ทุกชีวิต...นิพพานกันอยู่แล้ว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เอกรินทรา, 23 พฤษภาคม 2012.

  1. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    งั้นจะไม่ ถกด้วยเหตุผล ใดใดทั้งสิ้นแล้ว

    งั้นถามสักนิดนึง ว่า ...ที่โลกเรา สังคมเรา ความคิดของคน กระแสของโลก ที่ทำให้ หมดความสุข ในการ มีชีวิต ที่ควรจะเป็น ไป ตามธรรมชาติ ทั้งหลายนี้...ใครหรือ ปรุงแต่งให้มัน ...หมดสุขได้ ถึงขนาดนี้

    ถ้า ไม่มีใครปรุงแต่ง ทำไม มัน ไม่เป็นธรรมชาติที่ดี ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เหมือน 40 ปี ให้หลัง ล่ะครับ

    ตกลง มีใครปรุงแต่ง หรือ ไม่มีใครปรุงแต่ง ครับ ธรรมชาติที่ควรจะอยู่ จะมี จะเป็น หายไปไหนหมด แย้ววว

    ถ้าคิดว่าไม่มีใครปรุงแต่ง แล้ว กรรมล่ะครับ กรรมที่สัตว์โลก ทั้งหลายกระทำ ...
    1.มันทำให้มันดีอยู่เหมือนเดิม
    2.หรือทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม
    3.หรือทำให้เลวหรือแย่ลงกว่าเดิม ล่ะครับ

    กรรมทั้งหลายของสัตว์โลก เนี่ย ถือว่าเป็นการ ปรุงแต่ง มั้ยครับ..และ ก็ ปรุงแต่งได้ด้วย สิครับ เละเลย งานนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มิถุนายน 2012
  2. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ธรรมชาติถ้าปรุงแต่งไมได้

    ทำไม ถนนหนทาง ตึกราม บ้าน ซ่อง เกิดขึ้นมาได้ มากมาย รถราก็เต็มถนน หนทาง คนก็ เต็มโลก อาหารก้ร่อยหรอ เชื้อเพลิงก็ร่อยหรอ ธรรมชาติก็ เหลือน้อย

    ตกลง ไหน ว่า ไม่มีใคร ปรุงแต่ง มันได้...
     
  3. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่ 5 ทุกข์
    ในปัจฉิมยามแห่งราตรีตรัสรู้ “สิทธัตถะ”ได้ไล่เรียงวิเคราะห์<WBR>ถึงเหตุและผลที่ทำให้ท่านและสรร<WBR>พสัตว์ทั้งหลายต้องไปเวียนว่ายต<WBR>ายเกิดตามภพภูมิต่างๆ เพราะการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นใน<WBR>ขันธ์ทั้ง 5 แล้ว ”ท่านสิทธัตถะ” ...ก็ได้สรุปข้อเท็จจริงต่างๆที<WBR>่ท่านได้วิเคราะห์และกรองออกมาด<WBR>ังนี้ว่า แท้จริงแล้วมันคือการเกิดขึ้นพร<WBR>้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยก<WBR>ัน ซึ่งเรียกว่า ปฏิจสมุปบาท มันก็คือตัวทุกข์หรือการปรุง...แต่งเป็นจิตนั่นเอง
    การที่ “ทุกข์”หรือ”จิต”หนึ่งชุดจะเกิด<WBR>ขึ้นได้นั้นเพราะอาศัยเหตุปัจจั<WBR>ยต่อเนื่องกัน “ท่านสิทธัตถะ” ได้แจกแจงไว้ดังนี้
    • เพราะอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นปัจจัยสังขาร(การปรุงแต่ง) จึงมี
    • เพราะสังขาร(การปรุงแต่ง) เป็นปัจจัยวิญญาณ (การรับรู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) จึงมี
    • เพราะวิญญาณ(การรับรู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เป็นปัจจัย นามรูป(ขันธ์ทั้ง 5) จึงมี
    • เพราะนามรูป(ขันธ์ทั้ง 5)เป็นปัจจัย สฬายตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ) จึงมี
    • เพราะสฬายตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ) เป็นปัจจัย ผัสสะ(การสัมผัสกระทบ) จึงมี
    • เพราะผัสสะ(การสัมผัสกระทบ) เป็นปัจจัย เวทนา(ความรู้สึกต่างๆ) จึงมี
    • เพราะเวทนา(ความรู้สึกต่างๆ)ป็น<WBR>ปัจจัย ตัณหา(ความอยาก) จึงมี
    • เพราะตัณหา(ความอยาก) เป็นปัจจัย อุปทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) จึงมี
    • เพราะอุปทาน(ความยึดมั่นถือมั่น<WBR>) เป็นปัจจัย ภพ(การมีภาวะ) จึงมี
    • เพราะภพ(การมีภาวะ) เป็นปัจจัย ชาติ(การเกิดอัตตา"ตัวตน") จึงมี
    • เพราะชาติ(การเกิดอัตตา"ตัวตน")<WBR> เป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ฯ(ความทุกข์) จึงมี

    ปฏิจสมุปบาทหนึ่งชุด ก็คือทุกข์หรือการปรุงแต่งเป็นจ<WBR>ิตหนึ่งครั้งนี่เองที่ทำให้“ท่า<WBR>นสิทธัตถะ”และสรรพสัตว์ทั้งหลาย<WBR> ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดแบบไม่จบ<WBR>ไม่สิ้นเพราะเหตุแห่งอวิชชาความ<WBR>ไม่รู้พาเข้าไปยึดมั่นถือมั่นใน<WBR>ขันธ์ทั้ง 5 และปรุงแต่งจนก่อให้เกิดอัตตาตั<WBR>วตน เป็นเรา เป็นเขา กลายเป็นจิตต่างๆขึ้นมา ซึ่งก็คือการปรุงแต่งกลายเป็น “ความคิด”ขึ้นมานั่นเอง

    ความคิดทั้งปวง คือ ปฏิจสมุปบาท
    ความคิดทั้งปวง คือ สังขตะธรรม....(ธรรมอันปรุงแต่ง<WBR>)
    ความคิดทั้งปวง คือ จิตที่ปรุงแต่ง
    ความคิดทั้งปวง คือ ทุกข์

    ..............................<WBR>..............................<WBR>.........................
     
  4. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่ 6 เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์

    หลังจากที่ “สิทธัตถะ” ได้วิเคราะห์ถึงเนื้อหาแห่ง ปฏิจสมุปบาท คือ การเกิดขึ้นพร้อมเพรียงแห่งธรรม<WBR>ทั้งหลายเพราะอาศัยกันซึ่งก็คือ<WBR>ตัวทุกข์นั่นเอง ก็ทำให้ “ท่านสิทธัตถะ” ทราบถึงสาเหตุแห่งก...ารเกิดทุก<WBR>ข์ด้วย
    ก็เพราะ “ความไม่รู้” นั่นเองที่พาสรรพสัตว์ทั้งหลายเ<WBR>ข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง<WBR> 5 เป็น “ความไม่รู้” ในเรื่องกฎธรรมชาติที่ว่า แท้...จริงแล้วไม่มีทุกสรรพสิ่งอยู่เล<WBR>ยไม่มีเรา ไม่มีเขา มันคือความว่างเปล่าไม่ใช่ตัวไม<WBR>่ใช่ตนอยู่แล้ว ความไม่รู้(อวิชชา)ในเรื่องกฎธร<WBR>รมชาตินี้เองทำให้เกิดความเข้าไ<WBR>ปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 โดยเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์<WBR>แห่งเวทนา คือ ความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สุขเวทนา(ความรู้สึกที่เป็นสุข)<WBR> ทุกขเวทนา(ความรู้สึกที่เป็นทุก<WBR>ข์) หรือ อทุกขมสุขเวทนา(ความรู้สึกเฉยๆท<WBR>ี่ไม่สุขไม่ทุกข์) จนก่อให้เกิด ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ..... กลายเป็นอัตตาตัวตนขึ้นมา กลายเป็นเราเป็นเขาขึ้นมา
    นี่คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ หรือ สมุทัย นั่นเอง

    ..............................<WBR>..............................<WBR>..............................<WBR>.................
     
  5. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่ 7 ความดับไปแห่งทุกข์

    การที่รู้ว่า ”ทุกข์” เกิดขึ้นเพราะ ความไม่รู้คืออวิชชาพาเข้าไปยึด<WBR>มั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 ทำให้ “สิทธัตถะ” ไตร่ตรองและพิจารณาไคร่ครวญถึงเ<WBR>หตุและผล จนในห้วงเวลาปัจฉิมยามแห่งคืนตร<WBR>ัสรู้นั่นเองทำให้... “ท่านสิทธัตถะ” ตระหนักชัดว่าการออกจากกองทุกข์<WBR>ได้นั้น ก็คือ “ความที่ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือ<WBR>มั่นในขันธ์ทั้ง 5 เพื่อก่อให้เกิด ตัณหา อุปาทาน เ...ป็นตัวเป็นตนเป็นอัตตาขึ้นมา” นั่นเอง
    “ท่านสิทธัตถะ” รู้ว่า เพราะเหตุที่ทุกข์นั้นมันเกิดมา<WBR>เพราะความไม่รู้คืออวิชชาก็จริง<WBR>อยู่ แต่โดยสภาพความทุกข์นั้น “ โดยตัวมันเอง โดยคุณสมบัติมันเอง โดยคุณลักษณะมันเอง ” นั้น มันตั้งอยู่ได้ไม่นาน และทุกข์นั้นมันก็ดับไปโดยตัวมั<WBR>นเองเป็นธรรมดาอยู่แล้ว “ท่านสิทธัตถะ” จึงตระหนักชัดว่า
    ความทุกข์ ดับไปโดยตัวมันเองทำให้ ชาติ ดับ
    ชาติ ดับไปทำให้ ภพ ดับ
    ภพ ดับไปทำให้ อุปาทาน ดับ
    อุปาทาน ดับไปทำให้ ตัณหา ดับ
    ตัณหา ดับไปทำให้ เวทนา ดับ
    เวทนา ดับไปทำให้ ผัสสะ ดับ
    ผัสสะ ดับไปทำให้ สฬายตนะ ดับ
    สฬายตนะ ดับไปทำให้ นามรูป ดับ
    นามรูป ดับไปทำให้ วิญญาณ ดับ
    วิญญาณ ดับไปทำให้ สังขาร ดับ
    สังขาร ดับไปทำให้ อวิชชา ดับ

    เมื่ออวิชชาความไม่รู้จะดับไปได<WBR>้ ก็ด้วย “ ความรู้ ” ที่ว่า เพราะแท้ที่จริงแล้วทุกสรรพสิ่ง<WBR>ที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาเป็นทุกข์น<WBR>ั้น โดยสภาพมันเองนั้นมันตั้งอยู่ได<WBR>้ไม่นานแล้วมันก็ล้วนดับไปโดยตั<WBR>วมันเองอยู่แล้วเป็นธรรมดา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรเข้าไป<WBR>เนื่อง ไม่ควรเข้าไปเนิ่นช้า ไม่ควรเข้าไปสาละวน ในความคิดนั้นในอาการจิตที่ปรุง<WBR>แต่งนั้นให้มันยืดยาวออกไป
    เมื่อไม่เข้าไปเนื่อง ไม่เข้าไปเนิ่นช้า ก็ทำให้ “ท่านสิทธัตถะ” กลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับความ<WBR>ดับไปเป็นธรรมดาของทุกข์

    และ “สิทธัตถะ” ยังตระหนักชัดด้วยความเข้าใจอีก<WBR>ว่า แท้จริงแล้วทุกสรรพสิ่งมันไม่ใช<WBR>่ตัวใช่ตนอยู่แล้ว
    โดยธรรมชาติ ไม่มีเราอยู่แล้ว
    โดยธรรมชาติ เป็นเพียงแต่ กายกับจิต
    โดยธรรมชาติ เป็นเพียงแต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    รูป คือ รูปกาย เช่น ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย ใจ
    วิญญาณ คือการรับรู้ถึงสิ่งที่เข้ามาทา<WBR>งรูป ( ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย ใจ )
    โดยธรรมชาติ เมื่อ......มีเหตุปัจจัย เข้ามาทางรูป เช่น
    ภาพ ที่เข้ามาทาง ตา
    เสียง ที่เข้ามาทาง หู
    กลิ่น ที่เข้ามาทาง จมูก
    รสชาด ที่เข้ามาทาง ลิ้น
    การสัมผัสสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาทาง ผิวกาย
    สิ่งที่ผุดขึ้นในความรู้สึก ที่เข้ามาทาง ใจ

    วิญญาณคือการรับรู้ถึงการเข้ามา<WBR>ของสิ่งต่างๆเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ภาพ เสียง กลิ่น รสชาด การสัมผัสสิ่งต่างๆหรือสิ่งที่ผ<WBR>ุดขึ้นในความรู้สึก ที่เข้ามาทางทวารทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกายหรือใจ
    สรุป
    เหตุปัจจัย ที่เข้ามาทาง รูป และ มีการรับรู้การเข้ามา(วิญญาณ)
    สามสิ่งสิ่งนี้ เป็นการกระทบกัน เรียกว่า ผัสสะ
    สัญญา คือความจำได้หมายรู้ว่า สิ่งที่เข้ามาทางรูปนั้นคืออะไร
    สังขาร คือการปรุงแต่งในรายละเอียดทั่ว<WBR>ๆไปแบบเสร็จสรรพ ของเหตุปัจจัยที่เข้ามาทางรูปแล<WBR>ะมีการรับรู้ถึงการเข้ามาและก่อ<WBR>ให้เกิดการกระทบกัน
    เวทนา คือความรู้สึก ที่มีต่อเหตุปัจจัยที่เข้ามาทาง<WBR>รูป
    โดยหลักใหญ่ มี 3 เวทนาคือ
    สุขเวทนา คือความรู้สึกที่เป็นสุขต่อเหตุ<WBR>ปัจจัยที่เข้ามาทางรูป
    ทุกขเวทนา คือความรู้สึกที่เป็นทุกข์ต่อเห<WBR>ตุปัจจัยที่เข้ามาทางรูป
    อทุกขมสุขเวทนา คือความรู้สึกที่เป็นกลางๆแบบไม<WBR>่สุขไม่ทุกข์ต่อเหตุปัจจัยที่เข<WBR>้ามาทางรูป
    “ท่านสิทธัตถะ” ยังได้ตระหนักชัดในความจริงที่ว<WBR>่า
    เป็นธรรมดาที่ เวทนาย่อมดับไปเอง
    เป็นธรรมดาที่ เวทนาย่อมดับไปอยู่แล้วโดยตัวมั<WBR>นเอง
    และเมื่อ เวทนาดับ สังขารย่อมดับ สัญญาย่อมดับ วิญญาณย่อมดับ รูปย่อมดับ
    ทำให้ “ท่านสิทธัตถะ”กลายเป็นเนื้อหาเ<WBR>ดียวกันกับความดับไปเป็นธรรมดาแ<WBR>ห่งขันธ์ทั้ง 5
    ตรงนี้เรียกว่า ความดับไปแห่งทุกข์ หรือ นิโรธ นั่นเอง
     
  6. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่ 8 อัคคิเวสสนะสูตร

    เวทนาสามอย่างนี้ คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อทุกขม
    สุขเวทนา ๑. อัคคิเวสสนะ สมัยใดได้เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่
    ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่สุขเวทนาเท่านั้น. ในสมัยใดได้เสวยทุกขเวท...นา ใน
    สมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่ทุกขเวทนาเท่านั้น. ใน
    สมัยใดได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ในส...มัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ได้
    เสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาเท่านั้น.<WBR>

    อัคคิเวสสนะ
    สุขเวทนาไม่เที่ยง
    อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น
    อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา.
    แม้ทุกขเวทนาก็
    ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น
    อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา.

    แม้อทุกขมสุขเวทนาก็ไม่เที่ยง
    อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น
    อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา.

    อัคคิเวสสนะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อ
    เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายทั้งในสุขเวทนา ทั้งในทุกขเวทนา ทั้งในอทุกขมสุขเวทนา เมื่อหน่าย
    ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้น
    แล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิ<WBR>ได้มี.

    ..............................<WBR>..............................<WBR>.......................
     
