ทำไมพระอรหันต์หัวเราะได้ ร้องไห้ได้ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 4 กรกฎาคม 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๑
    ๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่พระ
    ราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อความขัดสนถึง
    ความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย ศัสตรา
    ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึงความแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อ
    ปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย
    แม้อายุ ของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจาก อายุบ้าง
    เสื่อมถอยจากวรรณบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลง เหลือ ๔๐,๐๐๐ ปี
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี บุรุษคนหนึ่งขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป
    เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดงแก่พระราชาผู้กษัตริย์ ซึ่งได้มูรธาภิเษกพร้อมด้วย
    กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า บุรุษผู้นี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เมื่อเขาพากันกราบทูลอย่าง นี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษนั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่า เธอขโมย
    เอาทรัพย์ของ คนอื่นไปจริงหรือ บุรุษนั้นได้กราบทูล คำเท็จทั้งรู้อยู่ว่า ไม่จริงเลยพระพุทธเจ้าข้า ฯ
    [๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่
    พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อความขัดสน
    ถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย
    ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึงความแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ได้ถึงความแพร่หลาย
    เมื่อปาณาติบาตถึงความแพร่ หลาย มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความ
    แพร่หลาย แม้อายุ ของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อม
    ถอยจาก อายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี ก็มี อายุ
    ๒๐,๐๐๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี บุรุษคนหนึ่งขโมย เอาทรัพย์ของ
    คนอื่นไป บุรุษอีกคนหนึ่งจึงกราบทูลแก่พระราชาผู้กษัตริย์ซึ่งได้ มูรธาภิเษกเป็นการส่อเสียดว่า
    พระพุทธเจ้าข้า บุรุษชื่อนี้ ขโมยเอาทรัพย์ ของคนอื่นไป ฯ
    [๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่
    พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อความขัดสน
    ถึงความแพร่หลาย ปิสุณาวาจาก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อปิสุณาวาจาถึงความแพร่หลาย
    แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้ วรรณก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง
    เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๑๐,๐๐๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี สัตว์บางพวกมีวรรณะดี สัตว์บางพวก
    มีวรรณะไม่ดี ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น สัตว์พวกที่มีวรรณะไม่ดี ก็เพ่งเล็งสัตว์พวกที่มีวรรณดี
    ถึงความประพฤติล่วงในภรรยาของคนอื่น ฯ
    [๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่
    พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่ หลาย เมื่อความขัดสน
    ถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย
    กาเมสุมิจฉาจารก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อ กาเมสุมิจฉาจารถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์
    เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้ วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจาก
    วรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๕,๐๐๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๕,๐๐๐ ปี ธรรม ๒ ประการคือ ผรุสวาจาและ
    สัมผัปปลาปะก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์
    เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจาก
    วรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๕,๐๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒,๕๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒,๐๐๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒,๕๐๐ ปี อภิชฌาและพยาบาท ก็ได้ถึงความ
    แพร่หลาย เมื่ออภิชฌาและพยาบาทถึงความแพร่หลาย แม้อายุของ สัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย
    แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของ
    มนุษย์ที่มีอายุ ๒,๕๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลง เหลือ ๑,๐๐๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี มิจฉาทิฐิก็ได้ถึงความแพร่หลาย
    เมื่อมิจฉาทิฐิถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย
    เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะ บ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี
    ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๕๐๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๕๐๐ ปี ธรรม ๓ ประการคือ อธรรมราคะ
    วิสมโลภ มิจฉาธรรม ก็ได้ถึงแก่ความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๓ ประการถึงความแพร่หลาย
    แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็ เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง
    เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตร ของมนุษย์ที่มีอายุ ๕๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒๕๐ ปี บางพวกมี
    อายุ ๒๐๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒๕๐ ปี ธรรมเหล่านี้คือ ความ ไม่ปฏิบัติชอบ
