ติดตามสถานะการณ์

ด่วน: ขีปนาวุธอิหร่านยิงใส่ฐานทัพอากาศอิรักซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทหารสหรัฐฯ
https://13wham.com/news/nation-worl...ich-houses-us-troops-hit-with-a-rocket-attack
BREAKING: Iran missiles fired at Iraqi air base housing US troops
https://13wham.com/news/nation-worl...ich-houses-us-troops-hit-with-a-rocket-attack

 

ช่างศุภวิชญ์ จูเปรมปรี
เตือน ฝนแล้ง
มกราคม-มิถุนายน 2563

ข้อมูล: ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก — ที่ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 เชียงของ

 

Too Young to Die

นิวซีแลนด์ประสบคลื่นร้อนในมหาสมุทร อุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ย 6 องศา
น้ำทะเลอุ่นขึ้น กำลังส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล

กระแสน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิค กำลังอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว ประมาณ800กิโลเมตรทางตะวันออกจากเกาะใต้นิวซีแลนด์ ใกล้ๆเกาะ Chatham อุณหภูมิในมหาสมุทรสูงขึ้นเกือบ 6 องศาเซลเซียสจากค่าเฉลี่ย. อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 15องศาเซลเซียส แต่ครั้งนี้อุณหภูมิสูงถึง20องศาเซลเซียส นับว่าเป็นช่วงที่อุณหภูมิสูงและปกคลุมโลกอยู่ในขณะนี้ James Renwick นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยวิคตอเรียกล่าว

ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงพื้นที่ 1ล้านตารางกิโลเมตร ให้เห็นบริเวณที่ประสบปัญหาอุณหภูมิน้ำอุ่นมาก โดยปกติอุณหภูมิน้ำทะเลจะผันผวนไม่ค่อยมาก ประมาณเพิ่มขึ้นหรือลดลงเพียง 1 องศา แต่ในบริเวณเหล่านั้น อุณหภูมิสูงขึ้นถึง 4 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นปัญหาค่อนข้างใหญ่

ฮีทเวฟในน้ำมาจากไหน (Marine heat waves)
ตั้งแต่ปี 1981 อุณหภูมิน้ำนอกชายฝั่งนิวซีแลนด์ เพิ่มขึ้นระหว่าง 0.1-0.2 องศาเซลเซียสในทุก10ปี
แต่เมื่ออุณหภูมิพื้นผิวสูงโดดเช่นนี้จึงทำให้เกิดคลื่นร้อนในน้ำ โดยทั่วไปเกิดเมื่อมหาสมุทรดูดซับความร้อนมากกว่าปกติ หรือเพื่อไม่ให้มหาสมุทรคายความร้อนมากเกินไป

นิวซีแลนด์เคยประสบกับมารีนฮีทเวฟหรือคลื่นร้อนในน้ำในช่วงสองปีที่ผ่านมาที่อุณหภูมิขึ้นสูงกว่าปกติถึง 3 องศาเซลเซียส ภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง โลกร้อนอาจทำให้คลื่นร้อนใต้น้ำแย่ลงไปอีกเพราะมหาสมุทรดูดซับความร้อนของบรรยากาศถึง 93% และอาจนำไปสู่ภาวะมารีนฮีทเวฟถาวร

ในปี2014 เกิดมารีนฮีทเวฟที่มหาสมุทรแปซิฟิคระหว่างฮาวาย อะลาสก้า และแคลิฟอร์เนีย ทำให้นกและแมวน้ำล้มตายจำนวนมาก และสาหร่ายเพิ่มจำนวนมากไปปกคลุมไปทั่วบดบังปะการัง นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฎการณ์ดังกล่าวว่า ‘The blob’

