ท่องคาถาให้ขลัง

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 17 มีนาคม 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ถาม : เรื่องเกี่ยวกับคาถาสมัยก่อน....?

    ตอบ: สมัยนี้ก็ขลัง สำคัญว่าโยมทำจริงมั้ย ? เรื่องของเวทย์มนต์คาถามันเป็นบาทของอภิญญา คนจะทำอภิญญาต้องเป็นคนเด็ดขาด จริงจัง สม่ำเสมอ ไม่ย่อท้อ สมัยนี้บอกให้ไปท่องคาถา หลวงพ่อท่านมีคาถาอยู่บท เรียกว่า คาถาเงินล้าน ถ้าหากว่าใครท่องจะรวย ท่านบอกว่าอย่างน้อยให้ท่อง ๗ จบ ๙ จบ โยมหลายคนมาบ่น บอกอยากจะรวย ถามว่ารู้จักคาถาเงินล้านมั้ย ? รู้...แล้วเคยท่องมั้ย ? เคย ท่องวันละกี่จบ ? หนึ่งจบ มันน่ารวยอยู่หรอก อาตมาบอกไปท่องไม่ต้องมาก วันละ ๑๐๘ หรือ ๓๐๐ จบก็ได้ เขาถามแล้วอาจารย์เคยท่องวันละกี่จบ ? บอกเคยท่องสูงสุดประมาณ ๑,๒๐๐ มันหมดวันซะก่อน คือท่องกันแบบเอาคุณภาพ ไปช้าๆ อย่ารีบ เหมือนกับกินข้าว ค่อยๆ เคี้ยวหน่อย เอาคุณภาพ ว่าไปเรื่อยๆ สบายๆ ใจไม่ต้องไปนึกอะไร คิดว่าเราทำเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ของที่ดีที่สุดที่ครูบาอาจารย์ให้มา หน้าที่ของเราคือท่องบ่นเป็นการรักษาไว้ ถ้าเราทำอย่างแบบนี้ จริงจัง สม่ำเสมอ ไประยะหนึ่ง ผลที่มันสะสมตัวมามันจะเริ่มเกิดมันก็จะส่งให้ จุดที่คาถาให้ผลจริงๆ ก็คือ กำลังใจของเราที่เป็นสมาธิ ยิ่งท่องเป็นสมาธิสูงเท่าไหร่ คาถายิ่งให้ผลมากเท่านั้น

    สมัยก่อนเขาท่องกันจริงจังสม่ำเสมอ อาตมาเคยรู้จักอดีตโจรคนหนึ่ง แก่มากแล้ว เรียกแกว่า ลุง ถามว่าสมัยของลุงทำไมมันหนังเหนียวกันเยอะแท้ สมัยของพวกผมไม่เห็นได้อย่างลุงเลย บอกไอ้หนูลุงถึงจะเป็นโจร แต่ถ้าหากว่ารู้ตัวเมื่อไหร่ต้องรีบภาวนา เพราะเราไม่รู้ว่าเจ้าทรัพย์จะฆ่าเราหรือเปล่า ? ไม่รู้ว่าตำรวจจะยิงเราหรือเปล่า ? ว่างเมื่อไหร่ต้องภาวนา โอ้โห...ยิ่งกว่าพระอีก เพราะฉะนั้นเขาทำกันอย่างจริงจังสม่ำเสมอ และพวกนี้เขามีสัจจะ คำว่ามีสัจจะ อย่างโจรสมัยก่อนไปปล้น เขามีสัจจะอยู่ ถ้าหากว่าเป็นของที่เขาใช้อยู่จะไม่เอา เอาเฉพาะของที่เขาเก็บ เป็นของที่เขาเก็บก็จะไม่เอาหมด เอาครึ่งหนึ่ง เอาหนึ่งในสาม อะไรอย่างนี้ ถ้าหากเป็นของทำบุญนี่ จะไม่แตะต้องเลย

    อาตมาอยู่นครปฐม มีโจรดังอยู่คนหนึ่ง คือ เสือผาด ทับสายทอง วันนั้นแกตั้งใจจะไปปล้นโรงสี ปักป้ายล่วงหน้าไว้ ๗ วัน ถึงวันนั้นฉันไปปล้นแน่ ถ้าอยากจะสบายๆ ก็เก็บเงินเก็บทองใส่กำปั่นรอไว้ ถึงเวลาไปหิ้วเสร็จ ก็จะไปเลย ไม่รบกวนอะไร ถ้าคิดจะสู้ ก็ไปหาคนมา ไปแจ้งตำรวจมาจะได้ฟัดกัน ปรากฏว่าเข้าไปถึงในงาน เถ้าแก่โรงสีกำลังบวชลูกชายอยู่ เสือผาดแทนที่จะได้สตางค์ ต้องควักตัวเองไป ๘๐๐ ไปให้เขา ถ้าทำบุญอยู่เขาไม่ยุ่งเลย แล้วอีกอย่างถ้าไปบ้านไหน เขาเคยให้ข้าวให้น้ำกิน เขาถือเป็นผู้มีบุญคุณ ให้อาหารเป็นการต่อชีวิต เขาจะไม่รบกวนบ้านนั้นอีกเลย

    สมัยนี้ไม่มีหรอก มันปล้นกระทั่งพ่อแม่ตัวเอง ข่าวหนังสือพิมพ์ ดูหรือเปล่า มันเป็นสายให้เขาไปปล้น ให้เขาไปขโมยบ้านตัวเองก็มี ในเมื่อไม่มีความจริงจัง ความสม่ำเสมอ ขาดสัจจะ เรื่องเหล่านี้ทำไป ก็ไม่มีผล สมัยก่อนสัจจะเขามี ครูบาอาจารย์ห้ามอะไรเขาจะทำตามนั้น ห้ามด่าแม่คนอื่น ห้ามลอดราวผ้า ลอดใต้ถุนบ้าน เขาทำกันอย่างนั้นเลย

    ปัจจุบันอาตมาก็เจอหลายคน เดินๆ ไป เห็นเขามองโน่นมองนี่ เลยถามว่าทำไม ? ระวังอยู่ กลัวจะไปลอดอะไรเข้า ถ้าอย่างนั้นเอ็งไม่ต้องเข้ากรุงเทพ เข้ากรุงเทพเมื่อไหร่ สะพานลอยเพียบ (หัวเราะ) เดี๋ยวมันก็ลอดจนได้ ทำให้จริง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของคนจริง ต้องทำจริงจัง แล้วจะมีผล ส่วนใหญ่ไปทำๆ ทิ้งๆ ยังไม่ทันจะเกิดผลก็ท้อเสียก่อน




    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



    .
     