    ในมารดา ความไม่ปฏิบัติชอบในบิดา ความไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ ความไม่ปฏิบัติชอบใน
    พราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล ก็ได้ ถึงความแพร่หลาย ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่ พระราชทาน
    ทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงแก่ความแพร่หลาย เมื่อความขัดสนถึงความ
    แพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออทินนาทานถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้
    ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึงความ แพร่หลาย ปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย เมื่อ
    ปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย
    ปิสุณาวาจาก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อปิสุณาวาจาถึงความแพร่หลาย กาเมสุมิจฉาจารก็ได้
    ถึงความแพร่หลาย เมื่อกาเมสุมิจฉาจารถึงความแพร่หลาย ธรรม ๒ ประการคือ ผรุสวาจา
    และสัมผัปปลาปะก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการถึงความแพร่หลาย อภิชฌาและ
    พยาบาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออภิชฌาและพยาบาทถึงความแพร่หลาย มิจฉาทิฐิก็ได้ถึง
    ความแพร่หลาย เมื่อมิจฉาทิฐิถึงความแพร่หลายธรรม ๓ ประการคือ อธรรมราคะ วิสมโลภ
    มิจฉาธรรม ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๓ ประการถึงความแพร่หลาย ธรรมเหล่านี้
    คือ ความไม่ปฏิบัติชอบใน มารดา ความไม่ปฏิบัติชอบในบิดา ความไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ
    ความไม่ปฏิบัติ ชอบในพราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ก็ได้ถึงความแพร่หลาย
    เมื่อธรรมเหล่านี้ถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้ วรรณะก็เสื่อมถอย
    เมื่อสัตว์เหล่านั้นเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒๕๐ ปี
    ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๑๐๐ ปี ฯ
    [๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักมีสมัยที่มนุษย์เหล่านี้มีบุตรอายุ ๑๐ ปี ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
    ๑๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕ ปี จักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
    ๑๐ ปี รสเหล่านี้คือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และเกลือ จักอันตรธานไปสิ้น
    ดูกรภิกษุทั้งหลายในเมื่อมนุษย์ มีอายุ ๑๐ ปี หญ้ากับแก้ จักเป็นอาหารอย่างดี ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลายเปรียบเหมือนข้าวสุก ข้าวสาลีระคนกับเนื้อสัตว์ จักเป็นอาหารอย่างดี ในบัดนี้
    ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี หญ้ากับแก้ก็จักเป็นอาหารอย่างดี ฉันนั้น
    เหมือนกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี กุศลกรรมบถ ๑๐ จักอันตรธานไป
    หมดสิ้น อกุศลกรรมบถ ๑๐ จักรุ่งเรืองเหลือเกิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี
    แม้แต่ชื่อว่ากุศลก็จักไม่มี และคนทำกุศลจักมีแต่ไหน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มี
    อายุ ๑๐ ปี คนทั้งหลายจักไม่ปฏิบัติชอบในมารดา จักไม่ปฏิบัติชอบในบิดา จักไม่ปฏิบัติชอบใน
    สมณะ จักไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ จักไม่ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล เขา
    เหล่านั้นก็จักได้รับการบูชา และได้รับการสรรเสริญ เหมือนคนปฏิบัติชอบในมารดา ปฏิบัติชอบ
    ในบิดา ปฏิบัติ ชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน
    ตระกูล ในบัดนี้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เขาจักไม่มีจิตคิดเคารพยำเกรงว่า
    นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยาของอาจารย์ หรือว่านี่ภรรยา ของท่านที่เคารพทั้งหลาย
    สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันหมด เปรียบเหมือน แพะ ไก่ สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี สัตว์เหล่านั้นต่างก็จักเกิดความอาฆาต ความ
    พยาบาท ความคิดร้าย ความ คิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับ
    มารดาก็ดี บิดากับบุตรก็ดี บุตรกับบิดาก็ดี พี่ชายกับน้องหญิงก็ดี น้องหญิงกับพี่ชายก็ดี จักเกิด
    ความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า นายพรานเนื้อเห็นเนื้อ
    เข้าเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่า อย่างแรงกล้าฉันใด ฉันนั้น
    เหมือนกัน ฯ
    [๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี จักมีสัตถันตรกัปสิ้น ๗ วัน
    มนุษย์เหล่านั้นจักกลับได้ความสำคัญกันเองว่าเป็นเนื้อ ศัสตราทั้งหลายอันคมจักปรากฏมีในมือของ
    พวกเขา พวกเขาจะฆ่ากันเองด้วยศัสตราอันคม นั้นโดยสำคัญว่า นี้เนื้อ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้น บางพวกมีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราอย่าฆ่าใครๆ และใครๆ ก็อย่า
    ฆ่าเรา อย่ากระนั้น เลย เราควรเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ หรือซอกเขา
    มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ เขาพากันเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่าง
    เกาะหรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ตลอด ๗ วัน เมื่อล่วง ๗ วันไป
    เขาพากันออกจากป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ ซอกเขา แล้วต่างสวมกอดกันและกัน
    จักขับร้องดีใจอย่างเหลือเกินในที่ประชุม ว่า สัตว์ผู้เจริญ เราพบเห็นกันแล้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่
    หรือๆ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น สัตว์เหล่านั้น จักมีความคิดอย่างนี้ว่า เราถึงความ
    สิ้นญาติอย่างใหญ่เห็นปานนี้ เหตุเพราะสมาทานธรรมที่เป็นอกุศล อย่ากระนั้นเลยเราควร