4 ปีต่อมาเกิดมารีนฮีทเวฟขึ้นอีก ทำให้สิงโตทะเลและวาฬเกยตื้นที่ชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย และอุณหภูมิมหาสมุทรสูงกว่าค่าเฉลี่ย 3 องศาเซลเซียส The blob ในครั้งนั้น เหมือนกับที่นิวซีแลนด์ในครั้งนี้ คร่าชีวิตสิ่งมีชวิตในทะเลไปและทำให้ปะการังตาย ปะการังฟอกขาว เสี่ยงต่อปลาหลายชนิดจะสูญพันธุ์ นอกจากนั้นยังทำให้พวกแพลงตอนน้ำเย็นลดน้อยลง อาหารของพวกสัตว์ก็ลดลง
พวกปลาและฉลามก็ละทิ้งสัญชาตญาณในการอพยพมาหาน้ำเย็น

จากการศึกษาในปี 2019 พบว่ามีสาหร่ายบางสปีชี่ส์ได้สูญพันธุ์ไปและมีบางสปีชี่ส์ที่รุกรานเติบโตแทน อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้สาหร่ายบางชนิดเยอะขึ้น ซึ่งจะทำให้อาหารทะเลปนเปื้อน เมื่อปี 2015 รัฐบาลรัฐโอเรกอน แคลิฟอร์เนียและวอชิงตัน ได้สั่งให้หยุดการเลี้ยงปูประมาณ 1เดือนเพื่อป้องกันประชาชนจากอาหารปนเปื้อน

https://www.theguardian.com/world/2019/dec/27/hot-blob-vast-and-unusual-patch-of-warm-water-off-new-zealand-coast-puzzles-scientists

https://www.dailymail.co.uk/news/article-7831277/Red-blob-suddenly-appears-heat-maps-coast-New-Zealand.html

https://www.sciencealert.com/a-giant-blob-of-ocean-near-new-zealand-is-more-than-five-degrees-warmer-than-usual/amp

 

John Traczyk

Javad Zarif@JZarif
รัฐมนตรีต่างประเทศของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน

[อิหร่านได้สรุปมาตรการป้องกันตัวเองอย่างเป็นสัดส่วนภายใต้ มาตรา 51 ของกฏบัตรสหประชาชาติ ...จากการโจมตีด้วยอาวุธที่ขี้ขลาดต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่อาวุโสของเรา

เราไม่ได้แสวงหาการขยาย หรือสงคราม แต่จะป้องกันตัวเองจากการรุกรานใด ๆ

Iran took & concluded proportionate measures in self-defense under article 51 of un charter targeting base from which cowardly armed attack against our citizens & senior officials were launched

We do not seek escalation or war, but will defend ourselves against any aggression.]

 

Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

เฮลิคอปเตอร์อเมริกันกำลังถ่ายโอนศพ,ผู้ได้รับบาดเจ็บจากฐานทัพอากาศอเมริกันของ
Ain al-Assad ในจังหวัด Anbar

 

John Traczyk

จากจรวดทั้งหมด 15 ลูก ที่กองกำลังป้องกันการปฏิวัติ #Iranian เปิดตัว 10 ลูก โจมตีฐานทัพอากาศ #AlAssad 1 ลูก โจมตีเป้าหมายใน #Irbil และ 4 ลูกไม่สามารถยิงเป้าใด ๆ ได้ ไม่มีรายงานการบาดเจ็บ ล้มตาย # สหรัฐฯ ในฐานะหน่วยข่าวกรอง #US เตือนกองกำลังบนพื้นดินของการโจมตีที่เข้ามา

Of the total 15 missiles that the #Iranian revolutionary guard corps launched, 10 hit the #AlAssad airbase, one hit a target in #Irbil and 4 failed to hit any target. No #US casualties reported as the #US intelligence warned the forces on the ground of the incoming strike.

 

La nueva era de la tierra - respaldo

เครื่องบินยูเครนล่มเมื่อออกจากสนามบินเตหะราน อิหร่าน ผู้โดยสาร 180 คนอยู่บนเครื่องบิน

ปลายทางเครื่องบินคือยูเครน

 

เจาะลึกตะวันออกกลาง

#แถลงการณ์จากฝ่ายอิหร่าน!!