  7. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่ 9 หนทางหลุดพ้น

    ในบั้นปลายปัจฉิมยามแห่งราตรีคื<WBR>นตรัสรู้ หลังจากที่ “ สิทธัตถะ ” ได้ตระหนักชัดและกลายเป็นเนื้อห<WBR>าเดีวยกันกับความดับไปเป็นธรรมด<WBR>าแห่งทุกข์นั้น ทำให้ท่านได้รู้และตระหนักชัดว่<WBR>านี่คือทางสายกลางอันแท้จริงที่<WBR>ทำให้ท่า...นพ้นจากกองทุกข์ทั้ง<WBR>ปวงได้ ทำให้ “ ท่านสิทธัตถะ ” งดเว้นอย่างเด็ดขาดที่จะเข้าไปเ<WBR>กี่ยวข้องกับการประพฤติข้อวัตรอ<WBR>ันสุดโต่งอีกต่อไป คือ
    1....การบำเพ็ญทุกกรกิริยา คือ การแสวงหาความหลุดพ้นด้วยการทรม<WBR>าณตนด้วยวิธีต่างๆซึ่งเป็นที่นิ<WBR>ยมและเข้าใจผิดในยุคนั้น
    2.การแสวงหาความสุขด้วยการหมกหม<WBR>ุ่นในกามคุณ อันเป็นข้อวัตรประพฤติแบบที่สาม<WBR>ัญชนทั่วไปนิยมกระทำกัน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ธรรมดาไม่เป็<WBR>นประโยชน์และเป็นสิ่งที่ต่ำทราม
    เมื่อ “ ท่านสิทธัตถะ ” ได้ตระหนักชัดและกลายเป็นเนื้อห<WBR>าเดียวกันกับความดับไปเป็นธรรมด<WBR>าแห่งทุกข์และความดับไปเป็นธรรม<WBR>ดาแห่งขันธ์ทั้ง 5 ทำให้ท่านรู้ว่ามันก็คือ หนทางที่ดำเนินออกมาจากกองทุกข์<WBR>ไปในตัวมันเองอยู่แล้ว ( โดยนัยยะแห่งความหมาย )
    ซี่งมันประกอบขึ้นแบบพร้อมเพรีย<WBR>งกันด้วยคุณลักษณะมันเอง ประกอบไปด้วยอินทรีย์แห่งธรรม 8 ประการ คือ
    1.สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบ
    2.สัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริชอบ
    3.สัมมาวาจา คือ การเจรจาชอบ
    4.สัมมากัมมันตะ คือ การกระทำชอบ
    5.สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ
    6.สัมมาวายามะ คือ ความเพียรชอบ
    7.สัมมาสติ คือ ความระลึกชอบ
    8.สัมมาสมาธิ คือ ความตั้งใจมั่นชอบ
    มรรคมีองค์แปด นี้เป็นเพียงธรรมที่ “ท่านสิทธัตถะ” ได้แจกแจงเพื่อให้เกิดความเข้าใ<WBR>จเท่านั้นว่า การที่ท่านได้ตระหนักชัดและกลาย<WBR>เป็นเนื้อหาเดียวกันกับความดับไ<WBR>ปเป็นธรรมดาแห่งทุกข์ทั้งหลายแล<WBR>ะความดับไปเป็นธรรมดาแห่งขันธ์ท<WBR>ั้ง 5 ตามสภาพธรรมชาติของมันเองอยู่แล<WBR>้วนั้น มันคือเส้นทางแห่งมรรคหรือหนทาง<WBR>ที่ออกมาจากกองทุกข์ “ไปในตัวอยู่แล้ว” นั่นเอง
    เมื่อปล่อยให้ทุกข์หรือขันธ์ทั้<WBR>ง 5 มันดับไปเองตามธรรมดาตามธรรมชาต<WBR>ิของมัน มันก็เป็นหนทางออกจากทุกข์อยู่แ<WBR>ล้วโดยเนื้อหามัน ซึ่งหมายถึงความเป็นปกติแห่ง “การดำเนินบนมรรคมีองค์แปด” อยู่แล้ว
    นี่คือ........มรรค
     
  8. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่ 10 เอกะมหาบุรุษ

    สิ่งที่ “ สิทธัตถะ” ได้ตระหนักชัดถึงความหมายแห่งทุ<WBR>กข์และเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์(สม<WBR>ุทัย) และท่านก็ได้กลายเป็นเนื้อหาเดี<WBR>ยวกันกับความดับไปแห่งทุกข์(นิโ<WBR>รธ) ซึ่งมันคือ หนทางหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง<WBR>(มรร...ค) ได้นั้น ถือได้ว่า “ท่านสิทธัตถะ” เป็นเอกะมหาบุรุษคนแรกในห้วงเวล<WBR>าแห่งกัปป์นี้ ที่ได้เข้าไปรู้และกลายเป็นเนื้<WBR>อหาเดียวกันกับ “ กฎธรรมชาติ ” อั...นยิ่งใหญ่ ซึ่งยังไม่มีบุคคลใดรู้มาก่อนใน<WBR>ห้วงเวลากัปป์นี้ที่ผ่านมา จึงทำให้ท่านถูกขนานนามเรียกว่า<WBR> “ พระพุทธเจ้า ”
    เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ในธร<WBR>รมอริยสัจจ์ทั้ง 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้ว ก็ได้ทำให้ความเป็นตัวตนแห่ง ” สิทธัตถะ ” นั้นสลายหายไป เหลือเพียงแต่เนื้อหาที่แสดงถึง<WBR>ความเป็น “ พุทธะ ” อันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นเนื้อหาธรรมชาติล้วนๆแห<WBR>่งความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่<WBR>างนั้น
    และหลังจากที่ “ พระพุทธองค์ ” ได้ทรงทวนญาณแห่งการตรัสรู้อยู่<WBR>ถึง 49 วัน
    “ พระพุทธองค์” ท่านก็ได้ทรงลุกจากโคนต้นศรีมหา<WBR>โพธิ์เพื่อออกประกาศสัจจะธรรมไป<WBR>ทั่วทุกที่ทุกหนแห่งภายในดินแดน<WBR>แห่งชมพูทวีป จนได้ก่อรูปแบบขึ้นมาเป็น“ พระพุทธศาสนา ” อันประกอบไปด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อุบาสกอุบาสิกาและ พุทธศาสนิกชน ผู้ที่เข้าถึงพระรัตนไตรเป็นที่<WBR>พึ่ง ท่านได้ประกาศและแสดงธรรมบนเส้น<WBR>ทางกรรมตามหน้าที่แห่ง “ พุทธวิสัย ” ของท่านตราบจนวาระสุดท้าย “ พระพุทธองค์ ” จึงได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานใต<WBR>้ต้นนางรัง.....คู่นั้น
    ณ กาลบัดนี้ เวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยมา 2555 ปีแล้ว
     
  9. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่12 โสดาบัน

    มีพระอริยเจ้าทั้งหลายเคยกล่าวไ<WBR>ว้ว่า ธรรมอันแท้จริงนั้น "ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ<WBR> ไม่มีการบรรลุและผู้บรรลุ" นั้นเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง... เพราะธรรมอันแท้จริงที่ว่านั่น คือ "นิพพานธรรม" นั่นเองเป็นธรรมที่เสร็จเด็ดขาด<WBR>ไปแล้ว แต่ความที่พระพุทธองค์ลงมาจุติเ<WBR>พื่อมาประกาศธรรมอันเป็นสัมมาทิ<WBR>ฐินั้น พระองค์มีความเมตตาต่อบรรดาสรรพ<WBR>สัตว์ทั้งหลายทุกหมู่เหล...่า พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่าในบรร<WBR>ดาหมู่เวไนยสัตว์นั้นมีความแตกต<WBR>่างกันเปรียบเสมือนดอกบัวทั้ง 4 เหล่า รอบปัญญาบารมีแต่ละคนทำมาไม่เท่<WBR>ากัน พระพุทธองค์จึงทรงประกาศธรรมไว้<WBR>ทุกระดับแตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นในเวลาที่มีพราหมณ์ห<WBR>รือบรรดานักบวชนอกศาสนาทั้งหลาย<WBR>มาถามปัญหาในธรรมต่อพระพุทธองค์<WBR> พระพุทธองค์ก็จะตอบปัญหาข้อข้อง<WBR>ใจในธรรมไปตามเหตุตามปัจจัย การตอบธรรมของท่านนั้นมีการกล่า<WBR>วถึงธรรมในระดับต่างๆกันไปตามคว<WBR>ามเหมาะสม
    ในเส้นทางการบรรลุธรรมเป็นโสดาบ<WBR>ันนั้น เป็นรอบบารมีของผู้ที่ได้ดวงตาเ<WBR>ห็นธรรมชั้นต้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่จะละอนุส<WBR>ัยของตัวเองออกจากระบบเวียนว่าย<WBR>ตายเกิดในสังสารวัฏได้ จุดโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นจุดที่เข้าใจในเส้นทางธรรมช<WBR>าติแห่งธรรม เข้าใจในเส้นทางวิถีแห่งจิตที่เ<WBR>ป็นธรรมชาติของมัน เป็นจุดที่กระบวนการแห่งจิตเริ่<WBR>มปรับไปสู่ "วิถีธรรมชาติอันดั้งเดิมของมัน<WBR>" เพื่อมุ่งไปสู่เส้นทางการหลุดพ้<WBR>นซึ่งเป็นวิถีแห่งธรรมอันเป็น "ธรรมชาติล้วนๆ" จุดตรงนี้เองที่พระพุทธองค์กล่า<WBR>วไว้ว่าหากผู้ใดบรรลุธรรมอันเป็<WBR>นโสดาบันแล้ว มันเปรียบเสมือนสายน้ำที่ไม่ไหล<WBR>กลับ เป็นจุดที่จิตได้เรียนรู้เพื่อค<WBR>วามกระจ่างชัดเจนในธรรมและแก้ไข<WBR>ปัญหาคือทุกข์เป็น และด้วยวิธีแก้ทุกข์หรือแก้อวิช<WBR>ชาความไม่รู้ทั้งปวงโดยปรับสภาพ<WBR>จิตไปสู่ "ความเป็นธรรมชาติ" ของมันนั้น วิธีหรือวิถีแห่งจิตที่เป็น "ธรรมชาติ"นั่นเองมันเป็นสภาพที<WBR>่เหมือน "สายน้ำที่ไม่สามารถย้อนกลับไปส<WBR>ู่จุดเดิมที่เคยไหลผ่านมา" ได้ มันมีแต่สายน้ำหรือวิถีอันเป็นธ<WBR>รรมชาตินี้จะไหลไปเรื่อย จะคลายกำหนัดไปเรื่อย เพื่อไปสู่ "ปากน้ำแห่งพระนิพพาน" ในท้ายที่สุด ด้วยวิธี "ไหลหรือคลายกำหนัด" แบบวิธีธรรมชาติ ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้นั่<WBR>นเอง
    การบรรลุโสดาบันนั้น พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงวางหลักเกณ<WBR>ฑ์ใดๆตามความเห็นส่วนตัวของพระพ<WBR>ุทธองค์เองแต่อย่างใดเลย "แต่โดยสภาพแห่งธรรม" หากความรู้ที่ได้เรียนรู้นั้น องค์ประกอบแห่งความรู้ทุกส่วนได<WBR>้ทำลาย สักกายทิฐิ ศีลพรตปรามาส และวิจิกิจฉา ลงได้ทุกส่วนหมดแล้วเช่นกันไซร้<WBR> ก็เท่ากับ "ดวงจิต" นั้น ได้บรรลุเป็นอริยชนชั้นต้น คือ โสดาบันแล้ว
    สักกายทิฐิ คือ ความเห็นที่เป็นส่วนอวิชชาล้วนๆ<WBR>ว่าเป็นตัวเป็นตนว่าเป็นเราเป็น<WBR>เขาว่าเป็นอัตตาล้วนๆ เป็นส่วนของดวงจิตที่ยังถูกอวิช<WBR>ชาครอบงำได้ในทุกส่วน วิธีแก้ไขคือ ต้องเรียนรู้และยอมรับเพื่อทำคว<WBR>ามเป็นสัจธรรมความเป็นจริงให้ปร<WBR>ากฏว่า จริงๆแล้วไม่มีเราไม่มีเขาไม่มี<WBR>อัตตาไม่มีความเป็นตัวตน แต่ความเป็นจริงมันประกอบขึ้นไป<WBR>ด้วยขันธ์ทั้ง 5 หรือ สิ่งห้าอย่างมารวมตัวกันคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และขันธ์ทั้ง 5 นี้ ก็ล้วนตกอยู่ในกฎธรรมชาติ คือ มันล้วนไม่เที่ยงโดยตัวมันเองโด<WBR>ยเนื้อหามันเอง มันคือความหมายแห่งความไม่ใช่ตั<WBR>วไม่ใช่ตนอยู่แล้วโดยสภาพของมัน<WBR> นี่คือความเป็นธรรมดาโดยธรรมชาต<WBR>ิของมันเองอยู่แล้ว เมื่อสภาพแห่งธรรมปรากฏขึ้นเช่น<WBR>นี้ก็ถือว่า ดวงจิตนั้นได้ทำลายอวิชชาแห่งสั<WBR>กกายทิฐิลงได้โดยสิ้นเชิง
    ศีลพรตปรามาส คือ ข้อห้าม ข้อวัตรหรือเงื่อนไขหลักเกณฑ์ต่<WBR>างๆที่ดวงจิตนั้นเข้าไปยึดมั่นถ<WBR>ือมั่น โดยคิดว่าจะต้องทำข้อวัตรข้อห้า<WBR>มเงื่อนไขนั้นๆอยู่ตลอดเวลาเพื่<WBR>อไปสู่หนทางแห่งพระนิพพาน แต่โดยเนื้อแท้แล้วข้อวัตร ข้อห้ามเงื่อนไขเหล่านี้ล้วนเป็<WBR>นอวิชชาทั้งสิ้น เป็นหนทางที่นำไปสู่ความเป็นโมห<WBR>ะงมงาย ไม่ใช่เส้นทางแห่งธรรมอันเป็นธร<WBR>รมชาติซึ่งเป็นหนทางอันหลุดพ้นแ<WBR>ท้จริง เช่น ลัทธิที่ต้องถือข้อวัตรคลานสี่ข<WBR>าเหมือนโคแล้วต้องกินหญ้าทุกวัน<WBR> เมื่อทำเช่นนี้แล้วตนเองจักเชื่<WBR>อว่าข้อวัตรเหล่านี้จะทำให้ตนพ้<WBR>นจากกองทุกข์ทั้งปวง แต่ด้วยความเป็นจริงโดยเนื้อหาแ<WBR>ห่งข้อวัตรนั้นมันกลับเป็นอวิชช<WBR>าซึ่งเต็มไปด้วยโมหะอย่างยิ่ง แต่เมื่อนักบวชเหล่านี้ได้ฟังธร<WBR>รมพระพุทธองค์แล้วเกิดความเข้าใ<WBR>จในธรรมทั้งปวงและปล่อยให้ “จิต” มันดำเนินไปสู่ “ความไม่เที่ยงดับไปตามธรรมดาตา<WBR>มวิถีธรรมชาติ” ของมันอันเป็น ข้อวัตรแห่งธรรมชาติ เมื่อสภาพแห่งธรรมปรากฏขึ้นเช่น<WBR>นี้แล้วก็ถือว่าดวงจิตนั้นได้ทำ<WBR>ลายอวิชชาแห่งศีลพรตปรามาสลงได้<WBR>โดยสิ้นเชิง
    วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในธรรม เป็นความลังเลสงสัยด้วยความไม่เ<WBR>ข้าใจว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์ อะไรคือการดับทุกข์ได้ และอะไรคือหนทางแห่งความพ้นทุกข<WBR>์ ความลังเลความไม่เข้าใจในธรรมทั<WBR>้งปวงมันเป็นอุปสรรคต่อการจะเข้<WBR>าไปแก้ไขปัญหาดวงจิตที่ถูกอวิชช<WBR>าห่อหุ้มเอาไว้ เสมือนว่ามีปัญหาเกิดขึ้นอยู่แต<WBR>่ไม่มีความรู้เลยว่าปัญหานั้นคื<WBR>ออะไร มีลักษณะอย่างไร ปัญหาเกิดขึ้นตรงไหนแล้วจะเข้าไ<WBR>ปแก้ไขปัญหานั้นด้วยวิธีอะไร หากไม่ยอมศึกษาเรียนรู้ในธรรมว่<WBR>าอะไรคืออะไรเพื่อให้เกิดความเข<WBR>้าใจตรงต่อสัจธรรม ก็ย่อมหมายถึงเราไม่สามารถตระหน<WBR>ักชัดถึงเนื้อหาแห่ง “กระบวนการแก้ไขปัญหา” และยังสรุปเอาเองว่าธรรมแบบนี้แ<WBR>บบนั้นใช่แล้วตามความเข้าใจของต<WBR>น การเข้าไปแก้ไขปัญหาด้วยลักษณะไ<WBR>ม่รู้จริงก็ทำให้ปัญหาคืออวิชชา<WBR>นั้นยังคงอยู่ และลักษณะการเข้าไปแบบความไม่รู<WBR>้จริงก็กลายเป็นอวิชชาตัวใหม่ซ้<WBR>อนเข้ามาทำให้เกิดปัญหามากขึ้นต<WBR>ามมาอีก
    ครั้งในสมัยพุทธกาลที่พระองค์ทร<WBR>งประกาศธรรมไว้ครั้งแรก ในนาม "ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร" พระองค์ทรงตรัสถึงธรรมอันเป็นทา<WBR>งสายกลาง คือมรรคมีองค์ 8 ให้ละเว้นทางที่ตึงเกินไป คือ การบำเพ็ญทรมานกายต่างๆแบบทุกรก<WBR>ิริยา และให้ละเว้นทางที่หย่อนเกินไปค<WBR>ือทางที่เสพกามคุณ และพระพุทธองค์ทรงตรัสว่าอะไรคื<WBR>อทุกข์ อะไรคือสมุทัย(เหตุที่ทำให้เกิด<WBR>ทุกข์) อะไรคือนิโรธ(การดับทุกข์ได้) อะไรคือมรรค(หนทางแห่งความพ้นทุ<WBR>กข์) ซึ่งเป็นธรรมอริยสัจทั้ง4 พระองค์ทรงชี้ให้ปัญจวัคคีย์ทั้<WBR>ง 5 แก้ไขปัญหาในอวิชชาอย่างเป็นระบ<WBR>บและถูกต้องตรงต่อสัจธรรม เมื่ออัญญาโกณฑัญญะเข้าใจในธรรม<WBR>ที่พระองค์ตรัสแล้วว่า ความปรุงแต่งความคิดทั้งปวงคือท<WBR>ุกข์ ความไม่รู้คืออวิชชาพาเข้าไปยึด<WBR>มั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 จนก่อให้เกิดตัณหาอุปาทานคือสมุ<WBR>ทัย ความไม่เที่ยงโดยสภาพมันเองโดยต<WBR>ัวมันเองของขันธ์ทั้ง5 ของตัณหาอุปาทานทั้งปวงคือ นิโรธ และตรงนี้ก็คือเนื้อหาแห่งหนทาง<WBR>ดับทุกข์ได้อยู่แล้ว คือมรรค ก็เท่ากับอัญญาโกณฑัญญะทำลาย สักกายทิฐิ ศีลพรตปรามาส วิจิตรกิจฉา ลงได้แล้ว และเมื่ออัญญาโกณฑัญญะปล่อยให้จ<WBR>ิตดำเนินไปสู่ความดับโดยตัวมันเ<WBR>อง ซึ่งเป็นไปตามธรรมดาอันคือสภาพธ<WBR>รรมชาติของมันอยู่แล้ว พระองค์จึงเปล่งวาจาออกมาว่า "อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอรู้แล้<WBR>วหนอ" อัญญาโกณฑัญญะก็บรรลุเป็นอริยชน<WBR>ชั้นโสดาปัตติผล ณ เวลานั้น

