ถ้าปรารถนาเป็นนางแก้ว แต่ว่ายังไม่มีคู่บารมี

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ครุกแชง, 20 มีนาคม 2008.

  1. ครุกแชง

    ครุกแชง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +67
    <TABLE class=tborder id=post1067126 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_1067126 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">กรณีของคุณ คุณเป็นนางแก้วคู่บารมีที่มีนิสัยไปทางปัญญาธิกะ
    และคุณจะได้ชักชวนพุทธภูมิคู่บารมีที่เป็นวิริยาธิกะของคุณ
    เข้ามาบำเพ็ญบารมี
    <!-- / message --></TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] </TD><TD class=alt1 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right><!-- controls --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    งง อ่ะค่ะช่วยอธิบายให้ละเอียดหน่อยสิคะ
     
  2. ช้างไม่อยากเป็นช้าง

    ช้างไม่อยากเป็นช้าง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +29
    55555+
     
  3. ช้างไม่อยากเป็นช้าง

    ช้างไม่อยากเป็นช้าง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +29
    · ดูก่อนสารีบุตรผู้เป็นพระยาธรรมของพระตถาคต ในเมื่อว่างพระศาสนาแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือพระกัสสปสัพพัญญู และศาสนาพระตถาคตต่อกันนั้น เป็นกาลควรพระพุทธเจ้าจวนจะมาตรัสอยู่แล้ว ในท่ามกลางระหว่างศาสนานั้น โตไทยพราหมณ์ผู้นี้เกิดเป็นวาณิชผู้หนึ่ง มีชื่อว่านันทมาณพ ไปเที่ยวค้าขายในประเทศต่างๆ ครั้งหนึ่งยังมีพระปัจเจกโพธิเจ้าองค์หนึ่ง เสด็จไปเที่ยวโคจรบิณฑบาต นันทมาณพเห็นองค์พระปัจเจกโพธิเจ้าก็บังเกิดมีความเลื่อมใสศรัทธายกเอาผ้ากำพลสีแดงผืนหนึ่งกับทองแสนตำลึง กระทำเป็นเครื่องไทยธรรมถวายแก่พระปัจเจกโพธิเจ้าเป็นมหาบริจาค แล้วจึงตั้งปณิธานความปรารถนาว่า ข้าแต่พระปัจเจกโพธิผู้ตรัสรู้ธรรมวิเศษต่างๆ พระคุณเจริญมากหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าถวายทานบัดนี้ ขอจงเป็นปัจจัยแก่พระสัพพัญญุตญาณในเบื้องหน้า ด้วยเดชะผลทานนี้ พระปัจเจกโพธิเจ้ารับเอาผ้ากำพลผืนนั้นมาคลุมพระองค์ลง ผ้ากำพลนั้นปกปิดพระองค์โดยรอบคอบยังเหลือแต่พระหัตถ์และพระบาทในเบื้องบนนั้นมีประมาณศอกหนึ่ง นันทมาณพเห็นดังนั้นจึงตั้งความปรารถนาเป็นสองประการอีกเล่าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นานไปในอนาคตเบื้องหน้าโน้น ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ามีเดชานุภาพแผ่ทั่วอาณาจักรไปในภายใต้แผ่นพื้นปฐพีนั้นโยชน์หนึ่ง ด้วยเดชะผลทานในครั้งนี้ ครั้นนันทมาณพตั้งความปรารถนาแล้ว พระปัจเจกโพธิเจ้าจึงอนุโมทนาทานของนันทมาณพแล้วคมนาการไปจากที่นั้น ไปถึงกลางมรรคา ยังมีนางกุมารีสาวน้อยผู้หนึ่งเห็นพระปัจเจกโพธิเจ้าห่มผ้าแดงเดินมา นางจึงถามว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญพระเจ้าข้า ผ้าผืนนี้ที่พระผู้เป็นเจ้าห่มมีสีแดงงามบุคคลผู้ใดถวายแก่พระผู้เป็นเจ้า พระปัจเจกโพธิจึงบอกว่า ดูก่อนสีกา ผ็าแดงผืนนี้พาณิชนันทมาณพถวายแก่อาตมา พระเจ้าข้าพระผู้เป็นเจ้าเขาถวายผ้ากัมพลแล้วเขากระทำความปรารถนาดังฤา พระปัจเจกโพธิบอกว่าดูก่อนสีกา มาณพนั้นถวายผ้าแล้วกระทำความปรารถนาสองประการ คือ ปรารถนาพระสัพพัญญูประการหนึ่ง ปรารถนาศิริราชสมบัติประการหนึ่ง นางกุมารีได้สดับดังนั้นจึงยกเอาผ้าของอาตมาถวายแก่พระปัจเจกโพธิเจ้า แล้วก็ตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระคุณอันยิ่ง