ทำไมคนหรือพระสงฆ์ที่มีฤทธิ์ อภิญญา จึงไม่แสดง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย somchai_eee, 1 พฤษภาคม 2012.

  1. bankbankbank

    bankbankbank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +885
    การแสดง อิทธิฤทธิ์ ของพระสงฆ์...

    จะทำให้ เหล่า พุทธสาวก ที่ยัง ไม่บรรลุแก่นธรรม จะลุ่มหลง งมงายได้ครับ..และที่สำคัญ เป็น การ แสวงหา ลาภสักการะ แบบ ทัน ด่วน..เป็นการ เพิ่ม กิเลส ตัณหา อย่างแรง..พระพุทธองค์ ทรงเล็งเห็น อุปสรรค ข้อ นี้..ท่านจึง ปรับ อาบัติ หนักมาก...ใน สงฆ์ ที่ ไม่ได้ อภิญญา จริงๆ แล้วไป อวดอ้างว่า ได้ อภิญญา โดยมีการหลอกลวง สาธุชน และ เหล่า สาธุชน เกิด ความเชื่อว่า สงฆ์ นั้นๆ มี ฤทธิ์ จริงๆ..จะทำให้ เกิดการ บำรุงสงฆ์ นั้นอย่างเอิกเกริก...พระพุทธองค์ ท่านจึงปรับ อาบัติ หนัก ถึงขั้น ปราชิก ในสงฆ์ ที่อวด ฤทธิ์ แต่ ไม่มี ฤทธิ์ จริงๆ

    ส่วน สงฆ์ ที่ มีฤทธิ์ หาก ฝืนแสดง และ มี คนเชื่อ ก้ จะผิด เหมือนกัน แต่ ปรับ อาบัติ แค่ ปาจิตตีย์..ซึ่งก็ หนัก แต่ แก้ไขได้...เพราะ การแสดงฤทธิ์ นั้น มันก่อ ให้เกิด ความงมงาย และ จะละการปฏิบัติ ที่ ทำให้ สิ้นอาสวะไป..อันเกิด จาก การ ติด ใน เรื่องฤทธิ์ ครับ
     
  2. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    แก้ทุกครั้งนั้นเพื่อจัดระเบียบเพื่อให้อ่านง่ายขึ้น ประโยชน์แก่ผู้อ่าน

    ก็บอกหน่อยที่วางเป็นน่ะจะได้ทำตาม เอาอะไรวาง และวางอะไร
    อย่ากล่าวลอยๆ เหมือนว่าดี ใครเป็นผู้วาง ใครเป็นผู้ถูกวาง
    แล้วเที่ยวอวดว่าวางเป็น ผมไม่ได้ให้คุณแก้ไข แต่เพื่อผู้อ่านเข้าใจว่า
    ที่คุณพูดมาน่ะอัตตาทั้งนั้น เมื่อมีอัตตาจะว่าพูดถูกได้ยังไง
     
  3. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    [๒๙๓] พ. ดูกรสุสิมะ อริยสาวกผู้ได้สดับ เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อ
    หน่าย แม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขารทั้งหลาย แม้ใน
    วิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
    เมื่อหลุดพ้น ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
    พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้
    มิได้มี ฯ

    [๒๙๔] พ. ดูกรสุสิมะ เธอเห็นว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา
    และมรณะหรือ ฯ
    สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. สุสิมะ เธอเห็นว่า เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติหรือ ฯ
    สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. สุสิมะ เธอเห็นว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพหรือ ฯ
    สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. สุสิมะ เธอเห็นว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทานหรือ ฯ
    สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ... เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ... เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
    จึงมีเวทนา ... เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ... เพราะนามรูปเป็นปัจจัย
    จึงมีสฬายตนะ ... เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ... เพราะสังขารเป็น
    ปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... สุสิมะ เธอเห็นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
    หรือ ฯ
    สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

    [๒๙๕] พ. ดูกรสุสิมะ เธอเห็นว่า เพราะชาติดับ ชราและมรณะ
    จึงดับหรือ ฯ
    สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า
    พ. สุสิมะ เธอเห็นว่า เพราะภพดับ ชาติจึงดับหรือ ฯ
    สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ... เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ... เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึง
    ดับ ... เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ ... เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ ...
    เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ... เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ ...
    เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ... เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... เพราะ
    อวิชชาดับ สังขารจึงดับหรือ ฯ
    สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

