่า เราสร้างสารจากแสงได้ (ซึ่งก็คล้ายกับที่คุณบอกคือ การสร้างวัตถุจากพลังงาน) จากสมการ E=mc<sup>2
    </sup>

    " เมื่อ<wbr>เรา<wbr>ให้<wbr>แสง<wbr>ผ่าน<wbr>ใกล้<wbr>อนุภาค<wbr>มูลฐาน<wbr>ที่<wbr>มี<wbr>ประจุแสง<wbr>จึง<wbr>ถูกสนาม<wbr>แม่<wbr>เหล็ก<wbr>ไฟ<wbr>ฟ้า<wbr>ความ<wbr>เข้ม<wbr>สูง<wbr>กระ<wbr>ทำ ทำ<wbr>ให้<wbr>แสง<wbr>เปลี่ยน<wbr>สภาพ<wbr>เป็น<wbr>สาร<wbr>ตาม<wbr> สูตร m = E/c<sup>2</sup> คือ<wbr>สาร<wbr>มวล m เกิด<wbr>ขึ้น<wbr>เมื่อ<wbr>พลัง<wbr>งาน E หาย<wbr>ไป
    "

    <sup>

    </sup>
     
  10. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    และที่น่าสนใจในตอนนี้นะ มีข่าวว่าแวดวงนักวิทย์ มีการค้นพบการสร้างแสงจากความว่างเปล่าแล้วด้วย (บทความวิจัยกำลังรอตีพิมพ์ในวารสาร แต่มีนักฟิสิกส์หลายคนยังไม่แน่ใจกับผลการทดลองนี้)

    ขอบคุณ ที่มา :
    แสงจากความว่างเปล่า | JuSci.net

    แสงจากความว่างเปล่า

    Submitted by terminus on Sat, 04/06/2011 - 17:39[​IMG]

    in

    ตามทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม สุญญากาศที่เราเห็นว่าว่างเปล่าไม่ได้ "ว่างเปล่า" จริง แต่จะมี "อนุภาคเสมือน" (virtual particles) ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเราจะไม่สามารถสังเกตเห็นตัวเป็นๆ ของอนุภาคเสมือนเหล่านี้ได้ แต่นักฟิสิกส์พิสูจน์การมีอยู่ของมันได้โดยทางอ้อม เช่น เมื่อเอากระจกเงาสองบานมาตั้งไว้ชิดกันมากๆ โฟตอน (อนุภาคของแสง) ที่เป็นอนุภาคเสมือนตรงช่องว่างระหว่างกระจกจะเกิดขึ้นน้อยกว่าภาย นอกรอบกระจก ความแตกต่างของความหนาแน่นจะก่อให้เกิดแรงบีบกระจกทั้งสองเข้าหากัน ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Casimir effect


    Carsimir effect เกิดจากกระจกเงาสองบาน โฟตอนเสมือนจึงสะท้อนไปๆ มาๆ อยู่ระหว่างกระจก นักฟิสิกส์ทำนายไว้ว่าหากใช้กระจกเงาแค่บานเดียวที่เคลื่อนที่เร็วมากๆ โฟตอนเสมือนก็จะกลายเป็น "โฟตอนจริงๆ" เด้งหลุดออกมาจากความว่างเปล่าได้ แต่ก็ยังไม่เคยมีใครหมุนกระจกให้เร็วขนาดนั้นได้


    จนกระทั่งทีมนักวิจัยของ Chalmers University of Technology ในประเทศสวีเดน คิดหาวิธีในการสร้างกระจกดังว่าขึ้นมา พวกเขาใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า superconducting quantum interference device (SQUID) แทนกระจกในทฤษฎี


