ชมรมการพัฒนาจิต บำบัด ด้วยกฎธรรมชาติและพลังแห่งพุทธะ

ขอขอบคุณตฤนมากนะคะที่ให้คำแนะนำท่ี่มีประโยชน์อย่างมาก อาการเบื่ออาหารกว่าจะ
หายกินเวลาไปสี่วัน ตอนนี้ก็คอยรับพลังพร้อมกันตอนสองทุ่มคะ่

 

พี่จินตนา...มีอะไรแนะนำไหมค่ะ......ฝึกไปไกลหรือยัง...
เรายังอยู่ในอ่างใบเดิมอยู่เลย...เผลอตัวเป็นไม่ได้ โดนเล่นงานอีกทุกที...จริตเดิมต้องรีบสะสางแก้ไขให้เท่าทัน....ไม่อย่างนั้นก็จะโง่งมไม่เลิกลา
กว่าจะเห็นการหลุดพ้นจริง ๆ ก็ต้องรู้เท่าทันจิตของตนเองนั่นแหละ.........55555

 

ขอบคุณ คุณตฤนมากเลยท่ี่ให้คำแนะนำมา กว่าอาการเหล่านี้จะหายกินเวลาตั้งสี่วัน
ถ้าตอนนี้พอกินถึงจุดอิ่ม วงจรจะตัดโดยอัตโนมัตเลย คือปากจะขมไม่อยากินละ
ได้ลดความอ้วนสำเร็จก็คราวนี้

 

หลินตอนนี้พี่ก็กำลังโดนทดสอบจิตเหมือนกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงหงุดหงิดมาก ตอนนี้พี่ฟัง
แล้วก็ปล่อยวางมัน เดินเล่นยิ้มเข้าไว้ พลังก็ส่งเข้ามาตลอดเวลาเลยจ้า

 

เก็บตกจากงาน 22,23 มกราคม

มนุษย์เรามีที่มาที่ไปอย่างไร ในสภาวะทั้งสาม........ใครได้ฝึกและเรียนรู้มาแล้ว...ตอบคำถามได้ไหม

 

สองอาทิตย์หลังเสร็จงานครั้งแรก...ก็เลยตั้งใจจะหาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบทั้งดี และโทษ ของการเปิดจักระ และการเรียนรู้วิธีทำสมาธิแบบจักระ รวมทั้งการยกระดับกาย จิต วิญญาณ
ว่าทำไมคนทุกคนถึงไม่สามารถฝึกได้เหมือนกัน มันก็เลยเป็นคำถามว่า ที่มาที่แตกต่างกันอาจแบ่งได้หลาย ๆ แบบ แต่ที่เห็นใหญ่ ๆ มีสามแบบ ไว้คราวหน้าจะมาพูดในสิ่งที่ตนเองเห็น.............

 