ถ้าแม้ว่ามาณพพาณิชนั้นได้เสวยศิริราชสมบัติเป็นบรมกษัตริย์แล้ว ข้าพเจ้าขอปรารถนาเป็นนางพระยาราชมเหสีแห่งพาณิชผู้นั้น ด้วยเดชะนางกุมารีพลอยกระทำบุญตามพาณิชนั้น คนทั้งสองนั้นก็ได้สมัครสังวาสอยู่กินเป็นภรรยาสามีในปัจจุบันชาตินั้นมาแล้ว ก็คิดอ่านการกุศลสร้างศาลาหลังหนึ่งไว้ในที่นั้น ยังให้นายช่างสลักเป็นรูปพระปัจเจกโพธิเจ้า ประดิษฐานตั้งไว้ในศาลา ฝ่ายว่านางกุมารีจึงโกนซึ่งเกศ เอาเกศามาชุบน้ำมันหอมกระทำสักการบูชาพระปัจเจกโพธิเจ้า กระทำผมของต่างไส้ประทีปตามถวาย <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    · ครั้งนั้น คนทั้งสองได้กระทำกุศลด้วยประการดังนี้ ครั้นกระทำกาลกิริยาตายก็ได้ไปบังเกิดในดาวดึงสพิภพเทวโลกเสวยทิพยสมบัติอยู่ช้านาน จนประมาณนับด้วยปีในมนุษย์นี้ได้ ๓ โกฏิ ๖๐ แสนปีเป็นกำหนด ครั้นสิ้นอายุแล้วจุติลงมาเกิดเป็นบรมกษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรมทั้ง ๑๐ ประการ เสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงทวารวดีมหานคร ส่วนว่านางฟ้ากุมารีนั้น ก็จุติลงมาเกิดในสกุลมหาเศรษฐี อันประกอบไปด้วยสมบัติมากในกรุงทราวดี ครั้นนางกุมารีธิดาจำเริญชันษาได้ ๑๖ ปี ก็ได้มาเป็นพระราชอัครมหาเศรษฐีแห่งบรมกษัตริย์นั้นทรงพระนามว่า พระมงคลราชเทวี มีแสนสาวสุรางค์แวดล้อมเป็นยศศักดิ์บริวารประมาณ ๑๐ แสน วันหนึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงทราวดีเสด็จแวดล้อมพร้อมด้วยพระสนมข้างในประมาณ ๑๖ แสน ประสงค์พระทัยจะทดลองบุญแห่งพระมงคลราชมเหสีนั้น ให้ปรากฏแก่หมู่สาวสนมทั้งหลาย จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่หมู่นางทั้งหลาย ให้จัดแจงแต่งสำรับเข้าคนละสำรับให้ถ้วนทุกตัวนาง แล้วพระองค์ให้นั่งบริโภคอยู่ตรงหน้าพระที่นั่ง เหล่านางทั้งหลายก็นั่งบริโภคโภชนาหารเป็นปรกติ จะได้เห็นประหลาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งหามิได้ แต่องค์พระมงคลราชมเหสีนั้น นางนั่งอยู่ในที่สุวรรณภาชน์ ล้างพระหัตถ์ลงในที่สุวรรณภาชน์นั้นแล้วก็รับเอาอาหารกระทำเป็นคำขึ้นเข้าไปในพระโอษฐ์ อันว่านิ้วพระหัตถ์ของนางที่จับเอาคำข้าวไว้นั้นก็กลายเป็นทองทุกนิ้วพระหัตถ์ ทุกคำเสวยในที่นั้น ด้วยเดชะผลทานที่พระนางได้ตกแต่งเป็นการกุศลอันประณีตบรรจงแต่บุพพชาติหนหลัง เหล่านางสนมทั้งหลายได้เห็นนิ้วพระหัตถ์พระลงคลราชมเหสี เป็นทองปรากฏแก่อาตมา ก็รู้แจ้งว่านางพระยาเจ้ามีบุญหาควรที่เราท่านทั้งหลายจะเกิดความริษยาหึงหวงไม่ ตั้งแต่วันนั้นมาก็ยำเกรงพระราชมเหสีเป็นอันมากฯ <o:p></o:p>
    · สมเด็จพระเจ้ากรุงทราวดีนั้นก็มีความเสน่หาในพระมงคลราชมเหสี เสด็จบรรทมเหนือแท่นอันเดียวกัน ก็ได้ทรงตั้งพระนางนั้นไว้ในที่เป็นเอกอัครราชเทวี ผู้มีบุญหานางจะเปรียบเสมอสองมิได้ ด้วยเดชะผลทานของพระนางและของพระองค์ได้กระทำมาเสมอกันแต่บุพพชาติจึงได้เสวยศิริราชสมบัติดังนั้นฯ สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าของเรา ตรัสพระสัทธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรว่า โตไทยพราหมณ์ได้กระทำบุญมาแต่ก่อน จึงได้เสวยสมบัติในสวรรค์และมนุษย์ บัดนี้จึงได้บังเกิดเป็นพราหมณ์ในศาสนาของตถาคต นานไปเบื้องหน้าโน้น โตไทยพราหมณ์จักได้เกิดเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่านรสีหะ ด้วยเดชะผลทานอันเป็นปรมัตถบารมีปรากฏดุจกล่าวมาฉะนี้ แสดงมาด้วยเรื่องราวโตไทยพราหมณ์ บรมโพธิสัตว์คำรบ ๘ ก็ยุติแต่เพียงนี้ฯ <o:p></o:p>
    เอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้ <o:p></o:p>
     