    ..............................<WBR>..............................
     
  10. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่13 ศีล

    โดยปรกติเมื่อต้นกัปนี้อายุมนุษ<WBR>ย์ยืนถึง 100,000 ปีนั้น จิตใจมนุษย์มีสภาพปรกติมาก มนุษย์ในยุคนั้นไม่รุ้จักคำว่า ลักขโมย เพราะของทิพย์ข้าวทิพย์ขึ้นเกลื<WBR>่อนกลาดอยู่ทั่วไป ไม่มีความจำเป็นต้องเก็บมารักษา<WBR>เอาไว้เป็นเจ้าของ จึงไม...่จำเป็นต้องลักชิงแย่งก<WBR>ัน ไม่รู้จักคำว่าผิดลูกผิดเมียเพร<WBR>าะจารีตประเพณียุคนั้นนิยมครองเ<WBR>รือนแบบผัวเดียวเมียเดียวจึงไม่<WBR>มีใครผิดลูกผิ...ดเมียทำชู้กัน ไม่รู้จักคำว่าพูดโกหกเพราะต่าง<WBR>คนต่างมีวาระจิตรู้ความคิดซึ่งก<WBR>ันและกัน เมื่อคิดแบบไหนก็พูดออกมาแบบนั่<WBR>นเป็นสัจจะวาจา ไม่รู้จักคำว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต<WBR>เพราะอยู่กันแบบธรรมธิปไตยผู้คน<WBR>มีศีลธรรมไม่เบียดเบียนชีวิตซึ่<WBR>งกันและกัน ผู้คนยุคนั่นบริโภคแต่ข้าวทิพย์<WBR>สีเหลืองหอมกรุ่น กิน 1 มื้อ อยู่ไปได้ 7 วัน ไม่บริโภคเนื้อสัตว์เพราะไม่เหม<WBR>าะสมแก่ร่างกายของมนุษย์ในยุคนั<WBR>้นซึ่งเป็นกึ่งกายหยาบกายทิพย์ ซึ่งมีวรรรณะผิวพรรณผุดผ่อง ไม่รู้จักคำว่าหลงลืมสติเพราะผู<WBR>้คนในยุคนั้นเจริญกรรมฐานเป็นบา<WBR>ตรฐานกันทุกดวงจิตเพราะเป็นพรหม<WBR>เก่าที่ลงมากินง้วนดินจนร่างกาย<WBR>หยาบกลายเป็นต้นตอเผ่าพันธ์มนุษ<WBR>ย์ในยุคนี้ สิ่งของประเภทมึนเมามัวเมาเช่นน<WBR>้ำสุราคันธบาลคนในยุคนั้นไม่รู้<WBR>จักและประกอบขึ้นไม่เป็น
    กล่าวได้ว่าจิตใจในยุคที่มนุษย์<WBR>มี อายุ 100,000 ปีที่ผ่านมา เป็นจิตใจที่สูงส่ง ผู้คนในยุคนั้นจึงไม่มีความจำเป<WBR>็นต้องรักษาศีลแต่อย่างใดเพราะจ<WBR>ิตใจของทุกคนในยุคนั้นมีความเป็<WBR>นปรกติอยู่แล้วดำรงชีวิตด้วยควา<WBR>มผาสุขเรื่อยมา ทุกคนมีธรรมประจำใจคนในยุคนั้นอ<WBR>ยู่ร่วมกันด้วยระบบการปกครองแบบ<WBR>ธรรมธิปไตย คือ มีธรรมเป็นใหญ่
    แต่แล้วด้วย “ความประมาท” ของมนุษย์เอง เมื่อประชากรมนุษย์มากขึ้นเริ่ม<WBR>ปักเขตแดนเป็นสถานที่อยู่อาศัยเ<WBR>ริ่มสะสมอาหารสิ่งของเริ่มมีตัว<WBR>กูของกูมากขึ้น จิตใจมนุษย์เริ่มหยาบขึ้น ข้าวทิพย์ก็เลยกลายเป็นข้าวไม่ท<WBR>ิพย์ มนุษย์เลยมีความจำเป็นต้องเอาข้<WBR>าวมาปลูกในนาในที่ดินของตน เริ่มแบ่งว่าของเราของเขาจิตมนุ<WBR>ษย์เริ่มผิดปรกติเพราะความเข้าไ<WBR>ปยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูของกูมา<WBR>กขึ้น เมื่อประชากรมากกว่าปริมาณอาหาร<WBR>มนุษย์ก็เริ่มประมาท มนุษย์ก็ตัดสินใจที่จะลักขโมยข้<WBR>าวในยุ้งฉางของผู้อื่นจนเป็นเรื<WBR>่องที่น่าตกใจมากในยุคนั้นว่ามี<WBR>การแย่งชิงลักขโมยอาหารกันเกิดข<WBR>ึ้นแล้ว เมื่อถูกจับได้ก็เริ่มโกหกเป็น ว่าตัวเองไม่ได้เป็นผู้ขโมยไปเพ<WBR>ราะกลัวถูกลงโทษทางอาญา เมื่อมีการสอบสวนว่าได้ขโมยไปจร<WBR>ิง มหาจักรพรรดิในยุคนั้นจึงสั่งปร<WBR>ะหารชีวิตเพราะถือว่าการขโมยเป็<WBR>นเรื่องร้ายแรงในยุคนั้น ก็เท่ากับว่ามนุษย์เริ่มประหัตป<WBR>ระหารชีวิตกันเอง
    การที่มนุษย์ทำผิดศีลจิตใจมนุษย<WBR>์เริ่มผิดปรกติความประมาทของมนุ<WBR>ษย์เองทำให้อายุมนุษย์ลดลงต่ำมา<WBR>เรื่อย จาก 100,000 ปี เหลือ 80,000 ปี เมื่อเกิดประมาทมากขึ้น 80,000 ปี เหลือ 40,000 ปี เมื่อเกิดความประมาทในหลายๆเรื่<WBR>อง จาก 40,000 ปี ก็ลดลงเหลือ 20,000 ปี จนกาลเวลาผ่านเลยมาถึงปัจจุบันน<WBR>ี้อายุมนุษย์ในยุคนี้เฉลี่ยแล้ว<WBR>มีอายุยืนแค่ 70 ปี เท่านั้น เป็นยุคที่น่ากลัวมากเพราะมนุษย<WBR>์ในยุคนี้เป็นผู้ที่ขาดศีลขาดธร<WBR>รมเป็นส่วนใหญ่ เบียดเบียนซึ่งกันและกันอยุ่ตลอ<WBR>ดเวลา เป็นยุคที่จะดิ่งต่ำลงไปสู่ยุคม<WBR>ิคคสัญญีอันมืดดำเข้าสู่ยุคคนกิ<WBR>นคนในที่สุด เพราะฉะนั้นในเวลาที่พระพุทธองค<WBR>์มาประกาศธรรมในยุคนี้ท่านจึงทร<WBR>งสอนให้ทุกคนที่ยังไม่เข้าใจเรื<WBR>่องทุกข์และความดับไปแห่งทุกข์น<WBR>ั้น “ใช้จิตปรุงแต่ง” เพื่อเข้าไปรักษาศีล ทั้งนี้เพื่อยังความเป็นปรกติผา<WBR>สุขในการดำรงชีวิตของมวลหมู่มนุ<WBR>ษยชาติให้กลับคืนมา เหมือนเช่นสังคมมนุษย์อันเป็นปร<WBR>กติในต้นกัปป์ที่ผ่านมา ในการอยู่ร่วมกันของสังคมมนุษย์<WBR>นั้น “ศีล” คือศิลปะในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมก<WBR>ันกับคนอื่นอย่างมีความสุขเป็นป<WBR>รกติ หากทุกคนมีศีลสังคมที่อยู่ร่วมก<WBR>ันนั้นก็จะหมดความวุ่นวายลงอย่า<WBR>งทันที
    เมื่อพระพุทธองค์ทรงประกาศธรรมค<WBR>รั้งแรกที่ชื่อ “ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร” ในเรื่องมรรคมีองค์ 8 นั่น พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสถึงเรื่องศ<WBR>ีลไว้ในเส้นทางหลุดพ้นนี้ด้วย คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว ซึ่งเป็นเรื่องของศีล5 ศีล8 ศีล 227 นั่นเองทั้งนี้เพราะอริยชนที่ได<WBR>้เดินบนเส้นทางหลุดพ้นในมรรคมีอ<WBR>งค์8 ถึงแม้จะหลุดพ้นแล้วจิตถึงความด<WBR>ับสนิทไม่มีเหลือ แต่การครองขันธ์5และการดำรงชีวิ<WBR>ตร่วมกับผู้อื่นก็ยังมีอยู่ ยังคงต้องมีศีลเพื่อเป็นศิลปะใน<WBR>การดำเนินชีวิตเพื่อให้สอดคล้อง<WBR>แก่คนรอบข้างได้อย่างเหมาะสมลงต<WBR>ัว เป็นศีลปรมัตถ์ที่การแสดงออกทาง<WBR>กาย วาจา เป็นเรื่องปรกติที่ไปในทางที่ชอ<WBR>บอยู่แล้ว มิได้เกิดจากการยึดมั่นถือมั่นข<WBR>องจิตที่จะปรุงแต่งเพื่อเข้าไปท<WBR>ี่จะรักษาศีลแต่อย่างใด
    และศีลนี้เองที่พระพุทธองค์ได้ใ<WBR>ช้เป็นเครื่องมือในการสร้างศรัท<WBR>ธาแก่ศาสนิกชนเพื่อการเผยแพร่พร<WBR>ะพุทธศาสนาให้เป็นที่ยอมรับอย่า<WBR>งกว้างขวางอีกด้วย ในยุคแรกของการประกาศศาสนานั้นศ<WBR>ีลของภิกขุยังไม่ได้บัญญติเป็นข<WBR>้อๆถึง 227 ข้อ ที่รวมมาในวินัยปิฏกเพราะยังไม่<WBR>มีเหตุปัจจัยพระพุทธองค์จึงยังท<WBR>รงไม่บัญญัติขึ้น แต่พระองค์ท่านทรงวางหลักเกณฑ์ไ<WBR>ว้อย่างคร่าวๆว่า ภิกษุผู้ที่ยังชีพด้วยผู้อื่นเล<WBR>ี้ยงคือต้องขอเขากินตลอดชีวิตนั<WBR>้น การดำรงชีวิตของภิกษุก็ควรดำเนิ<WBR>นไปในทางมีศิลปะในการอยู่ร่วมกั<WBR>บผู้อื่นด้วยความเป็นคนดี กล่าวคือต้องมีวาจาที่ชอบในการพ<WBR>ูดออกมาแต่ละครั้ง(สัมมาวาจา) ต้องมีการกระทำที่ชอบไม่เบียดเบ<WBR>ียนผู้อื่น(สัมมากัมมันโต) ต้องมีการเลี้ยงชีพชอบไม่ต้องลั<WBR>กขโมยสิ่งของ ของผู้อื่น(สัมมาอาชีโว) และพระพุทธองค์ก็ได้วางหลักเกณฑ<WBR>์เรื่องศีลอีกครั้งในครา “ ประกาศโอวาทปาฏิโมกข์ ” โดยพระองค์ท่านตรัสว่า “ให้ละเว้นเสียซึ่งความชั่วทั้ง<WBR>ปวง ให้ทำแต่ความดี และยังจิตให้บริสุทธิ์” เพราะฉะนั้นการดำเนินชีวิตของภิ<WBR>กษุในยุคเริ่มแรกแห่งการประกาศศ<WBR>าสนานั้นไม่มีศีลเป็นข้อห้ามแต่<WBR>ละอย่างแต่ละข้อตายตัวเหมือนปัจ<WBR>จุบันนี้ แต่ศีลของภิกษูในยุคแรกนั้นอิงก<WBR>ับมาตรฐานความดีของสังคมชาวชมพู<WBR>ทวีปในยุคนั้นว่า อะไรคือความดีซึ่งเป็นที่ยอมรับ<WBR>ทั่วไป โดยพระพุทธองค์ประสงค์ให้ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว เป็นเนื้อหาอันเดียวกับศีล5 คือ ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ห้ามลักทรัพย์ ห้ามเสพกามคุณ ห้ามพูดโกหก ห้ามดื่มสุราเมรัยของมันเมานั่น<WBR>เอง
    ในการเวลาต่อมาเมื่อมีเหตุปัจจั<WBR>ยตั้งแต่คราวพระสุทินเสพกามคุณเ<WBR>พื่อสืบเผ่าพันธุ์ในตระกูลตนเอง<WBR> พระองค์ก็เริ่มบ้ญญัติศีลของภิก<WBR>ษุเป็นข้อๆเรื่อยมา โดยอาศัยเหตุปัจจัยที่มีผู้อื่น<WBR>มาทูลฟ้องพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก็จำเป็นต้องบัญญัติ<WBR>เป็นเรื่องๆไป ทั้งนี้เพื่อยังให้ศรัทธาที่มีต<WBR>่อพระพุทธศาสนายังคงอยู่และมิให<WBR>้เป็นอุปสรรคขวางกั้น ต่อการประกาศธรรมของพระองค์ท่าน<WBR> และที่สำคัญก็เพื่อประสงค์ให้ภิ<WBR>กษุทั้งหลายดำรงชีวิตกับผู้คนใน<WBR>สังคมปุถุชนได้อย่างเป็นปรกติสุ<WBR>ขนั้นเอง

    ..............................<WBR>..............................<WBR>............
     
