ถามผู้รู้เกี่ยวกับอาการที่เกิดจากการทำสมาธิครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย pitchayath, 15 เมษายน 2013.

  1. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    การมีสมาธิจิต มีกำลังสติ เข้าระลึก หากฝึกชำนาญในการระลึก
    จะไม่ต้องอาศัย ท่วงท่า คาบเวลาการฝึก แต่ จะระลึกเข้ามาได้
    ทันทีที่ ปราถนา

    อาการรู้ชีพจร หรือ อาการชา จะต้อง น้อมรู้ ระลึกได้ตลอดเวลา

    แต่ถ้า...ทำไม่ได้ แล้วต้อง อาศัย ท่วงท่า ขยับแขน ขยับขา บิด
    กาย วางท่าจำเพราะอย่างใดอย่างหนึ่ง อันนี้ จะเริ่มโดน หลอก

    ความที่เราฟังธรรมมา แล้วได้ยินชื่อสภาวะ ที่เขาใช้ฝึกหัด หาก
    เราดำริจะนำมาปฏิบัติธรรม ดังเกินไป มีความตั้งใจมากเกินปรกติ
    "กิเลส" จะเริ่มเข้าหลอก

    ขันธมาร คือ กายของเรานี่แหละ ไม่ใช่คนอื่น หรือใครที่ไหน มัน
    จะขยับ หรือหาท่าจำเพาะ บางอย่าง เพื่อเลียนแบบ สภาวะธรรม
    นั้นขึ้นมา ....

    ถ้าเราไม่ทัน กิเลส สังเกตเลย เดี๋ยวมันจะ ยกโขยงกันมา มีตั้งแต่
    มัจจุมาร(ความกลัวเดี้ยง กลัวตาย) อภิสังขารมาร(หลอกว่าเป็นฤทธิ์)

    ตัวสุดท้ายเนี่ยะ คนอื่น เข้ามากระทืบซ้ำ ย้ำว่า " เอ้ยถูกแล้ว ทำต่อๆ "

    ดังนั้น สังเกตุ มาร5 อย่างนี้ให้ดีๆ ไว้ด้วย มันจะเริ่มแทรก เมื่อเรา
    เริ่มใช้ทิฏฐิ อย่าดำริดังเกินไป และ อย่าหยุดดำริ

    เจริญสติให้ถูก ฟังให้เข้าใจ สดับให้ถึง "ธรรมะ" แล้วจะค่อยๆ
    เห็น ธรรมที่เป็นที่พึ่ง ใกล้เข้ามาๆ

    " หนทางไกลข้าศึกมีอยู่ " พระพุทธองค์ตรัสสอนอุบายธรรมนั้นไว้หมดแล้ว
     
  2. ชัยวัฒนา

    ชัยวัฒนา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +24
    อยากทราบว่า ขณะที่ฝึกอยู่วางมืออย่างไรครับ

    มือร้อนวูบวาบแสดงว่าลมปราณเกิดขึ้นที่มือ การกำหนดจิตดูชีพจรกำหนดไปที่ไหน ใช่บริเวณข้อมือหรือมือ เข้าใจว่าเมื่อฝ่ามือเกิดลมปราณนานๆ เข้าก็ไม่หมุนเวียน เกิดการกักหรือรวมตัวที่มือ ไม่สามารถหมุนไปตามเส้นลมปราณในร่างกายได้ ลองวางมือขวาทับมือซ้ายและให้นิ้วโป้งทั้งสองข้างชนกันเพื่อให้ลมปราณหมุนเวียนไปครับ

    ตามที่บอกว่าตามดูอาการอยู่ดีแล้วครับ กำหนดชาหนอ ชาหนอ ในใจไปด้วย เป็นการดูเวทนาที่เกิดขึ้นครับ ถ้าเกิดอาการกลัวที่ใจเราก็กำหนดกลัวหนอครับ ดูจิตดูใจของเราที่หวั่นไหวหรือไม่หวั่นไหวกับอาการชาที่เกิดขึ้น กำหนดรู้ติดตามไปเรื่อยๆ ครับกับอาการที่เกิดขึ้นกัรางกายของเราไป ทุกข์อย่างไร แปรเปลี่ยนอย่างไร

