ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช https://www.facebook.com/fisont?fref=nf
    นายกฯออสเตรเลียประกาศกลางสภาฯ ไม่กลัวพวกลอบวางระเบิดหวังทำให้ประชาชนตกใจและหวังข่มขู่ สนับสนุนให้ประชาชนเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยต่อไป สุ๊ดดดดดด…ยอด
    -----------
    วันนี้ (18 ส.ค.58) สำนักข่าว The Australian ลงข่าวเกี่ยวกับการก่อเหตุลอบวางระเบิดที่บริเวณศาลพระพรหม แยกราชประสงค์ กรุงเทพมหานคร ว่า "นายกรัฐมนตรีโทนี แอ็บบอตต์ ได้เรียกร้องให้ประชาชนต่อต้านการทำให้ผู้คนตกใจหรือข่มขู่ จากการไปเที่ยวเมืองไทย เตือนว่าการก่อเหตุระเบิดสังหารที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯนั้น ยิ่งเสริมสร้างการแก้ไขปัญหาระดับชาติในการต่อสู้กับการก่อการร้ายมากขึ้นเท่านั้น
    นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียกล่าวในที่ประชุมรัฐสภาฯในช่วงบ่ายวันนี้ว่า "ระเบิดที่สังหารผู้คนไปอย่างน้อย 21 รายนั้นเป็นการโจมตีประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ดำเนินชีวิตประจำวันตามปรกติ"
    นายกฯโทนีกล่าวต่ออีกว่า "ชาวออสเตรเลียควรจะเดินทางไปยังประเทศไทยต่อไป เพราะว่าจุดประสงค์ของพวกที่ทิ้งระเบิดไว้ในเมืองต่างๆที่มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ก็เพื่อทำให้พวกเราหวาดกลัวจากการเป็นตัวของตัวเอง และพวกเราไม่ควรตกใจกลัวหรือยอมให้ถูกข่มขู่ด้วยการกระทำเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ชาวออสเตรเลียที่อยู่ในต่างประเทศก็ควรจะมีความระมัดระวังตัวไว้บ้าง ควรติดตามสถานการณ์ทีเว็บไซท์ Smartraveller และควรมีความระมัดระวังในระดับที่เหมาะสมด้วย"
    นายกฯออสเตรเลียกล่าว่า "การโจมตีเช่นนั้นมีแต่จะเสริมสร้างการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลและประชาชนชาวออสเตรเลีย ประชาชนและรัฐสภาออสเตรเลีย ไม่ว่าจะกับสิ่งใด พวกเราสามารถต่อต้านกับขบวนการก่อการร้ายและต่อสู้กับขบวนการก่อการร้ายมากขึ้น"
    ส่วนผู้นำฝ่ายค้านของออสเตรเลียก็กล่าวว่า "อย่างน้อยที่สุด พวกเราก็รู้ว่านี่เป็นอาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง (crime of hatred) ที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดความหวาดกลัว และในฐานะที่เป็นประเทศหนึ่ง ที่เป็นสมาชิกที่น่าภาคภูมิใจของประชาคมนานาชาติ พวกเราขอกล่าวด้วยเสียงเดียวกันว่า: มันจะไม่นำไปสู่การปราศจากการทักท้วง หรือการไม่ถูกลงโทษ พวกเราจะไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองว่าเราเป็นใครเพียงเพราะเหตุนี้"
    แหล่มป๊ะ... น้ำใจของมิตรประเทศ บ่งบอกได้ว่าคุณจริงใจในมิตรภาพระหว่างไทยกับออสเตรเลีย แทนที่จะออกมาซ้ำเติมเหตุการณ์ให้ดูน่าหวาดกลัว จนผู้คนขยาดไม่กล้าจะมาท่องเที่ยวกรุงเทพฯซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวยงามติดอันดับโลก อย่างที่สื่อฯกระแสหลักของต่างประเทศหลายสำนักและของไทยด้วยพากันประโคมข่าวไป ทำลายการท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างที่เห็นนั้น นายกฯออสเตรเลียชิงพูดในมุมที่สร้างสรรค์กว่า โดยบอกว่าอย่าไปกลัวมัน อย่าไปหงอให้มัน และขอสนับสนุนให้ประชาชนชาวออสเตรเลียเดินทางมาเยี่ยมเยือนประเทศไทยต่อไป แหม… ตั้งแต่ทำข่าวต่างประเทศมานี้ พึ่งจะเห็นว่านายโทนี แอ็บบอตต์น่ารักมากๆ ก็วันนี้แหละ Thank you, Sir. ท่านเจ้าอาวาสโทนี่ มะ… ขอจุ๊บหัวเหม่งซักทีสิครับ ฮ่าๆๆ
    The Eyes
    18/08/2558
    ----------
    Cookies must be enabled. | The Australian
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช ( https://www.facebook.com/fisont?fref=nf )

    สื่อฯจีนมิตรประเทศที่เข้าใจสถานการณ์ในเมืองไทย ณ ตอนนี้ อีกมุมมองหนึ่งจากนานาชาติ

    [​IMG]

    -----------
    โพสต์ก่อนหน้านี้ได้นำเสนอข่าวดีที่เป็นประโยชน์แก่ภาคการท่องเที่ยวของไทย จากคำพูดของท่านเจ้าวาสโทนี นายกฯออสซี่ไปแล้ว คราวนี้หันมาดูมุมมองที่น่าสนใจจากฝั่งจีนกันบ้างนะครับ วันนี้ (18 ส.ค.58) สำนักข่าว Global Times ของจีนได้พูดถึงเหตุการณ์และความสูญเสียจากการลอบก่อเหตุวางระเบิดที่บริเวณศาลพระพรหม แยกราชประสงค์ เหมือนกับข่าวจากสำนักต่างๆทั่วโลกนั่นแหละครับ แต่มีบางส่วนที่อ่านแล้วทำให้รู้ว่าสื่อฯจีนในสังกัดของรัฐบาลจีนเขามองเราอย่างไรบ้างในกรณีนี้ จึงขอนำมาเล่าให้แฟนเพจฟังกันเป็นบางส่วนนะครับ
    สำนักข่าว Global Times ของจีนกล่าวในย่อหน้าที่สองว่า "รายละเอียดต่างๆในการก่อเหตุระเบิดในครั้งนี้นำหลายคนไปสู่สมมุติฐานที่ว่า การก่อเหตุระเบิดครั้งนี้เป็นการโจมตีด้านก่อการร้าย (อันนี้เขาสรุปมาจากข่าวจากสื่อฯทั่วไปนะครับ) แม้ว่าตำรวจไทยจะไม่ได้บอกว่าเป็นเช่นนั้นในการแถลงการณ์กับสื่อฯ และไม่มีองค์กรใดออกมาแสดงตนว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง" (สื่อฯจีนมองว่าถ้าเป็นการก่อการร้ายโดยทั่วไปก็ต้องมีกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังออกมายอมรับว่าเป็นฝีมือการกระทำของพวกเขา แต่นี่เงียบ ดังนั้นจึงยังไม่ฟันธงว่าเป็นการก่อการร้าย เข้าใจนะครับ) สื่อฯจีนกล่าวต่อไปอีกว่าการก่อเหตุในครั้งนี้ได้รับการยืนยันว่าเป็นการโจมตีของผู้ก่อการร้าย มันก็จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นอย่างมาก (ดังนั้น ผู้ที่ชอบจะใช้หรือใช้ไปแล้ว ซึ่งคำว่า "เป็นการก่อการร้าย" ก็ควรจะคำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาในแง่ของความเสียหายที่จะเกิดกับประเทศไทยด้วย ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ทางการเมืองหรืออะไรก็แล้วแต่ ควรจะระวังให้มาก)
    รายงานข่าวกล่าวต่อไปอีกว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมเดินทางไป ในช่วงหกเดือนในปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางไปเที่ยวในประเทศไทยมีสูงถึง 6 ล้านคน เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงเวลาเดียวกันจากปีที่แล้ว (ถ้านักท่องเที่ยวเหล่านั้น ใช้จ่ายซักคนละหมื่นบาทในการเดินทางมาเที่ยวในไทยคิดก็จะเป็นเงินถึง 60,000 ล้านบาท แต่ในความเป็นจริงแล้วสูงกว่านี้มากทีเดียวเพราะนักท่องเที่ยวชาวจีนกระเป๋าหนัก) ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นมาแหล่งท่องเที่ยวหมายเลข 1 แทนเกาหลีใต้ที่ชาวจีนเลือก และนักท่องเที่ยวชาวจีนก็เป็นนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทยด้วย
    (จีนเขากำลังชี้ให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยมากขนาดไหน เมื่อเร็วๆนี้ ตอนที่พวกโปรอุยกูร์ไล่ทำร้ายและโจมตีนักท่องเที่ยวชาวจีนในอิสตันบูล จีนก็ออกมาให้สติตุรกีแบบนี้ จนผู้นำตุรกีต้องรีบออกมาประกาศว่าข่าวที่สื่อฯตะวันตกและสื่อฯสหรัฐฯปล่อยข่าวว่าจีนสั่งห้ามการประกอบพิธีถือศีลอดในช่วงรอมฏอนที่ซินเจียงนั้นไม่เป็นความจริง และทางการตุรกีต้องจัดการกับพวกที่ก่อเหตุ เพื่อรักษาจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวต่างชาติเอาไว้ และเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนต่อไปเช่นกัน ส่วนกรณีของไทยนี้เขายังไม่ เตือนตรงๆอย่างตุรกี แต่ถ้าดูจากคำพูดให้ดีๆ ก็จะเข้าใจนัยบางอย่างได้ไม่ยาก)
    ในความรู้ของพวกเรานั้น ประเทศไทยเป็นประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา (เขาหมายถึงประชากรส่วนมากของประเทศ) ชาวไทยเป็นคนไม่นิยมความรุนแรง (moderate population) (ไม่สุดโต่ง เป็นพวกสายกลาง) ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะอยู่ในช่วงที่มีการปฏิวัติยึดอำนาจ แทบจะไม่มีการเสียเลือดเนื้อเลย
    ตรงนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ... สื่อจีนรายงานว่า "ชาวจีนหลายคนตะหนักถึงการทะเลาะเบาะแว้งทางการเมือง (political wrangles) ที่เกี่ยวข้องกับอดีตนายทักษิณ ชินวัตร และความยุ่งยากในภาคใต้ของไทย อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าปัญหาเหล่านี้จะไม่เกี่ยวข้องการสภาพแวดล้อมในภาคการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรของไทยในสายตานักท่องเที่ยวชาวจีน" (หมายความว่าคนจีนที่มาท่องเที่ยวเมืองไทยเขาก็เข้าใจปัญหาภายในของไทยดีระดับหนึ่ง แต่เขามองว่ามันไม่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเลย การเมืองก็การเมืองสิ แต่ก็มีพวกพวกสารเลวบางคนจ้องจะทำร้ายภาคการท่องเที่ยวของไทยอยู่เรื่อยๆ)
    สื่อฯจีนแสดงความคิดเห็นว่า มันเป็นอะไรที่อยู่เหนือจิตนการของคนจีนว่าการก่อเหตุระเบิดจะเกิดขึ้นที่ศาลพระพรหมเอราวัณที่มีชื่อเสียงโด่งดัง (the famous Erawan Shrine) เหตุการณ์นี้เกือบจะส่งผลกระทบแบบเดียวกันต่อนักท่องเที่ยวชาวจีน หากว่ามันเกิดขึ้นในประเทศจีน (ก็มีเหตุผลนะ) (ส่วนจุดประสงค์ของการก่อเหตุนั้นสื่อฯจีนพูดตรงกันกับทางการของไทยคือ มุ่งทำลายภาคการท่องเที่ยวของไทยโดยตรง)
    ในตอนท้ายสื่อฯจีนได้กล่าวเอาไว้ว่า "ประเทศไทยเป็นเพื่อนที่ดีของจีน การระเบิดที่ใจกลางเมืองหลวงของประเทศจะไม่เป็นเพียงการคุกคามความปลอดภัยของจีนนักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้น แต่ยังทำให้เรารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเพื่อนของเราด้วย" (เขาหมายถึงเสียใจที่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นในประเทศไทย)
    ส่วนอีกข่าวหนึ่งสื่อฯจีนก็ลงข่าวว่า "Thai PM vows to track down Bangkok blast culprits " (นายกฯของไทยสาบานว่าจะติดตาม (บางสำนักข่าวใช้คำว่าไล่ล่า) ผู้กระทำความผิดกฎหมายในการก่อเหตุระเบิดมาลงโทษให้ได้)
    The Eyes
    18/08/2558
    ----------
    Thailand blast rocks nation’s peaceful surface - Global Times
    Thai PM vows to track down Bangkok blast culprits - Global Times
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เจ้าหน้าที่เยเมนจับผู้ก่อการร้ายเอธิโอเปียในชุดผู้หญิง
    โดย เอบีนิวส์ทูเดย์ - ส.ค. 18, 2015

    [​IMG]

    สำนักข่าวฟาร์สนิวส์ (FNA) ของอิหร่านรายงานว่า เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงอันซอรุลลอฮ์คนหนึ่งกล่าวเมื่อวันศุกร์ (14 สค.) ว่า กองกำลังหน่วยข่าวกรองและกองกำลังประชาชนได้จับกุมกลุ่มชายชาวเอธิเอเปียกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงกับซาอุดี้ฯ ที่พยายามจะเล็ดลอดเข้าไปในเมืองหลวงซานาอฺ ในชุดเสื้อผ้าของผู้หญิงเพื่อทำการโจมตีก่อการร้าย

    “หน่วยข่าวกรองของเยเมนร่วมกับคณะกรรมการประชาชนได้ระบุและจับกุมกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับหน่วยงานลับของซาอุดี้ฯ และมีเจตนาที่จะเข้ามาก่อเหตุก่อการร้ายในมัสยิดและตลาดในเมืองซานาอฺ” เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวบอกกับสำนักข่าวฟาร์ส

    “ผู้ก่อการร้ายที่ถูกจับกุมตัวได้ถือสัญชาติเอธิโอเปีย และถูกจับกุมโดยกองกำลังอันซอรุลลอฮ์ในเมืองหลวงของเยเมน” เจ้าหน้าที่กล่าวเสริม

    แหล่งข่าวผู้นี้ยังกล่าวต่อไปอีกว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กองกำลังของหน่วยข่าวกรองของเยเมนสามารถจับกุมผู้ก่อการร้ายชายในชุดแต่งกายของผู้หญิง

    เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม ได้เกิดเหตุระเบิดรถยนต์ขึ้นในซานาอฺ เมืองหลวงของเยเมน ทำให้ประชาชนเสียชีวิตไปอย่างน้อยสามคนและบาดเจ็บอีกหกคน

    ตามรายงานของสื่อภายในประเทศ เหตุการณ์ระเบิดรุนแรงครั้งนั้นเกิดขึ้นใกล้กับมัสยิดแห่งหนึ่งในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง

    กลุ่มตักฟีรีไอซิล(ไอซิซ) ได้อ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการระเบิดครั้งรุนแรงนี้

    เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้ยังได้อ้างความรับผิดชอบต่อการระเบิดที่มีรายงานว่าประชาชนเสียชีวิตเกือบ 30 คน ในเมืองหลวงของเยเมน

    นักรบไอซิลยังได้อ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ระเบิดรถยนต์เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ที่เกิดขึ้นกับมัสยิดกุบัต อัล-มะฮ์ดีย์ ในเมืองหลวงของเยเมนอีกด้วย ซึ่งได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตสามคนและบาดเจ็บ 16 คน

    ซาอุดิอารเบียทำการโจมตีเยเมนมาเป็นเวลา 142 วันแล้วจนถึงขณะนี้ เพื่อที่จะคืนอำนาจให้กับประธานาธิบดีมันซูร ฮาดี ที่ลี้ภัยอยู่ ซึ่งเป็นพันมิตรใกล้ชิดกับริยาด

    ฮาดีลาออกเมื่อเดือนมกราคม และปฏิเสธที่จะทบทวนการตัดสินใจและจะมีการเรียกร้องจากอันซอรุลลอฮ์ ที่เป็นขบวนการปฏิวัติของกลุ่มเฮาซีก็ตาม

    ถึงแม้ริยาดจะอ้างว่ามันทำการทิ้งระเบิดโจมตีที่ตั้งของนักรบอันซอรุลลอฮ์ แต่เครื่องบินรบของซาอุดี้ฯ กำลังโจมตีพื้นที่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐานของประชาชนจนราบเรียบ

    การโจมตีของราชวงศ์นี้จนถึงปัจจุบันได้คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 5,392 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก


    เอบีนิวส์ทูเดย์
    abnewstoday | เอบีนิวส์ทูเดย์
    เอบีนิวส์ทูเดย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งให้นำข่าวและเนื้อหาอื่นๆ ของเราไปเผยแพร่ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องให้เครดิตกับเอบีนิวส์ทูเดย์สำหรับเนื้อหาทุกชิ้นที่นำไปเผยแพร่

    เจ้าหน้าที่เยเมนจับผู้ก่อการร้ายเอธิโอเปียในชุดผู้หญิง | abnewstoday
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ผู้ก่อการร้ายในสมัยนี้ ชอบมาในลักษณะแฝงตัวให้เกิดการเข้าใจผิดกันน่ะครับ อ่านข่าว เจ้าหน้าที่เยเมนจับผู้ก่อการร้ายเอธิโอเปียในชุดผู้หญิง หรือยังครับนี่ก็ดเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ผู้ก่อการร้ายในสมัยนี้ หรือแม้แต่ในสมัยอดีตนำมาใช้ แม้แต่กรณีที่เกิดการวางระเบิดที่ราชประสงค์ เรารู้ได้อย่างไรว่าผู้ต้องสงสัยเป็นชาวอุยกูร์ แค่ดูภาพจากกล้อง ก็บอกได้แล้วหรือครับว่าอุยกูร์ และถ้าใช่แน่ ทำไมมีคนรู้ครับ การพิสูจน์สัญชาติไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยแค่ดูภาพจากกล้องน่ะครับ
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Nibiru Facts/Elenin Facts/2012/NWO/FEMA/Earth Quakes/T Cyclones etc

    [​IMG]

    fyi ~~~>>>
    มนุษย์ทั้งหลาย เร็วๆนี้ คุณจะเข้าใจว่ามีเพียงแต่ความรัก
    ฉันหวังว่าคุณพร้อมสำหรับ....
    guys, soon yOu will understand that there is Only LO อีโมติคอน heart E
    i sincerely hoPe that yOu aRe reaDy for 1 อีโมติคอน heart
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ถ้าปลายเดือนกันยายน ความถี่รอบตัวเราเปลี่ยนแปลงไปจริงเราจะเป็นยังไงกันบ้างน่ะ

    ผลต่อสุขภาพจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อน

    เรียบเรียงโดย นพ.วิวัฒน์ เอกบูรณะวัฒน์

    บทนำ

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีความสนใจที่เพิ่มขึ้นของผลจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อนหรือ Extremely Low Frequency Electromagnetic Field (ELF-EMF) ต่อผลของสุขภาพ รายงานทางการแพทย์หลายฉบับกล่าวถึงผลในการก่อมะเร็ง ผลต่อระบบสืบพันธุ์ และผลต่อระบบประสาทพฤติกรรมศาสตร์ ปัจจุบันแม้จะยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในแง่มุมทั้งหมด แต่ก็เริ่มมีข้อมูลบางอย่างที่ทำให้เราพอทราบถึงผลต่างๆ เหล่านี้ได้บ้างแล้ว จึงได้ทำการสรุปรวบรวม และนำมาเสนอในบทความนี้

    คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากับสุขภาพ

    รังสี (Radiation) ที่เราพบในชีวิตประจำวันนั้น ในบางสภาวะพบว่าสามารถก่ออันตรายแก่สุขภาพของเราได้ ในการแบ่งประเภทของรังสีตามผลต่อสุขภาพ เราแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ ionizing radiation กับ non-ionizing radiation

    Ionizing radiation หรือรังสีที่ทำให้แตกตัว คือรังสีกำลังสูงที่มีคุณสมบัติทำให้อะตอม (atom) หรือโมเลกุล (molecule) ของสารที่รังสีนั้นไปตกกระทบ เกิดการแยกอนุภาคอิเล็กตรอน (electron) ออกไป สารที่ถูกรังสีตกกระทบนั้น จึงกลายเป็นอนุมูลอิสระ (free radical) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งในสิ่งมีชีวิตได้ รังสีเหล่านี้มีทั้งที่อยู่ในรูปอนุภาคและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

    รังสีในรูปอนุภาค (particle) เช่นรังสีแอลฟา (alpha) รังสีเบต้า (beta) ซึ่งเกิดจากการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีตามธรรมชาติ และอนุภาคที่ปกติไม่ได้เกิดการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีตามธรรมชาติ แต่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์เช่น โปรตรอน (proton) โพรสิตรอน (positron) มิวออน (muon) และมีซอนประจุ (charge mesons) จะเห็นว่าอนุภาคที่มีประจุส่วนใหญ่ ล้วนทำตัวเป็น ionizing radiation ได้ทั้งสิ้น
    รังสีในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งสามารถทำตัวเสมือนเป็นอนุภาคได้ (photon) ส่วนใหญ่เป็นรังสีกำลังสูงคือรังสีเอ็กซ์ (X-ray) และรังสีแกมมา (gamma ray) แต่ในบางกรณีก็พบว่ารังสีอัลตร้าไวโอเล็ต (ultraviolet) ที่มีกำลังความถี่สูง ก็สามารถทำตัวเป็น ionizing radiation ได้เช่นกัน (1)
    Non-ionizing radiation หรือรังสีที่ไม่ทำให้แตกตัว เป็นรังสีที่มีกำลังต่ำกว่า จึงไม่ทำให้เกิดการแตกตัวของอิเล็กตรอนของอะตอมหรือโมเลกุลที่ไปตกกระทบ รังสีเหล่านี้จะอยู่ในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมด ไล่เรียงตามความถี่ (frequency) จากสูงไปต่ำคือ รังสีอัลตร้าไวโอเล็ต (ultraviolet) แสง (visible light) รังสีอินฟราเรด (infra red) คลื่นไมโครเวฟ (microwave) คลื่นวิทยุ (radiofrequency) และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อน (ELF-EMF) รังสีเหล่านี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้มากมาย แต่เมื่อมาตกกระทบกับร่างกายมนุษย์ จะก่อให้เกิดผลต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นได้ทั้งประโยชน์และโทษ เช่นคลื่นไมโครเวฟเมื่อเข้าสู่ร่างกายนั้นทำให้เกิดความร้อน ซึ่งเอามาใช้ประโยชน์ในทางกายภาพบำบัดในปัจจุบัน ส่วนรังสีอัลตร้า ไวโอเล็ตก็มีการนำมาใช้ฉายแสงรักษาโรคสะเก็ดเงิน แสงแดดก็กระตุ้นให้เกิดการสร้างวิตามินดีในร่างกาย ในแง่ของการเกิดโทษเมื่อสัมผัสกับร่างกายนั้น พบได้ว่ามีรายงานการเกิดผลต่อสุขภาพในผู้ที่สัมผัสรังสีเหล่านี้มากผิดปกติได้ ทุกชนิด ซึ่งในบทความนี้ จะได้กล่าวถึงเฉพาะผลต่อสุขภาพจาก ELF-EMF โดยละเอียดต่อไป