  4. ช้างไม่อยากเป็นช้าง

    ช้างไม่อยากเป็นช้าง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +29
    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ ขอท่านทั้งหลายจงสำเร็จดังความปรารถนาเทอญ
     
  5. ช้างไม่อยากเป็นช้าง

    ช้างไม่อยากเป็นช้าง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +29
    &middot; ดูก่อนสารีบุตรผู้เป็นพระยาธรรมของพระตถาคต ในเมื่อว่างพระศาสนาแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือพระกัสสปสัพพัญญู และศาสนาพระตถาคตต่อกันนั้น เป็นกาลควรพระพุทธเจ้าจวนจะมาตรัสอยู่แล้ว ในท่ามกลางระหว่างศาสนานั้น โตไทยพราหมณ์ผู้นี้เกิดเป็นวาณิชผู้หนึ่ง มีชื่อว่านันทมาณพ ไปเที่ยวค้าขายในประเทศต่างๆ ครั้งหนึ่งยังมีพระปัจเจกโพธิเจ้าองค์หนึ่ง เสด็จไปเที่ยวโคจรบิณฑบาต นันทมาณพเห็นองค์พระปัจเจกโพธิเจ้าก็บังเกิดมีความเลื่อมใสศรัทธายกเอาผ้ากำพลสีแดงผืนหนึ่งกับทองแสนตำลึง กระทำเป็นเครื่องไทยธรรมถวายแก่พระปัจเจกโพธิเจ้าเป็นมหาบริจาค แล้วจึงตั้งปณิธานความปรารถนาว่า ข้าแต่พระปัจเจกโพธิผู้ตรัสรู้ธรรมวิเศษต่างๆ พระคุณเจริญมากหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าถวายทานบัดนี้ ขอจงเป็นปัจจัยแก่พระสัพพัญญุตญาณในเบื้องหน้า ด้วยเดชะผลทานนี้ พระปัจเจกโพธิเจ้ารับเอาผ้ากำพลผืนนั้นมาคลุมพระองค์ลง ผ้ากำพลนั้นปกปิดพระองค์โดยรอบคอบยังเหลือแต่พระหัตถ์และพระบาทในเบื้องบนนั้นมีประมาณศอกหนึ่ง นันทมาณพเห็นดังนั้นจึงตั้งความปรารถนาเป็นสองประการอีกเล่าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นานไปในอนาคตเบื้องหน้าโน้น ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ามีเดชานุภาพแผ่ทั่วอาณาจักรไปในภายใต้แผ่นพื้นปฐพีนั้นโยชน์หนึ่ง ด้วยเดชะผลทานในครั้งนี้ ครั้นนันทมาณพตั้งความปรารถนาแล้ว พระปัจเจกโพธิเจ้าจึงอนุโมทนาทานของนันทมาณพแล้วคมนาการไปจากที่นั้น ไปถึงกลางมรรคา ยังมีนางกุมารีสาวน้อยผู้หนึ่งเห็นพระปัจเจกโพธิเจ้าห่มผ้าแดงเดินมา นางจึงถามว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญพระเจ้าข้า ผ้าผืนนี้ที่พระผู้เป็นเจ้าห่มมีสีแดงงามบุคคลผู้ใดถวายแก่พระผู้เป็นเจ้า พระปัจเจกโพธิจึงบอกว่า ดูก่อนสีกา ผ็าแดงผืนนี้พาณิชนันทมาณพถวายแก่อาตมา พระเจ้าข้าพระผู้เป็นเจ้าเขาถวายผ้ากัมพลแล้วเขากระทำความปรารถนาดังฤา พระปัจเจกโพธิบอกว่าดูก่อนสีกา มาณพนั้นถวายผ้าแล้วกระทำความปรารถนาสองประการ คือ ปรารถนาพระสัพพัญญูประการหนึ่ง ปรารถนาศิริราชสมบัติประการหนึ่ง นางกุมารีได้สดับดังนั้นจึงยกเอาผ้าของอาตมาถวายแก่พระปัจเจกโพธิเจ้า แล้วก็ตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระคุณอันยิ่ง ถ้าแม้ว่ามาณพพาณิชนั้นได้เสวยศิริราชสมบัติเป็นบรมกษัตริย์แล้ว ข้าพเจ้าขอปรารถนาเป็นนางพระยาราชมเหสีแห่งพาณิชผู้นั้น ด้วยเดชะนางกุมารีพลอยกระทำบุญตามพาณิชนั้น คนทั้งสองนั้นก็ได้สมัครสังวาสอยู่กินเป็นภรรยาสามีในปัจจุบันชาตินั้นมาแล้ว ก็คิดอ่านการกุศลสร้างศาลาหลังหนึ่งไว้ในที่นั้น ยังให้นายช่างสลักเป็นรูปพระปัจเจกโพธิเจ้า ประดิษฐานตั้งไว้ในศาลา ฝ่ายว่านางกุมารีจึงโกนซึ่งเกศ เอาเกศามาชุบน้ำมันหอมกระทำสักการบูชาพระปัจเจกโพธิเจ้า กระทำผมของต่างไส้ประทีปตามถวาย <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    &middot; ครั้งนั้น คนทั้งสองได้กระทำกุศลด้วยประการดังนี้ ครั้นกระทำกาลกิริยาตายก็ได้ไปบังเกิดในดาวดึงสพิภพเทวโลกเสวยทิพยสมบัติอยู่ช้านาน จนประมาณนับด้วยปีในมนุษย์นี้ได้ ๓ โกฏิ ๖๐ แสนปีเป็นกำหนด ครั้นสิ้นอายุแล้วจุติลงมาเกิดเป็นบรมกษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรมทั้ง ๑๐ ประการ เสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงทวารวดีมหานคร ส่วนว่านางฟ้ากุมารีนั้น ก็จุติลงมาเกิดในสกุลมหาเศรษฐี อันประกอบไปด้วยสมบัติมากในกรุงทราวดี ครั้นนางกุมารีธิดาจำเริญชันษาได้ ๑๖ ปี ก็ได้มาเป็นพระราชอัครมหาเศรษฐีแห่งบรมกษัตริย์นั้นทรงพระนามว่า พระมงคลราชเทวี มีแสนสาวสุรางค์แวดล้อมเป็นยศศักดิ์บริวารประมาณ ๑๐ แสน วันหนึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงทราวดีเสด็จแวดล้อมพร้อมด้วยพระสนมข้างในประมาณ ๑๖ แสน ประสงค์พระทัยจะทดลองบุญแห่งพระมงคลราชมเหสีนั้น ให้ปรากฏแก่หมู่สาวสนมทั้งหลาย จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่หมู่นางทั้งหลาย ให้จัดแจงแต่งสำรับเข้าคนละสำรับให้ถ้วนทุกตัวนาง แล้วพระองค์ให้นั่งบริโภคอยู่ตรงหน้าพระที่นั่ง เหล่านางทั้งหลายก็นั่งบริโภคโภชนาหารเป็นปรกติ จะได้เห็นประหลาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งหามิได้ แต่องค์พระมงคลราชมเหสีนั้น นางนั่งอยู่ในที่สุวรรณภาชน์ ล้างพระหัตถ์ลงในที่สุวรรณภาชน์นั้นแล้วก็รับเอาอาหารกระทำเป็นคำขึ้นเข้าไปในพระโอษฐ์ อันว่านิ้วพระหัตถ์ของนางที่จับเอาคำข้าวไว้นั้นก็กลายเป็นทองทุกนิ้วพระหัตถ์ ทุกคำเสวยในที่นั้น ด้วยเดชะผลทานที่พระนางได้ตกแต่งเป็นการกุศลอันประณีตบรรจงแต่บุพพชาติหนหลัง เหล่านางสนมทั้งหลายได้เห็นนิ้วพระหัตถ์พระลงคลราชมเหสี เป็นทองปรากฏแก่อาตมา ก็รู้แจ้งว่านางพระยาเจ้ามีบุญหาควรที่เราท่านทั้งหลายจะเกิดความริษยาหึงหวงไม่ ตั้งแต่วันนั้นมาก็ยำเกรงพระราชมเหสีเป็นอันมากฯ <o:p></o:p>
    &middot; สมเด็จพระเจ้ากรุงทราวดีนั้นก็มีความเสน่หาในพระมงคลราชมเหสี เสด็จบรรทมเหนือแท่นอันเดียวกัน ก็ได้ทรงตั้งพระนางนั้นไว้ในที่เป็นเอกอัครราชเทวี ผู้มีบุญหานางจะเปรียบเสมอสองมิได้ ด้วยเดชะผลทานของพระนางและของพระองค์ได้กระทำมาเสมอกันแต่บุพพชาติจึงได้เสวยศิริราชสมบัติดังนั้นฯ สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าของเรา ตรัสพระสัทธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรว่า โตไทยพราหมณ์ได้กระทำบุญมาแต่ก่อน จึงได้เสวยสมบัติในสวรรค์และมนุษย์ บัดนี้จึงได้บังเกิดเป็นพราหมณ์ในศาสนาของตถาคต นานไปเบื้องหน้าโน้น โตไทยพราหมณ์จักได้เกิดเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่านรสีหะ ด้วยเดชะผลทานอันเป็นปรมัตถบารมีปรากฏดุจกล่าวมาฉะนี้ แสดงมาด้วยเรื่องราวโตไทยพราหมณ์ บรมโพธิสัตว์คำรบ ๘ ก็ยุติแต่เพียงนี้ฯ <o:p></o:p>
    เอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้ <o:p></o:p>
     
