ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข้อมูลจาก Thanong Fanclub

    ปริศนาการตายของนายแบงค์3คน ที่เกี่ยวโยงกับDeutsche Bank

    คนทำงานแบงค์3คนเพิ่งจะตายในเวลาไล่เลี่ยกัน และมันเป็นเหตุบังเอิญหรือเปล่า คนแรกคือ Bill Broeksmitอายุ58ปีเป็นผู้บริหารDeutsche Bank มีผู้พบศพที่Chelsa ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของลอนดอนในวันที่ 26มกราคมที่ผ่านมา คนที่สองชื่อ Gabriel Mageeอายุ39ปี มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของ JP Morgan Chase & Company และคนสุดท้ายชื่อ Mike Dueker อายุ50ปี นักเศรษฐศาสตร์ของRussell Investment พบศพนอนตายอยู่ข้างทางถนนไฮเวย์ที่ไปทางTacoma Narrows Bridge ในรัฐวอชิงตัน สหรัฐฯอเมริกา

    จากรายงานลับของกระทรวงกลาโหมของรัสเซียพบว่าผู้ตายทั้งสามคนมีความเกี่ยวเนื่องกัน โดยน่าจะถูกสั่งฆ่าปิดปาก เพราะว่าเกี่ยวข้องกับกรณีที่Deutsche Bankกำลังโดนเจ้าหน้าที่ของสหภาพยุโรปตรวจสอบว่ามีส่วนร่วมในการปั่นราคาทองและเงินหรือไม่ ซึ่งมีผลทำให้Deutsche Bankจำต้องหยุดมีส่วนร่วมในการกำหนดราคาทองและเงิน ก่อนหน้านี้ มีเจ้าหน้าที่ของJP Morganออกมาเปิดเผยว่าDeutsche bankมีส่วนร่วมในการปั่นตลาดทองและเงิน ทำให้ผู้กำกับของสหภาพยุโรปเข้าไปตรวจสอบแบงค์ตะวันตกทั้งหมดว่ามีการร่วมมือปั่นราคาทองและเงินอย่างไร

    ปรากฎว่า ทั้งBroeksmit ถือว่านายแบงค์มีฝีมือดีทางด้านบริหารความเสี่ยง และDueker อดีตเคยทำงานให้เฟดในฐานะนักเศรษฐศาสตร์เป็นเป้าของการตรวจสอบของผู้กำกับตลาดการเงินสหภาพยุโรป ส่วนMageeเป็นคนรับผิดชอบระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีส่วนร่วมในการปั่นราคาทองและเงิน

    รายงานของกระทรวงกลาโหมรัสเซียยังบอกต่อไปว่า ถ้าราคาทองและเงินอยู่ในระดับที่ “ซื่อสัตย์”ปกติ JP Morganคงต้องล้มละลายไปแล้ว เนื่องจากว่าธนาคารแห่งนี้ไม่มีสำรองทองและเงินเพียงพอ เพื่อที่จะรองรับธุรกรรมทองกระดาษที่ขายหรือเทรดออกไป ถ้าJP Morganเจ้ง ระบบการเงินของโลกจะถูกลากพังลงมาด้วย

    thanong
    3/2/2014

    15 February
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    IMF เตือนยูเออีอาจเผชิญวิกฤตฟองสบู่ หากไม่เลิกใช้จ่ายเกินตัว ชี้ “ดูไบ” อ่วมสุดเพราะ “หนี้ท่วมหัว” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กุมภาพันธ์ 2557 04:26 น.

    เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ -

    [​IMG]

    กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)ออกโรงเตือนในวันเสาร์ (1) โดยระบุ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) อาจเผชิญ “วิกฤตฟองสบู่” ในภาคอสังหาริมทรัพย์รอบใหม่ หากรัฐบาลยังคงใช้จ่ายเกินตัวและทุ่มงบประมาณมหาศาลของประเทศไปในโครงการพัฒนาสุดอลังการ

    [​IMG]

    คำแถลงของไอเอ็มเอฟระบุว่า แม้ในปี 2014 นี้ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยภาพรวมของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อาจเติบโตได้ราว 4.5 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีความเสี่ยงในระดับที่สูงมาก ที่ดินแดนอาหรับอันมั่งคั่งแถบอ่าวเปอร์เซียแห่งนี้อาจต้องเผชิญกับวิกฤตฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ระลอกใหม่ แม้ว่ายูเออีเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์เมื่อช่วงปี 2008-2009 มาได้ไม่นาน

    [​IMG]

    ไอเอ็มเอฟชี้ว่า ภาคเศรษฐกิจที่ “ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน” จะยังคงเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของยูเออีในปีนี้ ขณะที่ภาคส่วนพลังงานจะลดบทบาทลง สืบเนื่องมาจากปริมาณน้ำมันในตลาดโลกที่มีอย่างล้นเหลือ

    [​IMG]

    อย่างไรก็ดี ฮาราลด์ ฟิงเกอร์ หัวหน้าคณะทำงานของไอเอ็มเอฟที่เพิ่งเดินทางเข้าไปประเมินสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจในยูเออี เมื่อไม่นานมานี้เตือนว่า ยูเออีเผชิญความเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤตฟองสบู่รอบใหม่ จากการที่ราคาของอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ โดยเฉพาะใน “ดูไบ” ได้ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างพรวดพราดมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา สวนทางกับกำลังซื้อและสภาพของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยรวมที่ยังคง “เปราะบาง”

    [​IMG]

    ก่อนหน้านี้ ผลสำรวจเชิงวิเคราะห์ของรอยเตอร์ระบุว่า เศรษฐกิจยูเออีในช่วงระหว่างปี 2013-2015 อาจเติบโตเฉลี่ย 4.3 เปอร์เซ็นต์ หากรัฐบาลยูเออีสามารถรักษาวินัยทางการคลัง และเลิกพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เกินตัว

    ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟเตือนว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อาจถึงขั้นต้องเผชิญกับหายนะทางเศรษฐกิจจากยอดหนี้สินที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยระบุว่า ลำพังเอมิเรตส์ชื่อดังอย่างดูไบเพียงแห่งเดียว จะมียอดหนี้สินภาครัฐพอกพูนมากกว่า 78,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.6 ล้านล้านบาท) ระหว่างปี 2014-2017 ทั้งๆ ที่ดูไบยังไม่สามารถชำระหนี้สินก้อนเดิม ที่มีจำนวนกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 660,500 ล้านบาท) ที่กู้ยืมมาจากเอมิเรตส์เพื่อนบ้านอย่าง “อาบู ดาบี” เมื่อปี 2009

    [​IMG]

    IMF
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รายงานสถานการณ์รอบโลก/นอกโลก

    [​IMG]

    BIG SUNSPOT :จุดดับขนาดใหญ่หมายเลข 1967 ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดี องค์กร NOAA ของสหรัฐได้รับการแจ้งเตือนว่า ด้วยความที่มีขนาดใหญ่และทิศทางจุดดับตรงกับโลกมีสนามแม่เหล็กปั่นป่วนสูงมาก จึงทำให้โอกาสการเกิดเปลวไฟลูกใหญ่ ระดับ X-Class ในช่วง 24 ชั่วโมงถัดไปข้างหน้านี้อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

    ปฏิกิริยาบน 1967 และ1968 ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้เกิดการปล่อยมวลพลังงาน solar flares ออกรอบทิศทางมากมาย
    SolarHam.com - Solar Flare and CME Summary

    จากโมเดลจำลองพบว่าคลื่นพลังงานจะเดินทางผ่านเข้ามาแนววงโคจรของโลกในวันที 5-6 กุมภาพันธ์ 2557 นี้
    http://www.upfile.codewebphp.com/files/iSWACygnetStreamer.gif

    ท่านใดที่สนใจสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ เช่น สภาพอากาศ-พายุบนโลก , อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ , การแปรปรวนของสนามแม่เหล็กโลก ,และแสงออโรร่า ได้ตั้งแต่ 5-6 ก.พ.57 นี้

    BIG SUNSPOT, HIGH SOLAR ACTIVITY: Solar activity reached high levels yesterday with seven M-class solar flares and three CMEs. Almost all of the explosions were produced by monster sunspot AR1967, shown here in a photo from Chris Schur of Payson, Arizona:

    Click to view the entire sunspot. AR1967 is wider than the planet Jupiter and its primary dark cores are big enough to swallow Earth many times over. The scale of the thing makes it an easy target for backyard solar telescopes. "I used an Explore Scientific AR152 to take the picture," says Schur. "This is one of the most photogenic sunspots I have ever seen."

    AR1967 has a 'delta-class' magnetic field that harbors energy for strong eruptions. The growing complexity of the region has prompted NOAA forecasters to boost the odds of X-flares to 50% during the next 24 hours. Because AR1967 is near the center of the solar disk, any eruptions will be squarely Earth directed. Solar flare alerts: text, voice
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แผ่นดินไหว 5.2 ริกเตอร์ หมู่เกาะอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย (วันที่ 03 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 07:44:45 น.Tweet)

    [​IMG]

    กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่าเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 06.44 น. เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่หมู่เกาะอันดามัน มหาสุทรอินเดีย วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 5.2 ริกเตอร์ ลึกจากระดับผิวดิน 20 กิโลเมตร

    แผ่นดินไหวที่ ANDAMAN ISLANDS, INDIA REGION
    ขนาด : 5.2 ริกเตอร์
    จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว : ANDAMAN ISLANDS, INDIA REGION
    วันที่ : 03 กุมภาพันธ์ 2557 06:44 น.
    ละติจูด : 12° 19′ 12′′ เหนือ
    ลองจิจูด : 95° 04′ 48′′ ตะวันออก
    ความลึกจากระดับผิวดิน : 20 กิโลเมตร

    แผ่นดินไหว 5.2 ริกเตอร์ หมู่เกาะอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย : มติชนออนไลน์
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG]
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “รัสเซีย” ขู่จะถอนตัวจากสัญญาลดอาวุธนิวเคลียร์ START หลัง “เพนตากอน” ส่งเรือพิฆาตติดระบบรบเอกิสมาประจำ “สเปน”
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 กุมภาพันธ์ 2557 15:27 น.

    [​IMG]

    เอเจนซีส์ - หลังจากที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯได้ส่งเรือพิฆาต USS Donald Cook ติดตั้งระบบอำนวยการรบเอกิส มาประจำที่สเปนเพื่อเพิ่มศักยภาพให้องค์การนาโตในการลดการคุกคามจากอิหร่าน เป็นผลให้รัสเซียขู่ที่จะถอนตัวออกจากสนธิสัญญาสันติภาพลดอาวุธนิวเคลียร์ START

    รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ชัค ฮาเกล ได้ประกาศที่การประชุมความมั่นคงมิวนิคในวันเสาร์(1)ว่า สหรัฐฯจะส่งเรือพิฆาต USS Donald Cook ติดระบบอำนวยการรบเอกิสมาประจำในยุโรป “ความสำคัญที่จะเสริมศักยภาพทางทหารคือยุโรปต้องมีระบบป้องกันขีปนาวุธที่สามารถต่อกรกับการคุกคามของอิหร่านได้ ซึ่งสหรัฐฯมีหน้าที่ต้องเพิ่มศักยภาพระบบป้องกันในส่วนตรงนั้น” ฮาเกลกล่าว ซึ่งแผนการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของเฟส 3 ในแผนการป้องกันภัยของยุโรป EPAA

    นอกจากนี้ฮาเกลยังกล่าวว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า เรือรบพิฆาตที่ติดตั้งระบบอำนวยการรบเอกิจเพิ่มเติมขึ้นอีก 3 ลำจะมาประจำเพื่อปกป้องประเทศสมาชิกองค์การนาโตในทวีปยุโรป

    “ถึงแม้ว่าสหรัฐฯจะมีปัญหาด้านการคลัง แต่ทว่างบประมาณที่ทางสหรัฐฯจะอนุมัติในเดือนหน้านั้นจะทำให้สหรัฐฯสามารถติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธในยุโรปได้” ฮาเกลกล่าวย้ำในขณะที่เขาได้เดินทางไปเยือนโปแลนด์ในต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

    “สหรัฐฯยังคงมีศักยภาพทางทหารที่จะช่วยสนับสนุนได้ ซึ่งทางเราจะยังคงความเป็นผู้นำในด้านการรักษาสันติภาพของโลกต่อไป” ฮาเกลกล่าวกับผุ้เข้าร่วมประชุมในมิวนิค ซึ่งในการประชุมนี้ฮาเกลยังกล่าวถึงจีนและรัสเซียว่า “ทั้ง 2 ประเทศล้วนรุดหน้าปรับปรุงให้กองทัพของประเทศทันสมัย รวมไปถึงอุตสาหกรรมด้านยุทโธปกรณ์ของโลก ซึ่งท้าทายศักยภาพเทคโนโลยีทางทหารของสหรัฐฯและของประเทศพันธมิตรที่อยู่ทั่วโลก”

    ซึ่งเรือพิฆาต USS Donald Cook จะถือเป็นลำแรกในทั้งหมดจำนวน 4 ลำของเรือรบสหรัฐฯที่ติดตั้งป้องกันขีปนาวุธทางอากาศ(BMD)เพื่อประจำการในยุโรป โดยจะมีเรือพิฆาตรอสเดินทางมาสบทบในไม่อีกกี่เดือนข้างหน้า ในขณะที่เรือรบสหรัฐฯคาร์นีย์ และเรือรบสหรัฐฯพอร์เตอร์จะเดินทางมาสมทบที่น่านน้ำยุโรปในปี 2015

    ซึ่งหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯได้ประเมินว่าจะมีกำลังพลจำนวน 1,239 นาย ย้ายมาประจำที่ฐานทัพโรตาในสเปนตามแผนEPAA อ้างจากศูนย์วิจัยรัฐสภาสหรัฐฯ หรือ CRS และมีการประเมินว่าโครงการนี้มีค่าใช้จ่ายราว 92 ล้านดอลลาร์ และค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงเรือรบสหรัฐฯในสเปนอีก 100 ล้านดอลลาร์ต่อปี

    โดยรัฐบาลของประธานาธิบดีสหรัฐฯบารัค โอบามาได้อ้างว่า การประจำการของเรือรบสหรัฐฯ USS Donald Cookจะสามารถปกป้องพันธมิตรของสหรัฐฯในยุโรปจากภัยการคุกคามของจรวดมิสไซล์จากอิหร่านและเกาหลีเหนือได้

    โครงการส่งเรือรบพิฆาตของสหรัฐฯ 4 ลำมาประจำยังสเปน รวมถึงการสร้างฐานเรดาร์ภาคพื้นดินนั้นอยู่ในเฟส 1 ของแผน EPAA ซึ่งเฟส 2 ของแผนนี้คือการติดตั้งระบบอำนวยการรบเอกิจบนฝั่งพร้อมกับจรวดนำวิถีพื้นสู่อกาาศต่อต้านขีปนาวุธข้ามทวีป SM-3 IB interceptor missiles ที่จะทำการติดตั้งในโรมาเนีย และเฟส 3 ของแผนEPAAคือการติดตั้งระบบอำนวยการรบเอกิจที่มาพร้อมกับจรวดนำวิถีพื้นสู่อกาาศต่อต้านขีปนาวุธข้ามทวีป SM-3 IIA interceptor missiles บนฝั่งโปแลนด์ และในเฟส 4 คือการใช้จรวดนำวิถีพื้นสู่อกาาศต่อต้านขีปนาวุธข้ามทวีป SM-3 IIB interceptor missiles ซึ่งแผนนี้ได้ถูกสหรัฐฯระงับในเดือนมีนาคม 2013

    และในขณะเดียวกันหากสหรัฐฯยังคงเดินหน้าที่จะดำเนินแผนการเพิ่มประสิทธิภาพระบบป้องกันขีปนาวุธในยุโรป รัสเซียอาจจะตัดสินใจที่จะถอนตัวออกจากสนธิสัญญาการลดอาวุธนิวเคลียร์ หรือ START มิคาอิล อูลยานอฟ ( Mikhail Ulyanov) เจ้าหน้าการปลดอาวุธระดับสูงแห่งกระทรวงต่างประเทศรัสเซียกล่าวเตือน

    “รัสเซียมีความกังวลใจที่สหรัฐฯจะยังคงสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธขึ้นโดยปราศจากความสนใจในข้อกังวลและผลประโยชน์ของรัสเซีย ซึ่งนโยบายประเภทนี้จะเป็นการบั่นทอนยุทธศาสตร์เสถียรภาพและนำไปสู่สถานการณ์ที่บีบบังคับให้รัสเซียต้องใช้สิทธิ์ถอนตัวออกจากสนธิสัญญาSTART” อูลยานอฟให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์

    ซึ่งในสนธิสัญญานี้ได้เปิดช่องให้สามารถถอนตัวได้หากมีภัยคุกคามกับความมั่นคงของชาติ ซึ่งทั้งสหรัฐฯและรัสเซียต่างมีทางเลือกที่จะถอนตัวจากสนธิสัญญานี้ และอูลยานอฟยังกล่าวต่อไปว่า “ในสถานะปัจจุบันนี้” ผู้เชี่ยวชาญรัสเซียได้ประเมินว่าระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯยังไม่มีศักยภาพพอที่จะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัสเซีย

    ซึ่งทางกรุงมอสโกหวังว่าจะสามารถตกลงในเรื่องระบบโล่ห์ขีปนาวุธของยุโรปกับทางกรุงวอชิงตันได้ “โอกาสเช่นนั้นยังมี แต่ทุกสิ่งขึ้นกับจุดมุ่งหมายทางการเมืองของสหรัฐฯ” อูลยานอฟกล่าวเสริมตบท้าย

    สนธิสัญญาSTARTได้รับการลงนามทั้งสหรัฐฯและรัสเซียในเดือนเมษายน 2010 และได้ถูกบังคับใช้หลังจากการได้รับแก้ไขในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 ซึ่งสนธิสัญญานี้มีระยะเวลาบังคับคาดว่าไม่น้อยกว่าปี 2021

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แผ่นดินไหวแรง 6.1 ริกเตอร์ “เขย่า” เกาะกรีซ สะเทือนไกลถึงกรุงเอเธนส์ (โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 กุมภาพันธ์ 2557 12:55 น.)

    [​IMG]

    เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.1 ริกเตอร์ขึ้นที่ใกล้เกาะเซฟาโลเนียของกรีซ ในทะเลไอโอเนียน เมื่อช่วงเช้ามืดของวันนี้ (3 ก.พ.) กรมสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) รายงาน

    USGS ระบุว่า แผ่นดินไหวระลอกนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 5.08 ตามเวลาท้องถิ่น (10.08 ในเมืองไทย) โดยมีศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากเมืองลิกซัวเรียนไปเพียง 12 กิโลเมตร เมืองนี้อยู่ห่างจากกรุงเอเธนส์ ไปทางทิศตะวันตก 300 กิโลเมตร แต่ยังไม่มีรายงานความเสียหาย หรือผู้ได้รับบาดเจ็บในขณะนี้

    เมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้ว ก็เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.8 ริกเตอร์ขึ้นในพื้นที่แถบเดียวกันนี้

    ชาวกรีกในหลายๆ เกาะในทะเลไอโอเนียน ตลอดจนกรุงเอเธนส์ สามารถรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นวันนี้ (3)

    ทั้งนี้ กรีซเป็นหนึ่งในชาติยุโรปที่เผชิญเหตุแผ่นดินไหวบ่อยที่สุด

    ก่อนหน้านี้ เคยเกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้นหลายครั้งในเซฟาโลเนีย และเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1953 ได้เกิดแผ่นดินไหวที่มีขนาดรุนแรงมากจนบ้านเรือนบนเกาะแห่งนี้ได้รับความเสียหายแทบทุกหลัง

    นอกจากนี้ เกาะแห่งนี้ยังเป็นฉากในนิยายเรื่อง “แมนโดลินของกัปตันคอเรลลี” ที่นำเสนอเรื่องราวความรักสมัยครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างนายทหารชาวอิตาลี กับหญิงท้องถิ่น และเมื่อปี 2011 ภาพยนตร์ชื่อเดียวกันที่นำแสดงโดย นิโคลัส เคจ กับเพเนโลเป ครูซ ก็ถ่ายทำที่เกาะแห่งนี้

    ทั้งนี้ พื้นที่แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนโดยทั้งหมดต้องประสบแผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากเป็นจุดที่แผ่นเปลือกโลกแอฟริกา และยูเรเชียมาบรรจบกัน

    [​IMG]
    เกาะเซฟาโลเนีย ในทะเลไอโอเนียน

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กัญญารัตน์ จันทร์พรม ได้แชร์รูปภาพของ รักตรัง ปกป้องตรัง

    [​IMG]

    รักตรัง ปกป้องตรัง กับ จิตติมา เจริญฤทธิ์ และคนอื่นอีก 3 คน
    เมื่อวันอาทิตย์
    จริงไหม...ที่เมืองไทยลืมพะยูน กระทิง ช้าง ฯลฯ ทิ้งๆ ขว้างๆ แต่ทุ่มงบฟูมฟักหมีแพนด้า สรรหาของที่ตัวเองไม่มี
    หากอีก 16 ปีไม่มีพะยูนแล้ว ก็ไม่เป็นไรใช่ไหม ???
    ค่อยนำเข้าพะยูนมาเพาะเลี้ยงกัน !!!

    * อ่านข้อมูลเพิ่มเติม *

    พะยูนทะเลตรังน่าห่วง คาดสูญพันธุ์ใน 16 ปี

    ผลบินสำรวจพะยูนทะเลตรังพบลดปริมาณลงต่อเนื่อง น้อยลงจากปีก่อน 15-20 ตัว ทั้งที่จะตายตามธรรมชาติเฉลี่ยเพียงปีละ 4-5 ตัวเท่านั้น คาดอาจจะสูญพันธุ์ใน 16 ปี...

    วันที่ 11 พ.ย. นายก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ หัวหน้ากลุ่มสัตว์ทะเลหายาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามัน จ.ภูเก็ต เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามัน จ.ภูเก็ต ทำการบินสำรวจพะยูนในท้องทะเลตรัง แหล่งอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากที่ใหญ่สุดของประเทศไทย รวม 9 เที่ยวบิน ซึ่งถือเป็นการบินสำรวจที่ดำเนินการต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่ 5 แล้ว เพื่อนับจำนวนประชากรพะยูนในบริเวณแนวหญ้าทะเล รวมทั้งยังมีการบินสำรวจเชื่อมต่อไปถึงพื้นที่เกาะศรีบอยา เกาะจำ และเกาะปู จ.กระบี่ เพื่อนำข้อมูลมาพยากรณ์การเกิด และการตายของพะยูนในแต่ละปี

    ทั้งนี้ แหล่งพะยูนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย อยู่บริเวณเกาะมุก และเกาะลิงบง ของ จ.ตรัง ซึ่งจากข้อมูลการบินสำรวจย้อนหลังในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พบว่าในช่วง 3 ปีแรก มีจำนวนพะยูนคงที่ แต่ในช่วง 2 ปีหลังถึงปัจจุบัน มีแนวโน้มการตายของพะยูนสูงขึ้น ประมาณปีละ 12-15 ตัว ซึ่งมีสาเหตุการตายที่สำคัญมาจากอุบัติเหตุเครื่องมือทำประมง โดยล่าสุด สำรวจพบพะยูนจำนวนแค่ 110-125 ตัว น้อยลงกว่าปีก่อนหน้านั้น 15-20 ตัว ทั้ง ๆ ที่ปกติพะยูน จะตายตามธรรมชาติเฉลี่ยเพียงปีละ 4-5 ตัวเท่านั้น

    นายก้องเกียรติ กล่าวอีกว่า แม้ขณะนี้ชาวบ้านจะร่วมใจกันอนุรักษ์พะยูนอย่างเต็มที่ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้ทางจังหวัดต้องเพิ่มความเข้มแข็งในการดูแลพื้นที่มากขึ้น เพื่อลดการตายของพะยูนจากภัยคุกคามภายนอกให้เหลือศูนย์ มีการสร้างพื้นที่คุ้มครองในแหล่งอาศัย และหากิน ที่สำคัญก็คือ มีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็งต่อเนื่อง มิเช่นนั้นจะไม่เห็นผล ขณะที่ปัญหาการขนส่งสินค้าทางทะเลก็มีผลกระทบต่อสัตว์ทะเลหายาก เพราะจากกรณีศึกษาที่ จ.กระบี่ พบว่า หากมีการสัญจรทางน้ำมาก ๆ จะกวนตะกอนให้ขุ่นขึ้นมา รวมทั้งยังทำให้เกิดมลพิษทางเสียง และคราบน้ำมันต่าง ๆ

    ทั้งนี้ ผลการบินสำรวจล่าสุดในปี 2556 ซึ่งพบพะยูนหายไปจากทะเลตรังจำนวนปีละประมาณ 12 ตัว ซึ่งหากตัวเลขการตายยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป คาดว่าภายในระยะเวลา 16 ปี พะยูนฝูงใหญ่ของประเทศไทย ซึ่งอาศัยอยู่ที่ จ.ตรัง จะสูญพันธุ์หมดไปอย่างแน่นอน นอกจากจะมีการอนุรักษ์เพื่อให้พะยูนตายไปไม่เกินปีละ 6 ตัว ก็อาจทำให้พะยูนอยู่ได้นานถึง 59 ปี ก่อนที่จะสูญพันธุ์ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากการบินสำรวจย้อนหลัง 3 ปี โดยปี 2554 พบพะยูน 134-150 ตัว ปี 2555 พบพะยูนลดลงเหลือ 110-135 ตัว และเป็นปีที่มีอัตราการตายสูงมาก 11-12 ตัว ส่วนล่าสุดในปีนี้ พบพะยูนลดลงเหลือเพียง 110-125 ตัว.