จากเวลาที่ผ่านมา ในการฝึกสมาธิในหลาย ๆ สำนัก เวลาเรียนเราก็เรียนรู้ตามที่อาจารย์สอน แต่เราจะมาสังเกตตนเองในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในเป็นสำคัญ ว่า กาย จิต จะรู้สึกเช่นไร มันสบายดีอยู่หรือไม่ มันปกติหรือมีอาการอะไรบ้าง ซึ่งเป็นธรรมของโรค
ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตามการกินอยู่และหลับนอน การใช้พฤติกรรมที่ผิดธรรมชาติ หรือการสร้างความสมดุลย์ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของตัวเองและธรรมชาติของสรรพสิ่ง
จึงทำให้การเป็นไปของบุคคลแตกต่างกัน ....อันนี้เราจะพูดถึงแค่ปัจจุบันเท่านั้น
ท่านลองสังเกตตัวท่านเองก่อน เข้าใจในตัวเองก่อนว่า ท่านมีพฤติกรรมอย่างไร จริตท่านมีอย่างไร ชอบ เกลียด อะไร เป็นพิเศษ หรือสนใจอะไรมากกว่าปกติ...ท่านต้องเรียนรู้ตนเองให้ถ่องแท้เสียก่อนและเริ่มมองผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของท่านว่าเหมือนท่านไหม.....ตอบได้ว่า ไม่เหมือนกันเลย ขนาดเราคิดว่าคนนี้นิสัยคล้ายเรา พอเอาเข้าจริง ไม่เมือนกันเลย แต่ทำไมถึงพูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกันได้ เพราะเรามีสิ่งที่คล้ายกัน สนใจในเรื่องที่คล้ายกัน....เช่น ถ้าพูดถึงคำว่า โลกและจักรวาล ท่านจะตอบว่าอะไร ในขณะที่ท่านอ่านเจอคำนี้.....ท่านลองมองดูเข้าไปที่ความรู้สึกในเวลานั้นซิ แล้วหาคำตอบออกมา สัญญาแห่งความจำได้หมายรู้ ต่าง ๆ ก็จะผุดขึ้นมาทันที และท่านก็จะหาคำตอบที่พูดออกมาแล้วดูดีที่สุด ให้มีผลกระทบต่อผู้ฟังน้อยที่สุด ซึ่งในที่นี้ก็คือ ไม่อยากให้ถูกเกลียดชังนั่นเอง ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่า อยาตนะทั้ง 6 ของท่านทำงาน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะทางโลก แต่ในเรื่องของจิต ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
ความรู้สึก ความคิด และการมีสามัญสำนึก รวมทั้งจิตใต้สำนึก กำลังทำงานโดยที่ท่านสังเกตทันหรือไม่ว่า อะไรกำลังทำงานอยู่ และใครคือผู้นำ
หลายเดือนมานี้เราได้ถูกฝึกฝน และ เรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์มาก่อนเรา และช่วยสอนเรามาตลอดเวลา ให้เห็นถึงสิ่งที่แตกต่างและซับซ้อนที่อยู่ภายใน การทำงานที่ซับซ้อนนี้ มันเป็นผลที่ทำให้ลักษณะท่าทาง อุปนิสัยใจคอ และอื่น ๆ ของท่านเปลี่ยนแปลงไป
และเมื่อได้รับการฝึกฝนนั้น มันย่อมมีบททดสอบที่รุนแรงแตกต่างกัน เพื่อให้ผ่านมันไปได้ด้วยตนเอง....และทฤษฎีทั้งหลาย และเนื้อหาทั้งหลายที่มี มันสามารถใช้ได้เฉพาะบางคน บางเวลา และบางสถานที่เท่านั้น.....
มันไม่สามารถใช้ได้เหมือนกันทุกคน และทุกคนต้องมีผลงานออกมาเหมือนกัน จึงเป็นที่มาว่า คนเรามีสถานะที่แตกต่างกันเป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ และแต่ละกลุ่มมีหน้าที่แตกต่างกัน แต่ทุกกลุ่มมีหน้าที่จุดหมายที่เหมือนกันคือ

หน้าที่ของการที่ต้องฝึกให้มีความรักและเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และช่วยกันฝ่าวิกฤตที่กำลังใกล้เข้ามา และถ้าท่านเหล่าสมาชิกทั้งหลาย พร้อมที่จะสละเวลาทางโลก เข้าสู่การเรียนรู้เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ก็ขอให้เริ่มนะวันนี้ อย่าเอาการมีการเป็นมาอวดว่าใครดี ใครเด่นกว่ากัน เพราะเราเป็นครูซึ่งกันและกัน ความแตกต่างที่มีการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ จะทำให้เราอยู่ได้อย่างสันติ เกื้อกูล และหวังดีต่อกัน และขอให้เวทีนี้เป็น เวทีหนึ่งที่ท่านพร้อมที่เข้ามาเรียนรู้ และเริ่มเข้าใจตัวท่านเองในอีกแง่มุมหนึ่ง

 

ได้มีโอกาสมาเล่าเรื่องลึก ๆ จากการติดตามอาจารย์ไปทำงาน
ข้อคิดสำหรับผู้ที่โทรมา และผู้ที่เข้ามาพบ จึงมีโอกาสเห็นหลากหลายสภาวะหลายอย่างที่สภาพภายนอกไม่อาจจะแสดงออกมาได้ทั้งหมด แต่เมื่อสมาชิกสมัครเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆก็จะเริ่มเข้าใจในสิ่งที่หม่าม๊าช่วยทั้งด้านจิตใจ ด้านร่างกาย ให้สามารถมีพลังในการดำเนินชีวิตต่อไป และสำหรับบางท่านก็อาสาเข้ามาช่วยงาน บางท่านสละทั้งกำลังทรัพย์, บ้าน ไว้สำหรับให้สมาชิกท่านอื่น ๆ สามารถเข้ามาพบหม่าม๊าได้ด้วย

