ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เป็น "มนุษย์ปกติ" ให้ได้ก่อน อย่าเพิ่งไป "เจตนา" ปล่อยวางอะไร


    ถ้าจะบรรลุอรหันต์ มันก็บรรลุ อย่าไปตั้ง "เจตนา" ทำอย่างอรหันต์ หลายคนยังไม่ได้บรรลุธรรมอะไร แต่ไปอ่าน ไปฟังธรรมะมาว่าให้ปล่อยวางบ้าง อย่าไปยึดติดบ้าง ฯลฯ แล้วไปตั้งเจตนาทำอย่างนั้น อันนี้คือ "อุปทาน" อย่างหนึ่ง ไม่ใช่การปล่อยวางอย่างเป็นธรรมะ ธรรมชาติ แบบพระอรหันต์เป็นกัน นึกออกไหม? คือ เขายังไม่ได้บรรลุธรรมอะไร แต่อาศัยไปอ่าน ไปฟังมาว่าพระอรหันต์ท่านเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ เลยไปทำตาม ไปตั้งเจตนาเอาอย่างพระอรหันต์เขา ซึ่งมันจะเป็น "อุปทาน" ไปทั้งหมด สุดท้าย ก็จะผิดธรรมชาติเพราะไปตั้งเจตนาทำให้ตัวเองเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ คนเราถ้าไม่ยึดอะไรเลยเสียก่อนจะบรรลุ ก็จะกลายเป็น "คนหยิบโหย่ง" ลูบคลำธรรมะแต่เปลือกนอก คือ ยังไม่ทันจะได้ลึกซึ้งถึงแก่นแท้แห่งธรรมอะไรเลย ก็วางไปเสียก่อนแล้ว นี่ละ ที่ว่าหยิบโหย่ง ลูบคลำธรรมะแต่ผิวเปลือก คนปกติเขาก็มีการยึดและไม่ยึด อย่างเป็นธรรมะ ธรรมชาติ มีการปล่อยวางและไม่ปล่อยวาง อย่างเป็นธรรมะ ธรรมชาติ จนเมื่อเขาได้บรรลุธรรม การปล่อยวางก็ดี, การไม่ยึดมั่นก็ดี จะเป็นไปเองอย่างเป็นธรรมะ ธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นไปโดย "ตั้งเจตนาจะให้เป็น" หรือเป็นไปโดยทำให้เป็นอย่างพระอรหันต์ ตั้งใจจะทำให้เหมือนพระอรหันต์ยังไง มันก็ไม่เหมือนหรอก เพราะมันยังไม่ใช่ของจริง ไร้ประโยชน์ ทำแล้วเป็นปัญหายุ่งยากแก่ชีวิต ทำให้ปรับตัวเข้ากับคนที่อยู่ทางโลกเขาได้ยากมากกว่า หลายคนชอบไปปล่อยวางซะก่อน ไม่ยึดติดซะก่อน คือ "อุปทานไปซะก่อน" ตั้งเจตนาไปซะก่อนนะ

    พระอรหันต์จริงๆ จะยึดติดก็ได้ แต่ไม่เที่ยง จะไม่ยึดติดก็ได้ แต่ไม่ถาวรตลอดไป แล้วแต่ "สติปัญญา" ของท่านนะ บางครั้งท่านอาจจะปล่อยวาง และบางครั้งท่านไม่จำเป็นต้องปล่อยวาง แต่ไม่ว่าจะปล่อยวางหรือไม่ปล่อยวาง ก็ไม่เที่ยงทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องไม่ยึดติดตลอดกาล หรือปล่อยวางตลอดกาลอะไรแบบนั้น ไม่ใช่นะ ทุกอย่างไม่เที่ยง และปรับไปตามสภาพธรรมได้ทั้งหมด ทั้งยังเป็นไปอย่างสอดคล้องกลมกลืนกับธรรมะ ธรรมชาติ เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ธรรมดา เหมือนคนปกติ แต่ไม่ใช่ปุถุชนหลงโลกแค่นั้นเอง แต่เราจะไปคาดเดาเอา ไปคิดเอา ไปอุปทานเอา ไปตั้งเจตนาเอาอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ไม่ได้หรอก ทำไปอย่างไรก็ไม่เหมือนได้ เลียนแบบหรือทำตามแค่ไหนมันก็ไม่ใช่นะ จะกลายเป็นอุปทาน เป็นเจตนา ในการปล่อยวาง ในการไม่ยึด และสุดท้าย ก็จะกลายเป็นปัญหาในการปรับตัวเข้ากับทางโลก อยู่กับทางโลกเขาไม่ได้ หรือบางคนพูดแต่ปากว่าไม่ยึดอะไรแล้ว แต่พฤติกรรมจริงๆ ไม่ใช่ การกระทำกับคำพูดมันไม่ตรงกัน อย่างนี้ก็มี ปากบอกว่าไม่ยึด มีแต่ความว่างเปล่าแล้ว แต่พอเรื่องเงินละ "รับทันที" อะไรแบบนี้ก็มีนะ

    เป็น "มนุษย์ปกติ" ให้ได้ก่อน อย่าไปอุปทานทำอย่างพระอรหันต์!
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    7 ขั้นตอนในการถ่ายโอนระบบทุนนิยมไปสู่ระบบ NEWS


    ชายเคยบอกแล้วว่าระบบทุนนิยมมันกำลังไปไม่รอด ใกล้จะล่มแล้ว และหลายคนทั่วโลกเตรียมการณ์ทำสงคราม set zero กันแล้ว ทว่า ชายกำลังเสนอทางออกให้กับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม สามารถก้าวเดินต่อไปได้ ซึ่งก็คือ "ระบบเศรษฐกิจ NEWS" ที่จะเข้ามารองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งมี 7 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้

    1 ธุรกิจเอกชน ล้มละลายไปต่อไม่ได้
    เช่น กรณีอสังหาริมทรัพย์ ล้มละลาย ถามว่า เขาบริหารธุรกิจไม่ดี ใช่ไหม? ไม่จริงเสมอไปครับ บางครั้ง บริหารธุรกิจได้ดี ทำได้ดีแต่ ได้รับผลกระทบจากภายนอก ส่งผลต่อสภาพคล่อง หมุนเงินไม่ทัน ก็ล้มละลายได้ ถ้ามีเงินมาหมุนทันได้ ธุรกิจก็ไปต่อได้อย่างงดงาม

    2 รัฐเข้าไปรองรับไว้ก่อนจะล้มละลาย
    ดังนั้น รัฐต้องเลือกธุรกิจที่มีการบริหารดี แต่เข้าข่ายใกล้ล้มละลายเพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ บางธุรกิจมีมูลค่ามหาศาลเป็นร้อยล้านพันล้าน แต่ล้มละลายเพราะหมุนเงินไม่ทัน แค่ไม่กี่สิบ-ร้อยล้านเท่านั้น ก็มี

    3 รัฐดึงเงินจากกองทุนภาคประชาชน
    ต่อมา ถามว่าแล้วรัฐจะเอาเงินที่ไหนไปอุ้มธุรกิจที่กำลังล้มละลาย? คำตอบคือ ดึงเงินจากประชาชนมาช่วยอุ้มไงครับ เพราะ ปชต. เราใช้หลัก "โดยประชาชน เพื่อประชาชน" ดังนั้น เราต้องให้ ปชช. เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลเศรษฐกิจในระดับมหภาพด้วยกองทุนนี้

    4 ประชาชนจ่ายเงินในรูป "เงินประกัน"
    คำถามต่อมาคือ แล้วประชาชนจะดูแลกองทุนนี้อย่างไร? คนเยอะไม่วุ่นวายหรือ? คำตอบคือไม่วุ่นวายเพราะเราใช้ระบบ "เงินประกัน" คือ เราแค่เก็บเงินค่าประกันจาก ปชช. เท่านั้น พวกเขาไม่ต้องเข้ามาบริหารธุรกิจพร้อมกันทุกคนก็ได้ครับ ซึ่งเป็นเงินจำนวนไม่มาก

    5 บริษัทที่รัฐอุ้ม ต้องตอบแทนคืน ปชช.
    คำถามต่อไปคือ แล้ว ปชช. จะได้อะไรคืนกลับไปจากการจ่ายเงินประกันเข้ากองทุนนี้ละ? คำตอบคือ ก็ได้รับคืนแน่นอนเหมือนการประกันชีวิตน่ะละ เช่น ถ้ารัฐอุ้มธุรกิจสร้างบ้าน เราก็ให้ธุรกิจสร้างบ้าน ออกแบบบ้านราคาถูกให้คนที่ไม่มีบ้านได้อยู่อาศัย แบบฟรีๆ

    6 รัฐวางนโยบายสวัสดิการโดย ปชช.
    ดังนั้น เราจะได้สวัสดิการที่มากขึ้นโดยกองทุนเหล่านี้ ซึ่งกองทุนนี้ ได้รับการสนับสนุนโดย ปชช. และเพื่อ ปชช. ยังไงละครับ เราเลือกธุรกิจที่เป็นสวัสดิการพื้นฐาน เช่น ธุรกิจสร้างบ้าน เราอุ้มธุรกิจนี้ไว้ แล้วเอามาจ่ายคืนให้ ปชช. ในรูปสวัสดิการ สร้างบ้านให้ฟรี เป็นต้น

    7 รัฐเลือกธุรกิจที่เป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐาน
    ขั้นตอนนี้ รัฐจะต้องวางนโยบายแล้วว่าจะเลือกช่วยธุรกิจอะไรบ้าง ขององค์กรใดบ้าง? ต้องเลือกเอาเฉพาะธุรกิจที่มีการบริหารที่ดีและได้รับความไว้วางใจเช่น ธุรกิจพลังงาน, น้ำมัน, บ้านจัดสรร, น้ำดื่ม, การเกษตร ฯลฯ โดยรัฐไม่เข้าไปก้าวก่ายในการบริหารของเขาครับ

    ถ้านึกภาพไม่ออก ชายจะอธิบายง่ายๆ อย่างนี้ฮะ สมมุติเราจ่ายเงิน "ค่าประกันที่อยู่อาศัย" ปีละ 500 บาทต่อคน จากนั้น เงินทั้งหมดจะไปสู่กองทุนๆ นำไปหนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากนั้น ธุรกิจนี้ต้องคืนกำไรแก่ ปชช. โดยการสร้างบ้านราคาถูก เช่น หลังละไม่เกินสามแสนบาท ให้คนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยหรือคนที่ถูกไฟใหม้ ตั้งเป้าทำไปปีละ 100 รายต่อจังหวัดก็ได้ ผ่านไปไม่กี่ปี ทุกคนก็จะมีบ้านอยู่ครับ

    อีกไม่นาน ทุนนิยมก็ถึงเวลาล่มสลายแล้ว เราต้องเตรียมรับมือครับ!
     