    พะยูนทะเลตรังน่าห่วง คาดสูญพันธุ์ใน 16 ปี - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
    รักตรัง ปกป้องตรัง
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นิวยอร์ก “เอาจริง” ประกาศแผนกำจัด “หงส์”

    เอเอฟพี – ที่อังกฤษ หงส์ป่าอาจได้รับการยกย่องว่าเป็นสัตว์ที่สวยงาม และสมเด็จพระราชินีนาถก็อาจมีรับสั่งให้สงวนสัตว์ชนิดนี้เอาไว้ ทว่ามลรัฐนิวยอร์กของสหรัฐฯ กลับประกาศสงครามกับหงส์ โดยกล่าวว่าพวกมันเป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวง

    แม้ว่าร่างข้อเสนอเพื่อฆ่าหรือเคลื่อนย้ายหงส์ขาว 2,200 ตัวออกจากรัฐนี้ให้หมดสิ้นภายในปี 2025 อาจได้รับการสนับสนุนจากนักอนุรักษ์บางส่วน แต่ก็ได้จุดประกายให้เหล่านักรณรงค์พิทักษ์สัตว์โกรธเคือง
    ทั้งนี้ ชาวยุโรปที่อพยพย้ายถิ่นฐานได้นำหงส์ขาวเข้ามาในอเมริกาเหนือเพื่อสร้างความสวยงามให้แก่อาณาบริเวณที่พักอาศัย เมื่อช่วงปลายทศวรรษ 1800 แต่บรรดาเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจกลับไม่ได้มองว่าสัตว์ชนิดนี้เป็นนักเดินทางพเนจรที่เลอค่าในด้านความงามอีกต่อไป
    ฝ่ายกรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนิวยอร์กชี้ว่า หงส์พวกนี้ทำร้ายคน สร้างความเสียหายแก่พืชผล และเป็นอันตรายต่อเครื่องบินไอพ่นโดยสาร ทั้งยังทำลายแหล่งน้ำเนื่องจากอุจจาระของพวกมันมีสารอีโคไล แบคทีเรียในกลุ่มโคลิฟอร์มอยู่

    นับตั้งแต่ที่เที่ยวบิน 1549 ของสายการบินสหรัฐฯ พุ่งชนฝูงห่านเมื่อปี 2009 จนต้องลงจอดในแม่น้ำฮัดสัน กรมเกษตรของสหรัฐฯ ก็เริ่มกำจัดห่านแคนาดาเป็นประจำทุกปี

    และในตอนนี้ กรมสิ่งแวดล้อมมลรัฐนิวยอร์กก็ต้องการขยายขอบเขตการกำจัดให้ครอบคลุมไปถึงหงส์ขาวเร่ร่อนภายในปี 2025 ด้วยการฆ่าพวกมันหรือเปิดโอกาสให้ผู้สนใจนำไปเลี้ยงและกักขังไม่ให้ออกมาเพ่นพ่าน
    “วิธีการควบคุมขั้นรุนแรง มีดังเช่น การยิงหงส์เร่ร่อน การจับเป็น และการทำการุณยฆาตตามแนวปฏิบัติในการจัดการสัตว์ป่า” ร่างข้อเสนอฉบับนี้ระบุ

    นอกจากนี้ ร่างข้อเสนอยังระบุด้วยว่า รังหงส์ก็จะถูกทำลายเช่นกัน และจะนำไข่ของพวกมันไปละลายในน้ำมัน เจาะให้แตก หรือผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อเพื่อไม่ให้ฟักออกมา

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/5QY_wFrUSWg?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/3iVpQ1f2Vfc?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/F20SKPMppQU?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    ผู้จัดการ
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไทม์ไลน์การปรับเปลี่ยนทฤษฎี “หลุมดำ” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กุมภาพันธ์ 2557 05:34 น.

    ปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา “สตีเฟน ฮอว์กิง” เผยแพร่รายงานทางวิชาการที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของเขาเกี่ยวกับ “หลุมดำ” วัตถุลึกลับในเอกภพที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจธรรมชาติที่แท้จริง แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการปรับเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุที่ดูดกลืนสิ่งต่างๆ รอบตัวนี้ และนิวไซแอนทิสต์ได้รวบรวมไทม์ไลน์ของหลุมดำที่เปลี่ยนแปลงไปตามการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์

    1916 กำเนิดหลุมดำ
    หลุมดำ (Black holes) กำเนิดขึ้นจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (general relativity) ซึ่งหลุมดำตามทฤษฎีแรกเริ่มนี้จะดูดกลืนทุกสิ่ง แม้กระทั่งแสงก็มิอาจหนีออกจากขอบฟ้าเหตุการณ์ (event horizon)

    1974 การแผ่รังสีฮอว์กิง (Hawking radiation)
    ฮอว์กิงเสนอว่าด้วยทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม (quantum mechanics) หลุมแผ่รังสีได้

    2004 ข้อมูลหนีออกจากหลุมดำ
    ฮอว์กิงยอมรับว่า ข้อมูลหนีออกจากหลุมดำได้ ทำให้เขาต้องยอมแพ้พนันต่อนักฟิสิกส์อีกคนที่เขาได้พนันไว้ก่อนหน้านั้น 7 ปี

    อ่านเพิ่มเติม
    - "ฮอว์กิง" ยอมรับหลุมดำพ่นวัตถุออกมา แต่ป่นปี้เกินกว่าจะใช้การได้!!
    "ฮอว์กิง" ยอมรับหลุมดำพ่นวัตถุออกมา แต่ป่นปี้เกินกว่าจะใช้การได้!!


    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2547 03:30 น.


    ฮอว์กิง ยอมรับหลุมดำพ่นวัตถุออกมา แต่ป่นปี้เกินกว่าจะใช้การได้!!
    สตีเฟน ฮอว์กิง นักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ปราดเปรื่องที่สุดต่อจากไอน์สไตน์

    เอพี/รอยเตอร์ – ฮอว์กิงเผยกลางที่ประชุมนักฟิสิกส์โลก แค่ว่าหลุมดำปล่อยสิ่งที่เก็บอยู่ภายในออกมา แต่อยู่ในภาพที่ย่อยสลายเกินกว่าจะจำได้ เหล่าผู้เข้าร่วมประชุมยังคงไม่เคลียร์กับคำอธิบายถึงข้อค้นพบของไอน์สไตน์แห่งยุค พร้อมรอผลการศึกษาที่เขาจะพิมพ์เผยแพร่ในเดือนหน้า ทางด้านนักฟิสิกส์ผู้ค้านทฤษฎีของฮอว์กิงมาตลอดสุดดีใจในที่สุดแล้วความคิดของเขาก็ถูกต้อง !!

    วานนี้ (21 ก.ค.) สตีเฟน ฮอว์กิง นักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ออกมาประกาศถึงสมมติฐานใหม่ของเขาในระหว่างการประชุมว่าด้วยเรื่องสัมพัทธภาพทั่วไปและแรงโน้มถ่วงครั้งที่ 17 ณ กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นการย้อนพลิกความคิดของตัวเองที่ได้รับความเชื่อถือมากว่า 3 ทศวรรษ

    ฮอว์กิง เปิดเผยผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนรถเข็นของเขาว่า “หลุมดำ” วัตถุลึกลับที่เกิดขึ้นมาจากการยุบตัวของดวงดาวนั้น ไม่ได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาดูดกลืนเข้าไปอย่างที่เคยเชื่อมา แต่ว่าในที่สุดแล้วหลุมดำกลับพ่นวัตถุและพลังงานออกในมารูปของ “ผุยผง”

    ทั้งนี้ หลังจากที่ฮอว์กิงได้เสนอแนวคิดเรื่องหลุมดำว่าไม่สามารถมีอะไรผ่านออกไปได้นั้น ก็ได้พยายามคิดหาคำตอบตลอดระยะเวลา 30 ปีว่า หลุมดำทำลายวัตถุและพลังงานทุกชนิดที่ผ่านเข้าไปได้อย่างไร และทฤษฎีอะตอมย่อย (subatomic theory) ซึ่งกล่าวถึงอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมว่าธาตุหรือมูลจะต้องมีอยู่ แต่จะอยู่ในรูปแบบใด

    ฮอว์กิงกำลังอธิบายว่าหลุมดำพ่นวัตถุและพลังงานที่ถูกดูดเข้าไปออกมาสู่จักรวาลอย่างไร แต่ก็ไม่สามารถสร้างความกระจ่างให้แก่ที่ประชุมนักฟิสิกส์ได้มากนัก

    ฮอว์กิงวัย 62 ปี ตอบคำถามเหล่านี้ในที่ประชุมว่า หลุมดำยึด “สิ่งที่อยู่ภายใน” ไว้เป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี แต่ตัวมันเองกลับค่อย ๆ สลายและสิ้นอายุลง จากนั้นหลุมดำที่สลายแล้วก็จะส่ง “สิ่งที่อยู่ภายใน” ซึ่งแปรรูปไปแล้วกลับสู่ขอบจักรวาลกว้างไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเป็นที่ที่ “สิ่งที่อยู่ภายใน” เหล่านี้เดินทางมา

    “ไม่มีจักรวาลเกิดใหม่ ซึ่งเป็นเป็นสิ่งที่ผมเคยไตร่ตรอง และเชื่อว่าข้อมูลทั้งหมดยังอยู่ในจักรวาลของเราอย่างแน่นอน” ฮอว์กิงกล่าวในสุนทรพจน์ต่อหน้านักฟิสิกส์และนักวิทยาศาสตร์กว่า 800 คนจาก 50 ประเทศ เพราะก่อนหน้านี้ฮอว์กิงได้ออกมาคัดค้านถึงความเป็นไปได้ว่าวัตถุที่หายเข้าไปในหลุมดำจะทะลุไปสู่อีกจักรวาลหรือเอกภพใหม่ที่เป็นคู่ขนานหรือมีความคล้ายคลึงกับเอกภพของเรา ซึ่งฮอว์กิงติงว่าออกจะคล้ายกับเรื่องเหลวไหลในนิยายวิทยาศาสตร์ที่เล่าๆ กันมา

    “ผมขอโทษที่ทำให้แฟนนิยายวิทยาศาสตร์ผิดหวัง แต่ถ้าข้อมูลถูกปกปักษ์รักษาไว้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้หลุมดำเดินทางไปสู่เอกภพอื่นๆ ถ้าคุณกระโดดลงไปในหลุมดำ พลังงานทั้งหมดของคุณก็จะถูกส่งกลับออกมาสู่เอกภพของเรา แต่อยู่ในรูปแบบที่บู้บี้บุบสลาย ซึ่งจะมีข้อมูลของพวกคุณออกมา แต่ว่าจะอยู่ในสภาพที่จำไม่ได้เลย” ฮอว์กิงอธิบายพร้อมกับสีหน้าที่ยิ้มแย้มติดตลก พลอยให้ผู้ฟังหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน และยังแถมท้ายว่าเขารู้สึกโล่งใจมากที่ขบคิดปัญหาคาใจเขามาเกือบ 30 ปีออก

    อย่างไรก็ดี เมื่อ 7 ปีที่แล้วฮอว์กิงเคยได้พนันกับจอห์น เพรสกิลล์ นักทฤษฎีฟิสิกส์จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนียที่ค้านความคิดของฮอว์กิง และยืนยันว่าวัตถุที่เข้าไปในหลุมดำจะไม่ถูกทำลาย ซึ่งการค้นพบครั้งนี้ของฮอว์กิงจึงเป็นเหตุให้เขาแพ้พนัน และในการประชุมครั้งนี้เขาก็คงความเป็นคนมีอารมณ์ขันไว้ด้วยการ กล่าวถึงการพนันระหว่างเขากับเพรสกิลล์

    “ตอนนี้ผมยอมรับว่าแพ้พนัน เลยตั้งใจจะหารางวัลสำหรับผู้ชนะตามสัญญาคือเป็นหนังสือสารานุกรมสำหรับไว้อ้างอิง ซึ่งก็เห็นว่าหนังสือ "Total Baseball, The Ultimate Baseball Encyclopedia" (สารานุกรมเกี่ยวกับเบสบอล) กำลังขายดีในอเมริกา แต่หนังสือเล่มนี้หาที่นี่ (อังกฤษ) ยากจัง เลยจะเสนอสารานุกรมคริกเก็ต (ซึ่งเป็นกีฬาเก่าแก่ของอังกฤษ) ให้แทน แต่ว่าจอห์นคงจะไม่สนคริกเก็ตเป็นแน่” ฮอว์กิงแห่งเกาะอังกฤษกล่าวมุขตลกระหว่างสัญชาติ พร้อมๆ กับเสียงฮาของนักวิทยาศาสตร์ที่เข้าร่วมประชุม