  11. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่ 15 การตระหนักชัด

    การที่เราจะเข้าไปแก้ไขปัญหาในท<WBR>ุกๆปัญหาที่เกิดขึ้น ความจำเป็นจริงๆในสิ่งแรกก็คือ ควรเข้าไปศึกษาดูว่า “ ปัญหา ” นั้น มันคืออะไร หน้าตาแห่งปัญหามันเป็นอย่างไร เมื่อทำความรู้จักปัญหานั้นแล..<WBR>.้ว สิ่งที่ควรทำต่อไปก็คือ ควรเข้าไปศึกษาถึงเหตุปัจจัยว่า<WBR>อะไรที่มันก่อให้เกิดปัญหานี้ขึ<WBR>้น ความจำเป็นที่เราจะต้องเข้าไปศึ<WBR>กษาถึงเหตุอันก่อให้เกิดปัญหา ก็เพ...ราะเราจะได้เข้าไปแก้ไขปัญหาให้<WBR>ถูกทิศทาง มันจึงเป็นการแก้ไขปัญหาได้อย่า<WBR>งแท้จริงไม่ให้เกิดการหลงทางอีก<WBR>ด้วย กระบวนการดังกล่าวนี้คือ กระบวนการแห่ง “ การศึกษาถึงปัญหาและการแก้ไขปัญ<WBR>หา ” เป็นกระบวนการวิธีในการพิสูจน์แ<WBR>บบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซี่งอาศัยการพิสูจน์ด้วยหลักทฤษ<WBR>ฎี “ การอาศัยเหตุและผล ” อย่างตรงประเด็น และพระพุทธองค์ท่านก็ได้ใช้หลัก<WBR>ทฤษฎีนี้มาก่อนนักวิทยาศาสตร์ใน<WBR>ยุคปัจจุบัน ท่านได้ใช้หลักนี้ในราตรีคืนแห่<WBR>งการตรัสรู้นั่นเอง เมื่อท่านได้ตรัสรู้แล้วและหลัก<WBR>ในทฤษฎีท่านถูกต้องท่านจึงเป็นน<WBR>ักวิทยาศาสตร์เอกในยุคนั้นที่ผ่<WBR>านมา
    เมื่อพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ปัญหาที่เป็นตัวพาทำให้บรรดาสรร<WBR>พสัตว์ทั้งหลายต้องไปเวียนว่ายต<WBR>ายเกิดนั้น คือ “ ทุกข์ ” เราเองในฐานะนักปฏิบัติจึงมีควา<WBR>มจำเป็นต้องเข้าไปศึกษาว่า “ ทุกข์ ” นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร และต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้เ<WBR>กิดความเข้าใจว่าอย่างถ่องแท้ว่<WBR>า “ ทุกข์ ” นั้น มันเกิดขึ้นได้อย่างไรและอาศัยเ<WBR>หตุปัจจัยอะไรที่ทำให้มันเกิด และอีกทั้งจะเข้าไปแก้ไขปัญหาคื<WBR>อ “ ทุกข์ ” นั้นได้ด้วยวิธีอะไร เมื่อศึกษาธรรมะที่พระพุทธองค์ไ<WBR>ด้ตรัสไว้ให้เพียงพอจนเกิดความร<WBR>ู้และความเข้าใจแบบถ้วนทั่วว่า อะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์ และอะไรคือความดับทุกข์
    สิ่งที่เราเข้าใจแบบ “หมดไปซึ่งความลังเลสงสัย” ในเรื่องกระบวนการเรียนรู้ถึงปั<WBR>ญหาและการแก้ไขปัญหาคือ “ทุกข์” เหล่านี้ข้างต้นและคิดออกเห็นภา<WBR>พชัดเจน สิ่งเหล่านี้เรียกมันว่า “ การตระหนักชัด ”
    การตระหนักชัดนี้เอง คือ เป็นการเริ่มต้นปฏิบัติธรรมที่แ<WBR>ท้จริง และ
    ” เป็นคำตอบเดียว ” สำหรับคำถามที่หลายๆคน ที่พึ่งจะเข้ามาเป็นลูกศิษย์หน้<WBR>าใหม่ๆถามผู้เขียนเข้ามาแทบทุกค<WBR>นเลยว่า “ พระอาจารย์...ลูกศิษย์จะเริ่มต้<WBR>นปฏิบัติธรรมอย่างไรตรงใหนก่อนด<WBR>ี ”

    ..............................<WBR>..............................<WBR>...
     
  12. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่ 16 บัวสี่เหล่า

    ด้วยความที่กลุ่มกรรมวิสัยของแต<WBR>่ละกลุ่มมีดวงจิตผูกพันกันมาในเ<WBR>ชิงกระทำกรรมต่อกันทั้งในด้านบว<WBR>กและด้านลบ เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาที่บรมม<WBR>หาโพธิสัตว์ได้ลงมาจุติเพื่อตรั<WBR>สรู้และประกาศสัจจธรรมในแต่ละยุ<WBR>ค ด้...วยผลกรรมที่ได้ทำต่อกันมาน<WBR>ั้นมันหลากหลายและซับซ้อนจึงทำใ<WBR>ห้รอบบารมีของแต่ละดวงไม่เท่ากั<WBR>น ด้วยเหตุผลนี้เมื่อองค์พุทธโคดม<WBR>ได้ตัดสินใจประกาศแสดงธรรมใ...นยุคนี้ ท่านจึงมีพระมหากรุณาธิคุณที่จะ<WBR>ทรงแสดงธรรมเพื่อเอื้อแก่หมูบรร<WBR>ดาสรรพสัตว์น้อยใหญ่ ท่านเลือกที่จะทรงแสดงธรรมแตกต่<WBR>างกันไปให้เหมาะสมกับภูมิปัญญาบ<WBR>ารมีของแต่ละดวงจิต เพื่อให้ทุกดวงจิตได้รับประโยชน<WBR>์สูงสุดจากการที่ท่านได้ลงมาจุต<WBR>ิตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในห้วงก<WBR>าลเวลาแห่งกัปป์นี้
    บัวเหล่าที่ 1 บัวใต้โคลนตม
    เปรียบเสมือนกลุ่มดวงจิตที่ไม่ม<WBR>ีความละอายเกรงกลัวต่อบาปชอบเบี<WBR>ยดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นด้วย<WBR> กาย วาจา ใจ อยู่เป็นนิจ อีกทั้งเป็นกลุ่มดวงจิตที่เป็นม<WBR>ิจฉาทิฏฐิ ไม่เชื่อในกรรมคือการกระทำและผล<WBR>แห่งกรรมวิบากที่จะได้รับ ดวงจิตเหล่านี้ได้แต่แสวงหาความ<WBR>สุขแบบทางโลกๆไปวันๆเท่านั้น เป็นดวงจิตที่ขาดการพัฒนาทางด้า<WBR>นจิตใจมาเป็นเวลายาวนานหลายภพหล<WBR>ายชาติแล้ว
    เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปในที่ต่<WBR>างๆ และมีวาระกรรมที่ต้องได้พบปะกับ<WBR>พวกบัวเหล่านี้ หากพระองค์ทรงมีพระเมตตาพระองค์<WBR>ก็จะทรงตักเตือนและตรัสธรรมอันเ<WBR>ป็นเหตุให้พวกบัวเหล่านี้สะดุ้ง<WBR>สะเทิอนกลัวถึงกรรมวิบากที่พวกต<WBR>นจักได้รับ เช่น พระองค์จะตรัสถึงผลแห่งอกุศลกรร<WBR>มที่หากได้ทำไปแล้วจะนำพาไปสู่น<WBR>รกภูมิเป็นต้น แต่ถ้าหากบัวเหล่านี้ไม่รับฟังห<WBR>รือเป็นบัวที่มีดวงจิตหยาบช้าเก<WBR>ินไป เมื่อพระพุทธองค์ได้พบเจอ พระพุทธองค์ก็จะทรงเป็นผู้นิ่งเ<WBR>ฉยอยู่ โดยไม่ทรงตรัสธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ท่านทรงปล่อยไห้บัวเหล่านี้เวีย<WBR>นว่ายตายเกิดไปตามยถากรรมอันคือ<WBR>กรรมวิบากต่อไป
    บัวเหล่าที่ 2 บัวใต้น้ำ
    เปรียบเสมือนกลุ่มดวงจิตที่พอจะ<WBR>พัฒนาจิตตนเองได้บ้าง แต่รอบปัญญาบารมียังไม่เพียงพอท<WBR>ี่จะเรียนรู้ทำความเข้าใจเพื่อท<WBR>ี่จะตระหนักชัดถึง ความหมายแห่งทุกข์ เหตุแห่งการให้เกิดทุกข์ และความดับทุกข์ได้
    เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปในที่ต่<WBR>างๆ และมีวาระกรรมที่ต้องได้พบปะกับ<WBR>พวกบัวเหล่านี้ พระพุทธองค์จึงทรงมีความเมตตาที<WBR>่จะสั่งสอนบัวเหล่านี้ให้รู้ถึง<WBR>เรื่องกรรมที่ได้กระทำและผลแห่ง<WBR>กรรมที่จะได้รับจากการกระทำนั้น<WBR>ที่จะทำให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีแ<WBR>ละเลว ทั้งนี้เพื่อช่วยให้บัวเหล่านี้<WBR>ให้มีทิฎฐิความเห็นที่ถูกต้องเป<WBR>็นสัมมาทิฎฐิ หลุดพ้นจากมิจฉาทิฎฐิความเห็นผิ<WBR>ดทั้งปวง ซึ่งเห็นว่าโลกนี้เที่ยงหรือขาด<WBR>สูญ ซึ่งเป็นความเห็นผิดที่แพร่หลาย<WBR>ในยุคนั้น และเมื่อบัวเหล่านี้มีรอบปัญญาบ<WBR>ารมีไม่เพียงพอที่จะเรียนรู้เรื<WBR>่องทุกข์ และความดับไปแห่งทุกข์ พระพุทธองค์จะทรงแสดงธรรมเพื่อส<WBR>อนบัวเหล่านี้ให้รู้จักการอบรมจ<WBR>ิตใจตนเอง “ ด้วยการสอนให้ปรุงแต่งจิต ” ไปในทิศทางที่ชอบอันเป็นกุศลจิต<WBR> เช่นทรงสอนให้รักษาศิล 5 ทรงสอนให้สละทรัพย์เพื่อทำบุญบร<WBR>ิจาค ทรงสอนให้ออกบวชเนกขัมมะเพื่อรั<WBR>กษาอุโบสถศิล ทรงสอนให้เลี้ยงดูบิดามารดาเชื่<WBR>อฟังเคารพผู้ใหญ่ ทรงสอนให้เลือกคบหาบัณฑิตเป็นกั<WBR>ลยาณมิตร เหล่านี้เป็นต้น
    บัวเหล่าที่ 3 บัวปริ่มน้ำ
    เปรียบเสมือนกลุ่มดวงจิตที่มีรอ<WBR>บปัญญาบารมีมากพอที่จะเรียนรู้ท<WBR>ำความเข้าใจเพื่อจะตระหนักชัดถึ<WBR>ง สกาพแห่งทุกข์ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ และทุกข์ดับไปได้เพียงบางส่วน
    เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปในที่ต่<WBR>างๆ และมีวาระกรรมที่ต้องได้พบปะกับ<WBR>พวกบัวเหล่านี้ พระพุทธองค์จึงทรงมีความเมตตาที<WBR>่จะสั่งสอนบัวเหล่านี้ให้รู้ถึง<WBR>เรื่อง การเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์<WBR>ทั้ง 5 นั้นคือ ทุกข์ และทุกข์นั้นเองที่ทำให้ต้องไปเ<WBR>วียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎฎ์ และ เพราะรอบปัญญาบารมีของบัวเหล่าน<WBR>ี้ยังเห็นอยู่ด้วยโมหะความหลงว่<WBR>า “ ยังมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นอย<WBR>ู่ ” พระพุทธองค์จึงทรงสอนชี้ให้เห็น<WBR>ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่บัวเหล่านี้เ<WBR>ห็นว่ามันเกิดขึ้นนั้น “ มันตั้งอยู่ได้ไม่นาน ” และเป็นธรรมดาธรรมชาติที่สิ่งใด<WBR>สิ่งหนึ่งนี้มันก็ล้วนดับไปโดยส<WBR>ภาพมันเอง ท่านทรงเพียงสอนให้บัวเหล่านี้ค<WBR>ลายจากกำหนัดแห่งความเข้าไปยึดม<WBR>ั่นถือมั่นทั้งหลายเท่านั้น
    บัวเหล่าที่ 4 บัวที่ชูช่อเหนือน้ำและกำลังที่<WBR>จะบานกลีบออก
    เปรียบเสมือนกลุ่มดวงจิตที่จะมี<WBR>ปัญญาบารมีมากเพียงพอแล้วที่จะพ<WBR>้นทุกข์เป็นผู้หลุดพ้นในชาตินี้<WBR>ได้
    เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปในที่ต่<WBR>างๆ และมีวาระกรรมที่ต้องได้พบปะกับ<WBR>พวกบัวเหล่านี้ พระพุทธองค์เพียงทรงตรัสธรรมแค่<WBR>ว่า ทุกสรรพสิ่งมันย่อมไม่ใช่ตัวไม่<WBR>ใช่ตนอยู่แล้ว มันคือความว่างเปล่าเป็นเช่นนั้<WBR>นของมันเองอยู่อย่างนั้น สำหรับบัวเหล่านี้พระพุทธองค์จะ<WBR>ไม่ทรงตรัสธรรมอะไรมาก เพราะบัวเหล่านี้มีปัญญามากพอมี<WBR>ความเป็นบัณฑิตมากพอที่จะพิจารณ<WBR>าและทำความเข้าใจในธรรมต่างๆ ด้วยปัญญาของตนเองได้ เพียงพระพุทธองค์ทรงตรัสธรรมซึ่<WBR>งเป็น “ ธรรมอันคือธรรมชาติแห่งการปรุงแ<WBR>ต่งไม่ได้โดยตัวมันเอง ” เพียงเท่านั้น บัวเหล่านี้ก็ได้ตระหนักชัดและก<WBR>ลายเป็นเนื่อหาเดียวกันกับความว<WBR>่างเปล่าแห่งความไม่ใช่ตัวไม่ใช<WBR>่ตนอยู่อย่างนั้น ต่อหน้าพระพักตร์แห่งองค์พระตถา<WBR>คตเจ้า

    ..............................<WBR>................
     
  13. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่ 17 สติปัฏฐาน

    โดยความเป็นจริง ธรรมอันคือธรรมชาติที่แท้จริงนั<WBR>้นมีเพียงข้อเดียวที่พระพุทธองค<WBR>์ตรัสไว้ คือ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา หมายถึง ธรรมทั้งหลายทั้งปวงย่อมไม่ใช่ต<WBR>ัวไม่ใช่ตนอยู่แล้วอย่างนั้นโดย<WBR>ตัวมันเอง แต่เพราะความที่บรร...ดาสรรพสัต<WBR>ว์ทั้งหลายมีรอบปัญญาบารมีไม่เท<WBR>่ากัน สรรพสัตว์บางพวกก็ไม่สามารถที่จ<WBR>ะทำความเข้าใจตระหนักชัดในธรรมอ<WBR>ันคือธรรมชาติที่แท้จริงนั้นได้<WBR> ...เพราะสรรพสัตว์พวกนี้ยังมีความห<WBR>ลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่า ยังเห็นว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิ<WBR>ดขึ้นอยู่เนืองๆ เมื่อไม่เข้าใจธรรมอันคือธรรมชา<WBR>ติที่แท้จริงว่า ความจริงมันไม่มีอะไรที่เป็นตัว<WBR>เป็นตนอยู่เลยมันว่างเปล่าของมั<WBR>นอยู่อย่างนั้น เมื่อยังเข้าไปหลงยึดว่ามี พระพุทธองค์จึงทรงมีความเมตตาที<WBR>่จะสั่งสอนสรรพสัตว์พวกนี้ว่า สิ่งที่หลงเข้าไปยึดว่ามีซึ่งมั<WBR>นคือ “ การเกิดขึ้น ” แห่งอัตตาความเป็นตัวตนนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นนี้นั้นย่อมตั้ง<WBR>อยู่ได้ไม่นานและมีความเสื่อมไป<WBR>ดับไปโดยตัวมันเองเป็นธรรมดาเป็<WBR>นธรรมชาติของมัน
    เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ได้ทรง<WBR>ตรัสถึงธรรมอันหากหลงเข้าไปยึดว<WBR>่ามีแล้วมันย่อมมีความเสื่อมไปด<WBR>ับไปเป็นธรรมดาแก่ชุมชนนิคมชาวก<WBR>ุรุ ชื่อว่า กัมมาสธัมมะ พระพุทธองค์ท่านได้ทรงแจกแจงลัก<WBR>ษณะธรรมอันหลงเข้าไปยึดว่ามี ไว้ทั้งหมด 4 หมวดใหญ่ ได้แก่ หมวดกาย หมวดเวทนา หมวดจิต หมวดธรรม พระพุทธองค์ตรัสธรรมอันคือ สติปัฏฐานทั้ง 4 ไว้เพื่อชี้ให้บรรดาสรรพสัตว์ทั<WBR>้งหลายที่ยังหลงยึดว่ามีนั้น ได้เห็นความเกิดขึ้นแห่งธรรม อันคือ กาย เวทนา จิต ธรรม และได้เห็นความเสื่อมไปดับไปในธ<WBR>รรม อันคือ กาย เวทนา จิต ธรรม นั้นเอง
    ทั้งนี้เพื่อเป็นไปในความตั้งมั<WBR>่นแห่ง สติ สมาธิ ปัญญา อันคือเนื้อหาแห่งมรรคมีองค์แปด<WBR> ซึ่งเป็นหนทางพ้นจากทุกข์ ( ซึ่งหมายถึง การที่ได้เห็นความเกิดขึ้นแห่งธ<WBR>รรม อันคือ กาย เวทนา จิต ธรรม และได้เห็นความเสื่อมไปดับไปในธ<WBR>รรม อันคือ กาย เวทนา จิต ธรรม นั้น มันคือ ความตั้งมั่นและมันคือความเป็นไ<WBR>ปในอินทรีย์แห่งธรรม คือ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นหนทางแห่งมรรคมีองค์แปด<WBR>ไปในตัวอยู่แล้ว )