  2. เกสรช์

    เกสรช์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +1,401
    ขอกราบโมทนาหลวงพี่เล็ก ท่านจขกท. ขออนุญาตินำบทความนี้ส่งให้ญาติสนิทมิตรสหาย มีประโยชน์อยู่มาก สาธุๆ
     
  3. jiwcrop

    jiwcrop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +792
    คุณ tamsak ครับผมขอนำบทความจากคุณชัชวาล เพ่งวรรธนะ เพิ่มเติมเรื่องเกี่ยวกับการสวดมนต์ครับ

    เราสวดมนต์เพื่อระลึกในคุณแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    ในคุณความดีอันเป็นที่สถิตย์อยู่ในใจเรา
    เรา สวดมนต์ก็พึงสำรวจใจแห่งตนว่า เราห่างไกลจากพระ หรืออยู่ใกล้พระในใจเรา เราสวดมนต์ด้วยสติ ใจมีสมาธิ จิตมีความสะอาดของศีล นี่คือการสำรวจใจ
    นี่คือการสวดที่ถูก

    แต่เรามักถูกกิเลสสอนว่า เราสวดมนต์เพื่อหวังในผลสวด
    กิเลสในใจเราถูกครอบงำเพราะหวังในผลแห่งการสวด
    ใจย่อมไม่บริสุทธิ์ จิตย่อมไม่สะอาด ศีลย่อมไม่ปรากฏ สมาธิย่อมไม่ตั้งมั่น
    สติก็เผลอหลงไป

    เราไม่ได้สวดมนต์เพื่อทำลายสรรพสัตว์ เพราะใจเราที่เป็นผู้สวดมีศีลคือความสะอาดของจิตที่ไม่คิดเบียดเบียนใคร มีความสว่างบริสุทธิ์

    เราไม่ได้สวดมนต์เพื่ออ้อนวอนในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอความร่ำรวย
    ขอเภทภัยอย่ากล้ำกลาย ขอให้พ้นทุกข์ พ้นโศรก เพราะการขอคือกิเลส
    ที่ใจไม่บริสุทธิ์ย่อมมีอกุศลเป็นที่ตั้งนี่เป็นเปลือก

    เราสวดโดยไม่ต้องการอะไรเลย สละอารมณ์ในสิ่งที่ต้องการ
    เราสวดเพื่อฝึกอบรมสติ เราสวดเพื่อให้จิตตั้งมั่น เราสวดเพื่อสำรวจใจ
    เราสวดเพื่อระลึกถึงคุณในพระรัตนตรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความดี
    สิ่งนี้คือแกนแท้บริสุทธิ์ของคำว่าสวดมนต์

    ความศักดิ์สิทธิ์มีเอง เกิดเอง ไม่ต้องร้องขอ เมื่อใจเรามีศีล มีธรรม
    พระคาถาย่อมคุ้มครองเราเองโดยไม่ต้องไปขออันใดเลย
    เมื่อใจสะอาดไปด้วยศีลและคุณธรรม พระคาถาจะมีกำลังและอำนาจมาก
    ดุจแสงสว่างที่ออกมาจากใจที่บริสุทธิ์

    นี่เรียกว่า มนต์ขาว
    1 ในเนื้อหาในลิงค์ด้านล่างครับ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=151647
     
  4. jusminejoe

    jusminejoe สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +4
    พอดีเดินเข้าไปห้องพระ เห็นบทสวดก้อเลยเปิดดู ก้ออ่านได้ 2 วัน พออ่านละเอียดมันเกี่ยวกับอะไรไม่รู้หนูก้อเลยเลิกอ่านค่ะ เลิกอ่านเมื่อเช้า....เขาบอกให้อ่านเจ็ดวันแต่หนูเลิกอ่าน

    เพราะหนูคิดว่าหนูยังมีกิเลสก้อเลยเลิกอ่านค่ะ แนะนำหนูด้วยค่ะ
     
  5. jusminejoe

    jusminejoe สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +4
    หนูคิดว่าคนที่อ่านนั้นต้องเป็นพระค่ะ มาคิดอีกทีหนูยังเป็นมนุษย์ที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ก้อเลยเลิกอ่านค่ะ
     
  6. jusminejoe

    jusminejoe สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +4
    สำหรับหนูแล้วไม่ได้ท่องให้ขลัง แต่หยิบมาอ่านเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ค่ะ
     
  7. jusminejoe

    jusminejoe สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +4
    หนูคิดว่าตอนที่หนูอ่านบทสวด สมาธิยังไม่นิ่งพอก้อเลยเลิกอ่านค่ะ
     
  8. ขุนแผนน้อยน่ารัก

    ขุนแผนน้อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +772
    สาธุครับ มีประโยชน์มากทุกวันนี้ยังมีคนหลวงผิดไม่เข้าใจกันอยู่มาก
    ผมเองเป็นคนนครศรีธรรมราช สนใจและศึกษาเรื่องคาถาอาคมเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เคยมีตำรวจมือปราบจอมขมังเวทย์ท่านหนึ่งคือ
    พลตำรวจตรีขุนพันรักษ์ราชเดช ท่านเคยกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้เหมือนกันครับ
    ว่าการที่คนเราจะคงกระพันได้แบบจริงๆต้องถือกันหลายอย่าง เช่นห้ามกินผักผลไม้บางอย่าง นอกจากนี้ที่ผมได้ศึกษามา ก็มีจำพวก ห้ามนั่งทับหมอน ห้ามลอดราว ห้ามด่าพ่อล้อแม่สำคัญมาก ห้ามกินเนื้อสัตว์บางอย่าง ห้ามส่องกระจกร้าว ห้ามยืนปัสสาสวะ เวลาอุจจาระห้ามทักห้ามพูดคุยกับใคร ห้ามถ่มน้ำลายลงโส้วม สิ่งต่างๆพวกนี้จะทำให้คาถาอาคม เครื่องรางของขลังยังคงความขลังไว้ได้ ซึ่งในบางครั้งก็จะทำให้ดูเหมือนเป็นอัตกิลมถานุโยค มันตึงเกินไป แต่ในขณะที่คนสมัยนี้แขวนเครื่องรางของขลัง เล่นคาถาอาคม แต่ไม่เคารพครูบาอาจารย์ ด่าพ่อล้อแม่ พูดจาหยาบคายเป็นนิจ เที่ยวสมสู่สตรีไม่เลือกหน้า มันก็ดูเป็น กามสุขัลลิกานุโยค คือหย่อนเกินไป สบายเกินไป ทางที่ดีเราควรยึดทางสายกลาง สวดมนต์ด้วยจิตศรัทธา คงอารมณ์ไว้ในสมาธิตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว เคารพครูบาอาจารย์ ไม่ด่าพ่อล้อแม่ หมั่นฝึกฝนจิต จะด้วยการเพ่งกสิณก็ดี วิปัสสนาก็ดี เมื่อเกิดความศักดิ์แล้วจะต้องใช้ศีลเป็นตัวควบคุม ไม่ให้หลงไปใช้ในทางที่ผิด มิฉะนั้นจิตหลวงใหลใน รูป รส กลิ่น เสียง อัตตาก็จะโต เมื่อได้อำนาจพิเศษมาก็อย่าหลงใหลเพียงใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ เมื่อถึงเวลาก็ควรปล่อยวางอำนาจเหล่านี้ลงไป เพื่อมรรค ผล นิพพาน
    และใช้หลักกามามสูตรพิจารณาสิ่งต่างๆตามความเหมาะสมจะได้ไม่งมงายครับ
     
