ฉบับที่ ๖๖ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 23 พฤศจิกายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG][​IMG]


    ถาม: (ไม่ชัด)
    ตอบ: ยังเห็นเป็นตัวเป็น ๆ ไม่มี แต่ว่างาช้างดำเคยเห็นมา ๔ คู่แล้ว ที่พิพิธภัณฑ์จังหวัดน่านมีข้างเดียว อยู่ในวังคู่หนึ่งแต่ว่าไม่ยาวนะ น่าจะไม่เกินเมตรแล้วก็อ้วน ๆ สั้น ๆ แต่ว่าความโค้งมันจะมากโค้งเหมือนอย่างกับเขาควายเลย ก็เลยตั้งโชว์แล้วไม่สวย คู่หนึ่งจะเล็ก ๆ ไม่ใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางน่าจะไม่เกิน ๒ นิ้ว ยาวซักศอกหนี่ง ไม่ทราบว่าใครถวายเจ้าคุณไพบูลย์ วัดอนาลโยที่พะเยาเอาไว้ ก่อนหน้านี้ท่านตั้งโชว์เอาไว้เลย สงสัยมีคนมาหมายปองเอาไว้ ท่านเลยเก็บเงียบเลย ไม่ได้ถามท่านเอาไว้ไหน

    อีก ๒ คู่นี่ มีฆราวาสคนหนึ่งเขาได้ทิพจักขุญาณ แล้วเขาก็ไปดูว่ามีที่ไหนบ้างแล้วก็ไปขุดมา เป็นแบบสีน้ำผึ้งคู่หนึ่ง แล้วก็สีดำคู่หนึ่ง สีดำ ๆ เป็นนิลเลยนะ แล้วสีน้ำผึ้งเอามาแบ่ง ๆ กันแกะพระ ก็ได้มาองค์หนึ่งนี่ แต่ว่าคู่ที่ดำเป็นนิลนั่นความยาวมันเกิน ๒ เมตร ใหญ่กว่าต้นขานี่อีก เขาถวายในหลวงไปแล้ว ในชีวิตเห็นมา ๔ คู่แล้ว เห็นทั้งใหญ่ทั้งเล็ก อ๋อ...อีกหนึ่งข้างที่จังหวัดน่านอันนั้นไม่ครบคู่

    ถาม: แล้วงาช้างกำจัดล่ะคะ ?
    ตอบ: อันนั้นมันเป็นช้างประเภทมันคะนอง มันแทงต้นไม้แล้วมันหักคาอยู่

    ถาม: แล้วมันเป็นของอาถรรพ์จริงมั้ยคะ ?
    ตอบ: ก็เขาถือว่ามันเป็นของอาถรรพ์อย่างหนึ่ง คือช้างเป็นสัตว์ใหญ่มีอำนาจมาก อยู่ในป่าไม่ต้องกลัวใคร แล้วเป็นงาที่มันหักระหว่างเรียกง่าย ๆ ว่ากำลังคะนองฤทธิ์ เพราะฉะนั้นพวกเล่นไสยศาสตร์หรือวัตถุอาถรรพ์เขาจะนิยม แต่มันมีอัศจรรย์อยู่ชิ้นหนึ่งของครูเขา รู้จักครูอี๊ดมั้ย? ครูอี๊ดชื่อจริงชื่อ ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ เป็นศิลปินแห่งชาติ เขาเขียนเรื่องเพชรพระอุมา (หัวเราะ)

    ถาม: (ไม่ชัด)
    ตอบ: คนเดียวกัน ท่านเป็นครูสอนยิงปืนมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่นอยู่ ก็เลยเรียกท่านเป็นครูมาตลอด เรียกนามปากกาพนมเทียนกับใครไม่ได้

    คราวนี้ครูเขาได้มา ตั้งแต่สมัยครูยังเที่ยวป่าอยู่ แล้วมันแปลก งอกเป็นพระธาตุเลย คืองอกซ้อนไปเรื่อย ๆ อย่างกับหัวกระหล่ำอย่างนั้นแหละ แต่ว่าเนื้อมันก็คือเนื้องานี่แหละ แต่แปลกตรงมันงอกได้ ครูเขาบอกว่าไปอาจารย์เขาลงมาแล้ว แล้วก็ติดตัวไว้สมัยออกป่าจะได้ปลอดภัย
    คราวนี้ช่วงนั้นแกถังแตกครูบอก เฮ้ย...มันใครรับซื้อมั้ยวะ ? ถ้ามันให้แพงหน่อย ครูจะขายเหมือนกัน (หัวเราะ) ไม่รู้ว่ายังอยู่หรือเปล่า แกอาจจะขายไปแล้วก็ได้ เพราะช่วงนั้นปืนครูเขาก็ขายเหมือนกัน คือคนเราเวลาไม่มีสตางค์มันก็ยุ่งจ้ะ แต่ตอนนี้เป็นศิลปินแห่งชาติแล้ว เขามีเงินเดือนแล้ว มันก็เป็นเรื่องแปลก งาช้างมันไม่น่างอกใหม่ได้นะ แต่มันก็งอก

    ถาม: แล้วคุณครูเขาเข้าป่าไปเจอสิ่งที่เขาเขียนจริง ๆ หรือว่าเป็นจินตนาการของเขา ?

    ตอบ: มันมีทั้งที่เจอจริง ๆ แล้วก็มีทั้งที่ฟังบรรดาครูพรานเพื่อนร่วมป่าเล่าให้ฟัง

    ถาม: บุญคำ มีตัวตนมั้ยคะ ?

    ตอบ: มีจริง ๆ จ้ะ ตาคำนี่สุดลามกเลยตัวจริงน่ะ ไอ้ที่ไม่มีตัวจริงในหนังสือที่เขาเขียนรู้สึกว่าจะมีคุณหญิงดารินคนเดียว อ้อ...มีแงซายอีกตัวไม่มี นอกนั้นมีตัวจริงขนาดยายแหม่มนั้นยังมีเลย

    ถาม: แล้วรพินทร์ไพรวัลย์

    ตอบ: รพินทร์ เป็นตัวครูเขาครึ่งหนึ่ง คือขนาดรูปร่างคือตัวครูแกเอง แต่ว่าบุคลิกทั้งหมดเป็นของพรานเชิด พรานเชิดเป็นรุ่นพี่ ทำงานอยู่กรมรถไฟอยู่ที่ยะลา

    ถาม: แล้วแสดงว่าความรู้เรื่องปืนที่เขาให้ไว้ก็คือ ?
    ตอบ: อันนั้นใช้ได้เลยจ้ะ อันนั้นคือเรื่องจริงเลย แล้วปัจจุบันนี้กลาโหมเขาขึ้นทะเบียนครูไว้เป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษเรื่องอาวุธปืน ไอ้งูยักษ์นี่มีจริงนะ ปู่แกไปเจอเอง

    ถาม: ไปหุงข้างบนงูเหรอคะ ?
    ตอบ: ไม่ได้ไงหุงข้าวบนงูหรอก ปู่ก็คือ ขุนวิเศษสุวรรณภูมิเป็นกำนัน คราวนี้ช่วงนั้นประมาณรัชกาลที่ ๖ ปู่ก็ตามหาเหมืองทองตามที่ชาวบ้านเขาลือกัน จนกระทั่งในที่สุดก็เดินป่าจนหมดอารมณ์ที่จะเดินแล้ว ก็เลยเสี่ยงสัตย์อธิษฐานเอา เพราะว่าแกเองก็ไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไร เพื่อที่จะเอามาช่วยเหลือประเทศชาติ

    ตอนรัชกาลที่ ๖ นี่เงินคงคลังมันหมด เคยศึกษาต้องให้มีการดุลราชการคือให้เออลี่รีไทร์กันหมดเลยน่ะ ก็เลยเสี่ยงสัตย์อธิษฐานว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงก็ขอให้ช่วยพาไปให้พบที ปรากฏว่ามีงูตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาตรงหน้า เขากะขนาดความใหญ่ของงูตัวนั้นไม่ถูก แต่หลังจากที่มันเลื้อยไปแล้วเขาลองวัดดูรอยมันกว้างประมาณ ๕ วา ซัก ๑๐ เมตรได้มั้ง?

    คราวนี้พอเห็นนี่เข้าใจเลยว่าสิ่งเหล่านี้มันจะต้องลักษณะว่าเจ้าป่าเจ้าเขาหรือเทพยาดาสำแดงตน แกก็ยกมือไหว้งูบอกว่า ถ้าหากพ่อปู่งูใหญ่รู้ว่าขุมทองอยู่ทางไหนให้เลื้อยพาไปด้วย งูเขาก็เลื้อยนำ แกก็เดินตามรอยไป แล้วก็ไปเจอก็คือขุมทองที่โต๊ะโมะ นราธิวาส มันดงดิบจริง ๆ เลย ถนนมันตัดเข้าไปน่ะ ปัจจุบันนี้ประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลา

    ด้วยความที่อยากจะทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติใช่มั้ย เขาร่ำลือกันว่ามีเหมืองทองอยู่ ใครต้องการก็ไปขุดเอา แต่อย่าเอาเยอะนะ เอาแค่เรียกว่าทำให้ตัวเองและครอบครัวไม่เดือดร้อน พอที่จะมีกินมีใช้ก็พอแล้ว สมัยก่อนคนเขามีสัจจะ คราวนี้ท่านขุนแกก็เลยไป อยากจะช่วยชาติ ถ้าเป็นสมัยนี้หลวงตาบัวท่านก็นั่งรับผ้าป่า

    ถาม: แล้วของท่านเชาวรินทร์ (ไม่ชัด)
    ตอบ: มันผิดเวลา เรื่องอะไรที่เป็นทรัพย์แผ่นดินนี่มันต้องรอระยะเวลาที่เหมาะสม คนโลภมันยังเยอะอยู่ โดยเฉพาะคนโลภที่มีอำนาจในแผ่นดิน ถ้าคนโลภมันน้อยลงเดี๋ยวมันขึ้นมาเองแหละ อาตมาเองไปดูมาซะจนเรียกว่าอยากรวยวันไหนก็สึกได้เลย สึกแล้วก็ไปขนเอาคือมันเห็นจนเซ็งไปเองเลย อะไรมันจะเยอะปานนั้น บางอย่างถามเขาว่าของใคร ? เขาบอก “ของท่านนั่นแหละ” (หัวเราะ) เขาก็บอกหน้าตาเฉย ถ้าของฉันก็ฝากเอาไว้ก่อนนะ ช่วยเฝ้าให้ด้วย (หัวเราะ) ไม่รู้จะเอามาทำอะไร