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ก่อนจะ "พอดี" ทำให้ถึง "ที่สุดแห่งธรรม" หรือยัง?


    ทางสายกลาง ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการกะเกณฑ์, ประมาณการณ์, คิดคาดเดาเอาเอง หรือแม้แต่การคำนวณอย่างแม่นยำใดๆ ไม่ได้ ทางสายกลางจะเกิดขึ้นจาก "เราฝ่ายเดียว" ไม่ได้ เกิดจากการที่เรากำหนดเอาจากภายใน ไม่ได้ เกิดจากการที่ไม่มีปัจจัยภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้ หาไม่แล้วมันก็จะกลายเป็น "ทางแห่งพระปัจเจก" ไป ไม่ใช่ "ทางสายกลางแห่งพระอริยะในพุทธศาสนา" หลายคนมักชอบไปกำหนดความเป็นกลางเอาไว้ก่อน อุปทานกันไปก่อน ไปตั้งเจตนาเสียก่อนว่านี่พอดีแล้ว นี่กลางแล้ว เอาเท่านี้ละกำลังดีแล้วก็มี แบบนี้ไม่ใช่นะ อย่างพระสมณโคดมก่อนจะค้นพบทางสายกลาง ทำอย่างไร? ก็ต้องอดอาหารอย่างยิ่งยวดจนถึงที่สุดแห่งธรรม คือ ไม่กินอะไรเลยหกปี คือ ทำให้ยิ่งยวด ทำให้ถึงที่สุดก่อน จนสะเทือนถึงพระอินทร์ลงมาดีดพิณให้ฟัง สะเทือนถึงพญามารลงมาไล่ให้ลุกออกไปจากบังลังก์ที่ทรงประทับทำสมาธินั้น (แท้จริงเป็นอุบายของพญามารฯ ที่ไม่ให้ยึดติดการนั่ง เฉกเช่น พระอานนท์ที่บรรลุธรรมได้โดยไม่ใช่อริยบทใดๆ ไม่ติดในอริยาบถใดๆ การบรรลุธรรมไม่เกี่ยวกับการนั่งหรือไม่นั่ง) องค์ประกอบภายนอกเหล่านี้เองที่มาช่วยให้เราหลุดออกจาก "ปัจเจกวิถีมาสู่โพธิยาน" ออกโปรดสัตว์ เปิดตัวเองสู่โลกกว้างภายนอก ไม่บรรลุเป็นพระปัจเจกไปเสียก่อน

    "ทางสายกลาง" จะเกิดขึ้นได้จากเราและสิ่งแวดล้อมภายนอก เราไม่อาจปิดกั้นตัวเองจากสิ่งแวดล้อมเพื่อกำหนดความพอดีใดๆ ได้ เราจะต้องทำส่วนของเรา "ให้เต็มที่" ให้ถึงที่สุดแห่งธรรมให้ได้ก่อน แล้วจึงเกิดพลังสั่นสะเทือนไปสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก ทำให้ปัจจัยภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา เพื่อปรับเราให้ไม่เกินขอบเขตแห่งความพอดี และเมื่อเราถูกกระทบ ถูกปรับ ถูกปัจจัยภายนอกเข้ามาร่วมกระทำ ร่วมขวาง ร่วมหยุดยั้งแล้ว เราไม่ดื้อรั้นจนเกินไป และไม่ยอมง่ายจนเกินไป มันก็จะลงตัวที่ "ความพอดี" เอง หากเราไม่ยอมให้ใครชนะเราได้เลย เราก็จะกลายเป็นปัจเจกสุดโต่งเกินไป หากเรายอมแพ้ง่ายเกินไป เราก็จะไปไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม ที่สุดของเรา นี่ละ ทางสายกลาง มันจะเกิดได้ มันจะกลางได้ ต้องมีการกระทบกระทั่งบ้าง จากทั้งภายในของเราและภายนอกรอบตัวเราก่อน ถ้าไม่มีใครมาร่วมเลย เรานั่งสมาธิหลับตาอยู่คนเดียวแล้วบอกว่า "บรรลุธรรมแล้ว" อย่างนี้ มีแต่ "ปัจเจกวิถี" เท่านั้น ไม่ใช่วิถีของพุทธศาสนาเลย ในวิถีของพุทธศาสนา จะมีปัจจัยภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ไม่ถูกปิดตายเหมือนระบบปิด เมื่อภายในและภายนอกปรับกัน กระทบกัน ไปสู่ "ความพอดี" หรือทางสายกลางได้ในที่สุด

    ซึ่งเราต้องทำให้ถึงที่สุดจนสะเทือนธรรมภายนอกให้ได้ก่อนครับ
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    "ระบบประกัน" ทางออกใหม่ของรายได้ภาครัฐ!


    ปกติแล้วรายได้ภาครัฐจะมาจาก "ภาษีอากร" ทว่า ก็มีรายได้อื่นๆ อีก ปัจจุบัน ภาครัฐมีการใช้จ่ายสูงมาก และเสี่ยงต่อการหมุนเวียนนำเงินกลับมาสู่ภาครัฐ อันจะกระทบต่อสภาพคล่องของการคลังได้ "ระบบประกัน" จะเป็นทางออกที่ช่วยเพิ่มรายได้ภาครัฐให้มากขึ้น

    1 ระบบประกันในฐานะ "รายได้ใหม่ของรัฐ"
    ระบบประกันสามารถหารายได้เข้าสู่รัฐได้อีกทางหนึ่ง ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ระบบประกันจะเก็บเงินจากประชาชนจำนวนไม่มาก แต่ด้วยประชาชนมีจำนวนมาก ทำให้ได้รายได้สูง เช่น เก็บจากประชาชนคนละ 100 บาท จากจำนวนประชากร 60 ล้านคน ก็จะได้รายได้รวม 6,000 ล้านบาท ถามว่า แบบนี้จะทำให้การบริโภคภาคประชาชนนั้นลดลงไปหรือไม่? คำตอบคือ ลดลงไปบ้าง แต่ประชาชนจะลดการใช้จ่ายในสิ่งไร้สาระลงก่อนลำดับแรก เช่น ค่าเหล้า, ค่ายาเสพติด

    2 ระบบประกันในฐานะ "สวัสดิการภาค ปชช."
    ระบบประกันจะทำหน้าที่เป็น "สวัสดิการ" เหมือนกับประกันสังคมแต่จะดีกว่าประกันสังคม และการประกันจะขยายวงกว้างออกมากกว่าแค่ประกันสุขภาพ แต่จะครอบคลุมถึง "ปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพ" เช่น อาหาร, ที่อยู่อาศัย, ยารักษาโรค, พลังงาน-น้ำดื่ม ฯลฯ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพอย่างแท้จริงที่รัฐควรจัดสรรให้ได้มาตรฐานเท่าเทียมกัน สำหรับทุกคนในประเทศ ส่วนสิ่งที่นอกเหนือไปจากนี้ เป็นเรื่องของปัจเจกชนจะแสวงหาด้วยตัวของเขาเอง

    3 ระบบประกันในฐานะ "กลไกลของ ปชต."
    ระบบประกันจะทำหน้าขับเคลื่อน ปชต. ได้ เพราะจะทำให้ ปชช. จะต้องมาแบกรับภาระของชาติบ้านเมืองด้วยตัวเองด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุด ในต่างประเทศหลายประเทศ ปชช. ต้องจ่ายอะไรมากมายเพื่อให้สวัสดิการของรัฐยังคงอยู่ได้ นั่นแสดงให้เห็นถึงความเป็น ปชต. ที่ ปชช. รู้จักหน้าที่พลเมืองและรับผิดชอบต่อกิจการของประเทศในด้านต่างๆ ตามหลักปชต. คือ "โดยประชาชน เพื่อประชาชน" ดังนั้น แนวคิดนี้จึงไม่ใช่รัฐสวัสดิการแต่อย่างใด เพราะรัฐไม่ได้เป็นผู้อุ้มชู

    4 ระบบประกันในฐานะ "ผู้ช่วยสามเสาหลัก"
    ระบบประกันจะเข้ามาแบกรับภาระที่หนักอึ้งแทนสามเสาหลักได้เช่น เดิมสถาบันกษัตริย์อาจต้องแบกรับภาระมากมาย ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือ ปชช. ทว่า ระบบประกันนี้ จะเข้ามาแบกรับภาระที่หนักอึ้งแทน และช่วยกระจายความเสี่ยงไปสู่ภาค ปชช. ทำให้ความเสี่ยงลดลง ปชช. แต่ละคนช่วยกันแบกรับความเสี่ยงเพียงไม่กี่ร้อยบาทก็สามารถช่วยชาติได้โดยไม่ต้องรบ ดีกว่าการยกภาระที่หนักอึ้งให้เสาหลักใดเสาหลักหนึ่งของบ้านเมือง ให้ค้ำชูอยู่เพียงเสาหลักเดียว

    5 ระบบประกันในฐานะ "ฟันเฟืองเศรษฐกิจใหม่"
    ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมกำลังมีปัญหา และเป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกท่านคงทราบกันดี หากเราไม่มีมาตรการใดๆ รองรับเลย เราก็จะต้องรอรับผลเสียอย่างเดียว ตั้งรับแบบไม่มีการเตรียมการณ์ ซึ่งไม่ดีแน่ จริงไหมครับ? ดังนั้น การวางระบบประกันภัยไว้ล่วงหน้านี้ จึงช่วยให้เป็นทางออก ทางเลือกใหม่ ที่จะเข้ามารองรับความล่มสลายของระบบทุนนิยมเดิมได้ เมื่อถึงเวลานั้น ประเทศจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าประเทศอื่นๆ เพราะมีระบบประกันภัยรองรับความเสี่ยงให้นั่นเอง