  9. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
  10. สักกะ

    สักกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    3,405
    ค่าพลัง:
    +12,014
    ดีจังเลย ขอบคุณครับ
     
  11. สู้เพื่อลูก

    สู้เพื่อลูก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +27
    บอกตามตรง ผมท่องคาถาต่างๆ วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น ขออนุโมทนา กับ จขกท. ด้วยครับ _/|\_
     
  12. สุภิญโญ

    สุภิญโญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +325
    ชอบจังเลยครับ
     
  13. piya0101

    piya0101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +255
    ชอบคำนี้จริง ๆ

    "ท่องกันแบบเอาคุณภาพ ไปช้าๆ อย่ารีบ เหมือนกับกินข้าว ค่อยๆ เคี้ยวหน่อย เอาคุณภาพ ว่าไปเรื่อยๆ สบายๆ ใจไม่ต้องไปนึกอะไร"

    ที่สุดก็ คือ ความมุ่งมั่น ความเพียร ความตั้งใจ
    ให้ผลเป็น สติ สมาธิ และปัญญา นั่นเอง

     
  14. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    อนุโมทนาสาธุ
    โดยส่วนตัวแล้วเวลาที่ข้าพเจ้าสวดมนต์ ข้าพเจ้าจะตั้งใจสวดมาก มักจะสวดช้า พยายามให้ชัดถ้อยชัดคำทุกคำ เพื่อให้จิตมีสมาธิ
     
  15. j.chaisat

    j.chaisat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    299
    ค่าพลัง:
    +842
    ผมจันทรัสม์ ขอนำเสนอบทความดีๆ ครับ
    คัมภีร์ละกาม...
    จาก หนังสือคัมภีร์ละกามเล่ม๑ : คุณสุเทพ มานีเวศม์ ผู้แปล
    บทลงโทษละเมิดกามในนรก
    --------------------------------------------------------------------------------
    นับจากโบราณกาลมา การผิดประเวณีนับเป็นยอดแห่งความชั่ว บทลงโทษในโลกมนุษย์นับว่าหนักแล้ว แต่บทลงโทษในนรกยิ่งหนักเพิ่มขึ้น วิธีการลง
    โทษมีหลากหลายดังขยายต่อไป หวังว่าท่านผู้อ่านควรละเว้นทันที
    พี่น้องเสพสุขตกนรกชั่วนิรันดร หากถึงขั้นฆ่าชีวิตด้วยแล้ว จะถูกฟ้าผ่า ผู้ใดข่มขืนศพหญิง จะตกนรกชั่วนิรันดรเช่นกัน ผู้ใดได้รับโทษทัณฑ์ในโลก
    มนุษย์มาแล้ว จะไม่ถูกฟ้าผ่า ผู้ใดที่มีความกตัญญูจะลดโทษ 4 ส่วน ผู้ใดเคยสร้างบุญใหญ่ 1,500 ครั้งก็ถูกลดโทษ 4 ส่วนเช่นกัน ผู้ใดข่มขืนหญิงหม้าย
    จะขาดลูกหลานสืบทอดวงศ์ตระกูล ตกนรก 500 ชาติ แล้วเกิดเป็นมด หนอน 500 ชาติ ยังมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก 500 ชาติ จึงเกิดมาเป็นคน มีอาชีพ
    เป็นโสเภณี ผู้ใดได้รับโทษทัณฑ์ในโลกมนุษย์แล้ว ลด 100 ชาติ หากมีการฆ่าถึงชีวิต เพิ่มโทษ 5 เท่า ผู้ใดเป็นผู้กตัญญูต่อพ่อแม่และจงรักภักดีต่อพระ
    มหากษัตริย์กับประเทศชาติลดโทษกึ่งหนึ่ง ประกอบบุญใหญ่ 500 ครั้ง ลดโทษกึ่งหนึ่งเช่นกัน
    หมายเหตุ : บทลงโทษในเมืองนรก คำว่า 1 ชาติ หมายถึง การลงโทษถึงตายแล้วฟื้นคืนกลับมาแล้วรับโทษเหมือนเดิมจนครบกำหนดแล้วโทษนั้นจึงยุติ
    หากยังมีโทษอื่นอีก ก็ต้องรับโทษในขุมนรกอื่น ๆ ในหนังสือ "บันทึกถ้ำนรก" ได้บรรยายอย่างละเอียด ผู้ใดทำผิดศีลข้อ 3 แล้ว หากสำนึกผิดแล้วหัน
    มาประกอบกรรมดีช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่เมื่อตายจากโลกมนุษย์แล้ว จะได้รับการลดโทษตามส่วน ผู้ใดไม่สำนึกผิดเลยจนตาย เมื่อตายจากโลกมนุษย์แล้ว
    จะได้รับการลงโทษจากขุมนรกที่ 1 แล้วยังต้องไปรับโทษขุมนรกอื่น ๆ โทษที่จะได้รับเช่น "แหวกหัวใจ" "คนโลหะ" "ตัดไต" "หนูกัด" "ลงกระทะ
    ทองแดง" "รถบด" ฯลฯ
    ผู้ใดทำผิดศีลข้อ 3 ระหว่างพี่น้อง ลูกกับแม่เลี้ยง พ่อผัวกับลูกสะใภ้ ฯลฯ จะตกนรกตลอดกาล เพราะการผิดศีลข้อ 3 ระหว่างหมู่ญาติ นับว่าโทษหนักที่สุด
    เมื่อรับโทษทัณฑ์ครบแล้ว จึงเกิดมาเป็นคน 1 ครั้ง เรียกว่า 1 ชาติ หนังสือ "ตำรับทอง" และ "ตำรับวงเวียน" 2 เล่มนี้ได้บรรยายบทลงโทษอย่างละเอียด
    กฎเมืองนรกก็มีการลดหย่อนผ่อนโทษเช่นกัน ฉะนั้นเห็นได้ว่า บาปบุญคุณโทษไม่มีการผิดเพี้ยน หากผู้ใดได้อ่านหนังสือ "ตำรับทอง" "ตำรับวงเวียน"
    และ "บันทึกถ้ำนรก" 3 เล่มนี้แล้ว ยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นในเรื่องกฎแห่งกรรม
    ผู้ใดหลอกข่มขืนหญิงหม้าย..
    จะไม่มีลูกหลานสืบตระกูล 2 ชาติ และรับโทษในขุมนรก แล้วมาเกิดเป็นหนอน มด สัตว์เดรัจฉาน อย่างละ 400 ชาติ แล้วจึงเกิดมาเป็นคนพิการ ผู้ใด
    เคยรับโทษทัณฑ์ในโลกมนุษย์ ลดโทษ 80 ชาติ หากถึงขั้นทำร้ายชีวิตถึงตาย เพิ่มโทษ 4 เท่า ผู้ใดจงรักภักดีกับเป็นบุตรกตัญญูลดโทษ 70% ผู้ใดเคย
    สร้างบุญขนาดกลาง 500 ครั้ง ลดโทษ 70% เช่นกัน
    ผู้ใดแทะโลมจนหญิงหม้ายเสียตัว ...
    จะไม่มีลูกหลานสืบตระกูล 3 ชาติ หลังจากรับโทษในขุมนรกแล้ว มาเกิดเป็นหนอน มด สัตว์เดรัจฉาน อย่างละ 300 ชาติ จึงมาเกิดเป็นคนยากจนแสน
    เข็ญ ผู้ที่ได้รับโทษในโลกมนุษย์แล้ว จะลด 60 ชาติ หากถึงขั้นฆ่าตาย เพิ่มโทษ 3 เท่า ผู้ใดจงรักภักดีและเป็นบุตรกตัญญู ลดโทษ 90% ผู้ใดเคยสร้างบุญ
    500 ครั้ง ลดโทษ 90% เช่นกัน
    ข่มขืนสาวพรหมจรรย์..
    บุตรธิดาจะมั่วกาม ตัวเองจะต้องรับโทษทัณฑ์ในขุมนรก 400 ชาติ แล้วไปเกิดเป็นหนอน เป็นมด อย่างละ 400 ชาติ จึงเกิดมาเป็นคนขี้ข้า (ทาส) ผู้ใด
    เคยรับโทษในโลกมนุษย์มาแล้ว ลดโทษ 100 ชาติ หากมีการฆ่ากันถึงชีวิต เพิ่มโทษ 4 เท่า ผู้ใดเคยทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ หรือเป็นบุตรกตัญญู ลด
    โทษกึ่งหนึ่ง เคยประกอบกรรมดี 400 ครั้ง ก็ลดโทษกึ่งหนึ่งเช่นกัน
    ใช้วิธีหลอกลวงข่มขืนสาวพรหมจรรย์ ..
    จะไม่มีลูกหลานสืบตระกูล 2 ชาติ และรับโทษในขุมนรก แล้วมาเกิดเป็นหนอน มด สัตว์เดรัจฉาน อย่างละ 250 ชาติ แล้วจึงมาเกิดเป็นคนขี้โรคอ่อนแอ
    ผู้ใดเคยรับโทษทัณฑ์ในโลกมนุษย์ ลดโทษ 70 ชาติ หากถึงขั้นทำร้ายชีวิตถึงตาย เพิ่มโทษ 3 เท่า ผู้ใดจงรักภักดีกับเป็นลูกกตัญญู ลดโทษ 70 % ผู้ใดเคย
    สร้างบุญขนาดกลาง 400 ครั้ง ลดโทษ 70 %
    ผู้ใดแทะโลมจนสาวพรหมจรรย์เสียตัว..
    ภรรยาและบุตรสาวจะต้องชดใช้กรรม และตัวเองต้องรับโทษในขุมนรก แล้วมาเกิดเป็นหนอน มด สัตว์เดรัจฉาน อย่างละ 100 ชาติ แล้วจึงเกิดเป็นคนมี
    ฐานะยากจน ผู้ใดเคยรับโทษทัณฑ์ในโลกมนุษย์ลดโทษ 40 ชาติ หากถึงขั้นทำร้ายชีวิตถึงตาย เพิ่มโทษ 2 เท่า ผู้ใดจงรักภักดีกับเป็นลูกกตัญญู ลดโทษ
    90% ผู้ใดเคยสร้างบุญเล็ก 400 ครั้ง ลดโทษ 90% เช่นกัน
    ข่มขืนเด็กสาว (อายุต่ำกว่า 15 ปี)
    ภรรยาและบุตรสาวจะต้องชดใช้กรรม ตัวเองต้องรับโทษในขุมนรกแล้วมาเกิดเป็นหนอน มด สัตว์เดรัจฉาน อย่างละ 350 ชาติ แล้วจึงมาเกิดเป็นคน
    ผู้น้อย ถ้าเคยรับโทษทัณฑ์ในโลกมนุษย์ ลดโทษ 100 ชาติ หากถึงขั้นทำร้ายชีวิตถึงตาย เพิ่มโทษ 3 เท่า ผู้ใดจงรักภักดีกับเป็นลูกกตัญญู ลดโทษกึ่งหนึ่ง
    ประกอบบุญใหญ่ 300 ครั้ง ลดโทษกึ่งหนึ่งเช่นกัน
    ใช้วิธีหลอกลวงข่มขืนเด็กสาว.. (อายุต่ำกว่า 15 ปี)
    ลดอายุ 24 ปี ตายแล้วต้องรับโทษทัณฑ์ในขุมนรก แล้วมาเกิดเป็นหนอน มด สัตว์เดรัจฉาน อย่างละ 100 ชาติ แล้วจึงมาเกิดเป็นคน ไร้คู่ครอง ผู้ใดเคย
    รับโทษในเมืองมนุษย์มาแล้ว ลดโทษ 30 ชาติ หากถึงขั้นทำร้ายชีวิตถึงตาย เพิ่มโทษ 2 เท่า ผู้ใดจงรักภักดีและเป็นลูกกตัญญู ลดโทษ 70% สร้างบุญ
    ขนาดกลาง 300 ครั้ง ลดโทษ 70% เช่นกัน
    ผู้ใดแทะโลมจนเด็กสาวเสียตัว..
    ลดอายุ 12 ปี ตายแล้วรับโทษในขุมนรก แล้วมาเกิดเป็นหนอน มด สัตว์เดรัจฉาน อย่างละ 70 ชาติ แล้วจึงมาเกิดเป็นคนมีฐานะยากจน ผู้ใดเคยรับโทษ
    ในเมืองมนุษย์มาแล้ว ลดโทษ 20 ชาติ หากถึงขั้นทำร้ายชีวิตถึงตาย เพิ่มโทษ 1 เท่า ผู้ใดจงรักภักดีและเป็นลูกกตัญญู ลดโทษ 90% สร้างบุญขนาดเล็ก 300
    ครั้ง ลดโทษ 90% เช่นกัน
    บทลงโทษ 3 ข้อข้างต้น (หญิงหม้าย สาวพรหมจรรย์ และเด็กสาว) มีผลเฉพาะที่ไม่ใช่เครือญาติ หากเป็นวงศาคณาญาติ เพิ่มโทษ 1 เท่า หากเป็นพี่น้อง
    กัน หรือมีเพศสัมพันธ์ระหว่างงานศพ เพิ่มโทษ 3 เท่า หากข่มขืนสาวใช้ รับโทษหนักเช่นกัน ข่มขืนไม่สำเร็จ ลดอายุ 6 ปี หากถึงขั้นเสียชีวิต มีโทษ
    หนักดั่งโทษข่มขืน
    เที่ยวซ่อง 1 ครั้ง ลดอายุขัยครึ่งปี ผู้ใดติดกามโรค ลดอายุขัย 1 ปี หากสำนึกผิด ยกเว้นลดอายุขัย
    รักร่วมเพศ รับโทษดั่งข่มขืนหญิงสาว ถ้าคู่หูเป็นชายอายุต่ำกว่า 15 ปี ถือเป็นเด็กสาว รับโทษดั่งเที่ยวซ่องโสเภณี
    ประพันธ์หนังสือลามก ลดอายุขัย 24 ปี หากมีผู้อ่านอ่านแล้วเกิดไปข่มขืนหญิงอื่น ผู้ประพันธ์จะต้องรับโทษเสมือนหนึ่งเป็นผู้ข่มขืนเอง หากหนังสือ
    ลามกไม่ถูกทำลายหมดสิ้น จะไม่ได้ไปผุดไปเกิด ผู้ถ่ายทำหนังลามก รับโทษหนักเหมือนกัน
    เปิดเผยเรื่องลามก ลดอายุขัย 6 ปี ถ้ามีการฆ่าถึงชีวิต ลดอายุขัย 12 ปี คุยเรื่องในมุ้ง มีโทษเช่นกัน หากสำนึกผิด จะได้รับลดโทษบ้าง
    กฎลามกของผู้พิพากษาแซ่ลก (สมัยราชวงศ์ซ้อง) ได้เพิ่มเติมว่า ผู้ใดผิดศีลข้อ 3 จนตั้งครรภ์และทำแท้งถึงขั้นเสียชีวิเต เพิ่มโทษ 1 เท่า
    ผู้ใดข่มขืนเด็กสาวตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะใช้วิธีล่อลวงหรือเกลี้ยกล่อม ให้ถือเป็นคดีข่มขืน หากมีการฆ่าถึงชีวิต เพิ่มโทษ 1 เท่า
    ผู้ใดมีภรรยาและบุตรแล้ว ยังแอบมีภรรยาน้อย 1 คน ลดอายุขัย 2 ปี คนที่มีชื่อเสียงเกียรติยศอยู่แล้ว จะถูกลดชื่อเสียงลง 8 ส่วน แต่ไม่ลดอายุขัย
    หญิงหม้ายใดที่ไม่คิดแต่งงานใหม่ ใช้วิธีหลอกลวงจนได้เสียจะลดอายุขัย 3 ปี หากเธอมีจิตจะแต่งงานใหม่ ไม่ต้องลดอายุขัย
    ผู้ใดแต่งงานกับหญิงหม้าย และไม่รับผิดชอบเลี้ยงดูบุตรธิดาของสามีเก่า 1 คน ลดอายุขัย 2 ปี หากทรมานลูก ๆ ของสามีเก่าจนเสียชีวิต ลดอายุขัย 12 ปี
    สนทนาระหว่างเพื่อนฝูงเรื่องตัณหา 3 ครั้ง ลดอายุขัย 1 เดือน
    นำเพื่อนไปเที่ยวซ่องโสเภณี ลดอายุขัย 3 ปี ผู้ใดมีชื่อเสียงโชคลาภ งดการลดอายุขัย แต่ลาภยศจะเลื่อนเวลาออกไป
    ผู้ใดเห็นหญิงงามเดินผ่านและเหลียวมองอย่างไม่ลดละ 3 ครั้ง ลดอายุขัย 3 เดือน หากหาอุบายตีสนิทแฝงด้วยจิตไม่บริสุทธิ์ 1 ครั้ง ลดอายุขัย 3 เดือน
    ผู้ใดชอบฟังเรื่องลามก 1 ครั้ง ลดอายุขัย 3 เดือน ผู้ที่มีชื่อเสียงเกียรติยศ จะถูกบั่นทอน
    ผู้ใดตั้งใจดูหนังลามก 1 ครั้ง ลดอายุขัย 3 เดือน หากถึงขั้นเสียชีวิต เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน 1 ชาติ
    ผู้ใดชอบอ่านหนังสือลามก 3 ครั้ง ลดอายุขัยครึ่งเดือน ผู้ใดถึงขั้นไม่สบาย ลดอายุขัย 3 ปี
    ผู้ใดชักชวนเพื่อน ๆ รื่นรมย์กับกามตัณหา ถูกลงโทษ 2 ชั้น พ่อหรือพี่ชายไม่ยับยั้งลูก ๆ หรือน้อง ๆ จนหลงกามารมณ์ หรือปล่อยปละละเลยคนใช้
    รื่นเริงกับกามารมณ์ ถูกลงโทษ 2 ชั้นเช่นกัน
    ผู้พิพากษาแซ่ลกเขียนไว้ว่า โทษทัณฑ์ในเมืองนรกยากต่อการผ่อนปรน โทษของการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างญาติยิ่งหนักกว่าเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นผู้น้อย
    ละเมิดกามต่อผู้ใหญ่ หรือผู้ใหญ่ล่อลวงผู้น้อย เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ต้องรับโทษในขุมนรกทั้งนั้น
    สังคมในมนุษย์ปัจจุบันผู้ผิดศีลข้อ 3 มักเกิดขึ้นกับครอบครัวที่รับราชการ บัณฑิต พวกเขาประพฤติเช่นนี้บ่อยครั้งจนติดเป็นนิสัยจนถึงวาระสุดท้ายของ
    ชีวิต ก็ยังไม่สำนึกว่าการกระทำของตนนั้นผิด
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจึงได้ทูลพระเจ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ (ท้าวสักกะเทวราช) ท่านทรงอนุญาตให้ตีแผ่กฎลงโทษของนรกสู่โลกมนุษย์โดยไม่ปิดบัง เพื่อให้
    ผู้อ่านจะได้สำนึกผิดและจะได้รับการลดโทษ ผู้ที่มีความจงรักภักดีและกตัญญูได้รับการลดโทษ ผู้ใดเคยสร้างสมบุญกุศลได้รับการลดโทษเช่นกัน
    หากผู้ใดได้อ่านบทความนี้แล้ว ไม่เพียงสำนึกผิดกลับติเตียนทำลาย จะได้รับโทษหนัก หรือถูกฟ้าผ่าตาย
    หากมีผู้ใดเชื่อคำสั่งสอนของบทความนี้ และได้เผยแพร่ให้ผู้อื่นได้ทราบ
    เผยแพร่ 100 คน เพิ่มอายุ 12 ปี
    เผยแพร่ 200 คน ผู้ไร้บุตรจะได้บุตร
    เผยแพร่ 500 คน ยศชื่อเสียงเพิ่มทวีคูณ
    เผยแพร่ 1,000 คน มีชื่อบนสวรรค์ เผยแพร่ทั่วพิภพ ตายแล้วได้จุติเป็นเซียน
    เผยแพร่กับเศรษฐี 10 คน ได้บุญกุศลเท่ากับเผยแพร่กับคนสามัญ 200 คน
    เผยแพร่กับข้าราชการได้บุญกุศลเท่ากับเผยแพร่กับคนสามัญ 100 คน
    ซึ่งบทบัญญัตินี้ท่านพระเจ้าฟู่ยิ่งได้ทูลพระเจ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ ซึ่งทรงได้อนุญาตให้เป็นไปตามบทบัญญัตินี้
    (Webmaster : เศรษฐีและข้าราชการเป็นผู้มีเงินและอำนาจ สามารถทำผิดเรื่องกามได้ง่าย หากชี้แนะให้กลับตัวกลับใจได้ จะเกิดบุญกุศลยิ่งใหญ่)