    ถาม: พวกเทวดาที่เฝ้าสมบัติอย่างนี้ (ไม่ชัด)
    ตอบ: ไม่ใช่จ้ะ จริง ๆ ถ้าเป็นอากาศเทวดา รุกขเทวดา ภูมิเทวดา ท่านมีวิมานของท่านอยู่แล้ว แต่เพียงว่าในนั้นเป็นเขตรับผิดชอบของท่าน ไม่ว่าท่านจะอยู่ตรงไหนก็ตามท่านก็รู้อยู่ แล้วมีอะไรเกิดขึ้นในส่วนที่ท่านรับผิดชอบท่านมีความเป็นทิพย์อยู่นี่ จะไปปรากฎตัวเมื่อไหร่ก็ได้

    ถาม: (ไม่ชัด)
    ตอบ: อันนั้นพวกลัวะ มั้ง ทางเหนือนี่ลัวะเขาจะมีประเพณีกินควาย เขาจะฆ่าควายเซ่นผีแล้วก็แห่มากินทั้งหมู่บ้าน

    ถาม: จริง ๆ ไม่ใช่ (ไม่ชัด)
    ตอบ: พวกลัวะเขาก็ว่าผี มันเป็นผีแบบของเขา บางทีเรียก ผีแถน ผีฟ้านี่ก็คือเทวดา แต่คราวนี้เขาเข้าใจทำอย่างนั้นแล้ว เทวดาจะพอใจ เขาไม่รู้หรอกว่าจริง ๆ เทวดาไม่ต้องการ

    ถาม: หลวงปู่บอกว่าพอหลวงปู่ไปอยู่ตรงนั้นแล้ว ผีตัวนั้นหรือเทพเทวดาก็มาบอกว่า จะไม่อยู่แล้วจะไปถือศีลในป่า เพราะตอนนี้พระมาเทศน์แล้วรู้ว่าปาณาติบาตมันไม่ดี ก็เลยงง ๆ ว่าทำไมเทวดาไม่รู้ ?

    ตอบ: ก็แสดงว่าคงเป็นพวกนั้นแหละ ไม่ใช่เทวดาหรอก หลวงปู่หลุยกับ หลวงปู่ชอบ ตอนที่ธุดงค์ไปทางเหนือ แล้วพวกชาวบ้านพวกชาวเขาเอาพวกเนื้อสัตว์มาถวาย แล้วก็มีพวกหัวเผือกหัวมัน ท่านก็หยิบเอาแต่หัวเผือกหัวมันมากิน เขาก็ถามว่าทำไม ? ก็บอกว่าลักษณะนี้ครูใหญ่สอนเอาไว้ ภาษาชาวบ้านเรียก ผีเจ้าตนหลวงโคตะมะ คือเป็นหัวหน้าผี ต้องไปหลอกมันอย่างนั้น บอกองค์นี้เป็นหัวหน้าผีเลย ถ้าหากนักถือองค์นี้แล้วผีทุกคนก็จะดีด้วย ต้องใช้วิธีนั้นมันก็จริง ๆ บอกว่าผีเจ้าตนหลวงโคตะมะ สอนไว้ว่า “การเบียดเบียนผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่ดี” ก็ค่อย ๆ สอนค่อย ๆ แก้ไป

    พอเขารู้ว่าพระไม่ฉันเนื้อก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหัวเผือกหัวมัน น้ำผึ้งอะไรมาแทน ท่านก็ต้องอยู่อย่างนั้นฉันอย่างนั้นไปทั้งปีทั้งชาติ อยู่ปีหนึ่งก็ฉันปีหนึ่ง อยู่พรรษาหนึ่งก็ฉันพรรษาหนึ่ง แต่ว่าเพื่อสงเคราะห์เขา แล้วก็เห็นพระเดินจงกรมก็ไปยืนเฝ้าดูกันเป็นแถวเลย...

    ถาม: จะต่อหนังสือเดินทางไปแคนาดา แต่ติดเอกสารใบรับรองของบริษัท ซึ่งเดิมเคยคิดว่าจะได้ไม่ยาก แต่พอไปขอจริง ๆ ติดตัวนี้ ถ้าไม่ยื่นก็คือไม่ผ่าน ไปสัมภาษณ์มาเรียบร้อยแล้ว ตัวอื่นก็แค่ตรวจร่างกาย เหลือแค่ใบรับรอง

    ตอบ: เรื่องอื่นเรื่องเล็กใช่มั้ย ? มีเรื่องใหญ่อยู่เรื่องเดียว ไปนั่งภาวนาใช้คาถา “สัมปติจฉามิ” ให้ภาวนาไปเรื่อย ๆ นึกถึงคนที่จะอนุมัติให้เรา ภาวนาไปสักหนึ่งถึงสองชั่วโมงก็ได้ แล้วค่อยไปขอใหม่ คราวนี้ถ้าเขาไม่ให้ดี ๆ ต้องบังคับภาวนาสัมปติจฉามิ แล้วนึกถึงหน้าเขา คนไหนที่จะเป็นคนอนุมัติก็เอาคนนั้น ไม่ให้ดีนักใช่มั้ย ? ให้เขาให้ทั้งน้ำตา

    ถาม: ไปคราวนี้จะได้กรีนการ์ด

    ตอบ: สมัยก่อนต้องมีเงินสามหมื่นดอลล่าร์ก็ไปได้ใช่ไหม ? สมัยนี้ยังกติกาเดิมหรือเปล่า ? เดี๋ยวนี้หมื่นดอลลาร์เท่านั้นหรือ ลดลงไปสามเท่า เจ้าทรายไปอยู่ที่โน่นต้องเสียค่าประกันสามแสนดอลลาร์ แม่เขาอยู่ที่นั่นแล้วแต่งงานกับคนของเขา จะเอาลูกไปอยู่ด้วย ก็เลยต้องเสียค่าประกัน แต่เอาคืนทีหลังได้ ทั้งนี้ต้องติดตามความประพฤติก่อน แต่เด็กไปเรียนหนังสือ

    ถาม: ตอนนี้เสียค่าสมัคร เอาคืนไม่ได้

    ตอบ: ไปเที่ยวน้ำตกไนแองการ่าเผื่อด้วยนะ ถ้าหากว่าได้ไปแคนาดาต้องการเห็น ๒-๓ อย่าง คือ น้ำตกไนแองการ่า สวนป่าเอฟเวอร์กรีน และเล่นหมาลากเลื่อน

    ถาม: ตอนแรกไม่คิดว่าหมาลากเลื่อนมันจะแรงเยอะ แต่เจอที่บ้านหมามันลากโต๊ะใหญ่มาก...กระโดดกระชากโต๊ะกับข้าวลากไปตั้งไกล มิน่ามันถึงลากเลื่อนกันได้

    ตอบ: ถ้าลากเลื่อนเขาไม่ใช้หมาตัวเดียว ต้องใช้เป็น ๑๐ ตัว และจะต้องมีตัวที่เป็นหัวหน้า ๑ ตัว ถ้าหัวหน้านำตัวอื่นจะตาม และตัวหัวหน้าจะต้องปราบได้ทั้งฝูง

    ถาม: คิดว่าหมาเมืองไทยเป็นจ่าฝูงได้เลย...

    ตอบ: หมามีข้อเสียอยู่อย่างเดียวคือ มันจะไม่รู้ว่าตัวมันโตขึ้น ในเมื่อมันไม่รู้ ถ้าตอนเล็ก ๆ เคยโดนกัดและแพ้ตัวอื่นเขา มันก็จะกลัวเขาไปเรื่อย ๆ ก็แบบเดียวกับเสือที่หลวงตาบัวเล่า โห้! ตัวใหญ่อย่างกับตึก แต่พระทุบเข้าให้นอนหงายชี้ฟ้าไปเลย คือถ้าหมามันโดนตีตั้งแต่เล็ก ๆ มันก็เลยคิดว่ามันสู้ไม่ได้เหมือนเดิม มันไม่คิดว่าตัวมันใหญ่ขึ้น

    ถาม: เวลาหมามันพุ่งเข้ามาหาเรา โดยที่มันไม่คิดว่าตัวมันใหญ่ขึ้น เราก็เจ็บ
    ตอบ: ก็นั่นแหละ มันคิดว่าตัวมันเท่าดิม เล็ก ๆ มันเล่นอย่างนั้นได้ พอโตขึ้นมาก็เล่นท่าเดิมนั่นแหละ

    ถาม: เวลาคนเราซวย มีกรรม หรือเคราะห์ มันเกิดจากอะไร ?

    ตอบ: กรรมเก่าที่ทำมา กรรมในอดีตที่เราทำมาทั้งหมดจะส่งผลในปัจจุบัน ไม่ว่าดีหรือชั่ว “อกุศลกรรม” คือสิ่งที่เราทำไม่ดี หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “กรรม” ส่วน “กุศลกรรม” คือ สิ่งที่เราทำดี หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “บุญ”

    เมื่อถึงวาระกรรมสนอง แปลว่า พลังของบุญจะขาดช่วงลงและกรรมก็เข้ามาสนองในวาระนั้น สิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ดีก็จะเกิดขึ้นกับเราบ่อย ๆ บางคนก็ตายไปเลยก็มี เราก็จะบอกว่าช่วงนั้นมันซวย ถ้าไม่ขยันทำบุญไว้ก็จะซวยบ่อย ๆ ถ้าขยันทำบุญไว้กำลังบุญจะส่งผลต่อเนื่อง วาระกรรมก็ไม่สามารถแทรกเข้ามาได้ มันก็จะซวยน้อยหน่อย จริง ๆ แล้วก็คือกรรมเก่านั่นแหละ

    ถาม: ช่วงวัยเบญจเพส ทำไมต้องให้ระวัง

    ตอบ: ถ้าเราแบ่งอายุออกเป็น ๔ ช่วงชีวิต แต่ละช่วงเท่ากับ ๒๕ ปี วาระก็มีกำหนด หากเปรียบก็เสมือนเช่น เป็นวัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน และวัยชรา ในแต่ละช่วง แต่ละวาระ แต่ละวัย ก็จะมีรอยต่อของแต่ละช่วงอยู่ และช่วงที่เป็นรอยต่อไม่ว่าจะเป็นสภาพของอะไรก็ตาม ถือว่าเป็นจุดอ่อนก็แล้วกัน ในเมื่อเป็นรอยต่อ เป็นจุดอ่อน หากว่ามีสิ่งดีเข้ามาก็ถือว่าดีไป แต่ถ้ามีสิ่งไม่ดีเข้ามาก็จะเกิดเรื่องที่ไม่ดีกับเรา ซึ่งคนอื่นจะเป็นอย่างไรนั้นอาตมาไม่รู้ แต่สำหรับอาตมาแล้วช่วงอายุ ๒๕ ปี เป็นช่วงที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ อยากให้มีช่วงอายุ ๒๕ ปีบ่อย ๆ ซึ่งก็มีน้อยคนเหมือนกัน