    ทำกุศล ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นปาณาติบาต ควรสมาทาน กุศลธรรมนี้แล้ว
    ประพฤติ เขาจักงดเว้นจากปาณาติบาต จักสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะเหตุที่
    สมาทานกุศลธรรม เขาจักเจริญด้วยอายุบ้าง จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง เมื่อเขาเจริญด้วยอายุบ้าง
    เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ทั้งหลายที่มีอายุ ๑๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐ ปี ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นสัตว์เหล่านั้นจักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา เจริญด้วยอายุบ้าง
    เจริญด้วยวรรณะบ้าง เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม อย่า กระนั้นเลย เราควรทำกุศลยิ่งๆ
    ขึ้นไป ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นจาก อทินนาทาน ควรงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
    ควรงดเว้นจากปิสุณาวาจา ควรงดเว้น จากผรุสวาจา ควรงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ ควรละอภิชฌา
    ควรละพยาบาท ควรละมิจฉาทิฐิ ควรละธรรม ๓ ประการ คืออธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธรรม
    อย่ากระนั้นเลยเราควรปฏิบัติชอบในมารดา ควรปฏิบัติชอบในบิดา ควรปฏิบัติชอบในสมณะ
    ควรปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ควรประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน ตระกูล ควรสมาทาน
    กุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เขาเหล่านั้นจักปฏิบัติชอบในมารดาปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติชอบ
    ในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติ อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล จักสมาทาน
    กุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะ เหตุที่สมาทานกุศลธรรมเหล่านั้น เขาเหล่านั้นจักเจริญด้วย
    อายุบ้าง จักเจริญด้วย วรรณะบ้าง เมื่อเขาเหล่านั้นเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง
    บุตรของคน ผู้มีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุเจริญ
    ขึ้นถึง ๘๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ
    ๑๖๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๓๒๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๓๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๖๔๐ ปี
    บุตรของคนผู้มีอายุ ๖๔๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒,๐๐๐ ปี
    จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔,๐๐๐ ปี บุตร ของคนผู้มีอายุ ๔,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘,๐๐๐ ปี
    บุตรของคนมีอายุ ๘,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี
    จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญ ขึ้นถึง ๘๐,๐๐๐ ปี ฯ
    [๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เด็กหญิงมี อายุ ๕๐๐ ปี
    จึงจักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักเกิดมีอาพาธ
    ๓ อย่าง คือ ความอยากกิน ๑ ความไม่อยากกิน ๑ ความแก่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อ
    มนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้จักมั่งคั่งและรุ่งเรือง มีบ้านนิคมและราชธานีพอชั่วไก่
    บินตก ดูกรภิกษุทั้งหลายในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งว่าอเวจีนรก
    จักยัดเยียดไป ด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่าสาลพฤกษ์ฉะนั้น ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เมืองพาราณสีนี้ จัก เป็นราชธานี
    มีนามว่า เกตุมดี เป็นเมืองที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองมีพลเมืองมาก มีผู้คน คับคั่ง และมีอาหาร
    สมบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ในชมพูทวีปนี้จักมีเมือง
    ๘๔,๐๐๐ เมือง มีเกตุมดีราชธานีเป็นประมุข ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงพระนาม
    ว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม
    เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง
    สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือจักรแก้ว ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ แก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑
    คฤหบดีแก้ว ๑ ปริณายกแก้วเป็น ที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ
    มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดย
    ธรรมมิต้องใช้อาชญา มิต้อง ใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรง พระนามว่า
    เมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อม
    ด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่น
    ยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม
    เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา
    และจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้ง โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา
    และมนุษย์ ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์
    พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญา
    อันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้
    รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วย
    ปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์
    ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามใน
    เบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้ง
    พยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง บริบูรณ์สิ้นเชิง พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น
    จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ
     