  6. ช้างไม่อยากเป็นช้าง

    ช้างไม่อยากเป็นช้าง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอให้ทุกท่านตั้งมั่นไม่หวั่นไหวเที่ยงตรงเพื่อประโยชน์แด่เพื่อนร่วมทุกทั้งปวง ขอให้ทุกท่านลองคิดว่า เราเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในวัฏฏสังสารเต็มไปด้วยทุกข์อันมากไม่รู้นานเท่าไรอาจเป็น หมื่น เป็น แสน เป็น ล้าน หรือ ล้าน ๆๆ อสงไขย์ แค่เราจะบำเพ็ญเพื่อประโยชน์แด่เพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลายนี้ แค่ 20 40 หรือ 80 อสงไขย์ นี้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ทำไมเราจะอดทนไม่ได้ ทั้งๆๆที่สิ่งนี้เป็นประโยชน์สูงสุด อิอิ *๐* *_* อย่าสงสัยชื่อผม ความหมายคือ ถ้าลูกช้างนั้นไม่อยากจะเป็นช้าง ถึงจะอยากเป็นช้างหรือไม่ก็ตาม ลูกช้างนั้นก็จะเป็นช้างอยู่ดี จะเป็นแพะ เป็น ม้า ไม่เป็นไม่มี ผู้ที่รู้ว่า จิตของตนเป็นจิตแห่งพุทธภูมิ ถึงไม่อยากจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ตามแต่เหตุปัจจัยต่างๆก็จะพาเขามาสู่พุทธภูมิเช่นเดิมและจักบำเพ็ญต่อไป การที่เขาไม่อยากเป็นนั้นทำให้เขาช้าในการบำเพ็ญเฉยๆ จากวิริยาธิกะบารมี อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2008
  7. ช้างไม่อยากเป็นช้าง