    อาตมาได้เปรียบตรงที่ว่าพื้นฐานของสมาธิจิตถูกฝึกมาตั้งแต่อายุ ๑๐ กว่าขวบ พอพื้นฐานแน่นแล้ว สิ่งต่าง ๆ ก็ส่งผลให้วาระนั้นกลายเป็นเรื่องดีไป ช่วงนั้นเหมือนกับว่าโชคดีมหาศาลผิดปกติ ส่วนใหญ่ในช่วงอายุ ๒๕ ปี, ๓๕ ปี, ๔๕ ปี มักจะโดนกันทั้งนั้น ส่วนอายุ ๕๕ ปี แก่แล้วปล่อยมันเถอะ

    ถาม: แล้วสงครามจะเกิดไหมคะ ต้องเตรียมตัวอย่างไร ?
    ตอบ: เตรียมเรื่องปัจจัย ๔ เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค สมัยนี้เงินเป็นปัจจัยสารพัดนึกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ทำงานพยายามเก็บเงินไว้เยอะ ๆ หน่อย ถึงจะเงินเฟ้อก็ขอให้มีใช้ก็แล้วกัน ข้าวแกงจานละหนึ่งร้อยบาทก็ให้มีสตางค์ซื้อก็พอ

    ถาม: ถ้าเรารู้หัวข้อ แล้วเราอ่านเฉพาะหัวข้อนั้นได้ไหมคะ ? ( พระไตรปิฎก)
    ตอบ: จะมีบางอย่างที่ทั่ว ๆ ไปเขาจะไม่ยอมรับ เพราะว่าเดี๋ยวนี้โดยเฉพาะพระไตรปิฎกจะแบ่งกันเป็นส่วน ๆ ส่วนใดที่คนทั่วไปทำได้พึงเชื่อ ส่วนใดที่คนทั่วไปทำได้บ้างไม่ได้บ้าง อย่าเพิ่งเชื่อ ส่วนใดที่คนทั่วไปทำไม่ได้เลยก็อย่าเชื่อ เพราะฉะนั้นถ้าไปอ่านของหลวงพ่อจะมีเป็นจำนวนมากที่คนทั่วไปทำไม่ได้ เดี๋ยวอาจารย์จะไม่ยอมรับ ให้อ่านของเขาให้รู้สักสองรอบ แล้วค่อยมาอ่านของหลวงพ่อ พอถึงเวลาตอบให้ตอบตามของเขา ในทางโลกถ้าตอบตามของหลวงพ่ออาจจะตก ได้ทางธรรม

    ข้อต่อไป...ให้ทบทวนตัวเองไว้ทุกวัน ๆ โดยเฉพาะให้ยึดศีลเป็นหลัก ดูว่าแต่ละวันศีลของเราดีข้อไหน บกพร่องข้อไหน แล้วเราพยายามแก้ไขให้ดีขึ้นมั้ย ? ส่วนกำลังใจในแต่ละวันให้ดูนิวรณ์ คือ กิเลสหยาบที่มากินใจของเรา มีข้อไหนที่ยังกินใจเราได้เป็นปกติบ้าง เช่น กามฉันทะ ความพอใจระหว่างเพศ พยาบาท ความโกรธเกลียด อาฆาตแค้นผู้อื่น ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอนขี้เกียจปฏิบัติ อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านอารมณ์ไม่ทรงตัว วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ว่าปฏิบัติจะได้ผลหรือไม่ได้ผล กิเลสเหล่านี้มากินใจอะไรเราบ้าง ในแต่ละวัน ๆ ในระดับของเราก็ทวนอยู่แค่นี้ ศีลของเราบกพร่องไหม นิวรณ์กินใจเราได้ไหม ถ้าศีลไม่บกพร่อง และนิวรณ์กินใจเราไม่ได้ ก็ตั้งใจไว้เลยว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำสิ่งนั้นให้ได้ ฟังดูเหมือนง่าย ลองปล้ำดูเถอะแล้วจะรู้ว่าเหนื่อยแค่ไหน

    ถาม: ก็พยายามทำเหมือนกันครับ ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ได้ ?
    ตอบ: ค่อย ๆ ทำ คำว่าจะได้หรือไม่ได้นี้ก็เริ่มลังเลแล้ว ถ้าทำมันต้องได้ ทำถูกได้กำไร ทำผิดได้บทเรียน ไม่มีขาดทุนเลย มีแต่ได้ทั้งนั้น

    ถาม: กลัวเป็นอุปทานครับ
    ตอบ: อุปทาน คือสิ่งเดิม ๆ ที่เรายึดถือไว้ เพราะฉะนั้นอุปทานโยนมันทิ้งไปไกล ๆ เลย อุปทานในความหมายของเราเป็นคนละเรื่องกัน ถ้ากลัวอุปทานมีอยู่อย่างเดียวก็คือ อะไรเกิดขึ้นให้คิดไว้ว่า เรายังไม่เชื่อ อย่าเพิ่งน้อมใจเชื่อตามนั้น

    ถาม: ถ้าจะไปสมัครงาน จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไร ?
    ตอบ: เตรียมใจว่าไม่ได้ก็แล้วกัน ถ้าไม่ได้ก็เสมอตัว เพราะเราคิดว่าไม่ได้อยู่แล้วถ้าได้กำไร พร้อมที่จะรับความผิดหวัง คิดในด้านแย่ที่สุดเอาไว้ก่อน จะได้ไม่ผิดหวังมาก ถ้าได้ก็กำไรกระดี๊กระด๊าฉลองไป ๓ วัน ๓ คืนได้

    ถาม: ตอนนี้มีทุนให้ไปเรียนต่อ ๑ ปี แต่ว่าที่ทำงานเดิมทุกอย่างก็ดีแล้ว แต่ถ้าไปตรงนั้นจะก้าวหน้ามากกว่า เขาบอกว่าสังคมจะไม่เหมือนกับที่เดิม ไม่อบอุ่น อาจารย์ก็ดุมาก ก็รู้สึกกลัว ๆ เหมือนกัน

    ตอบ: ปกติชอบความมันในชีวิตหรือเปล่า ถ้าชอบก็ย้ายเลย ถ้าไม่ชอบความมันในชีวิต อะไรก็เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ก็อย่าย้าย ดูนิสัยตัวเองด้วยนะว่าถ้าเข้ากับเขาลำบาก เราต้องปรับตัวมากก็แย่เหมือนกัน
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG][​IMG]


    ถาม: .................................................

    ตอบ: ก็ไม่มี ไม่ได้พูดเล่น มันสำคัญอยู่ที่เราทำใจได้ไหม การเลี้ยงสัตว์หรือการกักขังเอาไว้ ถ้าเราไม่ได้ทำความดีอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว ยกเว้นสัตว์เลี้ยงชนิดนั้น จะทำให้เราไปเกิดเป็นเวมานิกเปรต เปรตชนิดที่มีความเป็นทิพย์ มีความสวยงามเหมือนกับเทวดาทุกอย่าง แต่ออกจากวิมานไม่ได้ นี่หมายถึงไม่ได้ทำความดีอะไรไว้เลย

    แต่ถ้าเราทำความดีอย่างอื่นเอาไว้ เราเลี้ยงสัตว์ด้วยความเมตตา เลี้ยงดูเขาให้อยู่สภาพความเป็นอยู่ที่ดี มีความสุขความสบายก็เป็นเมตตาบารมี เป็นการเพิ่มกุศลตัวอื่นให้เรา ถ้าเราเลี้ยงเอาไว้ขาย แต่ไม่ได้เลี้ยงเอาไว้ฆ่า ถามว่ามีโทษอะไรไหม ? ตอบว่าโทษในเรื่องของการละเมิดศีลไม่มี แต่จะมีผลในเรื่องของธรรมะและเมตตาบารมีบกพร่องเพราะอย่างน้อยถึงแม้เขาจะอยู่สุขสบายอย่างไร เขาก็ไม่ได้อยู่อย่างธรรมชาติ เขาถูกจำกัดเขต

    ส่วนการเลี้ยงเพื่อขาย ถ้าเราตั้งใจว่าขณะที่เรามีหน้าที่ดูแลเขาอยู่ เราเลี้ยงดูให้เขาสุขสบายที่สุดตามอัตภาพ เท่าที่จะพึงมีได้ ส่วนคนซื้อไปเขาจะเอาไปทำอะไร เราไม่รับรู้ ทำใจอย่างนี้ได้ก็จะไม่มีโทษ แต่ว่าถ้าตั้งใจว่าจะฆ่าให้เขาไปขายก็เป็นโทษ มันสำคัญที่ว่าเราตัดกำลังใจได้ไหม

    ถาม: ตัดกำลังใจ หมายถึง ไม่ว่าจะเป็นปลาสวยงาม หรือเอาไปบริโภคก็เหมือนกันใช่ไหมครับ ?
    ตอบ: คนอื่นจะเอาไปทำอะไรเรื่องของเขา แต่ถ้าอยู่กับเรา ๆ เลี้ยงเขาให้ดีที่สุด แต่จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า “มิจฉาวณิชชา” คือ การค้าขายที่ไม่สมควร มีอยู่ ๕ อย่างคือ ๑. ขายมนุษย์ ๒. ขายอาวุธ ๓. ขายยาพิษ ๔. ขายสัตว์มีชีวิต ๕. ขายสุรา ซึ่ง ๕ อย่างนี้พระองค์กล่าวว่า ถ้าเป็นพุทธมามะกะไม่ควรทำ เพราะคนที่ไม่เข้าใจเขาตำหนิเอาได้ คุณทำใจได้แค่ไหนก็ตามแต่คนอื่นเขาเกิดโทษ ทุกครั้งที่เขาเห็นเรา เขาจะพูดได้ว่าไอ้นี่เข้าวัดเข้าวาประสาอะไร ก็กลายเป็นว่าเขาเองหาเรื่องให้ตัวเขาเดือดร้อน แต่ผลก็คือเกิดจากเรา จึงเป็นสิ่งที่เราไม่สมควรทำเพื่อป้องกันการครหานินทา จะเกิดทุกข์เกิดโทษกับเขา

    ถาม: พี่ชายเขาเลี้ยงปลาสวยงามครับ
    ตอบ: ก็เลี้ยงดูเขาให้ดี พี่เขยก็เลี้ยงปลาคราฟ ไฟดับแต่ละทีต้องวิ่งซื้อออกซิเจนเป็นถัง ๆ ไปช่วย ลักษณะนี้ทำด้วยตัวเมตตาและอีกอย่างเขาเลี้ยงในลักษณะที่คล้ายกับธรรมชาติคือเป็นสระน้ำหมุนเวียน และมีร่องน้ำให้ปลาว่ายไป แล้วย้อนกลับมาได้ ซึ่งก็ยังไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้จริงของมัน แต่ดีอยู่อย่างก็คือ เขาจะมีศัตรูน้อย เพราะอยู่ใกล้การดูแลของเราและอีกอย่างคือ สัตว์เดรัจฉานเมื่ออยู่ใกล้คนแล้ว ใจมันเกาะคนก็จะเกิดเป็นคน ถ้าใจมันเกาะพระ ก็จะเกิดเป็นเทวดา เดรัจฉานที่มีโอกาสได้อยู่ใกล้คน กรรมที่เป็นเดรัจฉานก็จะหมดอยู่แล้ว แต่เราจะตัดสินว่าสัตว์ทุกตัวเหมือนกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเขาอยู่กับเรา ไม่ว่าจะเลี้ยงเป็นอาชีพ ก็ให้ดูแลมันให้ดีที่สุด เต็มสติเต็มกำลังที่เราทำได้ แล้วหลังจากนั้น คนซื้อไปเขาจะเอาไปทำอะไร ก็เรื่องของเขา

