ทุกชีวิต...นิพพานกันอยู่แล้ว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เอกรินทรา, 23 พฤษภาคม 2012.

  1. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    แค่เสียง

    เสียงเหมือนแต๋ว แต่มีเมีย 1 ลูกสอง

    ดีกว่า ท่านน่ะ ยังกับคุยกับพระ เมียก็ไม่มี ...เกย์ ชัดๆ ดีแต่พูดให้คนอื่น

    ฟังแค่เสียง ยังคิดได้ มากขนาดนี้ ถ้า ครบ อายะตนะ ทั้ง 6 แม่ง จะ ไม่บ้าเลยหรือ

    ทำไม คนเรา มัน เก่งได้แค่นี้นะ
     
  2. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ไปถาม อะแมซอน ดู

    ขอตัวไปอาบน้ำก่อนล่ะ เมื่อกี้กินน้ำ เดี๋ยวก็ได้เวลาเข้านอน

    โอ้...อะไรมันจะสุขอย่างนี้เนาะชีวิต ไม่ใช่กาแฟ

    ต้องเป็น แต๋ว แน่ ไม่เชื่อให้กลับไป ที่ อิอิ ดังที่ผ่านมา ^^
     
  3. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    แกไม่ต้อง เอาสุขของแกมาเย้ยเฟ้ย

    ฉันสุขกว่าแกเยอะ เลย ยังไม่โม้ เหมือนแก

    อิอิ แงวแงว ก๊ายก๊าบ นะเอยนะเอย

    ว่าแต่ สันโดษ อยู่ไหน ตอนนี้ คิดถึงหว่ะ
     
  4. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    เอกรินทรา ว่า มา ไม่งั้นกลับ นะเฟ้ย

    ว่ามา นับ 1 2 3
     
  5. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    เบื่อ คนแก่ น่ะ อีดอาด ยืดยาด เต่าล้านปี

    ไม่ ถุกใจวัยรุ่นเลย อิอิ วัยรุ่น 40
     
  6. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ฉันอายุ 200 วันเด็ก มันอยู่ตรงไหน
    วันรุ่นโว้ย 40 เนี่ย

    ไม่แน อาจจะ 84000 ปี วันเด็ก วัยรุ่นน่ะ ไม่ฉน
     
  7. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    เกิน จะเรียกว่า แก่แดด แล้วล่ะ

    สงสัย ต้อง สมมุติ บัญญัติมาใหม่แล้วล่ะ

    สงสัย แก่ โลก ล่ะเว้ยเฮ้ย
     
  8. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ตกลง คนที่ฉลาดกว่าแก ไม่มีแล้วหรือ ในโลกนี้

    แล้ว มันจะมีใคร บรรลุธรรม ได้อีกวะเนี่ย

    โง่กัน อยู่แบบนี้ เฮ้อ พระเจ้าอย่างฉัน ล่ะ เซ็งเป็ดจริงๆ

    ตกลง กลัว การบรรลุธรรม กัน ทั้งนั้น กระจอกจริงๆ
     
  9. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ชีเปลือย น่ะนั้นที่แกพูดมาน่ะ

    เท่าที่รู้ กางเกง ซักตัว ก็ พอแล้ว

    เพื่อไม่ให้อุจาดตาแก่คนที่พบเห็น
     
  10. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ถ้าไม่มีอะไร งั้น พระศรีอย่างฉัน ก็คงต้อง เชิญตนเอง เสด็จ แล้วล่ะ

    เบื่อหว่ะ ทั้งโลก งง งง กันอยู่ เลย

    งั้นก็ ให้อยู่กันแบบ งง งง กันต่อไปแล้วกัน อิอิ
     
  11. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    คอนเซป ของท่านอักษรใหญ่เม็ดผักปัง นี่ ผู้ที่จะบรรลุธรรม ต้องเป็นอย่างไร

    คนโสด มีสิทธิ์ บรรลุธรรม หรือป่าว ดี ที่ ไม่ เคาะ เป็น คำๆ
     
  12. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    สัพเพ ธัมมา อนัตตา
    ทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่ง
    ทุกสรรพสิ่งปราศจากตัวตน
    มึงถามกูตอนไหน...กูก็จะตอบมึงไปแบบนี้ตลอดลูก...<!-- google_ad_section_end -->
     
  13. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    สัพเพ ธัมมา อนัตตา
    ทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่ง
    ทุกสรรพสิ่งปราศจากตัวตน
    มึงถามกูตอนไหน...กูก็จะตอบมึงไปแบบนี้ตลอดลูก...<!-- google_ad_section_end -->
     