  2. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717

    อ้อ..จะบอกว่า ได้ วิชา มาจาก หลวงตา...

    ก็ ยินดีด้วย..หาก จริต ถุก กัน..ก็ เรียนรู้จากท่าน ได้..
    ผมบอกแล้วไง ว่า..หลวงตา เขา เรียนปริยัติ เยอะ และเข้าใจหลัก ได้ดี
    แต่ ผม ไม่ใจว่าท่าน จะปฏิบัติ ได้ อย่างที่ เข้าใจ หรือไม่.....

    ใน สมัยพุทธกาล ก็ มีมาแล้ว...พระ โปฐิละ...เป็น อุปัชฌาย์ บวชพระ
    จนสำเร็จอรหันต์ มากมาย แต่ ตัว ท่น กลับไม่ได้อะไร พระพุทธองค์ ทรง ว่าเปีรียบเปรย เรียกท่าน ว่า โปฐิละ แปลว่า ใบลานเปล่า

    สุดท้าย พระ อุปัชฌาย์ โปฐิละ ต้องไป เรียนกรรมฐาน กับ เณร
    จึงได้ สำเร็จ อรหันต์ ตามไป...
     
  3. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เข้าใจคนละทางเลย เอานะ
    คุยกับคุณอุรุเถิดครับ ไม่กวนแล้ว
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ทุกโพสต์ผมมีหลักฐานอ้างอิงจากพระไตรปิฏกครับ นรก-สวรรค์ ในพระไตรปิฏกมีพูดถึงอยู่มาก ท่านบอกว่านรก-สวรรค์เป็นมายา ผมเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ ดังนั้นผมกับท่านก็ไม่มีอะไรจะสนทนาครับท่าน ท่านจะด่าผมเชิญครับ ท่านจะปรามาสใครตามสบายครับท่าน
     
  5. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717

    หุหุ..แน่นอน...
    ผม ไม่บ้า ไปเชื่อ แบบคุณ แน่ๆ พระอรหันต์ ยังร้องไห้..ได้

    คนร้องไห้ นะ..คำนี้ มันหมายความว่า ต้อง เจ็บช้ำ น้ำใจ และ คร่ำครวญ..จึงเรียกว่า ร้องไห้..หาก คน อยู่เฉยๆ แล้วน้ำตาไหลออกมา..โดย ไม่มีจิต คร่ำครวญ..จะเยกว่า ร้องไห้ มั้ยเล่า

    พระอรหันต์ ร้องไห้..กับ พระอรหันต์ น้ำตาไหล..มัน ไม่เหมือนกันแน่ๆ

    พระอรหันต์ สอุปาทิเสสนิพพพาน..นั้น ท่านดับ นามธรรม ทั้งท 4 สิ้นไปแล้ว
    เหลือ เพียงรูป ขันธ์ ยังทรงอยู่..ท่านก ยังมี ทุกข์ ประจำ แต ทุกข์ จร ท่านไม่มีแล้ว...เพระ ทุกข์ ต่างๆ ทั้งหมด เกิด จากใจ..ร่างกาย แค่ ที่พัก อาศัย