    อะไรคือสนามแม่เหล็กไฟฟ้า

    Electromagnetic Field (EMF) หรือสนามเหล็กไฟฟ้า คือสนามทางกายภาพ ที่เกิดจากความต่างศักดิ์ของประจุไฟฟ้า 2 แหล่ง ทำให้เกิดคลื่นเคลื่อนที่จากแหล่งกำเนิดไปในทุกทิศทางอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด สนามแม่เหล็กไฟฟ้านี้แยกได้เป็นสนามแม่เหล็ก (magnetic field) กับสนามไฟฟ้า (electric field) ซึ่งทั้ง 2 สนามจะวางตัวตั้งฉากกัน

    อะไรคือสนามคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อน

    สนามคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อน หรือ Extremely Low Frequency Electromagnetic Field (ELF-EMF) คือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่คลื่นในช่วง 3 – 3,000 Hz ซึ่งเป็นความถี่คลื่นในระดับต่ำมาก โดยความถี่ที่ได้รับความสนใจว่าจะมีผลต่อสุขภาพมากที่สุดคือความถี่ที่ 50 – 60 Hz ซึ่งเป็นความถี่ของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าที่ใช้อยู่ตามบ้านเรือนนั่นเอง (ในประเทศอเมริกาใช้ระบบความถี่ 60 Hz ส่วนประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่จะใช้ระบบความถี่ 50 Hz รวมถึงประเทศไทยด้วย) ความถี่ระดับนี้เป็นความถี่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ต่ำกว่าความถี่ของคลื่น microwave และ radiofrequency เสียอีก

    หน่วยวัดระดับของสนามแม่เหล็กไฟฟ้านั้น แม้จะมีทั้งสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าอยู่ด้วยกัน แต่เวลาวัดจะใช้คนละหน่วย ระดับของสนามไฟฟ้าจะใช้หน่วย Volts/meter (V/m) ส่วนระดับของสนามแม่เหล็กจะใช้หน่วย Tesla หรือ gauss (1 Tesla = 10,000 gauss) ซึ่งในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง ELF-EMF นี้ จะวัดระดับสนามแม่เหล็กในระดับ microTesla (uT) หรือ milligauss (mG) เสียเป็นส่วนมาก เนื่องจากคลื่นมีกำลังต่ำดังกล่าวแล้ว ในเรื่องของการเกิด health effects นั้น สนามแม่เหล็กดูเหมือนจะมีโอกาสทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้มากกว่า เนื่องจากสามารถผ่านทะลุเข้าไปในร่างกายได้โดยจะไม่มีการลดระดับลงเลย แต่เนื่องจากสนามทั้ง 2 ชนิดนี้มักเกิดขึ้นร่วมกัน จึงมักจะทำการพิจารณาผลเสียต่อสุขภาพที่เกิดขึ้นไปร่วมกัน

    ELF-EMF เป็นสิ่งที่พบอยู่รอบตัวเราในชีวิตประจำวัน และคนทุกคนต้องมีโอกาสได้สัมผัส ที่พบบ่อยที่สุด คือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่รอบสายไฟฟ้า ทั้งจากเสาไฟฟ้าทั่วไปและเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง สนามแม่เหล็กไฟฟ้าจากเสาไฟฟ้าทั่วไปซึ่งมีกำลังไฟฟ้า 8 – 24 kV จะน้อยกว่าจากสายส่งไฟฟ้าแรงสูงซึ่งมีกำลังไฟฟ้าสูงถึง 765 kV เลยทีเดียว สำหรับภายในบ้านก็มีการสัมผัส ELF-EMF ได้เช่นกัน ส่วนใหญ่มาจากสายไฟภายในบ้าน และบางส่วนส่งออกมาจากอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่นหม้อแปลง โทรทัศน์ เครื่องดูดฝุ่น เครื่องเป่าผม เครื่องผสมอาหาร คอมพิวเตอร์ หรือรถจักรยานยนต์ เป็นต้น

    ระยะทาง (distance) ที่สนามแม่เหล็กไฟฟ้าไปถึงได้หรือวัดค่าได้นั้น แตกต่างกันไปในแต่ละแหล่งกำเนิด โดยทั่วไปสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านต่างๆ จะมีระยะทางไม่เกิน 1 – 2 เมตรเท่านั้น แต่สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง จะมีระยะทางได้ถึง 50 – 150 เมตร (2) การวัดระดับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในที่ทำงานทั่วไป มักพบระดับที่ 0.1 – 10 uT แต่ถ้าเป็นคนทำงานใกล้อุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดใหญ่เช่นหม้อแปลงจะได้รับสนามแม่เหล็กไฟฟ้ามากกว่านั้น ในบ้านโดยทั่วไปมีระดับที่ 0.1 uT ในขณะที่บ้านที่อยู่ใกล้สายส่งไฟฟ้าแรงสูง พบว่ามีระดับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าสูงกว่า อาจวัดได้ถึง 5 – 10 uT เลยก็เป็นได้ (3)

    ปัจจุบันมีรายงานการศึกษาวิจัยหลายฉบับ พบว่าการสัมผัสสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ELF-EMF โดยตรงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพขึ้นได้ในหลายระบบ ดังต่อไปนี้

    ผลก่อมะเร็ง

    การศึกษาทางระบาดวิทยาหลายการศึกษา พบประเด็นการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก (childhood leukemia) สัมพันธ์กับการพักอาศัยอยู่บริเวณใกล้เสาไฟฟ้าแรงสูง แม้ในช่วงต้นความสัมพันธ์จะยังดูไม่ชัดเจนนัก แต่การศึกษาที่ทำต่อๆ มา ดูเหมือนความสัมพันธ์นี้จะชัดเจนขึ้น

    ในปี ค.ศ. 1797 Wertheimer and Leeper (4) ได้ทำการศึกษาในรัฐ Colorado สหรัฐอเมริกาพบว่าเด็กที่บ้านอยู่ใกล้เสาส่งไฟฟ้าแรงสูงจะป่วยเป็น leukemia, lymphoma และ nervous system cancer มากกว่ากลุ่มควบคุม ข้อมูลที่พบดูเหมือนว่าเด็กที่ยิ่งบ้านอยู่ใกล้ และใช้เวลาอยู่ในบ้านนานเท่าใด ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น (dose-response relationship) การศึกษานี้ เริ่มทำให้เกิดความสนใจในหมู่นักวิชาการ ในเรื่องผลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อนที่ก่อให้เกิดมะเร็ง

    การศึกษาแบบ case-control study ขนาดใหญ่ขึ้น โดย Savitz (5) ในปี ค.ศ.1988 โดยทำในรัฐ Denver และ Colorado ของสหรัฐอเมริกา ศึกษาในผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น leukemia, lymphoma และ soft tissue sarcoma จำนวน 356 คน ซักประวัติย้อนหลังและทำการประเมินขนาดการสัมผัสโดยวัดปริมาณสนามแม่เหล็กไฟฟ้าและดูขนาดของสายไฟ (wire code) รอบบ้านของผู้เข้าร่วมการศึกษาแต่ละคนด้วย พบว่าผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็ง มีความสัมพันธ์กับการมีสายไฟแบบแรงสูง (high current configuration) มากกว่ากลุ่มควบคุม ส่วนการวัดสนามแม่เหล็กที่ 60 Hz ในบ้านนั้นกลับไม่พบความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง การศึกษานี้ทำให้เกิดคำถามใหม่ขึ้นว่า ขนาดของสายไฟที่อยู่รอบบริเวณบ้านจะเป็นตัวบ่งบอกปริมาณสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เด็กได้รับและมีผลต่อการเป็นมะเร็งหรือไม่ อย่างไรก็ดี ผู้ทำการศึกษานี้ก็ได้ให้ข้อคิดเห็นไว้ว่า การศึกษาของเขายังมีความจำกัดในเรื่องการประเมินการสัมผัส เทคนิคการวัดสนามแม่เหล็กไฟฟ้า และเรื่องการย้ายที่อยู่อาศัยไปมาของผู้เข้าร่วมการศึกษาแต่ละคน

    ในปี ค.ศ. 1997 Linet (6) และคณะได้ทำการศึกษาแบบ case-control study โดยจำเพาะเจาะจงโรค Acute Lymphoblastic Leukemia (ALL) ว่ามีความสัมพันธ์กับการอาศัยในบริเวณใกล้เคียงกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าหรือไม่ แต่กลับได้ผลที่แตกต่างออกไป โดยได้ทำการศึกษาในผู้ป่วยเด็กโรค ALL 638 ราย และกลุ่มควบคุม 620 ราย ทำการวัดระดับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ 60 Hz ในห้องนอนของเด็ก และห้องอื่นๆ รวมทั้งบริเวณหน้าบ้านอีก 3 – 4 จุด และทำการประเมินขนาดการได้รับสนามแม่เหล็กจากขนาดสายไฟ (wire code) โดยดูจากขนาดของเสาไฟฟ้าและระยะห่างของสายส่งกับบ้าน การศึกษานี้ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างการเป็นโรค ALL ในเด็กกับการสัมผัสสนามแม่เหล็กไฟฟ้า OR 1.24 (95%CI 0.86 – 1.79) ทั้งจากการประเมินจากการวัดระดับสนามแม่เหล็กโดยตรงและจากการแบ่งกลุ่มตาม wire code

    ผลการวิจัยแบบ case-control study ซึ่งได้ผลแตกต่างกันหลายการศึกษา ได้ถูกนำมารวมและทำการวิเคราะห์ใหม่ในปี ค.ศ.2000 โดยคณะของ Ahlbom (7) ผลจากการทำ pooled analysis ครั้งนี้ได้ผลรวมจากการศึกษา 9 การศึกษา ออกมาไปในแนวทางว่า การสัมผัส ELF-EMF โดยการอาศัยอยู่ในบ้านที่ใกล้สายส่งไฟฟ้าแรงสูง อาจจะมีความสัมพันธ์กับการเกิด childhood leukemia จริงถ้าหากระดับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในบ้านสูงกว่า 0.4 uT estimated RR = 2.0 (95%CI 1.27 – 3.13) แต่คณะวิจัยให้ความเห็นว่าการแสดงความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็ยังไม่ชัดเจนเนื่องจากการประเมินการสัมผัสที่ยังอาจมีความลำเอียง และไม่สามารถอธิบายกลไกที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์นี้ขึ้นได้ด้วย

    ทางองค์กร IARC ซึ่งมีหน้าที่ประเมินความเสี่ยงในการก่อมะเร็งของสารหรือสภาวะต่างๆ ได้ทำการสรุปข้อมูลในปี ค.ศ. 2001 และจัดกลุ่ม ELF-EMF ไว้เป็น carcinogen class IIB คือมีโอกาสเป็นสภาวะที่ก่อมะเร็งในคนได้ แต่ก็ยังมีข้อมูลไม่ชัดเจนเพียงพอ

    ในปี ค.ศ. 2002 คณะผู้วิจัยของ Savitz นำโดย Kaune (8) ได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมจากการศึกษาเดิมในปี ค.ศ.1988 โดยได้กลับไปทำการศึกษาที่รัฐ Denver ใช้ชื่อการศึกษาว่า Back To Denver Study (BTD study) ทำการวัดสนามแม่เหล็กในห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องกินข้าวในบ้านของ subject แต่ละคนที่คลื่นความถี่ 60 Hz, 180 Hz และแบบ Harmonic (60 – 420 Hz) พบว่าระดับสนามแม่เหล็กที่ความถี่ 180 Hz และ Harmonic มีความสัมพันธ์กับขนาดของสายไฟ ซึ่งสนับสนุนแนวคิดจากการศึกษาเดิมว่าบ้านที่มี wire code เป็นแบบ high current configuration จะทำให้เด็กเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็ง

    การศึกษาขนาดใหญ่ถัดมาในปี ค.ศ. 2004 ซึ่งทำในประเทศญี่ปุ่น โดยคณะของ Mizoue (9) พบความสัมพันธ์อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ของการอาศัยอยู่ใกล้บริเวณเสาไฟฟ้าแรงสูงกับ childhood leukemia เช่นกัน โดย incidence rate ratio = 2.2 (95%CI 0.5 – 9.0)

    สำหรับมะเร็งจากการสัมผัส ELF-EMF จากการทำงานนั้น ไม่มีผลการศึกษาที่มีแนวทางชัดเจน แม้ว่าจะมีการศึกษาความสัมพันธ์ของคนทำงานที่มีโอกาสสัมผัส ELF-EMF สูงกว่าคนทั่วไป กับ leukemia หรือ brain cancer บ้างแล้ว แต่ผลที่ได้ก็ไม่ได้ชี้ชัดว่าเพิ่มความเสี่ยงหรือไม่ (10-13)

    อย่างไรก็ดีการศึกษาทั้งหมดที่พบนี้ ล้วนแต่เป็นการศึกษาทางด้านระบาดวิทยาทั้งสิ้น สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นจะต้องใช้อธิบายผลการเกิดมะเร็งหรือผลต่อสุขภาพอื่นๆ ที่จะเกิดจาก ELF-EMF ได้คือ กลไกทางด้านชีววิทยา ดังได้กล่าวแล้วว่า ELF-EMF เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อนในกลุ่ม non-ionizing radiation จึงไม่สามารถอธิบายการเกิดมะเร็งจากการทำให้อะตอมหรือโมเลกุลที่รังสีไปสัมผัสเกิดเป็นอนุมูลอิสระขึ้นได้ มีทฤษฎีบางอย่างพยายามอธิบายกลไกที่จะเกิดผลด้วยวิธีการอื่น เช่นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อนนี้ อาจไปทำให้การส่งสัญญาณภายในเซลล์ หรือการขนส่งโปรตีนผิดปกติไป หรือทำให้เกิดสภาวะที่ยีนจะทำงานผิดปกติ เป็นต้น

    กลไกที่จะก่อมะเร็งได้จากการสัมผัสคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อนนี้ แม้การทดลองในหลอดทดลอง (in vitro) ก็ยังไม่สามารถแสดงผลได้ชัดเจน หรือหากจะแสดงผลได้ก็ต้องใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าในระดับที่สูง เช่น 100 uT ขึ้นไปจึงจะเกิดผล ซึ่งแตกต่างจากระดับของ ELF-EMF ที่คนได้รับในชีวิตจริง อีกทั้งผลผิดปกติในหลอดทดลอง ก็อาจจะไม่ได้เกิดผิดปกติจริงๆ เมื่อเกิดในสิ่งมีชีวิตก็ได้

    ผลต่อระบบสืบพันธุ์และการคลอดบุตร

    สำหรับผลของ ELF-EMF ที่มีต่อการเจริญพันธุ์ (reproductive effect) และการทำให้ทารกเกิดความผิดปกติ (teratogenic effect) นั้น มีการทำการทดลองในตัวอ่อนของสัตว์หลายชนิด และผลการศึกษาเกือบทั้งหมดไม่พบความผิดปกติใดๆ การทดลองที่มีการออกแบบอย่างดีโดยคณะของ Berman (14) ซึ่งทำการศึกษาความผิดปกติในไข่ไก่ที่ได้รับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในห้องปฏิบัติการของหลายประเทศ พบความผิดในไข่ไก่ที่ได้รับสนามแม่เหล็กไฟฟ้ามากกว่ากลุ่มควบคุมเพียงเล็กน้อย

    การศึกษาในคนซึ่งทำในพนักงานรับโทรศัพท์หญิงที่บริเวณท้องสัมผัส ELF-EMF จาก Video Display Terminal (VDT) ในการทำงาน เทียบกับพนักงานรับโทรศัพท์หญิงที่ไม่ได้ใช้ VDT ในการทำงาน โดย Schnorr (15) ในปี ค.ศ.1991 นั้นไม่พบความแตกต่างสำหรับความเสี่ยงในการเกิด spontaneous abortion การศึกษาโดย Grajewski (16) ในปี ค.ศ.1997 ซึ่งทำในพนักงานรับโทรศัพท์หญิงเช่นกัน ไม่พบการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด low birth weight หรือ preterm labor และการศึกษาโดย Lindbohm (17) ในปี ค.ศ.1992 ในเสมียนหญิงที่ใช้ VDT ในการทำงาน ไม่พบการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด spontaneous abortion เช่นกัน แต่มีข้อน่าสนใจที่พบในการศึกษานี้ว่าในกลุ่มที่สัมผัสสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อนในระดับสูงผิดปกติ อาจจะมีความเสี่ยงในการเกิด spontaneous abortion เพิ่มขึ้นได้

    การศึกษาที่พบความผิดปกติในการสัมผัส ELF-EMF ระหว่างตั้งครรภ์อีกกรณีหนึ่งคือ ELF-EMF ที่เกิดจากขดลวดที่ใช้ในเตียงทำความอุ่น ในปี ค.ศ.1986 Wertheimer and Leeper (18) ได้รายงานความผิดปกติของ fetal growth และ spontaneous abortion ซึ่งเกิดเพิ่มขึ้นในบ้านที่ใช้เตียงแบบมีขดลวดทำความอุ่น และมีความสัมพันธ์กับฤดูกาลที่มีการใช้เตียงนี้มากด้วย จึงทำให้เกิดความสนใจขึ้นว่า ผลที่เกิดอาจเป็นจากการสัมผัส ELF-EMF ที่เกิดจากเตียงทำความอุ่น แต่ในการศึกษาลักษณะเดียวกัน ที่ทำต่อๆ มาโดยคณะของ Bracken (19) Shaw (20) และ Lee (21) ไม่มีการศึกษาใดพบความสัมพันธ์ทำนองนี้อีก

    การศึกษาผลความผิดปกติของบุตรที่พ่อทำงานใน power plant ซึ่งสัมผัส ELF-EMF ขนาดสูงในประเทศสวีเดนโดย Nordstrom (22) ในปี ค.ศ.1983 พบความผิดปกติที่มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ผู้ศึกษาให้ความเห็นว่าการศึกษายังมีข้อจำกัดเนื่องจากใช้ขนาดตัวอย่างเล็ก การทบทวนการศึกษาที่ทำในประชากรกลุ่มใหญ่ขึ้นต่อมาโดย Tornqvist (23) ในปี ค.ศ.1998 ไม่พบความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นทั้งในแง่ความผิดปกติและมะเร็งของบุตร และการศึกษาในกลุ่มผู้ทำงานใน power plant อีกการศึกษาหนึ่งโดย Knave (24) ในปี ค.ศ.1979 ไม่พบความผิดปกติทางร่างกายใดๆ ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงผลต่อการมีบุตรด้วย

    กล่าวโดยสรุปจากหลักฐานที่มีทั้งหมดในปัจจุบันนี้ เรายังไม่พบว่าการสัมผัส ELF-EMF ในระดับที่พบทั่วไปในสิ่งแวดล้อมและการทำงาน จะก่อให้เกิดผลผิดปกติใดๆ ในด้านการเจริญพันธุ์และความผิดปกติต่อบุตร (25, 26)

    ผลต่อระบบเลือด, ภูมิคุ้มกัน และต่อมไร้ท่อ

    การศึกษาผลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อนต่อระบบเลือดและระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งที่ทำในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลองมีหลายการศึกษา และใช้ตัวแปรต่างๆ กันในการประเมินผลต่อสุขภาพ (27) เช่น erythrocyte indices, differential WBC count, splenic lymphocyte subgroup analysis, lymphocyte proliferation, T-cell function, natural killer cell activity หรือ antibody cell activity แม้ว่าในบางการศึกษา (28, 29) จะพบตัวแปรทางระบบภูมิคุ้มกันในสัตว์ทดลองที่ผิดปกติไป แต่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้ ก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลทางกายภาพที่ชัดเจนใดๆ ในสัตว์ทดลอง จึงยังมีข้อจำกัดในการแปลผล และการคาดการณ์ผลที่จะเกิดในมนุษย์

    ส่วนการศึกษาทางระบาดวิทยาในมนุษย์นั้น การศึกษาในปี ค.ศ. 2001 โดย Nordenson (30) พบการเกิด chromosomal breaks ของเซลล์ lymphocyte ของคนทำงานขับรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ แต่การศึกษานี้ทำในกลุ่มตัวอย่างเพียง 18 รายและกลุ่มควบคุม 16 รายเท่านั้น และการศึกษาลักษณะคล้ายคลึงกันโดย Bauchinger (31) ในปี ค.ศ.1981 นั้น ไม่พบว่ามี structural chromosomal change หรือ SCE ของ lymphocyte ที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ

    มีความสนใจการศึกษาถึงผลการยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน melatonin เนื่องจากการสัมผัสสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อนขึ้น เนื่องจากเชื่อว่าฮอร์โมนตัวนี้มีฤทธิ์ oncostatic และ antioxidant ซึ่งการทำงานที่ลดลงของฮอร์โมนนี้อาจอธิบายกลไกการก่อมะเร็งโดย ELF-EMF ได้ การทดลองในหนูโดย Wilson (32, 33) พบการหลั่งของ melatonin ที่ลดลงในหนูที่สัมผัสสนามแม่เหล็กไฟฟ้า แต่ผลการทดลองที่เกิดขึ้นอาจถูกรบกวนได้จากหลายสาเหตุที่จะทำให้ปริมาณการหลั่ง melatonin ของ pineal gland เปลี่ยนแปลงไป การศึกษาความสัมพันธ์ของ melatonin metabolite คือ 6-hydroxymelatonin sulfate (6-OHMS) ในปัสสาวะของผู้ทำงานสัมผัสสนามแม่เหล็กไฟฟ้าโดย Burch (34-36) พบค่าที่ลดลงของ metabolite นี้ และการศึกษาในฟินแลนด์โดย Juutilainen (37) ในผู้หญิงที่ทำงานสัมผัส ELF-EMF เนื่องจากทำงานใกล้เครื่องทอผ้าในช่วงกลางคืนพบการลดลงของ 6-OHMS ในปัสสาวะเช่นกัน การศึกษาโดย Davis (38) ก็พบผลที่สอดคล้องกับการศึกษาอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามการศึกษาค่าของ 6-OHMS ในปัสสาวะนั้นเป็นเพียงการศึกษาระดับ metabolite ของ melatonin และมีผลกระทบได้จากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งระยะความยาวนานของกลางวัน อายุ ดัชนีมวลกาย การดื่มแอลกอฮอล์และการใช้ยาหลายชนิด เช่น beta-blocker, calcium channel blocker หรือ psychotropic drug