  14. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    สัพเพ ธัมมา อนัตตา
    ทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่ง
    ทุกสรรพสิ่งปราศจากตัวตน
    มึงถามกูตอนไหน...กูก็จะตอบมึงไปแบบนี้ตลอดลูก...<!-- google_ad_section_end -->
     
  15. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    สัพเพ ธัมมา อนัตตา
    ทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่ง
    ทุกสรรพสิ่งปราศจากตัวตน
    มึงถามกูตอนไหน...กูก็จะตอบมึงไปแบบนี้ตลอดลูก...<!-- google_ad_section_end -->
     
  16. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    กรรมของขนมจิง จะกล่าวอะไรออกมา ก็มีแต่ผู้ไม่เห็นด้วย

    [​IMG]
     
  17. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา นิพพานเป็นภาษาปฏิบัติ พระโสดาบันขึ้นไปเท่านั้นที่จะเข้าใจความหมายของนิพพาน และไอ้ที่เถียงกันอัตตา-อนัตตาน่ะ อันนั้นเป็นทางผ่าน ทางตรงคือขันธุ์ 5 ไม่ใช่เรา...
     
  18. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    เห้อ .. ถึงจะรู้ว่านี้เเละนะอนัตตา เเต่ก็ จะกลายเป็นเข้าใจเเบบว่า อัตตา ว่านั่นเเละนะอนัตตา
    เห้อ .. ถึงจะรู้ว่านี้เเละนะอนัตตา เเต่ก็ จะกลายเป็นเข้าใจเเบบว่า นัตถิตา ว่านั่นเเละนะอนัตตา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2012
  19. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    คุณมาถูกทางแล้วครับ...ตระหนักชัดกับความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรมเหล่านี้ดีๆ
     
  20. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    ​หมดจิต.....หมดใจ
    แด่...ท่านผู้หลงทาง
    ​ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจของมนุษย์ ไม่รู้ว่า ความจริงแล้วสรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่มีความหมายแห่งการมีตัวตน ปราศจากการปรุงแต่งโดยธรรมชาติของมัน เป็นเช่นนั้นเป็นอยู่อย่างนั้น ตลอดสาย ตลอดเวลา โดยธรรมชาติของมัน และไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ในกฏของธรรมชาติ มนุษย์จึงสมมุติสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา ปรุงแต่งสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา ในความหมายแห่งการมีตัวตน สมมุติผลของการกระทบของ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย และใจขึ้นมา เป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งต่าง ๆนานา สมมุติสิ่งที่รองรับ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งทั้งหลายขึ้นมา เรียกว่า จิต หรือจิตใจ
    อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่ง ที่มนุษย์ปรุงแต่งขึ้นมานั้น มีมากมายสุดจะพรรณา เช่น รัก โลภ โกรธ หลง อาฆาต พยาบาท และอีกมากมาย เมื่อปรุงแต่งขั้นมาแล้ว ย่อมทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น เป็นเรา เป็นเขา เป็นของของเรา เป็นของของเขา เป็นความหมายแห่งการมีตัวตนต่าง ๆ นานา ด้วยความไม่รู้ ความไม่เข้าใจของมนุษย์ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นมาเอง มนุษย์จึงพยายาม ทำสิ่งสมมุติเหล่านี้ให้เต็ม ให้บริบูรณ์ ให้มั่นคง ให้คงทนถาวรอยู่ในความรู้สึกของตน