    ช้างไม่อยากเป็นช้าง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอให้ทุกท่านตั้งมั่นไม่หวั่นไหวเที่ยงตรงเพื่อประโยชน์แด่เพื่อนร่วมทุกทั้งปวง ขอให้ทุกท่านลองคิดว่า เราเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในวัฏฏสังสารเต็มไปด้วยทุกข์อันมากไม่รู้นานเท่าไรอาจเป็น หมื่น เป็น แสน เป็น ล้าน หรือ ล้าน ๆๆ อสงไขย์ แค่เราจะบำเพ็ญเพื่อประโยชน์แด่เพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลายนี้ แค่ 20 40 หรือ 80 อสงไขย์ นี้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ทำไมเราจะอดทนไม่ได้ ทั้งๆๆที่สิ่งนี้เป็นประโยชน์สูงสุด อิอิ *๐* *_* อย่าสงสัยชื่อผม 55+ ความหมายคือ ถ้าลูกช้างนั้นไม่อยากจะเป็นช้าง ถึงจะอยากเป็นช้างหรือไม่ก็ตาม ลูกช้างนั้นก็จะเป็นช้างอยู่ดี จะเป็นแพะ เป็น ม้า ไม่เป็นไม่มี ผู้ที่รู้ว่า จิตของตนเป็นจิตแห่งพุทธภูมิ ถึงไม่อยากจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ตามแต่เหตุปัจจัยต่างๆก็จะพาเขามาสู่พุทธภูมิเช่นเดิมและจักบำเพ็ญต่อไป การที่เขาไม่อยากเป็นนั้นทำให้เขาช้าในการบำเพ็ญเฉยๆ จากวิริยาธิกะบารมี อิอิ
    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2008
  8. ช้างไม่อยากเป็นช้าง

    ช้างไม่อยากเป็นช้าง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +29
    น่าอนุโมทนานะที่มีผู้หญิงคิดอย่างนี้หายากที่ยอมเสียสระทุกอย่าง สาธุๆๆๆ
     
  9. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    นางแก้วปัญญาธิกะ จะไปคู่กับคู่บารมีที่เป็นวิริยะธิกะได้ไงครับ

    จริตต่างกัน ระยะเวลาการบำเพ็ญก็ต่างกันครับ

    ก็ลองพิจารณาครับ ฝึกจิตตนเองให้พร้อมก่อนครับ เด๋วคู่บารมีก็จะมาหาเอง บารมีไม่เท่าก็แพ้นางแก้วลำดับต้นๆครับ ต้องไปต่อท้ายแถว โดนทิ้งก่อนเสมอ

    ก็ลองดูครับ กำลังใจของคุณจะบอกเองว่า คุณจะได้แค่ "คิด" หรือจะได้ "เป็น"

    ก็ขออนุโมทนาในการตัดสินใจครั้งนี้ครับ

    ไม่มีนางแก้ว พระมหาโพธิสัตว์ก็จะไม่มีทางสำเร็จครับ

    ด่าน "รัก" ตัดยากที่สุดครับ
     
  10. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171


    ขออนุโมทนาในกำลังใจอันสูงยิ่ง

    และขอให้ความปรารถนาของคุณครุกแซงจงสำเร็จทุกประการ



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2008
  11. ชัยยมุณี

    ชัยยมุณี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +45
    สาธุสาธุสาธุ ผมยังไม่เคยเห็นผญิงที่ตั้งใจสระทุกอย่างๆนี้เลย ถ้ามีคนปรารถนาก็เพียงปรารถนาเฉยๆไม่ได้คิดตั้งใจสระทุกอย่างเหมือนคุณเลย เลื่อมใสๆๆๆไม่มีนางแก้ว พระโพธิสัตว์ก็จะไม่สำเร็จตามที่ปรารถนา เป็นควมคิดที่ทำให้พระโพธิสัตว์ไม่หนักใจ ไม่เป็นห่วง ทำให้การบำเพ็ญเพื่อพุทธภูมิเป็นไปได้โดยง่ายขึ้น จากวิริยาธิกะ
     