    [๒๙๖] พ. ดูกรสุสิมะ เธอรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมบรรลุอิทธิวิธี
    หลายประการ คือคนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้
    ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝา กำแพง ภูเขา ไปได้ไม่ติดขัด เหมือน
    ไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือน
    เดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปบนอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์
    พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอด
    พรหมโลกก็ได้ บ้างหรือหนอ ฯ

    สุ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

    [๒๙๗] พ. ดูกรสุสิมะ เธอรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมได้ยินเสียงสอง
    ชนิด คือเสียงทิพย์ และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกล และอยู่ใกล้ ด้วยทิพยโสตธาตุ
    อันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์บ้างหรือหนอ ฯ

    สุ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

    [๒๙๘] พ. ดูกรสุสิมะ เธอรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมกำหนดรู้ใจของ
    สัตว์อื่น ของบุคคลอื่นได้ด้วยใจ คือจิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่าจิตมีราคะ ฯลฯ จิตไม่
    หลุดพ้น ก็รู้ชัดว่าจิตไม่หลุดพ้น บ้างหรือหนอ ฯ

    สุ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

    [๒๙๙] พ. ดูกรสุสิมะ เธอรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมระลึกถึงชาติก่อน
    ได้เป็นอันมาก คือชาติหนึ่งบ้าง ฯลฯ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อม
    ทั้งอาการ ทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ บ้างหรือหนอ ฯ

    สุ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

    [๓๐๐] พ. ดูกรสุสิมะ เธอรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่
    กำลังจุติ ฯลฯ ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์
    ผู้เป็นไปตามกรรม บ้างหรือหนอ ฯ

    สุ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

    [๓๐๑] พ. ดูกรสุสิมะ เธอรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมถูกต้องอารูปวิโมกข์
    อันสงบ ก้าวล่วงรูปวิโมกข์ทั้งหลาย ด้วยกายบ้างหรือหนอ ฯ

    สุ. มิใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

    [๓๐๒] พ. ดูกรสุสิมะ คำตอบนี้ และการไม่เข้าถึงธรรมเหล่านี้มีอยู่
    ในเรื่องนี้ ในบัดนี้ เรื่องนี้เป็นอย่างไรแน่ ฯ

    ลำดับนั้นเอง ท่านสุสิมะหมอบลงแทบพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาค
    ด้วยเศียรเกล้า ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า โทษได้ตกถึง
    ข้าพระองค์ เท่าที่โง่ เท่าที่หลง เท่าที่ไม่ฉลาด ข้าพระองค์บวชขโมยธรรมใน
    ธรรมวินัยที่พระองค์ตรัสดีแล้วอย่างนี้ ขอพระผู้มีพระภาคจงรับโทษไว้โดยความ
    เป็นโทษ เพื่อความสำรวมต่อไป ของข้าพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า ฯ


    [๓๐๓] พ. เอาเถิด สุสิมะ โทษได้ตกถึงเธอ เท่าที่โง่ เท่าที่หลง
    เท่าที่ไม่ฉลาด เธอบวชขโมยธรรมในธรรมวินัยที่เรากล่าวดีแล้วอย่างนี้ เปรียบ
    เหมือนเจ้าหน้าที่จับโจรผู้ประพฤติผิดมาแสดงตัวแก่พระราชา แล้ว กราบทูลว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ โจรคนนี้ ประพฤติผิดแด่พระองค์ ขอพระองค์จงทรง
    ลงอาชญาตามที่พระองค์ทรงพระประสงค์แก่โจรคนนี้เถิด พระราชาพึงรับสั่งให้ลง
    โทษโจรนั้นอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปมัดบุรุษนี้ไพล่หลังให้มั่นด้วยเชือกที่เหนียว
    แล้วเอามีดโกนโกนหัวเสีย พาเที่ยวตระเวนตามถนน ตามทางสี่แยก ด้วยฆ้อง
    ด้วยกลองเล็กๆ ให้ออกทางประตูด้านทักษิณ แล้วจงตัดศีรษะเสียข้างด้านทักษิณ
    ของเมือง ราชบุรุษมัดโจรนั้นไพล่หลังอย่างมั่นคง ด้วยเชือกที่เหนียวแล้วเอามีด
    โกนโกนหัว พาเที่ยวตระเวนตามถนน ตามทางสี่แยกด้วยฆ้อง ด้วยกลองเล็กๆ
    พาออกทางประตูด้านทักษิณ พึงตัดศีรษะเสียข้างด้านทักษิณของเมือง สุสิมะ
    เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นต้องเสวยทุกข์และโทมนัสอันมีกรรมนั้น
    เป็นเหตุหรือหนอ ฯ
    สุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

    [๓๐๔] พ. ดูกรสุสิมะ บุรุษนั้นต้องเสวยทุกข์และโทมนัสอันมีกรรม
    นั้นเป็นเหตุ แต่การบวชของเธอผู้ขโมยธรรมในธรรมวินัยที่ตถาคตกล่าวดีแล้ว
    อย่างนี้ นี้ยังมีผลรุนแรงและเผ็ดร้อนกว่านั้น และยังเป็นไปเพื่อวินิบาต แต่เพราะ
    เธอเห็นโทษ โดยความเป็นโทษแล้ว ทำคืนตามธรรม เราจึงรับโทษนั้นของเธอ
    ผู้ใดเห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้ว ทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวมต่อไป ข้อนี้
    เป็นความเจริญในวินัยของพระอริยะ ฯ



    บางตอนจาก
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=16&A=3187&Z=3452
    ๑๐. สุสิมสูตร
     
  4. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผู้มีอัตตาจะตามหาเรื่องถกเถียงไม่หยุด เพราะยึดติดในอัตตา ว่าด้วยการยึดมั่น

    เหตุแม้เพียงน้อยนิด ก็สามารถนำมาเป็นเรื่องให้ถกเถียงได้เสมอ เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้

    วางลงเสีย ทำเป็นไม่สนใจ ก็จะวางลงได้ จิตใจจะไม่ดิ้นรนแสวงหา ส่วนสีแดงนั่นชัดเจนดีครับ

    สาธุครับ
     
  5. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    คุณคิดได้อย่างไรว่าการสนทนาธรรมเป็นถกเถียง เมื่อไม่รู้ก็ถาม
    จะให้ผู้อื่นหยุด ถามตนเองซิว่าหยุดแล้วหรือยัง
    ทำไมเห็นธรรมเป็นเรื่องเล็กน้อย
    วางลงเสีย ทำเป็นไม่สนใจ นี่หรือคำตอบ
    เปลี่ยนไปตั้งกระทู้ใหม่ เลิกบอกว่ารู้เองเห็นเองแล้วหรือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 สิงหาคม 2012
  6. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    การเห็นเองนั้นสามารถนำมาเปรียบเทียบได้ พระอาจารย์ท่านก็บอกแนะนำเอาไว้มากมาย

    กรุณามองที่ประโยชน์ด้วยครับ ว่าจะมีผลต่อหมู่สาธุชนมากน้อยเพียงใด

    ผมก็ไม่เข้าไปวุ่นวายในสถานที่ของคุณ เพียงเพื่อหาเรื่องอย่างที่คุณทำอยู่ครับ

    การสนทนาธรรมที่มีมาในกาลก่อนนั้น เขานำแต่เหตุ-ผล ไม่ได้มาหาเหตุให้ถกเถียงเช่นนี้

    หากถกเถียงอยู่เช่นนี้ย่อมไม่มีทางที่จะจบสิ้น พอนึกไม่ออกก็เก็บไว้ก่อน นึกออกค่อยมาหาเรื่องใหม่

    บ่งบอกว่าขี้เหงา ขาดผู้คนที่จะพูดคุยด้วย หรือ ชื่นชอบแสดงตนเพื่ออยากได้โลกธรรม 8

    คุณทำเพื่ออะไรครับ คนที่เริ่มเข้ามาหาเรื่องเป็นคุณ หรือ เป็นผมครับ

    สาธุครับ
     
  7. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ตรงไหนล่ะที่มีคำกล่าวท้าตีท้าต่อย คิดเป็นอกุศลไปได้ มีแต่คำถาม
     
  8. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คำไหนที่บ่งบอกว่าท้าตี ท้าต่อยครับ ใครคิดอกุศลย่อมรู้อยู่แก่ใจตนเองครับ

    สาธุครับ
     
  9. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ผมไม่รู้ แต่ดูแล้วคุณรู้ช่วยบอกหน่อย
     
  10. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เช่นนั้น ผมจะหยุดแล้วครับ ถือว่าเข้าใจกันดีแล้ว

    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...