    โดยภาพรวมแล้ว ปัจจุบันนี้ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนใดที่บ่งชี้ว่า การสัมผัส ELF-EMF ในระดับที่พบในชีวิตประจำวันหรือการทำงานทั่วไป จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพในด้านระบบเลือด ระบบภูมิคุ้มกัน หรือระบบต่อมไร้ท่อที่ชัดเจน (27, 39)

    ผลต่อระบบประสาทพฤติกรรมศาสตร์

    เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า มนุษย์เราสามารถสัมผัสถึงสนามไฟฟ้าที่มีกำลังสูงพอได้ (39) ความรู้สึกถึง “ไฟช็อต” นี้เป็นความรู้สึกที่คนโดยทั่วไปไม่ชอบ ส่วนสนามแม่เหล็กยังไม่มีข้อมูลปรากฏแน่ชัดว่ามนุษย์สามารถรู้สึกถึงสนามพลังนี้ แต่สัตว์บางชนิดเช่นนกที่มีพฤติกรรมอพยพย้ายถิ่นนั้น มีข้อมูลว่าสามารถรับรู้และตอบสนองต่อสนามแม่เหล็กแบบ static ของโลกได้ (40) จากแนวคิดนี้อาจมีส่วนให้เชื่อได้ว่าสนามแม่เหล็กไฟฟ้าอาจมีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ จึงมีการทดลองหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้

    การทดลองดูการเปลี่ยนแปลงของ transmembrane calcium transport ในตัวอย่างเนื้อเยื่อระบบประสาทเมื่อได้รับสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (41) เป็นการทดลองเกี่ยวกับเรื่องนี้ในระยะแรก แม้ผลจะไม่แน่นอน แต่ก็เป็นหัวข้อหนึ่งในการถูกนำมาพิจารณาเพื่ออธิบายผลของ ELF-EMF ต่อระบบประสาท (42)

    สำหรับการศึกษาในมนุษย์นั้น เคยมีการศึกษาบางรายงาน (43, 44) พบความเปลี่ยนแปลงของ learning หรือ cognition ในคนงานที่สัมผัสกับ ELF-EMF และในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา ความสนใจในความสัมพันธ์ของ ELF-EMF กับการเกิดโรคเรื้อรังทางระบบประสาทโดยเฉพาะกลุ่ม neurodegenerative disorder คือ Alzheimer's disease (AD) และ amyotrophic lateral sclerosis (ALS) มีมากขึ้น จากการรวบรวมข้อมูลของคณะทำงานทั้ง National Institute of Environmental Health Sciences (NIEHS) working group (39) และ IARC (45) ให้ข้อสรุปออกมาคล้ายคลึงกันคือ ELF-EMF อาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคเรื้อรังทางประสาทได้ทั้ง AD และ ALS แม้การสรุปผลจะยังไม่ชัดเจนนักเนื่องจากจำนวนการศึกษาขณะนั้นยังมีน้อย การศึกษาซึ่งทำในช่วงหลังๆ จึงเริ่มมีการออกแบบการศึกษาที่ดีขึ้น และทำให้พบผลความสัมพันธ์ระหว่างการสัมผัส ELF-EMF กับการเกิด AD ที่ค่อนข้างชัดเจนขึ้น (46-48) ส่วนโรค ALS นั้นมีรายงานการศึกษาที่พบความสัมพันธ์กับการสัมผัสกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้ามากผิดปกติเช่นกัน (49-51) โดยเฉพาะผลการศึกษาจากสาเหตุการตายของผู้ทำงานในโรงผลิตไฟฟ้า

    ในกรณีของโรคทางระบบประสาทพฤติกรรมศาสตร์อื่นๆ แม้ว่าจะมีการศึกษาซึ่งพบว่าคนทำงานสัมผัสสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจะมีการฆ่าตัวตายมากกว่าปกติ และการศึกษาพบภาวะซึมเศร้าในประชากรที่บ้านอยู่ใกล้สายส่งไฟฟ้าแรงสูง (52) ก็ตาม แต่จำนวนข้อมูลที่มีในปัจจุบันก็ยังน้อยมากจนไม่สามารถจะสรุปผลใดๆ ได้

    กลุ่มอาการ Electromagnetic Hypersensitivity

    กลุ่มอาการไวต่อการรับสัมผัสสนามแม่เหล็กไฟฟ้าหรือ Electromagnetic Hypersensitivity (EHS) เป็นกลุ่มอาการที่ผู้ป่วยซึ่งรู้สึกว่าได้รับสัมผัสสนามแม่เหล็กไฟฟ้า จะมีอาการ (symptoms) ผิดปกติเกิดขึ้น เช่นปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ความรู้สึกที่ผิวหนังเช่น ชา คัน ปวดแสบปวดร้อน กลุ่มอาการนี้ถูกรายงานครั้งแรกที่ประเทศสวีเดน ในปี ค.ศ. 1999 (53) ซึ่งพบผู้มีความรู้สึกผิดปกติที่ผิวหนังเมื่อทำงานกับ VDT จากการสำรวจทางระบาดวิทยาในประเทศสวีเดนคาดว่า ผู้ที่มีกลุ่มอาการนี้น่าจะมีอยู่ราวๆ ร้อยละ 1.5 ของประชากร และมักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย (54) อย่างไรก็ดีเนื่องจากกลุ่มอาการนี้แม้จะมีอาการที่รุนแรงในผู้ป่วยบางราย แต่กลับไม่พบอาการผิดปกติทางร่างกายที่แพทย์ตรวจได้เลย ทำให้กลุ่มอาการนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มโรค functional somatic syndrome และยังไม่มีหลักฐานใดชี้ชัดว่ากลุ่มอาการ electromagnetic hypersensitivity นี้เกิดจากการสัมผัส ELF-EMF จริง มีการทดลองแบบสุ่มหลายการทดลองที่ทำกับผู้ที่มีกลุ่มอาการนี้ ซึ่งเชื่อว่าตนเองสามารถรับรู้ถึงสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อนได้มากกว่าคนทั่วไป แต่ผลการศึกษาส่วนใหญ่ก็พบว่าคนกลุ่มนี้มีความสามารถในการรับรู้ถึงสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อนไม่ต่างจากคนปกติ (55)

    สรุป

    ELF-EMF ซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบ non-ionizing radiation ชนิดหนึ่งนั้น เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนพบได้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่อาจจะได้รับสัมผัสมากน้อยแตกต่างกันไป นอกจากสนามแม่เหล็กโลก (static magnetic field) ซึ่งทุกคนจะต้องสัมผัส การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีของมนุษย์ก็ทำให้มนุษย์ต้องสัมผัส ELF-EMF จากอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มนุษย์สร้างมากขึ้นอีก จากการศึกษาข้อมูลผลต่อสุขภาพของ ELF-EMF ดูเหมือนว่าการสัมผัสสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดนี้จะไม่ก่อให้เกิดผลต่อสุขภาพแบบเฉียบพลันใดๆ ขึ้น แต่ความผิดปกติซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการสัมผัสในระยะยาวบางอย่างที่ได้จากการศึกษาทางระบาดวิทยานั้นแม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่สามารถสรุปได้แน่นอนแต่ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เช่นความสัมพันธ์ของการเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็กกับการอาศัยอยู่ในบ้านที่ใกล้สายส่งไฟฟ้าแรงสูง และการเกิดโรค AD หรือ ALS กับการสัมผัส ELF-EMF มากกว่าปกติ การศึกษาวิจัยที่จะมีเพิ่มขึ้นในอนาคตจะช่วยบอกความเสี่ยงของการสัมผัสสิ่งคุกคามชนิดนี้ได้มากขึ้น ซึ่งช่วยทำให้เราสามารถป้องกันสุขภาพของประชาชนไม่ให้เจ็บป่วยโดยสาเหตุที่ไม่ได้คาดคิดได้

    เอกสารอ้างอิง

    Cherry RJ. Radiation: ionizing. In: Stellman JM, ed. ILO encyclopaedia of occupational health and safety 4th ed. Geneva 1998.
    National Institute of Environmental Health Sciences. EMF: electric and magnetic fields associated with the use of electric power: questions and answers. NIH publication 02-4493. Research Triangle Park, NC 2002.
    National Institute for Occupational Safety and Health, National Institute of Environmental Health Sciences. Questions and answers: EMF in the workplace, DOE/GO-10095-218, DE95013123. U.S. Department of Energy, EMF RAPID Program, Washington, DC 1996.
    Wertheimer N, Leeper E. Electrical wiring configurations and childhood cancer. Am J Epidemiol. 1979 Mar;109(3):273-84.
    Savitz DA, Wachtel H, Barnes FA, John EM, Tvrdik JG. Case-control study of childhood cancer and exposure to 60-Hz magnetic fields. Am J Epidemiol. 1988 Jul;128(1):21-38.
    Linet MS, Hatch EE, Kleinerman RA, Robison LL, Kaune WT, Friedman DR, et al. Residential exposure to magnetic fields and acute lymphoblastic leukemia in children. N Engl J Med. 1997 Jul 3;337(1):1-7.
    Ahlbom A, Day N, Feychting M, Roman E, Skinner J, Dockerty J, et al. A pooled analysis of magnetic fields and childhood leukaemia. Br J Cancer. 2000 Sep;83(5):692-8.
    Kaune WT, Dovan T, Kavet RI, Savitz DA, Neutra RR. Study of high- and low-current-configuration homes from the 1988 Denver Childhood Cancer Study. Bioelectromagnetics. 2002 Apr;23(3):177-88.
    Mizoue T, Onoe Y, Moritake H, Okamura J, Sokejima S, Nitta H. Residential proximity to high-voltage power lines and risk of childhood hematological malignancies. J Epidemiol. 2004 Jul;14(4):118-23.
    Sahl JD, Kelsh MA, Greenland S. Cohort and nested case-control studies of hematopoietic cancers and brain cancer among electric utility workers. Epidemiology. 1993 Mar;4(2):104-14.
    Theriault G, Goldberg M, Miller AB, Armstrong B, Guenel P, Deadman J, et al. Cancer risks associated with occupational exposure to magnetic fields among electric utility workers in Ontario and Quebec, Canada, and France: 1970-1989. Am J Epidemiol. 1994 Mar 15;139(6):550-72.
    Savitz DA, Loomis DP. Magnetic field exposure in relation to leukemia and brain cancer mortality among electric utility workers. Am J Epidemiol. 1995 Jan 15;141(2):123-34.
    Miller AB, To T, Agnew DA, Wall C, Green LM. Leukemia following occupational exposure to 60-Hz electric and magnetic fields among Ontario electric utility workers. Am J Epidemiol. 1996 Jul 15;144(2):150-60.
    Berman E, Chacon L, House D, Koch BA, Koch WE, Leal J, et al. Development of chicken embryos in a pulsed magnetic field. Bioelectromagnetics. 1990;11(2):169-87.
    Schnorr TM, Grajewski BA, Hornung RW, Thun MJ, Egeland GM, Murray WE, et al. Video display terminals and the risk of spontaneous abortion. N Engl J Med. 1991 Mar 14;324(11):727-33.
    Grajewski B, Schnorr TM, Reefhuis J, Roeleveld N, Salvan A, Mueller CA, et al. Work with video display terminals and the risk of reduced birthweight and preterm birth. Am J Ind Med. 1997 Dec;32(6):681-8.
    Lindbohm ML, Hietanen M, Kyyronen P, Sallmen M, von Nandelstadh P, Taskinen H, et al. Magnetic fields of video display terminals and spontaneous abortion. Am J Epidemiol. 1992 Nov 1;136(9):1041-51.
    Wertheimer N, Leeper E. Possible effects of electric blankets and heated waterbeds on fetal development. Bioelectromagnetics. 1986;7(1):13-22.
    Bracken MB, Belanger K, Hellenbrand K, Dlugosz L, Holford TR, McSharry JE, et al. Exposure to electromagnetic fields during pregnancy with emphasis on electrically heated beds: association with birthweight and intrauterine growth retardation. Epidemiology. 1995 May;6(3):263-70.
    Shaw GM, Nelson V, Todoroff K, Wasserman CR, Neutra RR. Maternal periconceptional use of electric bed-heating devices and risk for neural tube defects and orofacial clefts. Teratology. 1999 Sep;60(3):124-9.
    Lee GM, Neutra RR, Hristova L, Yost M, Hiatt RA. The use of electric bed heaters and the risk of clinically recognized spontaneous abortion. Epidemiology. 2000 Jul;11(4):406-15.
    Nordstrom S, Birke E, Gustavsson L. Reproductive hazards among workers at high voltage substations. Bioelectromagnetics. 1983;4(1):91-101.
    Tornqvist S. Paternal work in the power industry: effects on children at delivery. J Occup Environ Med. 1998 Feb;40(2):111-7.
    Knave B, Gamberale F, Bergstrom S, Birke E, Iregren A, Kolmodin-Hedman B, et al. Long-term exposure to electric fields. A cross-sectional epidemiologic investigation of occupationally exposed workers in high-voltage substations. Scand J Work Environ Health. 1979 Jun;5(2):115-25.
    Brent RL. Reproductive and teratologic effects of low-frequency electromagnetic fields: a review of in vivo and in vitro studies using animal models. Teratology. 1999 Apr;59(4):261-86.
    Shaw GM. Adverse human reproductive outcomes and electromagnetic fields: a brief summary of the epidemiologic literature. Bioelectromagnetics. 2001;Suppl 5(18):S5-18.
    International Commission on Non-Ionizing Radiation Protection. Exposure to static and low frequency electromagnetic fields, biological effects and health consequences (0 โ € “100 kHz). Munich: International Commission on Non-Ionizing Radiation Protection; 2003.
    Tremblay L, Houde M, Mercier G, Gagnon J, Mandeville R. Differential modulation of natural and adaptive immunity in Fischer rats exposed for 6 weeks to 60 Hz linear sinusoidal continuous-wave magnetic fields. Bioelectromagnetics. 1996;17(5):373-83.
    House RV, McCormick DL. Modulation of natural killer cell function after exposure to 60 Hz magnetic fields: confirmation of the effect in mature B6C3F1 mice. Radiat Res. 2000 May;153(5 Pt 2):722-4.
    Nordenson I, Mild KH, Jarventaus H, Hirvonen A, Sandstrom M, Wilen J, et al. Chromosomal aberrations in peripheral lymphocytes of train engine drivers. Bioelectromagnetics. 2001 Jul;22(5):306-15.
    Bauchinger M, Hauf R, Schmid E, Dresp J. Analysis of structural chromosome changes and SCE after occupational long-term exposure to electric and magnetic fields from 380 kV-systems. Radiat Environ Biophys. 1981;19(4):235-8.
    Wilson BW, Anderson LE, Hilton DI, Phillips RD. Chronic exposure to 60-Hz electric fields: effects on pineal function in the rat. Bioelectromagnetics. 1981;2(4):371-80.
    Wilson BW, Chess EK, Anderson LE. 60-Hz electric-field effects on pineal melatonin rhythms: time course for onset and recovery. Bioelectromagnetics. 1986;7(2):239-42.
    Burch JB, Reif JS, Yost MG, Keefe TJ, Pitrat CA. Nocturnal excretion of a urinary melatonin metabolite among electric utility workers. Scand J Work Environ Health. 1998 Jun;24(3):183-9.
    Burch JB, Reif JS, Yost MG, Keefe TJ, Pitrat CA. Reduced excretion of a melatonin metabolite in workers exposed to 60 Hz magnetic fields. Am J Epidemiol. 1999 Jul 1;150(1):27-36.
    Burch JB, Reif JS, Noonan CW, Yost MG. Melatonin metabolite levels in workers exposed to 60-Hz magnetic fields: work in substations and with 3-phase conductors. J Occup Environ Med. 2000 Feb;42(2):136-42.
    Juutilainen J, Stevens RG, Anderson LE, Hansen NH, Kilpelainen M, Kumlin T, et al. Nocturnal 6-hydroxymelatonin sulfate excretion in female workers exposed to magnetic fields. J Pineal Res. 2000 Mar;28(2):97-104.
    Davis S, Kaune WT, Mirick DK, Chen C, Stevens RG. Residential magnetic fields, light-at-night, and nocturnal urinary 6-sulfatoxymelatonin concentration in women. Am J Epidemiol. 2001 Oct 1;154(7):591-600.
    National Institute of Environmental Health Sciences Working Group. Assessment of health effects from exposure to power-line frequency electric and magnetic fields, NIH publication no. 98-3981. Research Triangle Park: National Institute of Environmental Health Sciences, U.S. National Institutes of Health, 1998.
    Semm P. The magnetic detection system of the pigeon: involvement of pineal and retinal photoreceptors and the vestibular system. Prog Clin Biol Res. 1988;257:47-61.
    Bawin SM, Adey WR. Sensitivity of calcium binding in cerebral tissue to weak environmental electric fields oscillating at low frequency. Proc Natl Acad Sci U S A. 1976 Jun;73(6):1999-2003.
    Adey WR. Biological effects of electromagnetic fields. J Cell Biochem. 1993 Apr;51(4):410-6.
    Broadbent DE, Broadbent MH, Male JC, Jones MR. Health of workers exposed to electric fields. Br J Ind Med. 1985 Feb;42(2):75-84.
    Baroncelli P, Battisti S, Checcucci A, Comba P, Grandolfo M, Serio A, et al. A health examination of railway high-voltage substation workers exposed to ELF electromagnetic fields. Am J Ind Med. 1986;10(1):45-55.
    International Agency for Research on Cancer. Nonionizing Radiation, Part 1: Static and Extremely Low-Frequency (ELF) Electric and Magnetic Fields. Lyon, France: IARC Press 2002.
    Feychting M, Jonsson F, Pedersen NL, Ahlbom A. Occupational magnetic field exposure and neurodegenerative disease. Epidemiology. 2003 Jul;14(4):413-9; discussion 27-8.
    Qiu C, Fratiglioni L, Karp A, Winblad B, Bellander T. Occupational exposure to electromagnetic fields and risk of Alzheimer's disease. Epidemiology. 2004 Nov;15(6):687-94.
    Davanipour Z, Tseng CC, Lee PJ, Sobel E. A case-control study of occupational magnetic field exposure and Alzheimer's disease: results from the California Alzheimer's Disease Diagnosis and Treatment Centers. BMC Neurol. 2007;7(13):13.
    Johansen C, Olsen JH. Mortality from amyotrophic lateral sclerosis, other chronic disorders, and electric shocks among utility workers. Am J Epidemiol. 1998 Aug 15;148(4):362-8.
    Johansen C. Exposure to electromagnetic fields and risk of central nervous system disease in utility workers. Epidemiology. 2000 Sep;11(5):539-43.
    Park RM, Schulte PA, Bowman JD, Walker JT, Bondy SC, Yost MG, et al. Potential occupational risks for neurodegenerative diseases. Am J Ind Med. 2005 Jul;48(1):63-77.
    Ahlbom A. Neurodegenerative diseases, suicide and depressive symptoms in relation to EMF. Bioelectromagnetics. 2001;Suppl 5(43):S132-43.
    Hillert L, Hedman BK, Soderman E, Arnetz BB. Hypersensitivity to electricity: working definition and additional characterization of the syndrome. J Psychosom Res. 1999 Nov;47(5):429-38.
    Hillert L, Berglind N, Arnetz BB, Bellander T. Prevalence of self-reported hypersensitivity to electric or magnetic fields in a population-based questionnaire survey. Scand J Work Environ Health. 2002 Feb;28(1):33-41.
    Rubin GJ, Das Munshi J, Wessely S. Electromagnetic hypersensitivity: a systematic review of provocation studies. Psychosom Med. 2005 Mar-Apr;67(2):224-32.
    มูลนิธิสัมมาอาชีวะ พ.ศ. 2554 ไม่สงวนลิขสิทธิ์

    ผลต่อสุขภาพจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังอ่อน - บทความโดยมูลนิธิสัมมาอาชีวะ
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อันตรายจากคลี่นวิทยุ
    โดย นพ.ทวีทอง กออนันตกูล HS1CCU * พญ.พงษ์ลดา สุพรรณชาติ HS1JPC ** จิระยุทธ์ รัตนศิริพรหม HS1 *** สมชาย ผิวรุ่งสุวรรณ HS1WLM ****

    กระทรวงสาธารณสุขเป็นกระทรวงหนึ่งที่ได้รับจัดสรรความถี่วิทยุจากกรมไปรษณีย์โทรเลขให้นำมาใช้งาน ที่ผ่านมาได้มีการนำมาใช้งานกันพอสมควร ซึ่งในช่วงระยะเวลา4 - 5 ปี ที่ผ่านมา มีการใช้เครื่องวิทยุรับส่งกันมากขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลนื่องจากตลาดการค้าวิทยุรับ - ส่งในบ้านเราจึงเริ่มเปิดตัว และ ขยายวงออกกว้าง(เริ่มมีวิทยุสมัครเล่นในบ้านเรา) และ ส่วนหนึ่งเนื่องจากการที่กรมไปรษณีย์โทรเลขใด้เปิดโอกาสให้นำเครื่องวิทยุรับ - ส่งที่ไม่ถูกกฎหมายมาจดทะเบียนให้ถูกกฏหมาย

    คลื่นวิทยุที่ส่งออกมาจากเครื่องวิทยุรับ - ส่ง เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง(Electromagnetic Waves) เช่นเดียวกับคลื่นเสียง คลื่นแสง รังสีเอกซ์ และ อื่นๆ แต่มีความแตกต่างกันตรงความยาวของคลื่น (Wavelength) หรือ ความถี่ของคลื่น(Frequency) (ตารางที่ 1 ) คุณสมบัติทางฟิสิคส์ และ คุณสมบัติ อื่นๆซึ่งมีรายละเอียดค่อนข้างมากซึ่งไม่สามารถนำมากล่าวใด้ทั้งหมด และ อาจมีคุณสมบัติอีกหลายอย่างที่ยังไม่ทราบมาก่อน

    คลื่นวิทยุเป็นคลื่นที่ประกอบด้วยเส้นแรงสนามแม่เหล็ก และ เส้นแรงสนามไฟฟ้าที่ เกิดจากพลังงานกระแสสลับที่มีความถี่สูงนับตั้งแต่ 10,000 เฮิรทซ์(10 KHz) จนถึง 3,000,000,000 เฮิรทซ์(3000 MHz) คลื่นเหล่านี้มีความสามารถที่จะแผ่กระจายออกไปในอากาศได้ด้วยความเร็วประมาณ 300ล้านเมตรต่อวินาที (คุณสมบัติเหมือนกับคลื่นแสง)

    ในบรรดาคลื่นวิทยุทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้น เขายังแบ่งย่อยๆออกเป็นช่วงๆตามความถี่ และ คุณสมบัติเฉพาะกลุ่ม เช่น คลื่นวิทยุความถี่สูง (HF) คลื่นวิทยุความถี่สูงมาก(VHF) คลื่นวิทยุความถี่สูงยิ่ง(UHF) และ ฯลฯ. (ตารางที่ 2) คลื่นวิทยุแต่ละช่วงความถี่จะมีคุณสมบัติด้านต่างๆแตกต่างกันไป ซึ่งในบทความนี้จะเน้นเฉพาะส่วนที่มีผลต่อร่างกาย และ การดำรงชีวิต ของมนุษย์เท่านั้น

    ตารางที่ 1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (ดัดแปลงจาก "การถ่ายภาพโดยการใชพลังแม่เหล็ก MRI" ศจ. นพ.กวี ทังสุบุตร วารสารรังสีวิทยาสาร ปีที่ 24 เล่ม 2 เมษายน 2530)(1)

    ชนิดของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ความถี่ (HERTZ)

    1. ความถี่เสียง และ คลื่นเหนือเสียง Audio and Ultrasonic 20 ถึง 2x104

    2. คลื่นวิทยุ Radio Freqeuncy 104 ถึง 3x1012

    3. อินฟราเรด nfrared 3x1012 ถึง 4.3x1014

    4. แสงธรรมดา Visible Light 4.3x1014 ถึง 7.5x1014

    5. อุลตราไวโอเลต Ultraviolet 7.5x1014 ถึง 30x1016

    6. รังสีเอกซ์ และ รังสีแกมมา X - ray & Gamma ray 3x1016 ถึง 3x1018

    7. รังสีเอกซ์ และ รังสีแกมมา X - ray & Gamma ray 3x1018 ถึง 3x1021

    ใช้ในทางการแพทย์

    ตารางที่ 2. คลื่นวิทยุย่านต่างๆ แบ่งตามความถี่ และ คุณสมบัติเฉพาะ (2)

    ชนิดของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ความถี่ (HERTZ)

    1. ความถี่ต่ำมาก Very Low Freq 10 - 30 KHz.