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมครับ
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สภาวะตัวนี้ ไม่ใช่สภาวะวิเศษอะไร
    ของมันมีอยู่แล้ว แค่ปกติเราไม่เคยเอาจิตไปจับมัน
    ถ้าทำชำนาญแล้ว ตัวนี้ทำในชีวิตประจำวัน จะเดินไปไหนมาไหน คุยกับใคร ก็เอาจิตเข้าไปจับแล้วเกิดได้เลย ไม่ต้องนั่งสมาธิอะไร

    วิธีให้หายชา ก็คลายจิตออกมารับอย่างอื่น
     
  4. jadeprawit

    jadeprawit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +117
    สวัสดีครับ

    เมื่อวานที่ผมมาโพสถามหลังจากที่ปฏิบัติแล้วมือชา 2 ครั้ง ผมเข้ามาอ่านคุณบุคคลทั่วไป 3 คน ทำความเข้าใจแล้วลงมือปฏิบัติใหม่ เมื่อคืน 2 ครั้งครับ

    ช่วงนี้รู้สึกว่าผมมีความเพียรเพิ่มขึ้นครับ พยายามระลึกฟังเสียงหัวใจเต้นเรื่อยๆ ให้ได้ทุกครั้งที่นึก และก็เริ่มได้ผลดีขึ้นมาเรื่อยๆเพราะตอนนี้มีความเพียรและกำลังใจมาก ผมระลึกฟังเสียงหัวใจเต้นได้ทุกครั้ง ตอนแรกไม่แน่ใจครับว่าหรือผมเป็นโรคหัวใจ หัวใจผมทำไม
    เต้นแรงจนผมได้ยินบ่อยๆ ผมฝึกตามที่พี่ๆทุกคนเข้ามาแนะนำครับ ตามรู้ตามดูอาการและทำให้มาก และเมื่อผมว่างจากงานผมจะพักโดยการนอนบนเตียงผ้าใบดูทีวี พอรีแลกซ์ได้สักพักผมก็จะเริ่มเอามือมาวางไว้บนอกเหมือนพนมมือแต่ผมให้เฉพาะปลายนิ้วทุกนิ้วแตะกันเบาๆแล้วเข้าสมาธิครับ ครั้งแรกที่มือชานั้นผมรู้ว่ามือกำลังชาและความร้อนที่วูบวาบ
    นั้นผมจำอาการได้ว่า เป็นตอนผมกำลังเข้าภวังค์(จะหลับอีกแล้ว) ผมฝืนไม่หลับอาการชาร้อนวูบวาบก็มา จนผมออกจากสมาธิมือชาทั้ง2 ข้างเลย ต้องบีบนวดให้คลายครับ

    ครั้งที่2 ผมก็นอนสมาธิทำใหม่ให้แน่ใจครับว่าอาการเป็นอย่างไรตอนไหน ครั้งนี้ผมจับอาการไม่ได้ครับ ชาเร็วมาก พอออกจากสมาธิหนักกว่าเดิมตรงที่นิ้วก้อยทั้ง 2 ข้างผมหมดความรู้สึก ผมก็ตกใจ เพราะนิ้วอื่นๆแค่ชา แต่นิ้วก้อยทั้ง 2 ข้างหมดความรู้สึกผมต้องรีบบีบมือนวดให้คลาย แล้วรีบมาโพสถามพี่ๆ ว่าผมจะทำไงดีครับ

    หลังจากที่เข้ามาอ่านที่พี่ คุณบุคคลทั่วไป 3 คน มาตอบ (ขอบคุณครับ) ผมก็ลองใหม่
    ครั้งที่ 3 ชาเหมือนเดิมแต่มาชาที่มือซ้ายมาก

