ธรรมโอวาท 1 (หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ)

ในห้อง 'หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า' ตั้งกระทู้โดย TupLuang, 18 กันยายน 2008.

  1. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    อานิสงส์การภาวนา

    หลวงพ่อท่านเคยพูดเสมอว่า"อุปัชฌาย์ข้า (หลวงพ่อกลั่น) สอนว่า ภาวนาได้เห็นแสงสว่างเท่าปลายหัวไม้ขีด ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่าช้างกระดิกหูงูแลบลิ้น ยังมีอานิสงส์มากกว่าตักบาตรจนขันลงหินทะลุ" พวกเรามักจะได้ยินท่านคอยให้กำลังใจอยู่บ่อยๆ ว่า "หมั่นทำเข้าไว้ หมั่นทำเข้าไว้ ต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งภายหน้า" เสมือนหนึ่งเป็นการเตือนให้เราเร่งความเพียรให้มาก การให้ทานรักษาศีลร้อยครั้งพันครั้งก็ไม่เท่ากับนั่งภาวนาหนเดียวนั่งภาวนาร้อยครั้งพันครั้ง กุศลที่ได้ก็ไม่เท่ากุศลจิตที่สงบเป็นสมาธิเกิดปัญญาเพียงครั้งเดียว ​

    แนะวิธีปฏิบัติ

    เคยมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งมีปัญหาถามว่า นั่งปฏิบัติภาวนาแล้วจิตไม่รวม ไม่สงบ ควรจะทำอย่างไร ท่านแก้ให้ว่า " การปฏิบัติ ถ้าอยากเป็นเร็วๆ มันก็ไม่เป็น หรือไม่อยากให้เป็น มันก็ประมาทเสีย ไม่เป็นอีกเหมือนกัน อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า ทำใจให้เป็นกลางๆ ตั้งใจให้แน่วแน่ในกัมมัฏฐานที่เรายึดมั่นอยู่นั้น แล้วภาวนาเรื่อยไป เหมือนกับเรากินข้าวไม่ต้องอยากให้มันอิ่ม ค่อยๆ กันไปมันก็อิ่มเอง ภาวนาก็เช่นกันไม่ต้องไปคาดหวังให้มันสงบ หน้าที่ของเราคือภาวนาไปก็จะถึงของดี ของวิเศษในตัวเรา แล้วจะรู้ชัดขึ้นมาว่าอะไรเป็นอะไร ให้หมั่นทำเรื่อยไป ​

    อุบายวิธีทำความเพียร

    ครั้งหนึ่งที่ได้สนทนาปัญหาธรรมกับหลวงพ่อ ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า...เขามาถามปัญหาเข้า ข้าก็ตอบไม่ได้อยู่ปัญหาหนึ่ง ผู้เขียนเรียนถามท่านว่า "ปัญหาอะไรครับ" ท่านเล่าว่า " เขาถามว่า ขี้เกียจ (ปฏิบัติ) จะทำอย่างไรด ี" หลวงพ่อหัวเราะ ก่อนที่จะตอบต่อไปว่า " บ๊ะ ขี้เกียจก็หมดกัน ก็ไม่ต้องทำซิ”สักครู่ท่านจึงเมตตาสอนว่า " หมั่นทำเข้าไว้ๆ ถ้าขี้เกียจให้นึกถึงข้า ข้าทำมา 50 ปี อุปัชฌาย์ข้าเคยสอนไว้ว่า ถ้าวันไหนยังกินข้าวอยู่ก็ต้องทำ วันไหนเลิกกินข้าว...นั่นแหละถึงไม่ต้องทำ " ​

    ควรทำหรือไม่?

    ครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์หลวงพ่อผู้สนใจธรรมปฏิบัติกำลังนั่งภาวนาเงียบอยู่ ไม่ห่างจากท่านเท่าใดนัก บังเอิญมีแขกมาหาศิษย์ผู้นั้นแต่ไม่เห็น ก็มีศิษย์อีกท่านหนึ่งเดินเรียกชื่อท่านผู้กำลังนั่งภาวนาอยู่ด้วยเสียงอันดัง และเมื่อเดินมาเห็นศิษย์ผู้นั้นกำลังภาวนาอยู่ก็จับแขนดึงขึ้นมาทั้งที่กำลังนั่งภาวนา เมื่อผู้นั้นห่างไปแล้ว หลวงพ่อท่านจึงเปรยขึ้นมาว่า "ในพุทธกาลครั้งก่อน มีพระอรหันต์องค์หนึ่งกำลังอยู่นิโรธสมาบัติได้มีนกแสกตัวหนึ่งบินโฉบผ่านหน้าท่านพร้อมกับร้อง "แซ๊ก" ท่านว่านกแสกตัวนั้นเมื่อตายแล้วได้ไปอยู่ในนรก แม้กัปนี้พระพุทธเจ้าผ่านไปได้พระองค์ที่สี่แล้ว นกแสกตัวนั้นยังไม่ได้ขึ้นมาจากนรกเลย

    ทรรศนะต่างกัน

    การมาอยู่ด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกันมากเข้าย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ทิฐิความเห็นย่อมต่างกัน ขอให้เอาแต่ส่วนดีมาสนับสนุนกัน อย่าเอาเลวมาอวดกัน การปรามาสพระก็ดี การพูดจาจ้วงจาบในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือท่านที่มีศีลมีธรรมก็ดี จะเป็นกรรมติดตัวเราและขัดขวางการปฏิบัติธรรมในภายหน้า ดังนั้น หากใครทำความดี ก็ควรอนุโมทนายินดีด้วย แม้ต่างวัดต่างสำนักหรือแบบปฏิบัติต่างกันก็ตาม ไม่มีใครผิดหรอก เพราะจุดมุ่งหมายต่างก็เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เช่นกัน เพียงแต่เราจะทำให้ดี ดียิ่ง ดีที่สุด เท่านั้น ขอให้ถามตัวเราเองเสียก่อนว่า แล้วเราล่ะถึงที่สุดแล้วหรือยัง ​

    อุเบกขาธรรม

    การอยากชวนคนมาวัด มาปฏิบัติให้มาก ๆโดยลืมดูพื้นฐานจิตใจของบุคคลที่กำลังจะชวนว่า เขามีความสนใจมากน้อยเพียงใด หลวงปู่ท่านบอกว่า ให้ระวังให้ดีจะเป็นบาป เปรียบเสมือนกับการจุดไฟไว้ตรงกลางระหว่างคน 2 คน ถ้าเราเอาธรรมะไปชวนเขา เขาไม่เห็นด้วย ปรามาสธรรมนี้ซึ่งเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับเราเป็นคนก่อแล้วเขาเป็นคนจุดไฟ บาปทั้งคู่ เรียกว่า เมตตาพาตกเหว ​

    หลวงปู่ได้ยกอุทาหรณ์ สอนต่อว่า เหมือนกับมีชายคนหนึ่งตกอยู่ในเหวลึก มีผู้จะมาช่วย คนที่หนึ่งมีเมตตาจะมาช่วย เอาเชือกดึงขึ้นจากเหว ดึงไม่ไหวจึงตกลงไปในเหวเหมือนกัน คนที่สองมีกรุณษมาช่วยถึงอีก ก็ตกลงเหวอีก คนที่สามมีมุทิตามาช่วยดึงอีกก็พลาดตกเหวอีกเช่นกัน คนที่สี่สุดท้ายเป็นผู้มีอุเบกขาธรรมเห็นว่าเหวนี้ลึกเกินกว่ากำลังของตนที่จะช่วย ก็มิได้ทำประการใดทั้ง ๆ ที่จิตใจก็มีเมตตาธรรมที่จะช่วยเหลืออยู่ คนสุดท้ายนี้จึงรอดชีวิตจากการตกเหวตามเพราะ อุเบกขาธรรมนี้แล ​