    2. ความถี่ต่ำ Low Freq 30 - 300 KHz.

    3. ความถี่ปานกลาง Median Freq 300 - 3000 KHz.

    4. ความถี่สูง High Freq 3 - 30 MHz.

    5. ความถี่สูงมาก Very High Freq 30 - 300 MHz.

    6. ความถี่สูงยิ่ง Ultra High Freq 300 - 3000 MHz.

    7. ความถี่สูงพิเศษ Super High Freq 3 - 30 GHz.

    8. ความถี่สูงพิเศษยิ่ง Extra High Freq 30 - 300 GHz.

    9. (ยังไม่มีชื่อ) 300 - 3000 GHz.

    (กระทรวงสาธารณสุขใช้ความถี่ย่าน ความถี่สูง(HF)สำหรับการติดต่อระยะไกล และ ใช้ความถี่สูงมาก(VHF)สำหรับการติดต่อในระยะใกล้)

    เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าย่าน อุลตราไวโอเลต เอกซ์เรย์ และ แกมมาเรย์ นั้นมีอันตรายต่อมนุษย์ เช่นเดียวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าย่านไมโครเวฟที่เคยมีรายงานว่าทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ที่ปฏิบัติงาน หรือ ผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ(Cardiac Pacemaker)( ) และ เชื่อกันว่าคลื่นวิทยุย่านที่ต่ำกว่าไมโครเวฟค่อนข้างปลอดภัยต่อมนุษย์ จนกระทั่งในระยะ 10 ปีที่ผ่านมานี้เริ่มมีการสงสัยว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายได้แต่ไม่สามารถหาหนทางพิสูจน์ให้ได้แน่ชัดได้ และ ในระยะหลังๆมีผลการศึกษาจากผู้เขี่ยวชาญสาขาต่างๆ โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญสาขาชีวะวิทยาทางการแพทย์(Bio - Medical Expert)ให้ผลสรุปว่าสามารถทำให้เกิดอันตรายได้แม้กระทั่งจากย่านความถี่ต่ำรวมถึง60 Hertz Power Line.ด้วย

    ผู้ที่ใช้เครื่องส่งวิทยุทุกท่านควรจะทราบว่า คลื่นวิทยุที่ออกมาจากเครื่องส่งนั้นอาจทำอันตรายต่อผู้ใช้เครื่อง และ ผู้ใกล้ชิดได้ ดังนั้นหากไม่ได้ศึกษา หรือ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องอันตรายของคลื่นวิทยุมาก่อน ท่าน และ ผู้ใกล้ชิดท่านอาจจะเป็นผู้ที่โชคร้ายได้รับอันตรายจากคลื่นวิทยุที่ออกมาเนื่องจากรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งบางครั้งเกิดขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวกว่าจะรู้ก็สายเกินแก้เสียแล้ว ทั้งนี้เพราะอันตรายที่เกิดจากคลื่นวิทยุมี สองประเภท คือ อันตรายที่เรารู้สึกได้โดยทันที ได้แก่ ความร้อน ไฟฟ้าดูด ไฟใหม้ ปวดศีรษะ ความเครียด เป็นต้น ส่วนอันตรายที่เกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัวได้แก่ การรบกวนระบบการทำงานของร่างกายส่วนที่ไม่มีประสาทบอกความรู้สึก หรือ การรบกวนที่ละเล็กน้อยเกิดความผิดปกติขึ้นอย่างช้าๆ สะสมมากขึ้นทีละน้อยๆ ค่อยเป็นค่อยไปกว่าจะรูสึกตัวก็เป็นมากแล้ว เช่น เลนซ์แก้วตาขุ่นมัว(เรียกว่า ต้อกระจก หรือ Cataract) ประสาทตาถูกทำลาย(Retinal Damage) ระบบการทำงานของเซลต่างๆของมนุษย์ถูกรบกวน มะเร็งเม็ดโลหิตขาว(Leukemia) และ มะเร็งของสมอง(Brain Tumor) รวมถึงอันตรายที่ยังไม่ทราบ หรือ ยังไม่ปรากฎ เป็นต้น รายละเอียดของเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างไร มีความน่าเชื่อถือ หรือ ความเป็นไปได้เพียงไร แหล่งที่มาของข้อมูลน่าเชื่อถือ หรือ ไม่ จะหลีกเลี่ยงอันตรายเหล่านี้ได้อย่างไร กรุณาติดตามบทความนี้ต่อไป และ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถติดตามไปถึงต้นตอของเอกสารอันจะทำให้ได้ความรู้เพิ่มเติม เพื่อจะให้ข้อมูลที่จะทำห้บทความนี้สมบูรณ์มากขึ้น ผู้เขียนได้ให้รายละเอียดของเอกสารอ้างอิงทั้งหมดใว้ในตอนท้ายของบทความนี้

    พลังงานจากคลื่นวิทยุจะมีผลต่อร่างกายมนุษย์อย่างไร ก่อให้เกิดผลเสียมากน้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับความแรงของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันนั้นที่จุดสัมผัส(ขนาดของพลังงานที่แพร่ออกมา และ ระยะห่างจากแหล่งพลังงาน) ความถี่ หรือ ความยาวคลื่นของคลื่นวิทยุ และ อวัยวะส่วนที่ได้รับพลังงานนั้น(แต่ละอวัยวะอาจมีผลไม่เหมือนกัน) ปัญหาที่ผู้ใช้เครื่องวิทยุรับ - ส่งจะต้องเผชิญ ได้แก่ การใช้เครื่องวิทยุรับ ส่ง ลักษณะการใช้งานแบบใช้ครั้งละนานๆ พลังงานที่ได้รับจากเครื่องส่งจะมาก หรือ น้อยเพียงไร จะมีผลต่อร่างกายอย่างไรยากที่จะชี้ชัดให้เห็น ผู้เขียนลองเปรียบเทียบกับพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าย่านต่างๆ กับการรบกวนที่ปรากฏ เพื่อใช้เป็นแนวคิดเชิงเปรียบเทียบ

    คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ พลังงาน ผลที่ปรากฏเชิงเปรียบเทียบ

    1. หลอดไฟฟ้าชนิดจุดใส้ ขนาด 5 วัตต์ วางไว้ - ความร้อนที่บริเวณหน้า แสงสว่างที่รบกวนตา

    ที่ตำแหน่งหน้าผาก เหนือตา(เปรียบเทียบกับ -

    การใช้วิทยุมือถือ)

    2. วิทยุเปิดเสียงดัง 5 วัตต์ วางไว้ใกล้ๆ เสียงดังรบกวน ไม่สบายหู

    (เปรียบเทียบขนาดพลังงานที่ออกมาเป็นเสียง)

    3. ครื่องกายภาพบำบัดชนิดUltrasound ความร้อนบริเวณที่สัมผัส และ ส่วนที่ลึกลงไป

    ขนาด 20 วัตต์( MHz.)(3)

    4. เครื่องจี้เนื้อสำหรับผ่าตัด 5 วัตต์ ผิวหนังแยกออกเป็นแผลเหมือนกับการใช้มีด

    (RF Energy 400 KHz.)(4)

    5. เครื่องกายภาพบำบัดชนิดคลื่นสั้น ความร้อนบริเวณที่สัมผัส และ ส่วนที่ลึกลงไป

    (RF Energy MHz.)(3) CPUของวิทยุมือถือ02Nเสีย(เกิดขึ้น2ครั้ง)(3)

    6. พูดวิทยุมือถือ 144MHz. 5 Watt ร้อนบริเวณหน้า ปวดศีรษะ ตามัว(7,11)

    นาน10นาที

    7. การแผ่กระจายคลื่นไมโครเวฟ อัตราการเต้นของหัวใจอ่อนลง (7)

    (ไม่บอกรายละเอียด) ตามัวเลนซ์ตาขุ่น ประสาทตาถูกทำลาย(6)

    รบกวนการทำงานของเครื่องกระตุ้นหัวใจ( )

    8. เตาอบไมโครเวพ น้ำเดือด ไก่สุก ฯลฯ.

    9. แสงแดด ผิวหนังร้อน ทำปฏิกิริยากับเกลือเงิน(ใช้ในการถ่าย ภาพ)

    10. แสงอุลตราไวโอเลต ทำลายประสาทตา ทำให้เชื้อโรคตาย

    ลบหน่วยความจำถาวรชนิดEPROM

    11. รังสีเอกซ์ ทะลุทะลวงเนื้อเยื่อไปทำปฏิกิริยากับเกลือเงินได้

    (ใช้ในการถ่ายภาพเอกซ์เรย์)

    ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครโมโซม

    จากตัวอย่างที่ยกมาเทียบเคียงคงจะทำให้ท่านผู้อ่านพอที่จะคาดคะเนได้ว่า พลังงานจากคลื่นวิทยุที่ออกมานั้นน่าจะมีอันตรายมากน้อยเพียงไร โดยความเห็นของผู้เขียนเชื่อแน่ว่ามีผลต่อร่างกายแน่นอน และ ควรพยายามหลีกเลี่ยงการใช้คลื่นวิทยุที่ไม่จำเป็น

    ผลของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าย่านคลื่นวิทยุต่อร่างกายมนุษย์ที่เป็นที่รู้กันดีโดยทั่วไปมานานแล้วคือ ผลของพลังงานที่ทำให้เกิดความร้อน(เช่นเดียวกับคุณสมบัติของคลื่นอินฟราเรด คลื่นแสง เมื่อมนุษย์ได้รับพลังงานจากคลื่นวิทยุจากเครื่องวิทยุมือถือ หรือ ได้รับจากการแผ่กระจายออกมานอกสายนำสัญญาณโดยที่เราไม่รู้ตัว หรือ ได้รับออกมาจากตัวเครื่องวิทยุเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องวิทยุที่ไม่ได้ปิดฝาขณะทำการซ่อม หรือ ปรับแต่ง หรือ ได้รับจากการแพร่กระจายออกมาจากเสาอากาศที่ติดตั้งภายนอกโดยการเข้าไปใกล้ๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสาอากาศที่มีอัตราการขยายสูงๆ จะทำให้อวัยวะของร่างกายเกิดความร้อนขึ้นได้

    เคยมีรายงานการใช้คลื่นวิทยุความถี่ 27 MHz. ทำให้เกิดความร้อนต่อ์ส่วนที่เป็นมะเร็ง ควบคุมความร้อนที่เกิดขึ้นใว้ไม่ให้เกิน 50 องศา เซลมะเร็งจะคายความร้อนได้ช้ากว่าเซลปกติที่ไม่เป็นมะเร็ง ทำให้เซลมะเร็งตาย(x1) ่วิธีการดังกล่าวเป็นเพียงการศึกษาซึ่งในเวลาต่อมาไม่พบมีรายงานการใช้วิธีนี้ในการรักษามะเร็งอีกจนถึงปัจจุบัน

    การที่คลื่นวิทยุทำให้เกิดความร้อนที่ร่างกาย อวัยวะที่ควรระวังอย่างยิ่งก็คือเลนซ์แก้วตาของตวงตาซึ่งมีลักษณะเป็นโปรตีนคล้ายไข่ขาว หากได้รับความร้อนเป็นปริมาณมากก็จะกลายเป็นไข่ขาวสุกที่มีความขุ่นไม่อ่อนตัว หากได้รับความร้อนเป็นปริมาณไม่มากแต่เป็นเวลานานก็จะเกิดผลคล้ายๆกัน แต่จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ใช้เวลาหลายๆเดือน ซึ่งยากที่จะสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน เช่น อาจสังเกตพบว่าความสามารถในการมองในที่สลัวๆด้อยลงเรื่อยๆ การที่เลนซ์แก้วตาของตวงตาขุ่น มัว เรียกว่า ต้อกระจก(Cataract)

    ในสมัยก่อนมีการกำหนดมาตราฐานกันว่า ขนาดพลังงานที่มนุษย์สามารถรับได้โดยไม่เกิดอันตรายคือ 10 mW/Cm2 เป็นเวลาติดต่อกันนาน 6 นาที่ แต่ในสมัยต่อมา American National Standards Institute (ANSI) ได้ออกรายงานมาตราฐานเกี่ยวกับExposure Standardใหม่ โดยค่าที่จำกัดจะไม่เท่ากันในแต่ละย่านความถี่ โดยยังคงใช้เวลาexposeนาน 6 นาทีเหมือนมาตราฐานเก่า (กราฟรูปที่ 1)

    จากข้อมูลที่นำเสนอใหม่ของ ANSI บ่งบอกว่าคลื่นย่านVHF และ UHF มีผลต่อร่างกายมากกว่าที่ความเข้มของพลังงานเท่ากัน เหตุผลที่แน่นอนไม่ได้รายงานใว้เข้าใจว่าจะคล้ายกับเรื่องเรโซแนนท์ของสายอากาศ ซึ่งทำให้เชื่อว่าความยาวของร่างกายมนุษย์(ความสูง)ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับความมากน้อยในการที่จะรับพลังงานจากคลื่นวิทยุความถี่เดียวกัน กล่าวคือในสิ่งแวดล้อมที่มีคลื่นวิทยุอันเดียวกันคนที่มีความสูงขนาดหนึ่งจะสามารถรับพลังงานจากคลื่นวิทยุเข้าไปได้ไม่เท่ากับคนที่มีความสูงอีกขนาดหนึ่ง(5,7) ข้อแตกต่างจะมีตรงที่ว่าความยาวที่จะสามารถรับคลื่นวิทยุได้ดีได้มากที่สุดคือความยาวเท่ากับ 0.4 แลมดาของคลื่นวิทยุนั้น ซึ่งในย่านความถี่ของกระทรวงสาธารณสุขเรา ความยาวนี้จะเท่ากับ 77.4 ซม.(ใกล้เคียงกับความสูงของเด็ก) ดังนั้นจึงควรที่จะห้ามเด็กๆไปอยู่ใกล้กับเครื่องวิทยุ เสาอากาศ และ สายนำสัญญาณ สำหรับความถี่ที่พอดีกับคนที่มีความสูง175ซม.คือความถี่ 68 MHz.ซึ่งเป็นความถี่ย่านVHFเช่นกัน

    ข้อมูลมาตราฐานของANSIยังไม่เป็นที่ยอมรับกันสำหรับนักวิชาการบางกลุ่มเพราะเห็นว่าเป็นการกำหนดที่สูงเกินไปเนื่องจากเป็นการศึกษาเรื่องผลของการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งความจริงแล้วจากการศึกษาที่ลงลึกไปพบว่าผลต่อเนื้อเยื่ออันเนื่องมาจากคลื่นวิทยุไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่สมารถตรวจวัดได้แต่เพียงอย่างเดียว(7) ซึ่งจะเห็นได้จากการกำหนดมาตราฐานของAustralia, Sweden และ ในบางรัฐของอเมริกาซึ่งให้ค่ามาตราฐานของระดับความปลอดภัย ต่ำกว่าที่ANSIกำหนดใว้

    ในระยะหลังๆได้มีการศึกษาผลของคลื่นวิทยุต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในระดับที่มากไปกว่าการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ได้แก่ การศึกษาการเปลี่ยนแปลงในระดับเซลของร่างกาย** ศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงสารเคมีในร่างกาย และ ศึกษาถึงระดับโมเลกุล อะตอม เท่าที่ค้นคว้ามาได้มีรายละเอียดเบื้องต้นดังนี้

    ผลของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีต่อประจุของอะตอม และ โมเลกุล มี 2 แบบ

    1. Ionizing Radiation

    2. Non Ionizing Radiation

    ผลแบบIonizing Radiation คือ การที่พลังงานที่แผ่กระจายออกมามีความสามารถในการที่จะขับอีเลคตรอน ให้หลุดออกไปจากอะตอม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับเซลของสิ่งมีชีวิตจะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตนั้น เพราะเป็นการรบกวนสิ่งที่ประกอบกันเป็นส่วนประกอบของเซล เช่น หากมีการรบกวนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโปรตีนในเซลที่ประกอบกันเป็นDNA จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรม(เปลี่ยนพันธ์ไป ไม่เหมือนลักษณะของเซลเดิม) คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำให้เกิดผลเช่นนี้ได้แก่ คลื่นที่มีความยาวคลื่นสั้นมาก ความถี่สูง และ มีHigh Energy Level ได้แก่ เอกซ์เรย์ แกมมมาเรย์ เป้นต้น

    ผลของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบNon Ionizing Radiation คือ ผลของพลังงานที่ไม่สามารถทำให้อะ ตอมแตกตัวได้ การแพร่กระจายเช่นนี้ไม่มีผลต่ออะตอม หรือ โมเลกุลใหญ่ แต่จะมีผลต่อการทำงานของระดับเซลของสิ่งที่มีชีวิต เช่น ไปรบกวน เปลี่ยนแปลงระบบฮอร์โมน ระบบเอนซัย์ม และ ระบบควบคุมการประสานงาน ระหว่าง เซลของสิ่งมีชีวิต คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำให้เกิดผลเช่นนี้ได้แก่คลื่นที่มีความยาวคลื่นมากกว่า มีความถี่น้อยกว่า และ มีLower Energy Level เช่น คลื่นวิทยุ รังสีอินฟราเรด เป็นต้น

    Adey 1981(8) ศึกษาผลของ Non Ionizing Radiation จากสนามคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดในคน พบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดังกล่าวมีผลต่อเซลของร่างกายโดยไปรบกวนการทำงานของเซล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการประสานงานการทำงาน ระหว่าง เซล ทำให้มีผลต่อร่างกาย แต่อาจจะไม่สามารถรู้สึกได้ว่าได้เริ่มเกิดอันตรายขึ้นแล้ว นอกจากนี้เขายังได้ศึกษาเพิ่มเติมโดยทำการเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นเนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดที่ไม่ได้Modulate(เปรียง่ายๆเหมือนกับการส่งวิทยุที่ไม่มีเสียงพูด หรือ เท่ากับ การส่งCarrier) กับ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ถูกModulateมาแล้ว(เปรียบเหมือนกับการส่งวิทยุที่มีเสียงพูด) ผลการศึกษาพบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ถูกModulateมาแล้วจะสามารถรบกวนการทำงานของเซลได้มากกว่า

    ในปีคศ.1988 Adey(12) รายงานผลของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดน้อยๆกับผลการรบกวนการทำงานของเซลที่เกี่ยวข้องกับแคลเซียม และ สารประกอบที่มีแคลเซียมในร่างกาย พบว่าการเคลื่อนย้ายแคลเซียม และ สารประกอบผ่านเข้าไปในเซล หรือ ออกมาจากเซลเปลี่ยนแปลงไปจากสภาวะปกติ และ การเปลี่ยนแปลงนี้มีความแตกต่างไปตามความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ความถี่ย่านVHF และ UHF ที่มีความถี่Carrier 147MHz. และ 450MHz. เมื่อถูกModulateด้วยความถี่ย่านELF ความถี่ 16Hz. 40Hz. 60Hz. จะมีผลต่อชีวะวิทยาของเซลอย่างมีนัยสำคัญ(13)

    Lyle 1983(14) 1988(15) ค้นพบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทำให้มีการรบกวนต่อระบบภูมิคุ้มกันภัยของร่างกายทำให้ระบบป้องกันภัยของร่างกายทำงานลดน้อยลง โดยไปรบกวนการทำงานของเซลเม็ดเลือดขาวในร่างกาย เซลเม็ดเลือดขาวนี้เรียกว่า T - Lymphocyte ซึ่งเป็นเซลที่ทำหน้าที่ต่อต้านสิ่งแปลกปลอม และ กำจัดเซลมะเร็ง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับงานนี้เป็น High Voltage Power Field และ Weak Microwave Field ซึ่งถูกModulateด้วยคลื่น60Hz. แบบAM

    ผลของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในแง่ของการทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ได้ข้อมูลพอสรุปได้ดังต่อไปนี้

    ในปีคศ.1979 Wertheimer(16) รายงานการตายของเด็กเนื่องจากมะเร็งบางชนิด สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่เป็นไฟฟ้าสลับ60Hz.ที่มีกระแสไฟปริมาณมากผ่าน และ อีกสามปีต่อมาเขาได้รายงานผู้ป่วยแบบเดียวกันแต่เป็นในผู้ใหญ่ และ ในปีคศ.1988 Salviz(17) ก็มีรายงานคล้ายกันเพื่อสนับสนุนในเรื่องนี้

    Milham 1982 และ Wright 1982 รายงานในวารสารการแพทย์ที่มีชื่อเสียงในประเทศอังกฤษที่ชื่อว่า New England Journal Medicine(9) และ Lancet(10) กล่าวถึงการพบมะเร็งเม็ดเลือดขาว(Leukemia)มากในผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับ Magnetic และ Electric Field และ ในเวลาต่อมามีข้อมูลเพิ่มเติมจาก Mc Dowell 1983(18) และ Coleman 1983(19) ซึ่งลงในวารสารการแพทย์ Lancet ได้ข้อสรุปว่าพวกที่ทำงานเกี่ยวกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้ามีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวสูงกว่า ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นผลมาจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า

    จากรายงานของคุณหมอShulman(6) ซึ่งลงตีพิมพ์ในวารสารQST ีรายงานผู้ป่วยที่ได้รับคลื่นวิทยุจนทำให้เลนซ์ตาขุ่น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ในระยะแรกจะสังเกตได้ยาก อาจจะพบแต่เพียงว่าต้องใช้แสงสว่างในการอ่านหนังสือ หรือ ทำงานมากขึ้นกว่าเดิม ระยะต่อมาอาจเริ่มสังเกตพบว่าตามัวคล้ายหมอกจางๆในบางครั้ง ระยะต่อมาอาจเริ่มสังเกตเห็นความขุ่นปรากฏที่เลนซ์แก้วตา(Cataract) ระยะต่อมาความฝ้ามัวมากขึ้นๆจนรบกวนการมองเห็นตามปกติ ในทางการแพทย์หากเลนซ์ขุ่นมากแล้วจักษุแพทย์จะควักเอาเลนซ์อันนั้นออกมา เพราะหากปล่อยเนิ่นนานไปจะมีผลให้ประสาทตาข้างนั้นเสื่อมสภาพไป ที่ร้ายไปกว่านี้คุณหมอยังมีรายงานรายที่เป็นอันตรายต่อดวงตาขั้นรุนแรง กล่าวคือ พลังงานจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้สามารถทำให้ประสามรับภาพในลูกตาเสียได้ ผลก็คือไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีก ซึ่งเรื่องนี้เป็นผลจากคลื่นวิทยุย่านไมโครเวฟกำลังสูง มีผู้ทำการศึกษาการดูดซับพลังงานของอวัยวะต่างๆในผู้ที่ใช้เครื่องวิทยุมือถือ กำลังส่ง 1 วัตต์ ใช้เสาอากาศชนิดเสาชักขนาดครึ่งความยาวคลื่น(1/2 แลมดา) เทียบกับเสาอา กาศขนาด 5/8 แลมดา ผลปรากฏว่าหากใช้เสาอากาศชนิด1/2แลมดาจุดที่รับพลังงานมากทีสุดที่เรียกว่าจุดHot Spotจะอยู่ที่ตำแหน่งของดวงตา และ หากใช้เสาอากาศชนิด5/8แลมดา จุดนี้จะอยู่ที่สมอง และ หน้าผาก (การทดลองนี้ใช้เครื่องเซลลูล่า 800 MHz.)(6) นอกจากนี้ในรายงานนี้ยังกล่าวถึงรายงานผู้ป่วยที่แท้งบุตรซึ่งสงสัยว่าจะเป็นผลจากการใช้ผ้าห่มไฟฟ้า(Electric Blanket) และ รายงานผู้ป่วย 2 รายที่เป็นมะเร็งของสมอง(Brain Tumor) ที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับคลื่นวิทยุย่านไมโครเวฟ จากรายงานดังกล่าวนี้จะเห็นได้ว่าคลื่นวิทยุย่านไมโครเวฟก่อปัญหาไม่น้อย แม่บ้านสมัยใหม่ในยุคนี้จำนวนมากนิยมใช้เครื่องเตาอบไมโครเวฟช่วยงานสารพัดอย่าง นับตั้งแต่การปรุงอาหาร ทำขนม อุ่นอาหาร ทำน้ำให้เดือด อุ่นขวดนมให้ลูก ฯลฯ. หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่ใช้เครื่องดังกล่าวก็ควรที่จะระวังอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวท่าน นับตั้งแต่การเลือกหาซื้อเครื่อง ควรจะซื้อเครื่องที่มีระบบป้องกันความปลอดภัยสูง เช่น มีคลื่นวิทยุออกมาภาย นอกน้อย โดยเฉพาะทางด้านหน้าของเครื่อง หากไม่มั่นใจว่าได้มีการตรวจคุ้มครองผู้บริโภคแล้ว ก็ควรเลือกซื้อเครื่องที่มียี่ห้อที่เชื่อถือได้เอาไว้ก่อน การใช้เครื่องก็ควรใช้อย่างระมัดระวังเมื่อเครื่องชำรุดก็ควรให้ช่างที่มีความรู้ชำนาญในด้านนี้ซ่อม ฯลฯ.

    เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบผลของอำนาจสนามแม่เหล็กที่คาดไม่ถึงมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นได้ โดยการใช้สนามแม่เหล็กร่วมกับคลื่นวิทยุในการที่จะสร้างภาพอวัยวะต่างๆภายในร่างกาย คล้ายๆกับการเอกซ์เรย์ แต่ให้รายละเอียดของภาพไปในอีกแนวหนึ่งตามคุณสมบัติของแม่เหล็กของนิวเคลียสของส่วนต่างๆของร่างกายที่เรียกกันว่า Nuclear Magnetic Resonance (NMR)(1) ผลที่ค้นพบนี้เป็นประโยชน์อันหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ยังไม่เคยทราบมาก่อน และ ได้นำมาใช้ประโยชน์อย่างมากในการวินิจฉัยโรคในปัจจุบัน ในประเทศไทยก็มีเครื่องมือดังกล่าวใช้หลายแห่งแล้วส่วนใหญ่เป็นสถาบันเอกชน(เครื่องราคาแพง) และ จากการศึกษามาเป็นเวลาหลายปีจนถึงขณะนี้ ยังไม่พบอันตรายที่เกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าร่วมกับสนามแม่เหล็กที่นำมาใช้โดยวิธีนี้ การค้นพบในเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่จะบอกให้ทราบว่ายังคงมีผลที่เกิดขึ้นต่อร่างกายอันเนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอีกหลายอย่างที่มนุษย์ยังไม่ทราบ หรือ ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัด

    จะเห็นได้ว่าคลื่นวิทยุก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายไม่น้อย และ คงมีอีกไม่น้อยที่ยังไม่ปรากฏให้เห็นในเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบ้านเราที่มีผู้ใช้เครื่องส่งวิทยุเพิ่มปริมาณมาขึ้นอย่างรวดเร็ว และ มี การใช้กันอย่างแพร่หลาย การพูดคุยกันแต่ละครั้งยาวนาน ใช้กำลังวัตต์ออกอากาศสูง ความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจเป็นไปอย่างชั่วคราวแล้วกลับเป็นปกติ หรือ อาจเป็นไปอย่างถาวรไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกลับไปอย่างเดิมโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้รับคลื่นวิทยุเป็นเวลานาน ซ้ำๆกันบ่อยๆ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้อาจปรากฏออกมาให้เห็นเป็นโรคภัยไข้เจ็บ เป็นโรคทางจิตใจ เปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของร่างกาย หรือ ฯลฯ. รวมถึงอันตรายจากคลื่นวิทยุที่เรายังศึกษาไม่พบ หรือ ยังไม่มีรายงานผู้ป่วยในเวลานี้ อาจจะพบได้ในอนาคตซึ่งไม่มีใครทราบได้ โดยอาจจะปรากฏออกมาในรูปแบบต่างๆที่เราคาดไม่ถึง จากข้อมูลที่ค้นคว้ามาได้ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่าคลื่นวิทยุที่ส่งออกมามีผลต่อการทำงานของร่างกายไม่มากก็น้อย ผู้เขียนยอมรับว่าการติดต่อสื่อสารทางวิทยุมีประโยชน์อย่างยิ่งหากนำไปใช้ให้ถูกทางถูกวิธี ผู้ใช้เครื่องควรจะถามตัวเองอยู่เสมอว่าการใช้ในลักษณะที่ใช้อยู่นั้นเป็นการใช้ความถี่วิทยุให้ได้ประโยชน์คุ้มค่ากับตัวท่านเอง และ ผู้อื่น หรือ ไม่ หลักของการใช้วิทยุรับ - ส่งให้เกิดอันตรายน้อยที่สุดมีเขียนไว้ในหนังสือมาตราฐานของนักวิทยุหลายเล่ม ผู้เขียนขอนำมาเสนอให้พิจาราณาในอีกรูปแบบหนึ่ง คือ

    หลีกเลี่ยงการได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นวิทยุโดยไม่จำเป็น ควรหลีกห่างจากอุปกรณ์พวก์ที่มี่การแพร่กระจายคลื่นวิทยุออกมา ได้แก่ เสาอากาศ สายนำสัญญาณ เครื่องส่งวิทยุ เครื่องขยายกำลังส่ง และ แหล่งจ่ายไฟ เป็นต้น

    เสาอากาศ เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่โดยตรงในการปล่อยคลื่นวิทยุออกมาในอากาศ พลังงานเกือบทั้งหมดที่ออกมาจากเครื่องส่งวิทยุจะมาออกที่จุดนี้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปใกล้เสาอากาศไม่ว่าจะเป็นเสาอากาศของสถานีส่งวิทยุกระจายเสียง สถานีส่งวิทยุกำลังสูง เสาอากาศที่ติดตามอาคาร เสาอากาศติดตั้งที่รถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสาที่มีอัตราการขยายสูงๆ Bandwidthแคบๆ เสาพาราโบลอยด์ ซึ่งจะมีพลังงานที่ส่งออกมาในทิศทางนั้นมากกว่าเสารอบตัวหลายสิบเท่า จะทำให้เกิดอันตรายได้ง่าย

    ในกรณีที่ไม่ได้เป็นผู้ใช้เครื่องวิทยุรับส่ง อาจจะเกิดอันตรายขั้นโดยไม่คาดคิด เช่น การเข้าไปอยู่ใกล้เสาอากาศรถยนต์ เสาอากาศประจำที่โดยไม่ทราบว่าขณะนั้นมีการส่งออกอากาศ เคยมีตัวอย่างที่เกิดการใหม้ที่ผิวหนังจากการสัมผัส(rast) เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงเป็นเวลาหลายชั่วโมงจากการยืนใกล้เสารถยนต์ที่ส่งออกอากาศด้วยกำลังส่ง 10 วัตต์(ch) อาจทำให้เกิดอันตรายต่อบุคคลที่นั่งที่เบาะหลังในรถยนต์ที่ติดตั้งวิทยุรับส่งย่านVHF หรือ UHF เสาอากาศอยู่ที่กระโปรงหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็ก (x) มีรายงานแนะนำว่าไม่ควรยืนชิดเสาอากาศรถยนต์ในช่วงระยะ 60 ซม. (rast) ในกรณีของแถบคลื่นย่านHF VHF ห้ามอยู่ใกล้เสาอากาศชิดกว่า 10 - 15 ฟุต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของเสา Vertical Monopole ที่มีการส่งออกอากาศแบบติดต่อกัน ด้วยกำลังส่งสูง(High Power, Non Intermittent)( ) ในกรณีของคลื่นวิทยุแถบUHF และ SHF การมองเข้าไปที่ปลายเสาอากาศทิศทาง หรือ Waveguide ในทิศทางที่คลื่นออกมาจะเป็นอันตรายได้

    สำหรับกรณีที่ท่านเป็นผู้ใช้เครื่องเอง ควรที่จะใช้เครื่องส่งให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น และ หากจะใช้ควรใช้กำลังส่งน้อยที่สุดที่จะติดต่อกันได้ และ แต่ละครั้งที่กดkEY ออกอากาศ ควรกดเป็นช่วงๆสั้นๆ ตรงกับหลักสากลของนักวิทยุสมัครเล่นที่ว่า ฟังมากๆ - พูดน้อยๆ - พูดสั้นๆ - วัตต์ต่ำๆ การที่ส่งออกอากาศช่วงสั้นๆ กำลังส่งน้อยๆ นอกจากจะมีประโยชน์ต่อตัวท่านเองในแง่ที่จะได้รับคลื่นวิทยุน้อยแล้วยังมีประโยชน์ต่อผู้อื่นอีกด้วย กล่าวคือทำให้ช่องความถี่ว่างให้ผู้อื่นใด้ใช้ประโยชน์บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีเรื่องฉุกเฉินที่ต้องการความช่วยเหลือรีบด่วน ท่านผู้อ่านที่เคยมอนิเตอร์ช่องความถี่ของกระทรวงอยู่บ่อยๆคงจะไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำใด้ที่ช่องใด จะทำสำเร็จ หรือ ไม่ เพราะยังไม่มีกฎเกณฑ์สำหรับข้าราชการทั่วไป และ บางครั้งเรียกเข้าไปก็ไม่ตอบ

    ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือถือเสายาง หรือ เสาชัก เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้ใช้จะต้องอยู่ใกล้(ชิด)กับเสาอากาศเวลากดส่งออกอากาศ เสาอากาศจะอยู่ใกล้กับศีรษะส่วนตา และ หน้าผาก(สมอง) นอกจากจะพยายามใช้กำลังส่งออกให้น้อยที่สุดแล้ว ควรจะพูดเป็นช่วงสั้นๆ เวลาพูดควรจะถือเครื่องให้ห่างจากศีรษะมากพอสมควร โดยการถือเครื่องให้ห่างจากศัรษะอย่างน้อย 1 นิ้ว(ARRL ) หรือ 1 - 2 นิ้ว( RAST) หรือ 2 นิ้ว(MOTO) บางแห่งแนะนำให้ห่างออกไปถึง 6 นิ้ว ( ) ไม่มีเลยซักเล่มที่แนะนำให้ปากติดกับไมค์แบบที่หลายๆคนนิยมทำกัน การถือเครื่องแนะนำให้ถือในแนวดิ่ง(คู่มือโมโตโรลลา) หรือ ถือเครื่องให้เอนออกไปด้านหน้า 45 องศา โดยให้ส่วนเสาอากาศห่างศีรษะมากที่สุด ส่วน Microphone ใกล้กับปากให้พูดใด้ยิน

    การใช้เสาอากาศที่มีอัตราการขยายสูง ห้ามใช้เสาอากาศชึ้ไปยังผู้คน เพราะอาจทำอันตรายต่อผู้นั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใช้เครื่องส่งกำลังส่งสูงหลายร้อยวัตต์

    สายนำสัญญาณ (Transmission Line) สายนำสัญญาณเป็นส่วนที่เชื่อมต่อ ระหว่าง เครื่องส่งวิทยุกับเสาอากาศ เพื่อทำหน้าที่ส่งพลังงานทั้งหมดไปที่เสาอากาศ เพื่อให้ผู้ใช้เครื่องส่งไม่ต้องอยู่ใกล้กับเสาอากาศ โดยปกติแล้วสายนำสัญญาณไม่ควรที่จะมีการแพร่กระจายคลื่นออกมา แต่หากไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเชื่อมต่อสายอากาศชนิดต่างๆกับสายนำสัญญาณ รวมถึงวิธีการลดการแพร่กระจายโดยรอบสายนำสัญญาณ ท่านก็อาจจะทำให้เกิดมีการแพร่กระจายของคลื่นวิทยุออกมาโดยรอบสายนำสัญญาณโดยที่ท่านเองก็ไม่ทราบ เช่น การต่อสายโคแอกเซียลเข้ากับเสาGroundPlane, การต่อสายโคแอกเซียลเข้ากับเสาอากาศแบบบาลานซ์ เป็นต้น รายละเอียดในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาก่อนที่จะใช้ (ตัวอย่างในเรื่องนี้ ศีกษาจากรายงาน ของ HS1CH ( ) และ จากเรื่องMatching Stub หรือ Balun จากหนังสือมาตราฐานทั่วๆไป)

    ตัวเครื่องส่งวิทยุเองก็อาจจะมีคลื่นวิทยุรั่วออกมาภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะเปิดฝาเครื่องเอาไว่เพื่อซ่อม ทดลอง ปรับแต่ง ซึ่งช่างซ่อมจะต้องระวัง และ ป้องกันให้ดี ขณะทำการปรับแต่ง หรือ ทดลอง ในกรณีที่มีการใช้Booster หรือ Linear Amp เพื่อเพิ่มกำลังส่ง จะต้องระวังมากขึ้นเพราะจะมีคลื่นวิทยุออกมามาก การสร้างเครื่องเพิ่มกำลังส่งขึ้นใช้เองนอกจากจะผิดกฏหมายแล้ว ท่านอาจได้รับอันตรายจากการปรับแต่ง หรือ การที่คลื่นรั่วออกมาภายนอกเนื่องจากไม่มีShield หรือ Shieldไม่ดีพอ และ ที่ร้ายที่สุดท่านอาจได้รับสารพิษที่ใช้เป็นส่วนประกอบในตัวRFPower Transistorได้ (หากมีโอกาสจะนำ เสนอต่อไป)

    อันตรายอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะได้รับจากการใช้เครื่องวิทยุรับส่งคือ อันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากระแสสลับ 50 Hz.จากไฟฟ้าบ้าน โดยเฉพาะในกรณีที่มีการใช้High Current ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้ใช้ควรหลีกห่างอุปกรณ์AC เช่น Power Supply หรือ หม้อแปลงไฟฟ้า

    ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะมีส่วนให้ผู้ใช้วิทยุรับส่งมีความรู้เพิ่มขึ้น และ ได้นำไปประยุกต์ใช้งานให้ท่าน และ ผู้ใกล้ชิดรอดพ้นจากอันตรายจากคลื่นวิทยุ หรือ ได้รับน้อยที่สุด ผู้เขียนขอสนับสนุนหลักการฟังให้มาก ส่งออกน้อยๆวัตต์เป็นช่วงสั้นๆเท่าที่จำเป็น และ คุ้มประโยชน์ อยากจะให้มีการใช้คลื่นวิทยุให้เกิดประโยชน์เต็มที่ โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้มีทุกข์ในยามรีบด่วน ให้เกิดประโยชน์ต่อสมาชิกส่วนใหญ่ ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

    เอกสารอ้างอิง

    1. ศจ.นพ.กวี ทังสุบุตร. การถ่ายภาพโดยใช้พลังแม่เหล็กMRI. รังสิวิทยาสาร 2530; ปีที่ 24 เล่มที่ 2 : 8 - 12.

    2. พตต.สุชาติ เผือกสกนธ์. ประมวลความรู้พื้นฐานสำหรับนักวิทยุอาสาสมัคร. 2528; นำอักษรการพิมพ์. กทม. : 5 ธันวาคม 2528.

    3. VR 2601. ข้อมูลจากการปฏิบัติงานทางกายภาพบำบัด. โรงพยาบาลชลประทาน ปากเกร็ด.

    4. HS1CCU. ข้อมูลจากการปฏิบัติงานในห้องผ่าตัดปอด และ หัวใจ. โรงพยาบาลโรคทรวงอก นนทบุรี.

    5. Mark J.Wilson, AA2Z. ARRL Handbook 1987; 64Th Edition .

    6. Ivan A.Shulman,MD,WC2S. Is Amateur Radio Hazardous to our Health ?. QST 1989; October: 31 - 34.

    7. บรรเจิด ตันติกัลยาภรณ์. อันตรายจากคลื่นวิทยุ!. เครื่องรับส่ง 2534; เล่ม 6: 77 - 82.

    8. Adey W.R. Tissue Interactions with nonionizing elcetromagnetic fields. Physiol Rev. 1981; 61: 435 - 513.

    9. Milham S. Mortality from leukemia in workers exposed to electrical and magnetic fields. (Letter) N Engl J Med 1982; 307: 249.

    10.Wright W.E., Peters J.M., Mack T.M. Leukemia in workers exposed to electrical and magnetic fields. (Letter) Lancet 1982; 2: 1160 - 71.

    11. VR092. CQ . เซมิ ฉบับที่ 69, กพ. - มีนา. 2529.

    12.Adey W.R. Cell Membranes: the electromagnetic environment and cancer promotion. Neurochem Res 1988; 18:671 - 677.

    13.Byus C.V., Lundak R.L., Fletcher R.M., Adey W.R. Alterations in protein kinase activities following exposure of cultured human lymphocytes to modulated microwave fields. Bioelectromagnetics 1984; 5: 341 - 351.

    14. Lyle D.B., Schechter P., Adey W.R., Lundak R.L. Suppression of T - lymphocyte cytotoxicity following exposure to sinusoidally amplitude modulated fields. Bioelectromagnetics 1983; 4: 281 - 292.

    15. Lyle D.B., Ayotte R.D., Sheppard A.R., Adey W.R. Suppression of lymphocyte cytotoxicity following exposure to 60 Hz. sinusoidal electric fields. Bioelectromagnetics 1988; 9: 303 - 13

    16. Wertheimer N., Leeper E. Electrical wiring configuration and childhood cancer. Am J Epidemiol 1979; 109: 273 - 84.

    17. Savitz D.A., Wachtel H., Barnes F.A., John E., Tvrdik J.G. Case - control study of childhood cancer and exposure to 60 Hz. magnetic fields. Am J Epidimiol 1988; 128: 21 - 38.

    18. McDowall M.E. Leukemia in electrical workers in England and Wales. (Letter) Lancet 1983; 1: 246.

    19. Coleman M., Bell J., Skeet R. Leukemia incidence in electrical workers. (Letter) Lancet 1988, 1: 982 - 83.

    20. ทำเนียบรายชื่อนักวิทยุสมัครเล่นไทย 2533.สมาคมนักวิทยุสมัครเล่นแห่งประเทศไทย(RAST.)