    นอกจากนี้ ระบบประกันยังมีข้อดีกว่าระบบภาษี (ที่กล่าวนี้ไม่ได้ให้ยกเลิกระบบภาษีนะครับ) ตรงที่ สามารถควบคุมการใช้เงินให้ตรงวัตถุประสงค์ได้มากกว่าภาษี เอาง่ายๆ คุณจ่ายภาษีไปโดยไม่รู้เลยว่ารัฐนำเงินภาษีคุณไปใช้ทำอะไร? ตรงข้าม หากคุณจ่ายในระบบประกัน คุณมั่นใจได้ว่าเงินของคุณจะถูกนำไปใช้เรื่องอะไร? เช่น ระบบประกันสุขภาพ ก็ต้องใช้เรื่องสุขภาพ ไม่ใช่เรื่องอื่น ใช่ไหม? ดังนั้น การเพิ่มภาษีจึงมีความเสี่ยงหากได้รัฐบาลที่ไม่ดี แต่การเพิ่มรายได้ภาครัฐผ่านระบบประกัน จะลดความเสี่ยงตรงนี้ลงได้ครับ

    ระบบประกัน จึงเป็นทางรอดสำหรับประเทศที่ใช้ระบบทุนนิยมครับ
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    อนัตตา มิใช่ อวอัตตา


    อนัตตาเป็นสมมุติบัญญัติที่ใช้หมายถึงสัจธรรมอย่างหนึ่งที่มีอยู่จริง ไม่ใช่ความว่างเปล่า (อากาสธาตุ) ทว่า ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตนของตนได้ แต่มิใช่ไม่มีอะไรเลย หลายคนมักคิดว่าคือการไม่มีตัวตน (อวอัตตา) ไม่ใช่นะครับ อนัตตาไม่ใช่สิ่งที่ตรงข้ามกับอัตตา มิใช่ธรรมคู่อันตรงข้ามกับอัตตาที่เรียกว่า "อวอัตตา" แต่อย่างใดแต่หลายคนมักเข้าใจผิดคิดว่าเป็นภาวะตรงข้ามกับอัตตา ทำให้ธรรมนี้มีสภาพผิดเพี้ยนไปจากเดิม กลายเป็นธรรมคู่ซึ่งตรงข้ามกับอัตตาไปแทน คำว่า "อวอัตตา" นี้ ไม่มีในตำราหรือคัมภีร์ใดๆ มาก่อนด้วยมันไม่เคยมีเคยเป็นมาในยุคนั้น ยุคของพระสมณโคดมผู้คนหลงผิดไปใน "อัตตา" ท่านจึงใช้คำว่าอัตตาในการสื่อสารกับผู้หลงผิด ทว่า ในยุคนี้ หลายคนไปอ่านธรรมะแล้วเข้าใจเองไปผิดๆ กลายเป็นการหลงผิดไปอีกทางที่ตรงข้ามกับอัตตา ชายจึงต้องหยิบยืมใช้สมมุติบัญญัติเรียกว่า อวอัตตา เพื่ออธิบายถึงความเข้าใจผิดดังกล่าวคือ เข้าใจไปว่าตัวตนไม่มี ตัวตนว่างเปล่า จริงๆ แล้ว อัตตาต่างหากที่ไม่มี อัตตาต่างหากที่ว่างเปล่า เพราะอัตตาเป็นสิ่งที่บุคคลอุปทานขึ้นมาเอง ทว่า ตัวตนที่แท้จริงอันเป็นสัจธรรมนั้นมีอยู่ (แต่ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้) ไม่ใช่อัตตา แต่เป็น "อนัตตา"

    ตัวตนที่แท้จริงที่ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ (อนัตตา) นี้ ไม่ใช่ความว่าง (อากาสธาตุ) แต่เป็นสัจธรรมความจริงแท้ที่มีอยู่จริง แต่มีอยู่แบบที่ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ เท่านั้นเอง ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่ตัวกูของกู และไม่ใช่ "อวอัตตา" หรือความไม่ม่ีตัวตน ไม่มีอะไรเลย ที่เป็นธรรมคู่ตรงข้ามกับอัตตาก็หาไม่ อนัตตาไม่ใช่ทั้งอัตตาแลอวอัตตา และไม่ได้อยู่ตรงกลางระหว่างอัตตาและอวอัตตา เนื่องจากอัตตาแลอวอัตตาเกิดจากความหลง อุปทานไปเอง จึงไม่มีอยู่จริง ไม่ใช่สัจธรรม ดังนั้น อนัตตาจึงจะไปอยู่ระหว่างกลางของอัตตาแลอวอัตตา ย่อมมิได้ คนที่หลงผิด หลงไปคนละทางตรงข้ามกัน ฝ่ายหนึ่งหลงไปทางอัตตา ฝ่ายหนึ่งหลงไปทางอวอัตตา ซึ่งพวกที่หลงไปทางอวอัตตานั้น พึ่งปรากฎมีขึ้นมาในยุคหลังๆ นี่เอง ดังนั้น พวกหลังๆ นี้จึงไม่ได้รับการโปรดจากพระพุทธเจ้า และไม่ปรากฎมีคำว่า "อวอัตตา" ขึ้นมาในตำราใดๆ ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเป็นความหลงแบบใหม่ ไม่เคยมีมาก่อน ผู้ที่หลงไปในอวอัตตานั้น จะหาตัวตนที่แท้จริงของตนเองไม่เจอ ไม่มีความเป็นมนุษย์ ไม่มีความเป็นธรรมชาติเดิมแท้ของตนเหลืออยู่เลย พวกเขาสับสนและไม่รู้จักตนเอง ไม่เข้าใจตนเอง ไม่ยอมรับตนเอง เหมือนพยายามไขว่คว้าและเป็นคนอื่นอยู่เสมอ หลายคนพยายามทำตัวเป็น "สิ่งศักดิสิทธิ์" เพื่อให้คนยอมรับก็มี เรียกว่า สูญเสียตัวตน หรือ Loss self ไม่เป็นตัวของตัวเอง ตรงกันข้ามกับพวกถืออัตตา พวกนั้นจะเป็นตัวของตัวเองมากจนเกินไป

    อนัตตาเป็นธรรมระดับสูง ไม่อาจแปลหรือเข้าใจได้ด้วยสมองครับ
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    มองเห็น "กรรม" อย่างเป็นกลางๆ


    ผู้มี "สัมมาทิฏฐิ" ย่อมมีความเห็นที่เป็นกลางต่อธรรมทั้งหลาย ไม่เอนเอียงไปด้วยอคติหรือฉันทาคติ ไม่มีบวกมีลบต่อธรรมใดๆ เห็นธรรมทั้งหลายเป็นธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดาๆ ดังนั้น จะไม่มองว่ากรรมดี ดีกว่ากรรมชั่ว หรือมองว่ากรรมชั่วไม่ดี อะไรเช่นนั้น แต่เขาจะมองว่ากรรมก็คือธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดาอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    วิบากกรรมดี
    วิบากกรรมดี เป็นธรรมะ ธรรมชาติอย่างหนึ่ง มีหน้าที่ตามธรรมชาติของมัน หากไม่มีวิบากกรรมดีแล้ว มนุษย์ก็ไม่สามารถดำรงชีพอยู่อย่างมนุษย์ตามปกติ ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นได้ ปกติแล้ว เทพจะจัดสรรผลบุญมาให้เราพอดี สำหรับการเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง ทว่า ยังมีคนบางคนที่มีบุญมาก หรือทำบุญไว้เยอะในอดีตชาติ ทำให้ได้เสวยผลบุญมากเป็นพิเศษ และบุญเหล่านี้ ทำให้ "หลงตัวเอง" ได้ บุญจึงอาจเป็น "มายาการ" ของโลกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราหลง เช่น ถ้าทำบุญด้วยธรรมะ อาจเกิดมามีธรรมะเยอะ มีปัญญามากจนหลงคิดไปว่าบรรลุธรรมแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ เป็นแค่ผลบุญเท่านั้น

    วิบากกรรมชั่ว
    วิบากกรรมชั่ว เป็นธรรมะ ธรรมชาติอย่างหนึ่งมีหน้าที่ตามธรรมชาติของมัน หากไม่มีวิบากกรรมชั่วแล้ว มนุษย์ก็จะไม่ตื่น จะหลงโลก จะหลงผลบุญ และจะไม่อาจแสวงหาทางหลุดพ้นได้ ปกติแล้ว เทพจะจัดสรรผลกรรมชั่วมาให้เรารับ และชดใช้ แต่พอดี สำหรับมนุษย์ในชาติหนึ่ง จะไม่หนักเกินไป ไม่น้อยเกินไป ทว่า บางคนปฏิบัติธรรมผิดทาง ไปเสวยผลกรรมชั่วมากไป ที่เรียกว่า "ทุกขกริยา" ก็มี อุปมาเหมือนเด็กที่เรียกร้องความสนใจ ทำร้ายตัวเอง ให้คนอื่นมาสนใจตนเองฉะนั้น พระสมณโคดมจึงสอนว่าอย่าไปทำเช่นนั้น บ้างก็หาวิธีหลีกเลี่ยงกรรมชั่วของตัวเอง ใช้วิชามารให้คนอื่นรับแทน อย่างนี้ก็ไม่ใช่นะ ทำให้เราหลงโลกไปใหญ่ ถลำลึกไปใหญ่ เกิดผลเสียมากอย่างไม่คาดคิด เพราะอาจทำให้เราหลงโลกจนไม่หลุดพ้นเลยก็ได้

    ดังนั้น พระอริยะจึงทำกรรมได้ แต่ท่านจะไม่ทำบาปแล้ว เพราะท่านเห็นกรรมเป็นของกลางๆ ของธรรมดาๆ และรู้ว่ามันมีหน้าที่ของมัน หากไม่มีกรรมเป็นเครื่องปรุงแต่งในการเวียนว่ายตายเกิด สัตว์ก็จะหลงโลก ไม่ตื่นแจ้ง หรืออาจจะดำรงอยู่ในโลกได้ยาก ไม่เหมาะสม เมื่อเห็นเช่นนี้ ท่านจะไม่กลัวกรรมจนเกินไปจนใช้ชีวิตไม่เป็นปกติ หรือใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไม่ได้ นั้น ไม่มี พระอริยะจะไม่เว่อร์อย่างนั้น จะมีชีวิตเป็นปกติเรียบง่าย ไม่ใช่ปฏิบัติเว่อร์ ไม่ทำกรรมจนเว่อร์