    ครั้งที่ 4 ชาเหมือนเดิมแอบมองเวลาที่ทำ ประมาณ 15 นาที แต่มาชาที่มือซ้ายข้างเดียว
    ชามาถึงเกือบหัวไหล่ ผมต้องสะบัดแขนให้คลาย

    ผมวางมือท่าพนมมือบนหน้าอก แต่ให้เพียงปลายนิ้วแตะกันเบาๆ เพราะผม(คิดเอาเองว่า)
    แตะเบาๆ จุดเล็กๆผมจะโฟกัสได้ง่ายกว่าทำความรู้สึกน่าจะดีกว่าน่ะครับ คุณชัยวัฒนา

    ถ้าเกิดครั้งต่อไปผมทำ ชาไปครึ่งตัวหรือทั้งตัว ผมจะปล่อย ดูตามรู้ไปเฉยๆอีกหรอครับหรือต้องปรับเปลี่ยนอะไรบ้างครับ

    ขอบคุณครับ
     
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ให้โคจรจุดที่ว่านี้ ให้เคลื่อนไปอวัยวะต่างๆ รอบๆ ตัว อย่างเช่น รวมที่จุดเดียว ที่นิ้วมือเดียว ก็ให้เลื่อนไปนิ้วมืออื่นๆ ไล่ไปตามแขนตามขา วนรอบๆ ตัว แล้วก็ดึงให้ลึกเข้าไปในผิวหนัง ให้เข้าไปในท้อง ให้ลึกเข้าไปในกล้ามเนื้อ ลงไปในกระดูก แล้วก็ดึงให้กลับมาที่ผิวหนัง วนไปวนมา ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เมื่อขยับมันได้แล้ว ก็ให้ฝึกขยายพื้นที่ ให้จุดที่ว่านี้ มีขนาดกว้างขึ้น แล้วก็ทำเหมือนเดิม จากนั้นก็ ให้ขยายให้เต็มพื้นที่ร่างกายเลย ให้รู้สึกทั่วทั้งร่างกายพร้อมกัน โดยไม่มีจุดใดแน่น จุดใดบาง
     
  6. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เนี่ยะ ถ้าฝึกระลึก เห็นได้ทุกเวลา ที่ปราถนาเนี่ยะ หากทำบ่อยๆ
    จะค่อยๆ เห็น ทางที่ใช่ กับ ทางที่ไม่ใช่

    ทางที่ใช่เนี่ยะ จะเห็นเลยว่า อาการของหัวใจเต้น มันมีของมันอยู่แล้ว
    พ้นอำนาจการบังคับบัญชา มันเต้นได้ เพราะ วาสนามันมี

    อาการชา ก็เช่นเดียวกัน อาการชานั้น เป็นสภาพธรรมที่มีอยู่ก่อนแล้ว
    ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ ชา ขึ้นมา

    แต่ถ้า เป็นทางที่ไม่ใช่ มันจะตรงข้าม คือ จะรู้สึกว่า อาการเต้นของหัวใจ
    นี้มีเราไปสร้างขึ้น เพราะมีเราจึงมีการเต้น การเต้นมีเพราะมีเรา อะไรแบบ
    นี้ล้วนแต่เป็น มิจฉาทิฏฐิ ทั้งสิ้น

    เช่นเดียวกับ อาการชา หากอาการชา เกิดจาก ความจงใจทำให้เกิดขึ้น
    มันไม่ใช่ สภาพธรรม ที่มีอยู่ก่อนแล้ว นอกจากจะเกิดการปฏิบัติแบบ "เร้า"
    ความรู้สึก ยังเกิดการปฏิบัติที่ออก " ขันธมาร " มันหลอกเอาทั้งสิ้น แล้ว
    มันจะรุกรามไปเรื่อย ตายได้นะครับ หากไปเชื่อมัน .....คนเรา เนี่ยะหาก
    โง่สุกงอม มันบีบกล้ามเนื้อเพื่อเอาอาการชาชัดๆ สุดท้าย หยุดหายใจ ตาย
    ไปเลย กลั้นใจตาย นั่นแหละ