    ถาม: ถ้าเป็นเช่นนี้ ท่านที่เป็นพระโสดาบัน จะมองเป็นอย่างไร ?
    ตอบ: ท่านที่เป็นพระโสดาบัน จิตของท่านจะละเอียด อะไรที่จะเป็นทุกข์ เป็นโทษแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านจะพยายามเลี่ยงมัน

    ถาม: การตั้งราคาพระให้บูชาเหมือนการซื้อขาย เป็นโทษไหมคะ ?
    ตอบ: มองที่เจตนา ถ้าเจตนาทำเป็นการค้าจริง ๆ ก็มีโทษเหมือนกันเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย เพราะเขาตั้งใจทำเป็นอาชีพ แต่ถ้าหากว่า พวกเล่นพระนั้นว่าไม่ถูก นั่งส่องทั้งวัน นั่งมองทั้งวัน นั่นเป็นอนุสติ กำลังใจเกาะพระจริง ๆ ถ้าตายขณะนั้นเขาจะไปดีเหมือนกัน แต่ถ้าวางพระไว้อีเหละเขละขละเต็มไปหมด อยู่ว่าง ๆ ก็นั่งเล่นกำถั่ว แล้วเอาพระมาเป็นเครื่องมือ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็เสร็จหมด ซึ่งก็ต้องดูใจของเขาเหมือนกันว่า ใจเขาเกาะอะไร เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องภายนอก (เรื่องของคนอื่น) เพราะฉะนั้นเราควรสนใจดูใจตัวเราเอง แก้ที่ตัวของเราเองให้ดี
    ถาม: การทำเป็นอาชีพกับไม่ทำเป็นอาชีพต่างกันอย่างไรคะ ?

    ตอบ: การทำเป็นอาชีพของเขาเป็นการทำมาหากิน แต่ให้ดูที่เจตนาของเขาเหมือนกัน บางรายเปิดเป็นศูนย์พระเครื่องเป็นร้านที่เปิดค้าขายเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้อื่น ผู้ที่ต้องการไว้บูชาก็ไม่ต้องเดินทางไกล มีความสะดวกคล่องตัว ในการที่จะหามาไว้บูชา ก็ถือว่าเป็นการตั้งใจสงเคราะห์ผู้อื่น โดยเอากำไรจากส่วนต่างเพียงเล็กน้อย หรือได้เปอร์เซ็นต์จากต้นสังกัดที่เขาให้มาเพื่อให้ตัวเองพออยู่ได้ ถ้ามีเจตนาเช่นนี้ ก็ดีไป แต่ขณะเดียวกัน ถ้าทำเพื่อเจตนาจะหากำไรใส่ตัวฝ่ายเดียว ขนาดเอาของปลอมมาหลอกลวงขายก็เกิดโทษ เพราะเจตนาต่างกัน พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า เจตนาหัง ภิกขะเว กัมมัง วะทามิ (เจตนาถือเป็นกรรมตั้งแต่ต้น คิดก็เป็นมโนกรรมแล้ว คิดดีเป็นกุศลกรรม คิดไม่ดีเป็นอกุศลกรรม)

    ถาม: มีอะไรแนะนำให้ทำไหมคะ ?
    ตอบ: ไม่มี อยากให้ขวนขวายทำเอง ขี้เกียจยัดเยียดให้ เราทำเราต้องรู้ “การรู้” ก็คือ การทบทวนตัวเองเสมอ ๆ ว่าตอนนี้ทำแล้วมีอะไรก้าวหน้าแค่ไหน พอใจหรือไม่พอใจอย่างไร ส่วนไหนที่ดีแล้ว ส่วนไหนที่ยังไม่ดี และส่วนไหนที่ไม่ดีมาก ๆ ให้ค่อย ๆ แก้ไขไป ทีละจุด ๆ ต้องรู้จักดูตัวเอง แก้ที่ตัวเอง ประเภทที่มาถึงแล้วยัดเยียดอะไรให้นั้น เลิกทำมานานแล้ว และขอให้มาเฉพาะจุดพอจะให้ได้ บอกไปก็เหมือนกับตักน้ำรดหัวตอเปียก ๆ หน่อยเท่านั้นเอง ไม่งอกไม่เงยอารมณ์ใจขี้เบื่อ ๆอยาก ๆ อยู่ เพราะว่ายังไม่เห็นทุกข์เห็นโทษอย่างแท้จริง ถ้ารู้ว่าวัฏสงสารนี้มีทุกข์มีโทษขนาดไหน เกิดความกลัวและตั้งใจที่จะหนีให้พ้นอย่างนี้จะเกิด “ฉันทะ” คือความพอใจ กระตือรือร้นที่จะทำเพื่อให้พ้นทุกอย่างจริงจังให้ตั้งหน้าตั้งตาทำสิ่งนั้นจริง ๆ ไม่ใช่ทำทิ้ง ๆ ประเภทที่ทำทิ้ง ๆ ตัวฉันทะยังไม่พอ พูดภาษาชาวบ้านคือมันยังไม่เข็ด งั้นให้โดนอีกสักหน่อย เดี๋ยวมันก็เข็ดเอง

    ถาม: อธิบายได้ไหมคะ ?
    ตอบ: ไม่ต้องอธิบาย ทำถึงแล้วจะรู้เอง เช่น ถามว่าถึงเชียงใหม่เป็นอย่างไร เขาไปถึงเชียงใหม่แล้วเรารู้ไหมล่ะ คนอื่นพูดไปก็แค่นั้นแหละ จะเก็บเอาไปฟุ้งซ่านเปล่า ๆ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ เมื่อวาระและเวลามาถึงก็จะรู้เอง ขอให้ทำให้ถึง ทำให้เป็นเท่านั้นเอง คิดไว้ก่อนล่วงหน้าก็ฟุ้งซ่านเสียเปล่า ๆ

    ถาม: ผู้ที่ได้พระโสดาบันแล้ว จะมีสิทธิ์ลงไปข้างล่างไหมคะ ?
    ตอบ: ไม่มีใครเขาลงไป ถ้าถึงระดับนั้นแล้ว

    ถาม: “มรรค” กับ “ผล” ต่างกันมากไหมคะ ?
    ตอบ: มีความต่างกันมหาศาล ซึ่งหมายความถึง มีความต่างกันในระดับของความละเอียด คำว่า “มรรค” กับ “ผล” ต่างกัน เปรียบเหมือนกับของชิ้นหนึ่ง ที่เรามองเห็นอยู่ กับของชิ้นนั้นเป็นของเรา

    ถาม: ถ้าใครทำเป็นตอนมีชีวิต จะรับรองได้ว่า ไปได้ทุกคนไหมครับ ?
    ตอบ: ขึ้นอยู่ที่ว่าทำเป็นไหม ? ถ้าหากว่าทำเป็นไม่มีใครเขาอยู่เป็นพระโสดาบันไปเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่เขาจะตัดสินเข้าพระนิพพานไปเลยตอนใกล้ตาย ส่วนของเราเองทำเป็นไหม ?
    ถาม: ที่ว่า “รักนิพพานสนิทใจ” ล่ะครับ เป็นอย่างไร ?

    ตอบ: ทำถึงแล้วจะรู้ ขอใช้คำพูดเก่าอธิบายยาก ความรู้สึกตอนนั้นก็คือ ต่อให้เราต้องทนทุกข์ทรมานไปได้สักร้อยปีแล้ว ในชีวิตนี้ได้พระโสดาบันก็สุดแสนจะคุ้มแล้ว นี่คือส่วนหยาบที่สุดที่พูดออกมาเป็นภาษามนุษย์ได้ ที่เหลือไปควานหาเอาเอง

    ถาม: การฝึกมโนมยิทธิให้แจ่มใส ฝึกอย่างไรคะ ?
    ตอบ: มโนมยิทธิจะแจ่มใส ได้หรือไม่ อยู่ด้วยเหตุ ๒ ประการคือ ประการแรก ต้องซ้อมบ่อย ๆ ให้มีความคล่องตัวจริง ๆ ประการที่สองตัวปัญญา วิปัสสนาญาณ จะทิ้งไม่ได้ต้องพิจารณาให้เห็นจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ โลกนี้ไม่ใช่ของเรา คำว่า “ไม่ใช่ของเรา” คือ ถ้าใจเราไม่เกาะโลก ไม่เกาะร่างกาย กำจัดออกไปได้ชัดเจนแล้วก็จะทำให้คล่องตัวมาก ซึ่งต้องซ้อมบ่อย ๆ ขณะเดียวกัน “ตัวปัญญา” ต้องมองเห็น เช่น เดินออกไปข้างนอก หรือว่าอยู่ที่ไหนก็ตาม ต้องมองเห็นว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ ยิ่งเห็นมากเท่าไหร่ สภาพจิตจะไถ่ถอนจากยึดถือในร่างกาย และโลกนี้มากเท่าไหร่ และยิ่งถอนจากการยึดถือมั่น ได้มากเท่าไหร่ ความชัดเจนแจ่มใส ความคล่องตัวก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น

    ถาม: ไม่จำเป็นต้องไปถึงฌาน ใช้คำว่า “พุทโธ” เท่านั้นใช่ไหมคะ ?
    ตอบ: มโนมยิทธินี้เกินฌานไปแล้ว ซ้อมใช้บ่อย ๆ ก็เท่ากับเราซ้อมทรงฌานอยู่แล้ว อย่าหลงประเด็น ถามว่าจำเป็นต้องซ้อมทรงฌานไหม ตอบว่า ต้อง! แต่การซ้อมการทรงฌานกับมโนมยิทธินั้นเป็นฌานสำหรับใช้งาน การใช้งานของเธอคือการเอากำลังส่วนนั้นไปใช้เลย จะไม่แน่นเหมือนกับที่เรามานั่งฝึกภาวนาเพื่อให้ทรงเป็นอารมณ์ฌานอย่างเดียวประเภทนี้ยังถือเป็นเด็กหัดใหม่ เหมือนกับให้เราไปตั้งหน้าตั้งตาเขียน ก,ข ถ้าเป็นมโนมยิทธิคุณบอกให้เขียนอะไร เขียนได้เลย มันมีความคล่องตัวขนาดนั้นแล้ว

