ถึงคราวกรรมตามทันก็ต้องรับไป

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย กลางทาง, 15 เมษายน 2013.

  1. สีลสิกขา

    สีลสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    1,271
    ค่าพลัง:
    +7,137
    พุทธศาสนาสอนให้เชื่อเรื่องกรรม เชื่อในผลของกรรม เชื่อว่าเรามีกรรมเป็นของของเรา และสิ่งที่นำคนหรือสัตว์โลกไปเกิดก็คือกรรม ถ้าทำกรรมดีก็ไปเกิดในภพภูมิที่มีความสุข ถ้าทำกรรมชั่วก็ไปเกิดในภพภูมิที่มีความทุกข์ ถึงแม้จะไ้ด้เกิดมาในโลกมนุษย์เหมือนกัน แต่คนทุกคนก็ยังมีความแตกต่างกัน ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูล เนื่องจากคนเราทำกรรมดีกรรมชั่ว ทำกุศล ทำอกุศลในสิ่งต่างๆ มาไม่เหมือนกัน จึงทำให้มีความสุขความทุกข์ มีปัญหาแตกต่างกันออกไปตามเหตุปัจจัยหรือตามการกระทำที่เราเคยทำเอาไว้ในอดีต

    ทุกวันนี้คนเราเกิดมา..ไม่ได้เกิดจากชะตาฟ้าลิขิต ไม่ใช่เกิดจากสิ่งศักดิื์สิทธิ์ที่ไหนดลบันดาล แต่การกระทำที่เป็นผลกรรมดีกรรมชั่วของคนคนนั้นนั่นเองที่ดลบันดาลให้เป็นไป ดังนั้น จึงไม่มีคำว่า "บังเอิญ" ที่จะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ในคำสอนของพุทธศาสนา และเราจักต้องรับมันปายโดยอัตโนมัตินะจ๊ะ นะจ๊ะ ^^
     
  2. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    เสียดาย กระทู้ที่ดี ที่มีประโยชน์ ล้ม แล้ว จะลุกได้อย่างไร?

    ขออนุญาตครับ

    ความจริงไม่อยากให้กระทู้ที่ดีๆ ที่มีประโยชน์แบบนี้ ต้องจบลงโดยเวลาอันรวดเร็ว
    เพราะเป็นแนวทางที่จะแสดงความคิดเห็น ที่ดี ที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ง่าย

    ถ้าท่าน จขกท ไม่อยากจะเปิดเผยเรื่องราวมากกว่านี้

    ก็ขอเรียนเชิญท่าน สมาชิกท่านอื่นๆ ที่มีปัญหาชีวิต แนวนี้
    เข้ามาร่วมถาม-ตอบ กันต่อไปได้

    หรือท่าน จขกท จะเมตตา บอกเล่าเรื่องราวเพิ่มเติม
    หรือ ช่วยประคับประคองกระทู้ต่อไป เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก ต่อๆไป

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับผู้มีบุญบารมีทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
  3. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ทำงาน หาเงิน เลี้ยงชีพ เศรษฐีเงินล้าน หาเงินได้อย่างไร


    ขออนุญาตครับ

    มีเพื่อนๆมาปรึกษาผมว่า ลูกๆ อยากเรียน แพทย์บ้าง วิศวะบ้าง คอมพิวเตอร์บ้าง
    มาถามผม ผมก็ตอบเขาไปว่า

    ที่อยากเรียนนั้น เพราะอยากได้วิชาไปทำงานหาเงินใช่ใหม

    เขาก็ตอบว่า ใช่

    ผมก็ตอบเขาไปว่า

    คนไทยชอบทำงาน แต่คนจีนชอบหาเงิน

    เพราะเรามีความคิดกันแบบนี้ ก็เลยไม่รวยซักที

    เราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ต้องถือว่าการ หาเงิน มีความสำคัญกว่า การทำงาน

    ผมมีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง เขาแทบจะหาเงินทุกลมหายใจเข้าออก
    มีเพื่อนฝูงมากมาย มีเพื่อนนอนมากมาย ผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้สนับสนุน รู้จักไปทั่ว
    เข้าไหนเข้าได้ คบคนได้ทุกรูปแบบ คล่องแคล่วไปซะหมด

    มีผู้สนับสนุนมากมายจนลืมไปว่า ชีวิตเข้านั้น ก้าวกระโดดก้าวใหญ่
    ก็เพราะ คำแนะนำและสนับสนุนจากผมนี่เอง

    เข้าถึง เจ้าสัวใหญ่ตระกูลใหญ่ ถึงสามตระกูล
    เข้าถึงวงการระดับสูงสุด ที่มีเครือข่ายกระจายอยู่ทั่วประเทศ(ไม่ใช่ยาเสพติดนะครับ)
    แม้แต่คนที่นั่งหัวโต๊ะ ที่แทบจะไม่มีใครเคยเห็นหน้า ก็เรียกหา เรียกมาดูตัว

    แต่ไม่ว่าเขาจะเก่งกาจสักปานใด มันก็ไม่มีวันสู้ผู้ที่คิด ผู้ที่แนะนำ ผู้ที่เปิดทางก้าวกระโดดให้เขาได้

    ชีวิตของคนเราย่อมมีจุดแข็ง ยอมมีจุดอ่อน ขึ้นอยู่กับว่า
    แต่ละคนนั้น จะเน้นจุดแข็ง จะเสริมจุดอ่อน ของตนเองหรือไม่

    จุดแข็งนั้น เกิดจากใจรัก เกิดจากทักษะที่ได้ทำ ที่ได้ฝึกฝนมานาน
    ทำแล้วมันเพลิดเพลิน ทำแล้วมันสนุก ทำแล้วมันไม่รู้จักเบื่อ ทำแล้วมันสุขกายมันสุขใจ

    จุดอ่อนนั้น ก็เกิดจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่แก้แสนจะยากนั่นละครับ

    เหมือนคนที่เล่นพวกกีฬา มหาโหด เช่น วิ่งมาราทอน ชกมวย จักรยานทางไกล ไตรกีฬา
    หรือแม้แต่คนที่เล่นกอล์ฟทั้งวัน ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น ยันพระอาทิตย์ตก

    ไม้เว้นแม้แต่ พระเจ้าพระสงฆ์ หรือ ฆราวาส ผู้ปฏิบัติแบบเอาเป็นเอาตาย

    แต่ทั้งหมดนั้น กลับมีผู้ที่โดดเด่น โดดเด่นจนไม่บอกออกมาก็ไม่มีใครรู้

    ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนเหล่านี้ ทำอะไรมันง่ายไปหมด ทำอะไรมันสำเร็จโดยรวดเร็วไปซะหมด
    ทั้งๆที่ถ้าไปเฝ้าดู ก็ไม่เห็นเขาทำอะไรที่พิเศษ ที่พิศดารกว่าคนอื่น