    พวกเขาสร้างวงจร SQUID ให้มีคุณสมบัติในการสะท้อนโฟตอนเหมือนกระจก และเมื่อผ่านสนามแม่เหล็กเข้าไป SQUID ซึ่งไวต่อสนามแม่เหล็กอยู่แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้กระจกเสมือนเคลื่อน ที่จากตำแหน่งเดิมเล็กน้อย หากเร่งความถี่ของสนามแม่เหล็กให้ถึงระดับพันล้านเฮิรตซ์ กระจกก็จะขยับระรี้ระริกด้วยความเร็วสูงถึง 5% ของความเร็วแสง


    ความเร็วระดับนี้มากพอตามทฤษฎี และผลที่ได้ก็ตรงตามที่ทฤษฎีทำนายไว้จริงๆ ซะด้วย พวกเขาสังเกตเห็นโฟตอนของรังสีไมโครเวฟหลุดออกมาจากสุญญากาศ แถมความถี่ของโฟตอนที่หลุดออกมาก็ตรงตามที่คำนวณ คือมีค่าประมาณครึ่งหนึ่งของความถี่ที่กระจกขยับตัวพอดี


    บทความวิจัยนี้กำลังอยู่ในระหว่างรอตีพิมพ์ในวารสาร (คาดว่าลง Nature) หากใครอยากอ่านก็สามารถดาวน์โหลดได้จาก arxiv.org/abs/1105.4714


    อย่างไรก็ตาม นักฟิสิกส์หลายคนยังคงไม่แน่ใจกับผลการทดลองนี้นัก ดังนั้นทางวารสาร Nature จึงขอร้องให้นักวิจัยอย่าเพิ่งรีบแถลงผลการทดลองต่อสื่อ (แต่ผมเจอข่าวนี้จากเว็บข่าวของ Nature เอง ...เอ๊ะยังไง?)
    ที่มา - Nature News
     
  11. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ขออนุญาตคิดด้วยคน

    เรื่องจิตนี่เป็นปัจจัตตัง (รู้ไ้ด้เฉพาะตน) รึเปล่าคะ?
    คือต้องใช้ประสาทสัมผัสที่ 6 หรือใจ เป็นเครื่องมือพิสูจน์

    แต่วิทยาศาสตร์มุ่งนำความจริงที่พิสูจน์ไ้ด้ทางประสาทสัมผัส 5 มาตีแผ่
    มันก็เลยเป็นข้อแตกต่างกันอย่างคนละขั้ว

    ถ้านักวิทยาศาสตร์ศึกษาเรื่องทางจิต เขาอาจพิสูจน์ได้ รู้ได้ด้วยตนเอง สามารถอธิบายหรือให้ทฤษฎีได้ แต่ถ้าเขาไม่สามารถนำมาแสดงให้สาธารณชนทราบได้ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 มันก็ดูจะขัดแย้งกันกับแนวทางของเขา

    วิทยาศาสตร์จึงเหนื่อยหนักมากในการพิสูจน์ความจริง เพราะต้องทำให้คนอื่นเห็นได้ด้วย
     
  12. AFIKLIFI๋

    AFIKLIFI๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    869
    ค่าพลัง:
    +78
    บางทีอาจจะไม่ต้องใช้ความเร็วเท่าแสงก็ได้นะ
     
  13. paura

    paura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +251
    ถึงวันที่มีไทม์แมชชีน
    "พระเจ้า" ที่มนุษย์จิตณาการขึ้นมา
    ก็เทียบเท่าตัวมนุษย์เองไม่ได้

    และมนุษย์มะนา นี่แหละ จะไปเป็นพระเจ้าเสียเอง
     
  14. daeng007

    daeng007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2009
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +84
    ข้ามเวลาบ่ได้ดอก สิ่งที่เร็วเหนือแสงก็คือจิตที่ทำให้คิด จึงสามารถคิดย้อนกลับไปยังอดีตได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขอดีตได้ แต่สามารถทำปัจจุบันให้ดี แล้วอดีตที่ไม่ดี จะค่อยจางลง สู่อนาคตที่สดใสได้ ชิชิ
     
  15. Keeratisak

    Keeratisak สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +6
    เอ...
    ทฤษฎีสัมพันธภาพกล่าวว่า "ถ้าวัตถุเคลื่อนที่ได้ยิ่งเร็ว เวลายิ่งไหลช้าลงตาม" ไม่ใช่เหรอครับ? แล้วมันไม่ได้กล่าวถึงการย้อนเวลาเลย
    ส่วนโฟตอนเดี่ยว ถ้าเคลื่อนที่ได้เร็วเหนือแสง ควรจะถูกเรียกว่าแตคีออนไม่ใช่เหรอครับ?
    เอ...ชักจะงง
     
  16. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    พุทธศาสนาก็มุ่งนำความจริงที่พิสูจน์ได้ทางนามธรรมครับ ไม่ใช่ความเชื่อที่ถ่ายทอดกันมาแบบเทพนิยาย

    ถามกลับนะครับ แล้วเจ้าของทฤษฏีสัมพันธภาพและสัมพันธภาพพิเศษ เขามีห้องทดลองหรือเปล่าล่ะครับ ก่อนที่จะนำทฤษฏีมาประมวลในเวลาต่อมา ?

    เขาจินตนาการเอาไม่ใช่เหรอครับ ?
    การจินตนาการของเขา เขายอมรับในเวลาต่อมาว่า เขาไม่ได้คิด เพียงแต่เขาสัมผัสความเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วของแสงไม่ใช่เหรอครับ ?
    เขามีสติสูงกว่ามนุษย์ปรกติทั่วไป รวมถึงนักวิทฯคนอื่นๆระดับโลกเช่นกัน

    สุดท้าย นักวิทยาศาสตร์จำแนกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ในหลายๆแขนง
    - นักวิทยาศาสตร์หลักการหรือทฤษฏี
    - นักวิทยาศาสตร์ต่อยอดหรือประดิษฐ์

    เมื่อทฤษฏีเกิดขึ้น > ความเป็นไปได้ > ทดลอง > สรุปผล

    แสดงว่าไม่เข้าใจครับ.. เราจะติดอยู่กับตำราทางวิชาการมากเกินไปจนทำอะไรต้องอยู่ภายใต้หลักการ เรากำลังศึกษาในสิ่งที่ถูกตีกรอบไว้แล้ว
    ผมจึงกล่าวว่า การแทนค่าสมการครับ นำเอาพุทธศาสนามาศึกษาและปฏิบัติและควบคู่กับแนวทางการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ ...

    เผลอๆคุณอาจจะได้คำตอบในเรื่องเดียวกันครับ

    มีคนมาขาย MLM คนนึง เขาขายแบบการขายในลักษณะท่องจำ
    พอผมถามว่า ผมอยากทราบถึงโครงสร้างทางธุรกิจ เขาก็ตอบได้เฉพาะภายในความรู้ที่เขาฟังและเข้าใจมาเท่านั้น เขาไม่สามารถอธิบายได้มากกว่าที่เขาฟังและจำมาได้เลย...
     
  17. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    การย้อนอดีต และความเป็นไปได้น่าจะเป็นการ "หยุด" หรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับการหยุดของแสง ของจิต

    ในทางปฏิบัติกรรมฐานการหยุดจิต คือ การหยุดดูจิตและสังเกตปรากฏการณ์ของจิต เมื่อจิตถูกดูถูกเห็น(ด้วยใจ) แสดงว่า จิตนั้นไม่ใช่สิ่งที่กำลังดู

    ทางกายภาพ อดีตและอนาคต เกิดขึ้นและบันทึกด้วยโฟตอน หากเราหยุดแสงได้ เราก็สามารถมองเห็นอนุภาคทั้งหมดของแสงเป็นเม็ดๆ ได้ และด้วยการเดินทางของโฟตอน แสงของดวงดาวที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นแสงที่เกิดจากอดีตทั้งสิ้น ต่างกันที่แต่ละจักรวาล(มิติ) ที่มีความแตกต่างกัน

    ฉนั้นผมเชื่อว่า การหยุดจิตดังที่กล่าวมาแล้ว เราสามารถเห็นปรากฏการณ์ในอดีตและในอนาคตได้ ซึ่งในทางพุทธศาสนาเรียกกันว่า การระลึกชาติ

    ปล.ผมไม่เชี่ยวชาญทางด้านฟิสิกส์นะครับ ที่พูดเพียงเพื่อจุดประกายผู้ที่ศึกษามาเป็นอย่างดีแล้วเพื่อพัฒนาต่อไปในอีกแง่มุมหนึ่ง และที่ผมพูดนี้อาจจะมีคนพูดก่อนหน้าผมเมื่อหลายสิบ หลายร้อยปี ที่ผ่านก็เป็นไปได้ :cool:
     
  18. abha12345

    abha12345 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2009
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +125
    เดินทางข้ามกาลเวลาไม่ได้ แต่เดินทางข้ามมิติเป็นไปได้แน่นอน
     
  19. Enzo

    Enzo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    279
    ค่าพลัง:
    +60
    เป็นความพยายามของมนุษยชาติ ที่พยายามจะเอาชนะธรรมชาติ มันก็ดีครับ ความพยายามสูงดี ^^ แต่ ..... ลองคิดเล่นๆละกันครับ...ถ้าคุณย้อนเวลาได้จริงๆ มันจะเกิดอะไรขึ้น คุณคิดว่า ตัวคุณเอง(ในอดีต) จะตกใจและประสาทเสียขนาดไหน ถ้าตัวคุณเอง ที่ได้เจอตัวเอง ??? แล้ว สมมติ เกิดคุณอยากจะแก้ไข อดีต หรือเรื่องเลวร้าย ที่คุณเคยทำมา คุณจะไปแก้ไขมันยังไง ถึงคุณจะรู้ว่า สิ่งที่ทำในอดีต มันส่งผลยังไงต่อปัจจุบัน แต่ถ้าแก้ไขไปแล้ว คุณไม่รู้หรอก ว่า อนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปทางด้านไหน หรือผลที่ตามมา มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเพราะ คุณย้อนเวลา คุณแค่เป็นส่วนนึง ของเวลาในอดีตเหล่านั้น คุณไม่ได้ทำให้โลกมันหมุนกลับไปตามคุณนี่นา...มันไม่ได้จบง่ายๆ นั่งไทม์แมชชีน กลับ เหมือนโดราเอมอน นะครับ ^^ แต่ถ้าคิดในแง่ที่ว่า ย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ โดยที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอดีตเหล่านั้น อันนั้นผมเห็นด้วยอย่างมากครับ อย่างน้อยเราก็จะได้รู้ความจริงกันซะที ว่า ประวัติศาสตร์ทั้งหลายที่ถูกจารึก ให้คนรุ่นหลังอ่าน มันเป็นเรื่องจริงมากน้อยแค่ไหน ส่วนตัวแล้ว..ผมว่า ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติเถอะครับ แค่เรา คิดซักนิด ก่อนจะลงมือทำ ว่าทำแล้วมันส่งผลกับเรายังไงบ้าง ผมว่า แค่นี้ เราก็ไม่ต้องมานั่งพยายาม เจาะเวลาหาจิ๋นซีให้มันปวดหัวแล้วหล่ะเนอะ ^^
     
  20. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ใครสามารถนำวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหาขยะล้นโลกได้บ้าง (ตอบว่าไม่มีใครทำได้)วิทยาศาสตร์เพิ่มขยะให้โลกมากมายทุกวัน เฉพาะเรื่องขยะมนุษย์ก็หมดปัญญาที่จะเลือก"ศาสตร์"ไหนมาแก้ปัญหา โลกเราจึงเต็มไปด้วยขยะ......ฮามากๆ แต่เป็นเรื่องจริง
     

แชร์หน้านี้

Loading...