    21. James B.Brinton : Rf used to fight cancer. Electronics 1979; April: 88 - 90.

    22. Joseph J.Carr.K4IPV. Is Your Hobby Hazardous to your health. Popular Electronics 1990; February: 94 - 95.

    23. สมชาย ผิวรุ่งสุวรรณ ภัยจากการใช้วิทยุรับส่ง เซมิคอน

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช ( https://www.facebook.com/fisont?fref=nf )

    จิบูติแน่มาก... ประเทศจิบูติเขี่ยกองทัพสหรัฐฯออกจากประเทศเชิญกองทัพจีนเข้าเสียบแทน ปิ้ววว บั๊บบายยย…

    [​IMG]

    ------------
    ข่าวร้ายสำหรับจักรวรรดิเฮเกโมนี แต่เป็นข่าวดีสำหรับจีน เมื่อวันที่ 17 ส.ค.58 ที่ผ่านมาสำนักข่าว Sputnik news พาดหัวข่าวว่า "Not Welcome Anymore? Chinese Military Giving US Troops the Boot in Djibouti" แปลว่า "ไม่ต้อนรับอีกต่อไป? กองทัพจีนกำลังจะส่งรองเท้่าบูต (/ส่ง*ีน/ถีบออก) ให้กองทัพสหรัฐฯในประเทศจิบูติ" ว้าว! งานนี้สื่อฯรัสเซียเล่นแรงแฮะ
    รายงานข่าวบอกว่า กองทัพจีนกำลังยื่นรองเท้าบูตให้กับคู่แข่งของตนเองซึ่งก็คืออเมริกาในประเทศเล็กๆที่ชื่อจิบูติ (Djibouti) ซึ่งเป็นประตูที่สำคัญทางยุทธศาสตร์จากมหาสมุทรอินเดียเข้าไปยังทะเลแดงในเขาแอฟริกา (Horn of Africa)
    ข่าวนี้สื่อฯกระแสหลักของต่างประเทศลงหลายสำนักเหมือนกัน (แต่ไม่อ้างให้หรอกนะ จะอ้างจากสื่อฯฝั่งรัสเซียให้เท่านั้น) รายงานข่าวบอกว่า สหรัฐฯกับกำลังจะสูญเสียฐานที่มั่นทางกองทัพของตนเองในสาธารณรัฐจิบูติ (Republic of Djibouti) ซึ่งเป็นฐานทัพฐาวรที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพสหรัฐฯในแอฟริกา และเป็นบ้านของบุคคลากรทางทหารมากกว่า 4,000 นาย (ซวยแล้วจักรวรรดิเฮเกเอ๋ย... แสดงว่าไม่ถาวรจริงนิ เพราะกำลังจะถูกเขี่ยออกไปแล้ว ศึกนี้ยาวนานแน่ๆ)
    รัฐบาลของประเทศเล็กๆ (แต่หัวใจแกร่งอย่างหินผา) ดูเหมือนว่าได้เปลี่ยนใจ (change of heart) และคราวนี้ต้องการจะเป็นเจ้าภาพให้กับกองทัพจีนจำนวนประมาณ 10,000 นายแทน (2.5 เท่าของกำลังพลของจักรวรรดิเฮเกเลยนะนั่นหนะ บางคนอาจจะแย้งว่า อ้าวก็ไหนก่อนหน้านี้บอกว่าจีนไม่รุกรานชาติอื่นไง แล้วทำไมคราวนี้ถึงจะเข้าไปตั้งฐานทัพในจิบูติแทนจักรวรรดิเฮเกซะหละ? เอ่อ… จีนก็จะบอกว่างานนี้เจ้าภาพ เจ้าบ้านเขาเชิญเช้าไปเองนะครับ ไม่ใช่การรุกราน คริๆ ก็เหมือนที่บางคนชอบอ้างว่าญี่ปุ่นเชิญกองทัพสหรัฐฯให้ไปตั้งอยู่ในญี่ปุ่นนั่นแหละ เกลือจิ้มเกลือ เค็มดีแท้ ฮี่ๆๆ)
    Thomas Mountain นักข่าวประจำประเทศ Eritrea (มีพรมแดนติดกับตอนเหนือของจิบูติ) กล่าวว่า "การประกาศในครั้งนี้ เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่นายจอห์น แคร์รี่ รมว.ต่างประเทศของสหรัฐฯได้เดินทางไปเยือนประเทศจิบูติเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้แพ็กซ์อเมริกา (Pax America) รู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก (deeply worrying) เนื่องจากมันมาพร้อมแพ็คเก็จการลงทุนทางด้านเศรษฐกิจขนาดใหญ่จากจีน ซึ่งประธานาธิบดี Guelleh ของจิบูติได้กล่าวอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความสำคัญของเพื่อนใหม่ของเขาจากเอเซีย" (ฮ่าๆๆ... อเมริกาได้ยินหรือเปล่า นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแอฟริกาเริ่มจะไม่ต้อนรับจักรวรรดิเฮเกแล้วนะ จิบูติชอบชาวเอเซียกระเป๋าตุงมากกว่า)
    รายงานข่าวจากสื่อฯรัสเซียกล่าวต่ออีกว่า อันที่จริงแล้ว ชาติแอฟริกันเล็กๆแห่งนี้ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้เล่นทั่วโลกมานานแล้ว ประเทศที่ตั้งอยู่บนปากทางของคลองซุเอส (Suez Canal ของอียิปต์ ที่พึ่งจะเปิดบริการเมื่อเร็วๆนี้หลังมีการขุดคลองขยายให้กว้างกว่าเดิมโดยร่วมมือกับรัสเซีย) หนึ่งในคลองที่มีการจราจรหนาแน่มากที่สุดในโลก และในขณะเดียวกันได้ช่วยเป็นท่าเรือให้กับประเทศเอธิโอเปียที่ไม่มีพื้นที่ติดกับทะเลด้วย (landlocked)
    แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือว่าสาธารณรัฐจิบูติ เป็นกุญแจสำคัญให้กับทั้งแอฟริกาและตะวันออกกลาง ตำแหน่งภูมิรัฐศาสตร์ของจิบูติทำให้จิบูติเป็นประเทศที่ดึงดูดในการเข้าไปตั้งฐานทัพจากมหาอำนาจทั่วโลกเป็นอย่างยิ่ง
    ในบทความของ Thomas Mountain ที่ชื่อ "US vs China in Djibouti" ซึ่งได้ตีพิมพ์โดยเว็บไซต์ Counterpunch.org นั้น นาย Thomas Mountain ได้เน้นย้ำว่า เพนตาก้อน (กลาโหมของสหรัฐฯ) ได้จ่ายให้กับจิบูติปีละเกือบ 63 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.2 พันล้านบาท) เพื่อใช้งานฐานทัพ Camp Lemonnier (ในจิบูติ) ฐานทัพของสหรัฐฯแห่งนี้ยังใช้เป็นฐานปฏิบัติการด้วยโดรน (Unmanned Aerial Vehicle - UAV อากาศยานไร้คนขับ) ที่ใหญ่ที่สุดในโลกของสหรัฐฯด้วย
    เมื่อเปรียบเทียบกับจีนแล้ว กรุงปักกิ่งได้ยื่นเงื่อนไขที่น่าเย้ายวนใจมากกว่าให้กับจิบูติ เช่น ปัจจุบันนี้จีนกำลังแข่งขันโครงการเส้นทางรถไฟที่มีมูลค่าถึง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.05 แสนล้านบาท) จาก กรุง Addis Ababa (บางครั้งเขียนเป็น Addis Abeba เมืองหลวงของประเทศเอธิโอเปีย) ไปยังประเทศจิบูติ [กรุงปักกิ่ง] ยังได้ลงทุนมูลค่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท) ในการปรับปรุงท่าเรือธรรมดาของจิบูติให้ทันสมัยด้วย
    (เอิ่ม… $63 ล้านเหรียญต่อปีเข้ากระเป๋านักการเมืองหมด (?) กับการลงทุนในโครงการที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาวถึง $3,000 ล้านเห + $400 ล้าน นี่มันต่างกันไม่ใช่น้อยๆนะครับท่านโอบาม่า มันหมดยุคเอาเงินเพียงไม่กี่สิบล้านเหรียญไปยัดใส่มือนักการเมืองประเทศอื่นแล้วก็ให้เขาเซ็นสัญญาให้สหรัฐฯเข้าไปตั้งฐานทัพในประเทศเขา โดยไม่เน้นการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลักให้เขา งานนี้จีนเดินเกมเหนือชั้นกว่าจักรวรรดิเฮเกมาก)
    รายงานข่าวกล่าวต่ออีกว่า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ท่าทีของความร่วมมือทางกองทัพกับจีนที่มีจำนวนถึง 10,000 นายนี้ ทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯและเพนตาก้อนประสาทเสียแค่ไหน (unnerving คริๆๆ ชอบอ่ะ) จึงกระตุ้นให้มีการอภิปรายกันเกี่ยวกับเรื่อง "การละเมิดสิทธิมนุษยชน" ในประเทศเล็กๆในแอฟริกาขึ้นมา (ลูกไม้เก่าๆ ตัวเองอยู่ที่นั่นมากี่ปีแล้ว ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ มีแต่จะลุกลามยิ่งกว่าเดิม พอจีนจะเข้าไปตั้งฐานทัพในจิบูติเท่านั้นแหละ จักรวรรดิเฮเกถึงกับงัดเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในจิบูติและแอฟริกาขึ้นมาทันทีเลย นี่นักข่าวชาวอเมริกันเขาเขียนเองนะ ไม่ใช่จีนหรือรัสเซียหรือว่าเกาหลีเหนือเขียนนะครับ)
    สุดท้าย Thomas Mountain ได้ตั้งข้อสังเกตด้วยการเหน็บแบบเจ็บๆเอาไว้ว่า "ดังนั้นจึงไม่ต้องประหลาดใจว่าเมื่อพวกเราตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งและพบว่าในนามของ 'ประชาธิปไตย' (in the name of "democracy") ได้มีการยึดอำนาจทางกองทัพในจิบูติขึ้นมาแล้ว"
    ฮิ้ววววว ส.ด.พวกอเมริกาชอบอ้างประชาธิปไตยในการรุกรานผู้อื่น แต่พอจะเริ่มเสียท่าและสูญเสียอำนาจก็อ้างประชาธิปไตยอีก ก็มันไม่มีอย่างอื่นให้อ้างแล้วไง ถ้าจีนเข้าไปตั้งฐานทัพ อันที่จริงต้องพูดว่าเข้าไปเทคโอเวอร์หรือเข้าไปใช้ฐานทัพของสหรัฐฯในจิบูติแทน พวกจักรวรรดิเฮเกก็จะอ้างว่าคอมมิวนิสต์จีนยึดประชาธิปไตยในจิบูติ แต่ถ้าสมมุติว่ารัสเซียเข้าไปตั้งแทน (ตอนนี้รัสเซียเป็นประชาธิปไตย) ก็จะบอกว่ารัสเซียรุกรานหรือไม่ก็ก้าวร้าว คนอื่นทำอย่างไม่ได้ หมายถึงว่าห้ามทำ มีแต่จักรวรรดิเฮเก้เท่านั้นที่ทำได้ เพราะว่าข้าคือพวก Exclusivism และ พวก Hegomony คำพูดของสหรัฐฯเท่านั้นถูกต้องที่สุด ใครไม่เชื่อฟัง จักรวรรดิเฮเกจะไม่รับประกันความปลอดภัย ไม่เว้นแม้แต่พันธมิตรของตัวเอง
    เรื่องที่จีนจะเข้าไปส่งทหารเข้าไปแทนกองทัพของจักรวรรดิเฮเกในจิบูตินี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี 2013 แล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2014 จีนกับจิบูติได้ลงนามข้อตกลงทางกองทัพอนุญาตให้กองทัพเรือของจีนสามารถให้ท่าเรือจิบูติ (Port of Djibouti) ได้ ซึ่งทำให้กรุงวอชิงตันฉุนมากๆ (ทำไมต้องโกรธด้วยอ่ะ ไหนว่าเป็นประชาธิปไตยไง? ไหนว่าเคารพในเสรีภาพของทุกคนไง? หรือว่านั่นเป็นแค่คำลวง? ก็เป็นสิทธิ์ของประเทศจิบูติไม่ใช่หรือที่เขาให้อนุญาตให้ใครเข้าไปในประเทศเขา นั่นเป็นอธิปไตยของสหรัฐฯตั้งแต่เมื่อไร?)
    ศึกระหว่างสหรัฐฯกับจีนนี่ดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ และพักนี้จีนสั่งสอนจักวรรดิเฮเกไปหลายดอกมาก ยังมีเรื่องปฏิบัติการไล่ล่าสุนัขจิ้งจอก (Operation Fox Hunt) และปฏิบัติการ Sky net ปราบปรามเจ้าหน้าที่รัฐคอรัปชั่นของจีนอีก เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังในโพสต์ต่อไปนะครับ
    The Eyes
    19/08/2558

    ภาพจาก © Sputnik/ Ramil Sitdikov

    ----------
    Not Welcome Anymore? Chinese Military Giving US Troops the Boot in Djibouti / Sputnik International
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช ( https://www.facebook.com/fisont?fref=nf&pnref=story)
    อุ๊แม่เจ้า!... สหรัฐฯไม่ติด 1 ใน 10 การจัดอันดับดัชนีเสรีภาพของมนุษย์ (Human Freedom Index)

    [​IMG]

    ------------
    วันนี้ (19 ส.ค.58) เห็นสำนักข่าว Sputnik news พาดหัวข่าวว่า "US Loses Status as World's Leading 'Bastion of Liberty'" ต้องยกนิ้วโป้งให้สื่อฯรัสเซียจอมจิก จอมเหน็บให้แสบจริงๆ ซัดหมัดตรงเข้ากลางเบ้าตาจักรวรรดิเฮเกโดยไม่ต้องเกรงใจเสียงเชียร์ฝั่งโปรอเมริกาเลยก็ว่าได้ อ้อ… เกือบลืมแหนะ พาดหัวข่าวของรัสเซียแปลว่า "สหรัฐฯสูญเสียการเป็นป้อมปราการผู้นำโลกด้านเสรีภาพไปแล้ว"
    "ประเทศสหรัฐฯได้ละเมิดสิทธิทางด้านเศรษฐกิจและกฎหมายของพลเมืองต่อระดับการแจ้งเตือน และไม่สามารถที่กล่าวอ้างได้อีกต่อไปว่า เป็นผู้นำดวงประทีปแห่งเสรีภาพ (a leading beacon of liberty) ได้อีกต่อไป" สถาบัน CATO กล่าวไว้ในในรายงาน ดัชนีชี้วัดเสรีภาพของมนุษย์ปี 2016 (2016 Human Freedom Index)
    รายงานข่าวจากกรุงวอชิงตันกล่าวในวันอังคารนี้ว่า ประเทศสหรัฐร่วงจากอันดับที่ 17 ในปี 2008 ไปเป็นอันดับที่ 20 ในปี 2012 ซึ่งเป็นการลดลงในทุกประเภทของเสรีภาพทางเศรษฐกิจ และตัวชี้วัดเกี่ยวกับระเบียบกฎหมาย
    ว้าววว! อะไรจะขนาดนั้นลุงแซม? แอ็ดมินเป็นคนขี้สงสัยใคร่รู้เรื่องของจักรวรรดิเฮเกจริงๆ ไม่เชื่อสื่อฯรัสเซียง่ายๆหรอก จริงป๊ะโปรอเมริกา? คริๆ ตามไปดูรายงานต้นฉบับจากสถาบัน CATO เจ้าของรายงานกันเลยดีกว่า อ้อ… CATO นี่ไม่ใช่ของรัสเซีย ไม่ใช่ของจีนนะครับ เป็นสถาบันของพวกที่เรียกตัวเองว่าพวกผู้นำทางความคิดในการเสนอนโยบายแบบกว้างๆในระยะยาวให้กับรัฐบาลต่างๆ มีพวกนักวิชาการเข้าไปรวมกลุ่มกันอยู่ตรงนั้น ส่วนเรื่องเงินสนับสนุนนั้นก็มาจากองค์กรต่างๆบ้าง มาจากรัฐบาลบ้าง หรือพูดง่ายๆโดยชื่อที่คุ้นหูกันบ่อยๆก็คือพวกสถาบัน Think Thank
    จากรายงาน Human Freedom Index ฉบับล่าสุดของสถาบัน CATO ของสหรัฐฯพบว่า (ฮี่ๆๆ… โปรอเมริกาที่ชอบเนียนเข้ามากวนเพจนี้บ่อยๆ แต่ถูกจับได้ทุกที อ่านแล้วอย่าตกใจซะหละ) ในการจัดอันดับดัชนีเสรีภาพของมนุษย์ในปีต่างๆที่ผ่านมานั้น พบว่า ปี 2008 USA ได้อันดับที่ 17, ปี 2010 ได้อันดับที่ 60 (อุ๊แม่เจ้า... ร่วงขนาดนั้นเลยรึ? กรรม! โปรอเมริกาที่กำลังลุ้นอยู่หัวใจจะวายเอาอ่ะ), ปี 2011 ได้อันดับที่ 79 (พระเจ้าช่วยกล้วยทอด หนักกว่าเดิมอีก ไหนว่าประเทศสหรัฐฯมีเสรีภาพไง แล้วทำไมการจัดอันดับโลกถึงได้ร่วงล่นไปถึงขนาดนั้น เกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนประเทศต่างๆที่มีการจัดอันดับทั่วโลกเลยนะนั่นหนะ) และในปี 2012 ไม่รู้ว่าพัฒนาขึ้นหรือว่าล็อบบี้กรรมการก็ไม่ได้ ทำให้อันดับกระเตื้องขึ้นมาอยู่ที่ 20 แต่กระนั้นทุกประเทศทั่วโลกแม้แต่ชาวอเมริกันเองหากได้อ่านรายงานฉบันนี้แล้วต่างก็ต้องหันไปมองหน้ารัฐบาลสหรัฐฯและตั้งคำถามว่า "ประเทศของคนมีเสรีภาพตามที่คุณกล่าวอ้างอยู่บ่อยๆจริงๆรึ?"
    อยากรู้ไหว่าใครได้ที่ 1 ในการจัดอันดับประเทศที่มีเสรีภาพของมนุษย์ ฟังแล้วอย่าตกใจอีกหละโปรอเมริกา ประเทศนั้นก็คือ ลูกรักของจีน ฮ่องกงนั่นเอง ฮ่าๆๆ ฮ่องกงที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของจีนแล้วนี่นะเป็นประเทศที่มีเสรีภาพของมนุษย์มากที่สุดในโลก? ก็สถาบัน Think Tank CATO ของสหรัฐฯเขาจัดมาอย่างนั้นนี่ นี่อุดส่าห์ขยี้ตาดูตั้งหลายครั้ง ที่ 1 ก็ไม่เปลี่ยนไปเป็น USA ซักที คริๆๆ.... หัวใจจะวายรอบที่สอง ฮ่องกงครองแชมป์ประเทศที่มีเสรีภาพอันดับหนึ่งของโลกติดด่อกัน 4 ปี 2008, 2010, 2011, และ 2012 (ไม่พบรายงานของปี 2009) ส่วนประเทศที่ครองอันดับ 2 ติดตั้งแต่ปี 2008-2011 (3 ปี) ก็คือ New Zealand โดยในปี 2012 ตกไปเป็นอันดับที่ 5 โดยมีประ Switzerland ก้าวขึ้นมาครองอันดับที่ 2 แทน จากที่รั้งอันดับที่ 3 มาตลอด 3 ปี (2008, 2010, 2011)
    อยากรู้อังกฤษหน่อยไหมครับว่าอยู่อันดับที่่เท่าบ้าง ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นแบบประชาธิปไตย และเป็นต้นแบบของฮ่องกงอดีตเมืองขึ้นของอังกฤษด้วย โปรตะวันตกตั้งสติให้ดีนะครับ ปี 2008 ได้อันดับที่ 72 (กรรม!) ปี 2010-2011 ได้อันดับที่ 22 และในปี 2012 ได้อันดับที่ 9 ว้าวววว เจ๋งกว่าอเมริกาซะอีกแหนะ อังกฤษเป็นประชาธิปไตยมากี่ร้อยปีแล้วนี่ ทำไมอันดับโลกในด้านเสรีภาพของมนุษย์ในอังกฤษถึงพึ่งจะขึ้นมาเป็นอันดับที่ 9 เอง ไม่น่าเชื่อ?
    แหม… พูดถึงต่างประเทศแล้วไม่พูดถึงประเทศไทยแลนด์สยามเมืองยิ้มของเราก็กระไรอยู่นะ ปี 2008 ได้อันดับที่ 72 (ทำหน้าเฉยๆเข้าไว้ ยิ้มเจื่อนๆนิดหนึ่งก็ได้) ปี 2010 ได้อันอับที่ 60 (อึ่มดีขึ้นมานิดหนึ่งละ ค่อยมีกำลังใจหน่อย) ปี 2011 ตกไปอยู่ที่ 79 (ใครเป็นรัฐบาลอ่ะ! ฮ่าๆๆ) และปี 2012 หล่นลงไปอีกนิดหน่อย ได้อันดับที่ 86 เอง ฮี่ๆๆ (ปี 2555) ใครเป็นรัฐบาลช่วงนั้นอ่ะ? เขามาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่สหรัฐฯและตะวันตกรับรองและยกย่องไม่ใช่รึ? แล้วทำไมคะแนรวมของดัชนีเสรีภาพของมนุษย์ในยุคประชาธิปไตยของไทยถึงได้ล่วงลงขนาดนั้น?
    แล้วใครครองแชมป์อันดับสุดท้าย (บ๊วย) เกือบตลอด เพื่อนบ้านเรานี้เอง พี่น้องชาวลาวที่อ่านเพจนี้ไม่ต้องตกใจนะครับ ไม่ใช่ท่านหรอก แต่เป็นพม่า (Myanmar) ปี 2008 พม่่าได้อันดับที่ 141 (อันดับสุดท้าย) ปี 2010 ได้อันดับที่ 153 (ก็สุดท้ายอีกนั่นแหละ) ปี 2011 ได้อันดับที่ 152 ก็สุดท้ายอีกครั้ง (พม่าบอกชินแหละ ไม่แปลกใจด้วย) ปี 2012 พม่าเลื่อนขึ้นมาเป็นอันดับที่ 150 แต่ผู้ที่มาแย่งตำแหน่งสุดท้ายไปจากพม่าก็คืออิหร่าน ซึ่งเป็นอันดับที่ 152 ครับท่าน อิหร่านก็บอกว่าก็ไม่แปลกใจอีกนั่นแหละ
    สงสัยบางอย่างอ่ะ... ในปี 2008 ซีเรียได้อันดับที่ 130 สูงกว่าพม่าอีก ตอนนั้นยังไม่เกิดสงครามกลางเมืองครับผม สงครามซีเรียพึ่งจะเกิดในปี 2011 เองโดยฝีมือของจักรวรรดิเฮเกกับพวก ต่อมาในปี 2010 ซีเรียได้อันดับที่ 143 ช่วงนี้ใกล้จะเกิดสงครามแล้ว ตั้งแต่ปี 2011-2012 ก็มีพบการจัดอันดับของซีเรียในรายงานเลย อิรัคและลิเบียก็ไม่มี (เพราะว่าจักรวรรดิเฮเกไม่ต้องการให้ชาวโลกได้รับรู้ว่าเสรีภาพของมนุษย์ในประเทศตัวเองได้ไปก่อสงครามไว้เป็นอย่างไร)
    The Eyes
    19/08/2558

    ภาพจาก © AP Photo/ Richard Drew

    ----------
    US Loses Status as World's Leading 'Bastion of Liberty' / Sputnik International
    Human Freedom Index | Cato Institute
    http://object.cato.org/sites/cato.org/files/human-freedom-index-files/human-freedom-index-2015.pdf
    https://en.wikipedia.org/wiki/Cato_Institute
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    คณะผู้รายงานพิเศษจาก UN ถูกสั่งห้ามพบโรฮิงยา โดย เอบีนิวส์ทูเดย์ - ส.ค. 19, 2015

    [​IMG]

    Presstv- รัฐบาลพม่าสั่งห้าม นาง ยางฮี ลี (Yanghee Lee) พบกับมุสลิมชาวโรฮิงยา

    โดยนาง ยางฮี ลี ได้เดินทางไปยัง ประเทศพม่า เพื่อทำการประเมิน สถานะสิทธิมนุษยชนของพม่า ก่อนการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาในพม่า ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 8 เดือนพฤศจิกายนศกนี้

    นางยางฮี ลี ได้วิจารณ์ถึงการถูกสั่งห้ามในการเดินทางของตนในครั้งนี้ โดยได้เผยว่า ทางรัฐบาลพม่า ไม่อนุญาติให้ นางยางฮี ลี เดินทางไปเมือง ยะไข่ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของ กลุ่มมุสลิมชาวโรฮิงยา

    ทั้งนี้ คณะผู้รายงานพิเศษจากสหประชาชาติ ยังได้กล่าวอีกว่า “ความจริงแล้ว น่าเสียใจที่ การขอเดินทาง และพบเจอกับผู้คนกลุ่มต่างๆ ไม่ถูกตอบรับ หรือบางครั้ง มีการเปลี่ยนแปลงกระทันหันเกิดขึ้นในช่วงสุดท้าย โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า หรือ บางครั้งก็มีการยกเลิกกำหนดการ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียใจ ทำให้ฉันไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้”
    นางยางฮี ลี ได้กล่าวถึงประเด็น การไม่อนุญาตให้มุสลิมรัฐยะไข่มีสิทธิเลือกตั้งว่า “จำเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงการเลือกปฏิบัติในสังคมที่มีต่อมุสลิมในประเด็นนี้”
    ในเดือน มกราคมก่อนหน้านี้ นางยางฮี ลี ยังได้เดินทางไปยังประเทศพม่า และได้กล่าวถึง สถานะของมุสลิมชาวโรฮิงยา ว่า “การตอบโต้ที่รุนแรงของรัฐบาลประเทศนี้ เป็นสิ่งที่จะต้องติดตาม” ทั้งนี้รัฐบาลพม่า ถือว่า นางยางฮี ลี เป็นบุคคลที่มีวาระซ่อนเร้นอื่น และมีอคติต่อรัฐบาลพม่า
    มุสลิมชาวโรฮิงยา มีจำนวนประมาณ 5 เปอร์เซ็น จากประชากร 60 ล้านของประเทศพม่า ซึ่งหลายต่อหลายครั้ง กลุ่มองค์กร ด้านสิทธิมนุษยชน ต่างก็ได้เคลื่อนไหว และออกมาวิจารณ์ ถึงการกระทำและความอยุติธรรมของรัฐบาลพม่า ที่เฉยเมยต่อการออกมาปกป้องชีวิตของมุสลิมชาวโรฮิงยาจากการคุกคาม
    และ ในทัศนะของ สหประชาชาติ ถือว่า ชาวโรฮิงยา เป็นมนุษย์ และเป็นกลุ่มที่ถูกกดขี่เป็นอันดับต้นๆของโลกในขณะนี้ ซึ่งล่าสุด มีมุสลิมชาวโรฮิงยา ถูกสังหารไปแล้วมากกว่า ร้อยคน และถูกขับไล่ออกจากบ้านของตัวเอง นับเป็นพันๆคน ด้วยสาเหตุของความเกลียดชังทางเชื้อชาติ

    เอบีนิวส์ทูเดย์
    abnewstoday | เอบีนิวส์ทูเดย์
    เอบีนิวส์ทูเดย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งให้นำข่าวและเนื้อหาอื่นๆ ของเราไปเผยแพร่ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องให้เครดิตกับเอบีนิวส์ทูเดย์สำหรับเนื้อหาทุกชิ้นที่นำไปเผยแพร่

    คณะผู้รายงานพิเศษจาก UN ถูกสั่งห้ามพบโรฮิงยา | abnewstoday
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Ofcom แถลง BBC ละเมิดกฎหมายสื่อ ชี้ เสนอข่าวเลือกข้าง
    โดย เอบีนิวส์ทูเดย์ - ส.ค. 19, 2015

    [​IMG]

    Presstv- Office of Communications หรือ Ofcom เป็นหน่วยงานอิสระที่ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลกิจการสื่อสารโทรคมนาคมและสื่อ ในสหราชอาณาจักร ได้ทำการจรวจสอบข้อเท็จจริง ของสำนักข่าว BBC และสำนักข่าวนานาชาติ เช่น CNN หรือ CNBC ครั้งนี้พบว่า สำนักข่าวระดับโลกเหล่านี้ ได้นำเสนอ และเผยแพร่รายการต่างๆ อย่างไม่เป็นกลาง มีอคติและวาระซ่อนเร้น โดยมี รัฐบาลจากหลายประเทศ และองค์กรระดับนานาชาติ หลายองค์กรให้การสนับสนุนทางการเงิน อยู่เบื้องหลัง
    ทั้งนี้ทาง อินดิเพนเด็นท์ สื่อดังก็รายงานเช่นกันว่า จากการสืบหาข้อเท็จจริงในครั้งนี้ พบว่า มีการละเมิดกฎหมายด้านสื่อสารมวลชน มากกว่า 20 กรณี ซึ่งการละเมิดเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการสนับสนุน และการอุดหนุนงบประมาณทางการเงิน โดยกลุ่มองค์กรที่อยู่คนละวงการของ BBC และยังมีการตั้งข้อหาอีกว่า สำนักข่าว BBC ได้เผยแพร่สื่อแก่ผู้บริโภค โดยมีการเลือกข้าง และไม่เป็นกลาง และยังเป็นหลักในการบริหารสำนักข่าว
    ทั้งนี้ทาง Ofcom ได้ออกมาแถลงว่า กฎหมายสื่อสำหรับ วิทยุ และโทร์ทัศน์ ถูกร่างขึ้นเพื่อ สร้างความมั่นใจ ให้กับผู้บริโภค ว่าเขาจะสามารถเข้าถึง และรับฟังข้อมูล จากสื่อที่เป็นกลางต่อถูกฝ่าย
    อีกด้านหนึ่ง มีนักวิเคราะห์ที่ออกมาแสดงความเห็นต่อ ประเด็นอื้อฉาวนี้และกำลังเป็นข่าวนี้เช่นกัน โดยนาย รอดนีย์ เชคเสปียร์((Rodney shakespeare)) นักวิชาการ,นักวิเคราะห์ระดับอาวุโส ได้ออกมาให้ความเห็นว่า “เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ที่ BBC เสนอข่าวอย่างไม่เป็นกลาง เพื่อเอาใจ รัฐบาลของประเทศต่างๆ ในตอนนี้ ทุกคนต่างเริ่มตาสว่างกันแล้วว่า สำนักข่าว BBC ได้นำเสนอข้อมูลข่าวสาร เพื่อเอาใจ และเลือกข้าง รัฐบาลๆต่าง ตามใบสั่ง”

    และในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ รอดนีย์ เชคเสปียร์ ได้กล่าวทิ้งท้ายเกี่ยวกับธาตุแท้ของสำนักข่าว BBC ว่า “สำนักข่าวนี้ ถูกจัดตั้งภายใต้การควบคุมของกลุ่มไซออนิสต์ และยังเป็นสำนักข่าวที่เผยแพร่แต่เรื่องโกหกอยู่เสมอ”

    เอบีนิวส์ทูเดย์
    abnewstoday | เอบีนิวส์ทูเดย์
    เอบีนิวส์ทูเดย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งให้นำข่าวและเนื้อหาอื่นๆ ของเราไปเผยแพร่ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องให้เครดิตกับเอบีนิวส์ทูเดย์สำหรับเนื้อหาทุกชิ้นที่นำไปเผยแพร่

    Ofcom แถลง BBC ละเมิดกฎหมายสื่อ ชี้ เสนอข่าวเลือกข้าง | abnewstoday
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    [​IMG]


    มือระเบิดราชประสงค์ มีรางวัลนำจับ 1 ล้านบาทครับ

    ภาจาก Manager Online
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปิยวุฒิ ปิยาภิชาต
    อุ๊ยๆ จมูกปลอมนะครับ ตำรวจไม่สังเกตุเห็นเลยเหรอ ชาตินี้จะจับได้ไหม

    [​IMG]
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ชอบไปเดินร้านขายของเด็กเล่น เห็นแว่นจมูกปลอมบ่อย
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ซาอุฯ กำลังจะถังแตกด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล
    โดย เอบีนิวส์ทูเดย์ - ส.ค. 20, 2015

    [​IMG]
    @(ภาพ) เงินทุนสำรองต่างประเทศของซาอุดี้ฯ พุ่งสูงสุดถึง 737,000 ล้านดอลล่าร์ ในเดือนสิงหาคม 2014

    เพรสทีวี – ซาอุดิอารเบียกำลังเผาผลาญเงินทุนสำรองต่างประเทศของตนอย่างน่าตระหนกในช่วงที่ราคาน้ำมันตกฮวบและการใช้จ่ายทางการทหารพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

    เพื่อคงการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยของตนเอาไว้ ราชวงศ์นี้ได้ใช้ทรัพย์สินต่างประเทศหมดไปแล้วถึง 60,000 ล้านดอลล่าร์ ในหกเดือนแรกของปี และยืมเงินจากธนาคารในประเทศ 4,000 ล้านดอลล่าร์

    ตามข้อมูลของ IMF การขาดดุลการคลังของซาอุดิอารเบียอาจสูงถึงประมาณ 140,000 ล้านดอลล่าร์ภายในสิ้นปีนี้ หรือ 20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ตามการคาดการของซาอุดี้ฯ การขาดดุลขนาดนี้เป็นจำนวนมหาศาลสำหรับประเทศที่คุ้นเคยกับการดำเนินเงินที่เกินดุลอย่างหนัก

    ขณะเดียวกัน รายได้ของรัฐบาลกำลังจะลดลงถึง 82,000 ล้านดอลล่าร์ในปี 2015 หรือ 8% ของ GDP ในประเทศซึ่งรายได้จากน้ำมันนับเป็น 90% ของรายจ่ายของรัฐ

    Standard and Poor’s ได้ตัดลดความเชื่อถือของตนต่อซาอุดิอารเบียลงในเดือนกุมภาพันธ์เนื่องจากความมั่นคงที่เป็นลบ โดยกล่าวว่าตนมองว่าเศรษฐกิจของประเทศนี้เป็นเศรษฐกิจที่ “มีความเสี่ยงอย่างไม่เปลี่ยนแปลงกับราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ”

    สถานการณ์ที่มืดมนนี้เกิดจากราคาน้ำมันที่ลดฮวบลงจาก 107 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลเมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว มาถึงต่ำกว่า 50 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลในปัจจุบัน นี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายสำหรับฝ่ายปกครองที่จำเป็นจะต้องให้ราคาน้ำมันไปแตะถึง 106 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลเพื่อเป็นทุนให้กับรัฐสวัสดิการที่ฟุ่มเฟือยของตน

    แต่ริยาดก็ไม่สามารถโทษใครได้นอกจากตัวเองสำหรับสถานการณ์นี้ ตั้งแต่ปีที่แล้ว ประเทศนี้ผลิตน้ำมันอย่างเต็มกำลัง จนทำให้เกิดการล้นตลาดและราคาตก

    [​IMG]
    @(ภาพ) ชัยบาห์ บ่อน้ำมันขนาดยักษ์ใหญ่ในซาอุดิอารเบีย ตั้งอยู่ด้านเหนือของทะเลทราย รุบัล-คอลี

    ด้วยประวัติการผลิต 10.564 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทำให้ราชอาณาจักรแห่งนี้ปฏิเสธที่จะตัดลดผลผลิตลง ด้วยความคิดที่ว่านโยบายนี้จะผลักดันให้ผู้ผลิตหินดินดานของสหรัฐฯ ออกไปจากธุรกิจ และบีบรัสเซียและอิหร่านให้หยุดการสนับสนุนรัฐบาลซีเรีย

    ตามรายงานทั้งหมด รัฐบาลนี้คำนวณผิดพลาด ทำให้การผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นในรอบ 43 ปี ถึง 9.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ธนาคารกลางของซาอุดี้ฯ ยอมรับด้วยความตกตะลึงว่า “เห็นได้ชัดแล้วว่า ผู้ผลิตที่ไม่อยู่ในกลุ่ม OPEC ไม่ได้มีการตอบสนองต่อราคาน้ำมันตกต่ำเหมือนอย่างที่คิดไว้”

    ในขณะเดียวกัน กษัตริย์ซัลมาน ผู้ปกครองคนใหม่ของซาอุดี้ฯ ก็กำลังปฏิบัติตามนโยบายที่มีความเสี่ยงมาตั้งแต่เข้าสู่อำนาจเมื่อเดือนมกราคม เขาและบุตรชาย ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกลาโหม และรัชทายาทอันดับสอง ได้เริ่มต้นทำสงครามราคาแพงในเยเมนและปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในซีเรีย

    เนื่องจากกษัตริย์องค์ใหม่นี้ ซาอุดิอารเบียยังได้สั่งสมกำลังทางทหารขนานใหญ่อีกด้วย ซึ่งทำให้ราชอาณาจักรแห่งนี้เข้ามาอยู่ในลำดับที่ห้าของโลกด้านการใช้จ่ายทางการทหาร

    ผู้ว่าการธนาคารกลางของซาอุดิอารเบีย ฟาฮัด อัล-มุบาร้อก ระบุว่า ประเทศจะได้เห็นการกู้ยืมที่เพิ่มสูงขึ้นในอีกไม่กี่เดือนนี้

    นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า ราชอาณาจักรแห่งนี้จะต้องออกพันธบัตรประมาณ 5,000 ล้านดอลล่าร์ต่อเดือนไปจนถึงสิ้นปี 2015 รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติ เพื่อให้ครอบคลุมการขาดดุลงบประมาณ

    [​IMG]
    @(ภาพ) แฟ้มภาพผู้ประกอบการที่ตลาดหลักทรัพย์ของซาอุดี้ฯ (ตาดาวุล) ในริยาด

    การใช้จ่ายด้านประชานิยมเป็นกาวที่เชื่อมประชาคมซาอุดี้ฯ เข้าด้วยกัน และตรวจสอบความขัดแย้งในช่วงที่เกิดความไม่สงบขึ้นในจังหวัดทางภาคตะวันออกที่ร่ำรวยน้ำมัน กษัตริย์ซัลมานใช้จ่ายเงินไปอย่างฟุ่มเฟือย 32,000 ล้านดอลล่าร์ ในพิธีบรมราชาภิเษก เพื่อเป็นโบนัสให้แก่พนักงานและผู้รับบำนาญทั้งหมด

    การให้เงินอุดหมุนมหาศาลด้านเชื้อเพลิง ไฟฟ้า และอาหาร และการไม่เรียกเก็บภาษีรายได้และผลกำไร ทำให้รัฐบาลขาดเครื่องสำคัญในการสร้างความหลากหลายด้านแหล่งที่มาของรายได้

    นอกจากนี้ ราชอาณาจักรแห่งนี้ยังแบกภาระค่าใช้จ่ายที่หนักอึ้งจากระบบอุปถัมภ์ที่ขยายออกไปขณะที่มันพยายามจะปกปิดความขัดแย้งที่มีมานับตั้งแต่เกิดการตื่นตัวเกี่ยวกับอิสลามขึ้นในโลกอาหรับ

    อย่างไรก็ตาม ซาอุดิอารเบียยังคงหลับไหลอยู่บนเสียงยกย่องเงินทุนสำรองต่างประเทศจำนวนมหาศาลที่เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 737,000 ล้านดอลล่าร์ในเดือนสิงหาคม 2014 เงินทุนสำรองเหล่านั้นได้ตกลงมาถึง 672,000 ล้านดอลล่าร์ในเดือนพฤษภาคม และกำลังร่วงลงอย่างน้อยเดือนละ 12,000 ล้านดอลล่าร์ ที่ระดับปัจจุบัน

    ด้วยเหตุนี้ จึงดูเหมือนว่ารัฐบาลซาอุดี้ฯ กำลังติดดกับอยู่ในสงครามเศรษฐกิจและการเมืองที่ตนสร้างขึ้นมาเอง เห็นได้ชัดว่ามันได้หันหน้าไปสู่ตัดลดการใช้จ่ายในการลงทุนลงอย่างากในระยะสั้น แต่นี่สุดมันจะต้องเผชิญกับการรัดเข็มขัดอย่างเข้มงวดและการล้มละลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    เอบีนิวส์ทูเดย์
    abnewstoday | เอบีนิวส์ทูเดย์
    เอบีนิวส์ทูเดย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งให้นำข่าวและเนื้อหาอื่นๆ ของเราไปเผยแพร่ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องให้เครดิตกับเอบีนิวส์ทูเดย์สำหรับเนื้อหาทุกชิ้นที่นำไปเผยแพร่
    ซาอุฯ กำลังจะถังแตกด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล | abnewstoday
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2015
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช ( https://www.facebook.com/fisont?fref=nf )
    จนได้... เตือนหลายครั้งแล้วว่าให้หยุดสร้าง propaganda ก็ไม่ฟัง เกาหลีเหนือหมดความอดทนต่อหลีใต้เปิดศึกระหว่างสองประเทศอีกครั้ง

    [​IMG]

    -------------
    วันนี้ (20 ส.ค.58) สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งรายงานว่าเกิดการยิงจรวดถล่มกันระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ บริเวณพรมแดนทางตะวันตกของทั้งสองประเทศ สำนักข่าวซินหัวของจีนพาดหัวข่าวว่า "S. Korea fires back scores of shells in response to DPRK shelling" (เกาหลีใต้ยิงใส่เกาหลีเหนือหลายเท่าเพื่อตอบโต้การยิงจรวดจากฝั่งเกาหลีเหนือ) ส่วน RT news ของรัสเซียนั้นพาดหัว breaking news ว่า "S. Korea orders civilian evacuation near western border, after exchanging fire with N. Korea" (เกาหลีใต้สั่งอพยพพลเรือนใกล้ชายแดนทางตะวันตก หลังจากมีการยิงตอบโต้ใส่เกาหลีเหนือ) สำนักข่าว Sputnik news พาดหัวว่า "North Korea Fires Shells at South Korean Military Base" (เกาหลีเหนือยิงจรวดใส่ฐานทัพของเกาหลีใต้) (ว้าวววว! มันส์หละคราวนี้ อุ๊ย… เราไม่ได้เป็นพวกคลั่งไคล้สงครามและนิยมความรุนแรงนะครับ นี่เป็นการรายงานข่าว แล้วก็กรุณาอย่าเหมารวมว่าการรายงานข่าวความเคลื่อนไหวของฝั่งเกาหลีเหนือ เป็นพวกนิยมคอมมิวนิสต์หรือเผด็จการแบบเกาหลีเหนืออีกหละ เพราะสำนักข่าวต่างประเทศทั่วโลกเขาก็ลงข่าวความเคลื่อนไหวของเกาหลีเหนือด้วยกันทั้งนั้น)
    เช็กข่าวเบื้องต้นแล้ว ของฝั่งรัสเซียทั้งสองสำนักไม่ค่อยยาวเท่าไร งั้นขอแปลจากต้นฉบับจากซินหัวให้นะครับ ซึ่งพบว่าค่อนข้างละเอียดกว่า สำนักข่าวซินหัวรายงานจากกรุงโซลประเทศเกาหลีใต้ว่า เมื่อวันพฤหัสบดี (วันนี้) กองทัพของเกาหลีใต้ได้ระดมยิงจรวจหลายนัดกลับไปยัง "สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี" (Democratic People's Republic of Korea - DPRK) (ตามชื่อประเทศแล้วเกาหลีเหนือเขาบอกว่าประเทศเขาเป็นประชาธิปไตยนะ เพราะว่าประธานาธิบดีของเขามาจากการเลือกตั้งเหมือนกัน แต่ไม่มีผู้สมัครรายคนอื่นลงแข่งขันด้วย จึงชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากที่สุดในประเทศ ฮ่าๆๆ คิมน้อยบอกว่ามันเป็นสไตล์อ่ะ... ของแบบนี้เรียนแบบกันไม่ได้หรอกก็เหมือนทรงผมที่ไม่เหมือนผู้นำคนใดในโลกของเขานั่นแหละ)
    เจ้าหน้าที่จากก.กลาโหมของเกาหลีใต้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า (เขา) เชื่อว่า จรวจประเภทขีปนาวุธวิถีโค้ง (ballistic trajectory of a rocket) ถูกยิงมาจากฝั่งเกาหลีเหนือ (DPRK) ถูกตรวจจับได้ ณ เวลาประมาณ 3.52 p.m. (0652 GMT) ด้วยระบบเรดาร์ปืนใหญ่ตอบโต้ (counter-battery radar) (เขาบอกว่าเขาเชื่อว่า ไม่ได้แปลว่าอาจจะเป็นอย่างที่เขากล่าวมาตรงเป๊ะทุกอย่าง แต่ที่แน่ๆก็คือเกาหลีเหนือยิงจรวดใส่เกาหลีใต้ก่อน แล้วเกาหลีใต้ก็ยิงตอบโต้ ด้วยอะไร? อ่านข่าวต่อนะครับ)
    ในการตอบโต้ด้วยการระดมยิงกลับนั้น (shelling บางครั้งคำนี้ก็ใช้สำหรับการระดมยิงปืนใหญ่หรือจรวดถล่มอีกฝ่ายหนึ่ง) ทางกองทัพของเกาหลีใต้ได้ยิงถล่มกลับหลายสิบนัดด้วยปืนใหญ่ขนาดลำกล้อง 155 mm (เส้นผ่าศูนย์กลาง) ไปยังที่ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดที่กองทัพ DPRK ยิงจรวดออกมา, เจ้าหน้าที่ของเกาหลีใต้กล่าว
    ทางเกาหลีใต้เชื่อว่าจรวดจากฝั่ง DPRK นั้นตั้งอยู่ในหุบเขาใกล้หน่วยทหารแนวหน้า ไม่มีความสูญเสียและเสียหายเกิดขึ้นต่อกองทัพของเกาหลีใต้ (ถึงมีก็ไม่บอกว่ามี? ฮ่าๆๆ อ่ะ… ไม่มีก็ไม่ครับท่าน)
    กองทัพของเกาหลีเหนือไม่ได้ยิงตอบโต้ใส่กองทัพเกาหลีใต้ ซึ่งมีการยกระดับการแจ้งเตือนขั้นสูงสุด ณ เวลา 5.40 p.m. ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้มีการเรียกสภาความมั่นคงแห่งชาติของเกาหลีใต้ประชุมฉุกเฉินหลังจากการยั่วยุจากฝั่งเกาหลีเหนือ
    ปธน. Park Geun-hye ของเกาหลีใต้เป็นประธานในที่ประชุม พร้อมด้วยที่ปรึกษาด้านความมั่นคงระดับสูงของประธานาธิบดี เสนาธิการของประธานาธิบดี หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง รมว.ต่างประเทศ การรวมชาติ และกลาโหมเข้าร่วมประชุมด้วย มีการสั่งอพยพชาวบ้านหลายร้อยคนที่อาศัยอยู่ใกล้ชายแดนทางตะวันตกออกจากพื้นที่ (เป็นเรื่องจนได้)
    รายงานข่าวกล่าวต่อไปอีกว่า การยิงถล่มกันในครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดความตึงเครียดซึ่งอยู่ในระสูงที่มีอยู่แล้วขึ้นมาในคาบสมุทรเกาหลี (Korean Peninsula) ในวันที่ 4 สิงคาคมที่ผ่านมา ทหารเกาหลีใต้ได้รับบาดเจ็บพิการหลังเกิดเหตุระเบิดจากกับระเบิดกล่องไม้ 3 ลูก ซึ่งทางเกาหลีใต้กล่าวหาเกาหลีเหนือว่าเป็นผู้วางไว้ (แต่ทางเกาหลีเหนือออกมาปฏิเสธ โดยบอกว่าเป็นเรื่องไร้สาระที่จะทำเช่นนั้น - เคยเล่าให้ฟังแล้ว) กับระเบิด (landmines) ถูกวางไว้ใต้เส้นทางเดินทิศใต้ของเขตปลอดทหาร (demilitarized zone - DMZ) ที่กองกำลังรักษาดินแดนของเกาหลีใต้ใช้อยู่บ่อยๆ (ก็ไหนว่าเป็นเขต DMZ ไง แล้วคุณ South Korean border guards ไปทำอะไรแถวนั้น? รู้สึกว่าทางเกาหลีใต้กับสื่อฯตะวันตกจะบอกว่าไปลาดตระเวนหรือไงนี่แหละ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นพื้นที่ DMZ แสดงว่าทางกองทัพเกาหลีเหนือคงจะหมั่นไส้มานานแล้วก็เลย บิ๊กกะบึ้มให้ซักครั้ง เพื่อบอกให้รู้ว่า ที่นี่คือเขตปลอดกิจกรรมทางทหาร ไม่ควรมีทหารเข้าไปเดินเล่นแถวนั้น นี่คือข้อตกลงสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ถ้าฝ่าฝืนแล้วขาขาดก็อย่าโวยวายนะ)
    ต่อนะครับ... ในการตอบโต้กันนั้นทางกองทัพเกาหลีใต้ ได้ฟื้นฟูการกระจายเสียงโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง (propaganda) ด้วยลำโพงกระจายเสียงที่ดังมากตามหน่วยแนวหน้าตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคมเป็นต้นมา ซึ่งก่อให้เกิดการคุกคามจากฝั่งเกาหลีเหนือ ซึ่งคาดว่าอาจจะเล็งไปที่หอกระจายเสียงของเกาหลีใต้ (ฟังดูก็มีเหตุผลอยู่นะ ก็คนจะหลับจะนอน ทางเกาหลีใต้ก็เปิดลำโพงเสียงดังข้ามชายแดนด่าผู้นำเขา ปล่อยข่าวสารพัดเพื่อปลุกระดมบ้าง เพื่อดิสเครดิตเกาหลีเหนือบ้าง และแล้วคิมน้อยก็ส่งจรวดไปให้หอกระจายเสียงของเกาหลีใต้ซะเลย แต่ทางเกาหลีใต้บอกว่าการโจมตีจากเกาหลีเหนือก่อนในครั้งนี้เป็นการยั่วยุ แต่ไม่บอกว่าการกระทำจากฝั่งของตนเองนั้นเป็นอะไรหรือเรียกว่าอะไร)
    เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2014 เกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือได้แลกเปลี่ยนการยิงปืนใส่กัน (หมายถึงว่ายิงปืนตอบโต้กันไปมาต่างฝ่ายต่างก็ปิ้วไปปิ้วมา) ตามแนวชายแดน กองทัพเกาหลีเหนือได้ยิงปืนกลเพื่อเป็นการประท้วงที่กลุ่มพลเรือน (ngo) เกาหลีใต้ "กลุ่มต่อต้านเกาหลีเหนือ" ปล่อยแผ่นพับไปกับบอลลูน (พร้อมด้วยแผ่นดีวีดีหนังเรื่อง The Interview) ลอยข้ามพรมแดนไปยังฝั่งเกาหลีเหนือ เพื่อเป็นการตอบโต้ทางเกาหลีใต้ก็ได้ยิงปืนกลไปทางเกาหลีเหนือหลายนัด (ที่ว่ามานี้ ดูเหมือนว่าฝ่ายเกาหลีใต้จะเริ่มหาเรื่องเขาก่อนนะ แต่ถ้าไปอ่านจากสื่อฯของเกาหลีใต้ สหรัฐฯหรือของตะวันตก หรือสื่อฯไทยที่แปลมาจากสื่อฯที่ว่ามานี้ก็จะให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง เราไม่ได้เชียร์หรือว่าพิศวาสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นพิเศษ ข่าวเขาว่ามาอย่างนี้เราก็เล่าให้ฟัง เพื่อให้ข้อมูลที่รอบด้านแก่สังคม)
    อ้อ… ก่อนหน้านี้มีบางคนปรามาสเกาหลีเหนือที่ขู่เกาหลีใต้ว่าถ้าไม่หยุดสร้าง propaganda โจมตีเกาหลีเหนืออีก ระวังเกาหลีใต้จะกลายเป็นทะเลเพลิง ประมาณว่ามีแต่ขู่ วันนี้พอคิมน้อยจัดให้ ก็โวยวายว่าเกาหลีเหนือก้าวร้าว ซะงั้น คริๆ
    The Eyes
    20/08/2558