    จากนั้น เพรสกิลล์ นักฟิสิกส์ชาติอเมริกันก็กล่าวว่า เขารู้สึกปลาบปลื้มที่ชนะพนันฮอว์กิง และจะไม่ลืมช่วงเวลาที่ถกเถียงเรื่องหลุมดำกับฮอว์กิงมาตลอดหลายปี “แต่ผมขอกล่าวอย่างจริงใจเลยนะว่า ผมไม่เข้าใจที่ฮอว์กิงอธิบายในวันนี้ เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน แต่จะรออ่านรายละเอียดเหล่านี้ จากหนังสือของเขาที่คาดว่าจะพิมพ์ออกมาในเดือนหน้า”

    เช่นเดียวกับคีป ธอร์น นักฟิสิกส์ร่วมสถาบันกับเพรสกิลล์ซึ่งร่วมพนันในครั้งนั้น แต่หนุนข้างฮอว์กิงเต็มที่ ก็กล่าวว่าไม่เห็นรายละเอียดอะไรจากสิ่งที่ฮอว์กิงบอกว่าค้นพบใหม่ เหมือนๆ กับนักวิทยาศาสตร์อีกหลายๆ คน ซึ่งท้ายที่สุดต่างก็รออ่านหนังสือที่เล่าทฤษฎีใหม่ของฮอว์กิงก่อนที่จะเปลี่ยนใจเชื่อตาม

    [​IMG]
    และนี่คือสัญญาลูกผู้ชายของฮอว์กิง เมื่อ 7 ปีที่แล้วที่พนันไว้กับจอห์น เพรสกิลล์ซึ่งค้านเขามาตลอด พร้อมด้วยคีป ธอร์นที่ถือหางฮอว์กิง แต่ตอนนี้ทั้ง 2 แพ้พนันแล้ว


    นอกจากนี้ ยังมีนักฟิสิกส์อีกส่วนหนึ่งไม่เชื่อในสิ่งที่ฮอว์กิงได้คิดใหม่ ซึ่ง ศ.วิลเลียม อันรูห์ มหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบียและ ศ.โรเบิร์ต วาลด์ จากมหาวิทยาลัยชิคาโก 2 ผู้นำในวงการฟิสิกส์ ซึ่งนั่งแถวหน้าในการประชุมครั้งนี้ต่างยักไหล่และส่ายศีรษะไม่เห็นด้วยขณะที่ฮอว์กิงกำลังอธิบายข้อค้นพบใหม่

    "ฮอว์กิงย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งที่เขาเชื่อมาก่อนหน้านี้ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นว่าทุกสิ่งที่ตกเข้าไปในหลุมดำจะถูกส่งกลับไปแหล่งที่มา นี่เขากำลังวิ่งออกไปจากสิ่งที่พวกเราเชื่อกัน" ศ.วาล์ด ผู้เชี่ยวชาญทางด้านหลุมดำ กล่าว ขณะที่อันรูห์ ก็กล่าวว่า "สิ่งที่เป็นปัญหาในตอนนี้ก็คือฮอว์กิงมีรายละเอียดน้อยเกินไป ดังนั้นเราจึงไม่แน่ใจว่าจะเชื่อได้หรือไม่ แน่นอนกว่าสตีเฟน ฮอว์กิงไม่ได้โง่ พวกเราเลยต้องฟังเขาพูดอย่างตั้งใจ แต่ว่าทฤษฎีทั้งหมดที่พวกเราได้ยิน มันเหมือนกับว่าเดาเอาเอง"

    ทั้งนี้ ฮอว์กิงเป็นเป็นผู้นำในการศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องหลุมดำ โดยเปรียบว่าเป็นวัตถุประหลาดที่หมุนเป็นวง เกิดขึ้นเมื่อดาวฤกษ์ดับแสงหรือตายลงตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 70 หรือประมาณปี พ.ศ.2518 เป็นต้นมา ซึ่งก่อนหน้านี้ฮอว์กิงยืนยันว่าหลุมดำปล่อยออกมาได้เพียงแค่รังสีเหมือนดวงดาวที่มีความร้อน แต่ไม่สามารถปล่อยสิ่งใดที่หลุดลงไปให้เล็ดรอดออกมาได้ ซึ่งความเห็นนี้ขัดแย้งกับทฤษฎีว่าด้วยอนุภาคที่เกี่ยวกับอะตอม และขัดแย้งกับแนวคิดที่ว่าวัตถุไม่สามารถถูกทำลายอย่างสมบูรณ์

    ฮอว์กิง ศาสตราจารย์ทางด้านคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เจ้าของผลงานหนังสืออะ บรีฟ ฮีสทรี ออฟ ไทม์ (A Brief History of Time) พิมพ์จำหน่ายมากว่า 10 ล้านเล่ม และในภาคภาษาไทยชื่อว่า “ประวัติย่อของกาลเวลา” ซึ่งได้อธิบายเรื่องราวอันซับซ้อนของจักรวาลให้แก่ผู้อ่านทั่วไปได้เข้าใจ และแม้ว่าร่างกายของเขาจะอ่อนเปลี้ย เพราะเส้นโลหิตตีบทำให้กล้ามเนื้อฝ่อ ต้องนั่งอยู่บนรถเข็นตั้งแต่ช่วงอายุ 20 กว่าปี แต่ฮอว์กิงก็ยังเดินทางไปทั่วโลก ซึ่งฮอว์กิงจะสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนรถเข็น

    การที่ฮอว์กิงสื่อสารออกมาได้นาทีละประมาณ 20 คำ ทำให้เขาสามารถตอบได้เพียง 2 คำถามในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนซึ่งมีเวลาเพียง 30 นาที โดยคำถามสุดท้ายก็คือหลังจากที่เพิ่งหาคำตอบเรื่องความซับซ้อนของหลุมดำได้แล้ว ฮอว์กิงต้องการจะหาคำตอบในเรื่องอะไรต่อไป ซึ่งฮอว์กิงตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ผมไม่รู้” จากนั้นก็เกิดเสียงหัวเราะลั่นห้องประชุม

    ติดต่อและติดตามผลงานของฮอว์กิงผ่านเว็บไซต์ของเขาได้ที่นี่ Stephen Hawking - Home



    2012 กำเนิดความขัดแย้งในกำแพงเพลิง
    การหนีของข้อมูลทำให้เกิด “กำแพงเพลิง” หรือไฟร์วอลล์พาราดอกซ์ (Firewall paradox) ที่ไม่สอดคล้องกับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป

    2014 กำเนิดขอบฟ้าปรากฏ (Apparent horizon)
    ขอบฟ้าเหตุการณ์ (Event horizon) ถูกแทนที่ด้วย ขอบฟ้าปรากฏ (apparent horizon) ซึ่งอนุญาตให้แสงบางส่วนผ่านออกมาได้ และกำจัดปัญหาเรื่องไฟร์วอลล์พาราดอกซ์ทิ้งไป

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปัญหาที่ยุ่งเหยิงภายใน “หลุมดำ” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กุมภาพันธ์ 2557 05:34 น.

    [​IMG]
    * ภาพผสมจากกล้องฮับเบิลเผยลำรังสีและคลื่นวิทยุที่ปล่อยมาจากหลุมดำใจกลางกาแล็กซีเซนทอรัสเอ (Centaurus A) หรือ NGC5128 (นาซา)

    ขณะที่คนทั่วไปอาจจะพอรู้จักหลุมดำในแง่ว่าเป็นวัตถุขนาดยักษ์ที่ดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ธรรมชาติที่แท้จริงของ “หลุมดำ” เป็นอย่างไรนั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันในแวดวงวิทยาศาสตร์และยังคงศึกษาเพื่อเข้าใจในธรรมชาติอันยากจะเข้าใจของวัตถุลึกลับในเอกภพนี้

    งานวิจัยล่าสุดโดย สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen Hawking) นักฟิสิกส์ทฤษฎีและนักจักรวาลวิทยา จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge) อังกฤษ ได้เขย่าวงการจักรวาลวิทยาอีกครั้ง เมื่อเขาปรับเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับจุดคงที่ของหลุมดำ (black hole) ที่เรียกว่า “ขอบฟ้าเหตุการณ์” (event horizon) ซึ่งเป็นจุดที่แม้แต่แสงก็ไม่อาจหนีออกมาได้ ว่าอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง และเสนอ “ขอบฟ้าปรากฏ” (apparent horizon) ที่มีอยู่ชั่วคราวในหลุมดำขึ้นมาแทน

    ไบรอัน โกเบอร์ไลน์ (Brian Koberlein) นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ และศาสตราจารย์ฟิสิกส์ประจำสถาบันเทคโนโลยีโรเชสเตอร์ (Rochester Institute of Technology) อธิบายผ่านบทความในยูนิเวอร์สทูเดย์ว่า ขอบฟ้าเหตุการณ์เป็นลักษณะสำคัญของหลุมดำ เป็นตำแหน่งที่หากมีสิ่งใดผ่านเข้าไปจะไม่อาจหวนกลับออกมาได้

    ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ที่ขอบฟ้าเหตุการณ์เป็นตำแหน่งที่กาล-อวกาศบิดเบี้ยวผิดรูปเนื่องจากแรงโน้มถ่วงจนเราไม่อาจหนีออกมาได้ และธรรมชาติของขอบฟ้าเหตุการณ์ที่เข้าไปแล้วออกไม่ได้นี้ได้ท้าทายความเข้าใจเกี่ยวกับฟิสิกส์ของแรงโน้มถ่วง เพราะดูเหมือนขอบฟ้าเหตุการณ์จะละเมิดกฎอุณหพลศาสตร์ (thermodynamics)

    ตัวอย่างที่โกเบอร์ไลน์ยกมาคือหนึ่งในกฎของอุณหพลศาสตร์ระบุว่าไม่มีสิ่งใดที่จะมีอุณหภูมิเป็นศูนย์องศาสัมบูรณ์ (absolute zero) เพราะแม้แต่ของที่เย็นจัดก็ยังแผ่ความร้อนออกมาบ้าง แต่ถ้าหลุมดำกักแสงเอาไว้ทั้งหมด นั่นหมายคามว่าหลุมดำก็จะไม่ปลดปล่อยความร้อนใดๆ ออกมา ดังนั้น หลุมดำจะมีอุณหภูมิศูนย์องศาสัมบูรณ์ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ ตามกฎอุณหพลศาสตร์

    เจอเรนท์ ลูอิส (Geraint Lewis) ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ (University of Sydney) ออสเตรเลีย ได้เขียนบทความลงในสเปซด็อทคอม ชี้ถึงที่มาของปัญหาความขัดแย้งระหว่างทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปกับกลศาสตร์ควอนตัมที่นำมาสู่ผลงานใหม่ของฮอว์กิง โดยเริ่มปูพื้นจากกำเนิดของหลุมดำที่คาร์ล ชวาร์ซไชลด์ (Karl Schwarzschild) นักฟิสิกส์เยอรมันนำสมการจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์มาอธิบายถึงการมีหลุมดำ

    สมการจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปที่ไอน์สไตน์นำเสนอเมื่อปี 1915 ได้ปฏิวัติความเข้าใจของเราเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง ซึ่งระหว่างที่เขาติดอยู่กับสมการของตัวเองนั้น ชวาร์ซไชลด์ก็นำสมการดังกล่าวมาอธิบายถึงสนามโน้มถ่วงที่กระจายอยู่รอบมวลเป็นทรงกลมรอบๆ และได้ข้อสรุปที่นำไปสู่การทำนายว่า มวลของวัตถุดังกล่าวจะยุบตัวลงมาปะทะกันตรงศูนย์กลางที่เรียกว่า “ซิงกูลาริตี” (singularity) ซึ่งมีสนามโน้มถ่วงอยู่รอบๆ และแม้แต่แสงก็ไม่อาจเล็ดลอดออกมาได้

    ขณะที่เราทราบว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปนั้นอธิบายถึงแรงของความโน้มถ่วง แต่ลูอิสก็อธิบายต่อว่าในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นั้นก็มีการปฏิวัติความเข้าใจของเราเกี่ยวกับแรงพื้นฐานอื่นๆ ด้วย ซึ่งกลศาสตร์ควอนตัมสามารถให้รายละเอียดเกี่ยวกับแรงพื้นฐานอื่นๆ ได้อย่างงดงาม ทว่าปัญหาคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปและกลศาสตร์ควอนตัมกลับไปด้วยกันได้ไม่สวยนัก โดยกลศาสตร์ควอนตัมไม่สามารถอธิบายถึงแรงโน้มถ่วงได้ ขณะที่สัมพัทธภาพทั่วไปก็อธิบายถึงแรงโร้มถ่วงได้เพียงอย่างเดียว

    “เมื่อพูดถึงทฤษฎีทั้งสองในสถานการณ์ที่มีแรงโน้มถ่วง และก็ไม่อาจเมินเฉยต่อกลศาสตร์ควอนตัมได้ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือแปะสมการทั้งสองเข้าด้วยกัน จนกว่าเราจะมีทฤษฎีสรรพสิ่ง (unified theory) ที่รวมแรงโน้มถ่วงและแรงพื้นฐานอื่นๆ เข้าเป็นสมการเดียวกันได้ นั่นคือสุดความสามารถที่เราทำได้” ลูอิสชี้ถึงปัญหาที่นักฟิสิกส์ทฤษฎีกำลังเผชิญ และบอกว่าฮอว์กิงเป็นตัวอย่างหนึ่งของผู้พยายามแก้ปัญหาดังกล่าว

    ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ฮอว์กิงได้พยายามแก้ปัญหาดังกล่าว โดยเขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นที่ขอบฟ้าเหตุการณ์ในแง่ของกลศาสตร์ควอนตัม จุดที่มวลของอนุภาคที่กำลังครุ่กรุ่นผลุบเข้าและผลุบออก โดยที่ขอบฟ้าเหตุการณ์นั้นเกิดกระบวนการแยกอนุภาคที่ส่วนหนึ่งถูกดึงเข้าสู่ซิงกูลาริตี และส่วนหนึ่งหนีออกไปได้ ซึ่งฮอว์กิงได้แสดงให้เห็นว่า หลุมดำมีการแผ่รังสีสู่อวกาศ และดูดกลืนพลังงานจากแกนความโน้มถ่วงอย่างช้าๆ ซึ่งทำให้มีเวลาพอที่หลุมดำจะแผ่รังสีได้ และนั่นก็เป็นจุดจบของหลุมดำแบบดั่งเดิมตามคำอธิบายของลูอิส

    [​IMG]
    *สตีเฟน ฮอว์กิง (นาซา)

    ทว่าเมื่อรวมทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมเข้าไปในการศึกษาเรื่องแรงโน้ม ลูอิสระบุว่าเราเจอปัญหาที่ใหญ่กว่านั่นคือปัญหาเรื่อง “ข้อมูล” (information) โดยตามทฤษฎีกลศาสตร์คอวนตัมนั้นจะให้ความสำคัญต่อข้อมูลอย่างมาก โดยใส่ใจต่อรายละเอียดของสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นวัตถุที่ตกลงไปในหลุมดำ ซึ่งหากยกตัวอย่างเป็นกาน้ำชา ตามทฤษฎีนี้ก็สนใจว่ากาน้ำชานั้นมีโปรตอนและอิเล็กตรอนเท่าไร อยู่ตำแหน่งไหน การจัดเรียงขององค์ประกอบเหล่านั้นเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า ากาน้ำชานั้นต่างจากวัตถุอื่นๆ

    “เมื่อโยนกาน้ำชาเข้าไปในหลุมดำ มันจำถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง โดยเริ่มจากแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ จากนั้นจะแตกสลายเป็นอะตอม และถูกแยกจากกันก่อนจะถูกดูดกลืนสู่ซิงกาลาริตี แต่การแผ่รังสีของฮอว์กิงนั้นพยากรณ์ถึงการแผ่รังสีของหลุมดำ โดยที่ไม่ให้ข้อมูลว่าวัตถุอะไรที่ตกลงไป และไม่ว่าจะพิจารณาการแผ่รังสีดีแค่ไหนก็ไม่อาจระบุได้ว่านั่นคือกาน้ำชา ตู้เย็น หรือ กิ้งก่าอีกัวนา” ลูอิสระบุปัญหา

    การตัดข้อมูลออกจากการศึกษาตามทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ และในช่วงไม่กี่ปีมานี้นักวิจัยหลายคนพยายามที่จะหาว่าบางที่อาจจะมีร่องรอยของข้อมูลที่หลุมดำดูดกลืนลงไป ซึ่งปัญหาของฟิสิกส์ยุคใหม่ที่เราเผชิญอยู่คือยังไม่มีกรอบทางคณิตศาสตร์ที่ทั้งกลศาสตร์ควอนตัมและแรงโน้มถ่วงทำงานไปด้วยกันได้

    ลูอิสระบุว่า ในปี 2012 โจเซฟ พอลชินสกี (Joseph Polchinski) นักฟิสิกส์สหรัฐฯ ได้ศึกษาการแผ่รังสีฮอว์กิง (Hawking radiation) ที่บริเวณใกล้ๆ ขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดำ โดยเฝ้าดูนุภาคคู่ถูกแยกด้วยสุญญากาศควอนตัม โดยอนุภาคส่วนหนึ่งถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ และอีกส่วนหนึ่งหนีออกสู่อวกาศได้อย่างอิสระ และใช้เคล็ดทางคณิตศาสตร์ตั้งคำถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ข้อมูลของอนุภาคที่ถูกดูดกลืนเข้าไปในหลุมดำนั้นไม่ได้หายไป แต่ถูกประทับลงบนอนุภาคที่หนีออกมาได้

    ตามการเปรียบเทียบของลูอิสเมื่อโยนกิ้งก่าอีกัวนาลงหลุมดำ อีกัวนาจะผ่ากำแพงไฟที่เรียกว่า “ไฟร์วอลล์” (firewall) ซึ่งทำให้กิ้งก่าไหม้เกรียม แต่อย่างน้อยข้อมูลไม่ได้หายไปด้วย ซึ่งกิ้งก่าจะรู้ตัวว่าผ่านสู่กำแพงดังกล่าวหรือขอบฟ้าเหตุการณ์จากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปที่ผู้สังเกตจะผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์โดยไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของกำแพงดังกล่าว

    งานวิจัยล่าสุดของฮอว์กิงแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการกวนทฤษฏีกลศาสตร์ควอนตัมเข้ากับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป โดยมวลที่กำลังเดือดอยู่ในสุญญากาศของหลุมดำนั้นก็คือข้อมูลของวัตถุที่ใหม้เกรียม และยังเสนอว่าหลุมดำมีขอบฟ้าเหตุการณ์ที่คงอยู่ชั่วคราวที่เรียกว่า “ขอบฟ้าปรากฏ” (apparent horizon) แทนขอบฟ้าเหตุการณ์ที่มีตำแหน่งคงที่ โดยขอบฟ้าปรากฏจะทำน้าที่ในการดักสสารและแผ่รังสีอยู่ภายในหลุมดำ แต่การดักดังกล่าวก็เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และท้ายสุดสสารและการแผ่รังสีจะถูกปล่อยออกมาพร้อมกับข้อมูล

    “สิ่งที่ฮอว์กิงกำลังบอกคือด้วยการรวมกลศาสตร์ควอนตัมเข้าไป แนวคิดเกี่ยวกับหลุมดำที่ควบคุมโดยสมการของทฆษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเพียงอย่างเดียวหรือหลุมดำแบบดั้งเดิมนั้น ไมีมีอยู่ และขอบฟ้าเหตุการณ์ ซึ่งเป็นขอบเขตระหว่างการหนีและไม่อาจหนีนั้นก็มีความซับซ้อนมากกว่าที่เราเคยเข้าใจ แต่เราก็ระแคะระคายในเรื่องมานานกว่า 40 ปี นับแต่เขาเริ่มแก้ปัญหานี้ตั้งแต่ยุคแรกๆ” ลูอิสสรุปถึงผลงานวิจัยใหม่ของฮอว์กิง

    อย่างไรก็ดี ท้ายสุดลูอิสระบุว่า แม้ว่าฮอว์กิงจะเป็นอัจฉริยะแห่งยุค แต่วิทยาศาสตร์ก็ต่างจากศาสนา ตรงที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ต้องเชื่อในสิ่งที่ยักษ์ใหญ่ของวงการบอก และนักวิทยาศาสตร์ยังต้องถกเถียงถึงปัญหาในเรื่องนี้ต่อไป
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “หลุมดำ” ยิ่งยุ่งเหยิงหลัง “สตีเฟน ฮอว์กิง” เสนอทฤษฎีใหม่ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 กุมภาพันธ์ 2557 02:58 น.

    [​IMG]
    * สตีเฟน ฮอว์กิง (นาซา)

    ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา “สตีเฟน ฮอว์กิง” ยักษ์ใหญ่แห่งวงการฟิสิกส์ได้เขย่าวงการอีกครั้งด้วยการเสนอทฤษฎีใหม่ ซึ่งทำให้ “หลุมดำ” ที่เข้าใจได้ยากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนก็ยังไม่เชื่อมั่นในผลงานที่เขาเสนอมา

    หลังจาก สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen Hawking) นักฟิสิกส์อัจฉริยะแห่งยุคได้เสนอผลงานทางวิชาการเกี่ยวกับหลุมดำ (Black hole) ซึ่งเผยแพร่ใน arXiv.org เมื่อวันที่ 22 ม.ค. ก็เกิดข้อถกเถียงมากมายจากนักวิทยาศาสตร์ในวงการ รายงานข่าวระบุว่า ผลงานดังกล่าวนำเสนอในเวอร์ชัน “ฉบับก่อนพิมพ์” ซึ่งยังไม่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญในสาขา

    ใจความคร่าวๆ ส่วนหนึ่งในผลงานใหม่ที่ฮอว์กิงนำเสนอเกี่ยวกับหลุมดำและเขย่าวงการฟิสิกส์ให้ต้องถกกัน คือ สิ่งที่เคยเข้าใจว่า แม้กระทั่งแสงก็ไม่หนีแรงดึงดูดของหลุมดำเมื่อผ่านจุดคงที่ซึ่งเรียกว่า “ขอบฟ้าเหตุการณ์” (event horizon) นั้น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

    ถึงกระนั้นไลฟ์ไซน์ระบุว่าไม่ใช่นักฟิสิกส์ทุกคนที่เห็นพ้องกับนักฟิสิกส์ผู้มีร่างกายพิการ บางคนเสนอด้วยว่าถึงจะพุ่งประเด็นไปที่ขอบฟ้าเหตุการณ์ แต่ก็ไม่ได้แก้ปัญหาความขัดแย้งอันยุ่งเหยิงของหลุมดำ ที่เรียกว่า “ไฟร์วอลล์พาราดอกซ์” (Firewall Paradox) ที่เกิดจากความไม่ลงรอยระหว่างทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (general relativity) ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) กับทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม

    ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ได้ทำนายถึงการมีอยู่ของหลุมดำ ซึ่งเป็นวัตถุที่มีมวลมหาศาลและมีความหนาแน่นสูง และดึงดูดทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ เข้าหาตัวเอง ผ่านจุดขอบฟ้าเหตุการณ์ที่แม้แต่แสงไม่สามารถเล็ดรอดออกมาได้ แต่เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาตามรายงานของไลฟ์ไซน์นั้น โจเซฟ พอลชินสกี (Joseph Polchinski) จากสถาบันฟิสิกส์ทฤษฎีคาฟลี (Kavli Institute for Theoretical Physics) มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานตาบาร์บารา (University of California, Santa Barbara) และคณะได้พบจุดบกพร่องของทฤษฎีดังกล่าว และเรียกความบกพร่องนั้นว่าไฟร์วอลล์พาราด็อกซ์

    จากการทดลองทางความคิด (thought experiment) ของพอลชินสกี หากให้มนุษย์อวกาศพลัดหลงเข้าไปในหลุมดำ ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์บอกว่า มนุษย์อวกาศจะผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์เข้าไปโดยไม่รู้ตัว เพราะ “ตกอิสระ” (free fall) และสัมผัสได้ถึงกฎฟิสิกส์เหมือนในทุกที่ของเอกภพ เมื่อเข้าไปข้างไหนหลุมดำร่างของมนุษย์อวกาศจะถูกฉีกขาด ก่อนจะถูกบีบอัดตรงแกนกลางที่มีความหนาแน่นเป็นอนันต์ที่เรียกว่า “ซิงกูลาริตี” (singularity)

    ทว่า ตามทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมที่ควบคุมพฤติกรรมของอนุภาคเล็กๆ นั้นบอกว่าหลุมดำไม่ได้เป็นสุญญากาศอย่างสมบูรณ์ และในปี 1974 ฮอว์กิงเองได้เสนอทฤษฎีว่าหลุมดำปล่อยให้มีการรั่วของอนุภาคออกมาจากขอบของหลุมดำ หรือที่เรียกว่า “การแผ่รังสีฮอว์กิง” (Hawking Radiation)

    ทางพอลชินสกีและคณะให้อนุภาคเหล่านั้นเป็น “ข้อมูล” (information) ที่สามารถหนีออกจากขอบฟ้าเหตุการณ์ได้ โดยได้ทำนายว่า วงแหวนแพลิงที่มีพลังงานมหาศาลนั้นน่าจะอยู่ภายในขอบฟ้าเหตุการณ์ หากว่าทฤษฎีควอนตัมถือครองความจริง กำแพงเพลิงดังกล่าวจะเผาไหม้มนุษย์อวกาศตามการทดลองทางความคิดเสียก่อนที่อัดร่างให้เป็นจุดเล็กๆ

    เรื่องกำแพงเพลิงดังกล่าวได้ปั่นป่วนแนวคิดที่ว่า ขอบฟ้าเหตุการณ์นั้นราบเรียบและมีกาล-อวกาศ (space-time) ที่ไม่บิดเบี้ยว และเกิดคำถามว่าแท้จริงแล้วหลุมดำมีขอบฟ้าเหตุการณ์หรือวงแหวนแห่งไฟนรกหรือไม่? ซึ่งในการแก้ปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว ไลฟ์ไซน์ระบุในรายงานฉบับใหม่ของฮอว์กิงเสนอว่า ไม่มีขอบเขตที่ตายตัวสำหรับขอบฟ้าเหตุการณ์