    กรรมนั้นทำได้ แต่มันจะทำอย่างพอดีเองเมื่อบุคคลบรรลุธรรมครับ
     
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    NWO สายพันธุ์ไทย (AWO) ที่ UN ต้องจับตามอง


    จริงๆ ชายไม่อยากเรียกว่า New world order หรอกครับ เพราะจะไปซ้ำซ้อนกับองค์กรระดับโลกที่เขามีอยู่แล้ว อีกประการองค์กรลับในไทยนี้ เขาไม่มีแนวคิดอะไรใหม่เลย มีแต่แนวคิดจะเอาของเก่ากลับมาใช้ ดังนั้น น่าจะเรียกว่า Ancient world order (AWO) น่าจะตรงกว่า ถามว่าคืออะไร? ก็คือ กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่คิดและวางแผนด้านการเมืองอยู่เบื้องหลัง เพื่อย้อนยุคกลับไปเหมือนอดีต ซึ่ง UN ได้แจ้งเตือนว่าพวกนี้ "เป็นอาชกรระดับโลก" ดังเช่นที่ก่อเหตุระเบิดในเจ็ดจังหวัดภาคใต้ ไม่ใช่ฝีมือของมุสลิม แต่เป็น AWO

    เป้าหมายของ Ancient world order (AWO)

    1 ทำให้โลกย้อนถอยหลังกลับไปเหมือนดังในอดีต
    2 ฟื้นฟูระบบชนชั้นวรรณะ, ศักดินาในอดีตให้กลับมา
    3 ฟื้นฟูศาสนาพราหมณ์ฮินดู ให้เป็นศาสนาของโลก
    4 สร้าง "กลียุค" ให้เกิดขึ้นเพื่อล้างบางขั้วอำนาจเก่า
    5 อยู่เบื้องหลังการเมืองของโลก เพื่อชักใยผู้นำต่างๆ

    วิธีการทำงานของ Ancient world order (AWO)

    1 ให้คำทำนายเพื่อชี้นำ บงการความคิดของผู้นำ
    2 ใช้ "สื่อ" ต่างๆ เป็นเครื่องมือเพื่อชี้นำ ปชช.
    3 สร้าง "สถานการณ์" ความไม่สงบเพื่อข่มขู่ผู้นำ
    4 "ลอบฆ่า" บุคคลสำคัญๆ เช่น พระสงฆ์อย่างแนบเนียน
    5 "ประกบ" ตัวบุคคลสำคัญๆ เช่น กษัตริย์ คอยคุมใกล้ชิด

    พวก AWO นี้ ทำงานคล้าย NWO มาก และแผ่อิทธิพลซึมลึกอยู่ในประเทศไทย และมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับรัฐบาลกัมพูชาอีกด้วย ลักษณะการทำงานเหมือนลอกเลียนแบบกันมาเลยทีเดียว แถมยังมีวิชาทางจิตที่คล้ายคลึงกันอีกด้วย แต่ไม่ใช่แบบต้นฉบับครับ เพราะของ NWO ของแท้ เขาจะมีลักษณะอีกแบบ ของพวก AWO คล้ายของเลียนแบบ ของก๊อปปี้ ซึ่งจะดูออกได้ ถ้าคุณเคยเรียน เคยฝึกมาทางพลังจิต อ้อ อย่าคิดว่าชายเพี้ยนนะ ต่างประเทศเขาเรียนกัน ฝึกกันจริงจังมาก แต่คุณอาจยังไปไม่ถึงจุดนั้นจึงยังไม่รู้ว่ามันมีอยู่ครับ

    ดังนั้น UN จึงประกาศว่าระเบิด 7 จว. นั้นเป็นอาชญากรรรมโลก!
     
  8. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    บรรลุธรรมแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นพระอรหันต์?


    การบรรลุธรรมเป็นเรื่องส่วนบุคคล (ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ) หากบรรลุธรรมเองแล้วไม่เชื่อมต่อสายธรรมใดเลย เรียกว่า พระปัจเจกฯ แต่ถ้าต่อสายธรรมจากพระสมณโคดม เรียกว่า พระอรหันต์ แล้วถ้าไม่ต่อสายธรรมจากพระสมณโคดมแต่ไปต่อสายอื่นๆ ละได้ไหม? คำตอบก็คือ "ได้" การบรรลุธรรมเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวกับการต่อสายธรรมใดๆ หรือสายธรรมไหน แต่เพื่อให้เราไม่เป็นพระปัจเจกผิดยุคสมัยเราจึงต้องต่อสายธรรมใดสายธรรมหนึ่ง เหมือนการยอมรับ "หัวโขน" สวมหัวโขนเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง ในกรณีที่ไม่ได้รับหัวโขน "พระอรหันต์" ก็สามารถรับหัวโขนอื่นๆ ได้เช่นกัน ถามว่า แล้วถ้าไม่เชื่อมต่อสายธรรมกับพระสมณโคดม จะเชื่อมต่อสายธรรมอะไรกับใครได้บ้าง? ก็ตอบว่าได้มากมายหลายสายเลย ในโลกนี้มีศาสนามากมาย ให้เราเชื่อมต่อสายธรรม เราจะเชื่อมต่อกับคริสต์, อิสลาม, พราหมณ์ฮินดู หรือเต๋าก็ได้ ได้ทั้งหมด หากเราเชื่อมต่อแล้ว จะไม่ต้องเป็นพระปัจเจกฯ คือ มีพรรคพวกทางธรรมแล้ว มิใช่บรรลุด้วยตัวเอง แล้วไม่ยอมรับสายบุญใดเลยก็หาไม่ (ซึ่งแบบนั้นจะกลายเป็นพระปัจเจกฯ ผิดยุค)

    ถ้าต่อสายธรรมอื่นจะเรียกว่าอะไร? ตอบไม่ยาก ต่อสายธรรมเต๋าก็เรียกว่า "เซียน" หรือผู้บรรลุเต๋า, ต่อสายธรรมพราหมณ์ฮินดูก็เรียกว่าผู้บรรลุโมกษะ หรือ "ความหลุดพ้น" ต่อสายธรรมคริสต์ก็เรียกว่าผู้บรรลุถึงอาณาจักรแห่งพระเจ้า หรือ "กลับคืนสู่พระเจ้า" ผ่านการกำเนิดใหม่, ผ่านการชำระบาปแล้ว นั่นเอง ทว่า หลายๆ ศาสนาเขาไม่ค่อยมีชื่อเรียกผู้บรรลุธรรมสักเท่าไร เพราะไม่จำเป็น เรียกไปจะกลายเป็นสร้างตัวตนใหม่ๆ แล้วสร้างความลุ่มหลงงมงายให้กับคนอื่นมากกว่า เหมือนอย่างที่ชาวพุทธลุ่มหลงพระอรหันต์อะไรเช่นนั้น หลายๆ ศาสนาจึงไม่ค่อยมีคำเรียกผู้บรรลุธรรม ทว่า ไม่ว่าศาสนาใดหรือไม่มีศาสนาใดเลย ก็สามารถบรรลุธรรมได้ เพราะสัจธรรมความจริงนี้ "เป็นสัจธรรมสากล" เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ขึ้นกับศาสนา และเป็นเรื่อง "ปัจจัตตัง" ที่ใครก็เข้าถึงได้ด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวกับใครหรืออะไร เหมือนดอกบัวบานแล้ว ก็แล้วแต่ว่าดอกบัวนั้นจะไปอยู่ในแจกันของใคร ได้รับแสงสว่างจากแหล่งไหน? ในพุทธศาสนานั้นก็ไม่มีการสอนหรือการบอกเรื่องสัจธรรม เพราะสัจธรรมนั้นสอนไม่ได้ บอกไม่ได้ อธิบายไม่ได้ เป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องเข้าถึง ตื่นแจ้งด้วยตัวของเขาเอง เมื่อเขาเข้าถึงแล้ว เป็นดอกบัวบานแล้ว ก็มาต่อเชื่อมสายธรรมเพื่อไม่ให้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งจะเป็นสายธรรมไหน ศาสนาอะไร ก็ได้ แล้วแต่บุญวาสนาของเขาผู้นั้น

    ซึ่งแต่ละสายธรรมจะมีวิถีการดำรงอยู่ในโลกหลังบรรลุ ต่างกันครับ
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    สงครามน้ำลาย (การใช้สื่อ) จะแทนที่สงครามจริงๆ ได้ไหม?​



    กรณีที่หนึ่ง "ไม่ได้"

    ไม่ได้ ในกรณีที่สงครามการใช้สื่อนั้น ไม่อาจนำไปสู่ "จุดจบ" ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการและอีกฝ่ายพ่ายแพ้และต้องยอมจำนนได้ ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากมันจะไม่ใช่จุดจบแล้ว มันจะอาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามที่แท้จริง ก็ได้ เหมือนคนทะเลาะกันด่าทอกันไปมา ในที่สุด ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทนไม่ไหวก็ควักปืนออกมายิงอีกฝ่ายน่ะละครับ ด้วยเหตุนี้ สงครามน้ำลายหรือการสื่อสารที่ฝ่าย "สลิ่ม" นิยมใช้อยู่นั้นจึงไม่อาจมาแทนที่สงครามที่แท้จริงได้เลย เพราะมันไม่ใช่ทำให้ใครไปถึงจุดจบที่ต้องการได้ มันไปไม่ถึงเป้าหมายสุดท้าย จุดหมายที่ใครต้องการได้ ไม่เหมือนการทำสงครามรูปแบบใหม่ของจีนที่ไปได้ถึงจุดหมายสุดท้าย เช่น กรณีที่จีนกลืนทิเบต และทิเบตก็ต้องยอมจำนนแก่จีน เป็นต้น แบบนั้นไม่มีการทำสงครามน้ำลาย ไม่มีการใช้การสื่อสารโจมตีกันแบบสงครามน้ำลายครับ ดังนั้น การทำสงครามน้ำลายที่ฝ่ายสลิ่มคิดว่าจะมาแทนที่สงครามจริงได้นั้น จึงไม่จริง หากไม่อาจนำไปสู่จุดจบ ไปสู่เป้าหมายสุดท้ายได้ นั่นเอง