    เพราะฉะนั้นต้องซ้อมบ่อย ๆ ใช้งานไปตลอดเวลาเลย เมื่อมีคนมาคุยกับเรา เขาพูดเรื่องอะไร เอาใจลองนึกถึงตรงนั้นนิดหนึ่ง สิ่งต่าง ๆ ความรู้สึกต่าง ๆ มันจะเกิดขึ้นกับใจของเราเอง

    ถาม: .....................................................
    ตอบ: การสร้างพระพุทธรูปทำได้ยาก โดยเฉพาะพระพุทธรูปใหญ่ ๆ และจากที่เคยสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ หน้าตัก ๔ ศอกแบบปกติมาแล้ว เฉพาะแผ่นทองปิดองค์พระ ต้องใช้ถึงจำนวน ๒๕,๐๐๐ แผ่น และถ้าซื้อจำนวนน้อยราคาจะอยู่ที่แผ่นละ ๕-๖ บาท แต่ถ้าซื้อในปริมาณมาก ราคาจะเหลือแผ่นละ ๓ บาท รวมค่าปิดทอง ๒๕,๐๐๐ แผ่น เป็นเงิน ๗๕,๐๐๐ บาท ซึ่งยังไม่รวมค่าแรงช่างปิดทอง

    ถาม: องค์พระ หล่อเป็นไฟเบอร์หรือคะ ?
    ตอบ: ไม่ใช่ องค์นี้หล่อเป็นปูน อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญที่สุดของการสร้างพระ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านบอกว่า “ข้าไม่อยากให้คนเอาพ่อเราไปตากแดดตากฝน เพราะฉะนั้นการสร้างพระไม่ยากหรอก แต่ยากตอนสร้างอาคาร อาคารแพงกว่าพระเยอะ”

    การสร้างพระชำระหนี้องค์นี้ครั้งนี้เป็นโครงการของปีหน้า (ปี ๒๕๔๗) เพราะปีนี้ (ปี ๒๕๔๖) กำลังเร่งสร้างแดนสงบข้างล่างอยู่ จะมีอาคารประมาณ ๑๕-๑๖ หลังด้วยกัน เป็นกุฏิ ขนาด ๑๕ ตารางเมตร จำนวน ๑๓ หลัง และรวมกุฏิเก่าที่มีขนาด ๒๕ ตารางเมตร อีก ๒ หลัง จะมีอาคารหอพระ ๖ เหลี่ยม จำนวน ๑ หลัง และถ้ามีพื้นที่เหลือจะสร้างเจดีย์บูรพาจารย์ ๑ ที่มีศาลาสำหรับนั่งพักผ่อน ๒ ที่ รวมแล้วเป็นตัวอาคาร ๒๐ หลังด้วยกัน

    มีบางส่วนสร้างเสร็จสมบูรณ์ไปแล้วก็มี และที่กำลังสร้างอยู่ก็มี ถ้าสร้างส่วนนี้เสร็จแล้วก็จะขยายไปสร้างตรงบริเวณหน้าวัด ซึ่งอยู่ติดและต่ำกว่าแนวถนน และจะต้องถมลูกรังขึ้นมาให้เสมอแนวถนนก่อน แล้วจึงจะสร้างตัวอาคารให้ยาวเป็นเขตรั้ววัดไปในตัว แล้วจะแบ่งซอยออกเป็นห้อง ๆ แต่ละห้องจะมีความกว้าง ๒๕ ตารางเมตร เพื่อประดิษฐานพระชำระหนี้สงฆ์ ๑ องค์

    ถาม: สร้างทั้งหมดกี่องค์คะ ?
    ตอบ: กะว่าพื้นที่ตรงนั้นคงได้สัก ๓๐ ห้อง จะเก็บเอาไว้เป็นที่สำหรับคนอยู่เพื่อดูแลหัวและท้าย ๒ ห้องก็เหลือ ๒๘ องค์ เมื่อสร้างพระชำระหนี้สงฆ์เสร็จแล้วยังไม่ปิดทอง จะรอไว้สัก ๑ ปีครึ่ง หรือ ๒ ปี เพราะว่าสร้างด้วยปูนถ้ารีบปิดทองจะทำให้ชื้นและลอกได้ภายหลัง จากประสบการณ์ที่รีบปิดแผ่นทอง ความชื้นของปูนทำให้ลอก ต้องปิดใหม่อีก ๓ รอบ ก็เลยเข็ด การสร้างครั้งนี้จะใส่ท่อระบายอากาศที่ใต้ฐาน และด้านข้างองค์พระ และให้คนเอาของมีค่าเข้าไปใส่เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาได้ด้วย แต่จุดประสงค์หลักคือเพื่อระบายอากาศ

    จากคำถามที่ว่าฐานพระจะต้องโปร่งใช่ไหม ? คำตอบคือฐานขององค์พระไม่ได้โปร่ง แต่ใส่ท่อระบายอากาศเอาไว้ ความชื้นจะได้ไม่ไปอัดอยู่ในองค์พระ เบื้องต้นจะสร้างองค์พระขึ้นมาแล้วทาสีรองพื้นไว้ก่อน

    ขอโมทนาบุญในการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ใครเขาทำบุญอะไร เราร่วมด้วยหมด ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพระ สร้างวิหาร เพราะเราไม่มีโอกาสเป็นเจ้าภาพคนเดียว บุญใหญ่ใครก็อยากทำ แต่ถ้าหากว่ายังไม่สามารถทำคนเดียวได้ อย่าไปร้อนใจ ใครทำเราก็ร่วมกับเขาก็ได้ ถ้าเราทำบุญแล้วทำให้ตัวเราและคนรอบข้างเดือดร้อน พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญ

    ถาม: ยังไม่ได้ไปวัดเลยค่ะ (จากคำถามที่ว่าได้ไปวัดหรือเปล่าตอนทอดกฐินและเป่ายันต์)
    ตอบ: ถ้าหากได้เห็นพระพุทธรูปที่ท่านสมปองสร้างไว้ ขนาด ๔ ศอก ราคา ๒๕๐,๐๐๐ บาท จะหนักมาก เพราะว่าปิดทองประดับกระจกและเป็นไฟเบอร์ ยกเคลื่อนย้ายได้ สร้างใหญ่ขนาดนั้น อาคารจะต้องสูง ๖ เมตรครึ่งจึงจะรองรับได้ โดยปกติพระชำระหนี้สงฆ์ที่สร้างกันทั่วไป ขนาดของอาคารสูง ๔ เมตร ก็รองรับได้สบาย ลักษณะการสร้างจะไม่มีซุ้มเหมือนกับที่วัดท่าซุง เพราะช่างที่สร้างก็เป็นช่างของวัดท่าซุง คือ ช่างจำเนียร

    ถาม: ถ้าจะวัดระดับ ถ้าเข้าถึงแล้วจะเป็น “มรรค” เป็น “ผล” ก็ไม่ลงไปข้างล่างแน่นอนใช่ไหมครับ ?

    ตอบ: ก่อนที่จะถึงระดับนั้น จะผ่านขั้นตอนหนึ่งที่เรียกว่า “โคตรภู” คำว่า “โคตรภู” ในความหมายของพระโสดาบัน จิตจะรักพระนิพพานเป็นพิเศษ และการเข้าถึงพระนิพพานใหม่ ๆ จิตจะรักพระนิพพาน เกาะพระนิพำพานแนบแน่นมาก โอกาสจะลงไปข้างล่าง ไม่มีหรอก ประเภทกอดกันเป็นกอดกันตาย บางคนไม่ยอมขยับเลยก็มี ติดอยู่อย่างนั้น ๑๐ ปี ๒๐ ปี ดีไม่ดีก็เป็นพระโสดาบันยันตายกันไปข้างหนึ่ง เพราะว่าจิตรักตรงจุดนั้น อารมณ์ตรงจุดนั้นไม่ยอมถอน ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมคลาย ก็เลยก้าวขึ้นไปอีกไม่ได้

    ถาม: วิญญาณผู้ตายมาเข้าฝัน ๓-๔ หน ตั้งแต่เขาตาย...(ไม่ชัด)...?
    ตอบ: ถ้าหากว่าตายแล้วฝันถึงเขาได้ในลักษณะที่เขามาหา แสดงว่าเขาไม่ลำบาก ถ้าเขาลำบากเขามาไม่ได้ ถ้ามาได้นี่สบายใจได้เลย

    ถาม: ถ้าทำบุญไปให้เขาก็ได้ใช่ไหมคะ ?
    ตอบ: ได้ ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นโมทนาได้แน่นอน การทำบุญไป ถ้าผู้ตายไปเป็นต่ำสุดเปรตจำพวกที่ ๑๒ ขึ้นมาเป็นอสุรกาย ๔ จำพวก เป็นสัมภเวสีคือคนตายก่อนหมดอายุ เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระบนนิพพาน ท่านทั้งหลายเหล่านนี้โมทนาได้หมด ถ้าต่ำกว่านั้น คนกำลังลำบากอยู่โมทนาบุญไม่ได้ เหมือนกับคนกำลังถูกไล่ฆ่าไล่ฟันอยู่ เอาอาหารไปให้เขากิน เขาไม่มีเวลามากิน เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นรกขึ้นมาจนถึงเปรต ๑๑ จำพวก การลงโทษเขาหนัก ก็เลยทำให้เขาไม่มีโอกาสมาโมทนาบุญได้ ท่านที่มาได้สบายทุกราย

    ถาม: ที่บอกว่ากรรมใครกรรมมันที่สร้างมา แต่ถ้าคนที่เป็นอย่างบุพการีของเรา...(ไม่ชัด)...?
    ตอบ: ใครทำใครได้ อันนี้ยืนยัน ที่มีบางส่วนมาถึงเรา อันนั้นเราทำเองคือคนเราจะเกิดมาอยู่ในครอบครัวเดียวกัน ส่วนใหญ่แล้วจะทำกรรมใกล้เคียงกันมา ในเมื่อทำกรรมใกล้เคียงกันมา ถึงวาระถึงเวลากรรมอันนั้นก็จะส่งผล ก็เลยกลายเป็นว่าผู้ใหญ่ทำผู้ใหญ่รับ แต่ขณะเดียวกันตัวเราไปเจอคล้าย ๆ กันก็คิดว่ารับมาจากผู้ใหญ่ แต่ความจริงไม่ใช่ ของเราเอง

    ถาม: ถ้าเราไม่ได้ทำล่ะคะ ?
    ตอบ: ไม่ได้ทำ แปลว่า ไม่ต้องรับ เรามั่นใจได้อย่างไรว่าอดีตเราไม่ได้ทำ

    ถาม: (เกี่ยวกับเรื่องอาชีพกับดวง) ?
    ตอบ: จริง ๆ แล้วอยู่ที่เรา ถ้าทำจริง ๆ ก็ได้ มีน้อยคนที่อาชีพกับดวงมันขัดกัน สำคัญกำลังใจ ความมุ่งมั่นของเราพอไหม ถ้ากำลังใจเข้มแข็ง ความมุ่งมั่นเพียงพอ อาชีพอะไรก็ทำได้ กำลังใจภาษาพระเรียกว่า บารมี ตัวเดียวกันถ้ากำลังใจดี

    ถาม: ถ้าทำแล้วไม่สบประความสำเร็จ ก็แสดงว่าเขาไม่ได้มีความมุ่งมั่น ?

    ตอบ: ไม่ทุ่มเท สมัยนี้คนขี้เกียจ ประเภทอยากจะรวยเร็ว ๆ ไม่มีความอดทนพอ ถ้าไม่ประสบความสำเร็จในระยะอันสั้นแล้วก็จะทิ้งไปทำอันใหม่ ซึ่งก็เหมือนกับขุดบ่อแล้วไม่ได้น้ำ ขุดไปหน่อยหนึ่งพอเห็นว่าไม่ดีแล้วก็ขยับที่ใหม่ แล้วเมื่อไหร่จะได้ซะที

    ถาม: ต้องมุ่งมั่นว่าทำได้?
    ตอบ: ทำไปเถอะ ขอให้ทุ่มเทกับมันจริงเท่านั้นแหละ
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG][​IMG]


    ถาม: อยู่กันเอง ๒ คนพี่น้อง รัชกาลที่ ๑ ท่านคงไม่ได้วางตัวกับน้องชายอยู่แล้ว ?
    ตอบ: สมัยก่อนระเบียบวินัยในกองทัพมีอยู่ คนที่ถือดาบอาญาสิทธิ์ หรือถืออาญาสิทธิ์ในกองทัพ มีสิทธิ์ประหารได้ก่อนกราบทูล ก็เป็นการฝึกไปในตัวว่าคุณต้องทำใจให้ยอมรับให้ได้ เพราะฉะนั้นอยู่ ๆ วันดีคืนดี พี่ตัวเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ก็ต้องยอมรับได้

    ถาม: อ๋อ แสดงว่าสมัยก่อน รัชกาลที่ ๑ ตอนท่านเป็นแม่ทัพ ท่านก็ถือดาบอาญาสิทธิ์อยู่แล้ว ?

    ตอบ: ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะว่าค่อย ๆ ไต่เต้าไป อย่างกรมพระราชวังบวรสถานมงคล คือ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท น้องชายท่าน ก็เริ่มจากตำแหน่งนายสุดจินดามหาดเล็ก พอตอนกรุงแตกก็พายเรือหนีพม่า

    ถาม: เพราะว่าประวัติศาสตร์ อยู่ ๆ ก็มีรัชกาลที่ ๑ ท่านโผล่มา แล้วก็เป็นใหญ่เลย ?

    ตอบ: ท่านค่อย ๆ ไป เริ่มจากตำแหน่งหลวงยกกระบัตร หลวงยกกระบัตรสมัยนี้ก็เหมือนกับปลัดอำเภอหรือปลัดจังหวัด ก็ไล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งตำแหน่งสุดท้ายเป็นพระยาวชิรปราการ ซึ่งเป็นตำแหน่งเจ้าเมืองกำแพงเพชร เสร็จแล้วท่านไม่ทันได้ไปเพราะพม่าล้อมกรุงซะก่อน พม่าล้อมกรุงก็เลยต้องสลายตัว หลบออกไปเล่นใต้ดินอยู่ แต่ของเขาติดต่อกันอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ถ้ามาตำแหน่งท้าย ๆ ก็ขึ้นถึงสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก ไม่ใช่อยู่ ๆ โผล่มา

    ถาม: แต่เหมือนกับ คล้าย ๆ อยู่ ๆ ค่อยมามีเรื่องมีราวในประวัติศาสตร์ ?
    ตอบ: ตอนสำคัญก็บันทึกไว้

    ถาม: แล้วกรมพระราชวังบวร มาพร้อมกันไหมครับ ?
    ตอบ: กรมพระราชวังบวร ส่วนใหญ่ติดตามออกทัพเดียวกัน พี่น้องเขารู้กันดี ส่วนใหญ่จะตามรัชกาลที่ ๑

    ถาม: อ๋อ ท่านรู้ฝีมือกันอยู่แล้ พอตัวเองขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็เอาน้องชายขึ้นเป็นวังหน้า ?
    ตอบ: ง่ายดี

    ถาม: แต่ผมว่าต้องจงรักภักดีเหมือนกัน เห็นเขาบอกว่าสมัยก่อน ถ้าวังหน้าอยากเป็นกษัตริย์แทนรัชกาลที่ ๒ ก็ได้เลยนี่ ?

    ตอบ: สมัยก่อนเขาว่าอย่าไปแข่งบุญแข่งบารมี เทียมเจ้าเทียมนาย อัปปรีย์จัญไรมันจะกินหัว สมัยนี้ตัวอัปปรีย์จัญไรไม่ค่อยมี ของเราไปที่พระที่นั่งวิมานเมฆ เจอลาดพระบาท พรมแดงที่เขาปูไว้ ก็เดินตัวลีบ ๆ เลาะข้างฝาไป คนอื่นก็ย่ำโครม ๆ ตามไป ถ้าเป็นสมัยก่อนโดนประหารเจ็ดชั่วโคตรเลยนะ

    ถาม: เหยียบพรมนั่นเหรอครับ ?
    ตอบ: เหยียบบนลาดพระบาท ถือว่าตีตนเสมอ

    ถาม: อ๋อ ที่เขาปูเป็นทางให้เดิน?
    ตอบ: แล้วคุณสังเกตดูสมัยนี้สิ มันย่ำตามพระเจ้าอยู่หัวเป็นแถว มีสมเด็จพระเทพฯ เดินข้างอยู่องค์เดียว

    ถาม: .........................................
    ตอบ: มาระยะหลังนี่สร้างกุฏิ พระเณรเขาขอร้องว่าส้วมอยู่ข้างนอกไปลำบาก ให้สร้างอยู่ข้างใน ไม่งั้นความเคยชินเราจะเอาส้วมไว้ข้างนอกตลอด สมัยก่อนโน้นคนที่จะมีส้วมอยู่ในที่ได้มีอย่างเดียวคือพระเจ้าแผ่นดิน

    ถาม: แต่ยากจริงนะครับ จะให้ทรงอารมณ์เย็น ๆ แบบที่เคยเป็นตลอด ๒๔ ชั่วโมง ทั้งที่รู้ดีนะ แต่ทำไมกลับทรงไม่ได้ก็ไม่รู้ ?

    ตอบ: วันก่อนสรุปให้ใครฟังว่า เป็นเพราะยังไม่เข็ด ถ้าเข็ดแล้วมันตั้งหน้าตั้งตาทรงไปเอง ถ้ายังไม่เข็ดมันก็เบื่อ ๆ อยาก ๆ ตอนเบื่อก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ พอตอนอยากขึ้นมาก็เลิก
    ถาม: คาถาเงินล้าน ใช้ได้เฉพาะลูกหลานหลวงพ่อหรือเปล่าครับ ?

    ตอบ: ใช้ได้เฉพาะผู้ที่มีความเคารพและปฏิบัติตาม ซึ่งคนที่จะเคารพและปฏิบัติตาม ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นลูกหลานเท่านั้นแหละ เป็นคนอื่นมันก็ไม่เอาหรอก

    ถาม: ศาลาสวยจริง ผมเห็นแล้วปิ๊งมากเลย แล้วหลวงพี่ท่านจะอยู่นี่ตลอดไหมครับ ?
    ตอบ: สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ พระพุทธเจ้าท่านสอน ทุกอย่างไม่เที่ยง ถามว่าจะอยู่ตลอดไหม ตายแหง ๆ

    ถาม: คืนวันไหนไม่รู้ผมลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ ก็ขี้เกียจถือไฟฉายไปจากุฏิที่เกาะกว่าจะไปถึงห้องน้ำก็ไกล เดินไปถึงเปิดประตูได้ยินเสียงก๊อกแก๊ก ๆ เหมือนคนเดิน เราก็นึกว่าโดนแล้ว มานึกอีกที เอ๊ย มันไม่แน่หรอก หลวงพี่แสงอาจจะลุกมาพอดี เปิดไฟใช่จริง ๆ ถ้าไม่ใช่นะ ?

    ตอบ: ก็ท่านน้อยไง บั้นไดสิบกว่าขั้น ก้าวสามทีถึงข้างบนเลย อภิญญาเกิดกระทันหัน
    ถาม: โห บวชขนาดนี้ยังกลัวเหรอหลวงพี่ ?

    ตอบ: โอ๊ย แกกลัวไปสารพัดเลยท่านน้อย วันก่อนงูเหลือมมากินไก่ พระไปจับมันก็ไล่ฉกพระ หลวงตาน้อยวิ่งไปหน้ากุฏิโน่น อยู่ทางกุฏิอาจารย์สมพงษ์ หลวงตาน้อยวิ่งไปตามอาตมายันฝั่งโน้น ส่วนหลวงตานัยเผ่นพรวดเข้ากุฏิอาจารย์พงษ์ได้ก็ล็อคประตู เพื่อนฝูงมึงไม่ต้องเข้าหรอก
    ถาม: ตอนผมเอาพระ ๒๐ นิ้ว ๓๐ นิ้ว ไปส่งที่วัดท่าขนุน กว่าจะไปถึงวัดทำไมหมามันชอบแบบ มันเหมือนมันเล็งรถผม คันนี้มาต้องวิ่งตัดหน้า สุดท้ายแล้วไปสอยลูกหมาตัวเล็ก ๆ ที่วัดท่าขนุนตาย ผมยังแบบไม่น่าเลย แต่ก็เออ เอาวะ เดี๋ยวพาไปบวชไปสร้างพระด้วย ไม่ได้ตั้งใจขนาดถอยช้า ๆ ครับ พอเอ๋ง ๆ ให้เรารู้อีกที ทับมันแต๊ดแต๋ไปแล้ว อย่างนี้เขาจะอโหสิกรรมไหมครับ ?

    ตอบ: จริง ๆ แล้ว มันมีกรรมเนื่องกันมาก่อน วาระและเวลามา ถึงต้องทำให้มาตายเพราะมือเรา อโหสิไม่อโหสิเรื่องของมัน ทำบุญให้มันก็แล้วกัน

    ถาม: ...................................................................
    ตอบ: รักษาให้ดีนะ เหรียญนั้นอายุเกิน ๒๕ ปี ไม่รู้ว่าอายุเกินคุณหรือเปล่า แต่เกิน ๒๕ แน่นอน สมัยก่อนหลวงพ่อท่านนิมนต์พระปฏิสัมภิทาญาณ มาให้ลูก ๆ ได้ทำบุญ ๑๐ กว่าองค์ องค์นั้นหนีเป็นองค์แรกเลย ท่านอยู่วัดจามเทวี

    ถาม: ผู้ชายไปเที่ยวซ่องโสเภณี ผิดศีลข้อกาเมฯ ไหมครับ ?
    ตอบ: ผู้ชายเที่ยวโสเภณีไม่ผิดศีล ไม่ผิดเพราะว่าเขาประกาศตัวว่าเป็นของกลาง ใครมีเงินไปหา ก็พร้อมจะบริการให้ เพราะฉะนั้นจะไม่ผิดศีลข้อกาเมฯ เขารู้อยู่แล้วว่าเขามีไว้ทำอะไร อย่าไปบ่อยนะ ระยะนี้เอดส์มันเยอะ

    ถาม: การดำเนินอารมณ์ของเรา เวลาเข้าฌาน เวลาทรงฌาน เวลาสลับขึ้น สลับลง แล้วเราถอนมาอุปจารสมาธิ ถ้าพูดถึงเรื่องของแสง สี เสียง ทำไมจึงไม่มีปรากฏ ?
    ตอบ: จะเอาแสง สี เสียง อะไร

    ถาม: คือ พูดถึงเกี่ยวกับอำนาจทางด้าน...(ไม่ชัด)...?

    ตอบ: กำลังที่เราใช้เป็นกำลังของฌาน ในเมื่อเป็นกำลังของฌาน ไม่ใช่กำลังขออุปจารสมาธิที่แท้จริง เขาต้องใช้อุปจารฌานแทนเพราะว่ามันแน่นเกินอุปจารสมาธิ ในเมื่อมันแน่นเกินอุปจารสมาธิจะไปเห็นแสงสีเสียงอะไร มันเห็นไม่ได้ยกเว้นว่าเราจะได้ฌาน ๔ คล่องตัวไปเลย

    เพราะฉะนั้น คนที่เริ่มได้ฌานสมาบัติตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปจะมีข้อเสียเปรียบอยู่ เหมือนกับมีห้องอยู่สองห้อง ข้างล่างคือห้องนี้ ข้างบนอีกห้องหนึ่ง ทุกอย่างมีสภาพเหมือนกันหมด อุปจารสมาธิคือห้องข้างล่าง สมารถเห็นอะไรก็ได้ ฌาน๔ คือห้องข้างบน เราเห็นอะไรก็ได้ แต่ในระหว่างบันไดจะไปเห็นอะไรไหม ? คุณก้าวขึ้นบันไดไปหน่อยหนึ่งแล้วนั่นน่ะ ไม่เรียกว่า อุปจารสมาธิแล้ว ต้องเรียกว่าอุปจารฌาน เพราะว่าความแน่นของมันมีมากกว่าอุปจารสมาธิปกติ

    ถาม: อยากไปนี่เลยครับ พออ่านของหลวงปู่ครูบาที่ว่าพระเจดีย์ชเวดากองเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของทั้ง ๕ พระองค์ ในพุทธันดรนี้ ?

    ตอบ: ไม่ใช่
    ถาม: หมายถึงว่ามีทั้งของหรือว่าพระบรมสารีริกธาตุครบทั้ง ๕ พระองค์ ?
    ตอบ: จะมีธารพระกร-ไม้เท้า ธรรกรก-หม้อกรองน้ำ พระเกศา แล้วแต่องค์จะให้อะไรมา

    ถาม: การบนกรมหลวงชุมพร ?

    ตอบ: การบนกรมหลวงชุมพร สำคัญตรงเวลา ถ้าทำตอนเช้า ให้ใช้ ๐๗.๕๐ น. ตอนบ่าย ๑๔.๕๐ น. ต้องตรงเวลา ห้ามพลาด ของที่ใช้บนท่าน ใช้หมูต้ม ๑ ชิ้น อย่างน้อยต้องครึ่งกิโลขึ้นไป ไก่ต้ม ๑ ตัว ข้าวปากหม้อ ๑ ถ้วย ข้าวที่หุงแล้ว เราตักขึ้นมาก่อน เรียกข้าวปากหม้อ ทองหยิบ ฝอยทอง อันนี้ตามสมควร ถ้าเราชอบกินก็ใส่เยอะหน่อย ขนมจีนน้ำพริก ๑ ชุด น้ำพริกนะจ๊ะ อย่างอื่นไม่เอา ของทั้งหมดวางบนผ้าขาวที่ปูกลางแจ้งเตรียมไว้ก่อนเวลา พอถึงเวลาเราก็จุดธูปบอกท่าน ขอให้ท่านช่วยตาม ทางสายเราก็จุด ๕ ดอกแล้วกัน ขอบารมีของท่านให้ช่วยตามคน ๆ นี้ ชื่อนี้ นามสกุลนี้ หายไปเมื่อไหร่ ขอให้ตามกลับภายในครึ่งเดือน หรือเดือนหนึ่งอะไรก็ว่าไป ถ้าตายไปแล้ว ก็ขอให้ได้ข่าวภายใน ๓ วัน ๗ วัน อะไรก็ว่าไป แล้วสำคัญที่สุด ถ้าสำเร็จแล้ว จัดอย่างนี้ถวายท่านอีก ๑ ชุด เวลาเดิมสรุปว่า ได้หรือไม่ได้ ท่านต้องเจี๊ยะก่อน ๑ ชุด

    ถาม: จุดธูปไว้ก่อนได้ไหม ?
    ตอบ: พอถึงเวลาค่อยจุด จุดก่อนเดี๋ยวก็ผิดเวลาอีก เตรียมของให้เรียบร้อยก่อน

    ถาม: บนดาดฟ้าได้ไหมคะ ?

    ตอบ: ดาดฟ้าก็ได้ ที่ไหนก็ได้

    ถาม: อปริหานิยธรรม ๗ คืออะไรบ้าง
    ตอบ: อปริหานิยธรรม ๗ มีอยู่ในตำรา ยังไม่มีเวลาไปเปิด
    ถาม: เล่มนี้ ผมไปเปิดดู สำหรับภิกษุสามเณร ไม่ทราบว่า ?

    ตอบ: ไม่ใช่สำหรับภิกษุสามเณรคือว่า สำหรับคนทั่วไปก็ใช้ได้ เกี่ยวกับว่าต้องหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ เมื่อประชุมก็ต้องเข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน จะอยู่ในลักษณะนี้ รวมแล้ว ๗ ข้อ ท่านบอกว่า ถ้าหน่วยงานไหนมี อปริหานิยมธรรมนี้อยู่ หน่วยงานนั้นจะตั้งมั่นได้ง่าย ประเทศชาติก็จะทรงตัวอยู่ได้ ไม่สูญเสียเอกราชให้กับใคร จะไปค้นคว้ามาให้ พระพุทธเจ้าตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งปรินิพพานจะเป็นเวลา ๔๕ พรรษา พรรษาสุดท้ายพระองค์จำพรรษาอยู่ที่เวฬุวคาม แคว้นวัชชี พอออกพรรษาแล้ว พระองค์ก็เดินทางเพื่อเตรียมจะไปนิพพานที่ กุสินารา พระองค์ถามพระอานนท์ว่า หมู่มัลลกษัตริย์ของแคว้นวัชชี ยังมีอปริหานิยธรรมทรงตัวอยู่เป็นปกติหรือไม่ พระอานนท์ทูลว่า ยังเป็นปกติอยู่ พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่มีใครสามารถตีแคว้นนั้นได้ คือใครต้องการจะเอาเป็นเมืองขึ้น จะไปรบราฆ่าฟันอีท่าไหน ทำไม่สำเร็จหรอก

    แต่ตอนหลังพระเจ้าอชาตศัตรูท่านเก่ง ท่านส่งวัสสการพราหมณ์เข้าไปยุแหย่ซะจนเขาแตกแยกกันหมด แกล้งตีซะจนหลังลายแล้วไล่ออกจากเมืองไป วัสสการพราหมณ์พอเข้าไปอยู่ในแคว้นวัชชี เขาเป็นอาจารย์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว กษัตริย์แคว้นวัชชีก็เลยรับไว้ใช้งานให้อบรมพวกราชกุมาร ถึงเวลาก็ทำดีไปเรื่อย ๆ สักครึ่งค่อนปี

    คราวนี้ก็ลูกกษัตริย์เป็นร้อย ๆ นี้ ทางแคว้นวัชชี เขาปกครองโดยคณะกษัตริย์ที่เรียกว่าสามัคคีธรรม เหมือนกับรัฐสภาปัจจุบันนี้ ทุกคนออกเสียง เสียงหนึ่งเหมือนกัน ถ้าเสียงส่วนใหญ่ว่าอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ถึงเวลาอบรม ราชกุมารเป็นร้อย ๆ เมื่อเลิกอบรมก็เรียกตัวไว้คนหนึ่ง พาหายเงียบเข้าไปในห้อง ไม่นานก็ปล่อย พวกก็ถามว่าอาจารย์สอนอะไรให้ ไม่ได้สอนหรอก เรียกเข้าไปนั่งเฉย ๆ ก็ไม่มีใครเชื่อ เดี๋ยวเรียกเข้าไปอีกคนก็อย่างนั้นน่ะ ไป ๆ มา ๆ ลูกก็ระแวงกันเอง แกได้วิชาจากอาจารย์มากกว่า ก็ไปฟ้องพ่อ พ่อก็ระแวงกันเอง ทะเลาะกันไป ทะเลาะกันมา ถึงเวลาประชุมก็ไม่ประชุม แตกแยกกันไปหมด วัสสการพราหมณ์ เห็นเขาแตกแยกสามัคคีกันดีแล้ว ก็แอบส่งข่าวถึงพระเจ้าอชาตศัตรู แคว้นวัชชีก็เลยแตก เพราะขาดอปริหานิยธรรม ไม่น่าเชื่อ แต่ว่าเป็นส่วนของ คล้าย ๆ กับว่าไม่ใช่ธรรมะเพื่อการปฏิบัติที่แท้จริง ก็เลยไม่ค่อยได้จดจำเอาไว้ จำได้คร่าว ๆ อยู่หน่อยเดียว ต้องขอเวลาไปค้นนิดหนึ่ง

    ถาม: พระเจ้าอชาตศัตรู บั้นปลายเป็นอย่างไร ?

