ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ยกตัวอย่าง พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานไฟฟ้า....โหกฏหมายกีดกัน ภาษีแพงลิบ. ราคาแพงลิบ.เพราะอะไร ก็ กลุ่มพ่อค้านายทุนของนักการเมือง มันฟันกำไร จากน้ำมันอยู่ไง...มันไม่ยอมให้ พลังงานอื่น มาทดแทนได้หรอก....แล้วใครล่ะจะกวาดล้าง พวกชั่วๆเหล่านี้ได้

สมมุติ เป็นโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานไฟฟ้า ของโครงการพระราชดำริ..นักการเมือง พ่อค้านายทุนที่ไหน มันจะมากีดกันได้...นึกดูเอาแล้วกัน...ราคาถูก กว่าน้ำมัน ...มันย่อมเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับ ประชาชน ถ่วงดึงราคาน้ำมัน แน่นอน..รถยนต์ก็จะได้ไม่ปล่อยมลพิษ

 

โครงการ ป่า..ในพระราชดำริ..ใครกล้าตัด
โครงการน้ำกิน น้ำใช้ ในพระราชดำริ ใครกล้าเอาไปขาย
โครงการเพื่อส่วนรวมของพี่น้องประชาชนในพระราชดำริ นักการเมืองท้องถิ่น ข้าราชการท้อวถิ่นที่ไหนกล้าฮุบ เอามาทำ สค โฉนดให้ตัวเอง

เนี่ย ความสำคัญของ...สถาบัน

 

อะไรคือ "ดึงฟ้าลงต่ำ" ???


เช่น หลอกให้ลูกหลานมังกร คิดและทำอย่างม้า (เบ๊)
หลอกให้ไปสร้างผลงานแข่งกับนักการเมือง อันนี้ไม่ใช่
คุณเข้าใจคำว่า ผู้ปกครอง, ผู้บริหาร, นักคิด, นักวิชาการ
นักปราชญ์ ฯลฯ ไหม? การทำลายนักปกครองอย่างแนบเนียน
อย่างหนึ่ง คือ ทำให้เขาหลงทางออกจากวิถีแห่งนักปกครอง เพื่อ
ไปสู่วิถีที่ต่ำกว่า แทนที่จะคิดอย่างมังกร ก็คิดไม่เป็นแล้ว คิดได้แบบม้า


คนที่อยู่ยอดนั้น เขาไม่มานั่งคิดโครงการอะไรด้วยซ้ำ เขาสนใจแค่ "คนดีๆ"
จ้องมองคนดี ม่ีความสามารถ เหมือนที่เล่าปี่เป็น เล่าปังพูด (ปฐมกษัตริย์ฮั่น)
เล่าปังบอกว่าให้เขารบ สู้แม่ทัพไม่ได้แน่, ให้เขาคิดเชิงนักคิดก็สู้ขุนนางบุ๋นไม่ได้
แต่พวกคนเหล่านี้ ไม่มีใครเก่งการใช้คน อย่างเขาสักคน นี่แหละ มังกรจึงไม่ใช่ม้าไง


โครงการอะไรทั้งหลายทั้งแหล่นั้น มันก็แค่ "งานอดิเรก" ทำเล่นๆ เพื่อให้เข้าใจมนุษย์
เข้าใจคน จะได้ใช้คนได้ ใช้คนเป็น เท่านั้นแหละ แต่อย่าไปจมปลักกับมันมากจนถึง
ขั้น สร้างผลงานแข่งกับขุนนางอำมาตย์ อย่างนั้น มันไม่ใช่แล้ว ความเป็นมังกรมัน
ก็ไม่เหลือ มีแต่ความเป็นม้า เป็นเบ๊ ทำงานเหมือนวัวเหมือนควาย มันใช่มังกร
เสียที่ไหน? แล้วแบบนี้ จะเอาอะไรไปต่อกรกับประเทศจีน ต้นตำรับมังกร?