    ทั้งนี้เพื่อเป็นไปในความตั้งมั<WBR>่นแห่ง สติ สมาธิ ปัญญา อันคือเนื้อหาแห่งโพชฌงค์ธรรม 7 ประการ ซึ่งเป็นธรรมที่เป็นองค์แห่งการ<WBR>ตรัสรู้หลุดพ้น ( ซึ่งหมายถึง การที่ได้เห็นความเกิดขึ้นแห่งธ<WBR>รรม อันคือ กาย เวทนา จิต ธรรม และได้เห็นความเสื่อมไปดับไปในธ<WBR>รรม อันคือ กาย เวทนา จิต ธรรม นั้น มันคือ ความตั้งมั่นและมันคือความเป็นไ<WBR>ปในอินทรีย์แห่งธรรม คือ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นโพชฌงค์ธรรม 7 ประการ ซึ่งเป็นธรรมที่เป็นองค์แห่งการ<WBR>ตรัสรู้หลุดพ้นไปในตัวอยู่แล้ว)
    ทั้งนี้เพื่อเป็นไปแห่ง ความดับไปแห่งตัณหาอุปาทานไม่ยึ<WBR>ดมั่นถือมั่นในสิ่งที่หลงเข้าไป<WBR>ยึดว่ามีและมันเกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นไปแห่ง ความคลายกำหนัดที่แท้จริง
    โดยเนื้อแท้อันเป็นธรรมแห่งสติป<WBR>ัฏฐานตามความประสงค์ของพระพุทธอ<WBR>งค์นั้น พระองค์ท่านต้องการชี้ให้เห็นถึ<WBR>งธรรมชาติอันดับอยู่แล้วไม่เที่<WBR>ยงอยู่แล้วโดยตัวมันเอง เป็นการเจริญสติปัฏฐานในวิถี “ความเป็นธรรมดาความเป็นธรรมชาต<WBR>ิแห่งความเสื่อมไป” ในสิ่งที่หลงเข้าไปยึด
    ..............................<WBR>..............................<WBR>.
     
  14. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่ 18 กาย

    ในส่วนกายานุปัสสนาสติหรือสติปั<WBR>ฎฐานในหมวด กาย นั้น เป็นพุทธประสงค์ ที่จะให้เราย้อนกลับมาพิจารณาถึ<WBR>งร่างกายเราเองที่เราชอบปรุงแต่<WBR>งว่า “ ร่างกาย ” นี้คือ “ เรา ” แต่แท้ที่จริงนั้นอวัยวะทั้งหลา<WBR>ยที่มาประกอบขึ้นเป็น ”ร่างกาย ” มันก็ล้...วนมีสภาพเกิดขึ้นแล้ว<WBR>ตั้งอยู่ในสภาพเดิมได้ไม่นานแล้<WBR>วสภาพเดิมแห่ง ” ร่างกาย ” นั้นก็ต้องเปลี่ยนสภาพไปเพราะมั<WBR>นมีความเสื่อม...ไปเป็นธรรมดาธรรมชาติ ซึ่งเป็นอุบายที่พระพุทธองค์ได้<WBR>ตรัสไว้เพื่อให้เราละจากทิฏฐิคว<WBR>ามเห็นในส่วนที่ว่า “ กาย ” นี้ คือ “ เรา ” และให้เราเห็นถึง “ ลักษณะธรรมที่มันมีสภาพตั้งอยู่<WBR>ได้ไม่นานเพราะมันมีความเสื่อมไ<WBR>ปเป็นธรรมดา ” พระพุทธองค์ท่านสอนให้เห็นถึงธร<WBR>รมอันคือ “ อนิจจัง ” ความไม่เที่ยงโดยใช้การพิจารณาก<WBR>ารเสื่อมไปแห่งกายเป็นบาทฐาน การพิจารณากายในกาย ซึ่งอยู่ในสติปัฏฐานหมวดกายนี้ มีดังต่อไปนี้
    1. หายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
    พึงพิจารณาเห็นถึง ความเกิดขึ้นแห่งลมหายใจในจุดใด<WBR>จุดหนึ่งในร่างกาย และจุดที่เกิดขึ้นแห่งลมหายใจก็<WBR>เปลี่ยนสภาพไปตั้งอยู่จุดเดิมได<WBR>้ไม่นานและมีความเสื่อมไปสิ้นไป<WBR>จากจุดเดิมนั้น
    “ ด้วยความตระหนักชัดถึงความสิ้นไ<WBR>ปเสื่อมไปเป็นธรรมดา ” อันเกิดจากการพิจารณากายในส่วนน<WBR>ี้เป็นบาทฐาน ก็ให้เราควรละทิฏฐิที่เห็นว่ากา<WBR>ยนี้คือเรา
    ไม่ควรเข้าไปเนื่อง ไม่ควรเข้าไปเนิ่นช้า ไม่ควรเข้าไปสาละวน ในทิฏฐิซึ่งเป็นจิตปรุงแต่งแบบน<WBR>ี้อีก กายนั้นเป็นเพียงแค่ได้อาศัยอยู<WBR>่ชั่วคราวมีความเสื่อมไปสิ้นไปเ<WBR>ป็นธรรมดา
    2. เมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่าเรายืน เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่าเรานั่ง เมื่อนอนก็รู้ชัดว่าเรานอน และความรู้สึกตัวในการก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้มรส ในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัว ในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง
    พึงพิจารณาเห็นถึง ความเกิดขึ้นแห่งอิริยาบถของร่า<WBR>งกาย และอริยาบทที่เกิดขึ้นของร่างกา<WBR>ยก็เปลี่ยนสภาพไปตั้งอยู่ในอริย<WBR>บทเดิมได้ไม่นานและมีความเสื่อม<WBR>ไปสิ้นไปจากอริยบทเดิมนั้น
    “ ด้วยความตระหนักชัดถึงความสิ้นไ<WBR>ปเสื่อมไปเป็นธรรมดา ” อันเกิดจากการพิจารณากายในส่วนน<WBR>ี้เป็นบาทฐาน ก็ให้เราควรละทิฏฐิที่เห็นว่ากา<WBR>ยนี้คือเรา
    ไม่ควรเข้าไปเนื่อง ไม่ควรเข้าไปเนิ่นช้า ไม่ควรเข้าไปสาละวน ในทิฏฐิซึ่งเป็นจิตปรุงแต่งแบบน<WBR>ี้อีก กายนั้นเป็นเพียงแค่ได้อาศัยอยู<WBR>่ชั่วคราวมีความเสื่อมไปสิ้นไปเ<WBR>ป็นธรรมดา
    ในส่วนพิจารณาอริยบทนี้ พระพุทธองค์มีความประสงค์ให้เรา<WBR>เรียนรู้ถึงสภาพธรรมอันคือการระ<WBR>ลึกรู้แบบถ้วนทั่วซึ่งมันคือ สติสัมปชัญญะ เพื่อเป็นบาทฐานเทียบเคียงให้เร<WBR>าได้ตระหนักชัดขึ้นถึงลักษณะควา<WBR>มเป็นไปในอินทรย์แห่ง สัมมาสติ

    3. แต่พื้นเท้าขึ้นไป แต่ปลายผมลงมา มีหนังเป็นที่สุดรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่า<WBR>งๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้ทบ อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตามันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร
    พึงพิจารณาเห็นถึง ความเกิดขึ้นแห่งทิฏฐิเกี่ยวกับ<WBR>รูปกายที่เห็นเป็นร่างกายสมบูรณ<WBR>์สวยงามครบ 32 ประการ เมื่อเข้าใจว่าแท้จริงร่างกายนั<WBR>้นมันเพียงถูกห่อหุ้มและเต็มไปด<WBR>้วยอวัยวะน้อยใหญ่ซึ่งเป็นสิ่งไ<WBR>ม่สวยงาม ก็ไม่ควรเข้าไปเนื่อง ไม่ควรเข้าไปเนิ่นช้า ไม่ควรเข้าไปสาละวน ในทิฏฐิเกี่ยวกับรูปกายที่เห็นเ<WBR>ป็นร่างกายสมบูรณ์สวยงามครบ 32 ประการ ทิฏฐินี้ก็มีความเสื่อมไปเป็นธร<WBR>รมดาธรรมชาติ

    “ ด้วยความตระหนักชัดถึงความสิ้นไ<WBR>ปเสื่อมไปเป็นธรรมดา ” อันเกิดจากการพิจารณากายในส่วนน<WBR>ี้เป็นบาทฐาน ก็ให้เราควรละทิฏฐิที่เห็นว่ากา<WBR>ยนี้คือเรา
    ไม่ควรเข้าไปเนื่อง ไม่ควรเข้าไปเนิ่นช้า ไม่ควรเข้าไปสาละวน ในทิฏฐิซึ่งเป็นจิตปรุงแต่งแบบน<WBR>ี้อีก กายนั้นเป็นเพียงแค่ได้อาศัยอยู<WBR>่ชั่วคราวมีความเสื่อมไปสิ้นไปเ<WBR>ป็นธรรมดา

    4.กายนี้ซึ่ง ตั้งอยู่ตามที่ ตั้งอยู่ตามปรกติ โดยความเป็นธาตุว่ามีอยู่ในกายน<WBR>ี้มี ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
    พึงพิจารณาเห็นถึง ความเกิดขึ้นแห่งทิฏฐิเกี่ยวกับ<WBR>รูปกายที่เห็นว่ากายนี้พึงตั้งอ<WBR>ยู่ตามที่ พึงตั้งอยู่ตามปรกติ เมื่อเข้าใจว่าแท้จริงร่างกายนั<WBR>้นมันประกอบไปด้วยธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม และย่อมสลายออกเป็นส่วนๆไปตามกา<WBR>ลเวลาพึงตั้งอยู่ตามที่ พึงตั้งอยู่ตามปรกติ ได้ไม่นาน ก็ไม่ควรเข้าไปเนื่อง ไม่ควรเข้าไปเนิ่นช้า ไม่ควรเข้าไปสาละวน ในทิฏฐิเกี่ยวกับรูปกายที่เห็นว<WBR>่ากายนี้พึงตั้งอยู่ตามที่ พึงตั้งอยู่ตามปรกติ ทิฏฐินี้ก็มีความเสื่อมไปเป็นธร<WBR>รมดาธรรมชาติ
    “ ด้วยความตระหนักชัดถึงความสิ้นไ<WBR>ปเสื่อมไปเป็นธรรมดา ” อันเกิดจากการพิจารณากายในส่วนน<WBR>ี้เป็นบาทฐาน ก็ให้เราควรละทิฏฐิที่เห็นว่ากา<WBR>ยนี้คือเรา
    ไม่ควรเข้าไปเนื่อง ไม่ควรเข้าไปเนิ่นช้า ไม่ควรเข้าไปสาละวน ในทิฏฐิซึ่งเป็นจิตปรุงแต่งแบบน<WBR>ี้อีก กายนั้นเป็นเพียงแค่ได้อาศัยอยู<WBR>่ชั่วคราวมีความเสื่อมไปสิ้นไปเ<WBR>ป็นธรรมดา

    5.พึงเห็น “ สรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ”
    - ตายแล้ววันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง ที่ขึ้นพอง มีสีเขียวน่าเกลียด มีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด
    - อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่บ้าง<WBR> หมู่สัตว์ตัวเล็กๆต่างๆ กัดกินอยู่บ้าง
    - เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
    - เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อ แต่ยังเปื้อนเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
    - เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
    - เป็นกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว เรี่ยรายไปในทิศใหญ่ทิศน้อย คือ กระดูกมือไปทางหนึ่ง กระดูกเท้าไปทางหนึ่ง กระดูกแข้งไปทางหนึ่ง กระดูกขาไปทางหนึ่ง กระดูกสะเอวไปทางหนึ่ง กระดูกหลังไปทางหนึ่ง กระดูกสันหลังไปทางหนึ่ง กระดูกสีข้างไปทางหนึ่ง กระดูกหน้าอกไปทางหนึ่ง กระดูกไหล่ไปทางหนึ่ง กระดูกแขนไปทางหนึ่ง กระดูกคอไปทางหนึ่ง กระดูกคางไปทางหนึ่ง กระดูกฟันไปทางหนึ่ง กะโหลกศีรษะไปทางหนึ่ง
    - เป็นกระดูกมีสีขาว เปรียบด้วยสีสังข์บ้าง
    - เป็นกระดูกกองเรียงรายอยู่แล้วเ<WBR>กินปีหนึ่งขึ้นไปบ้าง
    - เป็นกระดูกผุ เป็นจุณแล้ว

    พึงพิจารณาเห็นถึง ความเกิดขึ้นแห่งทิฏฐิเกี่ยวกับ<WBR>รูปกายที่เห็นว่ากายนี้คงอยู่ใน<WBR>สภาพแบบนี้ตลอดไป เมื่อเข้าใจว่าแท้จริงการคงอยู่<WBR>ตลอดไปของร่างกายนั้นก็มีการเสื<WBR>่อมสิ้นสลายไปเหมือนที่เห็นสรีร<WBR>ะที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้าและกระจั<WBR>ดกระจายอยู่ในรูปแบบต่างๆอย่างน<WBR>ี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ก็ไม่ควรเข้าไปเนื่อง ไม่ควรเข้าไปเนิ่นช้า ไม่ควรเข้าไปสาละวน ในทิฏฐิเกี่ยวกับรูปกายที่เห็นว<WBR>่ากายนี้คงอยู่ในสภาพแบบนี้ตลอด<WBR>ไป ทิฏฐินี้ก็มีความเสื่อมไปเป็นธร<WBR>รมดาธรรมชาติ
    “ ด้วยความตระหนักชัดถึงความสิ้นไ<WBR>ปเสื่อมไปเป็นธรรมดา ” อันเกิดจากการพิจารณากายในส่วนน<WBR>ี้เป็นบาทฐาน ก็ให้เราควรละทิฏฐิที่เห็นว่ากา<WBR>ยนี้คือเรา
    ไม่ควรเข้าไปเนื่อง ไม่ควรเข้าไปเนิ่นช้า ไม่ควรเข้าไปสาละวน ในทิฏฐิซึ่งเป็นจิตปรุงแต่งแบบน<WBR>ี้อีก กายนั้นเป็นเพียงแค่ได้อาศัยอยู<WBR>่ชั่วคราวมีความเสื่อมไปสิ้นไปเ<WBR>ป็นธรรมดา

    ..............................<WBR>..............................<WBR>.......
     
  15. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่ 19 เวทนา

    ในส่วนเวทนานุปัสสนาสติหรือสติป<WBR>ัฏฐานในหมวด เวทนานั้น เป็นพุทธประสงค์
    ที่จะให้เราทำความเข้าใจพื่อตระ<WBR>หนักชัดว่า
    ยามเราเสวยสุขเวทนา(ความรู้สึกท<WBR>ี่เป็นสุข) ที่มันเกิดขึ้น โดยธรรมชาติสุขเวทนาที่เกิดข...<WBR>ึ้นนั้น ย่อมไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนตั้งอยู<WBR>่ได้ไม่นาน มีความแปรปรวนดับไปเป็นธรรมดาอย<WBR>ู่แล้ว
    ยามเราเสวยทุกขเวทนา(ความรู้สึก<WBR>ที่เป็นทุกข์) ที่มันเกิดขึ้น โดยธรรม...ชาติทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นนั้น ย่อมไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนตั้งอยู<WBR>่ได้ไม่นาน มีความแปรปรวนดับไปเป็นธรรมดาอย<WBR>ู่แล้ว
    ยามเราเสวยอทุกขมสุขเวทนา(ความร<WBR>ู้สึกที่เฉยๆไม่สุขไม่ทุกข์) ที่มันเกิดขึ้น โดยธรรมชาติอทุกขมสุขเวทนาที่เก<WBR>ิดขึ้นนั้น ย่อมไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนตั้งอยู<WBR>่ได้ไม่นาน มีความแปรปรวนดับไปเป็นธรรมดาอย<WBR>ู่แล้ว
    ถึงแม้ในความเป็นจริง เราไม่หลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นใ<WBR>นขันธ์ทั้ง 5 ในเวทนาทั้งหลายจนก่อให้เกิดตัณ<WBR>หาอุปาทานเป็น จิตปรุงแต่ง เป็นเราเป็นเขา เป็นตัวตนขึ้นมา แต่ถ้าหากเรารู้ว่า ขณะนี้มีเวทนาทั้งหลายเกิดขึ้นแ<WBR>ละเสวยเวทนานั้นๆอยู่ ก็ให้เราทำความเข้าใจเพื่อตระหน<WBR>ักชัดและกลายเป็นเนื้อหาเดียวกั<WBR>นกับที่ เวทนาทั้งหลายนั้นมันดับไปเป็นธ<WBR>รรมดาตามธรรมชาติโดยตัวมันเองอย<WBR>ู่แล้ว
    การกลายเป็นเนื้อหาธรรมตรงนี้ก็<WBR>คือ ความว่างเปล่าจากความหมายแห่งคว<WBR>ามเป็นตัวตน มันคือความว่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ต<WBR>น มันคือ อนัตตา

    ..............................<WBR>.........................
     