    ภาพจาก © AP Photo/ KCNA via KNS, File

    ----------
    North Korea Fires Shells at South Korean Military Base / Sputnik International
    S. Korea orders border evacuations as North declares readiness for war following exchange of fire — RT News
    S. Korea fires back scores of shells in response to DPRK shelling - Xinhua | English.news.cn
    S. Korea's military fires back scores of shells against DPRK - People's Daily Online
    Pyongyang Follows Seoul in Re-start of Cross-Border Loudspeaker Propaganda / Sputnik International
    N. Korea Threatens to Turn S. Korea Into 'Sea of Fire' Over Leaflets / Sputnik International
    https://en.wikipedia.org/wiki/Demilitarized_zone
    https://en.wikipedia.org/wiki/Korean_Demilitarized_Zone
    https://th.wikipedia.org/wiki/เขตปลอดทหาร
    http://www.rand.org/content/dam/rand/pubs/monograph_reports/MR1449/MR1449.ch3.pdf
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช ( https://www.facebook.com/fisont?fref=nf )
    จลาจลในยุโรป… ผู้อพยพกับตำรวจเยอรมันปะทะกันบาดเจ็บ 15

    [​IMG]

    -------------
    เมื่อวานนี้ (20 ส.ค.58) สำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียรายงานว่า "เกิดเหตุปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ลี้ภัย 50 คนในเมือง Suhl ประเทศเยอรมันนี มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 15 ราย รายงานจากหนังสือพิมพ์ Deutsche Welle ของเยอเยอรมันเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาอ้างคำพูดของตำรวจ"
    รายงานข่าวบอกว่า ตามรายงานของตำรวจในเมือง Erfurt ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง Suhl 40 ไมล์การจราจลเกิดขึ้นในแคมป์ผู้ลี้ภัยในเมือง Suhl เมื่อวันพุธ และมีแรงงานต่างชาติ (/ผู้อพยพ) อย่างน้อย 50 คนมีส่วนเกี่ยวข้อง หนึ่งในแรงงานต่างชาติรายงานว่าชนวนของเหตุการณ์ในครั้งนี้มาจากการฉีกขาดของหน้าคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งกระตุ้นการตอบสนองที่ก้าวร้าวจากกลุ่มผู้ลี้ภัย (ป.ล.โพสต์นี้ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องศาสนา แต่ต้องการชี้ให้เห็นถึงปัญหาผู้ลี้ภัยและแรงงานต่างชาติต่างถิ่นในยุโรป โปรดอย่านำประเด็นนี้เข้าสู่เรื่องศาสนาเพื่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคมนะครับ อ้าวแล้วนำมาโพสต์ทำไมหละ? ความจริงก็คือความจริง เราไม่อาจจะปิดบังหรือซ่อนเร้นได้ ที่สำคัญแอ็ดมินแปลตามต้นฉบับข่าวไม่ได้บิดเบือนข่าวแต่อย่างใดครับผม)
    รายงานข่าวบอกว่าตำรวจท้องถิ่นได้รับแจ้งอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าคลี่คลายปัญหาความขัดแย้ง แต่ผู้ลี้ภัยกลับเดินหน้าโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยก้อนหินและแท่งเหล็ก (/ท่อเหล็ก/เหล็กแป๊บ) ตำรวจได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 3 นายในการเผชิญหน้ากันซึ่งยาวนานถึง 4 ชั่วโมง รายงานข่าวจาก หนังสือพิมพ์ Focus (ที่สังเกตเห็นบางอย่างก็คือทั้ง Focus และ DW ลงเพียงภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบจลาจลยืนอยู่หน้าตึกที่พักอาศัยของผู้ลี้ภัย ไม่มีภาพความรุนแรงใดๆ ไม่มีการต่อสู้ปะทะกัน นี่คือการนำเสนอข่าวรุนแรงภายในประเทศของเขาเอง แต่ถ้าเป็น cnn และ bbc หรือสำนักข่าวบางสำนักของไทยนี่จะเล่นแบบเห็นเลือดท่วมจอเลย บรรยายแบบสุดๆให้ดูน่ากลัวเข้าไว้ มันช่างต่างกันจริงๆ สิ่งที่สื่อฯไทยเรียนรู้จากสื่อฯนอก (บางสำนัก บางสำนึก ซึ่งก็เป็นส่วนมากซะด้วย) ก็คือสื่อฯด้านมืดนี่แหละ ไม่ใช่เรียนรู้เพื่อนำเสนอภาพที่ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเขาที่เขาไม่อยากให้เห็น แต่ช่วยเขานำเสนอภาพในบ้านของตัวเองในแง่ไม่ดีช่วยประจานประเทศไทยต่อสายตาชาวโลก กรรม!)
    รายงานข่าวกล่าวต่อไปอีกว่าเจ้าหน้าที่จากเมืองต่างๆโดยรอบถูกเรียกระดมกำลังเข้าปราบปรามความไม่สงบ รถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับความเสียหายหลายคันในระหว่างที่มีการปะทะกัน (ไม่เป็นไร มีประกันซะอย่่าง) เหตุการนี้ถือว่าเป็นอีกตอนหนึ่ง (episode) ในการใช้ปราบปรามด้วยการใช้ความรุนแรงเพื่อคลี่คลายปัญหา (struggles) ของสหภาพยุโรปกับกระผู้ผอพยพไม่มีเอกสารที่ทะลักเข้าไปในสหภาพยุโรป หลบหนีจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (เมื่อมองในแง่ของการเมืองเชิงยุทธศาสตร์/ภูมิรัฐศาสตร์ในระดับต่างประเทศแล้ว ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือคือเขตอิทธิพลของจักรวรรดิเฮเกกับพันธมิตรในยุโรป ในขณะที่แอฟริกาใต้เป็นเขตอิทธิพลหรือเป็นพันธมิตรกับฝ่ายจีนและรัสเซียเนื่องจากอยู่ในกลุ่ม BRICS ด้วยกัน แต่จากสถานการณ์ที่กำลังเป็นไปอยู่ในปัจจุบันนี้เห็นได้ชัดว่าฝั่งที่เป็นเขตอิทธิพลของจักรวรรดิเฮเกนั้นมักจะเกิดปัญหาต่างๆขึ้นมากมาย มันแปลกดีไหมหละ)
    รายงานข่าวบอกว่าในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สำนักงานผู้อพยพรัฐบาลกลางของเยอรมัน ได้รับการยื่นใบขอขึ้นทะเบียนให้มีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยเต็มตลอดหนึ่งเดือนจากทั้งหมด 79,000 อัตรา ผู้ยื่นแบบฟอร์มของลี้ภัยส่วนมากมาจากซีเรีย อัฟกานิสถาน เอริเทีย และเซอร์เบีย
    อ้าว… ตกลงว่า Sputnik ไม่ได้บอกว่าคัมภีร์ฯถูกฉีกได้อย่างไรโดยฝีมือใคร? งั้นไปหาข่าวจากสื่อฯฝั่งเยอรมันต่อนะครับ รายงานข่าวจากสำนักข่าว DW บอกว่า ชาวอัฟกันฉีกหน้ากระดาษออกจากพระคัมภีร์ฯในที่พักพิงของผู้ลี้ภัย ได้กระตุ้นความโกรธให้เกิดขึ้นกับผู้ลี้ภัยรายอื่นๆ ราว 20 คน ตามคำแถลงการณ์ของโฆษกตำรวจ
    แล้วเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับตำรวจได้อย่างไร? หมายถึงว่ามีการปะทะกับตำรวจได้อย่างไร? ก็เมื่อมีการทะเลาะกันเขาก็แจ้งตำรวจท้องที่ให้เข้าไปคลี่คลายปัญหา พอตำรวจไปถึง พวกผู้อพยพก็หันมาจะเล่นงานตำรวจแทน รายงานข่าวบอกว่าตำรวจได้นำตัวชาวอัฟกันคนนั้นไปกักขังไว้เพื่อความปลอดภัยของเขา รายงานข่าวไม่ได้บอกเอาไว้ว่าทำไมชาวอัฟกานิสถานคนนั้นถึงทำอย่างนั้น? (มันง่ายเกินไปหรือเปล่า? ฟังดูมันแปลกๆอยู่นะ อ้อมีภาพประกอบข่าวด้วยว่ามีการฉีกหน้ากระดาษจากพระคัมภีร์ฯของบางศาสนาจริงๆ แต่ทำไมจะต้องปะทะกับตำรวจด้วยหละ? ดูในคลิปแล้ว (ลิ้งค์สุดท้ายความยาวประมาณ 5 นาที) เหตุการค่อนข้างรุนแรง สื่อเยอรมันใช้คำว่า "riot" แปลว่าจลาจล แต่สื่อรัสเซียใช้คำว่า "clashes" แปลว่าการปะทะกันหลายครั้ง DW รายงานว่ามีผู้ประท้วงราว 100 คนปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 125 นาย)
    จักรวรรดิเฮเกก็นั่งยิ้มด้วยความชอบอกชอบใจ ที่พันธมิตรร่วมสงครามในต่างแดนของตนประสบกับปัญหา side effects จากการก่อสงครามในตะวันออกกลางและในแอฟริกาเหนือ โดยที่ผู้อพยพเหล่านี้ (หลายแสนคน) ไม่ได้ไหลทะลักเข้าไปในจักรวรรดิเฮเกเลย ปล่อยให้พวกพันธมิตรที่ไปร่วมก่อสงครามในประเทศอื่นรับเละปัญหาผู้อพยพเหล่านี้ต่อไปตามลำพัง ฝ่ายลาตินอเมริกาก็กลัวว่าจักรวรรดิเฮเกจะเหงาหรือน้อยหน้าอียู ทางกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาก็ส่งออกผู้อพยพผิดกฎหมายลักลอบเข้าเมืองไปอยู่ในจักรวรรดิเฮเกเช่นกัน ปีละหลายแสนคนด้วย ฮ่าๆๆ เคยนำเสนอข่าวนี้มาแล้วนะครับ สนุกดี Thank you Mexico and Cuba.
    ป.ล. ล่าสุดไม่สามารถคลิกเข้าไปดูคลิปการปะทะกันระหว่างผู้อพยพกับตำรวจได้แล้ว ถูกลบออกไปแล้วอ้างว่าเป็นเรื่องลิขสิทธิ์ ฮ่าๆๆ สุดยอดไหมหละครับการคุมสื่อฯเพื่อรักษาหน้าประเทศของอียู ไม่เห็นมีองค์กรไหนออกมาทำท่าทางแปลกๆ ว่าแกล้งทำเป็นเรียกร้องเสรีภาพของสื่อฯหรือบอกว่ารัฐปิดหูปิดตาประชาชนเลยนิ ตลกจริงๆประชาธิปไตยและเสรีภาพของชาติตะวันตก แต่ถ้าเป็นที่กรีซหรือประเทศอื่นนี่เขาจัดเต็มเลยครับ (เริ่มจะชอบเยอรมันนีขึ้นมาแล้วนะนี่ คริๆ เด็ดขาดดี)
    The Eyes
    21/08/2558

    ภาพจาก © Flickr/ Montecruz Foto

    ----------
    Clashes Between Migrants, Police in Germany Injure 15 / Sputnik International
    Germany refugee riot injures 15 after Koran defaced | News | DW.COM | 20.08.2015
    Germany′s media blitz to discourage Balkan migrants | Germany | DW.COM | 19.08.2015
    https://www.youtube.com/watch?v=OEmkTuRsrko
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,221
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช ( https://www.facebook.com/fisont?fref=nf )

    อีกแล้วครับท่าน...เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมชาวเบลเยี่ยมขับรถแท็กเตอร์ปิดทางเข้าสนามบิน Liege อ้าวเฮ....

    [​IMG]

    -------------
    เมื่อวานนี้ (20 ส.ค.58) สำนักข่าว RT news ของรัสเซียพาดหัวข่าวว่า "Dairy farmers block Liege airport in Belgium (VIDEO)" (เกษตรกรฟาร์มโคนมปิดสนามบิน Liege ในเบลเยียม [คลิปวีดีโอ]) ข่าวนี้ RT ไม่มีภาพนิ่งให้ แต่มีคลิปประกอบข่าวให้ ความยาว 1.58 นาที แอ็ดมินก็ไปสรรหาภาพนิ่่งจากเว็บข่าวต่างๆในอินเตอร์เน็ทมาให้ ส่วนคลิปคลิปนั้นคลิกดูได้จากลิงค์สุดท้าย (ถ้าเบลเยี่ยมเขาไม่เอาออกก่อนอย่างกรณีของเยอรมันนีในโพสต์ก่อนหน้านี้นะครับ ฮ่าๆๆ)
    รายงานข่าวบอกว่า เกษตรกรผู้ผลิตนม (วัว) ชาวเบลเยี่ยม ไม่พอใจ! กับราคาที่ตกต่ำ ได้ปิดกั้นทางเข้าสนามบิน Liege ตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา (อุ๊แม่เจ้า... นี่มันวันศุกร์แล้วนะครับ) เพื่อเรียกร้องและดึงความสนใจ (จากรัฐบาล) ให้หันไปดูแลชะตากรรมของพวกเขา (plight) (โอ้ว! ทำไมรัฐบาลเบลเยี่ยมที่มีผู้แทนนั่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการแห่งสภายุโรปถึงได้ปล่อยให้เกษตรกรฟาร์มโคนมของตนเองประสบชะตาอย่างนี้หละนี่?)
    สมาคมผู้ผลิตนมของเบลเยี่ยมกำลังเรียกร้องให้มีการขึ้นราคานม (วัว) จาก 4 เซนต์ต่อลิตรเป็น 29 เซนต์ต่อลิตร กลุ่มผู้ประท้วงนิยมความรุนแรงหลายคนกล่าวว่า ราคาที่เหมาะสมที่สุดจะช่วยไม่ให้พวกเขาล้มละลายได้ก็คือ 60 เซนต์ต่อลิตร (ก็แสดงว่าตอนนี้นมยุโรปมีราคาถูกนะสิครับ ตอนนี้อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 ยูโร/39.9121 บาท 0.04 * 39.9121 = 1.596 บาท ต่อหนึ่งลิตร 1 ลิตร)
    เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา สหภาพยุโรปได้ยกเลิกโควต้านม ถือว่าเป็นการสิ้นสุดการแทรกแซงควบคุมผลิตภัณฑ์และราคานมในยุโรปที่ดำเนินการมาถึง 30 ปี ส่งผลให้ราคานมของผู้บริโภคลดลงถึง 25 เซนต์ต่อลิตร เกษตรกรได้เรียกร้องว่าระดับราคาในปัจจุบันไม่ครอบคลุมต้นทุนการผลิต และว่าเกษตรกรกำลังจะล้มละลายไปอย่างช้าๆ
    ตอนลอยตัวราคานม ผู้บริโภคเฮ เพราะว่าได้ดื่มนมในราคาถูก เนื่องจากรัฐบาลอุ้มเกษตรกรหรือซับซีไดส์ต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงจำเป็นต้องลอยตัวค่านมในยุโรป เกษตรกรผู้ผลิตนมก็ซวยรับกรรมไป แสดงว่าที่ผ่านมานี้ที่ราคานมในยุโรปสูงไม่ใช่เพราะกลไกทางการตลาด อันเนื่องมาจากความต้องการของผู้บริโภคมีมากกว่าสินค้าภายในประเทศ แต่เป็นเพราะว่ารัฐบาลเอาเงินไป subsidize (อุดหนุน) ให้ต่างหากหละ และช่วงก่อนหน้าจะมีการเล่นเกมแซงชั่นกันกับรัสเซีย เขาก็เน้นผลิตเพื่อส่งออกเป็นส่วนมาก แต่เจอพิษแซงชั่นเข้าไป ซวยซ้ำสองเลยคราวนี้ รัฐบาลร้องจ๊ากทันทีว่าอุ้มต่อไปไม่ไหวแล้วจ้าเกษตรกรชาวยุโรปทั้งหลาย ตัวใครตัวเผือกนะจ๊ะ
    ครั้นจะออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกแซงชั่นรัสเซียเพื่อที่จะได้ส่งออกไปยังรัสเซียได้ก็กลัวจะเสียหน้าชาวยุโรป เพราะว่ารัสเซียสั่งห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์นม หรือที่ทำมาจากนม เช่นเนยชนิดต่างๆจากอียูที่แซงชั่นรัสเซียก่อน เกษตรกรจึงพากันไปกดดันรัฐบาลให้เอาเงินภาษีส่วนกลางกลับมา subsidize ประชานิยมให้เกษตรกรอีก ไม่งั้นก็จะปิดถนน ปิดสนามบิน ขนมูลสัตว์และขยะไปเทกลางถนน ขนยางรถยนต์ไปปิดกั้นถนน แล้วก็จุดไฟเผา (อ้าว! เขาเผาจริงๆนะครับ ไม่ได้พูดเล่น ทุกครั้งเลยที่มีการปิดถนนประท้วงแบบนี้ ก็ภาวนาว่าอย่าให้พวกเขาเผาสนามบินของตัวเองเลยนะครับ แค่ปิดก็พอ) ดูซิว่าพวกนักการเมืองอียูจะทำอย่างไรต่อไป ยังจะจับมือกับสหรัฐฯเล่นเกมแซงชั่นกับรัสเซียต่อไปได้อีกซักกี่ยก มันไม่ได้แย่เฉพาะพวกที่เขาเล่นเกมแซงชั่นทางเศรษฐกิจกันหรอกนะครับ มันลามไปทั่วโลกเลย กระทบกับเศรษฐกิจโลกไปหมด เพราะว่าเมื่อเขาไม่สามารถส่งสินค้าของเขาออกไปขายในรัสเซียได้ ก็ทำให้สินค้าของพวกเขาล้นตลาด และมีราคาถูกลง แล้วคิดหรือว่าเขาจะปล่อยให้มีการนำเข้าสินค้าประเภทเดียวกันจากประเทศอื่นๆ ไปซ้ำเติมเกษตรกรของพวกเขาอีก ประเทศที่พึ่งพาแต่การส่งออกไปยังยุโรปและสหรัฐฯเป็นหลักโดยไม่เผื่อทางหนีทีไล่ หรือกระจายความเสี่ยงด้วยการหาตลาดใหม่ๆเพิ่มเติม ก็จะได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรก
    The Eyes
    21/08/2558

    ภาพจาก Youtube เรื่อง Бельгийские фермеры в знак протеста заблокировали аэропорт โดย RT на русском เผยแพร่เมื่อ 19 ส.ค. 2015
    ----------
    Dairy farmers block Liege airport in Belgium (VIDEO) — RT Business
    https://www.youtube.com/watch?v=N8o9Qc4pYds
     

แชร์หน้านี้

Loading...