ถ้ายังมัววนอยู่ว่า "ฉันคิดเก่งกว่าใคร" และ "ฉันจะสร้างผลงานแข่งกับมัน" ก็ไม่มีทางเป็นมังกรได้เลย

 

อ้าว แค่มังกร ยังหลงตัวเองขนาดนี้เชียวเหรอ...มังกรแสดงพาวครั่งเดียว ก็พอมั้ง
ต้องลงมือแสดง ไม่งั้น เขาจะว่า มังกร ไม่สนใจอะไร

อีกอย่างนะ ดูพระพุทธเจ้าสิ...ท่านเหนือกว่า มังกรเป็นไหนๆ ท่านยัง ไม่คิดไม่ทำ อย่างที่ ดอกไม้เย็น ว่ามาเลยนะ..อิอิ

ดูพระพุทธเจ้าสิ ดอกไม้เย็น ท่านลงมือ ทำเองด้วยตัวเอง ทั้งนั้น...ถ้าคนรู้ดี ไม่ทำ คนทำได้ไม่ทำ คนทำเป็นไม่ทำ ....แล้วจะให้ใครทำล่ะ..ดอกไม้เย็น

 

คือถ้าดอกไม้เย็น ไม่สามารถมองภาพรวมทั้งหมด ออก...มันก็ได้เท่าที่ท่าน แสดงความเข้าใจ มานั่นแหล่ะนะ..อิอิ

ถ้าควบคุมทั้งกระดาน ทุกมุมไม่ได้ ก็เท่ากับ ลองผิดลองถูกนั่นเอง เสียเวลาเปล่า

 

คำว่าให้สถาบันมีส่วนรวมคือ มาจากหน่วยงานของสถาบัน ตัวแทนของสถาบัน...ไม่ไช่เอาพระ มานั่งเป็น สส ไม่ไช่ แบบที่ ดอกไม้เย็นคิดหรอก...เฮ้อ..คิดได้ไง

ตัวแทนผู้มีอำนาจจากสถาบันสิ...ใครจะให้มังกรลงมือทำเอง แต่หมายถึง มังกรใช้สติปัญญาของมังกรร่วมบริหารจัดการด้วย

 

สถาบันพระมหากษัตริย์ ก็คือ ตัวแทนจากหน่วยงานของพระองค์ท่าน..พรรคนึง
สถาบันศาสนา ก็ตัวแทนเด่นๆเจ็งๆที่ฝึกอบรมมาอย่างดีจากกรมศาสนา..พรรคสอง
สถาบันชาติ ก็ตัวแทนจากช้าราชการเป็นต้น..พรรคสาม
พรรคประชาชน เกษตกร ก็ บัณฑิตคนดีดี ไง...พรรคสี่

ถือว่า เป็น 4 พรรค ตัวแทนของประเทศชาติ ไง

หรือจะเพิ่ม พรรคที่ห้า พรรคของพ่อค้าแม่ค้านายทุน ก็ดีนะ.จะได้ ครบ.

 

ถ้าเปรียบประเทศไทยเป็นครอบครัว

สถาบันพระมหากษัตริย์คือ..ตัวแทนของ พ่อและแม่
สถาบันศาสนาพระสังฆราช..คือตัวแทนของพระพุทธเจ้า
สถาบันชาติ ข้าราชการ คือ ญาติพี่น้อง
สถาบันประชาชนเกษตรกร คือลูกหลาน
สถาบันพ่อค้าแม่ค้า สถาบันการเงินคือ เพื่อนฝูง มิตรสหาย

 

เอาเป็น ห้าพรรค ห้าตัวแทนจากทุกเขต มาร่วมเป็น รัฐบาลแห่งชาติ..น่าจะ ครื้นเครงกันแน่ๆ ในรัฐสภา

 

ให้นายกมีวาระทุก5ปี แล้วผัดเปลี่ยน เอานายกมาจากพรรคอื่น ทุก5 ปี สลับกันไป ได้เป็นนายก ทุกพรรค หรือ ให้มีนายกพร้อมกัน 5 พรรคเลย...ช่วยกันในทุกรัฐบาล หรือ ทุกรัฐบาลต้องมีตัวแทน จากห้าพรรค ..มาเป็นรัฐมนตรี....ไง..ให้เหมาะสมกับ งาน ที่ เขาถนัด

 

คำว่า "พรรคของรัฐ" หมายถึง รัฐดูแลงบประมาณให้


ถ้าพรรคการเมืองได้งบ พรรคละ 100 ล้าน มีสองพรรค งบสองร้อยล้าน
แต่ถ้ามีสี่พรรค ก็สี่ร้อยล้าน ไม่มีความจำเป็นเลย สู้เอาพรรคชาติ, ศาสนา
มหากษัตริย์ไปรวมกันเป็นพรรคเดียว คือ พรรครีพับริกัน ก็พอ แล้วเอาคน
ที่ไม่เอาแนวคิดนี้ หรือพวกหัวก้าวหน้า คิดแบบสากล, แบบฝรั่ง, อนาคต
ฯลฯ ไปรวมเป็นอีกพรรคหนึ่งคือ เดโมแครต แค่นี้ คุมงบได้ง่าย และไม่มี
ความวุ่นวายเกินความจำเป็น พรรคหนึ่งเป็นรัฐบาล อีกพรรคก็คานสมดุลก็
พอแล้ว หลายๆ พรรคมากไป จัดการยุ่งยากไปใหญ่ จะจัดการยังไงให้มัน
ดุลกันได้ ควบคุมให้ทุกพรรคมี สส. ได้เท่ากันหมด งี้หรือ? มันจะได้เปล่า
แล้วเวลาโหวตทีหนึ่ง มันก็ซับซ้อนสับสน วุ่นวาย แทนที่จะทำให้เรียบง่าย


การทำงานจะให้ราบรื่นต้องยึดหลัก "ทำให้เรียบง่าย" ไม่ใช่ทำให้ยุ่งเหยิง

 

อย่า "เอาประเทศเป็นหนูลองยา"


การสร้างระบบพรรคการเมืองของกษัตริย์, ของศาสนา ฯลฯ อะไรนั่น
มันไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน เท่ากับเอาประเทศเป็นหนูลองยา ถ้า
ผิดพลาดขึ้นมา ประเทศก็ย่ำแย่ แต่ระบบสองพรรคที่ผมเสนอนี้ มันมี
อเมริกาทำมาก่อน ทดสอบมานาน ว่าทำได้ดี ไม่มีปัญหา เราไม่ต้อง
เอาตัวเองเป็นหนูลองยาตัวใหม่ เราเอายาแบบอเมริกามาปรับใช้เลย
ไม่ต้องเสี่ยงอีกแล้ว เขาทำมาดีพิสูจน์มาแล้วกี่ปี? เขาก็อยู่กันได้ครับ


ประเทศไม่ใช่หนูลองยา ที่คุณจะมาเอา "ความคิดเป็นที่ตั้ง" แล้วให้ประเทศสังเวยความคิดของคุณ

 

ก็แสดงว่าคิดเองไม่เป็น ทำได้แต่เลียนแบบ คนอื่นเขา...สองพรรคน่ะ มันได้แต่เถียง เขาตั้วมาเพื่อคัดค้าน เถียงกัน ถ่วงอำนาจขัดขากัน...แต่ ห้าพรรคเนี่ย เอามาเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศชาติครับ..จะเอามาร่วมมือกันพัฒนาประเทศ...ไม่ไช้จะเอามากัดกัน ในสภา เหมือนที่เคยเป็นกัน

หัดคิดดีกว่า เลียนแบบ ฝรั่ง มั่งดี้

 

ใครว่าลองยา เนี่ยแหล่ะ ประชาธิปไตย ชัดๆ ตัวแทนมีมาจากทุก สถาบัน ครอบคลุม ทั้งประเทศ...หรือยังจะมา ปล่อยให้ เป็นแบบเดิมๆ ซ้ำซาก
เราทำก่อน มันผิดใคร ตรงไหน นี่ประเทศไทย เราไม่ได้เป็นขี้ข้า สหรัฐมัน

เราไม่ได้ จะทำสงครามแบบ นิทาน สามก็ก เราไม่ได้มาแย่งชิงอำนาจแบบ ราชวงค์ถัง กะละมัง ถ้วย....เราจะร่วมกันปฏิรูปพัฒนาประเทศชาติ.(โว้ยยยยย)

 

ถ้าให้มีสองพรรคเหมือนเดิม มันก็ ไม่พ้น เสื้อเหลือง เสื้อแดง เหมือนเดิม....เอามัน ห้าพรรค ห้าเสื้อห้าสี ไปเลย...มันจะเถียงกันจบมั้ย ห้าคน....เถียงกัน

น่าจะจบง่ายกว่า สองคนเถียงกัน นะ ผมว่า.....อิอิ อย่างน้อยก็น่าจะละอายเกรงใจ ตัวแทนจาก สถาบันอื่นมั่งล่ะ

 

คนเราเถียงกันสองฝ่าย มันไม่จบหรอก ชนะเพราะเสียงข้างมากก็เท่านั้น แต่ถ้า มีคนอื่น กลุ่มอื่นนั่งรับฟังด้วย..มันไม่แถ หรอกนะ ผมว่า เพราะ พยาน นั่งฟังอยู่ อย่างน้อย ก็น่าจะยอมรับในเหตุผล ของกันและกันบ้าง...ไม่ไช่จะมาอ้าง เสียงข้างมาก มาอ้าง พวกมาก ต้องถูกเสมอ..เหมือน ล่าอาณานิคม..มัน ม่ายช่ายยยยย...

 

ไอ้เสียงข้างมากเนี่ย บอกตรงๆ เหมือน คอมมิวนิสต์ ยังไงยังงั้นเลย

ก็เสียงข้างมาก ทำผิด ก็บอกว่าถูกได้เฉยเลย...สุมรวมหัวกันมากๆก็รวมหัวกันปล้นบ้านปล้นเมือง หน้าตาเฉยเลย....นี่ไง ข้อเสียของเสียงข้างมาก...โจรชัดๆ

 

วิธีง่ายที่สุดคือ อย่ามีชีวิตอยู่เลย
ระเบิดนิวเคลียร์ลงตูมเดียว ตายหมดประเทศ
เลิกโกง เลิกกิน เลิกโวยวาย เลิกถูกเอารัดเปรียบ

 

ในเมื่อประเทศไทยเราชอบของฟรี ไม่ลองใช้งบประมาณแจกครอบครัวละสัก 10000 ไปเลย
เอาไปบริหาร ครอบครัวไหนใช้เงินได้กำไรเยอะสุดเอาไปเลยตำแหน่ง สส สัก 1 ที่นั่ง
60 ล้านคน คงไม่เกิน 10000 ล้านหลอกมั้ง ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วง ลองดูสักปีก็ดีนะ

*แจกที่ยากจนอย่างเดียวก็พอมั้ง สส จากพรรคพ่อบ้านอยากเป็นใหญ่

 

เข้าใจผิดนะ


ระบบสองพรรคที่ผมบอกนี้ จะกำหนดโควต้าจำนวน สส. เท่ากัน
จึงไม่มีเสียงข้างมาก หรือเสียงข้างน้อย เพราะสองพรรคมีเท่ากัน


อย่าป่วนประสาทคนอื่นสิ คนอื่นเขาทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองนะคุณ