ตามหาคู่แท้ ให้หลวงพ่อท่าน ภาค ๒ ครับ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย coolsunny, 1 กรกฎาคม 2011.

  1. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    ชุดนี้ผมมีแหวนด้วย 1 วงครับ เบอร์ 63 (ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 19 ม.ม.) ครับ

    คุณ Sunthorn2493 ปิดแล้วครับ


    ปิดครับ

    รับรองครับ วัตถุมงคลชุดนี้ศักดิ์สิทธิ์แน่นอน ดีกว่าของเก๊ ที่อาศัยชื่อหลวงปู่ดู่หากินแน่นอนครับ อีกทั้งวัตถุมงคลที่ออกจากวัดชุดนี้ หลวงปู่ดู่ท่านรับรู้ ผมว่าท่านต้องลงมาเสกวัตถุมงคลในนามของท่านแน่นอน และกระแสโลหะต้องมีชนวนที่เป็นวัตถุมงคลรุ่นเก่าๆ ของหลวงปู่ผสมอยู่ด้วยแน่นอนครับ

    วิธีบูชา แหวนหลวงปู่ดู่

    1. ถือแหวนอยู่ในมือในท่าพนม กล่าวคำนมัสการพระว่า นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3จบ)

    2.กล่าวคำอาราธนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่า พุทธธังอาราธนานัง กโรมี ธรรมมังอาราธนานัง กโรมี สังฆังอาราธนานัง กโรมี

    3.เวลาสวมแหวนให้สวมหมุนขวา แล้วว่าคาถาดังนี้ ข้อนิ้วที่ 1 ว่า พุทธัง สะระนังคัจฉามิ ,ข้อนิ้วที่ 2 ว่า ธรรมมัง สะระนังคัจฉามิ , ข้อนิ้วที่ 3 ว่า สังฆัง สะระนังคัจฉามิ

    แล้วพนมมือน้อมใจระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ หลวงพ่อทวด หลวงปู่ดู่ ให้ช่วยปกปักรักษา จะอธิฐานอย่างไรก็ได้ในทางที่ถูกที่ควรแล้วจงตั้งใจอธิฐานเอาเถิดครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2012
  2. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    หลวงปู่บุดดาพยากรณ์หลวงปู่ดู่
    (copy)Posted by ราชสีห์


    [​IMG]


    ครั้งหนึ่งเมื่อหลวงปู่บุดดาท่านไปเยี่ยมอาการอาพาธของหลวงปู่ดู่
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข จ.สิงห์บุรีได้กล่าวกับท่านไว้ว่า


    “วันนี้ผมนำมงกุฎพระพุทธเจ้ามามอบให้คุณ นิมนต์อยู่ต่อเถิด ถ้าไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร ที่คุณปรารถนานั้นน่ะ สำเร็จแน่ ต่อไปคุณจะได้เป็นพระพุทธเจ้า”

    ปกติหลวงปู่บุดดาท่านมักจะพกกระป๋องแป้งติดตัวอยู่เสมอเพื่อประทานให้แก่ญาติโยมที่ไปกราบนมัสการ เมื่อหลวงปู่บุดดาและหลวงพ่อต่างกราบกันและกันเสร็จเรียบร้อยแล้วหลวงปู่บุดดาท่านได้ประทานแป้งใส่มือหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ดู่ท่านรับมาแล้วนำมาทาบนศรีษะ

    มีญาติโยมที่นั่งอยู่ด้วยเรียนถามหลวงปู่ดู่ว่า ทำไมจึงนำแป้งไปทาบนศรีษะ

    ท่านตอบว่า

    "ของพระอรหันต์ให้ แกจะให้เอาไปทาที่ไหนละจึงจะสมควร เดี๋ยวจะกลายเป็นความไม่เคารพ นอกจากบนหัวของเรา"
    เมื่อตอนประมาณปี พ.ศ. 2523-2525 ผู้เขียนก็ได้ข่าวว่าหลวงปู่บุดดาท่านจะละสังขาร ขณะนั้นหลวงปู่อายุได้ 88 ปี ผู้เขียนจึงพาคณะไปกราบแล้วก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะขออารธนาให้ท่านอยู่ต่อ แต่เมื่อไปถึง พอไปกราบท่านแล้วยังไม่ทันพูดอะไร ท่านก็บอกว่า "จะขออยู่ต่ออีก 12 ปี เพื่อช่วยเหลือศาสนา"ทำให้ผู้เขียนรู้สึกทึ่งในญาณอันแจ่มใสของท่าน แล้วก้เป็นจริงดังนั้น เมื่อหลวงปู่อายุครอบ 101 ปี เกินมา 1 ปี ท่านก็นิพพานไป หลวงพ่อดู่เคยบอกว่า "หลวงปู่บุดดาก็คือพระอรหันต์องค์หนึ่ง"

    ในวันที่ผู้เขียนไปหาหลวงปู่บุดดานั้น ก็มีลูกศิษย์หลวงปู่บุดดาคนหนึ่งต้องการที่จะได้วัตถุมงคลของหลวงพ่อดู่ เมื่อได้ไปแล้วเขาก็ใช้การตรวจสอบทางจิต เสร็จแล้วเขาก็บอกว่า ทำไมพลังในพระนั้นถึงมีมากมายเกินกว่าที่เขาจะรับได้ เขาตั้งสติไม่ทัน ในที่สุดเขาก็ขอวัตถุมงคลนั้น และวัตถุมงคลนั้นก็คือ แก้วสารพัดนึกของหลวงพ่อดู่ และขอรูปอีก 1 ใบ โดยผู้เขียนขอเกศาของหลวงปู่บุดดาเขาเลยให้ตามความประสงค์ ก่อนที่จะกลับ เขาก็ได้เอารูปของหลวงพ่อดู่ไปให้หลวงปู่บุดดาพิจารณา เมื่อหลวงปู่บุดดาเห็นรูปหลวงพ่อดู่ ท่านก็บอกว่า "รูปนี้ให้นำไปเก็บไว้ในที่สูง อย่านำเอาไปไว้ที่ต่ำ" และท่านยังได้ฝากพระทอง (แต่จริง ๆ แล้วเป็นทองเหลือง) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางนาคปรกให้นำมาถวายหลวงพ่อดู่ หลวงพ่อดู่ท่านก็เคยบอกข้าพเจ้าว่า "แสดงว่าหลวงปู่บุดดานั้นรู้ด้วยญาณว่า หลวงพ่อท่านปรารถนาพุทธภูมิ หรือปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า"

    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ พระอริยะสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่งคนโบราณจึงถือว่าพระรัตนตรัยอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าด้วยเหตุผลฉะนี้
     
  3. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    คุณ Ayutthaya834 จองครับ​


    เอาพระของหลวงปู่ที่มีอยู่มาเสนออีกองค์ครับ​


    พระปิดตาเนื้อผงกรรมฐานผสมผงมหาจักรพรรดิ มิติองค์พระ ประมาณเหรียญห้าบาท​


    ปิดแล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  4. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    หลวงปู่ดู่ท่านได้อธิบายถึงคำว่ามหาจักรพรรดิให้ฟังว่า "...เจ้าแผ่นดินทุกแผ่นดินถึงจะเป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวง แต่ก็จะเป็นได้เพียงจักรพรรดิ แต่มหาจักรพรรดิ จะเป็นใหญ่อยู่เหนือจักรพรรดิทั้งหมด..."

    ผงมหาจักรพรรดิถือว่าได้เป็นผงที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด มิฉะนั้นท่านจึงใช้ผงมหาจักรพรรดิมาสร้างเป็นพระเพราะรักและเป็นห่วงลูกศิษย์ และคนทั่วไปที่ศรัทธาในองค์ท่าน

    หลวงปู่บอกว่า"...ข้ากลัวสู้เขาไม่ได้พระผงที่ข้าสร้างจึงต้องใช้ผงมหาจักรพรรดิข้าเสก และอธิษฐานจิตให้พระที่ข้าสร้างนั้นไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน..."


    วิธีอาราธนาพระผงมหาจักรพรรดิ ให้ตั้ง นะโมสามจบ แล้วภาวนาว่า

    “พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ”

    ตั้งนะโมสามจบ ภาวนาบทมหาจักรพรรดิ


    “นโมพุทธายะ พระพุทธะไตรรัตนญาณ
    มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะสุธรรมา
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ
    พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
    อัคคีธานัง วะรังคันธัง
    สีวลี จะมหาเถรัง อะหังวันทามิ
    ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโส
    พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ”​

    ถ้าจะให้ได้ผลเต็มที่ต้องภาวนาบทไตรสรณคมณ์ และบทมหาจักรพรรดิตามกำลังวันทุกวัน จึงจะเกิดพุทธานุภาพโดยไม่มีประมาณ ที่เรียกว่า พลังเหนือพลัง
     
  5. Ayutthaya834

    Ayutthaya834 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +87
    ขอจองพระปิดตาเนื้อผงกรรมฐานผสมผงมหาจักรพรรดิ์ครับ
     
  6. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    รับทราบครับ
     
  7. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    อีกหนึ่งองค์ ที่สุดยอดหายาก


    พระร่วงปางยืนประทานพร หลวงพ่อคำวัดหน่อพุทธางกูล สุพรรณบุรี สร้างประมาณปี 2498

    ปิดครับ

    รายละเอียดพรุ่งนี้ครับ​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2012
  8. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    พระร่วงปางประทานพร หลวงปู่คำ วัดหน่อพุทธางกูล​


    ที่จริงมูลค่าของพระน่าจะมากกว่านี้มากมายครับ พื้นที่ต้องแรงกว่านี้แน่ เพราะคนสุพรรณเองก็ใช่ว่าจะหาได้ พุทธคุณไม่ต้องพูดถึง เพราะหลวงพ่อคำท่านเป็นเกจิที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในยุคนั้น พิธีเสกวัตถุมงคลใหญ่ๆ ในสมัยปี 2480 - ปี 2512,13 ต้องมีชื่อท่านอยู่ด้วยครับ

    วัตถุมงคลของท่าน ชาวสุพรรณยุคนั้นถ้าใครมี ต่างหวงแหนกันทุกคน เรื่องของท่านแทบเป็นตำนานไปแล้วครับ หลังจาก"มิตร ชัยบัญชา"เสียชีวิต (มิตร ชัยบัญชา เป็นลูกศิษย์ที่นับถือท่านมาก) หลวงพ่อเล่าให้ศิษย์ฟังว่า วันที่มิตรเสีย ไม่ได้ห้อยพระหลวงพ่อ ไม่นั้นคงไม่ตาย ท่านเป็นที่เคารพของคนสุพรรณมากอีกท่านหนึ่งครับ

    ยอดศิลปินครูเพลงสุรพล สมบัติเจริญก็เป็นลูกศิษย์ท่านด้วยครับ สุรพล สมบัติเจริญ ราชาเพลงลูกทุ่งไทย เป็นคนบ้านวัดไชนาวาส นับถือหลวงพ่อคำมาก สุรพลเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อคำตั้งแต่สมัยที่ยังไม่โด่งดัง มีคนเห็นสุรพลมาที่วัดบ่อยๆ มาให้หลวงพ่อคำเป่าหัวให้บ้าง พรมน้ำมนต์ให้บ้าง

    งานศพหลวงพ่อคำ พระเกจิอาจารย์มากันมากมายเลยครับ ประชาชนก็มากมายชนิดว่าแน่นศาลาวัดจนต้องลงมาอยู่ข้างล่างกันเลย ท่านสร้างวัตถุมงคลน้อยมาก

    พระร่วงพิมพ์นี้เป็นอีกพิมพ์ที่หลวงพ่อสร้างประมาณปีดังกล่าว ในช่วงนั้นคงไม่มีการบันทึกพิธีสร้าง และมวลสารไว้เป็นแน่ แต่จากที่ผมได้รับข้อมูลจากพระภิกษุที่วัดป่าเลไลยก์ (ผมได้พระองค์นี้มาจากที่วัดนี้ครับ) ท่านเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อถิร ท่านไปร่วมเสกด้วย เมื่อกลับกรรมการวัดหน่อพุทธางกูลได้ถวายพระชุดนี้ให้ท่านนำกลับมาแจกด้วย และวัตถุมงคลชุดนี้ก็ได้ตกค้างอยู่ในกุฏิท่าน จนท่านมรณะภาพ กรรมการวัดป่าฯ เข้าไปพบ จึงนำออกมาให้ประชาชนได้ทำบุญกันครับ

    มวรสารที่นำมาสร้างพระชุดนี้ ผมว่าต้องมีพระเนื้อชินที่ชำรุดจากกรุวัดพระศรีฯ ผสมด้วยเป็นจำนวนมาก หรืออาจทั้งหมดด้วยซ้ำไป เพราะดูจากความเก่าของเนื้อพระแล้ว ไม่น่าเป็นอย่างอื่นไปได้เลยครับ เพราะฉะนั้นผมจึงได้บอกว่า พระองค์นี้ ค่าบูชาหลักร้อย แต่พุทธคุณหลักล้านแน่นอน อย่างไรเสีย พระท่านจะต้องปกป้องคุ้มครองชีวิตผู้บูชาท่านได้อย่างแน่นอนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2011
  9. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    ประวัติ หลวงพ่อคำ จันทโชโต วัดหน่อพุทธางกูร

    [​IMG]

    วัดหน่อพุทธางกูร ตั้งอยู่ในเขต ต.พิหารแดง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี โดยอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณบุรี ประวัติความเป็นมาของวัดนี้สร้างขึ้นในสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ชาวบ้านเล่าลือสืบต่อกันมาว่า ชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนมาจากเวียงจันทน์ เมื่อคราวกบฏเจ้าอนุวงศ์ พ.ศ.2369 ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้ และได้สร้างสำนักสงฆ์ขึ้นในบริเวณที่มีฐานพระอุโบสถเก่าอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่สามารถสืบหาอายุได้ว่าสำนักสงฆ์นี้สร้างขึ้นเมื่อใด

    ต่อ มา "ขุนพระพิมุข" ข้าหลวงในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มาสร้างวัดขึ้น ให้ชื่อว่า "วัดมะขามหน่อ" จนกระทั่งในสมัย "พระครูสุวรรณวรคุณ" หรือ "หลวงพ่อคำ จันทโชโต" เป็นเจ้าอาวาสจึงได้เปลี่ยนชื่อวัดนี้เป็น "วัดหน่อพุทธางกูร"

    พระอุโบสถเก่าของวัดนี้มีภาพจิตรกรรมฝาผนังซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างมา ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เนื่องจากลักษณะของฐานที่แอ่นโค้งแบบท้องเรือสำเภาอันเป็นรูปแบบที่นิยมมาก ในสมัยอยุธยาตอนปลาย จิตรกรรมของวัดนี้เขียนอยู่ภายในและภายนอกพระอุโบสถ ผู้เขียนคือ "นายคำ" ช่างหลวงที่ถูกกวาดต้อนมาจากเวียงจันทน์เมื่อคราวกบฏเจ้าอนุวงศ์

    ภาพจิตรกรรมที่พระอุโบสถวัดหน่อพุทธางกูรเป็นจิตรกรรมแบบไทย ภาพจิตรกรรมระบายสีแบนเรียบด้วยสีสันสดใสแล้วตัดเส้น เป็นภาพสองมิติที่ให้ความรู้สึกเพียงด้านกว้างและด้านยาว เนื้อเรื่องที่เขียนเป็นเรื่องราวในพุทธศาสนา มีทั้งทศชาติชาดก พุทธประวัติ เทพยดาต่างๆ และเรื่องราวในไตรภูมิ ซึ่งเป็นที่นิยมโดยทั่วไปในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

    หลวงพ่อคำ อดีตเจ้าอาวาสวัดหน่อพุทธางกูร เป็นหนึ่งในสุดยอดคณาจารย์เมืองสุพรรณที่เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนโบราณมาก เป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์, หลวงพ่อปิ่น วัดหน่อพุทธางกูร, หลวงพ่อทองหยด วัดชีสุขเกษม สมัยที่มีชีวิตอยู่เป็นพระเถราจารย์ที่ชาวบ้านในตำบลนั้นรวมไปถึงชาวตลาด จังหวัดสุพรรณบุรี มีความเคารพนับถือมากองค์หนึ่ง เพราะท่านเป็นพระที่สันโดษ มักน้อย มีความเมตตาปรานีสูงยิ่ง

    ท่านเกิดเมื่อวันที่ 30 พ.ค.2430 เวลา 19.19 น.โดยประมาณ ตรงกับวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย ปีกุน ร.ศ.106 ณ บ้านพิหารแดง หมู่ 1 ต.พิหารแดง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ห่างจากตัวจังหวัดขึ้นไปทางทิศเหนือตามลำน้ำท่าจีนประมาณ 4 กิโลเมตร และห่างจากวัดหน่อพุทธางกูรราว 27 เส้นเศษ เป็นบุตรจีนฮั้ว แซ่ตัน หรือแซ่ตั้ง มารดาชื่อจันทร์ มีเชื้อสายเป็นชาวเวียงจันทน์

    เมื่ออายุได้ไม่กี่ขวบก็ต้องกำพร้าบิดามารดา และอาศัยอยู่กับน้าชาย ชื่อทอง น้าสาวชื่อหริ่ม จนกระทั่งอายุ 16 ปีจึงบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดมะนาว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี เมื่อวันอังคารที่ 8 เม.ย.2445 โดยได้รับความอนุเคราะห์จากพระอาจารย์คำตา และอยู่กุฏิเดียวกับพระปลัดบุญมี ซึ่งเป็นญาติกับท่าน พร้อมกับศึกษามูลกัจจายน์และอักขระขอมไทยกับขอมลาว
    ต่อมาญาติของท่านชื่อพระอาจารย์บุญมา บวชอยู่ที่วัดภาวนาภิรตาราม อ.บางกอกน้อย ธนบุรี ได้ชักชวนให้ไปเรียนหนังสือต่อที่วัดแห่งนี้

    "พระครูสุวรรณวรคุณ" หรือ "หลวงปู่คำ จันทโชโต" วัดหน่อพุทธางกูร ต.พิหารแดง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ท่านได้ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและมูลกัจจายน์ กับหนังสือใหญ่ (หนังสือขอม) ด้วยความขยันขันแข็ง แต่ดวงของท่านต้องกลับมาอยู่บ้านเกิด เพราะเกิดเหน็บชาไม่สามารถที่จะอยู่วัดภาวนาภิตารามได้ เมื่อกลับมาอยู่วัดหน่อพุทธางกูร ไม่นานก็หายเป็นเหน็บชา เพราะได้ฉันข้าวซ้อมมือซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวิตามินบี

    เมื่ออายุ 21 ปีเต็ม ท่านได้กลับไปอุปสมบทที่วัดนะนาว เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2451 โดยมีพระครูวินยานุโยค วัดอู่ทอง เป็นอุปัชฌาย์ พระปลัดบุญมี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระช้าง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า "จันทโชโต" จากนั้นได้จำพรรษาอยู่ที่วัดมะนาวเรื่อยมา

    ต่อมาพระอาจารย์บุญมา ได้กลับมาจำพรรษาและดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหน่อพุทธางกูร ในราวปีพ.ศ.2452 ได้ชักชวนให้ท่าน มาอยู่ที่วัดหน่อพุทธางกูร (วัดมะขามหน่อในขณะนั้น) เพื่อช่วยพัฒนาวัด เมื่อมาจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ ท่านได้ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยจนมีความรู้แตกฉานยิ่งขึ้นทั้งพระธรรมวินัย และอักขระขอมไทย-ลาว ตลอดจนขนบธรรมเนียมและแบบแผนอันดีงามสืบต่อติดมาจนเป็นนิสัย จนชาวบ้านแถวนั้นต่างกล่าวขวัญว่า เป็นพระที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยดีมาก
    "พระ อธิการบุญมา" กับ "หลวงพ่อคำ" ได้พยายามพัฒนาวัดหน่อพุทธางกูรเรื่อยมาจนวัดเจริญขึ้นตามลำดับ ภายหลังจากที่พระอธิการบุญมาถึงแก่มรณภาพในราวพ.ศ. 2458 คณะสงฆ์จึงแต่งตั้งให้หลวงปู่คำ รักษาการแทน เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2458 ขณะมีอายุได้ 28 ปี พรรษาที่ 8

    ก่อนที่จะเป็นเจ้าอาวาสอย่างสมบูรณ์แบบเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2471 อายุได้ 41 ปี พรรษาที่ 21 ผ่านไปอีก 10 ปี ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการศึกษาเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2481 ต่อมาวันที่ 5 ธ.ค. 2498 ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตรที่ "พระครูสุวรรณวรคุณ" ขณะอายุได้ 78 ปี พรรษาที่ 48

    อุปนิสัยใจคอของหลวงปู่คำนั้นเยือกเย็น ถ้าใครได้ไปพบเห็นจะมีความรู้สึกเคารพนับถือขึ้นมาทันที เพราะใบหน้าท่านยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา พูดค่อยและช้า แต่วาจาศักดิ์สิทธิ์มาก ภายในกุฏิของท่าน ของมีค่าหาได้น้อย มีหัวกะโหลกมนุษย์ตั้งอยู่ นอกนั้นเป็นสิ่งหาค่าไม่ได้วางอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ ท่านมีความมักน้อยในจิตใจ แต่มักใหญ่ในการก่อสร้างเสนาสนะ เช่น การสร้างพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญคอนกรีต และโรงเรียนประชาบาลจนกระทั่งมรณภาพ

    ในด้านการปกครอง ท่านมีปฏิปทาในหลักธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ได้แนะนำสั่งสอนพระภิกษุสามเณร ให้ประพฤติอยู่ในระเบียบวินัยสงฆ์ โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรที่จำพรรษาอยู่ในวัดหน่อพุทธางกูร ไม่ว่าจะบวชนาน หรือบวช 3 เดือน จะต้องศึกษาพระธรรมวินัยและต้องสอบธรรมสนามหลวง

    ใครก็ตามที่มาบวชต้องได้รับการอบรมแบบตัวต่อตัวจากท่านทุกรูป เริ่มต้นด้วยการสอนอนุศาสน์ 8 นิสสัย 4 ส่วนมากที่เฝ้าสั่งสอนด้วยใจเป็นห่วงคือ ปาราชิก 4 สอนด้วย การยกอุปมาอุปไมย นอกจากนั้น สอนสังฆาทิเสส นิสสัคคียปาจิตตีย์ ในข้อนี้ชาวพุทธทราบดีว่าหลวงปู่คำไม่ยอมหยิบเงินทองที่เขาถวาย เมื่อท่านไปไหนๆ มีเด็กลูกศิษย์ติดตามท่านไปด้วยหนึ่งคนเสมอ

    เมื่อมีงานวัดหน่อพุทธางกูร ต.พิหารแดง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี "หลวงปู่คำ จันทโชโต" จะ ห้ามเด็ดขาดมิให้ภิกษุสามเณรไปเที่ยวจุ้นจ้านกับฆราวาส อ้างว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ถึงแม้วัดอื่นมีงาน ท่านก็ไม่อนุญาตให้ไปเที่ยว โดยได้พิมพ์กฎข้อบังคับของวัดใส่กรอบไว้ที่หอสวดมนต์

    ในส่วนของวิชาอาคม เชื่อกันว่าท่านได้ไปเรียนเวทมนตร์คาถาและวิปัสสนากรรมฐานจาก หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมกับ หลวงพ่อโบ้ย วัดมะนาว พระเกจิอาจารย์ดังของเมืองสุพรรณอีกองค์หนึ่ง และมีความเชี่ยวชาญถึงขั้นเล่นแร่แปรธาตุได้

    นอก จากนี้ ยังมีความรู้ในทางแพทย์โบราณ รักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยสมุนไพร และเวทมนตร์คาถา รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญในการดูฤกษ์ยามต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลสมรส อุปสมบท ปลูกบ้าน ขึ้นบ้านใหม่ โกนจุก จนกระทั่งปลูกยุ้งข้าว

    กิจพิเศษที่พิเศษยิ่งของท่านคือ การรักษาคนที่ถูกสุนัขบ้ากัดอย่างที่เรียกกันว่า "โรคกลัวน้ำ" ความศักดิ์สิทธิ์ในตัวยาของท่านทำให้ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว โดยในช่วงชีวิตของหลวงปู่คำได้ช่วยชีวิตคนที่ถูกสุนัขบ้ากัดเอาไว้หลายหมื่น คนทีเดียว

    "หลวงปู่คำ" สร้างมงคลวัตถุขึ้นหลายอย่าง อาทิ รูปหล่อรุ่นแรก เนื้อทองเหลืองรมดำ ปี 2498 รุ่น 2 เนื้อทองเหลือง ปี 2504, รุ่น 3 เนื้อทองเหลืองรมดำ ปี 2511 เป็นพิมพ์เดียวกับรุ่นแรก แต่ฐานสูงกว่า และตรงฐานมีชื่อท่านอยู่ด้วย, เหรียญรุ่นแรก รูปอาร์ม เนื้อทองแดงรมดำ ปี 2498, รุ่น 2 รูปไข่ ด้านหลังพระประจำวันพุธ (วันเกิดของท่าน) เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง และเนื้อฝาบาตรรมดำ ปี 2504, รุ่น 3 รูปไข่ เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง และเนื้อฝาบาตรรมดำ ปี 2509 ด้านหลังพระประจำวัน 7 วัน, รุ่น 4 ปี 2511, รุ่น 5 ปี 2513

    นอกจากนี้ ยังมีพระเครื่องเนื้อดิน เนื้อชิน เนื้อว่าน เนื้อผง และผงใบลานเผา อีกหลายพิมพ์ เช่น พระ พิมพ์นาคปรกเศียรแหลม ปี 2498, พระพิมพ์ท้าวชมพูบดี ปี 2498, พระผงสุพรรณหลังยันต์ ปี 2504, พระชินราชใหญ่-เล็ก ปี 2498, พระพิมพ์ซุ้มกอ, พิมพ์ยันต์อุ, พิมพ์นางกวัก, พระร่วงเนื้อชิน เป็นต้น

    พระเครื่อง ของท่านทุกรุ่นมีประสบการณ์ดังในด้านแคล้วคลาด ปลอดภัย ยิงไม่ออก ฟันแทงไม่เข้า ทำให้บางรุ่นหายากมาก โดยเฉพาะรูปหล่อรุ่นแรก ตอนนี้เช่าหาอยู่ที่ราคาหลักหมื่น ไม่มีคนอยากปล่อย เพราะถือว่า "มีพระหลวงพ่อคำแล้วไม่ตายโหง"

    ลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาสของท่านมีอยู่หลายคน ที่มีชื่อเสียงคือ พระเอกยอดนิยม "มิตร ชัยบัญชา" ซึ่งให้ความเคารพนับถือท่านมากครับ เมื่อครั้งที่ มิตร ชัยบัญชา เสียชีวิต ท่านได้เล่าให้ศิษย์ฟังว่า วันที่มิตรเสีย ไม่ได้ห้อยพระของท่าน ไม่งั้นคงไม่ตาย นอกจากนี้ ยังมี "สุรพล สมบัติเจริญ" ราชาเพลงลูกทุ่งไทย คนบ้านวัดไชนาวาสที่ให้ความนับถือท่าน และฝากตัวเป็นลูกศิษย์ตั้งแต่สมัยที่หลวงปู่คำยังไม่โด่งดังเลย

    วาระสุดท้าย หลวงปู่คำมรณภาพเมื่อวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2513 เวลา 17.43 น. ตรงกับแรม 5 ค่ำ เดือน 3 ปีระกา สิริอายุ 83 ปี โดยจัดงานพระราชทานเพลิงศพท่านเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2514 ในงานมีพระเกจิอาจารย์มากันมากมายหลายองค์ รวมทั้งลูกศิษย์ลูกหาประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธา ก็มากันล้นหลามชนิดที่ว่าแน่นศาลาวัดจนต้องลงมาอยู่ข้างล่างกันเลย แสดงให้เห็นถึงบารมีอันสูงส่งของหลวงปู่คำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2011
  10. Ayutthaya834

    Ayutthaya834 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +87
    ผมโอนเงินค่าพระปิดตาบ่อวินหลังแบบหลวงปู่ทิมราคา 900 บาท และ พระปิดตาผงกรรมฐานผสมผงมหาจักรพรรดิ์หลวงปู่ดู่ราคา 700 บาท รวมเป็น 1,600 บาทให้แล้วนะครับ รายละเอียดใน PM ครับ
     
  11. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    รับทราบครับ เดี๋ยววันนี้จัดส่งให้ครับ

    วันนี้ไป ไปษณีย์มา แต่ส่งไม่ทันครับ เพราะเค้าปิดครึ่งวัน พรุ่งนี้ (18 ก.ค. 54) ส่งให้ใหม่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  12. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    พระขุนแผนหลวงพ่อคร้าม วัดพระเงิน หลังยันต์เต่าเรือน เนื้อดินเผา​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2012
  13. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    พระวัติหลวงพ่อคร้าม วัดพระเงิน​



    หลวงพ่อคร้าม ถิรธัมโม ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์มีชื่อเสียงกึ่งพุทธกาล อายุท่านไล่เลี่ยกับหลวงพ่อช่วง วัดบางแพรกใต้ แต่อ่อนพรรษากว่าหลวงพ่อช่วง ถึง 44 พรรษา หลวงพ่อคร้าม หลวงพ่อคร้ามท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดกำแพงและวัดสลักใต้ เขต อำเภอเมืองนนทบุรีมาก่อนที่จะไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพระเงิน ท่านมักคุ้นกับหลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง ว่ากันว่าท่านเคยเรียนวิชากับหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว และเคยนำพระของหลวงปู่มาแจกที่วัดพระเงิน ราวปี พ.ศ.2475

    นอกจากนี้ท่านยังได้เคยเรียนวิชากับ หลวงพ่อปานวัดบางนมโค หลวงพ่อคร้ามท่านเชี่ยวชาญในการลงเมตตา แคล้วคลาด กันไฟ กันฟ้ายันต์ที่ท่านมักใช้สร้างพระเครื่องของท่าน คือ ยันต์ "พญาเต่าเรือน" พระบางพิมพ์ท่านถอดพิมพ์มาจากพระเนื้อดิน ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แต่ได้ประทับ ยันต์ "พญาเต่าเรือน" ไว้ด้านหลังเพื่อแยกแยะไม่ให้เข้าใจผิดว่าเป็นของหลวงพ่อปาน อันเป็นจริยาอย่างหนึ่งของพระอาจารย์ รุ่นเก่า ที่มีความเคารพนับถือครูบาอาจารย์เป็นอย่างสูง โดยจะไม่ทำอะไรที่เป็นการ "วัดรอยเท้า" ของพระอาจารย์เป็นอันขาด

    หลวงพ่อคร้าม ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เก่งมากในด้านเมตตามหาเสน่ห์ และแคล้ว คลาดท่านมรณภาพไปเมื่อราวๆ 40 กว่าปี มานี้ สิริรวมอายุหนึ่งร้อยปี


    (ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก หนังสือ เซียนพระ และเว็บทิพย์สยาม)
     
  14. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    พระปางถวายเนตร หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เนื้อดิน

    คุณ
    Sunthorn2493 ปิดแล้วครับ


    560.- บาท

    หลวงพ่อจง พุทธัสสโร วัดหน้าต่างนอก นามนี้ผมเชื่อว่าคนที่ศึกษาพระเครื่อง และประวัติประเกจิมาพอสมควร แทบไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินนามของท่าน อาจจะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมามากบ้าง น้อยบ้าง แต่อาจไม่ทราบในรายละเอียดทั้งหมด สำหรับประวัติของท่านผมคงไม่ได้กล่าวถึง ว่าท่านมีความเป็นมาอย่างไร เพราะมีเว็บไซด์ต่างๆ ลงประวัติของท่านให้เราหาอ่านได้ไม่ยากนัก แต่ถ้าขี้เกียจเสริชหา ผมแนะนำให้อ่านได้ที่นี่ครับ : ประวัติ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก (เพราะผมลองอ่านดูแล้ว ละเอียดดีพอสมควรครับ)

    แต่ที่ผมจะเอามาให้อ่านกันนี้ ก็คัดลอกมาจาก เว็บไซด์นี้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ประวัติท่านครับ (เพราะยาวมาก) แต่เป็นเรื่องของปฏิปทา และเรื่องบางอย่างที่น่าสนใจของท่าน สำหรับตัวผมถ้าใครมาถามว่าท่านเก่งมั๊ย ผมคงตอบว่า ท่านเก่งมากแน่ๆ เพราะแม้แต่หลวงพ่อปาน วัดบางนมโคยังกล่าวยกย่องท่านต่อหน้าหลวงพ่อฤษีลิงดำ และเพื่อนๆ ของท่านว่า "...หลวงพ่อจงท่านเป็นพระทองคำ ถ้าสิ้นหลวงพ่อแล้ว ให้พวกเธอไปกราบท่านเป็นศิษย์ เพื่อเรียนวิชาอื่นๆ ต่อไป..."
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2011
  15. hamwin

    hamwin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +240
    โอนเงินแล้วนะคับบบ

    ปิดตา สามเกลอ 1500 บาท
     
  16. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    เอาบางเรื่องนะครับ

    บารมีทางวิทยาคม


    หลวงพ่อเริ่มมีชื่เสียงรุ่งโรจน์เป็นที่รู้จักแพร่หลาย เมื่อราว พ.ศ.2475 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศเป็นต้นมา ซึ่งช่วงเวลานั้น เป็นเวลาที่บ้านเมืองต้องการทหารผู้กล้าหาญเข้มแข็ง เพื่อรับสถานการณ์ของบ้านเมือง ปัจจัยสำคัญในการปลุกใจทหารคือ เครื่องรางของขลัง

    ฉะนั้น จึงปรากฎมีผู้ไปมากราบไหว้ ขอให้หลวงพ่อประสิทธิ์ประสาทวิทยาคมให้มากขึ้นทุกที ในด้านบรรพชิต ปรากฎว่า ได้มาเล่าเรียนกรรมฐานภาวนาจากหลวงพ่อมากขึ้นเป็นลำดับ กุฏิที่ท่านอยู่เดิมไม่สามารถจะเพียงพอแก่การต้อนรับแขกได้ หลวงพ่อนิล (พระอธิการนิล ธัมมโชติ) น้องร่วมสายโลหิตของท่าน ในขณะนั้นยังช่วยบริหารการพระศาสนาอยู่วัด หน้าต่างนอก พร้อมด้วยทายกทายิกา จึงรวบรวมกัปปิยภัณฑ์ที่สาธุชนบริจาคถวายสร้างกุฏิใหญ่ขึ้นหลังหนึ่ง เสร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ. 2479 แล้วถวายเป็นที่อยู่อาศัยของท่าน

    ล่วงมาจนถึงปี พ.ศ. 2483 สงครามอินโดจีนอุบัติขึ้น เกียรติคุณของหลวงพ่อได้เลื่องลือไปทั่วประเทศไทย โดยได้จัดทำเสื้อแดงลงเลขยันต์ปลุกเสกด้วยวิทยาคม แจกจ่ายให้แก่ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพลเรือนทั่ว ๆ ไป

    ด้วยอำนาจจิตตานุภาพอันทรงพลังของหลวงพ่อ บันดาลอัศจรรย์บำรุงขวัญทหารให้เข้มแข็งกล้าหาญในการสงคราม นับว่า หลวงพ่อได้มีส่วนในการบำรุงขวัญทหารไทยอยู่มิใช่น้อย


    บรรเทาภัยในสงครามโลก


    เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สองระเบิดขึ้นนั้น ทางพันธมิตรได้ส่งเครื่องบินเข้าโจมตีประเทศไทยหลายครั้ง จนเป็นที่หนักใจแก่ทางราชการของเรา โดยเฉพาะกองทัพอากาศที่ไม่มีกำลังอาวุธพอที่จะต่อต้านได้

    ดังนั้น ทางทหารอากาศจึงไปนิมนต์หลวงพ่อจง ถึงวัดหน้าต่างนอก โดยขอให้ท่านขึ้นเครื่องบินไปโปรยผงวิเศษและข้าวตอกดอกไม้ ลงมายังพื้นดินเบื้องล่าง เพื่อพรางตาข้าศึกที่ส่ง บี 29 มาทิ้งระเบิด และเป็นที่น่าประหลาดอย่างที่สุดว่า จุดที่หลวงพ่อโปรยผงวิเศษและข้าวตอกดอกไม้นั้น แคล้วคลาดจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายพันธมิตรอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่มีสถานที่ใดถูกระเบิดทำลายแม้แต่น้อย นี่คือกิตติคุณที่แสดงว่า ท่านเก่งในทางแคล้วคลาดจริงโดยปราศจากข้อสงสัย


    เหล่ามิจฉายังซาบซึ้ง


    มีเรื่องขำ ๆ ที่เป็นเครื่องยืนยันคุณธรรมของหลวงพ่อจงอยู่เรื่องหนึ่งคือ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ข้าวของทุกอย่างมีราคาแพงและหายาก ค่อนรุ่งคืนวันหนึ่ง หลวงพ่อตื่นขึ้นปฏิบัติกิจวัตรไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำ ท่านพบขโมยสองคนกำลังช่วยกันหาบโอ่งน้ำ โดยวิธีใช้ไม้ขวางปากโอ่งเอาเชือกผูก ใช้ไม้ทำคานหามคราวละหลาย ๆ ใบ ทำให้โอ่งแกว่งไปมาขณะหาบ แทนที่หลวงพ่อจะเข้าไปห้ามปรามหรือขอร้องไว้ ท่านกลับแนะนำว่า “ควรเอาไปคราวละใบไม่ต้องรีบร้อน โอ่งจะได้ไม่แตกร้าวเสียหาย” ขโมยเหล่านั้นแทนที่จะโกรธเคืองท่าน กลับซาบซึ้งในความเมตตากรุณาของท่าน ไม่สามรถจะเอาชนะความดีของท่านได้ จึงวางโอ่งน้ำไว้แล้วลากลับไป

    เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ แต่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ในขณะประสบอนิฏฐารมณ์เข้าเฉพาะหน้า หลวงพ่อยังมั่นอยู่ด้วยคุณธรรมไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งเร้าอารมณ์ได้เลยแม้แต่น้อย


    เน้นหนักด้านเมตตา

    เมื่อกล่าวถึงวิทยาอาคมของหลวงพ่อที่มีผู้นิยมและต้องการนั้น เท่าที่ทราบมีสามสาขา คือ

    1. วิทยาคมทางด้านคงกระพันชาตรี
    2. วิทยาคมทางด้านเมตตา
    3. วิทยาคมทางน้ำมนต์

    ในบรรดาวิทยาคมทั้งสามสาขาที่ประมวลมานี้ วิทยาคมทางเมตตาเป็นที่เลื่องลือมากกว่าอย่างอื่น หลวงพ่อจงท่านเฝ้าสอนให้ทุกคนมีเมตตาต่อกัน อย่าเบียดเบียนกันเป็นนิตย์ แสดงว่าท่านให้ทั้งที่พึ่งพาทางกายและทางใจพร้อมกันไป แทนที่จะมุ่งให้ทุกคนยึดมั่นในวัตถุเช่นอาจารย์อื่น ๆ การกระทำของหลวงพ่อจง และวิทยาคมทางเมตตาของท่านจึงมุ่งเสริมสร้างสังคมให้รู้จักการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข อันเป็นยอดปรารถนาของคำสั่งสอนทั้งมวลอันเป็นโลกียะ ถ้าจะกล่าวว่าหลวงพ่อจงท่านเป็นนักสงเคราะห์ก็ไม่ผิดมิใช่หรือ


    เมตตาธรรม

    หลวงพ่อจง ท่านเป็นผู้หนักในการปฏิสันถาร ที่เรียกว่า ปฏิสนฺถารคารวตา ทั้งในการต้อนรับ ความอามิส และการต้อนรับด้วยธรรมที่เรียกว่าโอภาปราศรัย จะเห็นว่าไม่ว่าท่านผู้ใด เมื่อมาถึงหลวงพ่อแล้ว ท่านจะให้ความสนใจเท่าเทียมกัน เมื่อทราบธุระที่มาหาแล้ว หลวงพ่อจะจัดทำให้ในทันที โดยที่สุดแม้การรดน้ำมนต์ หลวงพ่อจงท่านจะรดน้ำพระพุทธมนต์ให้อย่างทั่วถึง บางครั้งผู้ที่มีโรคภัยใจไม่สงบ เมื่อถูกน้ำพระพุทธมนต์เข้าแล้ว แสดงอาการดิ้นรนต่าง ๆ ร้องครวญครางเป็นที่น่าเวทนา หลวงพ่อจงท่านกระทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยความว่องไว คล่องแคล่ว แม้การเดินทาง หลวงพ่อจงก็เดินเร็ว คนหนุ่ม ๆ เดินตามท่านไม่ทัน จะขึ้นรถลงเรือ หลวงพ่อไม่ชักช้า

    ในการสนทนา หลวงพ่อจงเป็นผู้พูดน้อย มักจะเป็นผู้ฟังมากกว่า ท่านไม่เคยโต้แย้งหรือแสดงอาการไม่พอใจใคร แสดงถึงส่วนลึกของจิตใจของหลวงพ่อจงว่า ท่านมีเมตตาและมีความปรารถนาดีต่อทุกคน คำที่หลวงพ่อจงใช้ในการสนทนา พวกเราจำได้อยู่เสมอ คือ จ๊ะ...อ้อ...ดี....จ๊ะ

    โปรดมิจฉาเป็นเนื้อนาบุญ


    พูดถึงการเสียสละของท่านแล้ว ใคร ๆ ได้ฟังก็ถึงแก่น้ำตาคลอเบ้า ด้วยปลื้มปิติ ไม่คิดว่าสุปฏิปันโนภิกษุเช่นท่านนี้ ยังมีอยู่ในโลกอันสับสนวุ่นวายนี้ มีเรื่องของท่านอีกเรื่องหนึ่ง เล่ากันว่า ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ การเดินทางไปไหนมาไหนมักจะต้องไปทางเรือ เพราะสะดวกกว่าทางอื่น เรือแจวของวัดจึงต้องมีประจำ และเรือแจวลำนี้ผูกติดกับสะพานหน้าวัดอยู่เป็นประจำ ตกดึกคืนหนึ่ง ขโมยมาย่องหมายจะลักเอาไป หลวงพ่อท่านนั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ท่านทราบดี ท่านก็รีบลงมาแก้เชือกให้ขโมยคนนั้น แล้วบอกว่า “เอาไปเถอะนะ ฉันหาใหม่ได้ ถ้าไม่มีสตางค์ คืนนี้ตีสี่ไปที่พระพุทธฉายจำลอง เทวดานางไม้ตรงนั้นเขาจะสงเคราะห์ให้ จงเอาไปเถิด จะได้ตั้งตัว แล้วเลิกเป็นโจรเสีย เพราะการอทินนาของวัดเป็นบาปหนัก หลวงพ่อไม่อยากให้บาปตกแก่เธอเลย” ขโมยคนนั้นได้ยินท่านพูด ถึงกับร้องไห้แล้วก้มลงกราบถวายเรือคืนแต่โดยดี

    ต่อมาไม่นาน ขโมยคนนี้ได้มาขอบวชกับหลวงพ่อจง และมานะพยายามปฏิบัติจนสำเร็จอภิญญา ภายในเวลาพรรษาเดียว หลวงพ่อจงได้เรียกมาพบแล้วบอกว่า “โลกีย์วิชาเธอได้แล้วถึงอรูปพรหม และมีอภิญญา 4 นับจากนี้ เธอจะอยู่ในหมู่ฝูงชนไม่ได้ ขอให้เธอจงเข้าป่าไป ให้ชาวป่าและรุกขเทวดาท่านสงเคราะห์ จงทำวิปัสสนาญาณประหารกิเลสให้แจ้งชัด จงอยู่เอกาอย่าวิตกกังวล ตกดึกจะมีครูที่ไม่ใช่มนุษย์มาสอนเธอ ชาติภพของเธอจะสิ้นสุดลงในสามพรรษาข้างหน้า ไปเถิดลูกเอ๋ย” พระทรงอภิญญารูปนั้นฟังแล้วน้ำตาไหลอาบแก้ม ปลื้มปิติในความเมตตาของหลวงพ่อ และตื้นตันใจที่ตนเลือกพระอาจารย์ร่ำเรียนกรรมฐานไม่ผิดองค์เลย หลังจากกราบลาหลวงพ่อจงแล้ว พระอภิญญาองค์นั้นก็เข้าป่าไป และไม่ได้ออกมาอีกเลยจนบัดนั้น


    ฤทธิ์ยักษ์เฝ้าทรัพย์


    เมื่อราวปี พ.ศ.2470 ท่านสมภารวัดหนึ่งในละแวกใกล้เคียงกับวัดหน้าต่างนอก ไปรื้อวิหารของวัด ซึ่งวัดนี้เป็นวัดเก่าแก่สร้างเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่ มีลายแทนใบหนึ่งระบุว่า มีสมบัติพระทองคำซ่อนอยู่ใต้วิหารนี้ สมภารเกิดความโลภ จึงสั่งให้พระลูกวัดช่วยกันรื้อพระวิหาร เพื่อหวังขุดเอาพระทองคำไปขาย พอวิหารถูกรื้อเสร็จ ท่านสมภารวัดก็ถึงกับล้มป่วยมีอาการเพียงหนักมาก บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของสมภารรูปนั้นก็พากันมากราบไหว้ หลวงพ่อจงถึงวัดหน้าต่างนอก พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า สมภารวัดมีอาการประสาทหลอน ร้องโวยวายคล้ายถูกผีหลอกตลอดเวลา หลวงพ่อจงจึงรีบเดินทางไปยังวัดนั้น ขณะยังเดินไปไม่ถึงวัดดี หลวงพ่อจงก็บอกแก่พระลูกวัดที่มาตามท่านว่า “สมภารไม่ได้โดนผีหลอกดอก ไม่ได้เจ็บป่วยเป็นอะไรด้วย แต่ยักษ์ที่เฝ้าพระวิหารทำเข้าแล้ว ไปรื้อวิหารโดยไม่ประสงค์จะสร้างให้ดีกว่าเก่า เป็นเพราะอยากได้สมบัติใต้วิหาร มันถึงเป็นเช่นนี้”

    พอไปถึงวัด ท่านเห็นสมภารเอะอะโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์ มีอาการดิ้นพรวดพราด หลวงพ่อจงเดินเข้าไปใกล้แล้วบริกรรมอยู่ครู่หนึ่ง สมภารวัดรูปนั้นถึงกับล้มตึงแน่นิ่งไป บรรดาพระลูกวัดเห็นดังนั้น ก็รีบเข้าไปประคอง ปากก็ละล่ำละลักขอให้หลวงพ่อช่วย ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ฟื้น พอจะเอ่ยปากพูดต่อ หลวงพ่อจงท่านเอามือป้องคล้ายจะบอกว่าไม่ต้อง ท่านหยุดนิดหนึ่งจนสมภารฟื้น แล้วพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้เช้าตั้งเครื่องสังเวย ขอขมาลาโทษเขาเสียนะ เขาเอาจริง เวลานี้เขามาอยู่ที่นี่ด้วย เขาถามฉันว่า ท่านรื้อวิหารต้องการขุดสมบัติใช่ไหม เขาให้ท่านรับปาก ท่านต้องเลิกหาสมบัติ และวิหารนั้นจะต้องสร้างใหม่ให้สวยงามและใหญ่กว่าเก่า ท่านทำได้ไหม ถ้าท่านทำไม่ได้ เขาจะเอาชีวิตท่าน”

    สมภารวัดหน้าซีดเหมือนไก่ต้ม รีบพยักหน้าหงึก ๆ เหงื่อกาฬแตกพลั่กเป็นเม็ดโต ๆ รีบรับปากแต่โดยดี พอวันรุ่งขึ้นก็รีบจัดตั้งเครื่องสังเวยขอขมาลาโทษ แล้วจัดการสร้างวิหารให้งามใหญ่กว่าเดิม


    หลวงพ่อจง เดินไปวัดบางนมโค


    เรื่องหลวงพ่อจงเดินไปวัดบางนมโคนี้ บันทึกโดยพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง สมัยที่หลวงพ่อปานท่านยังมีชีวิตอยู่ วัดบางนมโคได้จัดงานฉลองศาลาและมีสวดมนต์เย็น พระอื่นก็มากันครบแล้ว ขาดแต่หลวงพ่อจง หลวงพ่อปานท่านจึงให้หลวงพ่อฤาษีลิงดำผู้เป็นศิษย์พาคนเรือนำเรือเร็วไปรับหลวงพ่อจงมาจากวัดหน้าต่างนอก เมื่อไปถึง ปรากฏว่ามีแขกมารอพบหลวงพ่อจงเพื่อขอให้ท่านรดน้ำมนต์ ท่านก็เลยบอกหลวงพ่อฤาษีลิงดำให้นำเรือกลับไปก่อน อีกสักพักหนึ่งหลังจากท่านรดน้ำมนต์ให้ญาติโยมแล้ว ท่านจะเดินมาที่วัดบางนมโคเอง

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เห็นว่าระยะทางจากวัดหน้าต่างนอกไปวัดบางนมโคก็ประมาณสี่กิโลเมตร เรือเร็ววิ่งประมาณสิบนาทีเศษ แต่ถ้าเดินก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง อีกทั้งใกล้เวลาจะเริ่มพิธีแล้ว ท่านจึงจอดเรือรอ แต่หลวงพ่อจงบอกให้ท่านไม่ต้องรอ ให้กลับไปก่อน แล้วท่านจะรีบเดินตามมาให้ทันพิธี

    เมื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำกลับมาถึงวัดบางนมโค ก็ขึ้นไปกราบเรียนหลวงพ่อปาน รายงานท่านว่าหลวงพ่อจงกำลังรดน้ำมนต์อยู่ นิมนต์ให้ท่านมาเรือท่านก็ไม่มา ท่านจะเดินมา อีกสักครู่ท่านคงจะมาถึง

    พอหลวงพ่อปาน ได้ฟังก็ยิ้ม หัวเราะชอบใจ บอกว่านี่เจ้าลิงดำ หลวงพ่อจงเล่นตลกกับแกเสียแล้ว แกไปดูบนศาลาสิ ก็เลยกราบท่านแล้วขึ้นไปดูบนศาลา ปรากฏว่าพบหลวงพ่อจงนั่งอยู่หน้าอาสนสงฆ์ นั่งอยู่หน้าพระองค์อื่นทั้งหมด เพราะท่านมีอาวุโสมาก หลวงพ่อฤาษีลิงดำจึงเข้าไปกราบ ท่านจึงถามว่ามานานแล้วรึ ก็กราบเรียนท่านไปว่าเพิ่งมาถึง ไปหาหลวงพ่อปานสักสองนาทีแล้วก็ขึ้นมาบนศาลานี่ เลยมานั่งสงสัยว่าหลวงพ่อจงท่านเดินยังไง คนหนุ่ม ๆ ยังเดินตั้งเกือบชั่วโมง ก็เมื่อไปถึงวัดหน้าต่างนอกตอนนั้น หลวงพ่อจงกำลังจะรดน้ำมนต์ แต่ท่านมาถึงวัดบางนมโคก่อนเรือเร็วของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเสียอีก ขณะที่กำลังคิดสงสัยอยู่นั้น หลวงพ่อจงก็ถามว่าแปลกใจรึ ท่านบอกว่าไม่มีอะไรแปลก พระในพระพุทธศาสนาถ้าปฏิบัติถึงขั้นก็เดินเก่งทุกคน ถ้าปฏิบัติยังไม่ถึงก็ยังเดินไม่เก่ง



    แก่ได้-หนุ่มได้


    ค่ำวันหนึ่ง บรรดาลูกศิษย์ลูกหาพากันมานมัสการหลวงพ่อจง รอกันอยู่ครู่หนึ่งท่านก็ก้าวลงจากกุฎิ พอท่านนั่งลงเท่านั้น บรรดาลูกศิษย์ต่างก็ก้มลงกราบกันสลอน เพราะทุกคนประหลาดใจไปตาม ๆ กัน ที่หลวงพ่อในค่ำคืนนี้มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง เปลี่ยนแปลงไปจากตอนกลางวันที่เขาเห็นมา เนื้อตัวของท่านขาวผ่อง มีความเนียนคล้ายเป็นประกาย ดูหนุ่มขึ้นมาก

    บรรดาลูกศิษย์ต่างก็จ้องมองตะลึงกัน เหมือนไม่เชื่อสายตา ก่อนที่ใครจะพูดอะไรออกมา หลวงพ่อจง ท่านก็เอ่ยขึ้นว่า “อย่าสงสัยไปเลยลูก ร่างกายคนเรามันเป็นอนิจจัง มันจะร้อน จะหนาว มันจะแก่ มันจะหนุ่มเป็นเรื่องของร่างกาย เราอย่างไปเกี่ยวข้อง รักษาจิตให้ดีอย่างเดียวพอแล้ว” หลวงพ่อท่านพูดแค่นี้ ทำให้บรรดาลูกศิษย์ไม่มีใครกล้าถามอะไรต่อไป เพราะเกรงจะเป็นการล่วงเกินท่าน


    อิทธิเครื่องมงคล


    หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ได้สร้างอิทธิเครื่องมงคลไว้มากมายหลายชนิด มีทั้งเหรียญ ผ้ายันต์ ตะกรุด แผ่นยันต์มหาลาภ และกันไฟ ดังนี้

    1. เสื้อยันต์แดง เสื้อยันต์ของท่านมีชื่อเสียงมาก เมื่อครั้งสงครามอินโดจีน ท่านได้สร้างขึ้นไว้แจกแก่ทหารที่ออกสู่สมรภูมิ ในคราวสงครามโลกครั้งที่สองเช่นกัน เสื้อยันต์ของท่าน ได้ปรากฎเกียรติคุณในสนามรบมาแล้วอย่างโด่งดัง จนกิตติศัพท์แพร่หลายไปทั่วประเทศ และด้วยเหตุนี้ จึงมีประชาชนพากันหลั่งไหลไปรับแจกที่วัดหน้าต่างนอก ตลอดระยะเวลาที่เกิดสงครามอย่างไม่ขาดสาย

    2. ผ้ายันต์สิงห์มหาอำนาจ สร้างกันมาแต่สงครามโลกครั้งที่สอง และสร้างต่อมาอีกหลายรุ่น ผ้ายันต์ของท่านนี้มีคุณวิเศษครบเครื่อง ใช้ได้สารพัด ไม่ว่าคลาดแคล้ว คงกระพัน และทางด้านโชคลาภ เป็นต้น

    ประสบการณ์จากทหารและตำรวจชายแดนหลายท่านยืนยันว่า ผ้ายันต์ของหลวงพ่อจงเป็นมหาอุดชั้นหนึ่ง

    3. แผ่นยันต์ พิมพ์ด้วยกระดาษสองสี คือตัวยันต์และตัวหนังสือเป็นสีดำ รูปหลวงพ่อบริเวณจีวรพิมพ์ด้วยสีเหลือง แผ่นยันต์นี้สร้างครั้งแรกในปี พ.ศ.2490 เมื่อคราวสร้างเจดีย์ข้าวเปลือก หลวงพ่อท่านสร้างแจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่จะมาร่วมงาน ปรากฎว่าแผ่นยันต์นี้ อำนวยโชคลาภแก่เจ้าของบ้านที่นำไปบูชา ท่านจึงสร้างแจกอีกต่อมาหลายรุ่น บางรุ่นเป็นสีเดียว เช่น สีฟ้า สีดำ แผ่นยันต์นี้นิยมกันมากเมื่อหลังสงครามโลกสงบ ๆ ใหม่ ๆ เพราะนอกจากจะอำนวยโชคลาภดังกล่าวแล้ว ยังป้องกันไฟไหม้ได้ชะงัดนัก

    4. ปลาตะเพียนเงิน-ตะเพียนทอง ปลานี้หลวงพ่อจงท่านสร้างเป็นคู่ ตัวเมียกับตัวผู้ เดินอักขระขอม ปั๊มนูนไม่เหมือนกัน ท่านสร้างเมื่อปี พ.ศ.2490 เศษ ๆ ได้มีผู้เคยพบปลาตะเพียนคู่นี้ในกุฎิท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) วัดสุทัศนฯ ซึ่งท่านมรณภาพเมื่อปี พ.ศ.2495 เข้าใจว่า หลวงพ่อจงมอบให้แก่ท่านเจ้าคุณโดยเฉพาะ ปลาตะเพียนคู่ เป็นเครื่องรางที่ชาวจีนนับถือกันอย่างมากมายมาช้านาน เครื่องถ้วยชามของชาวจีนเก่า ๆ มักจะทำเป็นปลากลับหัว อันหมายถึง บ่อเกิดของชีวิตแห่งโชคลาภ การปลุกเสกปลาตะเพียนของหลวงพ่อจงนี้ ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน กล่าวคือ ท่านปลุกเสกแล้วให้ลูกศิษย์ปล่อยลงที่ท่าน้ำหน้าวัดคู่หนึ่ง ปรากฎว่า ปลาตะเพียนที่เป็นโลหะตั้งตัวตรงแบบปลาจริง ๆ และไม่จมน้ำด้วย และที่น่าประหลาดไปกว่านั้นก็คือ ปลาตะเพียนของหลวงพ่อจง ลอยทวนน้ำ ไม่ใช่ลอยตามน้ำ และเป็นที่ร่ำลือกันว่า ปลาตะเพียนของท่านว่ายน้ำได้


    ยังมีอีกนะครับ ลองเข้าไปอ่านดูกัน จะได้เห็นว่าท่านเก่งมาก อีกเรื่องที่ไม่ได้มีในกระทู้นี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่วัดสุทัศน์ครับ



    เกี่ยวกับประวัติภาพถ่ายนี้ คือ ในงานพุทธาภิเษกที่วัดสุทัศน์
    ครั้งนั้นทางเจ้าภาพได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์ไปหลายรูปด้วยกัน ซึ่งเจ้าของภาพจำ ได้ว่า 2 รูป ที่เขาเห็นและศรัทธาอย่างยิ่งก็คือ

    1.พ่อท่านคล้าย วัดสวนขันธ์
    2.หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก

    สาเหตุเพราะได้ประจักษ์กับตา ถึงอภินิหารของทั้งสองท่านนี้ แต่ว่าไม่สามารถถ่ายภาพของหลวงพ่อคล้ายได้ ถ่ายได้เฉพาะหลวงพ่อจงรูปเดียวเพราะเขาไม่คิด ว่าจะมีการทดลองวิชาของพระคุณเจ้าเกิดขึ้น ที่มาของภาพมีดังนี้

    ในงานนั้นพ่อท่านคล้ายและหลวงพ่อจง นั่งพักอยู่ใกล้ๆกัน ก็บังเอิญมีโยมคนหนึ่งมาขอให้ พ่อท่านคล้าย ช่วยทำน้ำมนต์ให้ พ่อท่านจึงบอกกับโยมคนนั้นว่า ให้ไปเอาขวดมา และเอาน้ำมาแก้วหนึ่งด้วยท่านจะทำน้ำมนต์ให้ โยมคนนั้นก็ไปเอาขวดและน้ำมาให้พ่อท่านคล้ายทำน้ำมนต์ พ่อท่านรับแก้วน้ำมาแล้วให้โยมคนนั้นเอาขวดไปตั้งไว้ข้างหน้าห่างไปพอสมควร จากนั้น พ่อท่านก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาเหมือนดื่มแต่ไม่ได้ดื่มเพียงอมไว้แล้วก็พ่นน้ำไปที่ขวดใบนั้น พรวดเดียวน้ำเต็มขวดเลย

    หลวงพ่อจงท่านหันมามองแล้วก็หัวร่อ หึ หึ แล้วก็บอกว่า “จ้ะ....ฉันก็ทำได้ ” แล้วก็ให้โยมคนนั้นไปเอาขวดมาหนึ่งใบ โยมคนนั้นก็ดีใจ เพราะวันนี้จะได้น้ำมนต์วิเศษจากพระเกจิอาจารย์ดังถึงสองรูปด้วยกัน และที่สำคัญวิธีทำน้ำมนต์ของท่านนั้นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก จึงรีบไปเอาขวดและน้ำมาให้หลวงพ่อจง หลวงพ่อท่านไม่เอาน้ำ รับไว้เพียงขวดเปล่า จากนั้นท่านก็เอามือประสานกันบนปากขวดก็ปรากฏมีแสงสว่างขึ้นและมีน้ำไหลจากมือหลวงพ่อไหลลงไปในขวด ดังภาพ ฝ่ายพ่อท่านคล้ายเห็นดังนั้น ก็รีบยกมือไหว้แล้วกกล่าวว่า ท่านจง ผมยอมแพ้ท่านแล้ว

    หลังจากนั้นเมื่อพ่อท่านคล้ายไปร่วมงานพุทธาภิเษกที่ใด ถ้ารู้ว่าหลวงพ่อจงไปด้วย ก็จะให้ลูกศิษย์ท่านอุ้มท่านมากราบหลวงพ่อจง ( เนื่องจากขาท่านไม่ดี )
    ผู้ที่ถ่ายภาพนี้บอกว่าเสียดายที่ถ่ายภาพตอนพ่อท่านคล้ายทำน้ำมนต์ไม่ทัน แต่พอเขารู้ว่าหลวงพ่อจงจะทำน้ำมนต์ด้วย จึงรีบตั้งกล้องคอยท่าไว้ พอหลวงพ่อทำน้ำมนต์ให้ไหลลงไปในขวดเขาก็เลยถ่ายภาพนี้เอาไว้ได้



    http://fws.cc/mengamulet/index.php?topic=142.0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  17. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    เหรียญฉลุ หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร สวนหินผานางคอย อุบล

    360 .- บาท พร้อค่าจัดส่ง EMS ครับ

    หลวงปู่พรหมมา ท่านเป็นเกจิอีกรูปหนึ่งที่ทรงบารมี และอาคมสูงมาก ตามประวัติท่านเป็นศิษย์สำเร็จลุน พระอริยสงฆ์แห่งดินแดนล้านช้างครับ เมื่อประมาณปี 32 - 33 ผมได้เคยอ่านประวัติของท่านจากหนังสือพระฉบับหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเป็น "นะโม" หรือ "ศักดิ์สิทธิ์" กันแน่ ได้กล่าวถึงเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ใจของท่าน ตามหนังสือกล่าวว่า ท่านข้ามแม่น้ำโขงมาจากฝั่งลาว (ทำให้ตอนนั้นผมเข้าใจว่า ท่านเป็นพระเกจิจากประเทศลาว ที่หลบความวุ่นวายเข้ามาพำนักในประเทศเรา) แต่มาเจอประวัติของท่านจากหลายๆ เว็บในปัจจุบัน บอกว่าท่านเกิดในฝั่งประเทศไทย แต่ธุดงค์ และข้ามไปเรียนวิชากับสำเร็จลุนในฝั่งลาว ผมเลยมานั่งคิดเอาว่า ในสมัยก่อน ตอนท่านยังเป็นเด็กอยู่ เรื่่องพรมแดนระหว่าง ไทย - ลาว คงยังไม่กระจ่างชัดนัก ท่านคงคิดว่าเป็นแผ่นดินเดียวกันเป็นแน่

    มาพูดเรื่องการข้ามฝังโขงของท่านดีกว่า "...ท่านข้ามแม่น้ำโขงมาจากฝั่งลาว..." ฟังอย่างนี้อาจไม่รู้สึกอะไร เพราะการข้ามฝั่งโขงของคนไทย ลาว ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แม้ในปัจจุบัน (ตอนที่ผมไปทำงานที่นั้น ผมเองก็เคยเห็นคนฝั่งลาวพายเรือข้ามมาซื้อสินค้าต่างๆ จากฝั่งไทย ที่หมู่บ้านหนึ่งใน จ.เลย ไม่ใช่ข้ามด่านนะครับ เป็นริมฝั่งแม่น้ำธรรมดาๆ นี่แหละ เหมือนคนไทยเราพายเรือข้ามฝั่งไปมาหากันอย่านั้นแหละครับ) อันเป็นเรื่องปกติของแถบนั้น แต่วิธีข้ามของท่านซิครับ ที่น่าอัศจรรย์ ท่านข้ามแม่น้ำโขงมายังฝั่งไทย กับผู้ติดตามท่านคนนึง(ผมจำชื่อไม่ได้แล้วครับ) โดยไม่มีเรือ หรือพาหนะใดๆ ทั้งสิ้น!!

    ผู้ติดตามคนนี้แหละครับ ที่เป็นผู้เล่าถึงวิธีที่ท่านข้ามแม่น้ำโขงมายังฝั่งไทย ให้กับผู้เขียนบทความลงในหนังสือฟัง(ประมาณนี้นะครับ เท่าที่ผมจะได้)ว่า "...ตอนจะข้ามแม่โขง หลวงพ่อ ท่านให้ผมหลับตา ห้ามลืมขึ้นจนกว่าท่านจะบอก พอท่านเห็นผมหลับตาสนิทแล้ว ท่านก็จูงมือผมเดินไปข้างหน้า สักพัก ท่านก็บอกให้ผมลืมตา พอผมลืมตาขึ้น หันไปมองข้างหลัง ผมถึงได้รู่ว่าผมกับท่านข้ามมาอยู่ฝั่งไทยแล้ว โดยไม่เปียกน้ำเลยแม้แต่น้อยครับ..." แล้วท่านพาคนติดตามท่านข้ามแม่น้ำโขงมาด้วยวิธีใดครับ???

    ถ้าอยากอ่านประวัติ และเรื่องราวของวัตถุมงคลของท่านต่อ เชิญติดต่มอ่านได้ที่นี่เลยครับ : http://www.ampoljane.com/index.php?option=com_content&view=category&id=47:2009-07-06-10-44-46&Itemid=80&layout=default


    วัตถุมงคลของท่านที่ผมมี ชิ้นนี้ผมออกถูกที่สุดแล้วครับ ถ้าเป็นวัคถุมงคลในรูปฤษี(ท่านโด่งดังมาจากฤษีของท่านนี่แหละ รุ่นแรกนี่หลักหมื่นนานแล้วครับ ที่สำคัญ ถึงมีเงินก็ไม่แน่ว่าจะหาได้) ส่วยใหญ่เป็นเนื้อว่านยาครับ ผมมีวัตถุมงคลของท่านหลายชิ้นอยู่ จะค่อยๆ นำมาลง ถ้าชอบกัน ส่วนตัวผมเองบูชาของท่านอยู่องค์นึง ส่วนที่เหลือไม่ได้ห้อยเลยจะเอาออกมาหาคูแท้ของท่านครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    จัดส่งให้แล้วครับวันนี้<O:p</O:p

    คุณ hamwin </SPAN>RF736648241TH<O:p</O:p

    คุณAyutthaya834 EI261131186TH
    <O:p</O:p
    ขอบคุณครับ<O:p</O:p
     
  19. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    พระขุนแผนเสน่ห์จันทร์ หลวงพ่อคง มีตะกรุดกล่องเดิม



    องค์นี้คงไม่ต้องลงประวัตินะครับ น่าจะทราบกันดีอยู่แล้ว รับรองแท้แน่นอนครับ ผมเช่ามาจากที่วัด รับมากับมือเลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2012
  20. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    มาดูอีกสายนึงบ้างครับ

    พระปางลีลาหนังตะลุง เนื้อดินเผา หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว


    899.- บาทครับ​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...