    ท่าน สำเร็จธรรม แบบสอุปาทิเสส...ย่อมไม่มีทาง ที่จะ เคลื่อนจิต ไป จับ สภาวะใดๆ อีกแล้ว....จะพพ่อ ตาย แม่ตาย..มันก็ แค่ สภาวะ ของโลก อันนึง ธรรมดาๆ...ท่าน มีสติ ระลึกทัน เสมอๆ ไม่มีทางที่จะ ร้องไห้ คร่ำครวญ
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คนละทางกับผมเหมือนกัน ผมก็ไม่กวนแล้ว เชิญท่านอื่นครับ
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อนุโมทนาครับ รักษาตัวดีๆ ครับท่าน
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Xsf1FVxXJo8"]??????-????????? ??????????????? - YouTube[/ame]
     
  9. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    555+.ผม โดน คดี เพราะ ปาก คุณ แท้ๆ ล่ะสิ..หุหุ..แม๋ ตัดสินว่าผม ปรามาส..คุณ เป็น ตุลาการ สิ....เงาหัว ตัวคุณเอง มีมั้ย หัด สังเกตุด้วยนะ

    นรกสวรรค์ ผม จะเล่าให้ฟังนะ...พระพุทธเจ้าท่านเทศนาไว้ว่า ทุกสิ่ง มีความเสื่อมไป เป็นธรรมดา..ใน อนุกุพพิกกถา...มี 5 อย่าง..ท่านกล่าวไว้ชัดเจนแล้ว...

    สวรรค์ ก้อ ต้องล่มไป ด้วยความเป้ อนิจจัง..แล้ว สวรรค์ ไม่ใช่มายา หรือไร
    ธรรมง่ายๆ แค่นี้คุณ ยังโง่ ไม่เข้าใจ...

    สุดท้าย ต้อง เนกขัมมะ..จึงจะพ้นไปได้...

    ส่วนเรื่องยก พระไตรปิฏก มา นั้น ..มันไม่ใช่ การ แสดงว่า คุณ เข้าใจ และ รู้จริง นะ..ผม จะบอกให้..คุณ เองอ่าน ยังไม่รู้เรื่องเลย แค่ มี คำบางคำ ที่คุณ คิดเอา ว่า ถูกใจคุณ ...คุณ ก็ยกมาอ้าง แล้วบอก ว่าตัวคุณ แตกฉาน ดีแล้ว

    ยัง โง่ ครับ...
     
  10. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717

    อันนี้ ยกมา เพื่อ จะ การันตีหรอ...5555555555555555+++

    อย. แปลว่า อาหย่อย ละป่าว...

    สิ่งที่เห็น อาจไม่เป็นอย่างที่คิด ก้ได้ อย่ามั่นใจนัก
     
  11. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    แบงค์ ใบละ 80 บาท กำลังจะออกเร็วๆนี้...

    คุณ อุรุ ซื้อไว้เยอะๆนะ...เขา ขาย ใบละ 120 บาท เอ ง ไม่แพงๆๆๆๆๆ...5555555555+++
     
  12. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    มีเรื่อง..ธรรมเทศนา เรื่องนึง..

    ชาวนา บ้านนึง มี พ่อ แม่ และ ลูกชาย ลูกสะใภ้...คนบ้านนี้ ทำนาเป็นอาชีพ และ ทุกคนในบ้าน..เขา เจริญมรณานุสสติ เป้น เครื่องอยู่ ของจิต

    ทุกคน ได้ โสดาบัน...((พระพุทธองค์ ทรงเล่าไว้))
    วันนึง ลูกชายไป นา กับพ่อ แม่และ ลูกสะใภ้อยุ่บ้าน.....
    หุงหาอาหาร เพื่อจะไปส่งตามเวลา....ช่วงสายวันนั้ย ลูกชายชาวนา ถูก งู กัดตาย..พ่ อ เขา ก้ เฉยๆ ไม่ร้องไห้..แต่ได้ฝากเรื่อง คน ที่ผ่าน เถียงนาของแก ให้ไป บอก คนที่บ้านว่า ให้เตรียม ข้าว มา แค่ คน ๆ เดียวพอ....

    คนรับฝากเรื่อง ก็ ไปบอก ที่บ้าน..คนที่บ้าน ก็ รู้ แล้วว่า ลูกชาย ตายไป..ลูกสะใภ้ ก็ ไม่ร้องไห้ แม่ ก็ ไม่ร้องไห้..คน ที่ เอาข่าวมาบอก ก็ สงสัยถามว่า คนที่ตาย เนี่ย เป็นคนเลวมากใช่มั้น ทำไม ไม่ร้องไห้ กัน..แม่ กับ เมีย คนตาย ตอบว่า เปล่าเลย...คน ตายเหมือน หม้อดิน ย่อม มี ความแตกสลายไป เป้น ธรรมดา...