สิ่งที่เห็นในเบื้องต้นของสมาชิก คือ
สภาพความเจ็บป่วยจากการทำงานหนัก เครียด การหาทรัพย์ และการแข่งขันทางอาชีพ โดยรวมปัญหาครอบครัว ที่ตกอยู่ในภาวะนี้ทั้งสิ้น ทำให้เกิดการไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน และไม่เข้าใจตนเอง ว่าเกิดอะไรขึ้น บางท่านบอกว่าเป็นกรรมเวร และยอมรับได้ บางท่านรับไม่ได้ก็ยิ่งเก็บอารมณ์เข้าไปอีก ซึ่งนั่นเป็นการซ้ำเติม กายภาพเข้าไปโดยไม่รู้ตัว

แต่เมื่อท่านมีโอกาสได้เข้าพบและสอบถาม และได้ฝึกฝน ก็จะเริ่มเข้าใจตนเองและสภาพต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และหาวิธีปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับธรรมชาติของตัวท่านสมาชิกเอง และ ธรรมชาติ ของโลกและจักรวาล

 

มีเรื่องมาเล่าต่อค่ะ
หลายท่านที่รับการรักษาจากหม่าม๊าแล้ว ร่างกายอ่อนเพลีย บางท่านเล็กน้อย บางท่านล้มหมอนเสื่อ ไม่สบายค่ะ และบางท่านเข้าโรงพยาบาลก็มี เหตุที่เป็นแบบนั้น เพราะ กำลังของร่างกาย และจิต ที่ถูกเก็บสิ่งตกค้างของอารมณ์ โรคภัยต่าง ๆ โดยที่เราสะสมไว้แบบไม่รู้ตัว ว่าร่างกายอาจเป็นหลายโรค แต่แสดงอาการแค่โรคเดียว แต่พอท่านรักษาให้ ก็เลยทรุด
แต่ในทางเป็นจริงแล้ว ร่างกายกำลังขับของเสียออกโดยวิธีแบบธรรมชาติของร่างการค่ะ ที่อ่อนเพลีย เพราะต้องดึงเม็ดเลือดขาว และพลังงานไปใช้ในส่วนซ่อมแซมค่ะ จึงทำให้ร่างต้องการพักผ่อนค่ะ หมดแรงไปตาม ๆ กันค่ะ
แต่สำหรับท่านที่ฝึกสมาธิ ก็ตัดอุเบกขาไปก่อน และทำสมาธิต่อไปได้เลยค่ะ พลังข้างในกำลังปรับสมดุลย์ให้อยู่ค่ะ ถ้าไม่ไหวก็นอนพักดีที่สุดค่ะ

 

เก็บตกจากจันทบุรี.....
ชาวบ้านส่วนใหญ่เดินทางมาหลายสิบกิโลเพื่อมาพบหม่าม๊า แต่ละท่านที่มามีอาการทางกายภาพที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ทำงานหนัก หนักมาก ๆ ผิวหนังหยาบ กร้าน เพราะเป็นชาวส่วนชาวไร่ แทบทั้งหมด จึงเกิดการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และบางท่านเป็นมะเร็ง และบางท่านก็มาสนทนาธรรมะ
สิ่งที่ตอบรับเมื่อเจอกันครั้งแรกระหว่างสมาชิกกับหม่าม๊า ส่วนใหญ่จะเห็นท่านเป็นหมอนวดแผนไทย บางท่านชื่นชมอย่างมาก ว่า นวดอยู่ที่ไหน ไม่เคยเจอเลย นวดได้เก่งมาก
จับเส้นได้ตรงเลย จากที่ไม่รู้สึก ก็สามารถรู้สึกได้....
และบางท่านก็ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ ได้กับตนเองถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในขณะทำการรักษา แต่มีสิ่งหนึ่งที่กองเชียร์อย่างเราเห็นคือความอิ่มอกอิ่มใจของผู้ที่หายป่วย ความสุขที่ เกิดขึ้นหลังจาก เป็นทุกข์มานานได้รับการช่วยเหลือแล้ว และ พ่อผู้ใหญ่ก็ได้อธิบายถึงการนำสมาธิไปใช้ในการบำบัดจิต และกาย ทำให้ทุกคนสมารถนั่งสมาธิเป็นและเรียนรู้ที่จะทำให้จิตใจเย็นสบายได้ในระดับหนึ่ง