    ในรายงานฉบับใหม่ของฮอว์กิงเขียนว่า ไม่มีหลุมดำหรือขอบฟ้าเหตุการณ์แบบที่สิ่งต่างๆ ไม่อาจเล็ดลอดออกมาได้ตลอดกาล แต่มีสิ่งที่เรียกว่า “ขอบฟ้าปรากฏ” (apparent horizon) ซึ่งปรากฏอยู่ชั่วคราวแทน โดยขอบฟ้าดังกล่าวจะเลื่อนตำแหน่งไปอย่างดุเดือดตามพฤติกรรมของอนุภาคควอนตัมที่อยู่ภายในหลุมดำ (*Edited)

    “พลังงานและสสารที่พยายามจะหนีจากถูกขังแน่นภายในหลุมดำจะติดอยู่ในนั้นช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะถูกปลดปล่อยออกมา และแม้ว่าข้อมูลจะหนีออกจากขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดำมาได้ แต่ก็ยากจะบอกได้ว่าต้นกำเนิดของข้อมูลเหล่าคืออะไร” ไลฟ์ไซน์ระบุถึงรายงานใหม่ของฮอว์กิง

    ด้าน ดอน เพจ (Don Page) นักฟิสิกส์และผู้เชี่ยวชาญเรื่องหลุมดำจากมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตา (University of Alberta) ในเอ็ดมอนทอน แคนาดา เปรียบเทียบให้แก่เนเจอร์นิวส์ว่า การจะระบุถึงกำเนิดของข้อมูลที่หลุดออกมาหลุมดำนั้นเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่าความพยายามคืนร่างให้หนังสือที่เราเผาจากเถ้าถ่านของหนังสือที่ถูกเผาเสียอีก

    ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อในฮอว์กิง ทางด้านพอลชินสกีผู้ค้นพบว่ามีข้อมูลที่หนีออกจากหลุมดำนั้นไม่เชื่อว่าในเอกภพนี้จะมีหลุมดำที่ไม่มีขอบฟ้าเหตุการณ์ และยังเชื่อด้วยว่า ทฤษฎีใหม่ของฮอว์กิง ไม่ได้แก้ไขความขัดแย้งพื้นฐานของหลุมดำ สอดคล้องกับ เจอเรนท์ ลูอิส (Geraint Lewis) ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ (University of Sydney) ออสเตรเลีย ที่เขียนบทความอธิบายถึงผลงานใหม่ของฮอว์กิงลงในสเปซด็อทคอม

    ลูอิสระบุว่า แม้ฮอว์กิงจะเป็นนักฟิสิกส์ที่เก่งจนไม่มีใครเทียบได้ในยุคนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเชื่อเขา และบอกว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนามักถูกนำมาเปรียบเทียบกันบ่อยๆ ขณะที่ผู้ศรัทธาในศาสนาจะรอฟังคำสั่งจากเบื้องบน แต่นั่นไม่ใช่ลักษณะการทำงานทางวิทยาศาสตร์ แม้ว่าฮอว์กิงจะฉลาดมาก แต่เขาก็เป็นเพียงคนๆ หนึ่ง และเชื่อว่าการถกเถียงเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของหลุมดำจะยังคงดำเนินต่อไป งานของฮอว์กิงทำให้ทราบว่าหลุมดำนั้นซับซ้อนกว่าที่เราคิด แต่ซับซ้อนอย่างไรนั้นเราจะทราบได้เมื่อทำให้แรงโน้มถ่วงและกลศาสตร์ควอนตัมไปด้วยกันได้

    [​IMG]

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยืนยัน "อนุภาคผี" เปลี่ยนรูปกลับไป-กลับมาได้ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2556 15:27 น.

    [​IMG]
    ซูเปอร์-เค มีเครื่องตรวจวัดอนุภาคนิวทริโน โดยวัดแสงที่ที่เกิดจากอันตรกริยาระหว่างนิวทริโนและน้ำที่มีความบรสุทธิ์สูง (ภาพ)

    "นิวทริโท" หรืออนุภาคที่ถูกเรียกว่า "อนุภาคผี" เพราะอยู่ท่วมจักรวาล แต่เรากลับตรวจจับอนุภาคนี้ได้ยาก งานวิจัยล่าสุดยืนยันอนุภาคดังกล่าวสามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ ซึ่งอาจจะนำไปสู่กุญแจไขปริศนาว่า ทำไมจึงมีสสารอยู่มากมาย แต่ปฏิสสารที่เป็นคู่กันกลับมีอยู่น้อย

    อ้างตามรายงานบีบีซีนิวส์ นักทฤษฎีระบุว่าคู่อนุภาคอย่างสสารและปฏิสสารในเอกภพนั้นถูกสร้างขึ้นมาในปริมาณเท่ากันระหว่างเกิดระเบิดบิกแบง (Big Bang) และคู่เหมือนทั้งสองต่างทำลายล้างซึ่งกันและกัน แม้แต่มีอนุภาคสำคัญอื่นอันไม่สมมาตรมารบกวนการทำลายล้างกันดังกล่าว

    ศ.เดฟ วาร์ก (Prof.Dave Wark) จากสภาอำนวยการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอังกฤษ และศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford University) อธิบายว่า ข้อเท็จจริงที่เอกภพกลับปรากฏสสารอยู่มากมายนั้น แสดงว่าต้องมีกฎฟิสิกส์บางอย่างที่ไม่อยู่ในแบบจำลองมาตรฐาน (Standard Model) และนิวทริโนอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่อธิบายได้

    ล่าสุดงานวิจัยในโครงการความร่วมมือนานาชาติ T2K ที่มีนักวิทยาศาสตร์กว่า 500 ชีวิตร่วมกันศึกษา ได้ยืนยันว่า อนุภาคนิวทริโนเฟลเวอร์ (flavour) สามารถกลับไป-มา หรือกวัดแกว่งไปเป็นอนุภาคนิวทริโนอิเล็กตรอนได้

    ทีมนักวิทยาศาสตร์ร่วมกันสร้างการทดลองขนาดมหึมา โดยอาศัยห้องปฎิบัติการ 2 แห่งที่แยกกันไกล 300 กิโลเมตร โดยหนึ่งในห้องปฏิบัติการอยู่ที่ศูนย์วิจัยเครื่องเร่งอนุภาคโปรตอนญี่ปุ่น (Japan Proton Accelerator Research Centre) หรือ เจ-ปาร์ค (J-Parc) ซึ่งตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น

    เครื่องเร่งอนุภาคที่เจ-ปาร์คจะยิงลำอนุภาคนิวทริโนมิวออน (muon neutrino) จากใต้ดินมุ่งหน้าไปยังถังซูเปอร์-คามิโอกันเด (Super-Kamiokande) หรือถังซูเปอร์-เค (Super-K) ทางชายฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นถังที่บรรจุน้ำบริสุทธิ์สูงและรายล้อมด้วยเครื่องตรวจวัดแสงที่มีความไวยิ่งยวด

    เครื่องตรวจวัดแสงหรือหลอดขยายสัญญาณแสงนี้จะบันทึกแสงวาบที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก จากอันตรกริยาที่เกิดขึ้นระหว่างนิวทริโนวิ่งผ่านน้ำ แล้วปลดปล่อยแสงออกมา ซึ่งเมื่อปี 2011 ทีมวิจัยได้พบนิวทริโนอิเล็กตรอนจำนวนมากที่ถังซูเปอร์-เค ชี้ว่ามิออนมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองระหว่างเส้นทาง แต่ก่อนที่จะได้ทดลองเพื่อยืนยันสิ่งที่พบอีกครั้ง แผ่นดินไหวได้ทำให้เครื่องมือสำคัญเสียหาย

    มีการซ่อมแซมเครื่องมืออยู่หลายเดือน จนกระทั่งมีการทดลองที่ได้ข้อมูลทางสถิติชัดเจนพอที่จะแสดงให้เห็นว่ามีการกวัดแกว่งระหว่างมิวออนและอิเล็กตรอนจริง ซึ่งทีมวิจัยได้รายงานการค้นพบนี้ในการประชุมฟิสิกส์อนุภาคสูงของสมาคมฟิสิกส์ยุโรป ณ กรุงสต็อคโฮล์ม สวีเดน

    ศ.อัลฟอนส์ เวเบอร์ (Prof.Alfons Weber) หนึ่งในผู้ร่วมโครงการ T2K ชาวอังกฤษจากสภาอำนวยการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอังกฤษ และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า จนถึงทุกวันนี้เราทำได้เพียงวัดการหายไปของอนุภาคนิวทริโนชนิดหนึ่ง แล้วอนุมานว่าเปลี่ยนไปเป็นอีกชนิดหนึ่ง

    "แต่ในกรณีนี้เราได้สังเกตเห็นนิวทริโนมิวออนหายไป แล้วเห็นนิวทริโนอิเล็กตรนมาแทนที่ ซึ่งเป็นกรณีแรก" ศ.เวเบอร์กล่าว

    การกวัดแกว่งของนิวทริโนนั้นควบคุมโดยเมทริกซ์สามเหลี่ยมที่มีค่าไม่เป็นศูนย์ ซึ่งมีงานวิจัยก่อนหน้านั้นพิสูจน์ว่าแมทริกซ์ 2 มุมนั้นมีค่าไม่เป็นศูนย์ และงานของ T2K ยืนยันว่า มุมที่สามนั้นมีค่าไม่เท่ากับศูนย์เช่นกัน

    กรณีนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะทำให้การกวัดแกว่งของนิวทริโนปกติและคู่ปฏิอนุภาคหรือแอนตีนิวทริโน (anti-neutrino) มีความแตกต่างกัน ทำให้นิวทริโนและคู่ปฏินุภาคมีอิสระพอที่จะแสดงพฤติกรรมไม่สมมาตรที่เรียกว่า การระเมิดกฎคู่ประจุ (charge parity violation) หรือการละเมิดกฎซีพี (CP violation)

    เรื่องการกฎซีพีนี้เคยสังเกตพบในควาร์ก (quark) ซึ่งเป็นอนุภาคมูลฐานของโครงสร้างโปรตอนและนิวทริโนที่ประกอบขึ้นเป็นอะตอม แต่มีผลกระทบเพียงเล็กน้อย น้อยเกินกว่าจะส่งผลให้สสารมีมากกว่าปฏิสสารหลังระเบิดบิกแบง

    อย่างไรก็ดี หากนิวทริโนสามารถแสดงความไม่สมมาตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมันคือหลักฐานว่าเป็นนิวทริโนที่เคยมีอยู่ในเอกภพยุคแรกๆ อาจช่วยอธิบายได้ถึงปัญหาเรื่องสสารและปฏิสสารที่ยากจะแก้ ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ต้องเดินหน้าเพื่อหาคำตอบ ซึ่งอาจต้องสร้างนิวทริโนที่มีพลังมากกว่าเดิม

    ศ.เวเบอร์กล่าวว่า ตอนนี้มีแนวคิดที่จะสร้างเครื่องตรวจวัดอนุภาคที่มีความไวยิ่งขึ้น ซึ่งต้องปรับปรุงเครื่องเร่งอนุภาคให้ทำงานได้ครบครื่องมากกว่าเดิม และในอเมริกาก็มีเครื่องตรวจวัดอนุภาคที่ใหญ่กว่าและมีความไวยิ่งกว่า อีกทั้งมีการยิ่งลำอนุภาคที่เข้มข้นกว่า ซึ่งจะทำใ้นิวทริโนเดินทางได้ไกลขึ้น

    [​IMG]
    นิวทริโนมิวออนและนิวทริโนอิเล็กตรอนสามารถกวัดแกว่งและเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ (ภาพ)

    Science - Manager Online -
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยังไม่ 100% แต่มั่นใจว่าใช่ “ฮิกกส์” อนุภาคพระเจ้า โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มีนาคม 2556 23:50 น.