  12. แก้วแกมกาญจน์

    แก้วแกมกาญจน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2008
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +441
    กำลังใจที่ตั้งไว้ยิ่งใหญ่นัก ขอจงเพียรเร่งเถิด อย่าให้เสียเวลาที่อธิษฐานเพื่อลงมาสร้างบารมีต่อเลยนะคะ
    นางแก้วส่วนใหญ่ที่จะ" ลา "นั้นเพราะตัด " รัก "
    เนื่องด้วยมีนางแก้วหลายองค์ จุดนี้พึงหนักแน่นไว้
    ขอให้ก้าวต่อไปเพื่อยัง พระศาสนา
    อนุโมทนาสาธุ
     
  13. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171

    ขอเสริมตรงจุดนี้ครับ

    นางแก้วหลายราย เกิดความรู้สึกอยากเป็นนางแก้วลำดับแรก

    เมื่อไม่สามารถเป็นได้ เพราะบารมีของตนไม่เท่ากับนางแก้วลำดับแรก

    ก็ลาจากไป เพื่อไปสู่พระโพธิสัตว์ท่านอื่น

    ด้วยหวังว่า ตนจะเป็นนางแก้วลำดับแรกของพระโพธิสัตว์ท่านใหม่

    โดยลืมนึกถึงความตั้งใจหรือความปรารถนาเดิมของตน

    ที่จะช่วยพระโพธิสัตว์ให้บรรลุพระโพธิญาณ


    .
     
  14. แก้วแกมกาญจน์

    แก้วแกมกาญจน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2008
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +441
    เป็นเรื่องละเอียด และบางอย่างเป็นเรื่องปัจตัง
    บารมีที่พระโพธิสัตว์และนางแก้วแต่ละองค์บำเพ็ญมา เมื่อไม่เท่ากันก็มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนกันได้ ผู้บำเพ็ญพระโพธิสัตว์มีนางแก้วผู้ปรารถนาตามมากกว่าหนึ่งองค์
    นางแก้วเองสามารถที่จะตามพระโพธิสัตว์ได้มากกว่าหนึ่งองค์ได้เช่นกัน
    ไม่ใช่เพราะ"หลายใจหรืออยากเป็นหนึ่ง" แต่เราต่างเวียนว่ายตายเกิดกันนับชาติ นับอสงไขยไม่ถ้วน
    ใช่ว่าเราจะเจอคู่เดียวตลอด คนที่เคยเป็นคู่เราบางท่านก็เพิ่งตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เราอาจได้เจอคู่ที่เป็นบารมีต้น อุปปะบารมี และปรมัตถ์บารมี พร้อมกันทีเดียวก็ได้ คราวนี้อยู่ที่บารมีจะใกล้เคียงกับองค์ไหนมากกว่า
    คำว่านางแก้วนั้นเกิดขึ้น เพราะ...ศรัทธา
    แต่นางแก้วบางองค์นั้นลา เพราะ...ตัดใจ
    1.ตัดใจเพราะเบื่อหน่ายการแย่งชิง
    2.ตัดใจเพราะอยากเข้าพระนิพพาน
     
  15. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171



    ที่กล่าวมาข้างต้น "ใช่" หมด

    แต่ขอเพิ่มข้อ 3. และยืนยันว่ามีจริง


    3. ตัดใจเพราะไม่อยากเป็นสองรองใคร



    .
     
  16. แก้วแกมกาญจน์

    แก้วแกมกาญจน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2008
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +441
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ คุณพี่ Tamsak
    แต่อย่าเพิ่งหมิ่นในน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของพระนางเหล่านั้นเลย
    สำหรับข้อนี้ อาจเกิดได้กับนางแก้วทุกบารมี โดยเฉพาะปรมัตถ์บารมี
    เพราะเป็น 1 ใน 5 นะคะ
    ข้อนี้อาจป็นปัจตังค่ะ
    มาเร่งบารมีกันเถิด ไม่ว่าจะเป็น นางแก้ว หรือ พระโพธิสัตว์
    เพราะบารมีเร่งกันได้
     
  17. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171

    ไม่ได้หมิ่นน้ำใจของเหล่านางแก้วเลยครับ

    เพียงแต่นำประสบการณ์จริงมาบอกเล่าสู่กันเป็นความรู้น่ะครับ

    นางแก้วบางคนก็อาจคิดเช่นนั้นได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