    คนเหล่านี้ พวกเขาทำได้อย่างไร เขาพบความสำเร็จอย่างรวดเร็วได้อย่างไร

    แน่นอนอยู่แล้วว่า เขารู้ตัวดีว่า

    เขากำลังจะทำอะไร
    สิ่งที่ทำมัน มีขั้น มีตอนอย่างไร
    สิ่งไหนที่ต้องทำก่อน สิ่งไหนที่ต้องทำลำดับต่อๆไป
    เครื่องมือ อุปกรณ์ที่ต้องใช้ทำ กำลังคนที่ต้องใช้และสนับสนุน มีอะไรบ้าง

    ก็สิ่งที่วิชาการสมัยใหม่ เรียกว่า การบริหารจัดการ นี่ละครับ
    แต่สิ่งเหล่านี้ ก็คือ สิ่งที่ผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลาย

    ทำมัน ใช้มัน ฝึกฝนมันอยู่ตลอดเวลา
    ทำจนชาชิน ทำมันจนเป็นนิสัย ทำมันจนเป็นสันดาน
    ทำจนคล่องแคร่ว จนแทบจะมองไม่ออกว่า อะไร เป็นอะไร

    แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ตลอดชีวิตคนๆหนึ่ง กลับสามารถ ทำในสิ่งเหล่านี้ ได้เพียงไม่กี่อย่าง

    เพียงเพราะว่า แค่ทำได้อย่างเดียวก็สามารถเอาตัวรอด เอาครอบครัวให้รอด เอาญาติพี่น้องให้รอด

    ก็สิ่งที่เราพากันเรียกมันว่า "อาชีพ" ยังไงละครับ

    แม้ว่าเราจะมี อาชีพ ที่ดีแล้วก็ตาม ผู้คนส่วนมากมักจะลืมเตือนสติตนเองว่า

    "มันไม่จีรัง มันไม่ยั่งยืน"

    ทั้งๆที่เห็นอยู่โทนโท่ว่า

    "แม้แต่ดวงอาทิตย์ ก็ให้แสงสว่าง ก็ให้ความร้อนได้ไม่เท่ากันได้ตลอดวันหนึ่งๆ"

    แล้วเราจะเอาตัวรอด ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ได้อย่างไร

    ก็อย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนนั่นละครับ


    "รู้จักวิธีหาเงิน"
    "รู้จักวิธีอดออม"
    "รู้จักประมาณในรายรับ ในรายจ่าย"


    ที่พูดมาทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น ขึ้นอยู่กับพื้นฐานเพียงสองอย่างเท่านั้น คือ

    "แรงบันดาลใจ"

    "กำลังใจ"

    พอเท่านี้ก่อนนะครับ

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับผู้มีบุญบารมีทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2013
  4. 9TRONG

    9TRONG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +514
    รบกวนลุงมหา๑ ช่วยขยายความอีกนิดนะครับว่า

    การหาเงิน มีความสำคัญกว่า การทำงาน ตรงไหน

    ผมเองก็พบเห็นตัวอย่างจากคนรอบข้างมากมาย ที่คิดแต่เรื่องหาเงินจนแทบเป็นบ้า นึกถึงแต่ความมั่งคั่ง
    คอยแต่จะคิดเปรียบเทียบฐานะตนเองกับผู้อื่น ใฝ่ฝันถึงความร่ำรวยเท่านั้นเท่านี้ กระหายเงินจนแสดงพฤติกรรมน่ารังเกียจ รู้สึกเหมือนตกนรกในห้วงเวลาทำงานแต่กระโดดโลดเต้นเวลาจะได้รับค่าตอบแทน
    เงินที่ได้มาก็ถูกใช้ไปกับการอัพเกรดวัตถุเทคโนโลยีภายนอกที่จะทำให้ดูมีหน้ามีตาทันสมัยได้รับการยอมรับจากสังคม แต่ถึงขนาดนั้นไม่ว่าจะสะสมเงินทองได้มากเท่าไหร่ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำให้ความกระหายความร้อนรุ่มลดลง

    ขณะเดียวกันผมก็เห็นคนอีกจำนวนหนึ่งที่ใช้ชีวิตไปตามปกติ และมีความสุขในการทำงาน
    เห็นประโยชน์เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ในปัจจุบันโดยไม่เกี่ยวกับจำนวนเงินที่จะหาได้มากหรือได้น้อยเลย เงินที่ได้มาก็เหมือนสิ่งตอบแทน เป็นค่าใช้จ่ายจุนเจือเลี้ยงดูครอบครัวให้พออยู่สุขสบายตามอัตภาพ ไม่ได้เดือดร้อนว่าใครจะมียศฐาบรรดาศักดิ์ มีชื่อเสียงไปถึงไหนต่อไหน ให้ต้องแบกต้องพ่วง
    เป็นคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำที่ภูมิใจในตัวเองได้โดยไม่ต้องรอให้ใครมายกย่องให้เกียรติ หลับเต็มตื่นในทุกๆวัน..

    เป็นเพราะมีความคิดแบบนี้เลยไม่รวยกันสักทีรึเปล่า

    รบกวนช่วยขยายความอีกหน่อยนะครับ ด้วยความเคารพ
     
  5. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    การหาเงิน มีความสำคัญกว่า การทำงาน



    ขออนุญาตครับ

    ขอยกอันเดิมมาให้ดู แล้วจะอธิบายขยายความให้ดูนะครับ


    คนไทยส่วนมากนั้น มักจะคิดว่า "จะทำงาน" ก่อนจึงจะได้เงิน
    จึงเกิดการศึกษาเล่าเรียน ตั้งแต่ อนุบาล ยัน มหาวิทยาลัย
    เรียนจนจบ อนุปริญญา ไปจนจบ ปริญญาเอก จึงจะเริ่มทำงาน เพื่อ หาเงิน

    แต่คนไทยเชื้อสายจีน ส่วนใหญ่นั้น
    จะคิดว่า ไม่มีเงิน ก็จะไม่มีกิน
    จึงต้อง หาเงินก่อน จึงจะมีกิน
    วิธีหาเงินก็ง่ายๆคือ ทำทุกอย่างที่ทำให้ได้เงิน
    วิธีหาเงินก็ง่ายๆคือ รับจ้างทำทุกอย่างด้วยแรงกาย
    จึงเกิดเป็นกุลีแบกหามขึ้น

    คนไทยเชื้อสายจีนบางท่าน ก็ไม่มีค่าจ้าง ไม่มีค่าเดินทาง
    ก็เลยรับจ้างเป็นคนทำงานในเรือเลย เพื่อจะได้เดินทางฟรี แลกกับค่าจ้าง

    แต่คนไทยส่วนใหญ่ จะขอเงิน พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติผู้ใหญ่เป็นค่าเดินทาง ค่าอยู่ ค่ากิน