    กรณีที่สอง "ได้"

    ได้ ในกรณีที่สงครามการใช้สื่อนั้น นำไปสู่ "จุดจบ" ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการและอีกฝ่ายพ่ายแพ้และต้องยอมจำนนได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากครับ แต่ถ้าหากเกิดขึ้นได้จริง โลกเราจะไม่จำเป็นต้องพึ่งพาในการทำสงครามรูปแบบเก่าๆ ที่เน้นอาวุธทำลายล้างกันอีกต่อไปแต่จะใช้ "การสื่อสาร" เป็นเครื่องมือ เปลี่ยนแปลงความคิด, จิตใจของอีกฝ่ายได้ ซึ่งจะนำสันติภาพมาสู่โลกได้มากกว่าการใช้สงครามในรูปแบบเก่าๆ ครับ และถามว่าโลกเราตอนนี้ พร้อมหรือไม่ที่จะใช้การสื่อสารเป็นเครื่องมือดังกล่าว? ตอบว่า "พร้อมเต็มที่" เลยครับ ด้วยศักยภาพของการสื่อสารแบบไร้สาย, ระบบอินเตอร์เน็ต ฯลฯ ที่ทำให้ ปชช. คนธรรมดาสามารถใช้เครื่องมือสื่อสารในการต่อสู้กับอริราชศัตรูได้ ดังเช่น กรณีที่คนจีนหักไอโฟนแล้วลงอินเตอร์เน็ต ก็เป็นการต่อสู้แบบหนึ่งในภาคประชาชนครับ ทว่า ฝ่ายอเมริกาอาจไม่สนใจ เฉยๆ กับการต่อสู้แบบนั้น แม้ ปชช. คนจีนจะบอยคอตสินค้าของอเมริกาก็ตามที ดังนั้น การทำให้การสื่อสารเป็นเครื่องมือใน "สงครามรูปแบบใหม่" นั้น จึงต้องนำไปสู่การครอบครองพื้นที่ การขยายอาณาเขต การเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆ ได้ด้วยครับ

    หลายคนต่อต้านสงครามรูปแบบใหม่ ทว่า ถ้าท่านต่อต้าน ท่านก็ไม่อาจหนีสงครามรูปแบบเก่าได้อยู่ดี สงครามไม่ใช่สิ่งที่ใครคนใดคนหนึ่งจะเริ่มต้นหรือทำให้มันจบได้ด้วยคนๆ เดียว แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากคนหลายคน หลายฝ่าย และจะจบได้ต้องหลายคนหลายฝ่ายเช่นกันครับ ไม่มีใครอ้างสันติภาพขึ้นมาลอยๆ เพียงคนๆ เดียวแล้วจะทำให้โลกนี้ไม่มีสงครามได้ ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ ชายคิดว่าคือการใช้เทคโนโลยีที่สอดคล้องกับ "ปัจจุบัน" ที่สุดในการทำสงคราม ซึ่งโลกของเรามีเทคโนโลยีก้าวล้ำนำหน้าไปไกลแล้ว การทำสงครามหากยังหลงยึดติดภาพสงครามแบบสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็จะกลายเป็น "ความล้าหลัง" ไป เราต้องมองให้เห็นภาพปัจจุบัน ที่มีเครื่องมือหลากหลายในการทำสงครามให้เลือกใช้ มากกว่าครับ

    สิ่งสำคัญของ New war คือ "การยึดครองโดยการสื่อสาร" ครับ
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การบรรลุธรรมในศาสนาต่างๆ


    การบรรลุธรรมไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด ส่งผลเหมือนกันอย่างหนึ่งคือ "หลุดพ้นจากความหลงโลก" เพราะแท้แล้วโลกธาตุที่เรามาอยู่นี้ยังไม่ใช่ต้นกำเนิดที่แท้จริงของเรา เรามาโลกธาตุนี้เพื่อทำภารกิจบางอย่าง เมื่อทำภารกิจจบแล้ว เราจะต้องหลุดพ้นออกจากโลกนี้ เพื่อกลับคืนสู่ต้นกำเนิดที่แท้จริงของเราให้ได้ ตรงนี้ ทุกศาสนาจะคล้ายกันคือ "ให้เราหลุดพ้นจากความหลงโลก" ทั้งสิ้นแม้จะมีรายละเอียดต่างกันบ้างก็ตาม ดังต่อไปนี้ครับ

    ศาสนาพุทธ
    การบรรลุธรรมในศาสนาพุทธคือ การบรรลุธรรมเรื่อง "นิพพาน" คือ ธรรมที่ไม่เกิดและไม่ดับ ซึ่งเป็นวิมุติธรรม เป็นสัจธรรมแท้ ทำให้เราหายหลงในสมมุติต่างๆ หายหลงโลก หายโง่ เมื่อมีปัญญาระดับขั้นนี้แล้ว เราก็สามารถเอาตัวเองรอดพ้นจากความหลงโลก และไม่ถูกมายาการแห่งโลกครอบงำ ผูกมัดเอาไว้ได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้น ในกึ่งกลางพุทธกาล จะมีเรื่อง "การตรัสรู้เป็นพุทธะ" ซึ่งเป็นภาวะเดิมแท้ของเราทุกคน ที่เราจะต้องกลับคืนสู่ "พุทธภาวะ" ทั้งสิ้น

    ศาสนาคริสตร์-อิสลาม
    การบรรลุธรรมในสองศาสนานี้เหมือนกันคือ การกลับคืนสู่พระเจ้า หรืออาณาจักรพระเจ้า ซึ่งก็ให้ผลเป็นความหลุดพ้นจากความหลงในโลกเช่นกัน ทั้งสองศาสนามีความเชื่อเรื่อง "การฟื้นคืนชีพ" จึงไม่เผาศพแต่จะฝังแทน ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อในศาสนาอียิปต์ ชาวอียิปต์จึงสร้างพีรามิดรักษาศพของฟาโรห์ไว้ ซึ่งแท้จริงก็คือ "การกำเนิดใหม่" นั่นเอง ตรงนี้ไม่ต่างจากพุทธศาสนา ที่พระสมณโคดมเองก็กำเนิดใหม่ จากการตายไปของเจ้าชายสิทธัตถะเช่นกัน

    ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
    การบรรลุธรรมในศาสนานี้คือ การบรรลุเรื่อง "โมกษะและการบรรลุปรมาตมัน" หรือการกลับคืนเป็นหนึ่งเดียวกับเทพเจ้า เนื่องจากเขาเชื่อกันว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของเทพเจ้าที่พระองค์แบ่งภาคออกมายังโลก (อาตมัน) เราจะต้องกลับไปสู่เทพเจ้า (ปรมาตมัน) เราจะสำเร็จ "พรหมมัน" ตรงนี้ต่างจากพุทธที่ของพุทธจะกลับคืนสู่พุทธภาวะแต่เหมือนกันคือจะต้องกลับคืนสู่สภาวะเดิมแท้ของเราครับ ซึ่งอยู่ๆ จะเป็นพุทธะเลยอาจจะไม่ได้ ต้องค่อยๆ ย้อนถอยกลับไปทีละขั้นครับ

    ศาสนาเต๋า
    การบรรลุธรรมในศาสนานี้คือ การบรรลุเรื่อง "เต๋า" หรือการบรรลุเซียน ซึ่งเต๋าก็คือสัจธรรมที่พ้นแล้วจากธรรมคู่ตรงข้าม (หยินหยาง) เป็นสัจธรรมแท้ไม่ต่างจากศาสนาอื่นๆ ทำให้ไม่หลงในสมมุติใดๆ ในโลกอีก หลายคนชอบไปแปลเต๋าว่าเป็นความว่าง ไม่ใช่นะครับ ความว่างเป็นธรรมคู่ตรงข้ามกับความมี ปรากฎในคัมภีร์เต๋าเต็กเก็ง ระบุไว้ชัดเจนว่า "ว่างก่อเกิดมี และมีก็ก่อเกิดว่าง" ความมีกับความว่าง เป็นธรรมคู่ตรงข้ามกันครับ ไม่ใช่เต๋าซึ่งพ้นแล้วจากธรรมคู่ครับ

    ศาสนาต่างๆ มีความแตกต่างกันบ้างก็เพียงรายละเอียดเท่านั้นครับ
     
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    "แจ๊ค หม่า" กับกลยุทธ์รุกคืบทางเศรษฐกิจของจีน​



    วันนี้ ชายได้โอกาสเหมาะๆ จะมาเล่าเรื่องราวของแจ๊ค หม่าให้ฟังกันครับ เอาง่ายๆ ว่า รัฐบาลจีนได้ซื้อตัวเขามานานแล้ว แล้ววางตัวให้เขาเป็น "Socialist economic model" เขาจะต้องทำงานเป็นตัวหมากของระบบเศรษฐกิจจีน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าของระบบเศรษฐกิจ แลกกับการที่รัฐบาลจีนจะปั้นให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของจีนครับ พูดง่ายๆ คือ เขาไม่ได้เก่งเองจนทำธุรกิจ จนสำเร็จมาได้อย่างที่เราเห็นผ่านสื่อต่างๆ นั่นหรอกครับ

    ... ทั้งหมดคือ "ละคร" ที่จีนทำขึ้นเพื่อต่อสู้กับฝั่ง ปชต. ...​


    โดยมี "แจ๊ค หม่า" เป็นหุ่นเชิด แสดงเป็นพระเอกในเรื่องนี้ เนื้อเรื่องวางไว้ว่า แจ๊ค หม่า คือตัวแทนของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมที่ใครๆ จะต้องอิจฉา และอยากได้ อยากมี อยากเป็น ตามแบบนี้ ก็จะต้องเดินตามแบบนี้ ในขณะเดียวกัน จีนก็จ้องทำลายระบบเศรษฐกิจของฝั่งทุนนิยมครับ ซึ่งฝ่าย ปชต. เองก็อาจปล่อยให้ทำอยู่แล้วด้วยพร้อมที่จะทำสงคราม set zero อยู่พอดี ปล่อยให้จีนลงมือทำก่อนก็ค่อยตอบโต้ได้อย่าง "โดยชอบธรรม" อย่างไรละครับ เห็นไหม? นี่ละโลก มายาการทั้งนั้น ละครตบตาเราทั้งนั้น หลอกลวงเราทั้งนั้น ให้เราเห็นอะไรมากมาย ให้หลงใหลเคลิ้บเคลิ้มตามไป แต่ทุกอย่างมันล้วนมี "เบื้องหน้า เบื้องหลัง" ทั้งสิ้น เบื้องหน้า แจ๊ค หม่า ก็คือหุ่นเชิดเหมือนทักษิณนี่ละฮะ แต่หุ่นเชิดตัวนี้ไม่ได้อยู่ในฐานะนายกเท่านั้นเอง เมื่อเราดูการกระทำของแจ๊ค หม่า เราจะอ่านเกมของจีนได้ทั้งหมดครับ แต่การอ่านเกมแบบนี้ "มันสายไปแล้วนะครับ" ด้วยเพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นไปหมดแล้ว เราจะไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก แต่เราอาจหาทางตอบโต้ได้ หรือรับมือกับเขาได้บ้างนิดหน่อยครับ

    เกมนี้ สรุปได้ง่ายมาก คือ จีนจ้องเล่นงานระบบเศรษฐกิจทุนนิยมในขณะเดียวกันก็เสนอ "ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม" ขึ้นมาแทนที่ โดยเอา "แจ๊ค หม่า" มาเป็นหุ่นเชิด มาเดินเรื่อง มาแสดงละครให้คนในโลกดูกัน ทำให้ดูว่าเขาประสบความสำเร็จมากมาย ใครๆ ล้วนอยากจะเป็นอย่างเขา ในขณะเดียวกันก็เผยแพร่แนวคิดสังคมนิยมไปด้วย เช่น แจ๊ค หม่า ออกมาพูดว่าการรวยมากๆ ไม่ได้มีความสุขเท่ากับคนที่มีฐานะปานกลาง เป็นต้น ซึ่งตรงนี้จะขัดแย้งกับทุนนิยมที่มุ่งหมายไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด เกมนี้ดูออกไม่ยากทว่า ฝ่ายทุนนิยมก็ไม่มีมาตรการรับมือที่ชัดเจนครับ ลองคิดดู ถ้าระบบทุนนิยมล่มลง แล้วใช้ set zero เพื่อเริ่มต้นใหม่ ชาวโลกจะยอมรับหรือ? ในเมื่อมันเห็นถึงความล่มสลายของตัวระบบแล้ว ใครกันที่อยากจะเอาระบบที่ล่มสลายนั้นมาใช้อีก? หลัง set zero แล้ว ชาวโลกก็เข็ดขยาดกับระบบทุนนิยมแล้วครับ ทุกคนอยากได้ระบบใหม่ ใครๆ ก็หันไปหาจีน เรียกร้องระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมที่นำเสนอโดยแจ๊ค หม่ากันทั้งนั้น ตราบใดที่ฝั่ง ปชต. ยังไม่อาจนำเสนอระบบที่ดีกว่านี้ได้ มันก็จะไม่มี "ตัวหมากตัวใด" จะไปต่อสู้กับ "แจ๊ค หม่า" ได้เลยละครับ

    ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ฝั่งทุนนิยมจะนำเสนอ "New economy" ครับ!
     
  12. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ชาวศรีวิไลซ์ในตำนาน


    ชาวศรีวิไลซ์ในตำนาน คือ คนรุ่นใหม่ที่มีบุญบารมีสร้างมาดีแต่กาลก่อน ทำให้จะได้มาเกิดเป็นคนรุ่นต่อจาก "ยุคถิ่นกาขาว" พวกเขาจะมีลักษณะแตกต่างจากคนยุคก่อนชัดเจน มีความทันสมัย ไม่ล้าหลัง ไม่ยึดติดกับอดีต ไม่หลงในการปกครองแบบโบราณ จึง "ศรีวิไลซ์" นอกจากนี้ พวกเขายังไม่ชอบการหลอกลวง และไม่นิยมธรรมะแบบเดิมที่เป็น "อุบายธรรม" อีกด้วย เพราะธรรมที่เหมาะสมกับพวกเขานี้ จะเป็น "อุบายที่ไร้อุบาย" เรียกว่า "สัทธรรม" ตามสัทธรรมปุณฑริกสูตร พวกเขาเกิดมาเพื่อรับธรรมนี้ ธรรมนี้จะเปิดเผยในช่วงกึ่งกลางพุทธกาล พวกเขาจึงเป็นผู้ที่ถูกธรรมชาติจัดสรรแล้วให้มารับธรรมนี้ ชาวศรีวิไลซ์มีบุญบารมีทำมาดีแต่กาลก่อน เช่น เคยพลีชีพเพื่อชาติ ทำสงครามเพื่อเอกราช เพื่อปลดแอกมาก่อน ทำให้พวกเขามีจิตรักอิสระ ไม่ชอบอยู่ใต้การบังคับบัญชาของใคร พวกเขาจึงไม่ชอบการทำงานแบบ "เจ้านาย-ลูกน้อง" เหมือนคนยุคก่อนๆ พวกเขามีความใสซื่อ เป็นคนซื่อพูดอะไรตรงไปตรงมาเพราะไม่ชอบการหลอกลวง ไม่นิยมวาจาไพเราะหรือคำหวานยกยอปอปั้นที่เต็มไปด้วยความไม่จริงใจ แต่รับได้กับคำหยาบเถื่อน ป่าเถื่อนที่เต็มไปด้วยความจริงใจ

    "ธรรมบัวบาน" จึงเป็นธรรมะที่เหมาะสมและถูกจริตกับพวกเขามาก สำหรับท่านที่ไม่นิยมธรรมนี้ อาจเป็นเพราะไม่ใช่ชาวศรีวิไลซ์ดังนั้น ท่านจึงนิยมธรรมะที่แตกต่างกันออกไปตามจริต ธรรมบัวบานเป็นธรรมะที่ไม่มีอุบาย แต่เป็นสัทธรรม หรือธรรมอัศจรรย์ ทำให้เกิดผลจริงได้อย่างน่าอัศจรรย์ เช่น การฝึกจิต สมาธิ, สติ, ปัญญา สามารถฝึกได้ในชีวิตจริง ขณะทำงาน ไม่จำเป็นต้องลาออกจากงานแล้วไปบวชหรือทำสมาธิในป่าเขาอะไร แม้ในชีวิตจริงที่ทำงานอยู่สามารถพิสูจน์ความอัศจรรย์ของธรรมนี้ได้ ชาวศรีวิไลซ์จะปรากฎในรูปของ "ลูกเทวดา" เพราะมีบุญมาเกิด เอาบุญมาให้พ่อแม่ก่อน พวกเขาจะไม่ค่อยสนใจทำงานอะไร เพราะงานที่พวกเขาทำยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยบารมี 30 ทัศมาแล้วคือ "พลีชีพเพื่อชาติ" ดังนั้น จึงไม่สนใจงานอื่นๆ อีกในขณะที่พ่อแม่หรือคนรุ่นก่อนๆ สร้างบารมีมาน้อยกว่า พวกเขาจึงต้องรอด้วยการไม่ทำอะไร (กระทำโดยไม่กระทำ) เพื่อให้คนรุ่นก่อนๆ ได้บุญบารมีมากพอที่จะตามพวกเขาได้ทัน และเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาเป็น คนรุ่นก่อนจะไม่เข้าใจชาวศรีวิไลซ์ เพราะไม่ใช่ชาวศรีวิไลซ์ ชาวศรีวิไลซ์จะเบื่อโลกตั้งแต่เกิดไม่อยากอะไรในโลกได้ง่ายมากถึงขั้นสามารถฆ่าตัวตายได้ง่ายๆ โดยไม่กลัวความตาย เพราะอดีตชาติเคยผ่านความตายในสนามรบมาแล้ว พวกเขาจึงหาสิ่งเสพติด หรือสิ่งที่ตนเองสนใจเพื่อเสพ เพื่อให้อยากอยู่ในโลกได้ต่อไป เช่น ยาเสพติด, เกม, มือถือ, เน็ต ฯลฯ ทว่า สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เปลือกนอกของพวกเขาเท่านั้น เพราะแก่นแท้ภายในนั้นใสบริสุทธิ์

    พวกเขามีเปลือกนอกที่ดูไม่ดี เมื่อถึงเวลาจึงเปิดเผยสิ่งที่ดีภายใน!
     
  13. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    "รัฐศักดินา" ที่กำลังจะถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก​



    ประเทศไทยถูกยึดครองโดยคนกลุ่มหนึ่งพวกเขากำลังสร้างประเทศให้ย้อนถอยหลังกลับไปเป็น "รัฐศักดินา" ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่ล้าหลังและไม่มีใครเอาด้วยแล้วในโลกนี้ เมื่อก่อนประเทศไทยยังมีอเมริกา มีโลก ปชต. หนุน แต่อีกไม่นาน จะไม่เหลือใครอีกแล้ว จะถูกโดดเดี่ยวท่ามกลางสังคมโลก โลกมีสองขั้วอำนาจใหญ่ ฝ่ายจีนก็จะไม่หนุนรัฐศักดินาแต่จะหนุน "ตู่ให้เป็นเผด็จการทหาร" ต่อไป ก็จะส่งผลกระทบต่อการสร้างรัฐศักดินาทันที เพราะตู่จะใช้ ม. 44 เข้ามาแทน รธน. ฉบับใหม่และอาจไม่มีการเลือกตั้งอย่างที่หลายคนรอคอยก็ได้ เพราะจีนจะยังคงหนุนตู่ให้มีอำนาจอยู่ต่อไป และสกัดกั้นไม่ให้รัฐศักดินาเกิดขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันรัฐศักดินาก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากฝั่ง ปชต. อีกด้วย เมื่อไม่มีแรงหนุนจากฝ่ายใดเลย รัฐศักดินานี้จึงถูกโดดเดี่ยว และถูกตีกระหนาบพร้อมกันจากสองฝั่งฝ่าย จีนจะเล่นงานรัฐศักดินาโดยใช้ตู่เป็นเครื่องมือให้จัดการภายใน ฝ่าย ปชต. จะใช้เครื่องมือระดับสากล องค์กรสากลต่างๆ เพื่อบีบคั้นจากภายนอก เช่นดังที่เคยเกิดปัญหาเรื่องสินค้าประมงมาแล้ว และจะยิ่งหนักขึ้นต่อไป เมื่อ UN ประกาศว่าระเบิด 7 จังหวัดภาคใต้นั้นเป็น "อาชญากรรมของโลก" นั่นหมายถึง เขาไม่ยอมรับรัฐศักดินาอย่างแน่นอน แม้แต่สถาบันกษัตริย์ของอังกฤษยังเลือก ปชต. หนุนตัวเอง แต่ไทยกล้าดีอย่างไรจึงเลือกที่จะเป็นศัตรูของทั้งสองฝ่าย?

    "รัฐศักดินา" ของไทยจึงกลายเป็นกลยุทธ์ที่ผิดพลาดอย่างยิ่งยวดแต่แรก เป็นการบีบตัวเองให้เข้าตาจน และโดดเดี่ยวตัวเองให้ไม่มี ไม่ได้รับการยอมรับ และการสนับสนุนจากใครในโลกเลย หากยังคงหลงคำยกยอปอปั้นของพวกเดียวกันอยู่แต่เพียงว่า "เราเป็นไทยเรามีเอกลักษณ์ของเรา เราไม่เห็นต้องเหมือนใครเลย" ก็จะกลายเป็นรัฐศักดินาที่ชาวโลกเขาไม่มีใครเอา ไม่มีใครสนับสนุน และกลายเป็น "กาฝาก" จากยุคสมัยแห่งความล้าหลัง ที่ไม่ดูโลกปัจจุบันว่าเขาไปกันถึงไหนแล้ว กาฝากตัวนี้ยังพยายามโกหกหลอกลวงและสร้างความชอบธรรมให้ตนเองต่อไป ด้วยการ "ย้อมทาเปลือกนอกเป็นสีขาว" (กาขาว) เช่น การหลอกลวงประชาชนว่าจะนำ รธน. มาปราบคอรัปชั่น แต่กลับไม่เคยปราบคอรัปชั่นกับพวกของตัวเอง แม้ชายหมูจะทำผิดอย่างชัดเจน ก็ไม่เคยทำอะไร จนกระทั่งตู่ต้องใช้ ม. 44 ลงมาจัดการ เห็นได้ชัดว่าเป็น "กาขาว" โดยแท้ ไม่มีความจริง มีแต่การหลอกลวงไปวันๆ นอกจากนี้ ยังสร้างเรื่องหลอกลวงอีกว่าจะเอาตู่เป็นนายกต่อไป อ้าว ตลกนะคุณ ตู่ก็เป็นนายกอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรให้มันยุ่งยาก คือ ไม่ต้องทำอะไรเลย ตู่ก็เป็นอยู่แล้ว แล้วจะต้องมาร่าง รธน. ใหม่ทำไม จะต้องมาเลือกตั้งกันอีกทำไม? นี่ละ เห็นได้ชัดว่าโกหก หลอกลวงไปวันๆ เป็นการสร้างประเทศจากความหลอกลวงและมายาการทั้งสิ้น ไม่มีความน่าเชื่อถือใดๆ เลย

    สุดท้าย รัฐศักดินาก็จะถูกทะลวงในและบีบจากภายนอกแน่นอนครับ
     
  14. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    อ่านแล้วโดนจริตมากครับ.
     
  15. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    คนดีไม่หลุดพ้น คนไม่มีอะไรดีจะหลุดพ้น?


    ยุคนี้คนดีจะไม่หลุดพ้นครับ เพราะความดีนั่นแหละเป็นพันธนาการให้เราต้องเป็นนั่น เป็นนี่ เป็นคนดีอย่างที่ใครๆ คาดหวัง บางคนต้องไปนั่งเป็นพระอรหันต์ให้ใครเขากราบไหว้ ไปๆ มาๆ ทั้งเขาและใครๆ ก็ไม่หลุดพ้นกันไปหมด พัวพันกันยุ่งเหยิงไปใหญ่เพราะการต้องเป็น "คนดี" นี่แหละ มันผูกพันธนาการเรา ทำให้เราไม่มีอิสระ ไม่เป็นตัวของตัวเอง (แต่บางคนพอมีอิสระเป็นตัวของตัวเองมากไป จะกลายเป็นพระปัจเจกฯ เอาได้ง่ายๆ เหมือนกัน ดังนี้ จึงไม่ควรมีอิสระเกิน) ดังคำกล่าวของคนบางคนที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งว่า "กล้าที่จะถูกเกลียด" อย่างไรละครับ เพราะนั่นอาจเป็นทางที่ทำให้เราหลุดพ้นจากพันธนาการของคำว่า คนดี ของใครๆ อย่างที่ใครๆ ต้องการและคาดหวัง เราเป็นเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีของใครเขา

    คนไม่มีอะไรดีจะหลุดพ้น เพราะว่าไม่มีอะไรดี จึงไม่มีอะไรให้ใครอยากได้ อยากผูกมัด อยากพันธนาการ เมื่อไม่มีอะไรอยากให้เขาผูกมัด เขาก็ไม่เอาเรา ไปสมัครงานเขาก็ไม่เอาเรา ไปจีบใครเขาก็ไม่เอาเรา นี่เรียกว่า "หลุดพ้น" เขาไม่เอาเราเอง เราไม่ได้ปฏิเสธเขา ที่นี้พอเราหลุดพ้นจากการล่า "คนดี" ของใครๆ ทั้งหลายแล้ว เราก็ต้อง "หลุดพ้นตัวเราเอง" ให้ได้ด้วย ตัวเราเองอาจเสื่อมต่ำไป จนไม่มีใครเขาอยากได้ จนตัวเองก็ไม่หลุดพ้นก็ได้ ดังนั้น เรายังจะต้องพัฒนาตัวเอง ยกระดับจิตวิญญาณของเราเองให้สูงขึ้นพอที่จะหลุดพ้นจากโลกนี้ให้ได้ด้วย เมื่อเราทำได้ เราจะมีดีในตัว คนจะเริ่มอยากได้เราอีก คนจะเริ่มสนใจมองเห็นสิ่งดีๆ ในตัวเราอีก เราก็ต้อง หาวิธีให้ตัวเองหลุดพ้นออกมาจากการล่าคนดีของใครบางคนให้ได้

    จงทำตัวให้เหมือนหยดน้ำบนใบบัว อยู่ในโลกแต่ไม่ติดในโลก ด้วยคนติดดี จะถูกดีผูกมัด คนไม่มีดี จะไม่มีอะไรช่วยตัวเองให้หลุดพ้นได้ เราต้องมีดีในตัว แต่อย่าให้ติดดี อย่าให้ดีผูกมัดเราได้ มีดีแล้วก็อย่าให้ใครเห็นง่ายเกินไป เหมือนคนรูปร่างดี ถ้าแก้ผ้าโชว์เขาไปทั่ว มันก็ไม่ดี ใช่หรือไม่? แต่ถ้ารู้จักปิดบังไว้ รู้จักเก็บซ่อนของดีไว้ ก็จะได้คู่ครองที่ดีได้ จริงไหม? เช่นกัน คนเราต้องมีดีในตัว ต้องพัฒนาตัวเราให้ดี แล้วอย่าเอาดีไปอวดใครเขามาก ในโลกนี้มีคนที่เหมือนเสืออยู่ ล่าคนอื่นเป็นเหยื่ออยู่ เรามีดี เขาก็อยากได้ เขาก็ล่าเรา ทีนี้ เราก็ตกเป็นเหยื่อของเขาโดยไม่รู้ตัว เขาเอาความดี ความเป็นคนดีของเรา มาผูกมัดเราเองนี่แหละ ทำให้เราไม่มีอิสระ และต้องเป็นไปอย่างที่เขาบงการ ต้องการให้เราเป็น นี่หละ ที่ว่า "คนดีไม่หลุดพ้น"

    ถ้าแค่ "ความหลุดพ้น" ยังไม่ได้ก็ไม่ต้องไปพูดถึงนิพพานอะไรแล้ว!
     
  16. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ปชต. แบบ Hong Kong Model​



    ชัยชนะในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติฮ่องกงของแกนนำกลุ่มนักศึกษา “ขบวนการร่ม” หลายคน คือ ตัวอย่างของโมเดลใหม่ ที่ฝ่าย ปชต. อาจนำมาใช้กับภูมิภาคเอเชียต่อไปครับ หากความสำเร็จที่นี่เป็นไปได้จริง มันก็จะถูกนำไปขยายผลกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียได้ด้วย และปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่าเบื้องหลังความสำเร็จนี้จะต้องมีอเมริกาอยู่ด้วยแน่ๆ เยาวชนเหล่านี้อายุยังไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำ แต่ชนะการเลือกตั้งในฮ่องกงได้ ทั้งๆ ที่อิทธิพลของจีนครอบงำฮ่องกงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างแรกเราต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าฮ่องกงตอนนี้ ไม่ได้มีฐานะเป็นประเทศอิสระของตัวเอง แต่เป็นส่วนหนึ่งของจีน และน้องๆ เยาวชนนักศึกษาเหล่านี้ก็ไม่น่าจะมีพลังมากพอด้วยตัวของเขาเองจริงๆ เบื้องหน้าคือละครที่มีน้องๆเป็นผู้เล่นแต่เบื้องหลังเชื่อว่าอเมริกาต้องหนุนแน่นอนครับ ไม่เช่นนั้น คงไม่ประสบความสำเร็จมาถึงจุดนี้ได้ ชายก็ยินดีกับความสำเร็จของพวกเขาด้วยครับ