  16. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่ 20 จิต

    ในส่วนของจิตตานุปัสนาหรือสติปั<WBR>ฏฐานในหมวด จิต เป็นพุทธประสงค์ที่จะให้เราทำคว<WBR>ามเข้าใจเพื่อตระหนักชัดว่า เมื่อความไม่รู้พาเข้าไปยึดมั่น<WBR>ถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 ในเวทนาทั้งหลายแล้วนั้น มันย่อมก่อให้เกิด ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ... ขรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสะ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือความหมายแห่<WBR>งการปรุงแต่งเป็นจิตในลักษณะต่า<WBR>งๆนั่นเอง และจิตในลักษณะต่างๆนี้ซ...ึ่งมันคือ ปรากฏการณ์ทางจิตหรือพฤติกรรมทา<WBR>งจิต มันย่อมแปรปรวนตั้งอยู่ได้ไม่นา<WBR>นและไม่เที่ยงแท้ดับไปโดยตัวมัน<WBR>เองตามธรรมดาอยู่แล้วในที่สุด
    จิตในลักษณะต่างๆ มีดังต่อไปนี้
    1.จิตมีราคะ ก็รู้ว่า จิตมีราคะ
    2.จิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่า จิตปราศจากราคะ
    3.จิตมีโทสะ ก็รู้ว่า จิตมีโทสะ
    4.จิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่า จิตปราศจากโทสะ
    5.จิตมีโมหะ ก็รู้ว่า จิตมีโมหะ
    6.จิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่า จิตปราศจากโมหะ
    7.จิตหดหู่ ก็รู้ว่า จิตหดหู่
    8.จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่า จิตฟุ้งซ่าน
    9.จิตเป็นมหรคต* ก็รู้ว่า จิตเป็นมหรคต
    10.จิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่า จิตไม่เป็นมหรคต
    11.จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่า จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า
    12.จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่า จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
    13.จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่า จิตเป็นสมาธิ
    14.จิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่า จิตไม่เป็นสมาธิ
    15.จิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่า จิตไม่หลุดพ้น
    16.จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่า จิตหลุดพ้น
    ก็พึงเข้าใจว่า จิตก็คือสิ่งที่เราปรุงแต่งขึ้น<WBR>เพราะความไม่รู้ของเราพาเข้าไปย<WBR>ึดในเวทนาทั้งหลาย ซึ่งจะเรียกมันว่า “ความคิด” ก็ได้ ความคิดของนักปฏิบัตินั้นจะคิดจ<WBR>ะปรุงแต่งอยู่แค่สองลักษณะเท่าน<WBR>ั้น คือ มีความคิดปรุงแต่งไปในทางเรื่อง<WBR>ราวของทางโลกๆ และ มีความคิดปรุงแต่งไปในทางธรรม เช่นในเรื่องการศึกษาพิจารณาถึง<WBR>ความหมายแห่งธรรม และเรื่องการปฏิบัติธรรมและผลแห<WBR>่งการปฏิบัติ ซึ่งความคิดความปรุงแต่งในสองลั<WBR>กษณะนี้ ก็ล้วนตกอยู่ในความหมายที่พระพุ<WBR>ทธองค์ทรงแจกแจงเป็นจิตไว้ถึง 16 ลักษณะดังกล่าวแล้ว ซึ่งก็คือจิตในลักษณะต่างๆที่นั<WBR>กปฏิบัติทั้งหลายชอบปรุงแต่งไปใ<WBR>นทาง “ ทั้งทางโลกและทางธรรม ” นั่นเอง
    และจิตลักษณะต่างๆนี้เอง เมื่อมันเกิดขึ้น ก็ตั้งอยู่ได้ไม่นาน เรา “ ก็รู้ว่า ” ไม่ควรเข้าไปเนื่อง ไม่ควรเข้าไปเนิ่นช้า ไม่ควรเข้าไปสาละวน ในการปรุงแต่งในรายละเอียดแห่งเ<WBR>นื้อหาจิตต่างๆนั้น จนจิตต่างๆนั้นมันยืดยาวออกไปด้<WBR>วยความยึดมั่นถือมั่น และเรา “ ก็รู้ว่า ” จิตต่างๆนั้น เมื่อไม่เข้าไปเนื่อง ไม่เข้าไปเนิ่ยช้า ไม่เข้าไปสาละวน จิตต่างๆนั้นมันก็ล้วนไม่เที่ยง<WBR>ดับไปโดยตัวมันเองเป็นธรรมดาตาม<WBR>สภาพธรรมชาติ ( ธรรมดาธรรมชาติแห่งการที่ไม่มีส<WBR>ิ่งใดสิ่งหนึ่งตั้งอยู่ได้นานมี<WBR>ความแปรปรวนตลอด )
    เมื่อเข้าใจและตระหนักชัดในความ<WBR>หมายทั้งหมดข้างต้น ก็ควรที่จะ “ กลายเป็นเนื้อหาเดียวกัน ” กับจิตลักษณะต่างๆที่ดับไปนั้น
    การกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธ<WBR>รรมตรงนี้ก็คือ ความว่างเปล่าจากความหมายแห่งคว<WBR>ามเป็นตัวตน มันคือความว่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ต<WBR>น มันคือ อนัตตา
    ( มหรคต* คือ ภาวะธรรมแห่งความเป็นใหญ่ได้แก่<WBR>ฌานจิตขั้นต่างๆ ทั้งรูปฌานและอรูปฌาน )

    ..............................<WBR>..............................<WBR>...
     
  17. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่ 21 ธรรม

    ในส่วนของธรรมนุปัสสนาสติหรือสต<WBR>ิปัฏฐานในหมวด ธรรม มีธรรมอยู่ 5 แบบ ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้คือ ขันธบรรพะ อายตนบรรพะ นิวรณ์บรรพะ โพชฌังคบรรพะ สัจจะบรรพะ โดยเนื้อหาแห่งธรรมต่างๆแล้วนี้<WBR> เป็นส่ว...นที่ต้องเข้าไปศึกษาพ<WBR>ิจารณาเพื่อทำลายความเห็นอันเป็<WBR>นสักกายทิฐิและความลังเลสงสัยอั<WBR>นเป็นความไม่เข้าใจในธรรมคือวิจ<WBR>ิกิจฉา เพื่อทำให้ความเข้าใจในธรรมทั้ง<WBR>ปวงที่เกิ...ดขึ้น เป็นความเข้าใจในธรรมที่ว่า โดยธรรมชาตินั้นย่อมไม่เที่ยงอย<WBR>ู่แล้วโดยตัวมันเองเป็นธรรมดา โดยธรรมชาตินั้นย่อมไม่ใช่ตัวไม<WBR>่ใช่ตนอยู่แล้ว
    การที่พระพุทธองค์ตรัสถึงธรรมาน<WBR>ุปัสสนาสตินั้น พระพุทธองค์ทรงประสงค์ที่จะเกื้<WBR>อกูลหมู่สัตว์ที่มีปัญญามากพอที<WBR>่จะดำเนินไปในเส้นทาง “ ธรรมชาติ ” อันเป็นเส้นทางหลุดพ้นได้ แต่ยังติดที่ยังมีความไม่เข้าใจ<WBR>ในธรรมในส่วนต่างๆที่เป็นเรื่อง<WBR>ที่ต้องเรียนรู้ถึงปัญหาและวิธี<WBR>การแก้ไขปัญหาในทุกข์อย่างถูกวิ<WBR>ธี

    ขันธบรรพะ คือการพิจารณาธรรมว่า นี่คือการเกิดขึ้นแห่งขันธ์ทั้ง<WBR> 5 เมื่อรูปเกิด วิญญาณเกิด สัญญาเกิด สังขารเกิด เวทนาเกิด และนี่คือการดับไปแห่งขันธ์ทั้ง<WBR> 5 เมื่อเวทนาดับ สังขารดับ สัญญาดับ วิญญาณดับ รูปดับ ทั้งนี้เพื่อความเข้าใจในธรรมว่<WBR>าขันธ์ทั้ง 5 นั้นเมื่อเกิดขึ้นก็ย่อมดับไปเอ<WBR>งอยู่แล้วเป็นธรรมดา

    อายตนบรรพะ คือ การพิจารณาธรรมว่า โดยปรกติ เมื่อ......มีเหตุปัจจัย เข้ามาทางรูป เช่น
    รูปภาพ ที่เข้ามาทาง ตา
    เสียง ที่เข้ามาทาง หู
    กลิ่น ที่เข้ามาทาง จมูก
    รสชาด ที่เข้ามาทาง ลิ้น
    การสัมผัสสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาทาง ผิวกาย
    สิ่งที่ผุดขึ้นในความรู้สึก ที่เข้ามาทาง ใจ
    ให้ทำความเข้าใจและรู้จักสังโยช<WBR>น์ที่อาศัย ภาพที่เข้ามาทางตา ,เสียงที่เข้ามาทางหู ,กลิ่นที่เช้ามาทางจมูก ,รสชาติที่เข้ามาทางลิ้น , การสัมผัสต่างๆที่เข้ามาทางผิวก<WBR>าย,สิ่งที่ผุดขึ้นในความรู้สึกท<WBR>ี่เข้ามาทางใจ ทั้งหมดนี้ที่สังโยชน์ได้อาศัยเ<WBR>กิดขึ้น อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย สังโยชน์ที่ละได้แล้วจะไม่เกิดข<WBR>ึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
    สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดจิตใจให<WBR>้ตกอยู่ในวัฎฎะ มี 10 อย่าง
    1. สักกายทิฏฐิ ความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา
    2. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในเนื้อหาธรรม
    3. สีลัพพตปรามาส ข้อประพฤติข้อวัตรที่เต็มไปด้วย<WBR>ความงมงาย
    4. กามฉันทะ พอใจในกามคุณ
    5. ปฏิฆะ มีอารมณ์กระทบใจ จิตมีความโกรธ
    6. รูปราคะ หลงในรุปฌาน
    7. อรูปราคะ หลงในอรูปฌาน
    8. มานะ การถือตัวถือตน
    9. อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน
    10. อวิชชา ไม่รู้ตามความเป็นจริงเรื่องนิพ<WBR>พาน

    นิวรณ์บรรพะ คือการพิจารณาเนื้อหาธรรมอันคือ<WBR>นิวรณ์ทั้ง 5
    1.กามฉันทะ จิตที่ปรุงแต่งเกี่ยวกับความพึง<WBR>พอใจในกาม
    2.พยาบาท จิตที่ปรุงแต่งเกี่ยวกับความโกร<WBR>ธแค้นอันเนื่องมาจากโทสะ
    3.ถีนมิทธะ จิตที่ปรุงแต่งมีสภาพเกี่ยวกับค<WBR>วามง่วงเหงาหาวนอน หดหู่ เซื่องซึม
    4. อุทธัจจกุกกุจจะ จิตที่ปรุงแต่งมีสภาพเกี่ยวกับค<WBR>วามฟุ้งซ่าน หงุดหงิดรำคาญใจ
    5.วิจิกิจฉา จิตที่ปรุงแต่งมีสภาพเกี่ยวกับค<WBR>วามลังเลสงสัยคงามไม่เข้าใจในธร<WBR>รม
    ให้พิจารณาถึง ความมีอยู่และความไม่มีอยู่ ของธรรมเหล่านี้ในจิต
    ให้พิจารณาถึง ธรรมเหล่านี้ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้น
    ให้พิจารณาถึง ธรรมเหล่านี้ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้น
    ให้พิจารณาถึง ธรรมเหล่านี้ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด<WBR> ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

    โพชฌังคบรรพะ คือการพิจารณาเนื้อหาธรรมอันคือ<WBR>โพชฌงค์ 7 ประการ
    1.สติ 2.ธัมมวิจยะ(การวินิจฉัยสอดส่อง<WBR>ธรรม) 3.วิริยะ 4.ปิติ(ความอิ่มใจ) 5.ปัสสัทธิ(ความสงบใจ) 6.สมาธิ 7.อุเบกขา
    ให้พึงพิจารณาว่า เมื่อธรรมข้อใดข้อหนึ่งในโพชฌงค<WBR>์ “มีอยู่” ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัด้วยมีธรรมข้อใดข้อหนึ<WBR>่งในโพชฌงค์อยู่ ณ ภายในจิตของเรา
    ให้พึงพิจารณาว่า เมื่อธรรมข้อใดข้อหนึ่งในโพชฌงค<WBR>์ “ไม่มีอยู่” ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมข้อใดข้อหนึ่งในโพชฌงค์ไม่ม<WBR>ีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
    ให้พึงพิจารณาว่า เมื่อธรรมข้อใดข้อหนึ่งในโพชฌงค<WBR>์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยปร<WBR>ะการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
    ให้พึงพิจารณาว่า เมื่อธรรมข้อใดข้อหนึ่งในโพชฌงค<WBR>์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
    สัจจะบรรพะ คือการพิจารณาเนื้อหาธรรมอันคือ<WBR> อริยสัจจ์ทั้ง 4
    1.ทุกข์ คือการที่ความไม่รู้พาเข้าไปยึด<WBR>ขันธ์ทั้ง 5 จนก่อให้เกิดตุณหาอุปาทาน เป็นการปรุงแต่งเป็นจิตขึ้นมา
    เมื่อยึดถือเอาแล้ว ซึ่งรูป,ซึ่งเวทนา, ซึ่งสัญญา, ซึ่งสังขาร, และซึ่งวิญญาณ
    เพราะความยึดถือ (อุปาทาน) ของเรานั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ;เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ: เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส ทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ท<WBR>ั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
    แม้ชาติก็เป็นทุกข์ แม้ชราก็เป็นทุกข์ แม้มรณะก็เป็นทุกข์ แม้โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ก็เป็นทุกข์ โดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์
    ชาติ คือ ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลงเกิด เกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ
    ชรา คือ ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังย่น ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้น

    มรณะ คือ ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความแตกทำลาย ความหายไป มฤตยู ความตาย ความทำกาละ ความทำลายแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพไว้ความขาดแห่ง<WBR>ชีวิตินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ
    โสกะ คือ ความแห้งใจ กิริยาที่แห้งใจ ภาวะของบุคคลผู้แห้งใจ ความผาก ณ ภายใน ความแห้งผาก ณ ภายใน ของบุคคลผู้ประกอบด้วยความพิบัต<WBR>ิอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรม คือ ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้<WBR>ว
    ปริเทวะ คือ ความคร่ำครวญ ความร่ำไร รำพัน กิริยาที่คร่ำครวญ กิริยาที่ร่ำไรรำพัน ภาวะของบุคคลผู้คร่ำครวญ ภาวะของบุคคลผู้ร่ำไรรำพัน ของบุคคลผู้ประกอบด้วยความพิบัต<WBR>ิอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่าง<WBR>หนึ่งกระทบแล้ว
    ทุกข์ คือ ความลำบากทางกาย ความไม่สำราญทางกาย ความเสวยอารมณ์อันไม่ดีที่เป็นท<WBR>ุกข์ ซึ่งเกิดแต่กายสัมผัส
    โทมนัส คือ ความทุกข์ทางจิต ความไม่สำราญทางจิต ความเสวยอารมณ์อันไม่ดีที่เป็นท<WBR>ุกข์ ซึ่งเกิดแต่มโนสัมผัส
    อุปายาสะ คือ ความแค้น ความคับแค้น ภาวะของบุคคลผู้แค้น ภาวะของบุคคลผู้คับแค้น ของบุคคลผู้ประกอบด้วยความพิบัต<WBR>ิอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรม คือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ<WBR>แล้ว