    เมื่อคนไทยเชื้อสายจีน เดินทางมาถึงเมืองไทยใหม่ๆ
    เขาก็หาที่พักผ่อนหลับนอนอยู่ที่ท่าเรื่อนั่นละครับ
    เพื่อรับจ้างแบกของ ขึ้นเรือ แบกของลงเรือ
    คิดง่ายๆ ทำง่ายๆ คิดแล้วทำเลย ไม่เห็นต้องไปอายใคร

    แต่วิธีคิดของเขากลับแตกต่าง เพราะเขาคิดว่า

    "ทำอย่างไรจะมีกิน"
    "ต้องหาเงิน"
    "เงินจะหาได้อย่างไร"
    "ต้องทำงาน"
    "จะทำงานอะไร ไม่มีทุน ไม่มีเงิน"
    "ต้องใช้แรงกาย"
    "ต้องใช้แรงกายอย่างไร"
    "ต้องรับจ้างแบกหาม"
    "ต้องรับจ้างแบกหามที่ไหน"
    "ที่ๆใกล้ที่สุด"
    "ที่ๆใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน"
    "ก็ที่ท่าเรือนี่ละ"

    ในขณะที่บรรพบุรุษของชาวไทยเชื้อสายจีน
    ทำงานตั้งแต่บนเรือ จนมาแบกหามที่ท่าเรือ
    เก็บหอมรอมริบ จนสามารถเช่าหาสถานร้านค้า จนสามารถซื้อร้านค้าเอง
    เก็บหอมรอมริบ จนสะสมเงินทอง ทรัพย์สินมากมาย รุ่นแล้ว รุ่นเล่า

    สิ่งที่เขามีก็มีแต่เพียง "แรงบันดาลใจ" และ "กำลังใจ" เท่านั้นเอง
    สิ่งที่เขามีก็มีแต่เพียง "ธาตุทรหด" ที่มีอยู่ในจิตใจเขาเท่านั้นเอง

    แนวทางที่เขาใช้ก็มีแต่เพียง

    "ต้องหาเงิน มาซื้อข้าวกิน ให้ได้"
    "ต้องหาเงิน มาเลี้ยงดู พ่อแม่ ให้ได้"
    "ต้องหาเงิน มาเช่า อาคารร้านค้า ให้ได้"
    "ต้องหาเงิน มาซื้อ อาคารร้านค้า ให้ได้"
    "ต้องหาเงิน มาแต่ง เมีย ให้ได้"
    "ต้องหาเงิน มาเลี้ยงดู พ่อ แม่ ลูก เมีย ให้ได้"
    "ต้องหาเงิน มาซื้อ ทรัพย์สิน ให้ได้"
    "ต้องหาเงิน มาซื้อ ความมั่งคั่งรำรวย ให้ได้"

    ในขณะที่คนไทยเชื้อสายจีน ทำงานตั้งแต่เล็กแต่น้อย

    คนไทย กลับทำงาน ก็ต่อเมื่อ เรียนหนังสือ จบแล้ว
    คนไทย กลับทำงานไปจนครบเดือน จึงได้เงินเดือน

    ในขณะที่คนไทยเชื้อสายจีน หาเงิน กันทุกๆวัน ได้เงินทุกๆวัน




    ถ้าเราหาเงินเป็น
    ถ้าเราอดออมเงินเป็น
    ถ้าเราใช้เป็น จ่ายเป็น

    เราก็ต้องมีเงินเหลือ เก็บ อย่างแน่นอน

    แต่ถ้า หาเงิน ก็ยังไม่เป็น
    กลับ ขับมอเตอร์ไซด์ ทุกๆวัน
    กลับ โทรศัพท์ ไร้สาระ ทุกๆวัน

    รู้จักแต่เพิ่มรายจ่ายให้ตัวเองกันอยู่อย่างนี้

    อนาคต ก็จะ ลำบาก ไปทุกๆวัน ต่อไปละครับ


    คนไทยนั้น มีเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ

    เป็นโสดอยู่คนเดียว ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีเมียอีกคน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกอีก ๑ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกเพิ่มอีก ๑ คน เป็น ๒ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกเพิ่มอีก ๑ คน เป็น ๓ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกเพิ่มอีก ๑ คน เป็น ๔ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกเพิ่มอีก ๑ คน เป็น ๕ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกเพิ่มอีก ๑ คน เป็น ๖ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกเพิ่มอีก ๑ คน เป็น ๗ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกเพิ่มอีก ๑ คน เป็น ๘ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน

    คำถามก็คือว่า

    "ทำไมคนโสด จึงไม่หาเงินให้ได้ เท่ากับคนที่มี ครอบครัว มีลูกหลายๆคน ไม่ได้"

    คำตอบก็คือ "แรงบันดาลใจ" และ "กำลังใจ" ยังไงละครับ

    "แรงบันดาลใจ" ก็คือ จุดเริ่มต้นที่ทำให้คนรูจัก "วิธีหาเงิน"

    "กำลังใจ" ก็คือ สิ่งที่ทำให้เราสามารถ "หาเงิน" ได้อย่างไม่ท้อถอยจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย

    สิ่งเล็กๆที่คนไทยมักลืมรำลึกนึกถึงก็คือว่า

    "เมื่อข่าวแพร่สะพัดไปทั่วโลกว่า ลูกหลานชาวจีน มาเป็นกษัตริย์ประเทศไทย"
    "จึงทำให้ ชาวจีนพากันแห่มาอยู่เมืองไทย อย่างล้นหลาม"
    "จนกล่าวได้ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีคนเชื้อสายจีน อยู่มากที่สุด นอกดินแดนประเทศจีน"

    "เด็กเลี้ยงควาย"
    เพราะเราเคยพากันดูถูกดูแคลน คนไทยบางกลุ่มว่า เป็น "เด็กเลี้ยงควาย"
    จนไม่มีใครอยากเป็น "เด็กเลี้ยงควาย" ให้ใครเขาดูถูกดูแคลนอีก
    จนเป็นเหตุให้ ควายในประเทศไทย เหลือน้อย จนใกล้จะสูญพันธ์กันอยู่แล้ว
    จนเป็นเหตุหนึ่งให้ "เด็กเลี้ยงควาย" เข้ามาเผาบ้านเผาเมือง กันถึงในกรุงเทพฯ


    "มนุษย์ หรือ สัตว์ ก็มีความเท่าเทียมกันในเรื่องของการ สืบพันธ์"
    ท่านผู้คิด ท่านผู้บอกเล่าเรื่องนี้ออกมา ช่างเป็นผู้ที่มีความคิด สูงส่งแท้

    สรุป

    "แรงบันดาลใจ" ก็คือ จุดเริ่มต้นที่ทำให้คนรูจัก "วิธีหาเงิน"