การติดตามอาจารย์ และการเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นั้น เราคิดว่า ทุกคนล้วนมีปัญหาทั้งสิ้นจากการดำรงชีวิต ที่ต้องการมีความทัดเทียมทางสังคม มีกินมีใช้ จนละเลย ถึงความเป็นธรรมชาติของชีวิต ที่แท้จริง ว่าจริง ๆ แล้ว ชีวิต ต้องการเพียงการดำรงอยู่อย่างสมดุลย์เท่านั้น การกิน การนอน และการดำเนินชีวิต จากจิต ที่อิสระและว่างเปล่า ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย เพื่อการใดเลย แต่สิ่งที่ถูกจับให้เกิดการปรุงแต่งมาจากสภาพสถานะของสังคมที่ถูกตั้งว่า เราจะอยู่ในตำแหน่งไหนของสังคม มากกว่า ซึ่งทั้งหมดคือสิ่งที่เป็นภาพลวง แห่งการเป็นมนุษย์ ที่มีเนื้อหนัง จึงต้องการเสพสิ่งที่มาทำให้เนื้อหนังมีสีสรรทางกายภาพและการตั้งอยู่ในสถานที่นั้น ๆ

แต่สำหรับสภาวะทางจิต กลับตรงกันข้ามทั้งหมด จึงเป็นเรื่องยากที่คนเราจะเข้าใจสภาวะทางจิตของตนเองและของผู้อื่นได้ ถึงต้องมีการเรียนรู้ พัฒนา ปรับปรุง อยู่เสมอ ให้จิตของเราบริสุทธ์ขึ้น และพร้อมที่จะทนทานกับสิ่งเร้ารอบตัว

ขอเชิญสมาชิก เข้าร่วมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ของจิต ตนเองด้วยตนเอง วันละนิด
และนำสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ว่า ดีขึ้นมาเล่าสู่กันฟัง......

 

ภาพจากจันทบุรี รักษาทั้งเด็กและผู้ใหญ่

 

ธรรมชาติมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเสมอ เพื่อให้เกิดความสมดุลย์ เพียงแต่เราเฝ้าสังเกตุและเพียรระวังทุกข์ที่เกิดจากขันธ์ 5 ปล่อยตามครรลองของธรรมชาติ ถ้าอึดอัดก็เพียงแต่คลายอารมณ์ หายใจเข้าลึก......หายใจออกยาว......ผ่อนคลาย.....เบา.......สบาย....555555
พบกันอีกครั้ง 26-27 มี.ค.54

 

งานสัมนาชมรมการพัฒนาจิต บำบัด ด้วยกฎธรรมชาติและพลังแห่งพุทธะ
วันที่ 26-27 มี.ค.54 เวลา 0900-1700 น. ซอยเพชรเกษม 94 บางแค

 

สำหรับผู้เดินทางด้วยรถไฟฟ้า

 

สำหรับผู้เดินทางรถส่วนตัว

 

งานครั้งที่ 2 นี้ ไม่ได้เน้นอะไรเป็นพิเศษ...แต่เราจะร่วมกันฝึกปฎิบัติ สมาธิ ให้มีความเติบโต และ มีจิตเมตตามากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นการรวมตัวกันของเหล่าบรรดาสมาชิกที่ยังคงมีความชื่นชอบ ชื่นชม และพร้อมที่จะเรียนรู้ต่อยอดกับ อาจารย์หม่าม๊าต่อไป...ดังนั้นจึงไม่ได้มีการเชิญเป็นพิเศษ กับใคร ผู้ใด มีแต่สถานที่ ไว้คอยต้อนรับ

และหวังว่า พวกเราเอง จะเป็นคนค้นหาหนทางและ วิถี การก้าวเดินต่อไป ในแบบฉบับ ที่ทุกท่านมีความเห็นต้องกัน บนวิถีแห่ง ความรักและเมตตา ต่อกัน

ดังนั้น คณะทำงานในชุดที่ 1 จึงให้ครั้งที่สอง เป็นการรวมตัวแบบใจสมัคร แบบสบาย ๆ
ไม่มีกฎเกณฑ์ อะไร แต่เราทุกคน จะเป็นผู้ที่ถูกผ่านการทดสอบด้วยตนเอง

เจอกัน วันที่ 26-27 มีนาคม พ.ศ. 2554

 

สถานที่จัดงาน บ้านเลขที่ 55/4 ซอยเพชรเกษม 94 บางแค กรุงเทพ ฯ (ห่างจากปากซอย 50 เมตร)

 

ชมรมไม่มีตำแหน่งให้ มีแต่หน้าที่ให้ทำ ทุกท่านคือเพื่อนรวมเดินทางด้วยกัน ตามหนทางของคำอธิษฐาน

ในการตั้งจิตอธิษฐาน ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เบื้องบน นั่น สัจจะวาจา อย่างหนึ่งที่ผู้ที่ตั้งวาจาแล้ว ควรพึ่งกระทำให้ลุล่วง ในงานที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้นหนทางจึงลำบากเป็นธรรมดา แต่จิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว ก็ยังสามารถหวั่นไหวไปกับแรงคลื่นของกิเลสได้ แต่ ต้องรีบ ระลึก รู้สึกตัว ให้กลับมาตั้งมั่น ให้จงได้

เมื่อบุคคล แต่ละบุคคล มีเรื่องที่ตั้งมั่นและอธิษฐานไม่เหมือนกัน การทำงานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่เหมือนกัน หนทางและเงื่อนไข จึงต้องเป็นเรื่องของเฉพาะตน และพึ่งเข้าใจเฉพาะตน ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเรียนรู้ ไปพร้อม ๆ กับทำงานรับใช้ ซึ่งสามารถเกิดข้อครหา นินทา ทั้งต่อหน้า และ ลับหลังได้ ซึ่งมีทั้งเรื่องดี และเรื่องไม่ดี ดังนั้นการทำงานกับคน ในแวดวง ของการทำกุศลเพื่อบุคคลอื่นแล้ว จึงจำเป็นต้องมีความอดทน อดกลั้น พิเคราะห์ พิจารณา ว่าสิ่งที่กระทำนั้น เป็นประโยชน์ตน หรือประโยชน์ส่วนรวม
หากสามารถตอบใจตนเองได้แล้วว่า เป็นประโยชน์ส่วนรวม เมื่อใด ท่านก็เห็นความสุขในใจท่านได้เช่นเดียวกัน และ การทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมแล้ว กลับพบกับความทุกข์ ท่านควรกลับมาพิจารณาตน เสียใหม่ว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นมาด้วยเหตุอันใด

อย่าได้กล่าวโทษผู้อื่น.......จงกลับมามองตน......พิจารณาตน.....และ เตือน สติตน
ว่าได้รับใช้.......สมคำที่ตั้งสัจจะวาจา หรือยัง


และเมื่อท่านได้มีโอกาสได้เข้ามาเรียนรู้ในแนววิธี ที่หม่าม๊าท่านสอน ให้หยุดความคิดให้สังเกต กาย กับจิต และปลดปล่อย อารมณ์แห่งการคั่งค้าง ของความทุกข์ทั้งปวงซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านต้องฝึกฝนเอง ในแบบฉบับของตนนั้น ท่านจึงตอบคำตอบด้วยตัวท่านเองว่า ท่านมีความเข้าใจเพียงใดและได้ใช้เครื่องมือนั้นเพื่อพัฒนาตนหรือยัง...........

 

เสาร์นี้(19 มี.ค.) เรียนเชิญผู้ที่มีเวลาว่าง พบหม่าม๊าที่บ้านพี่อ้อย(คลอง 5 ม.ราชธานี) นั่งดูพระจันทร์
ดวงหย่าย.........ด้วยกัน(deejai)(deejai)(deejai)(deejai)(deejai)

 

ผู้ลงทะเบียนงานสัมนา ฯ 26-27 มี.ค.(16 มี.ค.54)
1.พี่อ้อย 2 คน
2.พี่หลิน 3 คน
3.โอทา 1 คน
4. เฒ่าทะเล 4 คน
5. DMZ_ZONE 1 คน
6. WERUWAN 3 คน
7. หมีจ้า 1 คน
8. WACAHOLIC 1 คน(26 มี.ค.54)