    เรารักษาศีล ศีลรักษาเรา

    ศีลเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการปฏิบัติธรรมทุกอย่าง หลวงพ่อมักจะเตือนเสมอว่าในขั้นต้นให้หมั่นสมาทานรักษาศีลให้ได้ แม้จะเป็นโลกียศีล รักษาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บริสุทธิ์บ้าง ไม่บริสุทธิ์บ้าง ก็ให้เพียงระวัง รักษาไป สำคัญที่เจตนาที่จะรักษาศีลไว้ และปัญญาที่คอยตรวจตราแก้ไขตน "เจตนาหัง ภิกขเว สีลัง วทามิ" ท่านว่าเจตนาเป็นตัวศีล "เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ" เจตนาเป็นตัวบุญ จึงขอให้พยายามสั่งสมบุญนี้ไว้ โดยอบรมศีลให้เกิดขึ้นที่จิตเรียกว่า เรารักษาศีล ส่วนจิตที่อบรมศีลดีแล้ว จนเป็นโลกุตรศีลเป็นศีลที่ก่อให้เกิดปัญญาในอริยมรรค อริยผลนี้จะคอยรักษาผู้ประพฤติปฏิบัติมิให้เสื่อมเสียหรือตกต่ำไปในทางที่ไม่ดีไม่งามนี้แลเรียกว่า ศีลรักษาเรา ​

    จะเอาโลกหรือเอาธรรม

    บ่อยครั้งที่มีผู้มาถามปัญหากับหลวงพ่อ โดยมักจะนำเอาเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับหน้าที่การงาน สามี ภรรยา ลูกเต้า ญาติ มิตร หรือคนอื่นๆ มาปรารภให้หลวงพ่อฟังอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งท่านได้ให้คติเตือนใจผู้เขียนว่า "โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม " ซึ่งต่อมาท่านได้ให้ความหมายว่า "เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้ ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเอง ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้วต้องกลับเข้ามาหาตัวเอง ถ้าเป็นโลกแล้วจะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา เพราะธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดจากในตัวของเรานี้ทั้งนั้น " ​

    เคยมีผู้ปฏิบัติกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า

    " หลวงพ่อครับ ขอธรรมะสั้นๆ ในเรื่องวิธีปฏิบัติเพื่อให้กิเลส 3 ตัว
    คือ โกรธ โลภ หลง หมดไปจากใจเรา จะทำได้อย่างไรครับ "

    หลวงพ่อตอบเสียงดังฟังชัด จนพวกเราในที่นั้นได้ยินกันทุกคนว่า

    "สติ"


    ที่มา คนเมืองบัว​

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2008
  2. จิตต์ปภัสสร

    จิตต์ปภัสสร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2007
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +4,545
    ควรทำหรือไม่?

    การมาอยู่ด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกันมากเข้าย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ทิฐิความเห็นย่อมต่างกัน ขอให้เอาแต่ส่วนดีมาสนับสนุนกัน อย่าเอาเลวมาอวดกัน การปรามาสพระก็ดี การพูดจาจ้วงจาบในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือท่านที่มีศีลมีธรรมก็ดี จะเป็นกรรมติดตัวเราและขัดขวางการปฏิบัติธรรมในภายหน้า ดังนั้น หากใครทำความดี ก็ควรอนุโมทนายินดีด้วย แม้ต่างวัดต่างสำนักหรือแบบปฏิบัติต่างกันก็ตาม ไม่มีใครผิดหรอก เพราะจุดมุ่งหมายต่างก็เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เช่นกัน เพียงแต่เราจะทำให้ดี ดียิ่ง ดีที่สุด เท่านั้น ขอให้ถามตัวเราเองเสียก่อนว่า แล้วเราล่ะถึงที่สุดแล้วหรือยัง

    อนุโมทนาเจ้าค่ะ
     
  3. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    กระผมเขียนไว้เมื่อวานพอดีครับ
    ขอเสริมหน่อยนะขอครับ
    คุยกันและสนทธนาธรรมกันอย่างกบอย่างเขียดในยามค่ำคืนแห่งความมืดที่เสนาะเพราะพริ้งไพเราะน่าฟังเพราะนี่คือธรรมมะ....(ธรรมดาครับกระทบกระทั่งกันบ้างก็ต้องอภัยให้กันเพราะเรายังไม่ได้บวชขนาดบวชก็ยังมีใช่ไหมครับ...แต่การอภัยนี่สำคัญที่สุดนะครับ....ปราบโทสะตัวสุดท้ายนะครับผมอยากไปบอกผู้คนที่กำลังวุ่นวายกันที่เมืองไทยเรื่องนี้แต่คงได้ประโยชน์ไม่มาก....คนเราหากยึดเอาตัวตนเป็นใหญ่เสียแล้ว....รัฐสภาทั้งหลังอยู่ข้างหน้าตัวเองแท้ๆก็มองไม่เห็นหรือเปล่าครับ..อ้าวไปไกลแล้ว)....ธรรมมะที่เสนาะเพราะพริ้งเหมือนเมื่อได้ฟังแล้วอยากฟังอีก.....อยากฟังไหมครับ...อยากฟังแต่ไม่มีโอกาสได้ฟังต่างหากเสียงกบเขียดร้อง....ไม่ว่าจะไปที่ไหนทางใดก็เจอแต่พุทธองค์พระองค์ท่านมาที่เวฟนี้ท่านก็คงเจอคำนี้คือที่นี่วุ่นวายหนอ.....แต่หากเป็นกระผม...เดี๋ยวมีคนเสนอกระทู้มาอีกครับแล้วผมจะต่อให้ตรงนี้

    แต่มีกฏอยู่ว่าศิษย์ต่างสำนัก...ไปฝึกของสำนักอื่นไม่ได้
    เมืองจีนอยู่ใกล้ครับศาสนาไปทางบกตำรานี้ไม่หาย.....เมืองไทยมาทะเลเวรกรรมๆจริงๆครับเจอพายุเข้าหล่นลงน้ำไป....แต่แบ่งกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเหมือนกันทีนี้ก็อร่อยละครับ.....กำลังภายในไปนั่งอ่านหนังสือ...จะฝึกอภิญญาใชกำลังภายในเอาตำราไปเปิดสอบ......จะเป็นจอหงวนแต่ไปตีกันในห้องสอบ...อร่อยไหมครับ

    อีกอย่างคนที่มีธรรมมะนี้รู้จักบุญคุณคนครับ...หากท่านมีวิชามากสำนัก...หากสำนักท่านมีเรื่องต้องไปไหม...ต้องไป...หากไม่ไป...ศิษย์เนรคุณ...ต่อให้ท่านมีกำลังภายในมากว่าคนอื่นแต่วันๆท่านรับซองบุญมาสักวันละห้าซองไม่ต้องมากอะไรจะเกิด....ไม่อธิบายแล้วครับ

    และใช่แล้วครับทางเดียวกันเลยไปเหมือนกันเลยไปเฝ้าพระพุทธองค์เราต่างคนต่างไปต่างเดิน....จัดแถวจัดแนวกันไป...ให้เป็นระเบียบ....อาหารและน้ำหยิบยื่นให้กันได้แต่อย่าทำร้ายกันด้วยความประมาทคือเอาตำรากระบี่ไปให้กำลังภายใน....เขาเห็นฤทธิ์เห็นอำนาจที่ท่านแสดงหลงไม่ไปสอบ....ที่สำคัญคือเมืองไทยตำรานี้หายไปนานแล้วครับตั้งแต่เข้ามาแล้วด้วยและอีกอย่างคนเราจะได้สองสามวิชานี่ขนาดปรมาจารย์ตั้กม้อก็ต้องพิจารณาละครับว่ากำลังพอรับไหวไหม....อย่างนู้นก็เอาอย่างนี้ก็รับ...รับมาทั้งๆที่ไม่รู้ไม่พิจารณาครับว่านี่มันตำราไม่ใช่มโนยิทธิ...แต่ท้ายที่สุดนะครับก็ไปเจอกันที่ห้องสอบ...สอบผ่านไม่ผ่านอีกเรื่อง...ผ่านไปแล้วจะไปไหนอีกเรื่อง...เข้าใจง่ายไหมครับ....กำลังไม่พอครับสมองเดียวจะเก่งขนาดไหน...ที่ผลิตคอมได้ใช้เวลามาเท่าไร.....และปรับเปลี่ยนมากี่รุ่นแล้ว...ถึงจะไปถึงจุดหมาย....