    "กำลังใจ" ก็คือ สิ่งที่ทำให้เรา "หาเงิน" ได้อย่างต่อเนื่อง และ ยาวนาน

    การที่เราจะสามารถ สะสมเงินได้ ก็คือ "การประมาณในรายรับ รายจ่าย"
    "เมื่อเรา หาเงินได้มาก ใช้จ่ายให้น้อยกว่าที่เราหาได้" เท่านี้เอง

    เพราะเรื่องปัจจัย๔ นั้น เรารู้กันเป็นอย่างดี
    แต่จะมีซักกี่คนที่ทำได้ว่า ที่จำเป็นที่สุด ของที่สุด นั้นเป็นอย่างไร


    ฝากทิ้งท้าย
    เราคนไทยต่างก็รู้จัก บุรุษผู้บอกออกมาว่า


    "เดิมพันมันสูง เดิมพันคือ ความอยู่ดี กินดี ของคนในชาติ"

    แต่กลับมีคนไทยเพียงเล็กน้อยที่รู้ว่า มีบุรุษท่านหนึ่งที่ท่านบอกว่า

    "เราลงมาเพื่อ สู้กับภัยพิบัติ สู้กับมหาภัยพิบัติของโลก โน่นละ จึงจะสมน้ำ สมเนื้อกับเรา"

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับผู้มีบุญบารมีทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2013
  6. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    การหาเงิน มีความสำคัญกว่า การทำงาน



    ขออนุญาตครับ

    ขอยกอันเดิมมาให้ดู แล้วจะอธิบายขยายความให้ดูนะครับ


    คนไทยส่วนมากนั้น มักจะคิดว่า "จะทำงาน" ก่อนจึงจะได้เงิน
    จึงเกิดการศึกษาเล่าเรียน ตั้งแต่ อนุบาล ยัน มหาวิทยาลัย
    เรียนจนจบ อนุปริญญา ไปจนจบ ปริญญาเอก จึงจะเริ่มทำงาน เพื่อ หาเงิน

    แต่คนไทยเชื้อสายจีน ส่วนใหญ่นั้น
    จะคิดว่า ไม่มีเงิน ก็จะไม่มีกิน
    จึงต้อง หาเงินก่อน จึงจะมีกิน
    วิธีหาเงินก็ง่ายๆคือ ทำทุกอย่างที่ทำให้ได้เงิน
    วิธีหาเงินก็ง่ายๆคือ รับจ้างทำทุกอย่างด้วยแรงกาย
    จึงเกิดเป็นกุลีแบกหามขึ้น

    คนไทยเชื้อสายจีนบางท่าน ก็ไม่มีค่าจ้าง ไม่มีค่าเดินทาง
    ก็เลยรับจ้างเป็นคนทำงานในเรือเลย เพื่อจะได้เดินทางฟรี แลกกับค่าจ้าง

    แต่คนไทยส่วนใหญ่ จะขอเงิน พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติผู้ใหญ่เป็นค่าเดินทาง ค่าอยู่ ค่ากิน

    เมื่อคนไทยเชื้อสายจีน เดินทางมาถึงเมืองไทยใหม่ๆ
    เขาก็หาที่พักผ่อนหลับนอนอยู่ที่ท่าเรื่อนั่นละครับ
    เพื่อรับจ้างแบกของ ขึ้นเรือ แบกของลงเรือ
    คิดง่ายๆ ทำง่ายๆ คิดแล้วทำเลย ไม่เห็นต้องไปอายใคร

    แต่วิธีคิดของเขากลับแตกต่าง เพราะเขาคิดว่า

    "ทำอย่างไรจะมีกิน"
    "ต้องหาเงิน"
    "เงินจะหาได้อย่างไร"
    "ต้องทำงาน"
    "จะทำงานอะไร ไม่มีทุน ไม่มีเงิน"
    "ต้องใช้แรงกาย"
    "ต้องใช้แรงกายอย่างไร"
    "ต้องรับจ้างแบกหาม"
    "ต้องรับจ้างแบกหามที่ไหน"
    "ที่ๆใกล้ที่สุด"
    "ที่ๆใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน"
    "ก็ที่ท่าเรือนี่ละ"

    ในขณะที่บรรพบุรุษของชาวไทยเชื้อสายจีน
    ทำงานตั้งแต่บนเรือ จนมาแบกหามที่ท่าเรือ
    เก็บหอมรอมริบ จนสามารถเช่าหาสถานร้านค้า จนสามารถซื้อร้านค้าเอง
    เก็บหอมรอมริบ จนสะสมเงินทอง ทรัพย์สินมากมาย รุ่นแล้ว รุ่นเล่า

    สิ่งที่เขามีก็มีแต่เพียง "แรงบันดาลใจ" และ "กำลังใจ" เท่านั้นเอง
    สิ่งที่เขามีก็มีแต่เพียง "ธาตุทรหด" ที่มีอยู่ในจิตใจเขาเท่านั้นเอง

    แนวทางที่เขาใช้ก็มีแต่เพียง

    "ต้องหาเงิน มาซื้อข้าวกิน ให้ได้"
    "ต้องหาเงิน มาเลี้ยงดู พ่อแม่ ให้ได้"
    "ต้องหาเงิน มาเช่า อาคารร้านค้า ให้ได้"
    "ต้องหาเงิน มาซื้อ อาคารร้านค้า ให้ได้"
    "ต้องหาเงิน มาแต่ง เมีย ให้ได้"
    "ต้องหาเงิน มาเลี้ยงดู พ่อ แม่ ลูก เมีย ให้ได้"
    "ต้องหาเงิน มาซื้อ ทรัพย์สิน ให้ได้"
    "ต้องหาเงิน มาซื้อ ความมั่งคั่งรำรวย ให้ได้"

    ในขณะที่คนไทยเชื้อสายจีน ทำงานตั้งแต่เล็กแต่น้อย

    คนไทย กลับทำงาน ก็ต่อเมื่อ เรียนหนังสือ จบแล้ว
    คนไทย กลับทำงานไปจนครบเดือน จึงได้เงินเดือน

    ในขณะที่คนไทยเชื้อสายจีน หาเงิน กันทุกๆวัน ได้เงินทุกๆวัน




    ถ้าเราหาเงินเป็น
    ถ้าเราอดออมเงินเป็น
    ถ้าเราใช้เป็น จ่ายเป็น

    เราก็ต้องมีเงินเหลือ เก็บ อย่างแน่นอน

    แต่ถ้า หาเงิน ก็ยังไม่เป็น
    กลับ ขับมอเตอร์ไซด์ ทุกๆวัน
    กลับ โทรศัพท์ ไร้สาระ ทุกๆวัน

    รู้จักแต่เพิ่มรายจ่ายให้ตัวเองกันอยู่อย่างนี้

    อนาคต ก็จะ ลำบาก ไปทุกๆวัน ต่อไปละครับ


    คนไทยนั้น มีเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ

    เป็นโสดอยู่คนเดียว ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีเมียอีกคน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกอีก ๑ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกเพิ่มอีก ๑ คน เป็น ๒ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกเพิ่มอีก ๑ คน เป็น ๓ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกเพิ่มอีก ๑ คน เป็น ๔ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกเพิ่มอีก ๑ คน เป็น ๕ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกเพิ่มอีก ๑ คน เป็น ๖ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกเพิ่มอีก ๑ คน เป็น ๗ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน
    มีลูกเพิ่มอีก ๑ คน เป็น ๘ คน ก็อยู่ได้ พออยู่ พอกิน

    คำถามก็คือว่า

    "ทำไมคนโสด จึงไม่หาเงิน ให้ได้เท่ากับคนที่มี ครอบครัว มีลูกหลายๆคน ให้ได้"

    คำตอบก็คือ "แรงบันดาลใจ" และ "กำลังใจ" ยังไงละครับ

    "แรงบันดาลใจ" ก็คือ จุดเริ่มต้นที่ทำให้คนรูจัก "วิธีหาเงิน"

    "กำลังใจ" ก็คือ สิ่งที่ทำให้เราสามารถ "หาเงิน" ได้อย่างไม่ท้อถอยจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย

    สิ่งเล็กๆที่คนไทยมักลืมรำลึกนึกถึงก็คือว่า

    "เมื่อข่าวแพร่สะพัดไปทั่วโลกว่า ลูกหลานชาวจีน มาเป็นกษัตริย์ประเทศไทย"
    "จึงทำให้ ชาวจีนพากันแห่มาอยู่เมืองไทย อย่างล้นหลาม"
    "จนกล่าวได้ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีคนเชื้อสายจีน อยู่มากที่สุด นอกดินแดนประเทศจีน"

    "เด็กเลี้ยงควาย"
    เพราะเราเคยพากันดูถูกดูแคลน คนไทยบางกลุ่มว่า เป็น "เด็กเลี้ยงควาย"
    จนไม่มีใครอยากเป็น "เด็กเลี้ยงควาย" ให้ใครเขาดูถูกดูแคลนอีก
    จนเป็นเหตุให้ ควายในประเทศไทย เหลือน้อย จนใกล้จะสูญพันธ์กันอยู่แล้ว
    จนเป็นเหตุหนึ่งให้ "เด็กเลี้ยงควาย" เข้ามาเผาบ้านเผาเมือง กันถึงในกรุงเทพฯ


    "มนุษย์ หรือ สัตว์ ก็มีความเท่าเทียมกันในเรื่องของการ สืบพันธ์"
    ท่านผู้คิด ท่านผู้บอกเล่าเรื่องนี้ออกมา ช่างเป็นผู้ที่มีความคิด สูงส่งแท้

    สรุป

    "แรงบันดาลใจ" ก็คือ จุดเริ่มต้นที่ทำให้คนรูจัก "วิธีหาเงิน"

    "กำลังใจ" ก็คือ สิ่งที่ทำให้เรา "หาเงิน" ได้อย่างต่อเนื่อง และ ยาวนาน

    การที่เราจะสามารถ สะสมเงินได้ ก็คือ "การประมาณในรายรับ รายจ่าย"
    "เมื่อเรา หาเงินได้มาก ใช้จ่ายให้น้อยกว่าที่เราหาได้" เท่านี้เอง

    เพราะเรื่องปัจจัย๔ นั้น เรารู้กันเป็นอย่างดี
    แต่จะมีซักกี่คนที่ทำได้ว่า ที่จำเป็นที่สุด ของที่สุด นั้นเป็นอย่างไร


    ฝากทิ้งท้าย
    เราคนไทยต่างก็รู้จัก บุรุษผู้บอกออกมาว่า


    "เดิมพันมันสูง เดิมพันคือ ความอยู่ดี กินดี ของคนในชาติ"

    แต่กลับมีคนไทยเพียงเล็กน้อยที่รู้ว่า มีบุรุษท่านหนึ่งที่ท่านบอกว่า

    "เราลงมาเพื่อ สู้กับภัยพิบัติ สู้กับมหาภัยพิบัติของโลก โน่นละ จึงจะสมน้ำ สมเนื้อกับเรา"

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับผู้มีบุญบารมีทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

    อ่านจบแล้วพอจะนึกออกบ้างไหมว่า

    ท่านจะหาแรงบันดาลใจสำหรับตนได้อย่างไร
    ท่านจะหากำลังใจ ให้หาเงินได้อย่างต่อเนื่องได้อย่างไร

    ต้องขออภัยที่ผมไม่ได้แสดงความคิดเห็นถึง
    "คนโง่ ที่หาเงิน โดยใช้วิชามาร และ คนโง่ที่ไม่รู้จัก ศิลธรรม จรรยาบรรณ ความสุข"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2013
  7. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    กุศลผลบุญ ทำให้รวยได้อย่างไร ครูบาอาจารย์ช่วยได้อย่างไร

    ขออนุญาตครับ

    เหตุที่ทำให้คนรวยขึ้นมาได้นั้น พระพุทธเจ้าพระองค์ต่างๆได้ทรงบอกเล่าเอาไว้ว่า

    "ด้วยเพราะกุศลผลบุญที่เขาได้สร้างเอาไว้แล้ว"

    ผมก็จะขอสรุปให้ฟังเพื่อเป็นการประหยัดเวลาว่า

    ๑ ผู้ร่วมทำบุญ และ บอกบุญผู้อื่นด้วย
    กลุ่มนี้ ชีวิตของตนจะมีความมั่งมี อุดมสมบูรณ์
    และญาติพี่น้อง ก็มีความมั่งมี อุดมสมบูรณ์ด้วย

    ๒ ผู้ร่วมทำบุญ แต่ไม่บอกบุญผู้อื่น
    กลุ่มนี้ ชีวิตของตนจะมั่งมี อุดมสมบูรณ์
    แต่ญาติพี่น้อง จะขาดความมั่งมี อุดมสมบูรณ์
    สำหรับท่านที่มักถูกญาติพี่น้องเบียดเบียน ทางการเงิน ทรัพย์สิน
    ก็อยู่ในกลุ่มนี้

    ๓ ผู้ไม่ร่วมทำบุญ แต่บอกบุญผู้อื่นให้ร่วมทำบุญ
    กลุ่มนี้ มีความขัดสนเรื่องเงินเรื่องทอง
    แต่ญาติพี่น้อง จะมีความมั่งมี อุดมสมบูรณ์
    จึงยังสามารถพึ่งพาญาติพี่น้องของตนได้

    ๔ ผู้ไม่ร่วมทำบุญ และ ไม่บอกบุญผู้อื่น
    กลุ่มนี้มีความขัดสน ทั้งเงินทองและทรัพย์สิน
    และญาติพี่น้องก็มีความขัดสน ทั้งเงินทองและทรัพย์สินด้วย
    ต้องสู้ชีวิตด้วยความยากลำบาก พึ่งใครไม่ได้เลย
    การพบเจอที่พึ่งแสนยากแสนลำบาก
    เพราะต้องรอให้พบเจอผู้ที่บุญบารมีสูงๆ จึงจะเป็นที่พึ่งได้

    สรุปส่วนนี้คือ
    ใครทำบุญเอาไว้ ท่านผู้นั้น ก็จะได้รับกุศลผลบุญ ทำให้มั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมาได้
    ใครบอกบุญให้ผู้อื่นร่วมทำบุญด้วย ญาติของท่านผู้นั้น ก็จะได้รับกุศลผลบุญ ทำให้มั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมาได้


    ช่วงชีวิตคนเรานั้น จะรวยได้ในช่วงชีวิตไหน
    พระพุทธเจ้าในยุคต่างๆได้ทรงบอกเล่าเอาไว้ว่า

    ผู้ร่วมทำบุญตั้งแต่ช่วงแรกๆในงานบุญนั้นๆ
    ก็จะได้อานิสงค์ รวยมาตั้งแต่เกิด คือเกิดในตระกูลที่ร่ำรวยอยู่แล้ว

    ผู้ร่วมทำบุญในช่วงกลางๆของงานบุญนั้นๆ
    ก็จะได้อานิสงค์ จะร่ำรวยในวัยกลางคนของชีวิต

    ผู้ร่วมทำบุญในช่วงปลายของงานบุญนั้นๆ
    ก็จะได้อานิสงค์ จะร่ำรวยในวัยปลายของชีวิต


    สรุปของช่วงนี้
    ไม่ว่าท่านจะทำบุญในช่วงไหนของงานบุญนั้นๆ
    ท่านก็จะได้รับกุศลผลบุญในช่วงชีวิตของท่านตามระยะที่ท่านได้ร่วมทำบุญนั้นๆด้วย


    แล้วคนที่เขารวยได้อย่างรวดเร็วนั้น เช่นถูกล๊อตเตอรี่ ถูกแจ็คพอร์ต
    เช่นอยู่ดีๆ ที่ทางที่ซื้อเอาไว้ ขายได้ราคาสูงจนได้รวยทันตา

    ครูบาอาจารย์ท่านบอกเล่าว่า


    ก็เพราะว่าเขาทำบุญด้วยการเสียสละอย่างใหญ่หลวง
    ไม่ว่าจะขัดสนอับจนอย่างไร ก็ดิ้นรนขวานขวย ทำบุญกับเขาจนได้
    เรียกได้ว่า ทำบุญเกินกำลังของตัว นั่นละครับ


    อ้าวแล้วคนที่อับจนขัดสนเงินทอง อยู่ในปัจจุบันจะทำอย่างไร
    ก็ต้องสู้ชีวิตเอากันละครับ
    หมั่นสังเกตุ หมั่นศึกษาเรียนรู้ ให้ได้มากที่สุดว่า
    คนอื่นๆเขาร่ำรวยขึ้นมาได้อย่างไร
    แล้วก็ตามๆเขาไป ตามกำลังของตน

    เห็นเขารวยด้วยการปลูกอ้อย ปลุกมัน ทำสวนปาร์ม ทำสวนยาง
    ก็ดิ้นรนขวนขวาย ทำเช่นเดียวกับเขา ตามกำลังของตน

    เห็นเขาซื้อที่ ซื้อทางที่ทำเลดีๆ ขายเมื่อไรก็มีกำไรงามๆ
    ก็ตามๆเขา หมั่นศึกษาหาข้อมูล การขยายตัวของเมือง ของชุมชนเป็นอย่างไร
    ที่ทำเลดีๆเป็นอย่างไร การพัฒนาจะมุ่งไปทิศทางไหน

    ผมมักจะแนะนำให้เดินดูทั่วตัวจังหวัดที่ท่านอยู่ว่า คนทำอาชีพต่างๆนั้น
    เขาทำได้อย่างไร เขารวยได้อย่างไร
    แล้วเลือกเอามาอย่างหนึ่งแล้ว เริ่มต้นทำ ก็เท่านั้นเอง
    เพียงแต่ต้องศึกษารายละเอียด ขั้นตอนต่างๆ ให้เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง
    รวมถึงการสะสมการหาทุนด้วย

    แค่นี้ก็น่าจะเจอ วิธีการ ขั้นตอน พอจะทำให้รวยได้แล้ว

    เพื่อนเล่าให้ฟังมาว่า

    ๑ มีเพื่อนรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ลาออกจากงาน รวบรวมเงินทองซื้อรถไถมาได้คันหนึ่ง
    แล้วไปเริ่มต้นที่ จ.เลย รับจ้างหักล้างถางพง ใครมีเงินจ่ายก็รับเป็นเงิน
    ใครไม่มีเงินจ่ายก็เจรจา แบ่งที่ทางให้ในสัดส่วนที่เหมาะสม
    หลายปีผ่านไป ท่านผู้นี้มีที่ทางมากมายหลายพันไร่
    หลายปีผ่านไปท่านผู้นี้ ทำไร่หลายรูปแบบ ทั้งอ้อย ทั้งปาล์ม ทั้งยาง
    เงินทองไหลมาเทมา ทั้งที่เริ่มแค่รถแทรคเตอร์เพียงคันเดีัยวเท่านั้นเอง

    ๒ บางท่านบางกลุ่มก็หาผู้ร่วมงานแบ่งงานกันทำ ช่วยกันทำอาชีพนายหน้าแบบต่างๆ
    ใครอยู่ฝ่ายหานายทุนหาผู้ซื้อ ใครอยู่ฝ่ายลงพื้นที่หาผู้ขาย
    ใครอยู่ฝ่ายวิ่งเต้นแก้ปัญหาระเบียบขั้นตอนต่างๆ
    หรือแม้แต่การวิ่งหาครูบาอาจารย์ใหช่วยแผ่เมตตาให้
    การจัดสรรค์ส่วนแบ่งก็ตกลงเอาไว้ล่วงหน้า
    ค่าใช้จ่ายส่วนไหนใครออก ส่วนแบ่งของใคร ได้เท่าไร

    ๓ แม้แต่ธุระกิจที่เฟื่องฟูกันอยู่นี่ ก็ธุระกิจ อาหารเสริม ความงาม นี่ละครับ
    ผมได้มีโอกาสรับฟังจากเพื่อนรุ่นน้องที่ได้เคยอุ้มชูกันมา
    จนสามารถ เป็นผู้สั่งผลิตสินค้าไปส่งทั่วประเทศได้ ในแบรนด์เนมต่างๆ
    เห็นต้นทุนเขาแล้ว เห็นยอดขายเขาแล้ว มันรวยทันตาจริงๆ

    ฝ่ายพื้นที่ก็วิ่งหาทายทุน มาตัดล๊อท สั่งผลิตสินค้าออกมาขาย
    ผลกำไรก็แบ่งกันทั่วหน้า