    ดังนั้น

    ฝึก เห็นอาการเต้นของหัวใจ อาการชา ระลึกให้ได้ทันที ที่ปราถนา เพื่อ
    เข้าไปเห็น สภาพเต้น สภาพชา มันมีของมันเองอยู่แล้ว มีทุกส่วน แล้ว
    ส่วนที่ชาเย็นที่สุดมันจะลึกเข้าไปในกระดูกขาวๆ ระลึกแจ่มๆ ฝึดเดียว
    ฝังเข้าไปในกระดูกขาวๆ ก็ระลึกเห็น สภาพธรรมนั้นได้แล้ว

    แต่ถ้า ต้องตั้งท่า ทำท่า ทำทาง จับนั้น แตะนี้ ขมิบตรงนั้น อั้นตรงนี้
    เหล่านี้เขาเรียกว่า กิเลสมารมันหลอก ขันธมารเข้าเล่นละคร อภิสังขาร
    มาร
    บอกว่าเป็นฤทธิ์ มัจจุมารรอเก็บศพ เทวบุตรมารรอบอกว่า "เฮ้ย
    ใช่ๆ ฝึกต่อ ระวังคนอื่นมากล่าวธรรมไม่ถูก อดของดี "
     
  7. jadeprawit

    jadeprawit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +117
    สวัสดีครับ

    ผมแปลกใจมากครับคุณอินทรบุตร

    ก่อนเข้ามาอ่านคำแนะนำของคุณตรงนี้ ................................

    ให้โคจรจุดที่ว่านี้ ให้เคลื่อนไปอวัยวะต่างๆ รอบๆ ตัว อย่างเช่น รวมที่จุดเดียว ที่นิ้วมือเดียว ก็ให้เลื่อนไปนิ้วมืออื่นๆ ไล่ไปตามแขนตามขา วนรอบๆ ตัว แล้วก็ดึงให้ลึกเข้าไปในผิวหนัง ให้เข้าไปในท้อง ให้ลึกเข้าไปในกล้ามเนื้อ ลงไปในกระดูก แล้วก็ดึงให้กลับมาที่ผิวหนัง วนไปวนมา ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เมื่อขยับมันได้แล้ว ก็ให้ฝึกขยายพื้นที่ ให้จุดที่ว่านี้ มีขนาดกว้างขึ้น แล้วก็ทำเหมือนเดิม จากนั้นก็ ให้ขยายให้เต็มพื้นที่ร่างกายเลย

    ผมลองนอนสมาธิใหม่ ผมหลับตาทำทุกครั้ง อยู่ๆผมก็เห็นอะไรบางอย่างมันหมุนๆ พอดีผมเคยอ่านผ่านตามาบ้างเรื่องจักระทั้ง 7 ผมเลยลองทำดู ทำแบบที่พอนึกได้ผมหมุนไปทั่วร่างกายแบบที่คุณแนะนำเลย ผมงงมากเลยครับว่าผมทำไปได้ไง ผมก็สนุกกับการทำพอออกจากสมาธิ ผมก็จับอาการของตัวเองว่ากายผมเป็นอย่างไร มือชานิดเดียวครับ แล้วผมก็เข้ามาอ่านที่คุณตอบให้ผมปฏิบัติผมงงมากเลย แต่พอผมมาทานข้าวเช้า เกือบ 11 โมงปรากฏว่าปากผมอ้าได้นิดเีดียวปวดตรงขากรรไกด้านซ้าย ทานลำบากมากเลยผมก็คิดว่าเดี๋ยวคงหาย ผมก็ทำงานไปเป็นปรกติ แล้วว่างก็ทำอีกรอบ ดีขึ้นครับมือชานิดเดียวเพราะหมุนลมแบบที่คุณบอก ผมลืมเรื่องปวดขากรรไกด้านซ้ายไปเลย จนผมเพิ่งมาทานข้าวเที่ยงผมอ้าปากไม่ค่อยได้เหมือนมื้อเช้าเลยครับ ปวดตรงกระดูกขากรรไก(ผมเรียกถูกหรือเปล่า) กระดูกที่อยู่ตรงติ่งหูซ้าย ตอนพิมอยู่นี่ก็ยังปวดขัดๆอยู่ครับ ผมเลยรีบทานมื้อเที่ยงแล้วมาเล่าให้ฟังครับ

    ขอบคุณครับ คุณบุคคลทั่วไป3 คน
     
  8. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เวลา มาพิจารณาฐานกายแล้ว จะเป็นปรกติที่จะ แฉลบไปเห็นพวก เวทนากาย

    ถ้าฟังธรรมมาน้อย หรือ ยังเอาใจออกห่างศาสนา ก็จะ ลืมเรื่องสติปัฏฐาน ไปโน้น
    ไปเรื่อง องค์บ้าง เรื่องโคจรพลังเก้าอิมบ้าง เรื่องเจ้ากรรมนายเวรบ้าง

    แต่ถ้าฟังธรรมให้มากพอ แล้ว เน้นที่ สติปัฏฐาน4 การ แปล๊บ ปล๊าบ เหล่านั้น
    ก็ล้วนแต่ เป็น สภาพของเก่า เกิดขึ้นเอง ตามวาสนา

    เน้นนะว่า เป็นวาสนา เพราะว่า เราเอามาบริหาร จัดการให้เป็น สติปัฏฐาน4
    ก็จะเข้าสู่การพิจารณา " เวทนานุสติปัฏฐาน " ซึ่ง การแฉลบออกไป หาก
    เคยทำกสิณมา ก็อาจจะเห็นเป็น "ธรรมภายนอก"บ้าง "ธรรมภายใน"บ้าง
    ก็ขอให้มั่นคงในกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 สายตรง เข้าไว้

    ไล่ไปไล่มา แม้สภาวะ โรคาพยาธิ หัวฝี หัวหนอง ใน เนื้อ เอ็น กระดูก ลึก
    เข้าไปในกระดูก ก็ยัง ทะลุทะลวงเข้าไปรับรู้ ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก

    ตามรู้ตามเห็น เป็นสติปัฏฐาน อย่างนี้เนืองๆ มี อานิสงค์ใหญ่ คือ ได้ ธรรมโอสถ
    ที่ทำให้ พ้นทุกข์ทั้งปวง ....ตรงนี้ ตั้งจิตให้ตรง ไว้ด้วย


    เมื่อตั้งจิตไว้ตรง เวลา เกิดสงสัย ลังเล อย่างหนึ่งอย่างใด จะเห็นเลยว่า จิตไม่ตั้งมั่น จิตไม่ถึงฐาน

    รู้ว่าจิตไม่ตั้งมั่น จิตไม่ถึงฐาน เอามาเจริญสติได้อีก คราวนี้ ทางซ้ายตีเราให้ตก หลอกให้
    เราปรุงแต่งการปฏิบัติ(ขันธมาร)ก็ตีไม่ได้ มันจะ ตีทางขวาให้ตก เอาเวรรกรรม เจ้าน่งเจ้าหนี้
    (มัจจุมาร)มาต่อรองก็ตีไม่ได้ เพราะ เราอยู่บนทางสายกลาง ห่างไกลข้าศึก ได้ ฉะนี้ แล


    ************

    เทวดา เวลาจะตายจากเทวดา สุคติ หรือ ที่ชอบๆ ของ เทวดา ก็คือ การมีร่างกายเป็น มนุษย์

    ทำไม เทวดา ปราถนา วาสนา ในแบบ ร่างกาย มนุษย์

    ก็เพราะว่า กายมนุษย์นั้น แปล๊บ ปล๊าบ ทั้งวัน เกือบทุกวินาที แม้มีวาสนา ได้ "เห็นทุกขสัจจ"
    ได้ทุกวินาทีเพียงนี้ ก็ยังไม่ง่ายเลยที่จะขึ้น สติปัฏฐาน4 สำเร็จ