    เป็นธรรมชาติและเป็นธรรมดาของมนุษย์เราที่ไม่อยากเป็นสองรองใคร

    ขนาดบางคนบำเพ็ญบารมีเพื่อการเป็นนางแก้วมาถึง 14 อสงไขย

    ท่านก็ยังอยากเป็นอันดับหนึ่งบ้าง

    ผมว่าอันนี้เป็นเรื่องธรรมดา สมควรที่จะเปิดทางให้ท่าน

    ไม่หวงไม่ห้ามที่ท่านจะคิดอย่างนั้น แม้ในที่สุดท่านจะตัดใจลาจากไปก็ตาม



    .
     
  18. ชัยยมุณี

    ชัยยมุณี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +45
    หุหุ สาธุ สาธุ สาธุ พระโพธิสัตว์จะรู้ได้ด้วยเหตุอะไรครับและระดับไหนครับถึงจะรู้ได้หรือได้ญาณจึงจะรู้ได้ ว่า ใครเป็นนางแก้วของท่าน ขอช่วยอธิบาย และประสบการณ์จริงของแต่ละท่านเป็นอย่างไรมั่งครับ จะเป็นกุศลอย่างยิ่ง ครับ สาธุๆๆๆ [Embarrass
     
  19. นาๆจิตตัง

    นาๆจิตตัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +412
    โมทนาสาธุ......

    ยิ่งคิด และอ่านมาตั้งแต่ต้น ยิ่งรู้สึกสงสาร......
    และตื้นตันใจ.....
    ตามความเข้าใจของผม ผู้หญิงก็สามารถ ประพฤติ ปฏิบัติธรรม
    จนบุญบารมีมากล้น....ตัดกระแสกรรมเก่า (ผิดศีลข้อ ๓ มาแต่อดีตชาติ)
    แล้วอธิษฐานกลับมาเป็นผู้ชายก็ได้ (ชีวิตในสังสารวัฏ เวียนวน ยอกย้อนนัก)

    พระโพธิสัตว์บางชาติก็ตกอยู่ในอบายภูมิ เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ภูมิมนุษย์
    ภูมิเทวดาหรือพรหมบ้าง ฯลฯ ไม่แน่นอน (แต่กำลังใจแน่นอน...)
    รู้สึกลำบากใจแทน......เหมือนกัน กับเจ้าของกระทู้หรือผู้ที่ปราถนา.....

    พระโพธิสัตว์...พยายามจะไม่มีนางแก้วเลย เคยได้ยินหรือรับทราบมาบ้างหรือไม่ !
    ในอดีตอาจจะมี..หรือไม่มี ก็ไม่อาจทราบได้
    แต่ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า....อาจมีอยู่.......หนึ่ง

    รู้สึกสะทกสะท้อน สะท้านกับเรื่องนี้เหมือนกัน ทั้งในเหตุชาติปัจจุบัน
    และความผันแปร ผันผวน ในสังสารวัฏ....กฏแห่งกรรม
    กระแส..ความผูกพันทั้งปัจจุบันและในอดีตชาติ
    ทั้งตั้งใจและ.....ไม่ตั้งใจ กับกระแสความผูกพันที่ตัดไม่ขาด
    ความสงสาร.....และความเสียสละของผู้อื่นที่ต้องทนทุกข์ทรมาน

    ก็ขอให้ ความตั้งใจของคุณจงเป็นผลสำเร็จ สมความมุ่งมั่น
    สมความปราถนา นั้นทุกประการ
     
  20. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171

    วันนี้มาขอเพิ่มข้อ 4. ครับ

    4. ตัดใจเพราะปรารถนาพระโพธิญาณ


    สำหรับข้อนี้ จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญบารมีมาในกาลก่อน

    หากเคยบำเพ็ญบารมีเป็นนางแก้วมานานหลายอสงไขย

    การที่จะเปลี่ยนมาปรารถนาพระโพธิญาณ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

    เพราะบารมีเดิมทำไว้ในด้านของการเป็นนางแก้วมามาก

    แต่หากบำเพ็ญมาน้อยหรือไม่นาน

    อย่างนี้ โอกาสที่จะเปลี่ยนมาปรารถนาพระโพธิญาณก็มีมากหน่อย


    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...