    [​IMG]
    นักฟิสิกส์เจอคุณลักษณะที่ชี้ว่าอนุภาคใม่นั้นน่าจะเป็น ฮิกกส์ ที่ถูกขนานนามว่า "อนุภาคพระเจ้า" (ภาพ)

    นักวิทยาศาสตร์ประจำเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีของ “เซิร์น” เผยว่า อนุภาคที่พบเมื่อเดือน ก.ค.ปีที่ผ่านมา ดูน่าจะใช่ “อนุภาคฮิกกส์” จริงๆ แต่ก็ยังไม่มั่นใจเสียทีเดียว และหากใช่แล้วจะจัดเป็นฮิกกส์ชนิดไหน

    รายงานจากบีบีซีนิวส์อ้างคำกล่าวของนักวิทยาศาสตร์ประจำเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (Large Hadron Collider: LHC) ของเซิร์น (CERN) ว่า อนุภาคที่เพิ่งค้นพบและเผยแพร่เมื่อเดือน ก.ค. 2012 ที่ผ่านมานั้นมีแนวโน้มจะใช่อนุภาคฮิกกส์โบซอน (Higgs boson) จริงๆ

    ข้อมูลที่เปิดเผยระหว่างการประชุมมอริออนด์ (Moriond) ในอิตาลี ชี้ว่า “สปิน” (spin) ของอนุภาคใหม่ที่ค้นพบนั้นสอดคล้องกับลักษณะของฮิกกส์ แต่ก็ยังมีความไม่มั่นใจว่าอนุภาคใหม่ที่พบนั้นคือฮิกกส์จริงๆ และหากใช่แล้วจะเป็นฮิกกส์ชนิดใด

    ทั้งนี้ ทฤษฎีอนุภาคฮิกกส์เป็นทฤษฎีที่มีมานานและมีความหมายในฐานะทฤษฎีที่อธิบายว่าอนุภาคต่างๆ นั้นได้มวลมาอย่างไร และเป็นเป้าหมายของเครื่องเร่งอนุภาคจากทั่วโลกในการค้นอนุภาคฮิกกส์นี้มายวนานหลายทศวรรษ

    ทีมจาก 2 ห้องปฏิบัติการทดลองล่าอนุภาคฮิกกส์ของเซิร์น คือ สถานีตรวจวัดอนุภาคแอตลาส (Atlas) และ สถานีตรวจวัดอนุภาคซีเอ็มเอส (CMS) วิเคราะห์ข้อมูลมากกว่า 2 เท่าครึ่งของข้อมูลที่ใช้ค้นพบอนุภาคใหม่เมื่อ ก.ค.ปีที่ผ่านมา เพื่อวิเคราะห์ลงไปถึงคุณลักษณะของอนุภาค ไม่ใช่เพียงบ่งชี้ว่ามีอนุภาคดังกล่าวหรือไม่

    ข้อมูลทั้งหมดบ่งชี้ว่าอนุภาคดังกล่าวอยู่ในกลุ่มของอนุภาคโบซอน (boson) แต่นับจากเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ยังคงสงวนท่าทีที่จะเรียกอนุภาคดังกล่าวเป็น “ว่าที่ฮิกกส์”

    จดหมายจากเซิร์นเองยังชี้ว่า นักวิทยาศาสตร์จากทั้งสองสถานีตรวจวัดอนุภาคพบว่าอนุภาคใหม่นี้ยิ่งดูคล้ายอนุภาคฮิกกส์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีลักษณะที่เชื่อมโยงกับกลไกในการให้มวลแต่อนุภาคมูลฐาน

    หากแต่ยังคงมีคำถามปลายเปิดว่าอนุภาคดังกล่าวคือฮิกกส์โบซอนของแบบจำลองมาตรฐาน (Standard Model) ของฟิสิกส์อนุภาคหรือไม่ หรืออาจจะเป็นโบซอนที่เบาที่สุดตามทฤษฎีอื่นที่พยากรณ์ไว้นอกเหนือแบบจำลองมาตรฐาน ซึ่งการหาคำตอบดังกล่าวเซิร์นระบุว่ายังต้องใช้เวลา

    [​IMG]
    แบบจำลองมตารฐาน ที่ประกอบด้วยอนุภาคมูลฐานที่ค้นพบล้ว ขณะที่อนุภาคฮิกกส์ยังต้องรอความมั่นใจมากกว่านี้ (ภาพ)

    Science - Manager Online -
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “แอลเอชซี” หยุดเดินเครื่อง 2 ปีเพื่ออัปเกรดเร่งอนุภาคเต็มสูบ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 กุมภาพันธ์ 2556 00:21 น.

    [​IMG]
    * หยุดซ่อมบำรุง-อัพเกรดแอลเอชซี 2 ปี (เซิร์น/บีบีซีนิวส์) ภาพ

    หยุดเดินเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีเป็นเวลา 2 ปีเพื่อซ่อมบำรุง ซึ่งนับแต่เดินเครื่องครั้งแรกแล้วเกิดปัญหาจนต้องหยุดเดินเครื่องไประยะหนึ่ง เครื่องเร่งอนุภาคที่เพิ่งค้นพบ “ว่าที่อนุภาคฮิกกส์” เมื่อปลายปี 2012 ยังไม่เคยเดินเครื่องเต็มกำลังตามที่ถูกออกแบบเลย

    บีบีซีนิวส์รายงานว่า เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (Large Hadron Collider: LHC) ของเซิร์น (CERN) ที่มีท่อวงกลมฝังอยู่ใต้ดินสำหรับเป็นทางวิ่งของอนุภาคยาว 27 กิโลเมตรนั้น ต้องหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงและปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยจะกลับมาเดินเครื่องได้อีกครั้งในปลายปี 2014

    ลำอนุภาคถูกทิ้งไว้ในท่อแอลเอชซีตั้งแต่วันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา แต่แม่เหล็กยักษ์ 1,734 ตัวของเครื่องเร่งอนุภาคต้องใช้เวลาถึง 3 วันในการเพิ่มอุณหภูมิให้ขึ้นมาเท่ากับอุณหภูมิห้อง

    แม้ว่าเมื่อปลายปี 2012 นักวิทยาศาสตร์จะพบอนุภาคที่เชื่อว่าคืออนุภาคฮิกกส์ (Higgs boson) ที่ถูกขนานนามว่าอนุภาคพระเจ้า และเชื่อว่าเป็นอนุภาคที่อธิบายถึงการมีอยู่ของมวลได้ แต่นับจากเดินเครื่องครั้งแรกและเกิดข้อผิดพลาดจนต้องหยุดเดินเครื่องไประยะหนึ่ง แอลเอชซีก็ยังไม่เคยเดินเครื่องถึงระดับ 14 เทราอิเล็กตรอนโวลต์ ซึ่งเป็นระดับพลังงานสูงสุดที่เครื่องถูกออกแบบไว้

    แอลเอชซีเดินเครื่องถึงระดับพลังงาน 8 เทราอิเล็กตรอนโวลต์เมื่อปี 2012 ซึ่งเพิ่มจากปี 2011 ที่เดินเครื่องอนยู่ที่ระดับ 7 เทราอิเล็กตรอนโวลต์ โดยการหยุดเดินเครื่องครั้งนี้เป็นการหยุดเพื่อซ่อมและอัพเกรดเครื่องเร่งตามระยะที่เรียกว่า “การหยุดเดินเครื่องระยะยาว 1” (Long Shutdown 1)

    เมื่อสิ้นสุดระยะดังกล่าวแอลเอชซีจะกลับมาเดินเครื่องอีกครั้งในเดือน พ.ย.2014 ที่ระดับพลังงาน 14 เทราอิเล็กตรอนโวลต์ ซึ่งเป็นระดับพลังงานในการเร่งอนุภาคชนกันที่สูงสุดเท่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยทดลองมา

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผลทดลองซ้ำย้ำ “นิวทริโน” ไม่ไวกว่าแสง
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มีนาคม 2555 02:35 น.

    [​IMG]
    ภายในห้องปฏิบัติการใต้ดินกรันซัสโซที่อยู่ในอิตาลี มี 4 กลุ่มวิจัยที่ทำงานโดยไม่ขึ้นต่อกัน (บีบีซีนิวส์) ภาพ

    คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
    [​IMG]
    (บนซ้าย) แสดงตำแหน่งระหว่างเซิร์นและห้องปฏิบัติการกรันซัสโซ (บนขวา) แผนภาพแสดงระยะทางที่นิวทริโนเดินทางจากเซิร์นไปยังกรันซัสโซเป็นระยะ 732 กิโลเมตร (ล่างซ้าย) ห้องปฏิบัติการของเซิร์น (ล่างขวา) ห้องปฏิบัติการกรันซัสโซ (บีบีซีนิวส์) ภาพ

    ผลทดลองซ้ำเพื่อพิสูจน์ความเร็ว “นิวทริโน” พบอนุภาคดังกล่าวไม่ได้เดินทางเร็วกว่าแสง หลังจากก่อนหน้านี้นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการในอิตาลีได้ประกาศออกมาเมื่อเดือน ก.ย.ปีที่แล้วว่า นิวทริโนเดินทางเร็วกว่าแสงได้ แต่กลับได้รับความคลางแคลงเนื่องจากการประกาศอาจล้มทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ได้

    การทดลองนี้เป็นผลของอีกกลุ่มวิจัยที่อยู่ในห้องปฏิบัติการเดียวกับกลุ่มวิจัยที่อ้างว่านิวทริโนเดินทางเร็วกว่าแสง โดยผลการทดลองซ้ำเพื่อพิสูจน์ของพวกเขาพบว่า “นิวทริโน” (neutrino) เดินทางด้วยความเร็วใกล้เคียงแสง

    ทั้งนี้ เมื่อเดือน ก.ย.2011 นั้นกลุ่มวิจัยโอเปรา (Opera group) จากห้องปฏิบัติการกรันซัสโซ (Gran Sasso) ซึ่งอยู่ใต้ดินในอิตาลี ได้ประกาศผลการทดลองเขย่าโลก และสั่นคลอนทฤษฎีฟิสิกส์ที่อยู่มายาวนานนับศตวรรษอย่างทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ซึ่งถือว่าความเร็วแสงนั้นคือขีดจำกัดความเร็วสัมบูรณ์ของเอกภพ

    หากแต่ล่าสุดบีบีซีนิวส์รายงานว่ากลุ่มอิคารุส (Icarus group) ซึ่งทำงานอยู่ในห้องปฏิบัติการเดียวกับกลุ่มโอเปราได้ทดสอบวัดความเร็วของนิวทริโทอีกครั้ง ซึ่งไม่นานหลังกลุ่มโอเปราอ้างการค้นพบแล้วทาง เชลดอน กลาสโชว์ (Sheldon Glashow) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลได้ร่วมเขียนรายงานลงวารสารฟิสิคัลรีวิวเลตเตอร์สเปเปอร์ (Physical Review Letters paper) ซึ่งสร้างแบบจำลองว่านิวทริโนที่เร็วกว่าแสงนั้นจะมีพฤติกรรมอย่างไรเมื่อเดินทาง

    จากนั้นในเดือน พ.ย.ปีที่แล้วกลุ่มอิคารุสได้พิสูจน์ให้เห็นในวารสารวิชาการก่อนพิมพ์ซึ่งเผยแพร่ออนไลน์ทางเว็บไซต์ Arxiv ว่านิวทริโนไม่ได้แสดงพฤติกรรมอย่างที่กลาสโชว์สร้างแบบจำลองไว้ อย่างไรก็ตามพวกเขาได้ทำการพิสูจน์เพิ่มเติมโดยใช้การทดสอบในแบบเดียวกับที่กลุ่มโอเปราได้ลงมือ

    สำหรับการทดลองของอิคารุสนั้นบีบีนิวส์ระบุว่า พวกเขาใช้อาร์กอนเหลว 430,000 ลิตรเพื่อตรวจวัดการมาถึงของนิวทริโนที่ถูกส่งมาจากห้องปฏิบัติการของเซิร์น (CERN) ในสวิตเซอร์แลนด์ เป็นระยะทาง 730 กิโลเมตร ซึ่งหลังจากทำการทดลองจนได้ผลในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาแล้ว พวกเขายังได้ปรับการทดลองเพื่อวัดความเร็วของนิวทริโน

    สิ่งที่เคยหายไปจากการทดลองของกลุ่มวิจัยโอเปราคือ ข้อมูลเวลาออกเดินทางของนิวทริโนจากเซิร์น โดยครั้งนี้พวกเขาได้รับข้อมูลดังกล่าวแล้วเพื่อทำการวิเคราะห์ให้สมบูรณ์ และผลที่ออกมานั้นพวกเขาพบว่านิวทริโนเดินทางด้วยความเร็วเดียวกับแสง และมีช่วงค่าความผิดพลาดที่น้อยมาก

    ดร.ซานโดร เซนโตร (Dr.Sandro Centro) โฆษกร่วมของกลุ่มอิคารัสกล่าวว่า เขาไม่แปลกใจในผลทดลอง ซึ่งในตอนแรกเขาก็สงสัยอยู่เล็กน้อย แต่ตอนนี้พวกเขามั่นใจ 100% ว่าความเร็วแสงคือความเร็วเดียวกับความเร็วของนิวทริโน และก่อนหน้านี้ทางกลุ่มโอเปราเองก็ออกมายอมรับว่าผลการทดลองเบื้องต้นของพวกเขานั้นอาจเป็นผลมาจากเครื่องมือที่มีปัญหา ซึ่งเขามองว่ากลุ่มโฮเปรานั้นด่วนตีพิมพ์ผลงานที่ชวนให้สงสัย และท้ายสุดก็เป็นการวัดที่ผิดพลาด

    ทั้งนี้ ภายในห้องปฏิบัติการกรันซัสโซของอิตาลีนั้นมีกลุ่มวิจัยต่างๆ อยู่ 4 กลุ่ม ซึ่งใช้ลำอนุภาคนิวทริโนเดียวกันจากเซิร์นในการทำวิจัย และภายหลังจากเดือนนี้ กลุ่มวิจัยทั้งหมดมีหน้าที่ในการวัดพิสูจน์ความเร็วของนิวทริโนเพื่อจบความเคลือบแคลงสงสัย โดยทำการทดลองที่เป็นอิสระต่อกัน ขณะเดียวกันห้องปฏิบัติการไมนอส (Minos) ในสหรัฐฯ และห้องปฏิบัติการที2เค (T2K) ในญี่ปุ่นก็จะทำการพิสูจน์ข้อสงสัยที่เหลือว่านิวทริโนยังมีความสามารถที่จะทะลุขีดจำกัดความเร็วของเอกภพอีกหรือไม่

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผลวิจัยฝั่งอเมริกาสอดคล้อง “เซิร์น” ขยับใกล้ความลับ “ปฏิสสาร”
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 มีนาคม 2555 17:31 น.

    [​IMG]
    สถานีตรวจวัดอนุภาคซีดีเอฟ ณ เครื่องเร่งอนุภาคเทวาตรอน ซึ่งหยุดดำเนินการแล้ว (บีบีซีนิวส์) ภาพซ้าย

    [​IMG]
    สถานีตรวจวัดแอลเอชซีบีของเซิร์น (บีบีซีนิวส์) ภาพขวา

    การทดลองของฝั่งอเมริกาล่าสุดยืนยันผลคล้ายๆ กับการทดลอง “เซิร์น” ขยับใกล้ความเข้าใจว่าเหตุใดเอกภพจึงเต็มไปด้วย “สสาร” มากกว่า “ปฏิสสาร” ที่ควรจะมีอยู่เท่าๆ กันหลัง “บิกแบง” แต่นักวิจัยยังต้องพิสูจน์ต่อว่าผลที่ได้เกิดจาก “ฟลุค” หรือเข้าใกล้ “ฟิสิกส์ใหม่” จริงๆ

    การทดลองดังกล่าเป็นของทีมนักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการซีดีเอฟ (CDF experiment) ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ห้องปฏิบัติการเอนกประสงค์ของเครื่องเร่งอนุภาคเทวาตรอน (Tevatron) ในอิลลินอยด์ สหรัฐฯ ที่หยุดดำเนินการไปแล้วตั้งแต่เดือน ก.ย.ปีที่ผ่านมา โดยบีบีซีนิวส์รายงานว่าทีมวิจัยได้เสนอผลการทดลองนี้ภายในการประชุมฟิสิกส์อนุภาคที่อิตาลี

    ทั้งนี้ นักฟิสิกส์คิดว่าความร้องสูงระหว่างระเบิดบิกแบง (Big Bang) ควรทำให้เกิดสสาร (matter) และปฏิสสาร (antimatter) ที่เป็นเหมือนภาพสะท้อนของสสารในปริมาณเท่าๆ กัน แต่ทุกวันนี้เราอาศัยอยู่ในเอกภพที่เต็มไปด้วยสสาร การค้นหาว่าปฏิสสารเหล่านั้นไปไหนกันหมดเป็นหนึ่งในความท้าทายของวงการอนุภาคฟิสิกส์ โดยปฏิสสารสร้างขึ้นได้จากทั้งในเครื่องเร่งอนุภาค เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หรือเกิดจากรังสีคอสมิค

    สำหรับผลการทดลองล่าสุดจากซีดีเอฟนี้สนับสนุนการค้นพบของสถานีทดลองแอลเอชซีบี (LHCb) ภายในเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (Large Hadron Collider: LHC) ที่ประกาศผลการทดลองออกมาเมื่อเดือน พ.ย.2011 ที่ผ่านมา โดยทั้งแอลเอชซีบีและซีดีเอฟต่างศึกษากระบวนการที่อนุภาคมูลฐานที่เรียกว่า “ดี-เมสัน” (D meson) สลายตัวหรือแปลงรูปไปเป็นอนุภาคอื่น โดยดี-เมสันประกอบด้วยอนุภาคที่เรียกว่า “ชาร์ม-ควาร์ก” (charm quark) และสามารถสลายตัวไปเป็น “คาออน” (kaon) หรือ “ไพออน” (pion) ได้

    เรามีแบบจำลองมาตรฐาน (Standard Model) ซึ่งเป็นความรู้ฟิสิกส์ที่ดีสุดในตอนนี้และชี้ว่าการสลายตัวของดี-เมสันไปเป็นอนุภาคอื่นนั้นใกล้เคียงกับปฏิกิริยาลูกโซ่ในการสลายตัวของปฏิสสารน้อยกว่า 0.1% แต่ทีมแอลเอชซีบีรายงานว่ามีความแตกต่างดังกล่าวประมาณ 0.8% ส่วนทีมจากซีดีเอฟเสนอข้อมูลที่มีความแตกต่างประมาณ 0.62%

    ผลการวัดที่ใกล้เคียงการทดลองแอลเอชซีบีนี้ทาง ศ.จิโอวานนี ปุนซี (Prof.Giovanni Punzi) โฆษกของซีดีเอฟกล่าวว่า ค่อนข้างน่าประหลาดใจเพราะเป็นผลทดลองที่ไม่พบได้บ่อยนัก และเขาได้บอกทางบีบีซีนิวส์ว่า การทดลองที่ไม่ขึ้นต่อกัน 2 การทดลองได้พบผลการทดลองคล้ายคลึงกันโดยอาศัยการทดลองที่แตกต่างกัน ในสภาพแวดล้อมการทดลองที่ต่างกัน นับว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ

    ปุนซีซึ่งเป็นศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยปิซา (University of Pisa) และสถาบันฟิสิกส์นิวเคลียร์อิตาลี (National Nuclear Physics Institute: INFN) ด้วยนั้นกล่าวว่า การทดลองล่าสุดนี้จะเป็นการยืนยันการทดลองก่อนหน้าเพราะเป็นผลการทดลองที่ไม่ขึ้นต่อกัน และเมื่อรวมผลการทดลองจากซีดีเอฟและแอลเอชซีบีเข้าด้วยกัน นัยสำคัญทางสถิติก็จะเพิ่มสู่ระดับ “4 ซิกมา” (4 sigma) ของความเชื่อมั่น หรือมีโอกาส “ฟลุค” ในทางสถิติ 1 ใน 16,000

    ทั้งนี้ บีบีซีนิวส์อธิบายว่า ในทางฟิสิกส์อนุภาคนั้นมีนิยามในการยอมรับผลการทดลองเป็น“ซิกมา” (sigma) 5 ระดับของความเชื่อมั่น โดยตัวเลขของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานหรือซิกมานี้เป็นการวัดว่า ผลการการทดลองนั้นเกิดจากโอกาสความน่าจะเป็นมากกว่าเป็นผลจากการทดลองจริงมากน้อยแค่ไหน ซึ่งในการยืนยันโดยการทดลองอื่นที่ไม่ขึ้นต่อกันนั้นการค้นพบในระดับ 5 ซิกมาจะเป็นการยืนยันการค้นพบ

    ทางด้าน ดร.ทารา เชียร์ส (Dr.Tara Shears) นักฟิสิกส์อนุภาคจากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล (Liverpool University) อังกฤษ ซึ่งทำวิจัยที่สถานีแอลเอชซีบีบอกทางบีบีซีนิวส์ว่า สิ่งที่ค้นพบนั้นเป็นสัญญาณแรกของฟิสิกส์ใหม่ หรือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการเข้าใจแบบจำลองมาตรฐานได้ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องความเห็นของปุนซีที่กล่าวว่าต้องมีการถกเถียงกันในหมู่นักทฤษฎีว่าผลการทดลองนี้เป็นฟิสิกส์ใหม่หรือจริงๆ แล้วเราคำนวณพลาดไป

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชมภาพนาทีชีวิต หลังภูเขาไฟซินาบังระเบิด

    [​IMG]
    ประมวลภาพเหตุการณ์ภูเขาไฟซินาบัง ใน จ.สุมาตราเหนือของอินโดนิเซีย ระเบิด ชาวนาที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงต่างพากันหนีตาย

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ชมภาพนาทีชีวิต หลังภูเขาไฟซินาบังระเบิด - Voice TV
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ภาคตะวันออกของสหรัฐ เผชิญกับพายุหิมะอีกระลอก
    วันที่ 04 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 20:32:59 น.Tweet

    [​IMG]

    สำนักข่าวเอพีรายงานว่า พายุหิมะอีกระลอกพัดเข้าถล่มฟากตะวันออกของประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้องปิดโรงเรียนหลายแห่ง และส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินจำนวนมาก โดยสำนักงานบริการด้านอากาศแห่งชาติของสหรัฐ แจ้งว่า หิมะในเมืองฟิลาเดลเฟียและนิวยอร์ก อาจจะตกลงมาสูงถึง 8 นิ้ว

    ขณะที่มีรายงานในช่วงบ่ายวันเดียวกันจากเว็บไซต์ไฟลต์อแวร์ ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่รายงานเกี่ยวกับการบินต่างๆ ระบุว่า มีเที่ยวบินที่ได้รับผลกระทบจากพายุหิมะจนต้องเลื่อนการตารางการเดินทางเกือบ 2,000 เที่ยวบิน และต้องยกเลิกเที่ยวบินไป 1,500 เที่ยวบิน ทั้งที่ฟิลาเดลเฟีย นวร์ก นิวเจอร์ซีย์ และนิวยอร์ก ขณะที่เที่ยวบินขาเข้าไปยังสนามบินนวร์ก ลาการ์เดีย และเคนเนดี ต้องเลื่อนเที่ยวบินออกไป 3 ชั่วโมงเนื่องจากหิมะและน้ำแข็งที่ปกคลุมสนามบิน

    ทั้งนี้ พายุหิมะพัดถล่มนครนิวยอร์ก 1 วันหลังเสร็จสิ้นการแข่งขันชิงแชมป์ซุปเปอร์โบว์ล ที่นครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเกมกีฬาใหญ่ที่สุดของชาวอเมริกัน โดยมีผู้เข้าชมกว่า 100,000 คน และพายุหิมะทำให้แฟนๆซุปเปอร์โบว์ลไม่สามารถเดินทางกลับบ้านหลังเสร็จสิ้นการแข่งขันได้

    ภาคตะวันออกของสหรัฐ เผชิญกับพายุหิมะอีกระลอก : มติชนออนไลน์
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kraipantip Mac-Notebook แชร์ รูปภาพ ของ Samorn Pudkaew

    อันตรายใหม่ช่วยกันเผยแพร่ให้รับรู้กันนะ
    ยาเสพติดชนิดใหม่ในโรงเรียน

    [​IMG]

    กรุณาส่งข้อความนี้ต่อๆไป แม้ว่าคุณจะไม่มีลูกในวัยเรียน ผู้ปกครองควรรู้เกี่ยวกับยาเสพติดชนิดนี้
    ยาเสพติดชนิดใหม่นี้รู้จักกันในชื่อ "ไว ด้วยสตอรเบอรี่ (strawberry quick)" เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่แพร่หลายอยู่ตามโรงเรียนขณะนี้ที่พวกเราจำเป็นต้องรู้ (ว่ามันมีอยู่) ยานี้มีลักษณะเป็นเม็ดคริสตัลที่ดูคล้ายขนมสตอรเบอรี่ป๊อปร็อค ที่เป็นลูกอมที่เวลาละลายจะทำให้เกิดความรู้สึกว่ามันแตกป๊อปในปาก ยานี้มีกลิ่นเหมือนสตอรเบอรรี่ด้วย
    และมีการแจกจ่ายมันให้เด็กตามสนามโรงเรียน พวกเด็กๆจะเรียกว่า เม็ดสตอรเบอรี่หรือไวด้วยสตอรเบอรี่
    เด็กๆที่กินอันนี้โดยคิดว่ามันคือขนม จะถูกพาเข้า รพ อย่างเร่งด่วนในสภาพที่ร่อแร่
    ยานี้มาได้กับชอคโกแลต เนยถั่ว น้ำอัดลม เชอรี่ องุ่น และรสส้ม (..เข้าใจว่า นอกจากจะเป็นรสสตอรเบอรี่แล้ว อาจเป็นในรูปขนมป๊อปร็อครสอื่นๆ --ปิ๋ว)
    ควรสอนลูกหลานของท่านว่าอย่ารับขนมจากคนแปลกหน้า และอย่ารับลูกอมที่ดูเหมือนลักษณะนี้จากเพื่อน (ซึ่งอาจได้รับมาโดยคิดว่าเป็นลูกอม) และถ้าได้มาแล้ว ก็ให้เอาที่มีอยู่ไปให้ครู/อาจารย์ใหญ่ โดยทันที
    กรุณาส่งอีเมล์นี้ไปให้คนอื่นๆมากเท่าที่ทำได้ (แม้ว่าเขาอาจไม่มีบุตรหลานก็ตาม) เราจะสามารถช่วยกันเพิ่มความตระหนักตื่นตัวและหวังว่าจะช่วยป้องกันโศกนาฏกรรมที่อาจเกิดขึ้นได้

    โปรดส่งต่อเพื่อเพิ่มความตื่นตัว เพราะมันช่วยได้จริงๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...