    ดังนั้น อย่าท้อ แค่เพียง ทุกข์กายทั้งวัน เอาสัก 7วัน ทนไหวไหม ถ้าไม่ก็ 7 เดือน หรือ 7 ปี ว่ากันไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2013
  9. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ทีนี้ เกิดมาเป็น มนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ทั้งที จะภาวนาแค่ กายสักขี
    หรือ อุภโตภาค มันก็ไม่สมกับการได้ วาสนา มา

    มี วาสนา เป็นมนุษย์ มันก็ต้อง ภาวนาให้ คุ้ม

    เมื่อไหร่ เห็นหัวใจเต้น หรือ ชาๆ ก็ ยกพิจารณาไปด้วยว่า เป็น ปฏิปทากายสักขี

    แต่ เมื่อไหร่ เห็นอาการแปล๊บ ปล๊าบ เวทนากายเกิดก่อน เวทนาจิตแทรกภายหลัง
    ตามเห็นแบบนี้ได้ ก็ยกพิจารณาไปด้วยว่า นี้เป็น ปฏิปทาอุภโตภาค

    แล้ว เห็นความแปรปรวน เปลี่ยนแปลง บังคับไม่ได้ เดี๋ยวก็ใช้ กายสักขีปฏิปทา
    เดี๋ยวก็ใช้ อุภโตภาคปฏิปทา เดี๋ยวก็ต้องออกแรงน้อมยกพิจารณา ใช้ ทิฏฐิปุตตะปฏิปทา
    ขยับเขย่า ให้การภาวนาแน่นเข้ามา พิจาณา ความไม่เที่ยง แปรปรวน เหล่านี้
    แบบนี้ไว้ด้วย ก็เด็ดยอดฉัตร ปฏิสัมภิทาญาณ ไปด้วยเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2013
  10. jadeprawit

    jadeprawit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +117
    ขอบคุณครับคุณ บุคคลทั่วไป3 คน

    ผมอยากเจริญในธรรมให้ยิ่งๆต่อไปครับ ผมรอฟังคำแนะนำของทุกๆท่านเพื่อน้อมไปปฏิบัติตาม ตอนนี้ผมมีความเพียรในธรรมเป็นอย่างยิ่ง ผมขอรบกวนถามหน่อยครับเพราะผมไม่เข้าใจในคำแนะนำตรงนี้.....และตรงภาษาธรรมอื่นๆ
    เน้นนะว่า เป็นวาสนา เพราะว่า เราเอามาบริหาร จัดการให้เป็น สติปัฏฐาน4
    ก็จะเข้าสู่การพิจารณา " เวทนานุสติปัฏฐาน " ซึ่ง การแฉลบออกไป หาก
    เคยทำกสิณมา ก็อาจจะเห็นเป็น "ธรรมภายนอก"บ้าง "ธรรมภายใน"บ้าง
    ก็ขอให้มั่นคงในกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 สายตรง เข้าไว้

    ผมอยากให้ช่วยอนุเคราะห์ ผมอีกครั้งผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับภาษาทางธรรมมากนัก
    แต่ที่ผมพอเข้าใจคือ ครั้งต่อๆไปผมจะจับความรู้สึกที่ปลายนิ้วมืือและตรงที่ตั้งขากรรไกที่ปวดอยู่ให้หมุนอยู่ที่ 2 ตำแหน่งนี้แล้วจะหายไปเองหรอครับ ครั้งต่อไปปวดที่ไหนก็ทำแบบนี้ ใช่มั้ยครับ

    ขอบคุณครับ
     
  11. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เอาเครื่องมือ ภาวนา ไปลองใช้ ดูก่อน แล้วดูสิว่า ภาวนาได้ตามลำพัง ไม่ต้อง
    ถามใครอีก ได้บ้างไหม

    อะไรก็แล้วแต่ ที่คุณจับต้องได้ หยิบยกมาเป็น ประเด็น หรือ หัวข้อ
    เพื่อร้อยเป็นคำถาม

    ให้คุณพิจารณา สิ่งนั้นก่อนว่า จัดเข้าในส่วนใดของ ขันธ์5

    เช่น

    ปลายนิ้ว หรือ ขากรรไกร จัดเข้ากองขันธ์5 ชื่ออะไร

    ปวด จัดเข้ากองขันธ์ ชื่ออะไร

    "ให้หมุนอยู่ที่ 2 ตำแหน่งนี้" จัดเข้ากองขันธ์ ชื่ออะไร

    หลังจากนั้น พิจารณาช่วยลงไปหน่อยว่า เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง

    ไอ้ที่ตั้งเป็นคำถามเนี่ยะ เป็นไปเพื่อทำให้มัน เที่ยง หรือเปล่า

    แล้ว ทบทวนอีกทีว่า มันเที่ยง หรือ ไม่เที่ยง

    ลองดูนะ ว่าจะได้ผลอย่างไร ยังต้อง หาคำตอบจากใครอีกไหม
    หรือว่า สงบ รำงับ ไม่กระเดิด ไม่หิว

    *********

    ปล. อันที่จริง คุณก็เกือบๆ จะตอบได้เองแล้ว ตอนที่ หยอดว่า
    " แล้วจะหายไปเองหรอครับ " แต่คุณ ขาดการสดับธรรมที่ตน
    เอง มาชะเง้อเอาคำตอบจากคนอื่น เสียนี่
     
  12. ชัยวัฒนา

    ชัยวัฒนา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +24
    เห็นคุณมีกำลังใจในการปฏิบัติแล้วยินดีดีใจด้วยครับ ในช่วงที่เริ่มมีผลการปฏิบัติในทางที่ดีเราจะเริ่มมีกำลังใจและมีความเพียรมากขึ้นครับ

    คุณปฏิบัติท่าทางใด วางมือเช่นไร กำหนดในใจอย่างไร เกิดผลดีอย่างไร ไม่ดีอย่างไร ก็อย่างที่คุณเห็นผลนั้นครับ จุดโฟกัสเล็กเกิดความสบายและสงบในใจก็นั่นแหละครับ

    การวางมือบนหน้่าอกจะใกล้กับจักระที่หน้าอก และยังกำหนดรู้อาการเต้นของหัวใจไปด้วย
    หัวใจจะเต้นแรงหรือเป็นไปอย่างไรกำหนดรู้ไปครับ ส่วนจะเป็นโรคหัวใจหรือไม่นั้น ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการวินิฉัยจากผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ครับ ยังสรุปไม่ได้

    ปลายนิ้วที่แตะกันปราณวิ่งเชื่อมกันโครจรไปเอง อีกทั้งพลังจากฝ่ามืิอจะส่งเข้าไปที่หน้าอกซึ่งใกล้กับหัวใจคุณด้วย ลองสังเกตดูครับ ท่านอนฝึกลมปราณ(ชี่กง) ที่ผมได้เรียนจากอาจารย์ท่านก็ให้ฝึก แต่ต่างจากคุณตรงที่ตำแหน่งในการวางมือ กล่าวคือ เหล่าซือท่านให้วางมืิอทั้งสองข้างลงไปใกล้บริเวณท้องน้อยซึ่งตรงนั้นมีจุดรวมพลังอยู่อีกจุดหนึ่งคือ ใต้สะดือประมาณสองนิ้วมือ และไม่ได้วางทับซ้อนกัน ตำแหน่งในการวางตรงนี้ลมปราณจะรวมเข้าที่จุดนี้พร้อมกับการกำหนดจิตรวมไว้ที่ตำแหน่งนี้ครับ