    หมายเหตุ : หนังสือรวมบทกำหนดโทษสุวรรณนี้ มีขึ้นในสมัยพระเจ้าหานฟง ในราชการปีที่ 6 ในราชวงศ์เช็ง
    เทพเจ้าเหวินเชียงเสด็จประทับทรงที่อำเภอฟงหลิน มณฑลหูหนาน ว่า บทบันทึกนี้เป็นบทกำหนดขึ้นโดยพระเจ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ (ท้าวสักกะเทวราช)
    และเก็บรักษาไว้ในกล่องหยก เทพเจ้าเหวินเชียงได้ทูลขออนุญาตนำไปเผยแพร่สู่ชาวโลก เพื่อให้เข้าใจถึงบทลงโทษของเบื้องบนในราชการปีที่ 3
    ของพระเจ้าแผ่นดินกวงซุ่ยในราชวงศ์เช็ง ในที่สุดเทพเจ้าบุ๋นและเทพเจ้าบู๊ 2 ท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณโดยพระเจ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ให้นำหนังสือ
    เล่มนี้ไปเผยแพร่สู่ชาวโลกได้ หากหนังสือใด ๆ ของเทพยดาทรงแต่งขึ้น ที่ยังมีบางข้อยังไม่สมบูรณ์นั้น หนังสือเล่มนี้จะได้ทดแทนส่วนที่ขาดไป

    พระโพธิสัตว์กวนอิมได้กล่าวไว้ในขันธ์ 5 ว่า สิ่งที่ยากแก่การเข้าถึง คือความว่างเปล่า นั่นคือรูป ข้าพเจ้าแนะวิธีให้เห็นความว่าง กล่าวคือ ในขณะที่คน
    เราเริ่มมีความใคร่เกิดขึ้น ให้คิดอยู่เสมอว่า รูปหาใช่รูปแท้ไม่ เพราะจะร่วงลงในที่สุด เมื่อข้าฯ คิดถึงเรื่องกามารมณ์ ก็จะละอายต่อฟ้าปางก่อน 1 ส่วน
    สติปัญญาและชีวิตของเราก็สูญหายไป 1 ส่วน นาน ๆ เข้าสติปัญญาจะเสื่อมลง ชีวิตก็จะไปไม่รอด นั่นคือรูปไม่แตกต่างจากความว่างเปล่า
    การผิดประเวณีเป็นยอดแห่งความชั่วทั้งปวง คนที่ลุ่มหลงกามารมณ์เป็นผู้ประกอบความชั่วในเบื้องแรก ฉะนั้นควรละเว้นให้ได้ กามราคะเป็นไฟเผา
    ผลาญสุขภาพ เหตุใดคนเราจึงต้องมาลุ่มหลงความไม่เที่ยง หาความงามของสตรีมาละเมิดและทำความชั่ว คนเราตายเพราะสตรีก็มีมากมาย ในที่สุด
    กามารมณ์ทำให้คู่ครองไม่อาจไปได้รอดฝั่ง นั่นละรูปคือความว่างเปล่า หากมีใครไม่ลุ่มหลงรูปของสตรีก็จะรักษาสุขภาพของตนให้แข็งแรง ฝึกฝนจน
    เป็นกายพุทธะ หมื่นกัปไม่บุบสลาย หากยังมีชีวิตยืนนานและมีความสดใสของรูปแท้ จึงรู้ได้ว่าความว่างก็คือรูปเช่นนี้จึงจะได้รูปที่สุขสบายท่ามกลาง
    ขันธ์ 5 เคราะห์ภัยก็ฉุดช่วยได้เอย
    http://thai.mindcyber.com/modules.ph...icle&artid=113
    ผมจันทรัสม์ ขออนุญาตเจ้าของบทความที่ดีนี้เผยแผ่..เพื่อเป็นกุศลกรรมดี..ตราบเข้าสู่พระนิพพานทุกท่านเทอญ
    (อดีตเคย..เคยทำไม่ดี ปัจจุบันต้องลดชั่วประกอบกรรมดี อนาคตดีแน่นอน)
     
  16. Ayukawa

    Ayukawa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +573
    (smile)หลักแหลมยิ่งนัก สาธุ สาธุึ -/\-
     
  17. j.chaisat

    j.chaisat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    299
    ค่าพลัง:
    +842
    วิธีสวดมนต์ที่ได้อนิสงค์สูงสุด
    ผมจันทรัสม์ ขออนุญาตนำเสนอบทความของคนดีๆ เพื่อให้ทุกท่านรับได้สิ่งดีๆ ครับ (ถ้าจะสวดบทไหนๆ ก็ดีทั้งนั้นครับ งั้นผมแนะนำพาหุงมหากาครับกระผม)
    อย่าลืม..แผ่เมตตา ทำบุญ ทำทาน ลดบาปสะสมบุญกันครับ
    บทสวดมนต์หลายบทนั้นมีอานุภาพในตัวเองมากมายมหาศาล แต่ต้องขึ้นอยู่กับ "ผู้สวด" ด้วย มีหลายท่านได้ยินได้ฟังมาว่า คนนั้นคนนี้สวดมนต์บท
    นั้นบทนี้แล้วจะได้รับสิ่งที่ดีๆ อย่างนั้นอย่างนี้ จึงมีผู้เลือกเอาบทสวดมนต์ต่างๆ มาบอกเล่ากันว่าควรสวดบทไหน ขอเรียนให้ท่านทราบด้วยความ
    จริง....ว่า...
    การที่สวดมนต์ตามบทสวดมนต์ต่างๆ แล้วได้สมหวังตามความปรารถนา หรือสวดแล้วได้โชคลาภต่างๆ นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ " บทสวดมนต์ " แต่เพียง
    อย่างเดียว มีองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย
    องค์ประกอบของการได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนานั้น มีส่วนสำคัญอยู่ 3 ส่วน
    1. กรรม 2. ตัวเราเอง 3. ผู้ช่วยหรือสิ่งต่างๆ ช่วย
    1. กรรม มีอัตราส่วน 50 %
    ถ้าคนเราไม่มีส่วนของการกระทำที่ได้เคยทำไว้ในอดีตมาเป็นพื้นฐานแล้ว ไม่มีทางที่จะดีขึ้นมาได้เปรียบเทียบว่า กรรม ดีที่เราทำนั้น เป็นกำลังพื้น
    ฐานที่รองรับเรื่องราวต่างๆ
    2. ตัวเราเอง มีอัตราส่วน 25 %
    ถ้าเราเองไม่ทำตัวให้ดี เพื่อรองรับ หรือรอรับสิ่งที่ดีๆ แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะได้ดีขึ้นมาได้
    3. ผู้ช่วยหรือสิ่งที่มาช่วย มีอัตราส่วน 25 %
    ผู้ช่วยในที่นี้ รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นครูบา อาจารย์ ผู้ที่มีจิตดี จิตบริสุทธิ์ พรหม เทพ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง
    ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ
    สิ่งเหล่านี้ เป็น " อุปกรณ์ " เสริมที่มีความจำเป็น เพื่อให้สิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เราปรารถนา สมตามความต้องการ นี่เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็น
    ชัดๆสมมติว่า ถ้าเป็นการสอบ ต้องการคะแนน 50 เพื่อ " ผ่าน "
    ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ถ้าเราจัดอัตราส่วนแล้วเราต้องใช้ส่วนไหนมากที่สุด ถ้าใช้ส่วนที่มากที่สุด ก็คือ ส่วนที่เป็น " กรรม " เรามีอัตราส่วนถึง 50 % ถ้าเรา
    เคยทำกรรมดีไว้พอสมควร คือทำกรรมดีไว้เต็มเปี่ยมได้ครบ 50 % เราก็ไม่จำเป็นต้องไปหาคะแนนมาจากไหนมาเพิ่ม เพราะได้ครบ 50 % แล้วเคย
    สังเกตหรือไม่ว่า คนบางคนแค่เพียง " นึก" ก็ได้สมตามความปรารถนาแล้ว ไม่จำเป็นต้อง " ร้องขอ " จากสิ่งใดๆ อีก ก็ได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนา นั่นก็
    แสดงว่าบุคคลนั้นได้กระทำ " กรรม " ที่ดีๆ มาอย่างเต็มเปี่ยมแล้วในอดีต
    แต่ถ้าท่านยังทำความดีไม่เพียงพอ กระพร่องกระแพร่ง หรือขาดตกไปบ้าง สมมติว่ามี " กรรมดี " ได้คะแนนเพียง 30 % จำเป็นที่จะต้องหาคะแนนจาก
    ที่อื่นมาเพิ่มให้ครบ 50 คะแนน จะไปเอาจากไหน ก็จากที่เหลือ 2 ส่วนที่เหลือ คือ จากตัวเราเองและผู้ช่วยเหลือหรือสิ่งช่วยเหลือ
    การที่จะไปหาให้ครบ 50 คะแนนนั้น ถ้าเอามาจากตัวเองน่าจะง่ายกว่าไปหาจากคนอื่น เพราะการที่ทำเอง ก็จะได้เอง และได้มากกว่าคนอื่นมาทำให้
    แต่ถ้าถามว่า เราทำเองนั้น ทำดีได้แค่ไหน จริงใจกับการทำความดีได้แค่ไหน หรือทำไปแล้วผลที่ได้จะเพียงพอกับคะแนนที่ต้องการหรือไม่
    สมมติว่าทำได้อีก 10 คะแนน (จาก 25 คะแนน) เราก็ได้เพิ่มแล้วเป็น 40 คะแนน ยังขาดอยู่ 10 คะแนน เราก็ต้องอาศัยผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ เช่น
    ครูบา อาจารย์ ผู้ที่มี " จิต " ดี " จิต " บริสุทธิ์ เทพ เทวดา พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ เหล่านี้ก็
    สามารถช่วยท่านได้อีก 10 คะแนน รวมแล้วครบ 50 คะแนน ถือว่า " ผ่าน "
    นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบ และแสดงให้เห็นว่า ทุกส่วนต้องมีการเกื้อหนุนและประกอบกัน ถ้าแค่ผ่าน ก็ใช้เพียง 50 % หรือ 50 คะแนน แต่ถ้าจะให้ "
    เยี่ยม" ต้องใช้คะแนนมากๆ บางคนทำคะแนนได้มากถึง 90 หรือเกือบร้อย เช่น ทำแต่กรรมดี มาตั้งแต่อดีต เป็นคนที่ทำตัวเองดี และได้ผู้ช่วยเหลือดี
    เลยทำให้ได้ดี มากยิ่งขึ้น
    จำเอาไว้ว่า กรรม 50 ตัวเอง 25 ผู้ช่วยเหลือ 25
    ไปจัด***ส่วนเอาเอง ถ้าจะมานั่งรอแต่ให้คนอื่นช่วย ( 25 คะแนน ซึ่งความเป็นจริง ใครหรืออะไรจะมาช่วยได้ครบ 25 คะแนน ) แล้วไม่ทำตัวเองให้ดีๆ
    ไม่ทำกรรมดีมาแต่ก่อน จะไปได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ หรือจะได้รับสิ่งที่ดีๆ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นความเป็นจริง ตัวเราเองเป็นส่วนสำคัญ มีคะแนนถึง
    75 % หรือ 75 คะแนนจากการกระทำดีของเราที่ได้เคยทำไว้ ซึ่งก็คือ " กรรม " 50 ตัวเราเองทำดีด้วย 25
    ถ้าทำได้แค่นี้ 75 คะแนนแล้ว ผ่านได้อย่างสบายๆ จะมานั่งรอผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือทำไม แค่เพียง 25 คะแนนเองเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ทำไมไม่ฝึก
    ตัวเองก่อนให้ตัวเองมี " ดี " พอก่อน ก่อนที่จะไปหา "ดี" จากที่อื่น
    บทสวดมนต์ก็เช่นกัน จัดอยู่ในข้อที่ 3 คือผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ อย่าลืมว่าเป็นเพียง " ส่วนประกอบเท่านั้น " คนที่ไม่มี " กรรม " ดีมาก่อน ไม่
    ได้ทำตัวให้เป็นคนดีก่อน ไม่ทำบุญทำกุศลมาก่อน ให้สวดพระคาถาชินบัญชร 100 จบ 1000 จบก็ไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ หรือเรียกง่ายๆ ว่า อาจจะ
    ไม่ได้ดีตามที่หวัง แต่การสวดมนต์ก็ได้ " กุศล " แล้ว แต่ได้อย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน 25 คะแนน
    รู้อย่างนี้แล้วจะมามัวมานั่งทำอย่างใดอย่างหนึ่งทำไมกัน ทำทั้ง 3 ส่วนให้สมดุลย์กันไม่ดีกว่าหรือ ? ทั้งทำ " กรรม " ดี ทำตัวเองให้ดี (รวมถึงการทำบุญ
    กุศล ปฏิบัติภาวนา ฯลฯ) และหาผู้ช่วยเหลือ สิ่งช่วยเหลือที่ดี แล้วสิ่งที่คุณต้องการ...ก็จะไม่ไกลเกินความจริง


    {{ การสวดมนต์เพื่อให้ได้อานิสงส์สูงสุด }}
    1. อย่าสักแต่ว่าสวดเป็นนกแก้วนกขุนทอง คือท่องๆ บ่อยๆ ไปตามอักขระที่อ่านหรือนึกได้ ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องให้รู้ความหมายด้วย ไม่จำ
    เป็นขนาดนั้น เพราะการรู้ความหมาย เป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น (แต่ถ้ารู้ความหมายด้วย ก็เป็นเรื่องดี) จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ความหมายก็ไม่สำคัญ
    เท่ากับการสวดมนต์อย่างมีสมาธิ
    2. ต้องสวดมนต์อย่างมีสมาธิ หมายความว่า เวลาที่จะสวดมนต์นั้น ต้องรู้ก่อนว่าสวดมนต์บทไหน (จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ก็ได้) แต่เวลาที่สวดมนต์นั้น
    ให้รู้ว่าอักขระหรือตัวหนังสือที่เรากำลังจะท่องนั้น คือตัวอะไร ฟังดูอาจจะเข้าใจยาก เอาอย่างนี้ เวลาที่จะสวดมนต์ เช่น นะโม ตัสสะ ฯลฯ ก็ต้องรู้ว่า
    ตอนนี้กำลังสวดคำว่า นะ คำว่า โม คำว่า ตัส คำว่า สะ คือให้รู้ตัวทุกตัวอักขระว่ากำลังสวดคำไหน ทำได้มั้ยครับ ถ้าทำได้..คือรู้ตัวว่าสวดอักขระตัวไหน
    เราก็จะมีสติใจจดจ่อกับคำสวดตามอักขระ เมื่อมีสติเราก็จะมีสมาธิ การมีสติ และมีสมาธิในเวลาสวดมนต์นั้น จะได้รับ " พลังงาน " ที่ดี
    ทำให้ได้ แล้วจะได้รู้ว่า สวดมนต์เวลาที่มีสติและสมาธิ จะ " ดีกว่า " สวดมนต์แบบนกแก้วนกขุนทองอย่างมากมายมหาศาล จะท่องโดยไม่ต้องดูตัว
    หนังสือก็ได้ แต่อย่าขี้เกียจ หมั่นท่องจำไว้ให้ได้ก็ดี อย่านึกว่ามีหนังสือ มีตำรา แล้วเอาแต่เปิดหนังสือ เปิดตำราท่อง แรกๆ ก็เปิดได้ เพราะคนไม่เคย
    ท่องจะให้จำได้อย่างไร แต่ถ้านานๆ ไป ควรท่องจำเองโดยไม่ต้องเปิดหนังสือหรือตำรา เพราะการท่องด้วยจิตใจที่จดจ่อกับคำที่เราท่อง สิ่งที่เราได้ก็คือ
    จิตจะมีสมาธิ
    จันทรัสม์ป่วนชวนเพื่อนๆ ทำดี
     
  18. ohrm

    ohrm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +338
    ดีครับ มีความรู้ดี
    แต่คุณ jusminejoe ครับ บอกว่า"เห็นบทสวดก้อเลยเปิดดู ก้ออ่านได้ 2 วัน พออ่านละเอียดมันเกี่ยวกับอะไรไม่รู้หนูก้อเลยเลิกอ่านค่ะ" การท่องภาวนาพระคาถาหรือในหนังสือพระท่องได้ตลอดึครับ เพราะเป็นการบูชาพระคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ไม่ผิดครับได้บุญมากๆ แต่คงเจอมารครับเลยทำให้หยุดไหว้พระสวดมนต์
    พระหรือคนธรรมดา พระพุทธเจ้าไม้ได้ห้ามครับ....อนุโมทนาครับ สวดมนต์ต่อไปเถอะครับ
     
  19. ชาหอม

    ชาหอม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +119
    สาธุ สาธุ การสวดมนต์เนี่ยขลังจริงๆครับเราไม่สามารถอธิบายเป็นรูปธรรมได้ครับ การที่เราอ่านหนังสือบางเล่มพร่ำบอกถึงอนุภาพของคาถาแต่ละบทว่ามีสรรพคุณอย่างนั้นอย่างนี้พอผู้มีอวิชชาเป็นที่ตั้งนำไปภาวนาก็จะไม่เกิดผลเพราะเวลาภาวนาคิดถึงแต่กิเลสที่พึงอยากได้ ไม่ได้ให้ความเคารพพระคาถาที่กำลังภาวนาอยู่
     
  20. กาลกตา

    กาลกตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +424
    อนุโมทนาครับ ถ้าจำไม่ผิด บทสวดมนต์ คาถาต่างๆ หลวงพ่อท่านบอกว่าถ้าสวดเป็น มีผลถึงนิพพานเลยครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...