    2.สมุทัย คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ก็คืออวิชชาความไม่รู้ ไม่รู้ในเรื่องที่ว่าแท้ที่จริง<WBR>ทุกสรรพสิ่งมันย่อมไม่ใช่ตัวใช่<WBR>ตนอยู่แล้ว เมื่อไม่รู้และคิดว่าสิ่งนั้นคื<WBR>อเราคือตัวของเรา อวิชชาความไม่รู้จึงพาเข้าไปยึด<WBR>มั่นถือมันในขันธ์ทั้ง 5 ในเวทนาทั้งหลายจนก่อให้เกิดตัว<WBR>ตนขึ้นมา

    3.นิโรธ คือความดับไปแห่งทุกข์ ก็คือสภาพธรรมดาธรรมชาติของทุกข<WBR>์ทั้งหลายที่มันตั้งอยู่ได้ไม่น<WBR>านละต้องดับไป เมื่อรู้ว่ามันตั้งอยู่ได้ไม่นา<WBR>นก็ไม่ควรเข้าไปเนื่องเข้าไปเนิ<WBR>่นช้า เข้าไปสาละวน เมื่องดเว้นที่จะไม่เข้าไปเนื่อ<WBR>งเข้าไปเนิ่นช้า เข้าไปสาละวน ทุกข์นั้นก็ดับไปเองอยู่แล้วเป็<WBR>นธรรมดาของมัน

    4.มรรค คือหนทางแห่งความพ้นทุกข์ ความดับไปเป็นธรรมดาแห่งทุกข์นั<WBR>่นแหละคือเนื้อหาแห่งมรรคซึ่งเป<WBR>็นหนทางพ้นทุกข์ไปในตัวอยู่แล้ว<WBR> มันประกอบไปด้วยเนื้อหาอินทรย์แ<WBR>ห่งธรรมแปดประการ คือ 1.สัมมาทิฏฐิ 2.สัมมาสังกัปปะ 3.สัมมาวาจา 4.สัมมากัมมันตะ 5.สัมมาอาชีวะ 6.สัมมาวายามะ 7.สัมมาสติ 8.สัมมาสมาธิ

    การที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเรื่อง<WBR>สติปัฏฐานในหมวดธรรมนี้ ท่านมีพุทธประสงค์ให้นักปฏิบัติ<WBR>ทั้งหลายทั้งในและนอกศาสนา ที่ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับธรร<WBR>มะที่ท่านประกาศไว้ ให้ได้เข้ามาเรียนรู้ถึงปัญหาที<WBR>่ทำให้ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด คือ ทุกข์ และเรียนรู้ถึงต้นเหตุที่ทำให้เ<WBR>กิดทุกข์ อีกทั้งยังให้ศึกษาเรียนรู้เกี่<WBR>ยวกับความสิ้นไปดับไปเป็นธรรมดา<WBR>ซึ่งเป็นความดับทุกข์และหนทางพ้<WBR>นจากกองทุกข์ด้วย ซึ่งประกอบไปด้วยธรรมหลายหมวดที<WBR>่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ การตระหนักชัดในความหมายในความเ<WBR>ข้าใจแห่งเนื้อหาธรรมทั้งหลายที<WBR>่พระองค์ตรัสไว้นั้น มันเป็นการทำลายสักกายทิฐิคือคว<WBR>ามเห็นที่เห็นว่านี่กายเรานี่คื<WBR>อเราลงได้ มันเป็นการทำลายวิจิกิจฉาคือควา<WBR>มลังเลสงสัยไม่เข้าใจในธรรมซึ่ง<WBR>เป็นธรรมอันว่าด้วยลักษณะทุกข์แ<WBR>ละการแก้ไขปัญหาแห่งทุกข์ได้อย่<WBR>างตรงและถูกต้อง และเมื่อเราละข้อวัตรอันคือศิลพ<WBR>รตปรามาสซึ่งเป็นข้อปฏิบัติอันง<WBR>มงายที่เราเคยยึดถือมาก่อนที่จะ<WBR>มาศึกษาธรรมที่พระองค์ประกาศไว้<WBR> เมื่อละได้แล้วกับอีกทั้งได้ตระ<WBR>หนักชัดในธรรมทั้งหมดและกลายเป็<WBR>นเนื้อหาเดียวกับความดับไปแห่งท<WBR>ุกข์ ซึ่งมันคือความว่างเปล่าจากความ<WBR>หมายแห่งความไม่ใช่ตัวใช่ตน
    ตรงนี้แหละคือ จุดเริ่มต้นแห่งเส้นทางที่ก้าวเ<WBR>ดินออกมาจากกองทุกข์ที่เคยเข้าไ<WBR>ปยึดมั่นยึดถือ เป็นเส้นทางแห่งความดับไปเป็นธร<WBR>รมดาเป็นธรรมชาติ นี่คือเส้นทางแห่ง “ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ”
    และท้ายที่สุดนักปฏิบัติทั้งหลา<WBR>ยพึงรู้ด้วยอีกว่า “ การพิจารณาธรรม” ทั้งหมดเหล่านี้ในสติปัฏฐานแห่ง<WBR>หมวดธรรม ก็ล้วนเป็น”สังขตธาตุ”คือธาตุแห<WBR>่งการปรุงแต่ง มันล้วนคือจิตปรุงแต่งชนิดหนึ่ง<WBR> และพึงรู้ชัดว่า
    - จิตที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นการพิจาร<WBR>ณาธรรมอันเป็นขันธบรรพะนั้น โดยธรรมชาติจิตที่ปรุงแต่งซึ่งเ<WBR>ป็นการพิจารณาธรรมอันเป็นขันธบร<WBR>รพะนั้น ล้วนไม่เที่ยง ล้วนดับไปเป็นธรรมดาโดยตัวมันเอ<WBR>งอยู่แล้ว
    -จิตที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นการพิจา<WBR>รณาธรรมอันเป็นอายาตนะบรรพะนั้น<WBR> โดยธรรมชาติจิตที่ปรุงแต่งซึ่งเ<WBR>ป็นการพิจารณาธรรมอันเป็นอายาตน<WBR>ะบรรพะนั้นล้วนไม่เที่ยง ล้วนดับไปเป็นธรรมดาโดยตัวมันเอ<WBR>งอยู่แล้ว
    -จิตที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นการพิจา<WBR>รณาธรรมอันเป็นนิวรณ์บรรพะนั้น โดยธรรมชาติจิตที่ปรุงแต่งซึ่งเ<WBR>ป็นการพิจารณาธรรมอันเป็นนิวรณ์<WBR>บรรพะนั้น ล้วนไม่เที่ยง ล้วนดับไปเป็นธรรมดาโดยตัวมันเอ<WBR>งอยู่แล้ว
    -จิตที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นการพิจา<WBR>รณาธรรมอันเป็นโพชฌังคบรรพะนั้น<WBR> โดยธรรมชาติจิตที่ปรุงแต่งซึ่งเ<WBR>ป็นการพิจารณาธรรมอันเป็นโพชฌัง<WBR>คบรรพะนั้น ล้วนไม่เที่ยง ล้วนดับไปเป็นธรรมดาโดยตัวมันเอ<WBR>งอยู่แล้ว
    -จิตที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นการพิจา<WBR>รณาธรรมอันเป็นสัจจะบรรพะนั้น โดยธรรมชาติจิตที่ปรุงแต่งซึ่งเ<WBR>ป็นการพิจารณาธรรมอันเป็นสัจจะบ<WBR>รรพะนั้น ล้วนไม่เที่ยง ล้วนดับไปเป็นธรรมดาโดยตัวมันเอ<WBR>งอยู่แล้วดูเพิ่มเติม


    <FORM id=utjanr_97 class="live_390290367683222_131325686911214 commentable_item autoexpand_mode" onsubmit="return Event.__inlineSubmit(this,event)" method=post action=/ajax/ufi/modify.php rel="async" data-live='{"seq":0}'>
    </FORM>
     
  18. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    บทที่ 22 โพชฌงค์ธรรม

    โพชฌงค์ธรรม คือ ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ห<WBR>รือการบรรลุธรรม ก็คือกำลังหรืออินทรีย์แห่งธรรม<WBR>ที่เกิดจากการตระหนักชัดและกลาย<WBR>เป็นเนื้อหาเดียวกันกับ ความดับไปเป็นธรรมดาแห่งทุกข์ ความดับไปเป็นธรรมดาแห...่งธรรม<WBR>ทั้งหลายในสติปัฏฐานทั้งสี่ ซึ่งเมื่อเป็นความบริบูรณ์ในธรร<WBR>มอันคือโพชฌงค์นี้แล้วย่อมยังให<WBR>้ วิชชา คือ ความรู้แจ้ง วิมุติ คือ การหลุดพ้น ซึ่ง...เป็นเครื่องหมายแห่งการตรัสรู้บ<WBR>รรลุธรรมให้บริบูรณ์ เกิดขึ้น
    โพชฌงค์ มีอยู่ 7 ประการ คือ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
    กำลัง หรือ อินทรีย์แห่งธรรม 7 ประการนี้ เกิดจากการตระหนักชัดและกลายเป็<WBR>นเนื้อหาเดียวกันกับความดับไปเป<WBR>็นธรรมดาแห่งทุกข์ ความดับไปเป็นธรรมดาแห่งธรรมทั้<WBR>งหลายในสติปัฏฐานทั้งสี่เท่านั้<WBR>น มิใช่เกิดจากการ “เข้าไปทำ ” โพชฌงค์ธรรมที่ละตัวทีละขั้นทีล<WBR>ะตอนเพื่อให้เกิดโพชฌงค์ธรรม 7 ประการขึ้นจนครบแล้วพระนิพพานจะ<WBR>เกิดขึ้น ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง<WBR> เพราะเหตุใดเล่า
    ก็เพราะว่านิพพาน คือธรรมชาติอันปรุงแต่งไม่ได้แล<WBR>้ว เพราะเหตุนี้มรรคาเส้นทางหลุดพ้<WBR>นนี้จึงเป็นเส้นทางในวิถี “ธรรมชาติ” เท่านั้น “ธรรมชาติ” คือ ความไม่เที่ยงแท้อยู่แล้วโดยเนื<WBR>้อหามันเอง เป็นความแปรปรวนไปเป็นธรรมดาของ<WBR>มันเอง คือ ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนโดยสภาพมั<WBR>นเองอยู่แล้ว เมื่อเข้าใจในธรรมทั้งปวงโดยปรา<WBR>ศจากความลังเลสงสัยแล้ว ความไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นและ<WBR>ปล่อยให้จิตไปสู่วิถีธรรมชาติที<WBR>่มันดับเอง ไม่เที่ยงแท้อยู่แล้วเองเป็นควา<WBR>มแปรปรวนไปเป็นธรรมดาอยู่แล้วเอ<WBR>ง ซึ่งการดำเนินไปสู่วิถีธรรมชาติ<WBR>แบบนี้ ก็คือไปด้วยกำลัง หรืออินทรีย์แห่งโพชฌงค์ธรรมอัน<WBR>เกิดจากตระหนักชัดและกลายเป็นเน<WBR>ื้อหาเดียวกันกับความดับไปเป็นธ<WBR>รรมดาแห่งทุกข์ ความดับไปเป็นธรรมดาแห่งธรรมทั้<WBR>งหลายในสติปัฏฐานทั้งสี่นั่นเอง<WBR>
    การที่เราตระหนักชัดและกลายเป็น<WBR>เนื้อหาเดียวกันกับความดับไปเป็<WBR>นธรรมดาแห่งทุกข์ ความดับไปเป็นธรรมดาแห่งธรรมทั้<WBR>งหลายในสติปัฏฐานทั้งสี่นั้นก็ค<WBR>ือเนื้อหาอินทรีย์แห่งโพชฌงค์ธร<WBR>รมไปในตัวอยู่แล้ว การเข้าใจผิดด้วยการเข้าไปทำโพช<WBR>ฌงค์ธรรมทีละขั้นทีละตอน เช่นการฝึกสติด้วยการเดินจงกรมเ<WBR>พื่อให้มันเกิด “สติสัมโพชฌงค์” การนั่งสมาธิเพื่อให้ได้ฌาณ 4 เพื่อให้มันเกิด “สมาธิสัมโพชฌงค์” เพื่อที่จะทำให้โพชฌงค์บริบูรณ์<WBR> เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง การเข้าไปทำโพชฌงค์แบบนี้มันเป็<WBR>นลักษณะของจิตปรุงแต่งที่เนื่อง<WBR>ด้วย อวิชชาความไม่รู้ ตัณหา อุปทานทั้งสิ้น เป็นความยึดมั่นถือมั่นที่กลายเ<WBR>ป็นจิตเป็นตัวตนขึ้นมา มิใช่เส้นทาง “ธรรมชาติ”ที่ดับไปเป็นธรรมดา แต่อย่างใด
    1.สติ (สติสัมโพชฌงค์)
    เมื่อเกิดความเข้าใจในธรรมโดยปร<WBR>าศจากความลังเลสงสัยและมีความระ<WBR>ลึกได้ว่า
    -จิตที่ปรุงแต่งไปในการเห็นว่าก<WBR>ายนี้คือเรานั้นล้วนไม่เที่ยงดั<WBR>บไปเองตามธรรมชาติแล้ว
    จิตที่ปรุงแต่งไปในการพิจารณาธร<WBR>รมอันคือสติปัฏฐานแห่งหมวดกายนั<WBR>้นล้วนไม่เที่ยงดับไปเองตามธรรม<WBR>ชาติแล้ว
    -เวทนาทั้งหลายนั้นล้วนไม่เที่ย<WBR>งดับเองตามธรรมชาติแล้ว
    -จิตที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นจิตลักษ<WBR>ณะต่างๆนั้น ล้วนไม่เที่ยงดับไปเองตามธรรมชา<WBR>ติแล้ว
    -จิตที่ปรุงแต่งไปในทางพิจารณาธ<WBR>รรมต่างๆ “อันเป็นธรรมที่ทำให้เกิดความเข<WBR>้าใจในปัญหา และวิธีแก้ไขปัญหา” ทั้งหลายอันคือสติปัฏฐานแห่งหมว<WBR>ดธรรมนั้นล้วนไม่เที่ยงดับไปเอง<WBR>ตามธรรมชาติแล้ว
    ความระลึกดังกล่าวนี้ คือ สติ แห่งโพชฌงค์ธรรมนั้นเอง(สติสัมโ<WBR>พชฌงค์) เป็นธรรมชาติแห่งความระลึกรู้ เป็นธรรมชาติแห่งสติ อันเป็นสัมมาสติ ในมรรคมีองค์ 8 ด้วย
    2.ธัมมวิจยะ(ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค<WBR>์)
    เมื่อเข้าใจในการแก้ไขปัญหาแห่ง<WBR>ทุกข์ซึ่งมันเป็นวิธีแก้ไขในแบบ<WBR>ลักษณะ “ธรรมดาธรรมชาติ” แห่งความไม่เที่ยงแห่งความดับไป<WBR>เป็นธรรมดาโดยตัวมันเองสภาพมันเ<WBR>องอยู่แล้วนั้น แต่หากเมื่อ “ตราบใดยังมีส่วนแห่งอวิชชาตัณห<WBR>าอุปทานเหลืออยู่โดยเนื้อหาแห่ง<WBR>การมีอยู่” เพราะฉะนั้นการสอดส่องการสืบค้น<WBR>ธรรม การเลือกธรรมว่าอะไรคือการปรุงแ<WBR>ต่งคือธรรมอันปรุงแต่ง(สังขตธาต<WBR>ุ) ว่าอะไรคือ การไม่ปรุงแต่งซึ่งคือการที่กลา<WBR>ยเป็นเนื้อหาเดียวกันกับความดับ<WBR>ไปเป็นธรรมดาคือธรรมไม่ปรุงแต่ง<WBR> (อสังขตธาตุ) เมื่อรู้ว่าสิ่งนี้คือธรรมอันปร<WBR>ุงแต่ง ก็จะได้ระลึกรู้ว่าธรรมอันปรุงแ<WBR>ต่งนี้ก็ล้วนไม่เที่ยงมันดับโดย<WBR>ตัวมันเองโดยสภาพมันเองตามธรรมด<WBR>าธรรมชาติ การเลือกเฟ้นธรรม การสอดส่องธรรม การสืบค้นธรรมในลักษณะเช่นนี้ ก็คือธัมมวิจยะแห่งโพฌชงค์ธรรมน<WBR>ั้นเอง(ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์) ธัมมวิจยะจึงเป็นเหตุปัจจัยให้เ<WBR>กิดธรรมชาติแห่งสติการระลึกรู้
    แต่ธัมมวิจยะเป็นธรรมอันประกอบข<WBR>ึ้นชั่วคราวในโพฌชงค์ธรรมเท่านั<WBR>้น เพราะเหตุที่ว่าด้วยการอาศัยในก<WBR>ารเข้าไปเพื่อวินิจฉัยธรรม การสอดส่องสืบค้น เลือกเฟ้นธรรมนั้น ก็เพื่อยังให้เกิดกำลังหรืออินท<WBR>รีย์แห่งสติการระลึกรู้ แต่โดยเนื้อหามันนั้นการวินิจฉั<WBR>ยวิจัย การสอดส่อง การสืบค้น การเลือกเฟ้น ก็เป็นการปรุงแต่ง(สังขตธาตุ)หร<WBR>ือจิตปรุงแต่งด้วยลักษณะหนึ่งเช<WBR>่นกัน เมื่อมีสติระลึกรู้ด้วยว่า “จิตที่ปรุงแต่งไปในทางวินิจฉัย<WBR> สอดส่องสืบค้น เลือกเฟ้นธรรมนั้นล้วน ไม่เที่ยงดับไปเองตามธรรมชาติ” เมื่อไหร่ อวิชชาความไม่รู้ที่ทำให้เกิดลั<WBR>กษณะเป็นจิตปรุงแต่งไปในทางวินิ<WBR>จฉัย สอดส่อง สืบค้นธรรม ก็จักไม่ปรากฏขึ้นมาอีก ธัมมวิจยะจึงเป็นธรรมอันประกอบข<WBR>ึ้นชั่วคราวในโพชฌงค์ธรรมด้วยเห<WBR>ตุนี้
    3.วิริยะ(วิริยะสัมโพชฌงค์)
    การที่มีสติที่ระลึกได้ว่า
    -จิตที่ปรุงแต่งไปในการเห็นว่าก<WBR>ายนี้คือเรานั้นล้วนไม่เที่ยงดั<WBR>บไปเองตามธรรมชาติแล้ว
    จิตที่ปรุงแต่งไปในการพิจารณาธร<WBR>รมอันคือสติปัฏฐานแห่งหมวดกายนั<WBR>้นล้วนไม่เที่ยงดับไปเองตามธรรม<WBR>ชาติแล้ว
    -เวทนาทั้งหลายนั้นล้วนไม่เที่ย<WBR>งดับเองตามธรรมชาติแล้ว
    -จิตที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นจิตลักษ<WBR>ณะต่างๆนั้น ล้วนไม่เที่ยงดับไปเองตามธรรมชา<WBR>ติแล้ว
    -จิตที่ปรุงแต่งไปในทางพิจารณาธ<WBR>รรมต่างๆ “อันเป็นธรรมที่ทำให้เกิดความเข<WBR>้าใจในปัญหา และวิธีแก้ไขปัญหา” ทั้งหลายอันคือสติปัฏฐานแห่งหมว<WBR>ดธรรมนั้นล้วนไม่เที่ยงดับไปเอง<WBR>ตามธรรมชาติแล้ว