    ตามดูอาการชาไปน้ั้นดีแล้วครับ ผลการปฏิบัติแต่ละคนนั้นต่างๆ นานากันไป ตามดูไปครับก่อนฝึกสังเกตอาการดูจุดที่ชาเป็นอย่างไร ครั้นเมื่อเริ่มชาเป็นอย่างไร ขณะที่ชาอยู่เป็นอย่างไร ลมปราณเคลื่อนตัวไปอย่างไร หมุนที่ใด แล้วมีผลต่อนิ้วชาอย่างไร เมื่อลมปราณหมุนเคลื่อนตัวไปตามร่างกายแล้วผลคือนิ้วและแขนชาน้อยลง นั่นก็แสดงว่าให้ผลในทางบวกกว่า ปฏิบัติให้มากเข้า แล้วสังเกตดูคุณจะมีสติในกาย เห็นอาการของมัน ลองปล่อยดูเป็นอย่างไรแล้วตามดู
    ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นผู้เฝ้าดูอยู่ เห็นอยู่ มองดูความจริงที่เราไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับมัน มันแปลเปลี่ยนไม่เที่ยงแท้ เสื่อมคลาย ไม่ตัวไม่ใช่ตน กล่าวคือ น้อมเข้าพิจารณาไตรลักษณ์ของอาการที่เกิดขึ้นทางกายไปด้วย

    การกำหนดจิตไปในตำแหน่งต่างๆ ตามร่างกายไปลมปราณจะเคลื่อนตามไป วางจิตตรงไหนลมปราณก็รวมอยู่ตรงนั้น แต่ถ้ากำหนดในจุดจักระ ลมปราณสามารถโครจรหมุนเวียนไปตามเส้นลมปราณของร่างกายซึ่งก็เชื่อมโยงมาที่นิ้วมือด้วยเช่นกัน นิ้วแต่ละนิ้วลมปราณเคลื่อนตัวไปตามเส้นไปสู่อวัยวะภายในของร่างกายอาทิเช่น ปอด หัวใจ ไต ม้าม และ...จำไม่ได้แล้ว มีตำราเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ศึกษาอยู่ ลองพิจารณาดูครับ เมื่อจักระถูกกระตุ้นให้ทำงาน ลมปราณมันจะหมุนตามที่คุณรู้สึกนั้นจักระใดทำงานมันจะหมุน.

    ส่วนภาษาทางธรรมะที่ยังไม่เข้าใจ สามารถค้นคว้าเพิ่มเติมภายหลังเป็นการสร้างความเข้าใจไปเรื่อยๆ ก็จะได้ทั้งปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธ เมื่อปฏิบัติมากๆ เข้าเห็นผลมากๆ เข้า เราสามารถเทียบกับปริยัติ หรือจากประสบการณ์จากผู้อื่นหรือจากครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ ความสงสัยจะค่อยๆ เบาบางไป ความเชื่อมั่น ความศัทธาจะมากขึ้น จะมีผลไปถึงความเพียรจนเป็นปกติอยู่ในชีวิตประจำวัน ตรงนี้ปัญญาจะแจ่มชัดมากขึ้น เพราะได้รู้เห็นผลแก่ใจด้วยตนเอง นั่นแหละตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน แรกเริ่มปฏิบัติเพิ่งเริ่มหัด ความอยากรู้ ความสงสัยมันมากมายครับ ก็อาศัยเพื่อนที่ปฏิบัติมากก่อนหรือกัลยาณมิตร หรือครูบาอาจารย์ หรือตำหรับตำราต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางไป เพื่อคอยประคับประคองกัน เป็นกำลังใจกัน ให้สติกันจนกว่าจะไปได้ด้วยตนเอง

    เล่าสู่กันฟังแลกเปลี่ยนกันเพื่อเทียบเคียง เป็นแนวทางเพื่อประกอบการพิจารณา นำความเห็นที่ได้รับมาไตร่ตรองก่อนเป็นการดี ก่อนลงมือปฏิบัติไปก็ยังมีแนวทางบ้างมีหลักบ้าง แต่อย่างไรก็ตามระลึกถึงพระพุทธเจ้าไว้เป็นที่หนึ่งครับ ได้ผลอย่างไรเล่าสู่กันฟังบ้างครับ

    ขอให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...