    ชาวนา พวกนี้ เก่ง กว่า พระอรหันต์ สิท่า...เขาไม่ร้องไห้ เลญ.....หุหุหุหุหุ
     
  13. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ผมเสนอทางออกให้อย่างนี้นะ

    เราไม่รู้หรอกใครมีคุณธรรมใด ของที่ว่าไม่จริงอาจจริงก็ได้ ของที่ว่าจริงอาจไม่จริงก็ได้

    มัวแต่ยกคน ข่มคน มันก็มีคำถามไม่จบ สงสัยไม่จบ เบียดเบียนไม่จบ เคารพใครก็ไม่สนิทใจ

    ก็ให้ กราบผ่านตัวแทนคุณธรรมสงฆ์ ๔คู่ ๘บุรุษ

    ทีนี้จะกราบ จะถวายทาน ก็เป็นคุณเสมอกันหมด ไม่ข้องรูปที่อยู่ตรงหน้า

    เพราะ คุณพระรัตนตรัยอยู่ที่ใจแล้ว


    อีกข้อนึง ไม่ต้องไปแสวงหาพระอริยะเจ้าที่ไหนแล้ว ใครจะยก ก็ให้เขายกไป

    ก็พระอริยะไม่อยู่ไหนไกล อยู่ในจิต เจตสิก รูป นี้

    คุณของพระพุทธมี เพราะพระธรรมมี

    คุณของพระธรรมมี เพราะผู้แจ้งธรรมมี

    ก็ธรรมนี้วานใครแจ้งก็ไม่ได้ จะแจ้งก็ที่จิตนี้ ตนนี้ พระอริยะก็อยู่ภายในนี้

    นั้นแลรู้เอง เห็นเอง เคารพตน เคารพธรรม เคารพผู้ชี้ธรรม

    ไม่จำเป็นต้องสร้างกรรมอะไรเพิ่มขึ้นมา



    แล้วแต่จะพิจารณาครับ ^^
     
  14. oynip_t

    oynip_t สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +15
    โทษน่ะครับ แล้วคนทืี่ไม่ศรัทธาไม่เชื่อหลวงตา แล้ว ทำไมไม่ไปปฏิบัติธรรม ให้เห็นด้วยตัวเองล่ะครับ เสียเวลามานั่งด่าพระ เสียเวลามาเถียง ปริยัติธรรม ไปปฏิบัติให้รู้ธรรมแล้วจะเข้าใจเอง ปริยัติธรรมยังไม่ถ่องแท้เท่าปฏิบัติ


    อีกอย่างครับ ผมไม่สงสัย ว่าอัฐิของหลวงตาเป็นพระธาตุ ได้เพราะร่างกายที่ถูกเผาแล้วเป็นพระธาตุได้นั้นย่อมหมายถึงความบริสุทธิ์ทั้งกายและจิต อย่างแท้จริง ระวังจะหมิ่นพระอริยสงฆ์ ตกนรกทั้งเป็นและตายน่ะครับ
    มีคนบอกผมว่า ถ้าในหลวงท่านเสด็จไปกราบพระที่ใดเชื่อถือได้นั่นคือพระอริยสงฆ์ คุณ....ไปดูสิว่ามีองค์ใดบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2012
  15. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    อริยสงฆ์ กะ อรหันต์มันต่างกันนะครับ ผมเชื่อครับว่าหลวงตาบัวอาจจะเป็นอริยสังฆ์ได้ แต่ไม่ใช่อรหันต์แน่นอนเลย แล้วอีก อย่างกระดูกกลายเป็นพระธาตุ หมาบ้านผมที่ผมฝังกะมือเพื่อเอาเป็นปุ๋ยต้นไม้ อีกหลายเดือนไปขุดเพื่อที่จะปลูกต้นไม้ กระดูกมันยังขึ้นเป็นเหมือนทองมาหุ้มเลย เป็นแผ่นผลึกบางๆ ถ้ากระดูกเป็นพระธาตุแสดงว่าต้องเป็นอรหันต์ งั้นแสดงว่าหมาของผมก็เป็นอรหันต์ด้วยสิ เกล็ดเลือดหรือน้ำเหลืองของคนปกติอย่างผมพอแห้งแล้วก็เป็นผลึกเหมือนกัน พอเผาแล้วก็เป็นผลึกแก้วเหมือนกันแต่ผมไม่ใช่อรหันต์ เพราะงั้นเอามาบอกไม่ได้หรอกว่ากระดูกที่เผาแล้วได้ผลึกแก้วต้องเป็นอรหันต์ แล้วอีกอย่างผมลองปฏิบัติธรรมมานานแล้วครับ เลยรู้ว่าหลวงตาไม่ได้เป็นอรหันต์ไง พระที่ติดโลกไม่มีทางสำเร็จถึงอรหันต์
     