    การมีสติระลึกได้อยู่ทุกขณะนั้น<WBR>มันคือเนื้อหาที่ทำให้กำลังหรือ<WBR>อินทรีย์แห่งสติมากขึ้นไปสู่ควา<WBR>มบริบูรณ์แห่งสติ และความบริบูรณ์ในโพชฌงค์ธรรมทุ<WBR>กส่วน การมีสติระลึกได้อยู่ทุกขณะมันค<WBR>ือเนื้อหาแห่งความเพียรอยู่แล้ว<WBR> มันคือธรรมชาติแห่งความเพียร หรือวิริยะในโพชฌงค์ธรรม(วิริยะ<WBR>สัมโพชฌงค์) หรือ สัมมาวายาโม ในมรรคมีองค์ 8 นั่นเอง เมื่อกำลังหรืออินทรีย์แห่งวิริ<WBR>ยะความเพียรคือการมีสติระลึกได้<WBR>อยู่ทุกขณะบริบูรณ์แล้ว ความบริบูรณ์ในความเพียรนี้เองท<WBR>ี่ส่งผลให้เกิด “ความเป็นปรกติ” หรือ “ความบริบูรณ์” ในโพชฌงค์ธรรมตัวอื่น
    4.ปิติ(ปีติสัมโฑชฌงค์)
    คือ ความอิ่มใจ
    5.ปัสสัทธิ(ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์)
    คือ ความสงบจิตสงบใจ
    โดยธรรมชาติแล้วตราบใดที่อวิชชา<WBR> ความไม่รู้ยังคงมีอยู่ก็จะทำให้<WBR>ไปยึดมั่นถือมั่นจนกลายเป็นอัตต<WBR>าตัวตนขึ้นมากลายเป็นความปรุงแต<WBR>่งขึ้นมา เป็นความวุ่นวายในจิตอยู่ตลอดเว<WBR>ลา แต่เมื่อมีสติระลึกรู้ได้อยู่ว่<WBR>า
    -จิตที่ปรุงแต่งไปในการเห็นว่าก<WBR>ายนี้คือเรานั้นล้วนไม่เที่ยงดั<WBR>บไปเองตามธรรมชาติแล้ว
    จิตที่ปรุงแต่งไปในการพิจารณาธร<WBR>รมอันคือสติปัฏฐานแห่งหมวดกายนั<WBR>้นล้วนไม่เที่ยงดับไปเองตามธรรม<WBR>ชาติแล้ว
    -เวทนาทั้งหลายนั้นล้วนไม่เที่ย<WBR>งดับเองตามธรรมชาติแล้ว
    -จิตที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นจิตลักษ<WBR>ณะต่างๆนั้น ล้วนไม่เที่ยงดับไปเองตามธรรมชา<WBR>ติแล้ว
    -จิตที่ปรุงแต่งไปในทางพิจารณาธ<WBR>รรมต่างๆ “อันเป็นธรรมที่ทำให้เกิดความเข<WBR>้าใจในปัญหา และวิธีแก้ไขปัญหา” ทั้งหลายอันคือสติปัฏฐานแห่งหมว<WBR>ดธรรมนั้นล้วนไม่เที่ยงดับไปเอง<WBR>ตามธรรมชาติแล้ว

    ความล้วนไม่เที่ยงดับไปเองตามธร<WBR>รมดาธรรมชาติก่อให้เกิดปิติความ<WBR>อิ่มใจ ปัสสัทธิ ความสงบจิตสงบใจ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดจากความ<WBR>สงบระงับจากการไม่ปรุงแต่งทั้งป<WBR>วง ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแจกแจงเพื่อใ<WBR>ห้เกิดความเข้าใจในความเป็นไปใน<WBR>อินทรีย์แห่งธรรมส่วนนี้เท่านั้<WBR>น
    เพราะสภาพธรรมแห่งปิติและปัสสัท<WBR>ธิ เป็นกำลังหรืออินทรีย์แห่งธรรมท<WBR>ี่เกิดขึ้นโดยลักษณะเนื้อหามันเ<WBR>อง แต่หากอวิชชาความไม่รู้พาเข้าไป<WBR>ยึดมั่นถือมั่นเป็นจิตปรุงแต่งข<WBR>ึ้นมาเป็นอัตตาตัวตนขึ้นมาว่ามี<WBR>เราและเรากำลังมีสภาวะธรรมในปิต<WBR>ิ และปัสสัทธิ อยู่ดังนี้ จิตปรุงแต่งลักษณะนี้ ก็ล้วนไม่เที่ยงดับไปเองตามธรรม<WBR>ชาติเช่นกัน ปิติ และปัสสัทธิ จึงเป็นธรรมประกอบขึ้นชั่วคราวเ<WBR>ท่านั้น
    6.สมาธิ(สมาธิสัมโพชฌงค์)
    เมื่อมีสติระลึกรู้ได้อยู่ว่า
    -จิตที่ปรุงแต่งไปในการเห็นว่าก<WBR>ายนี้คือเรานั้นล้วนไม่เที่ยงดั<WBR>บไปเองตามธรรมชาติแล้ว
    จิตที่ปรุงแต่งไปในการพิจารณาธร<WBR>รมอันคือสติปัฏฐานแห่งหมวดกายนั<WBR>้นล้วนไม่เที่ยงดับไปเองตามธรรม<WBR>ชาติแล้ว
    -เวทนาทั้งหลายนั้นล้วนไม่เที่ย<WBR>งดับเองตามธรรมชาติแล้ว
    -จิตที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นจิตลักษ<WBR>ณะต่างๆนั้น ล้วนไม่เที่ยงดับไปเองตามธรรมชา<WBR>ติแล้ว
    -จิตที่ปรุงแต่งไปในทางพิจารณาธ<WBR>รรมต่างๆ “อันเป็นธรรมที่ทำให้เกิดความเข<WBR>้าใจในปัญหา และวิธีแก้ไขปัญหา” ทั้งหลายอันคือสติปัฏฐานแห่งหมว<WBR>ดธรรมนั้นล้วนไม่เที่ยงดับไปเอง<WBR>ตามธรรมชาติแล้ว

    ความล้วนไม่เที่ยงดับไปเองตามธร<WBR>รมดานี้มันคือเนื้อหาแห่งธรรมชา<WBR>ติในอินทรีย์แห่งความแน่วแน่แห่<WBR>งความตั้งใจมั่น ซึ่งเป็นลักษณะของความต่อเนื่อง<WBR>แห่งธรรมอันเป็นความดับสนิทไม่ม<WBR>ีเหลือ เมื่อกำลังหรืออินทรีย์แห่งความ<WBR>ตั้งใจมั่นนี้บริบูรณ์ก็จะทำให้<WBR>เกิดความเป็นปรกติ “ในการที่กลายเป็นเนื้อหาเดียวก<WBR>ัน” กับธรรมชาติล้วนๆแห่งความดับสนิ<WBR>ทไม่มีเหลือนั่นเอง ธรรมชาติแห่งความตั้งใจมั่นดังก<WBR>ล่าวนี้ก็คือ สมาธิแห่งโพชฌงค์ธรรม(สมาธิสัมโ<WBR>พชฌงค์) หรือธรรมชาติแห่งสมาธิ หรือสัมมาสมาธิในมรรคมีองค์8
    7.อุเบกขา(อุเปกขาสัมโพชฌงค์)
    เมื่อมีสติระลึกรู้ได้อยู่ว่า
    -จิตที่ปรุงแต่งไปในการเห็นว่าก<WBR>ายนี้คือเรานั้นล้วนไม่เที่ยงดั<WBR>บไปเองตามธรรมชาติแล้ว
    จิตที่ปรุงแต่งไปในการพิจารณาธร<WBR>รมอันคือสติปัฏฐานแห่งหมวดกายนั<WBR>้นล้วนไม่เที่ยงดับไปเองตามธรรม<WBR>ชาติแล้ว
    -เวทนาทั้งหลายนั้นล้วนไม่เที่ย<WBR>งดับเองตามธรรมชาติแล้ว
    -จิตที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นจิตลักษ<WBR>ณะต่างๆนั้น ล้วนไม่เที่ยงดับไปเองตามธรรมชา<WBR>ติแล้ว
    -จิตที่ปรุงแต่งไปในทางพิจารณาธ<WBR>รรมต่างๆ “อันเป็นธรรมที่ทำให้เกิดความเข<WBR>้าใจในปัญหา และวิธีแก้ไขปัญหา” ทั้งหลายอันคือสติปัฏฐานแห่งหมว<WBR>ดธรรมนั้นล้วนไม่เที่ยงดับไปเอง<WBR>ตามธรรมชาติแล้ว

    ความล้วนไม่เที่ยงดับไปเองตามธร<WBR>รมดานี้มันคือเนื้อหาแห่งธรรมชา<WBR>ติในอินทรีย์แห่งความเป็นกลางคว<WBR>ามวางเฉยที่จะไม่เข้าไปยึดมั่นถ<WBR>ือมั่นในจิตปรุงแต่งข้างต้น ความเป็นกลางความวางเฉยก็คืออุเ<WBR>บกขาในโพชฌงค์ธรรม(อุเปกขาสัมโพ<WBR>ชฌงค์) คือธรรมชาติแห่งอุเบกขา หรือสัมมาทิฐิ ในมรรคมีองค์ 8
    โพชฌงค์ธรรม 7 ประการ คือ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา นั้น เป็นธรรมอันเป็นเหตุปัจจัยอาศัย<WBR>ซึ่งกันและกันในลักษณะมีสิ่งนี้<WBR>จึงมีสิ่งนี้ เมื่อกำลังหรืออินทรีย์แห่งสติเ<WBR>ต็มจนกลายเป็นธรรมชาติแห่งความบ<WBR>ริบูรณ์ในสติ ด้วยความที่ธรรมโพชฌงค์ 7 ประการเป็นธรรมอันเป็นเหตุปัจจั<WBR>ยอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อสติบริบูรณ์แล้วเลยทำให้ธร<WBR>รมโพชฌงค์ในส่วนอื่นบริบูรณ์ไปด<WBR>้วย จนกลายเป็นโพชฌงค์ธรรมบริบูรณ์ใ<WBR>นทุกส่วน
    เมื่อโพชฌงค์ธรรมบริบูรณ์ซึ่งหม<WBR>ายถึงความเป็นปรกติแห่งธรรมในทุ<WBR>กส่วนของโพชฌงค์แล้ว ย่อมยัง “วิชชาและวิมุติ” ให้บริบูรณ์ไปด้วยดูเพิ่มเติม


    <FORM id=utjanr_96 class="live_390290831016509_131325686911214 commentable_item autoexpand_mode" onsubmit="return Event.__inlineSubmit(this,event)" method=post action=/ajax/ufi/modify.php rel="async" data-live='{"seq":0}'>
    </FORM>
     
  19. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    พ่อหนุ่มเอกเอ๋ย เอ็งเคยอ่าน นิยายSiddhartha ของHermann Hesse
    ไหม?จ๊ะ
    ลุงเห็นเอ็งแล้วลุงว่าเอ็งช่างเหมือน นายโควินทะในนิยายเรื่องนี้เลยนะจ๊ะ นะจ๊ะ

    ลองไปหาอ่านดูนะจ๊ะ
    ดังตอนหนึ่งที่ สิทธารถะพระเอกของเรื่องได้พูดกับพระพุทธองค์ว่า


    " ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระองค์คือผู้ตรัสรู้อย่างแท้จริง ข้าพเจ้าไม่มีความสงสัยใดๆๆเลยในความประเสริฐของคำสอนของพระองค์ อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าพบว่ามีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปในคำสอนของพระองค์ นั้นก็คือประสบการณ์ของพระองค์เอง ประสบการณ์ในสมัยที่พระองค์เดินทางไปทั้วอินเดีย พบเจอความทุกข์ ความเกิด แก่ เจ็บ และ ตาย การตรัสรู้ ประสบการณ์ซึ่งพระองค์ไม่อาจจะมอบให้ใครได้ นอกจากคนๆๆนั้นจะค้าหาพบเจอกับมันเอง พระองค์ทรงบรรลุก็โดยการแสวงหาตามวิธีการของพระองค์เอง โดยการคิดการบำเพ็ญเพียร โดยความรู้และการตรัสรู้ พระองค์ไม่ได้เรียนจากการสอน ด้วยเหตุนี้แหละพระสมณโคดม ข้าจึงคิดว่าไม่มีผู้ใดพบทางหลุดพ้นโดยการเรียนรู้จากคำสอน ด้วยเหตุนี้แทนที่ข้าพเจ้าจะเลือกเข้ามาเป็นสมาชิกของสังฆะของพระองค์ ข้าพเจ้าจึ่งขอไปจากพระองค์ เพื่อแสวงหาหนทางของข้าพเจ้าเองให้เจอ สิ่งซึ่งไม่มีใครสามารถบอกเราได้ "

    นะจ๊ะ นะจ๊ะ


    [​IMG]

    ไฟล์:Siddhartha Novel.jpg - วิกิพีเดีย

    จักรับหมากแลพลู ดีล่ะพ่อหนุ่ม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มิถุนายน 2012
  20. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    ว้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ท่านลุง นั้นแหละลุงผมรู้ล่ะว่าลุงบ่นอะไร 55555

    ผมเห็นมีแต่พวกเข้าใจพุทธศาสนาแบบหลอนๆๆไปเลยอย่าง ลุงจร กับ แก็ง....
    พวกเข้าใจถูกก็มี
    แต่ไม่เห็มมีอะไรที่ใหม่เลยมีแต่เอาคำพูดพระพุทธเจ้ามาพูดซ้ำๆๆ นั้นหมายความว่านี้ หลักธรรมนี้มีว่าอย่างนี้

    เรื่องพวกนี้ ฟังแล้วฟังอีก ไม่มีใครตรัสรู้ได้จากการเอาคำสอนชาวบ้านมาพูดซ้ำๆๆหรอกนะ

    น่าเบื่อ ไม่เห็นมีใครพูดเรื่องปฏิบัติตนมีประสบการณ์อะไรบ้าง เอาไปประยุกต์ใช้แล้วเป็นไง

    มีแต่พูดซ้ำซากมีนั้นมีนี่ แปลว่า....ช่างไร้ความหมายจริงๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...