หรือพยายามทำสิ่งสมมุติที่ไม่ต้องการให้หมดไป ให้สูญสลาย ให้หายไปจากความรู้สึกของตน โดยที่เราหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น เช่น ความอยากมีชื่อเสียง มนุษย์ผู้มีความหลงทั้งหลายอยากมีชื่อเสียง พยายามทำให้มีชื่อเสียง และให้ชื่อเสียงนั้นคงทนถาวรไม่เสื่อมไป โดยที่หารู้ไม่ว่า ความอยากมีชื่อเสียงนี้ เป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น หรือเช่น มนุษย์ผู้พยายามทำความโกรธให้หมดไปให้หายไปจากความรู้สึก โดยที่ไม่รู้ว่า ความโกรธนี้เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง ไม่มีอยู่จริง แล้วโดยธรรมชาติ โดยความเป็นจริง จะทำให้ความอยากมีชื่อเสียงเกิดขึ้น หรือทำให้ความโกรธหมดไป จะทำให้อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งทั้งหลายเกิดขึ้นหรือหมดไปได้อย่างไร เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่มีอยู่จริง
    ​พระพุทธองค์ท่านทรงตระหนักชัดในความเป็นจริงตามธรรมชาติเหล่านี้ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณที่จะสอนมนุษย์ผู้มีปัญญา ผู้ที่พอมีปัญญาอยู่บ้าง หรือผู้ที่ไม่หลงไปในทางสุดโต่งทั้งหลาย ให้เข้าใจ ให้หมดความหลง ให้หมดความลังเลสงสัยว่า โดยความเป็นจริง โดยธรรมชาติ สรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่มีความหมายแห่งการมีตัวตน ปราศจากการปรุงแต่งโดยธรรมชาติของมันเอง ตลอดสาย ตลอดเวลา โดยธรรมชาติของมัน เป็นเช่นนั้น เป็นอยู่อย่างนั้นและไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น แต่ตราบใดที่มนุษย์ยังฝืนธรรมชาติ ไม่ยอมรับ ไม่ยอมเข้าใจ ก็ยังคงปรุงแต่งสิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่ามีอยู่จริง ยังคงปรุงแต่งไปในความหมายแห่งการมีตัวตน ยังคงปรุงแต่งว่าจิต หรืออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ว่ามีอยู่จริง และยังคงปรุงแต่งไปในความหมายแห่งการยึดมั่นถือมั่นว่า นี่คือเรา นี่คือเขา นั่นเป็นของของเรา นั่นเป็นของของเขา ที่สุดแล้วมนุษย์ก็ยังคง ไขว่คว้า ทะยาน ไปในความสุดโต่งอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้อยู่ดี
    การเปรียบเทียบความนึกคิดปรุงแต่งที่พอใจ ประทับใจ ตรงกับความต้องการ แล้วเรียกรวมกันว่า ความสุข แล้วพยายามปรุงแต่งหรือรักษา อารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ไว้ หรือทำให้เพิ่มพูลมากขึ้น ก็ยังคงเป็นสิ่งสุดโต่งอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้อยู่ดี การเปรียบเทียบความนึกคิดปรุงแต่งที่ไม่พอใจ ไม่ประทับใจ ไม่ตรงกับความต้องการ แล้วรวมเรียกว่า ความทุกข์ แล้วพยายามปรุงแต่งโดยทำให้ลืม ทำให้หมดไปหรือทำให้หายไป ก็ยังคงเป็นสิ่งสุดโต่งอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเรียกความนึกคิดปรุงแต่งทั้งหลายว่าความทุกข์ ความสุข หรือความรู้สึกอื่นใด เหล่านี้ก็ยังคงเป็นการฝืนธรรมชาติโดยสิ้นเชิง เพราะโดยธรรมชาติ โดยความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง แล้วจะทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ หรือดับไปได้อย่างไร ตราบใดที่มนุษย์ไม่ยอมรับ ไม่ยอมเข้าใจ ก็จะยังคงวนเวียนอยู่ในสิ่งสมมุติอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้อย่างนี้ต่อไป
     
     
     
    แด่....ท่านผู้แสวงหา
    ​ในโลกนี้คงจะมีผู้แสวงหาอยู่ไม่น้อย ผู้ที่หาทางออก นำตนเองออก ออกจากสิ่งที่ตนเองปรุงแต่งว่า เป็นสิ่งมายา เป็นสิ่งสร้างความวุ่นวาย รำคาญใจ เศร้าหมองใจ ด้วยวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ ที่มีอยู่หลากหลายรูปแบบในปัจจุบัน แต่จุดประสงค์หลักของวิธีการปฏิบัติเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นวิธีทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ด้วยวิธีการฝึกสมาธิจนถึงระดับเป็นฌาณสมาบัติรูปแบบต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเพียงการทำให้สงบ รำงับ ชั่วคราวเท่านั้น เหมือนการหนีโลก หนีความวุ่นวาย หนีจากสิ่งที่ตนเองปรุงแต่งว่า เป็นความทุกข์ แล้วไปกำหนดจดจ่อ ให้เกิดสมาธิขึ้นมา ให้ลืมความวุ่นวาย หรือทำให้ความวุ่นวายหายไป แต่ยิ่งฝึก ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งปรุงแต่ง ในการปฏิบัติมากขึ้น ยิ่งปรุงแต่งไปว่าจิตสงบ จนถึงระดับนั้นระดับนี้ เป็นฌาณสมาบัติขั้นนั้นขั้นนี้ แล้วยังปรุงแต่งว่า ต้องฝึกปฏิบัติไปจนถึงระดับได้สภาวะนิพพาน แต่ถ้าหากการปฏิบัติไม่ถึงหรือไม่ได้สภาวะ ไม่สงบอย่างที่ตนต้องการก็เป็นทุกข์
    หรือการปฏิบัติยังหย่อนเกินไป ต้องปฏิบัติให้มากยิ่งขึ้นไป เมื่อสิ่งแวดล้อมไม่เป็นใจ ต้องหนีออกห่าง จากสิ่งแวดล้อมนั้น เพื่อหาที่สงบ ที่เหมาะแก่การปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติไปนาน ๆ ก็ยังไม่ได้สภาวะนิพพานสักที ยังไม่เด่นชัดในความรู้สึกของตน หรือบางคนหลงสภาวะ ปรุงแต่งว่าตนเองหลุดพ้นแล้ว แต่เมื่อเข้าไปสู่สิ่งแวดล้อมที่ตนเองปรุงแต่งว่า วุ่นวาย ไม่สงบ ก็ยังปรุงแต่งต่อไปว่า ความโกรธยังมีอยู่ ความวุ่นวายใจยังมีอยู่ หรือความทุกข์ยังมีอยู่ ต้องอาศัยอยู่ในที่หลีกเร้นเท่านั้น สภาวะนิพพานถึงจะกลับมาชัดเจนอีกครั้ง เหล่านี้คือ การปรุงแต่งแบบผู้ปฏิบัติธรรม ยิ่งปฏิบัติยิ่งปรุงแต่งว่า มีความทุกข์มากขึ้นกว่าเดิม หรือที่เรียกว่า ทุกข์แบบผู้ปฏิบัติธรรม
    ทั้งหมดเหล่านี้เป็นเพราะอวิชชา ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ของท่านผู้ปฏิบัติเอง เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้ว่า เมื่อนิพพาน คือ ธรรมชาติอันปราศจากความหมายแห่งการมีตัวตนแล้ว เมื่อนิพพาน คือ ธรรมชาติอันปราศจากการปรุงแต่งโดยธรรมชาติของมันแล้ว เมื่อนิพพานเป็นเช่นนั้น เป็นอยู่อย่างนั้น ตลอดสาย ตลอดเวลา โดยธรรมชาติของมัน และไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นแล้ว เมื่อจิตหรือจิตใจ และความนึกคิดปรุงแต่งทั้งหลาย เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นมาเอง             ไม่มีอยู่จริงแล้ว ก็ไม่อาจจะมีวิธีการปฏิบัติใด ๆ ที่ทำให้จิตใจบริสุทธิ์ หรือสงบ รำงับได้ การกำหนด จดจ่อ ให้เกิดสมาธิทั้งหลายเหล่านั้น ก็กลายเป็นการฝืนธรรมชาติไปเสียสิ้น
    ​จุดหมายปลายทางของท่านผู้แสวงหาทั้งหลาย คือ การหลุดพ้น หรือที่เรียกว่า นิพพาน หากท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ทำความเข้าใจถึงกฏธรรมชาติที่ว่า นิพพาน คือ ธรรมชาติอันปราศจากความหมายแห่งการมีตัวตน เป็นธรรมชาติอันปราศจากการปรุงแต่งโดยธรรมชาติของมัน เป็นเช่นนั้น เป็นอยู่อย่างนั้น ตลอดสาย ตลอดเวลา โดยธรรมชาติของมัน และไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ท่านก็จะได้เข้าใจว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ชี้ทางให้สัตว์โลกได้เห็นถึงกฏธรรมชาติเหล่านี้ ถึงแม้พระพุทธองค์มิทรงชี้ทาง นิพพานก็เป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นมาแต่ก่อนกาล แล้วท่านผู้แสวงหาทั้งหลายจักเอาวิธีการกำหนด จดจ่อ หรือทำให้จิตใจเกิดความบริสุทธิ์ขึ้นมาได้อย่างไร ท่านทั้งหลายจะทำนิพพานให้แจ้งได้อย่างไร ในเมื่อนิพพานเป็นธรรมชาติอันปราศจากความหมายแห่งการมีตัวตน จะเอาความมีตัวตนเพื่อทำให้เกิดความไม่มีตัวตน จะเอาการปรุงแต่งเพื่อทำให้เกิดการไม่ปรังแต่งได้อย่างไร ในเมื่อสรรพสิ่งทั้งหลาย ปราศจากความหมายแห่งการมีตัวตน และเป็นธรรมชาติอันไม่ปรุงแต่ง เป็นอยู่อย่างนั้น ตลอดสาย ตลอดเวลา โดยธรรมชาติของมัน การทำนิพพานให้แจ้ง ให้เด่นชัด ให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา ก็เป็นการฝืนธรรมชาติโดยสิ้นเชิง
     
     
     
     
     
     
    ชีวิต....แห่งผู้รู้แจ้ง
    ​ข้าพเจ้าเคยเข้าใจ เหมือนกับผู้ปฏิบัติธรรมท่านอื่นๆ ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันว่า นิพพาน ต้องเกิดจาก การฝึกปฏิบัติในวิธีการต่างๆ แต่เมื่อฝึกปฏิบัติไปนานๆ ก็เกิดความลังเลสงสัยว่า การฝึกปฏิบัติเหล่านี้ เป็นการปรุงแต่งอย่างหนึ่งหรือไม่ เมื่อนิพพาน คือ การไม่ปรุงแต่ง แล้วจะเอาการ     ปรุงแต่ง ไปสู่ การไม่ปรุงแต่งได้อย่างไร ข้าพเจ้าเลยศึกษาค้นคว้า ทำความเข้าใจใหม่ จนกระจ่างว่า นิพพาน คือ การเข้าใจ(วิชชา) หมดความลังเลสงสัย แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในธรรมทั้งหลาย ในสรรพสิ่งทั้งหลาย และข้าพเจ้าก็เข้าใจอีกว่า ธรรมอันเป็นปรมัตถ์หมวดหมู่ใด ที่มีการกล่าวขัดแย้งกัน ความหมายไม่ตรงกัน และมีความหมายที่ฝืนต่อธรรมชาติ หลักธรรมนั้นก็มิใช่ ธรรมอันเป็น                         ธรรมชาติ ที่ชี้ทางให้บุคคลเข้าใจกระจ่าง หมดความหลง หมดความลังเลสงสัย แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในธรรมทั้งหลาย ในสรรพสิ่งทั้งหลายได้
    ​หากมีใครถามท่านผู้รู้แจ้งท่านหนึ่งท่านใดว่า นิพพานเป็นอย่างไร มีสภาพอย่างไร มีสภาวะเป็นอย่างไร หรือมีอารมณ์เป็นอย่างไร ท่านผู้รู้แจ้งท่านนั้นก็คง ไม่สามารถให้คำตอบกับเขาได้ เพราะนิพพานมิใช่สภาวะหรืออารมณ์ความรู้สึก เพราะสภาวะหรืออารมณ์ความรู้สึก ก็ยังเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น ยังฝืนธรรมชาติอยู่ ยังไม่เป็นธรรมชาติ
    หรือหากมีใครถามท่านผู้รู้แจ้งท่านหนึ่งท่านใดว่า ผู้ที่รู้แจ้ง ผู้หมดความหลง ผู้หมดความลังเลสงสัย แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในธรรมทั้งหลาย ในสรรพสิ่งทั้งหลายแล้ว ท่านใช้ชีวิตกันอย่างไร ท่านผู้รู้แจ้งท่านนั้น ก็คงจะตอบเขาไปว่า ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย อยู่ในสังคมได้ตามปกติ แต่ที่แตกต่างจากปุถุชนคนทั่วไป คือ ท่านไม่ปรุงแต่งสิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่าเป็นความทุกข์ ความสุข หรือความรู้สึกอื่นใดได้อีกแล้ว เพราะท่านรู้ว่า เหล่านี้เป็นสิ่งสมมุติ ไม่มีอยู่จริง ท่านไม่ปรุงแต่งสิ่งแวดล้อมที่ท่านอยู่ว่า เป็นที่ที่วุ่นวาย รำคาญใจ หรืออยู่ไม่ได้ ได้อีกแล้ว และในทางกลับกัน ท่านย่อมไม่ปรุงแต่งว่า สิ่งแวดล้อมที่ท่านอยู่นั้น น่าอยู่ สบายใจ หรืออยากอยู่ที่นี่ตลอดไป ได้อีกแล้ว เพราะท่านรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสมมุติ ไม่มีอยู่จริง ท่านอยู่ได้กับปุถุชนทุกชนชั้นวรรณะ                           ไม่แบ่งแยกว่าใครดีใครไม่ดี เพราะท่านไม่มีความหมายแห่งการมีตัวตนได้อีกแล้ว และท่านย่อมอยู่ได้ภายใต้กฏเกณฑ์ของทุกสังคมอย่างลงตัว กลมกลืน นี่คือธรรมชาติแห่งผู้รู้แจ้งทั้งหลาย ท่านอยู่อย่างไม่มีความหมายแห่งการมีตัวตนได้อีกแล้ว ท่านอยู่อย่างธรรมชาติอันปรุงแต่งไม่ได้อีกแล้วท่านอยู่กันอย่างนั้น เป็นเช่นนั้น ตลอดสาย ตลอดเวลา และไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น                   เป็นเช่นนี้ตลอดไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...