    ตอบ: บั้นปลายเป็นอย่างไร ก็เข้าวัดเข้าวาเป็นปกติ สนับสนุนพระพุทธศาสนาอย่างที่เรียกว่าทุ่มเท และก็เป็นองค์ศาสนูปถัมภกในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก โทษจากอนันตริยกรรม ที่จะต้องลงอเวจีมหานรก เพราะฆ่าพ่อ ก็เลยเหลือแค่สัญชีพนรกเท่านั้น ถือว่าเป็นรกขุมเล็กที่สุด ตื้นที่สุด ระยะเวลาน้อยที่สุด แต่ยังไงนรก มันก็เป็นนรก จะให้สบายย่อมไม่ได้

    ถาม: .....ทำกับพ่อ เป็นขั้นเป็นตอน เจตนาชัดเกินไป ?

    ตอบ: ก็คงเป็นกรรมของพระเจ้าพิมพิสารด้วย เพราะว่าวาระสุดท้ายพอดีเลย ที่พระมเหสีของพระเจ้าอชาตศัตรูประสูติพระกุมารออกมา มองเห็นลูกปั๊บ ความรักลูกท่วมท้นหัวใจ เลยรู้ว่า อ๋อ ที่แท้พ่อเราก็รักเราอย่างนี้นี่เอง ก็เลยบอกราชบุรุษรีบไปปล่อยพ่อออกมา ไม่ทันแล้ว พ่อโดนทรมานตายไปก่อน ตายไปวันเดียวกันนั่นแหละ ตัวเองได้ลูก พ่อก็ตายพอดี แล้วท่านก็เลยนอนฝันร้ายอยู่ทุกคืน จนกระทั่งไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็เลยเทศน์ให้ฟัง สามารถนอนหลับเป็นปกติได้ ท่านก็เลยดีใจ ปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ กลายเป็นกำลังใหญ่ในการสนับสนุนพระพุทธศาสนาไป

    ถาม: แล้วมากลับตัวจากพระเทวทัตได้ยังไง ?

    ตอบ: ตอนหลังพระเทวทัตท่านโดนธรณีสูบไป พระองค์ท่านก็ฝันร้ายอยู่ทุกคืน กลัวจะโดนบ้าง พอพระพุทธเจ้าเทศน์ให้ฟัง ต้องบอกว่าน่าเสียดาย ถ้าไม่ต้องอนันตริยกรรม จะมีโอกาสได้มรรคผลไปเลย บังเอิญว่าฆ่าพ่อไปเสียแล้ว เป็นอนันตริยกรรม ไม่มีโอกาสจะได้มรรคผลน่าเสียดาย
    ถาม: ถ้าจิตไม่สงบมันไม่เกิด ถ้าจิตสงบนิ่งดีมันจะเกิด ?

    ตอบ: นิมิต มันมี ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกนิมิตเกิดจากทิพจักขุญาณ พอจิตเริ่มเป็นอุปจารสมาธิ นิมิตต่าง ๆ ก็จะเริ่มปรากฏเป็นปกติ อีกอย่างหนึ่งเป็นนิมิตจากกองกรรมฐาน อย่างเช่นว่า เราเพ่งกสิณหรือว่าจับภาพพระเป็นพุทธานุสสติ ถ้าเป็นนิมิตที่เกิดขึ้นจากกองกรรมฐาน เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ให้ตั้งใจจับภาพนั้นสืบเนื่องต่อไป แต่ถ้าหากว่าเป็นนิมิตอย่างอื่น ที่มาโดยไม่ใช่เป็นนิมิตที่ตรงตามกองกรรมฐาน อย่าไปสนใจ

    ถาม: ปฏิบัติแล้วห่วงร่างกาย

    ตอบ: จำไว้ว่า การปฏิบัติกรรมฐาน ไม่ใช่แต่มโนมยิทธิเต็มกำลัง จะเป็นกรรมฐานอะไรก็แล้วแต่ เขาห้ามห่วงร่างกาย คราวนี้หายงงหรือยังว่า ทำไมเราทำทีไรติด ไปไม่ได้ซักที เพราะเราไปห่วงมันอยู่ อะไรจะเกิดขึ้นกับมันตอนนั้น ช่างมัน ตายก็ช่าง เราทำกรรมดีอยู่ เราต้องไปดีแน่นอน ต้องตัดใจให้ได้อย่างนั้นถึงจะไปได้ ไม่ใช่อะไรเกิดขึ้นนิดหนึ่ง ก็ไปกังวลอยู่กับมัน หน่อยหนึ่งก็ไปกังวลอยู่กับมัน มันจะโยกก็ไปกังวลอยู่กับมัน มันจะโยนก็ไปกังวลอยู่กับมัน พังแน่ ๆ


    ถาม: การใช้คาถา

    ตอบ: คาถาทุกบท สำคัญอยู่ตรงเราต้องทำจริงจังและสม่ำเสมอ แล้วจะมีผล จริง ๆ ก็คือสำคัญตรงสมาธิของเรา ถ้าสมาธิทรงตัวต้องการจะให้เป็นอย่างไร มันก็เป็นอย่างนั้น

    ดังนั้นว่า คาถาทุกบท เขาบอกบทนี้ใช้เพื่ออะไร บทนั้นใช้เพื่ออะไร ถ้าไม่มีสมาธิรองรับใช้ไม่ได้หรอกจ้ะ คาถาเป็นบาท คือเบื้องต้นของอภิญญา คนจะทำอภิญญาต้องทำจริงจังสม่ำเสมอ ดังนั้นถ้าจะทำคาถา ต้องทำจริง ๆ จึงจะเกิดผล คาถา รากศัพท์มาจากคำว่า กถา ของบาลี กถา แปลว่า วาจาเป็นเครื่องกล่าว

    คราวนี้ สมัยนี้เขามักจะว่าเป็นถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม คนไหนท่องบ่น ก็จะเกิดผลขึ้นตามที่ปรารถนา ความหมายเพี้ยนไปหน่อย แต่จริง ๆ แล้ว คำพูดของคนทุกคน เรียกว่า คาถา ทั้งนั้น คาถา วาจาเป็นเครื่องกล่าว

    ถาม: ฤกษ์พรหมประสิทธิ์

    ตอบ: ข้าวกระสอบหนึ่ง ดีกว่าถังหนึ่งไหมล่ะ ทั้งหมดดีใช้ได้ทั้งหมด จะเรียกว่าดีมาก ดีมากว่า ดีมากที่สุด เท่าที่ประสบการณ์ผ่านมา มีอยู่วันหนึ่ง โยมมาขอฤกษ์ หลวงพ่อท่านให้วันศุกร์ ๑๔ ค่ำไป เราก็รู้อยู่ว่าวันศุกร์ ๑๔ ค่ำ โบราณเรียกว่าวันสมตน คือเสมอตัว ก็กราบเรียนหลวงพ่อ ทำไมให้แค่นั้นล่ะครับ ท่านบอกว่าของดีเกินไป ก็ไม่แน่ว่าจะดีสำหรับเขา ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ ถ้ามันมีแรงแค่ข้าวสาร ๑ ถัง ถ้าเราไปให้กระสอบหนึ่ง เขาก็มีสิทธิ์โดนทับแบน

    มันมีอยู่อย่างหนึ่ง เขาเรียกว่า ดิถีพิฆาต ก็คือมันจะเริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ไป จะเป็นอาทิตย์ ๑๒ ค่ำ ขึ้นหรือแรมก็ได้นะจ๊ะ วันจันทร์๑๑ ค่ำ วันอังคาร ๗ ค่ำ วันพุธ ๓ ค่ำ วันพฤหัสบดี ๖ ค่ำ วันศุกร์ ๙ ค่ำ วันเสาร์ ๘ ค่ำ ดิถีพิฆาตนี่ไม่ใช่ไม่ดี มันดีเกินไป อย่างวันศุกร์ ๙ ค่ำ วันเสาร์ ๘ ค่ำ นี่ เขาให้เป็นฤกษ์สร้างโบสถ์อย่างเดียว ห้ามสร้างบ้านเด็ดขาดเลย ถ้าหากว่าบุญไม่ดีพอนี่ ไม่ได้เรื่องแน่เลย อย่างน้อย ๆ ต้องสร้างบารมีกันมาอย่างมหาศาล

    ถาม: จะดีหรือไม่ครับ ผมเกิดเสาร์ ๘ ค่ำ ?
    ตอบ: อ๋อ เกิดไม่เกี่ยว หมายถึงว่าทำการทำงานอะไรไปหาฤกษ์นี้ วันเกิดมันต้องวันอังคาร เดือน ๓ ปีขาล โบราณเขาเรียกตรีวัน คือถ้าหากว่าเดือนซ้ำปีอีก หรือว่าวันซ้ำเดือน หรือว่าวันซ้ำปีอะไรอย่างนี้ เขาเรียกกระทิงวัน อย่างเช่นว่า เกิดวันอาทิตย์ เดือนอ้าย อย่างงี้ วันอาทิตย์ก็เลข ๑ เดือนอ้าย ก็เลข ๑ แต่ถ้าหากว่าครบทั้ง ๓ เลย อย่างวันอังคาร เลข ๓ ปีขาล เลข ๓ เดือน ๓ เลข ๓ อันนี้เขาเรียกตรีวัน ประเภทนี้นี่ ส่วนใหญ่ประเภทแข็งจนหักไม่ลง มันดีเกินเหตุไป หนุมานก็เกิดวันนี้ วันอังคาร เดือน ๓ ปีขาล

    ถาม: เอาพระมาให้ดู
    ตอบ: นางพญา วัดต้นจันทน์สุโขทัย สร้างสมัยพระร่วง

    ถาม: ยังพอหาได้ไหมครับ ?
    ตอบ: ได้ ๒๐ ล้าน (หัวเราะ) คราวที่แล้วที่เขาให้ประมูล

    ถาม: อันนั้นพระสมเด็จ ?
    ตอบ: ก็เขาใช้คำว่า ของพวกนี้ ยิ่งเก่ายิ่งแพง มาระยะนี้พวกนักเล่นพระมาจากไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลย์ ฮ่องกง เขาเข้ามาในตลาดไทย พวกนี้เขาเงินถึง เขาทุ่มไม่อั้น กวาดไปเยอะแล้ว

    ถาม: ...(ไม่ชัด)...?
    ตอบ: หลวงพ่อท่านบอกแล้วว่า ถ้าเป็นของท่านนี่ รุ่นท้ายสุด ดีที่สุด ไม่ต้องไปหาเก่า ๆ หาแค่สมัยวัดท่าซุงก็พอ มันยิ่งนาน ยิ่งดี

    ถาม: ทำไมหรือครับ ?
    ตอบ: มันก็เหมือนกับความรู้คน สะสมมันก็มากขึ้นไปเรื่อย

    ถาม: หมายถึงว่า ยิ่งเก่ายิ่งดี หรือว่ารุ่นหลังยิ่งดี ?
    ตอบ: รุ่นหลังยิ่งดี

    ถาม: ลักษณะของนางพญาต้นจันทน์ เป็นไงครับ ?

    ตอบ: เป็นเนื้อดินเผา ออกแดง ๆ



    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...