  16. oynip_t

    oynip_t สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +15
  17. oynip_t

    oynip_t สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +15
    ผมไม่ได้รับรองว่า หลวงตาบัว เป็นพระอรหันต์ ผู้รับรองได้คือพระพุทธเจ้า พระอรหันต์จะรู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์ พระอนาคามี ไม่สามารถรู้ได้ว่า ใครเป็นพระอรหันต์แต่จะรู้ได้ว่าใครอยู่ระดับอนาคามี ใครไม่สามารถตัดสินได้หรอกว่าท่านเป็นหรือไม่ ...
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ปุถุชนอยากเห็นพระอรหันต์ เห็นพระโสดาบันยังเป็นเรื่องยาก พวกฝันกลางวันครับ
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    กระดูกเป็นพระธาตุเป็นผลจากปฏิบัติ พระอรหันต์ท่านดับหมดแล้วซึ่งกิเลสตัณหา หมามันดีแต่เห่า ดีแต่กัดกิน กินแม้แต่ขี้ หมาเป็นสัตว์จำพวกไม่มีสัญญา มันรู้ธรรมไม่ได้ เกิดเป็นคนอย่าให้โง่กว่าหมา พระอรหันต์เขาดูกันที่ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญาครับ
     
  20. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ''พระอรหันต์ประเภท สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ยังมีเวทนาอยู่ เสวยสุขและทุกข์อยู่
    พระอรหันต์ประเภพ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดับเวทนาได้ เวทนาเป็นของดับเย็น หมดสิ้นตัณหา''


    ก็ประมานนั่น เเละคุณ อุรุเวลา
    อย่าง สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ พระอรหันที่สิ้นอาสวะเเล้ว เเต่ยังมีอินทรีย์ ตั้งไว้อยู่ ก็อาจจะไปทุกข์กับอินทรีย์ที่ตั้งไว้อยู่นั่นเเละ สังขารมันก็ทำงานของมันไป เสื่อมลงเรื่อยๆ ก็ไม่เเน่ว่า ถ้าอาจจะเผลอบ้าง ลืมไปรับรู้บ้างประมานนั่น ก็อาจจะ น้ำตาไหลเลยก้เป็นไปได้ การทำงานของร่างกายก็เเบบนี้เเละ แปรปวน สิ้งที่คิดว่าเที่ยง มันก็ไม่เที่ยงเสมอไปหรอก เช่นจิตของเราถ้าโยนิโสดีเเล้ว ก็จะรู้ว่าไม่เที่ยง เเต่เมื่อเราฝึกบ่อยๆ เพื่อให้มันตั้งมั่นได้ นี้ก็คือความไม่เที่ยงอีกเเบบ นะ ทำสิ่งไม่เที่ยงให้เที่ยง เเต่หลักธรมชาติ สิ่งไหนมีเหตุปัจจัยเกิดมันจะเป็นสื่งที่ไม่เที่ยงเเท้ เเละ สิ่งนั่นนั่นย่อมเป็นทุกขัง ตั้งอยู่ เเละดับไป เหมือนเดิม
    คือความไม่เที่ยง ของโลกนั่นเอง ที่เราคิดกันอยู่ ว่ามันจะเที่ยงยังไงมันก็ไม่เที่ยง ......
     

แชร์หน้านี้

Loading...