    เห็นเขารวยกันเอาๆ แต่ผมกลับไม่มีเวลาไปร่วมรวยกับเขา
    เพราะเวลาที่ผมมีนั้น สำหรับสร้างกุศลผลบุญเพียงอย่างเดียว ก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว


    ความที่ผมอยู่กับครูบาอาจารย์มาหลายท่าน หลายทาง
    ผมก็เลยต้องมานั่งบอก มานั่งอธิบายว่า
    อยากรวยต้องทำอย่างไร ต้องทำธุระกิจด้านไหน
    จะหาผู้มีบุญบารมี บอกวิธีการ ขั้นตอน รายละเอีนด ระยะเวลา ได้อย่างไร
    จังหวะไหน จะทำอะไร จะทำเมื่อไร จะทำที่ไหน

    ที่สำคัญยิ่งก็คือว่า เมื่อครูบาอาจารย์ที่ท่านต่างก็มีเวลาน้อย
    เมื่อท่านบอกออกมาแล้ว จะนำไปปฏิบัติได้อย่างไร
    มีขั้นมีตอน มีรายละเอียด มีเหตุผลสนับสนุน อย่างไร

    บางท่านก็น่าสงสารยิ่งนัก วิ่งหาครูบาอาจารย์ไปทั่ว
    กลับมองไม่ออกว่า ท่านไหนของจริง ท่านไหนของปลอม ท่านไหนช่วยได้ระดับไหน

    กำลังของตนมีอยู่เท่าไร กำไรแค่นี้พอไหม มีหน้าตักแค่นี้ ทำอะไรได้บ้าง
    จังหวะเวลานี้ จะสู้หรือจะถอย ได้เวลาหรือยัง

    เรื่องเหล่านี้ยุ่งยากยิ่งนัก เกินกำลังคนทั่วๆไปจะคิดออกมาได้
    จะปล่อยอันไหนไป จะไปจับอันไหนต่อ หน้าตักมีอะไรให้เล่นบ้าง

    เห็นคนเห็นเงินแล้ว บางท่านก็สะดุ้งหวั่นไหว

    แต่สำหรับผมแล้ว
    ไม่มีอะไรสูงส่งไปกว่า ภูมิรู้ ภูมิธรรม ในตัวเราเอง
    ไม่มีอะไรจะสูงส่งไปกว่า บุญบารมีที่เราได้สร้างสมเอาไว้

    ทรัพย์สินเงินทองทางโลก อำนาจบารมีทางโลก ไม่ได้มีความหมายใดๆกับผมเลย

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญร่วมกับผู้มีบุญบารมีทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  8. Stradale

    Stradale เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2007
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +4,379
    ลุงมหาเขียนได้ลึกซึ้ง เป็นผลึกความรู้ทีทรงคุณค่ามากครับ
    อ่านแล้วได้คิดพิจารณาทบทวนตัวเอง ถ้ามีเวลามาเขียนอีกนะครับ
     
  9. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ผู้มีบุญ ก็พบ ก็เจอ ได้

    ขออนุญาตครับ

    ความจริง ที่ผมเข้ามาเขียนในเว็บนี้นั้น ด้วยเหตุหลายประการ

    ๑ ได้ข่าวว่าเป็นเว็บที่มีชาวพุทธมารวมกันมากที่สุด

    ๒ ผมเคยเขียนกระทู้ที่มีคนเข้ามาถามมากๆ จนต้องลบกระทู้หนี
    เพราะท่านสมาชิกเหล่านั้น รู้จักแต่ถาม แล้วรอคำตอบ
    โดยไม่มีการศึกษาค้นคว้าใดๆว่า

    ความรู้ที่ผมบอกให้ไปนั้น จะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร
    จะเอาไปใช้จริงๆได้อย่างไร

    ๓ เว็บนี้ ไม่ใช่ มูลนิธิ จึงขาดการเปิดเผย ข้อมูลของเว็บ
    ผมก็เลยไม่มีความจำเป็นใดๆต้องเขียนมาก จนเปลืองเวลาของผมเอง

    ๔ ผมยังมองไม่เห็นว่า มีผู้ดูแลเว็บ ที่มีวิจารณญาณ ภูมิรู้ ภูมิธรรม ที่สูงพอ เป็นท่านใด
    แล้วจะมากำหนด ขอบเขต ทิศทาง ของเว็บได้อย่างไร

    ๕ ผมก็เลย แอบเข้ามาเขียน มาถ่ายทอดเรื่องราว ที่จำเป็นต่อชีวิต อย่างสูง
    ที่จะหาอ่านจากที่ไหนก็ไม่ได้ ในกระทู้ของคนอื่นแทน

    เพราะถ้าตั้งกระทู้เอง คนอ่านมากๆ คนถามมากๆ เกิดผมขี้เกียจตอบขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร

    ท่านที่สนใจจริงๆ ท่านที่สอดส่องมองหา ข้อความที่ดี ที่เป็นประโยชน์
    ที่จะสามารถพลิกผันชีวิตตนเองให้ดีขึ้น นั้นก็หายากมากๆเช่นเดียวกัน

    และท่านที่รู้จักสอดส่องมองหาว่า ในเว็บนี้ มีท่านผู้ใดบ้าง
    ที่รู้จริง ที่เห็นจริง ที่เข้าใจจริงๆ
    สามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆออกมา จนท่านผู้อ่าน สามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้
    ก็หายากเช่นเดียวกัน

    บางท่านก็เกรงอกเกรงใจ กลัวว่าผมจะไม่มีเวลาตอบให้
    ความจริงก็คือว่า ภูมิรู้ ภูมิธรรม ที่อยู่ในจิตนั้น

    ถ้าผมไม่ไปคิด ไปพิจารนามัน มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น
    แม้ตัวผมเอง ก็ไม่รู้ว่า ผมรู้ธรรมนั้นๆ ผมรู้เรื่องนั้นๆ

    เมื่อจะเขียน เมื่อจะตอบ สิ่งเหล่านั้น ก็หลั่งใหลออกมาเอง

    แม้ตัวผมเอง ก็อดที่จะพิจารนาสิ่งเหล่านั้น ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ไม่ได้

    มันไม่สำคัญว่าผมรู้มากเท่าใด แต่มันสำคัญว่า

    ท่านผู้อ่านแล้วนำไปคิดไปพิจารนา จะได้ประโยชน์เต็มที่ได้อย่างไร

    เพราะเห็นมีแต่ ก๊อปปี้ เรื่องราวมาจากเว็บอื่น แล้วเอา เรื่องของเขามาโพสท์
    โดยไม่ได้บอกว่า ข้อมูลมาจากไหน

    เมื่อก๊อปมา ก็เลยอธิบายขยายความออกมาไม่ได้ เพราะตนเองไม่ได้รู้ ไม่ได้สัมผัสมาจริงๆ

    ยิ่งบางท่านพล่านไปตอบปัญหาธรรม เต็มไปหมด แต่อนิจจา คำตอบนั้นๆ
    เป็นแค่คำตอบที่ครูบาอาจารย์ ท่านได้บอกเล่าตอบปัญหาธรรม ให้คนอื่นเอาไว้

    แม้คำตอบจะถูกต้อง เพราะเป็นคำตอบที่ยกเอาของครูบาอาจารย์มาทั้งดุ้น
    กลับไม่สามารถบอกรายละเอียด บอกขั้นตอนการปฏิบัติออกมาได้

    ขอให้จำเอาไว้นะครับว่า

    "ธรรมที่ถูกต้องนั้น ต้องสอดคล้อง ต้องคล้องจอง และไปในทิศทางเดียวกัน"
    "ปราศจากช่องโหว่ ปราศจากการขัดแย้งกันเอง"
    "ไม่สามารถโต้แย้งใดๆได้"
    "สามารถชี้แจงทุกประเด็น ให้หายข้องใจได้"

    และก็มีบางท่านเช่นกันที่ถามปัญหาธรรม ในส่วนที่ตนเองไม่สามารถเข้าใจได้
    เพราะยิ่งตอบ ท่านก็จะยิ่งถามมากขึ้นๆ
    เพราะยิ่งตอบ ก็ยิ่งห่างใกล ภูมิรู้ ภูมิธรรม ของผู้ถามมากขึ้นๆ
    แล้วตอบไปแล้ว ผู้ถามจะเข้าใจได้อย่างไร

    แม้จะมีบางท่าน แม้ตอบปัญหาธรรม ได้ลึกซึ้ง ได้รายละเอียดดี
    แต่กลับ ไม่ได้ มีกลุ่มญาติธรรมร่วมสร้างกุศลผลบุญมากพอ
    เกิดเป็นช่องโหว่ให้มองเห็นจนได้

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมใทนาบุญ ร่วมกับทุกๆท่านที่ได้ติดตามอ่านทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     
  10. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    จะหาเงินได้อย่างไร ? อาชีพอะไร น่าทำมากที่สุด ?

    ขออนุญาตครับ

    มีญาติธรรมท่านหนึ่งโทรหาผมเมื่อวาน แล้วพูดคุยกันยาวไปจน เลยเวลาโปรโมชั่นเหมาจ่าย

    ท่านบอกเล่าว่า มาช่วยงานสร้างพระใหญ่นานแล้ว
    ท่าน อ.ทิพากร ท่านก็พาเปิดบุญไป ท่านก็อธิฐานตามไปๆ
    มีหลายเรื่อง มีหลายส่วนที่ท่านไม่เข้าใจ ผมก็คอยชึ้แจงให้

    ท่านบอกเล่าว่า เป็นข้าราชการ เกษียรอายุมาหลายปีแล้ว
    ก็เลยไม่รู้ว่าจะหาเงินได้อย่างไร

    ไม่อยากอยู่เฉยๆ อยากมีรายได้ อย่างต่อเนื่องบ้าง

    ผมก็ถามว่า มีที่ทาง ที่พอจะเป็นราคา ขายแล้ว คุ้มหรือ ไม่
    ท่านก็บอกว่า ไม่มีที่ดินถือครองเลย

    ผมก็บอกเล่าต่อว่า ถ้าไม่มีที่ทางของตนเอง ก็ต้องไปขายที่คนอื่น
    โดยการไปเป็นนายหน้าค้าขายที่ดินแทน

    ต้องศึกษา กฏ ระเบียบ วิธีการ ของการเป็น นายหน้าซื้อขายที่ดิน
    ต้องหมันหาข้อมูล ใครอยากจะซื้อ ใครอยากจะขายที่ดินกันบ้าง
    ก็ไปติดต่อ ประสานงานทำการซื้อขายให้ สำเร็จ เท่านี้ก็ได้เงินส่วนแบ่งแล้ว

    พอรู้ พอเห็น มากเข้าๆ ก็สามารถทำการมัดจำ แล้ววิ่งขายที่ดิน ต่อไป

    พอแก่กล้ามากๆ ก็รวมกลุ่มกัน แบ่งงานกัน

    ฝ่ายหานายทุน ผู้ซื้อที่ดิน
    ฝ่ายลงพื้นที่หาลูกค้า ผู้จะขายที่ดิน
    ฝ่ายติดต่อราชการ ที่มีเส้นสาย รู้กฏระเบียบ ขั้นตอน กับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง

    พอแก่กล้ามากๆ ก็รวบรวมที่ดินแปลงใหญ่ๆ เสนอขายนายทุนต่อไป

    พอมีเงินมากพอ ก็ซื้อที่ดิน เพื่อเก็งกำไร กันต่อไปๆ

    แต่ละขั้น แต่ละตอน ก็ต้องเรียนรู้ ให้รู้แจ้ง ในระดับงานที่ตนไต่เต้าขึ้นไปๆ

    การเริ่มก็ให้ศึกษางานกับ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง คนใกล้ชิด
    ที่เขาประสบความสำเร็จงานด้านนี้คอยเป็นพี่เลี้ยงให้

    ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ ค่อยๆไต่เต้าขึ้นไปๆ ก็จะประสบความสำเร็จได้เอง

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกัยผู้มีบุญบารมีทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     
  11. กลางทาง

    กลางทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2013
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +702
    ขอบคุณลุงมหามากครับ ที่ได้ข้อคิดดีๆกับผมและอีกหลายคน จึงอยากจะให้เพื่อนอีกหลายๆคนได้อ่านครับ
     
  12. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154



    " รู้ไหมว่า..ทำไมเราถึงล้มลง "

    " ก็เพื่อเรียนรู้ที่จะลุกขึ้นใหม่อย่างไรล่ะ "

    อัลเฟรต..เขาบอกกับ..แบ็ทแมน(ตอน บีกินส์ )

    ยินดีด้วยครับวันนี้ที่..ได้เห็นสภาพความเป็นจริง

    " ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม "

    อาจเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่เราจะได้เริ่มสร้างรากฐานใหม่ครับ

    พระธรรมของพระพุทธองค์มีไว้หมดแล้วครับ

    หลักการทำงาน " หัวใจเศรษฐี "... " การแบ่งทรัพย์

    ที่ได้มาออกเป็น ๔ ส่วน " ผลของกรรมจะสนองแก่ผู้ปฎิบัติครับ

    โชคดีครับ.
     
  13. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    จะมีอะไรชั่วร้ายไปกว่าจิตใจมนุษย์ละคะ คนเรามาคนเดียวตายคนเดียว อย่าไปหวังว่าใครจะมาดีด้วย เราต้องอยู่สันโดษได้ ตายยังตายคนเดียวเลย ญาติเลวๆเห็นแก่ทรัพย์สินแก่มรดกนี้มีมันุกันทุกประเทศนะแหละคะ เอาใจช่วยให้วางอุเบกขาให้ได้คะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...