IRGCอิหร่าน (หน่วยที่ลงมือตอบโต้) ออกแถลงการณ์ เราสรุปจุดสำคัญมาให้ชาวเพจดังนี้

1. ถ้าสหรัฐตอบโต้ เราจะจัดหนักกว่าเดิม
2. หากสหรัฐใช้ฐานทัพประเทศใดในตะวันออกกลางในการโจมตีตอบโต้อิหร่าน เราจะโจมตีฐานทัพมะกันในประเทศนั้นๆ
3. อิสราเอลถือเป็นอาชญากรร่วมในเรื่องนี้
4. เพื่อรักษาชีวิตทหารสหรัฐ แนะนำให้ชาวอเมริกันร่วมดันกดดันรัฐบาลของตนให้ถอนทหารจากภูมิภาค เพื่อไม่ให้ชาวตะวันออกกลางเกลียดสหรัฐมากกว่านี้

 

เจาะลึกตะวันออกกลาง

อัลจาซีร่ารายงาน ทรัมป์ทวิตว่า
"อิหร่านยิงมิสไซล์เหรอ โอเค #เยี่ยมไปเลย!!"

รอดูกันต่อไป...

 

เจาะลึกตะวันออกกลาง

ช่วงปีใหม่ 2019
#ทรัมป์เคยมาเยี่ยมให้กำลังใจทหารในฐานทัพนี้

ปีใหม่ 2020
#ทรัมป์ทำให้ทหารในฐานทัพนี้ตายเป็นเบือ

 

เจาะลึกตะวันออกกลาง

#ทอดกฐินอีแร้ง

กองกำลังอาสาอิรัก จัดหนักยิงจรวดใส่ฐานทัพมะกัน เวลาเดียวกับการถล่มโดยมิสไซล์ที่ยิงมาจากอิหร่าน

 

เจาะลึกตะวันออกกลาง

การโจมตีเกิดขึ้นช่วง 01.20 เมื่อคืนนี้ จรงกับเวลาที่มะกันสังหาร พล.อ.สุลัยมานี เป๊ะๆ
#อิหร่านเอาคืนมะกัน

 

เจาะลึกตะวันออกกลาง

#ด่วน #อิหร่านเอาคืนแล้ว!

หลังจากฝัง พล.อ.สุลัยมานีไม่ถึงวัน อิหร่านจัดหนักไปแล้ว 1 เซ็ต มิสไซล์ถล่มฐานทัพ อัยน์ อัลอะซัด ในประเทศอิรัก

เป็นฐานทัพมะกันที่ใหญ่ที่สุด และทรัมป์เคยมาเยี่ยมทหารมะกันที่นี่

ต้องรอดูว่าจะจบแค่นี้ หรือจะมีเซ็ตต่อไป

ที่สำคัญคือ... ทหารมะกันหนีจากฐานทัพอื่นๆ #มาประจำการที่ฐานทัพนี้ เนื่องจากคิดว่าห่างไกลอิหร่าน

คำถามคือ #ทรัมป์จะเอาคืนหรือไม่ #ตามที่ลั่นวาจาไว้!!!
.

 

เจาะลึกตะวันออกกลาง

ข่าวแว่วมาว่า กองทัพมะกันร่างหนังสือราชการเพื่อแจ้งแก่ฝ่ายอิรักว่า #พร้อมที่จะถอนทัพออกจากอิรักแล้ว!!