    กลับมาดูที่ภูมิภาคเอเชียของเรา ที่หลายๆ ประเทศที่เคยเป็น ปชต. กำลังเปลี่ยนขั้วไปเข้าข้างฝ่ายจีนกันเกือบหมดแล้ว กว่าโอบาม่าจะมาเยือนภูมิภาคนี้ได้ จีนก็แผ่ขยายอิทธิพลซึมลึกไปถึงระดับไหนแล้วก็ไม่รู้ ชายว่าโอบาม่านิ่งนอนใจในภูมิภาคนี้มากเกินไป และไม่ทำอะไรให้ทันเหตุการณ์ จึงตอบโต้อิทธิพลของจีนไม่ได้ทันท่วงที แน่นอนว่าชายไม่ได้หนุนให้โอบาม่าทำสงครามในภูมิภาคนี้ แต่ก็น่าจะมีมาตรการใดๆ ทำเสียก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว ไม่ควรปล่อยให้เสียอาณาเขตไปจนถึงขั้น "ฟิลิปปินส์" ยังด่าโอบาม่าอย่างรุนแรงได้ นั้นไม่ควรเลย เพราะที่นั่นเป็นฐานทัพสำคัญของเขาทีเดียว การที่เขาชะล่าใจ ประมาทศัตรูเกินไป เพราะคิดว่ายังไงเสียฟิลิปปินส์ก็เป็นของเขาแน่นอนนั้น เป็นความประมาทอย่างยิ่ง และทำให้ต้องกลับไปทบทวนใหม่เพื่อปรับแผนสำหรับภูมิภาคเอเชียให้ดีกว่านี้ครับ ซึ่งชายคิดว่า "Hong Kong Model" น่าจะเป็นทางออกใหม่ได้ครับ

    ประเทศไทยเองเราก็ต้องการคนอย่างกลุ่มเยาวชนของฮ่องกงเช่นกัน เราต้องการคนรุ่นใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ ไม่หลงวนอยู่ในวังวนเดิม ทว่า น้องๆ เยาวชนของเราได้รับการถ่ายทอดวิทยายุทธจากคนรุ่นก่อน ทำให้มีแนวคิดแบบคนรุ่นก่อน ยังกะ นศ. ยุคพฤษภาทมิฬฟื้นคืนชีพขึ้นมาเลย ชายว่ามันไม่ใช่แล้วละครับ เราต้องดู นศ. ฮ่องกงเป็นตัวอย่าง ดูสิว่าเขาต่อสู้อย่างไร? เขาไม่ทำให้ประเทศเสียหาย ไม่ได้รับผลกระทบ เขาต่อสู้ในเวทีการเลือกตั้ง และเขาก็ต่อสู้จนได้รับชัยชนะได้ เห็นไหม? การต่อสู้แบบเก่าๆ เหมือนยุคพฤษภาทมิฬ มันเป็นสิ่งที่ล้าหลังไปแล้ว เราคนยุคใหม่ ไม่ควรไปสืบทอดทายาทอสูร ทายาทปอบอะไรจากคนยุคเก่าเช่นนั้น เราควรคิดเอง และหาทางออกใหม่ๆ ให้กับประเทศชาติบ้านเมืองอย่างฮ่องกงบ้างครับ

    ที่ชายไม่ค่อยชม นศ. ไทย เพราะพวกเขายังถูกครอบงำชี้นำอยู่ครับ
     
  17. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    โดนจริตอีกแล้วครับ.
     
  18. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ผมมีปัญหากับผุ้หญิงสมัยนี้ครับ เลยหาแฟนยาก 555++
    ถ้าหามาผสมพันธ์ุหาไม่ยากเลยคับ แต่ถ้าหามาเคียงข้างใจ
    หายากมากเลยสำหรับผม ฮ่า
    (ผมเป็นคนเงื่อนไขเยอะฮะ..
    เลยอยากได้นางเสริมสร้างบารมีมากกว่า):VO
     
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ความพยายามในทางธรรม ต่างจากทางโลกอย่างไร?


    ความพยายามในทางธรรมนั้นต่างจากทางโลกสิ้นเชิง ยิ่งพยายามเหมือนยิ่งขี้เกียจ เหมือนไม่ทำอะไรเลย คนทางโลกเห็นเราเข้าเขาจะบอกว่าเราขี้เกียจ แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ เรามีความพยายามในการที่จะไม่ก่อกรรมต่างหาก เราจึงพยายามที่จะไม่ทำอะไรเลย ไม่คิดอะไรเลย ชาวโลกเขาเห็นเราไม่ทำอะไรเลย ไม่คิดอะไรเลย ก็คิดว่าเราขี้เกียจไป นี่คือ ความพยายามในทางธรรม เป็นความพยายามในการจะไม่ทำกรรม ไม่ปรุงแต่งอะไรใดๆ เพื่อให้สภาวธรรมนั้นเกิดขึ้นอย่างบริสุทธิ์ ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยกรรมของเรา บางคนพอทุกข์เกิดขึ้นปั้บ เขาทนไม่ได้ เขาจะปรุงแต่งด้วยมโนกรรม คือ นึกคิดเชิงบวกไปทันทีก็มี แบบนี้ เขาหลอกตัวเองใช่ไหม? ทุกข์ที่เกิดขึ้นมันก็ถูกปรุงแต่งปิดทับไปด้วย "ความสุขทางโลก" กดทับซ่อนไว้ทันที ดูภายนอกเขาเป็นคนไม่ทุกข์ร้อนอะไร หัวเราะร่าเริงมีความสุข แต่ว่านี่ไม่ใช่สภาวธรรมที่บริสุทธิ์ เพราะเป็นแค่สุขทางโลก ที่ปรุงแต่งขึ้นเพื่อหลอกตัวเอง กดทับความทุกข์ ปิดบังความทุกข์เอาไว้ภายใน

    เพราะความพยายามในทางโลกนั้น ยิ่งพยายาม ก็ยิ่งมีกรรม จริงมั้ย เช่น เราพยายามจะตัดกิเลสแบบปุถุชน เราก็ยิ่งสร้างกรรมไปตัดมันมากขึ้น มันก็ยิ่งเป็นกรรมมากขึ้น มันจะเห็นธรรมะ ธรรมชาติไหม? ไม่เลย มันมีแต่กรรมล้วนๆ กรรมที่เราพยายามตัด, พยายามละวาง, พยายามปล่อยวาง, พยายามดับสนิท ฯลฯ อะไรของมัน มีแต่กรรมที่เราสร้างขึ้นมาทั้งนั้น ปรุงแต่งด้วยกรรมของเราทั้งนั้น กรรมที่เราทำขึ้นมามันก็เกิดขึ้นมากลบเกลื่อน ปิดทับธรรมะ ธรรมชาติเดิมแท้ไปหมด มันจะใสได้อีกไหม? ไม่ใสแล้ว มันถูกปรุงแต่งไปด้วยกรรมละ มันจะใสบริสุทธิ์อีกได้อย่างไร? นี่คือ ความพยายามทางโลกแบบปุถุชน ต้องให้มันถึงที่สุดก่อน ต้องให้มันดับสนิทลงก่อน ความพยายามในทางธรรม มันจึงจะเกิดได้ ความพยายามที่ถูกต้องตรงทาง คือ ความพยายามที่ทำให้สภาวธรรมปรากฏอย่างบริสุทธิ์ ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยอะไรใดๆ จึงจะเกิดขึ้นได้ นั่นต้องให้ความพยายามในทางโลก "ดับสนิท" ลงเสียก่อน เหมือนเจอทางตันไปต่อไม่ได้แล้ว ทุกอย่างจบ ทุกอย่างดับสนิทหมดแล้ว ทำอะไรต่อไปอีกไม่ได้แล้ว พอความพยายามในทางโลกดับสนิทหมดแล้ว ความพยายามในทางธรรมก็จะเกิดละ ตรงนี้เอง สภาวธรรมจะเกิดอย่างใสบริสุทธิ์

    เมื่อสภาวธรรมเกิดขึ้นอย่างใสบริสุทธิ์ไม่ถูกปรุงแต่ง จะเป็นธรรมใดใน 84,000 พระธรรมขันธ์ก็ได้ เราเกิดสติเท่าทัน (สตินี้เกิดต่อจากวิริยะ) เราก็จะเห็น "ธรรมในธรรม" ไม่ได้เห็นธรรมแต่เปลือกนอก มิได้ลูบคลำธรรมะแต่เพียงผิวเปลือก จนถึงขั้น "แจ้งแทงตลอด" ในธรรมนั้นๆ เราก็จะบรรลุธรรมได้ เมื่อแทงทะลุถึงแก่นแท้ของธรรมใดธรรมหนึ่งได้ มันจะได้ธรรมตัวต่อมาด้วยตามๆ กัน เช่น ได้ทุกขสัจ ก็จะได้สมุทัยสัจ ได้นิโรธสัจ ได้มรรคสัจ ตามมาเป็นลำดับกันเลย แต่ต้องได้สักตัวหนึ่งก่อนอย่างแท้จริงนะ เหมือนคนตาบอดคลำช้าง คลำเจอช้างตรงไหนก็ช่าง เจอหนึ่งที่แล้ว ต้องคลำต่อไปอีก ก็จะเจอไปอีกเรื่อยๆ จนถ้วนทั่ว ก็จะ "แจ้งแทงตลอดในธรรม" ได้ คือ เราแจ้ง เราแทงถึงแก่นแท้แล้ว แต่จะต้องให้มันตลอดถึงที่สุดแห่งธรรมนั้นๆ ด้วย แล้วมันจะได้ครบชุดของมันเลย เช่น อริยสัจสี่ นั้นก็จะได้ครบสี่ตัว ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค ซึ่งจะเป็นสภาวธรรมที่เราเข้าถึงเอง เกิดขึ้นเอง มิใช่เป็นความจำได้หมายรู้ (สัญญาขันธ์) ที่เกิดจากการที่เราไปอ่านตำราที่ไหนมา ไปนั่งฟังเทศนาที่ไหนมานะ ทุกอย่างเกิดขึ้นจากธรรมะ ธรรมชาติจริงๆ ไม่ได้เกิดจากความจำ ความเข้าใจ ความรู้สึกนึกคิด หรือจินตนาการไปเองอะไรใดๆ เลย

    เมื่อสภาวธรรมเกิดขึ้นอย่างใสบริสุทธิ์ สติก็จะแทงตลอดต่อไปเอง!
     
  20. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ยินดีด้วยครับผม:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...