    ตอนนี้เขาพัฒนามาเป็นวิทยาสาตร์แล้ว...คุยกับฝรั่งต้องมีเหตุผลแล้วครับหากมาบอกเขาว่านั่งแล้วเห็นดวงกลมๆ...ศาสนาเขาๆก็ทำได้แถมจะดูพวกเราว่างมงาย...แต่หากอะธิบายเป็นวิทยาสาตร์ได้อย่าว่าแต่เดวิดเลยครับ...เดี๋ยวมาหมดไม่เชื่อลองคอยดู...หากบอกว่าอะตอมมิคบอมบ์ที่ท่านเล่นมันคือมหันตภัยที่จะทำลายไปถึงพระอาทิตย์ได้...และระบบสุริยได้...โดยใช้ธรรมมะไปอธิบาย...ผมถอดไปถึงโมเลกุลแล้วครับ...อะตอมผมยังไม่ต่อ..เพราะอันตรายมาก..คนเดียวกำลังเดียวจะเอาอะไรไปสู้เขาครับ...ผมอยู่ฝ่ายธรรมมะ..แต่มาฝึกวิชาในความมืด...แต่อย่าห่วงครับผมรอด

    เหตุผลหรือครับ..หลวงพ่อบอกไว้แล้ว...ไม่ใช่บอกว่าผมรอดนะครับ...หลวงพ่อบอกว่าศาสนาอื่นอาจหายไปและผมพิจารณาแล้วเขาเอาความคิดเราไปต่อยอด....พุทธองค์มาจากไหนเขาไม่รู้...แต่เขารู้ว่ามีเรือ...คือพระมหาชนกของในหลวง....เรือของเขาลำใหญ่ไปกันมากมาย...ตกแล้วครับเรือใครเรือมัน....บารมีสิบคือกระดูกเรือผมไม่ทราบว่าเขารู้ไหม...ทำไมไปกันเยอะลำเดียว...ถูกจริตเขาครับ...ไปไหนชอบสังคม...ต้องร่วมร้องรำปาร์ตี้...ตายแล้วไปไหน...ผมไม่ทราบนะครับทราบแต่ว่าในขณะปาร์ตี้ต้องแบ่งปันเหล้าองุ่นกันเท่านั้น....ผมไม่ได้ตำหนิกรรมเขานะครับแต่ชี้ให้เห็นเท่านั้น....และเมื่อถึงเวลาแล้วทุกท่านจะเข้าใจเองครับไปดูคำทำนายหลวงพ่อใหม่ครับ...สุดยอด...หากท่านเป็นพระอาจารย์ผม...ผมจะเอาอะไรนะครับที่ตำหมากในขันหมากไปซ่อนแล้วครับ....สุดยอดจริงๆ

    เอานะครับเรากำลังจะไปเฝ้าพุทธองค์กันแล้ว

    เตรียมตัวหรือยังครับ...ผมก็ไปด้วย....เจริญในธรรมขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2008
  4. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    [​IMG]ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...
     
  5. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    "ถ้าวันไหนยังกินข้าวอยู่ก็ต้องทำ วันไหนเลิกกินข้าว...นั่นแหละถึงไม่ต้องทำ "

    "เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้ ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเอง"

    คำสอนของหลวงปู่อยู่ในใจตลอดมา โดยเฉพาะคำว่า

    "เวลาเหลือน้อยแล้ว ให้รีบพากันปฏิบัติ"

    เป็นเครื่องเตือนสติให้เรารีบเร่งขวนขวายในการปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นไป

    กราบนมัสการหลวงปู่พระผู้จุดประทีปในดวงใจ

    และขออนุโมทนากับผู้ตั้งกระทู้ด้วยครับ
     
  6. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    หากผมบอกท่านว่าโลกเที่ยงไม่เที่ยง....เรารู้อยู่.....และศาสนาพุทธคือวิธีแก้ว่าโลกจะเที่ยงหรือไม่เที่ยงท่านจะช่วยแก้ไขปัญหาของโลกไหม....ครับ
     
  7. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ตรงนี้พระเดชพระคุณหลวงปู่ดู่ท่านกล่าวว่าเวลาทำวิปัสนากรรมฐานอย่าไปสนโลก......ที่ว่าเหลือเวลาน้อยอยู่คือ...เขาจะไปกันชุดแรกนี่เยอะมากหากจัดขบวนเสร็จเรียบร้อย.......เขียดเขาทำนายไว้
     

แชร์หน้านี้

Loading...