ร่างหนังสือราชการดังกล่าว กลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสหรัฐ หลายคนบอกว่าเป็นของปลอม แต่นักข่าวหลายคนบอกว่าเป็นของจริง อย่างสำนักข่าว France24 เพียงแต่มันยังเป็นฉบับร่างเท่านั้น ยังไม่ลงนาม

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางสำนักเตือนให้อิหร่านระวัง นี่อาจจะเป็นลูกไม้ที่ใช้ประวิงเวลาการแก้แค้นของอิหร่านก็เป็นได้

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ขู่อิรักว่าถ้าจะให้ถอนทัพ จะต้องจ่ายค่าสร้างฐานทัพอากาศขนาดมหึมาเสียก่อน มิฉะนั้นจะต้องถูกมะกันคว่ำบาตรให้ตายกันไปข้างนึง

แต่ฝ่ายกองทัพรู้ดีว่า หากไม่ถอนทัพดีๆ อาจจะต้องถอนด้วยน้ำตา...และน้ำเลือดน้ำหนอง!!

เพราะฝ่ายต่อต้านมะกันในอิรักและเลบานอนประกาศชัดว่า...

ขามา พวกคุณเดินมา #อย่าให้ต้องกลับออกไปในท่านอนเลย!!
.
..............
https://www.france24.com/en/20200106-us-military-tells-iraq-it-is-preparing-to-move-out-official-letter

 

ช่างศุภวิชญ์ จูเปรมปรี

#กราฟแผ่นดินไหวจากสถานี จังหววัดระนอง (RNTT) ของสำนักเฝ้าระวังฯ กรมอุตุฯ จากเวลา 07:00 เมื่อวานนี้ถึง 07:00 เช้านี้

 

'ทรัมป์' ประจัญหน้า 'รัฐสภา' เรื่องอำนาจประกาศสงคราม
มกราคม 08, 2020


ตามบทที่หนึ่งของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจในการประกาศสงคราม ขณะที่รัฐธรรมนูญบทที่สองกำหนดให้ประธานาธิบดีเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพ

โดยผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญมีเจตนาให้มีการแยกและถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการนำประเทศเข้าสู่สงครามโดยปราศจากการไตร่ตรอง หรือด้วยการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียว

อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันนั้น ฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารมักจะขัดแย้งกันเสมอในการตีความเรื่องอำนาจการประกาศและทำสงครามตามรัฐธรรมนูญ

โดยครั้งสุดท้ายที่รัฐสภาสหรัฐฯ ลงมติอย่างเป็นทางการประกาศเรื่องการทำสงครามคือราว 80 ปีที่แล้ว เมื่อสหรัฐฯ เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง แต่สำหรับความขัดแย้งในระดับภูมิภาคอื่น ๆ ที่สหรัฐฯ มีส่วนร่วมอยู่ เช่น ในเกาหลีและเวียดนามนั้น แม้จะมีรูปแบบเป็นสงครามตามที่คนทั่วไปเข้าใจกัน แต่สหรัฐฯ ก็ไม่ได้มีการประกาศเข้าสงครามอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด

ในปี ค.ศ. 1973 หรือเมื่อ 47 ปีที่แล้ว สภาคองเกรสได้ออกกฏหมายชื่อ War Powers Act หรือรัฐบัญญัติอำนาจในการทำสงคราม เพื่อกำหนดบทบาทหน้าที่ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหารในต่างประเทศ กฎหมายฉบับนี้เป็นผลจากการที่ประธานาธิบดีนิกสันในขณะนั้น สั่งให้กองทัพสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดโจมตีเป้าหมายในกัมพูชาในช่วง "สงครามเวียดนาม” อย่างลับ ๆ

โดยกฎหมายดังกล่าวกำหนดว่าประธานาธิบดีจะต้องรายงานต่อรัฐสภาภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากที่ส่งกำลังทหารสหรัฐฯ ไปปฏิบัติงานในต่างประเทศ และจะต้องให้คำอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับการตัดสินใจดังกล่าวด้วย

กฎหมาย War Powers Act เมื่อปี 1973 นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้แน่ใจว่า จะมีการตัดสินใจร่วมกันโดยสภาคองเกรสกับประธานาธิบดีเรื่องการส่งทหารอเมริกันไปรบในต่างประเทศ รวมทั้งกำหนดว่าผู้นำฝ่ายบริหารจะต้องยุติบทบาททางทหารในต่างแดนดังกล่าวหลังจาก 60 วัน หากรัฐสภาไม่มีมติประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ

ถึงกระนั้นก็ตาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งที่มาจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันมักท้าทายและตีความกฎหมายเรื่องนี้ต่างไปจากการตีความของรัฐสภา และหลังจากนั้นในปี 2001 มีการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในสหรัฐฯ ซึ่งประธานาธิบดีบุชระบุว่าเป็นการกระทำในทางมุ่งร้ายที่ยั่วยุให้เกิดสงคราม รัฐสภาสหรัฐฯ จึงได้ผ่านกฎหมายอีกฉบับหนึ่งที่มีชื่อว่า Authorization for Use of Military Force หรือกฎหมาย AUMF เพื่ออนุมัติให้ใช้กำลังทหารต่อสู้กับภัยคุกคามจากผู้ก่อการร้ายระหว่างประเทศได้ ทั้งที่เป็นบุคคลหรือเป็นองค์กร

อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับนี้ก็ยิ่งทำให้เกิดการโต้เถียงเรื่องการใช้อำนาจของประธานาธิบดี เพราะทั้งประธานาธิบดีบุช ประธานาธิบดีโอบามา และประธานาธิบดีทรัมป์ ต่างได้ตีความเรื่องภัยคุกคามจากผู้ก่อการร้ายในวงกว้างเพื่อใช้เป็นเหตุผลสนับสนุนเรื่องการใช้กำลังทหารสหรัฐฯ ในต่างประเทศ

สำหรับการสังหารนายพลกาส์เซ็ม สุไลมานี ผู้นำของกองทัพอิหร่านครั้งนี้ แม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่ได้อ้างอำนาจตามกฏหมาย AUMF เรื่องการดำเนินการกับผู้ก่อการร้าย ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เคยประกาศให้นายพลสุไลมานีเป็นผู้ก่อการร้ายก็ตาม

แต่นักวิเคราะห์ด้านตะวันออกกลา งอย่างเช่น คุณ Kirsten Fontenrose ได้ชี้ว่า ดูเหมือนประธานาธิบดีทรัมป์จะใช้อำนาจตามกฏหมาย War Powers Act ฉบับเดิม โดยเมื่อวันเสาร์ หนึ่งวันหลังการสังหารนายพลสุไลมานีแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ ได้แจ้งเรื่องนี้ต่อสภาโดยอ้างเหตุผลจากข่าวกรองเกี่ยวกับการวางแผนโจมตีโดยอิหร่านที่กำลังจะเกิดขึ้น

และในวันอาทิตย์ ทวีตของประธานาธิบดีทรัมป์ก็ดูเหมือนจะอ้างแบบอ้อม ๆ เกี่ยวกับกฎหมาย War Powers Act ที่กำหนดให้ผู้นำฝ่ายบริหารต้องรายงานต่อสภาภายใน 48 ชั่วโมง โดยประธานาธิบดีทรัมป์ใช้ถ้อยคำว่าการทวีตข้อความทางสื่อนี้จะเป็นการแจ้งต่อรัฐสภาว่า หากอิหร่านโจมตีเป้าหมายใดของสหรัฐฯ รัฐบาลสหรัฐฯ ก็จะโจมตีตอบโต้อย่างเต็มที่และโดยเร็วโดยอาจจะเป็นในสัดส่วนที่มากกว่าด้วย และถึงแม้การแจ้งตามกฏหมายจะไม่จำเป็น แต่ตนก็ได้แจ้งดังกล่าวทางสื่อนี้อยู่ดี

แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายไม่เชื่อว่า การประกาศข้อความทางทวีตจะเข้าตามข้อกำหนดเรื่องการแจ้งต่อสภาของกฎหมาย War Powers Act และ ส.ส.แนนซี พิโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้เตือนว่าสภานิติบัญญัติของสหรัฐฯ มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับควบคุมการทำงานของฝ่ายบริหาร และหากไม่มีการลงมติรับรองใด ๆ จากสภาแล้ว ท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ของกองทัพสหรัฐฯ ต่ออิหร่าน จะต้องยุติลงภายใน 30 วัน


https://www.voathai.com/a/trump-war...0GOYKF3Pb28obuL7oRxCJajOLnw-MvxH1kEOrZ_qV4RbM

 

Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

เพลงสงครามถูกได้ยินจากวิทยุท้องถิ่นของอิหร่าน

 

VOA Thai

ผู้คนในเมืองมัลลาคูตา รัฐนิวเซาธ์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เริ่มอพยพออกจากพื้นที่ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา จากเหตุสถานการณ์ไฟป่า ในพื้นเขตตะวันออกเฉียงใต้ ของรัฐวิคตอเรีย ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว #VOATHAI #VOANEWS #WORLDNEWS #VOA
Residents are evacuated Monday by plane from Mallacoota, New South Wales, to flee bush fires that have been raging in the southeastern region of Victoria, Australia since late July.

 

VOA Thai

สถานการณ์หิมะตกหนัก ที่กรุงอังการา ประเทศตุรกี เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ใช้รถจำนวนไม่น้อย ขับรถเสียหลัก ขณะลงจากเขา จนหลายคันไถลไปชนคันข้างหน้า และเกิดความเสียหาย แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ #VOATHAI #VOANEWS #WORLDNEWS #VOA

Heavy snowfall in Ankara, Turkey wreaked havoc on the roads, Monday, January 6, as vehicles skidded and collided into each other. Many drivers lost control of their vehicles on one stretch of downhill road, as seen in video shot by a resident. Several cars were damaged but no injuries were reported. (REUTERS)

 

VOA Thai

ภาพเหตุการณ์ การโจมตีฐานทัพ 2 แห่งในอิรัก ที่มีกำลังพลกองทัพสหรัฐฯประจำการอยู่ ซึ่ง กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน หรือ IRGC อ้างความรับผิดชอบในการยิงขีปนาวุธนำวิถีกว่าสิบนัด เพื่อถล่มฐานทัพอากาศในอิรัก

นาย โจนาธาน ฮอฟฟ์แมน ผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการสาธารณะ ระบุว่า เมื่อเวลาประมาณ 17.30 น. ตามเวลาในสหรัฐฯ อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธนำวิถีมากกว่า 10 ลูก ใส่กองกำลังทหารสหรัฐฯ และพันธมิตร ในอิรัก ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าขีปนาวุธดังกล่าวถูกยิงจากอิหร่าน และมีเป้าหมายไปที่ฐานทัพสองแห่ง คือ ฐานทัพอากาศ อัล-อะซาด และฐานทัพเออร์บิล ทางตะวันตกของอิรัก

ฐานทัพในอิรักเป็นหนึ่งในพื้นที่ในตะวันออกกลางที่มีการยกระดับการเตรียมพร้อมขั้นสูงสุดตั้งแต่ช่วงค่ำคืนวันจันทร์ (6 ม.ค.) ตามเวลาสหรัฐฯ หลังจากมีรายงานจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ว่าอาจมีการโจมตีโดยโดรนจากอิหร่าน

ทางทำเนียบขาวระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ รับทราบถึงเหตุรุนแรงนี้และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดกับทีมที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสหรัฐฯ

ขณะที่สื่อของรัฐบาลอิหร่าน รายงานด้วยว่า กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน หรือ IRGC ออกมาอ้างความรับผิดชอบในการยิงขีปนาวุธหลายสิบนัดเพื่อโจมตีฐานทัพอากาศสหรัฐฯ อัล-อะซาด ที่ประจำการในอิรัก พร้อมทั้งขู่ว่าจะมีการโจมตีที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม และขยายวงกว้างไปทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง