จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,423
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    lpRuesriHappynewyear2519.jpg
     
  2. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,104
    ค่าพลัง:
    +10,246
    _p526x296&_nc_cat=106&ccb=1-7&_nc_sid=730e14&_nc_ohc=-oSsNxjJ0y4AX9MLFcE&_nc_ht=scontent.fkkc3-1.jpg
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,423
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    Two Feet.jpg
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,423
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  5. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,104
    ค่าพลัง:
    +10,246
    9dee9174abfb67fb3106f4ae2337c6a8.jpg
     
  6. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,104
    ค่าพลัง:
    +10,246
    d31023a56a47ae6327c8e01fbff181f4.jpg
     
  7. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,104
    ค่าพลัง:
    +10,246
    o_t6QY4v9B2j-3pBji_0HaIzFpZyPqFPHA5PRTeSwie0&_nc_ohc=ou6sbPdSIrEAX_0dzIJ&_nc_ht=scontent.fkkc3-1.jpg
     
  8. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,104
    ค่าพลัง:
    +10,246
    dcbd80027abd36eeb69707e796521a36.jpg
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,423
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    monkatriverside.jpg
    เส้นที่ต้องก้าวข้าม
    พระไพศาล วิสาโล
    เลิกเรียนแล้ว แต่นักเรียนกลุ่มหนึ่งยังไม่กลับบ้าน ตกลงกันว่าเล่นสนุกสักพักก่อนจะแยกย้ายกันไป แล้วเส้น ๑ เส้นก็ถูกขีดบนพื้นดิน นักเรียนแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม แต่ละกลุ่มยืนอยู่คนละด้านของเส้น ทันทีที่เกม “ตี่จับ”เริ่มขึ้น กลุ่มแรกก็ส่งตัวแทนข้ามเส้นไปจับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง พร้อมกับร้อง “ตี่” อย่างต่อเนื่อง ขณะที่คนในกลุ่มนั้นก็ต้องจับตัวคนที่ล้ำเส้นเข้ามาให้ได้ การยื้อยุดฉุดกระชากจะจบลงต่อเมื่อเสียงตี่เงียบลง ถ้าคนร้องยังอยู่ในเขตแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็เท่ากับเป็นเชลยของฝ่ายนั้น แต่ถ้าลากคนของอีกฝ่ายหนึ่งข้ามเส้นเข้ามาในแดนของของตนได้ คนนั้นก็ตกเป็นเชลย ฝ่ายไหนกลายเป็นเชลยหมด ฝ่ายนั้นก็แพ้ไป

    ทีแรกทุกคนก็เล่นอย่างสนุกสนานและถ้อยทีถ้อยอาศัย แต่ยิ่งเล่นไป ก็ชักแรงขึ้น จนถึงกับทุบตีและเตะต่อยคนที่ล้ำแดนเข้ามา มีการด่าทอกันด้วยถ้อยคำหยาบคาย ความสนิทสนมกลมเกลียวไม่หลงเหลือให้เห็น แม้จะมีการเปลี่ยนข้างสลับฝ่ายกัน ด้วยความหวังว่าความรุนแรงจะเพลาลง แต่ก็ไม่เป็นผล ครั้นปะทะกันจนเหนื่อย ก็หมดแรงเล่น ทุกคนนั่งพักด้วยอาการเหนื่อยหอบ มองหน้ากันโดยไม่พูดคุยกันเลย แต่ พอหายเหนื่อยก็เริ่มคุยกันใหม่ มีการหยอกล้อกัน เสียงหัวเราะดังขึ้น แล้วทุกคนก็ลุกขึ้นเดินเกาะกลุ่มกันกลับบ้าน ความสนิทสนมกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งขณะที่อาทิตย์ใกล้จะลับฟ้า

    นี้คือเนื้อหาของหนังเรื่อง “เพียงความธรรมดาของเส้น” ซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๒ หนังสั้นที่ฉายในเทศกาลหนังสั้น “ใต้ร่มเงาสมานฉันท์” ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ พฤษภาคมที่ผ่านมา เนื้อหาของหนังเรื่องนี้ดูเหมือนธรรมดา เพราะเป็นเรื่องของเด็ก ๘ คนที่เล่นสนุก ๆ กัน แต่ที่จริงแล้วหนังได้ชี้ให้เห็นถึงอานุภาพของ “เส้น” แม้มีเพียง ๑ เส้น แต่ทันทีที่ขีดแบ่งนักเรียนออกเป็น ๒ กลุ่ม เพื่อนที่คุ้นเคยกันก็กลายเป็นคนละฝ่าย จากเดิมที่เคยกลมเกลียวก็แปรเปลี่ยนเป็นปฏิปักษ์กัน จนถึงขั้นลงมือลงไม้กัน

    คำถามที่น่าคิดก็คือ มีแต่เด็กนักเรียนเท่านั้นหรือที่ขีดเส้นแบ่งกันเป็น ๒ ฝ่าย ใช่หรือไม่ว่าทุกหนแห่งในโลก เส้นได้ถูกขีดขึ้นเพื่อแบ่งคนออกเป็น ๒ ฝ่าย และมิได้แบ่งเวลาเล่นเกมกีฬาเท่านั้น แต่ยังแบ่งกันในชีวิตจริง เป็นแต่ว่ามิใช่เส้นที่ขีดบนบนดิน หากขีดขึ้นในใจของผู้คน อาทิ เส้นแบ่งทางศาสนา เชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม การศึกษา เศรษฐกิจ เส้นแบ่งเหล่านี้เดิมอาจมีขึ้นเพื่อบ่งบอกว่าใครเป็นใคร มีอัตลักษณ์ต่างกันอย่างไร เช่น ฉันเป็นพุทธ เธอไม่ใช่พุทธ แต่ไม่ช้าไม่นานมันทำให้เกิดการแบ่งฝ่ายขึ้นและกลายเป็นปฏิปักษ์กันในที่สุด ใครที่อยู่ฝั่งเดียวกันก็เป็น “พวกเรา” ใครที่อยู่อีกฝั่งก็เป็น “พวกมัน” ทั้ง ๆ ที่ก่อนที่จะมีเส้นแบ่ง ทุกคนก็ล้วนเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น หรืออาจเป็นญาติพี่น้องร่วมสายเลือดด้วยซ้ำ

    น่าแปลกก็คือ เราชอบขีดเส้นแบ่งซอยเพื่อกันผู้คนออกไปอยู่ฝายตรงข้ามกับตัวอย่างไม่หยุดหย่อน เริ่มจากแบ่งเป็นไทยและไม่ใช่ไทย ครั้นอยู่ในหมู่คนไทยด้วยกัน ก็แบ่งออกเป็นพุทธและไม่ใช่พุทธ ในหมู่ชาวพุทธด้วยกัน ก็แบ่งเป็นอีสาน เหนือ ใต้ กลาง กทม. ในหมู่คนกทม.ก็อาจแบ่งเป็น พวกทักษิณ กับพวกไม่เอาทักษิณ หรือแบ่งเป็นประชาชน ทหาร ตำรวจ ในหมู่ทหารด้วยกัน ก็ยังแบ่งเป็นคนละพวกหากอยู่คนละหน่วย หรือจบจากต่างสถาบัน แม้จบจากสถาบันเดียวกัน ก็ยังแบ่งเป็นคนละพวกเพราะจบคนละรุ่น

    ในทำนองเดียวกัน ในหมู่คนมุสลิมด้วยกัน ก็ยังมีเส้นแบ่งระหว่างมุสลิมมลายูกับมุสลิมที่มิใช่มลายู ในหมู่มุสลิมมลายูด้วยกัน ก็มีเส้นแบ่งเพื่อแยกสุหนี่กับชีอะห์ออกจากกัน เส้นแบ่งนี้จะหายไปก็ต่อเมื่อมีเส้นแบ่งอันใหม่เกิดขึ้นแทน คือเส้นแบ่งระหว่างคนมุสลิมกับคนที่มิใช่มุสลิม แต่หากเส้นแบ่งดังกล่าวหายไปเมื่อไร เส้นแบ่งระหว่างนิกาย หรือระหว่างชาติพันธุ์ก็ถูกขีดขึ้นมาใหม่ ผลคือความเป็นพวกเดียวกันหายไป ความเป็นปฏิปักษ์เกิดขึ้นมาแทนที่

    เส้นแบ่งนั้นไม่ได้มีมาแต่กำเนิดหรือเมื่อเกิดมีมนุษย์ขึ้นมาในโลก หากเกิดจากฝีมือของมนุษย์ เราขีดเส้นเหล่านี้ขึ้นมาเอง แต่แล้วกลับตกอยู่ในอำนาจของเส้นเหล่านี้ นอกจากจะปล่อยให้เส้นดังกล่าวกลายเป็นกรอบจำกัดมุมมองของเราแล้ว เรายังพากันทำร้ายกันเพราะเส้นแบ่งดังกล่าว โดยไม่เคยเฉลียวใจเลยว่าแท้จริงเราทุกคนถ้าไม่ใช่พี่น้องก็เป็นเพื่อนร่วมโลก

    สิ่งหนึ่งที่ท้าทายความเป็นมนุษย์อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ก็คือ การเอาชนะเส้นแบ่งเหล่านี้ หรืออย่างน้อยก็ดูแลให้มันอยู่ในที่ทางของมัน คือทำหน้าที่บ่งบอกอัตลักษณ์ที่ต่างกันเท่านั้น แต่ไม่ถึงกับกีดกันผู้คนออกเป็นฝักฝ่ายหรือศัตรูกัน ถึงแม้จะเป็นพุทธ มุสลิม และคริสต์ ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ จะทำเช่นนั้นได้เราต้องกล้าที่จะข้ามเส้นแบ่งเพื่อไปสัมผัสสัมพันธ์กับคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง และเปิดใจรับฟังเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง บางทีเราจะพบว่าเขาก็ไม่ได้ต่างจากเรา แท้จริงแล้วเขากับเรามีความเหมือนมากกว่าความต่าง คือ รักสุข เกลียดทุกข์ มีพ่อแม่ รักครอบครัว และมีน้ำจิตน้ำใจ เช่นเดียวกับเรา

    นี้คือประเด็นที่หนังสั้นหลายเรื่องในเทศกาล “ใต้ร่มเงาสมานฉันท์” พยายามถ่ายทอด ในเรื่อง “ฉันมิตร” พระภิกษุกับครูสอนศาสนาได้มาพบกันโดยบังเอิญ เหตุไม่คาดฝันทำให้ทั้ง ๒ ฝ่ายได้แสดงน้ำใจออกมาให้แก่กันและกัน ทีแรกก็ทำอย่างกระอักกระอ่วน แต่ความเอื้ออาทรก็ได้เป็นสะพานเชื่อมทั้งสองให้เป็นมิตรกัน รวมทั้งเรียนรู้จากกันและกัน ฝ่ายหนึ่งได้เรียนรู้ถึงการปล่อยวาง ขณะที่อีกฝ่ายได้รับกำลังใจจากเพื่อนต่างศาสนา ดังนั้นจึงเกิดความเคารพในศาสนาของกันและกันมากขึ้น

    ส่วนหนังเรื่อง “ Good Morning “ พูดถึงความหมางเมินระหว่างหนุ่มชาวสวนยางกับทหาร ซึ่งคลี่คลายมาเป็นมิตรภาพ หลังจากเฝ้าดูกันด้วยความระแวงติดต่อกันหลายวัน แม้เรื่องนี้จะจบลงด้วยคำถาม แต่ก็ชวนให้คิดต่อว่าระหว่างหน้าที่กับมิตรภาพ อะไรสำคัญกว่ากัน และเราสามารถประสานสองอย่างเข้าด้วยกันได้หรือไม่

    ทุกวันนี้เราเน้นความต่างของกันและกันมากเกินไป และตอกย้ำเส้นแบ่งราวกับว่ามันคือความจริงสูงสุดหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราต้องศิโรราบ สิ่งที่เรายังขาดอยู่ก็คือสะพานที่จะพาเราก้าวข้ามเส้นแบ่งเหล่านี้เพื่อเป็นหนึ่งเดียวกันกับเพื่อนมนุษย์ โดยเคารพความแตกต่างทางอัตลักษณ์ สะพานดังกล่าวที่สำคัญก็คือสื่อมวลชนซึ่งสามารถเปิดเผยให้เราเห็นความเป็นมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังอัตลักษณ์ดังกล่าว หนังสั้น “ใต้ร่มเงาสมานฉันท์” เป็นหนึ่งในบรรดาสะพานดังกล่าวที่สังคมไทยต้องการอย่างมาก แม้หนังสั้นดังกล่าวจะไม่ได้ให้คำตอบแก่เราในทุกเรื่อง แต่ก็ช่วยตั้งคำถามที่ทำให้เราต้องกลับมาทบทวนความคิดเดิม ๆ ที่ติดอยู่ในใจเรา
    :-- https://visalo.org/article/P_senTeTong.htm
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,423
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    สิ้นโลกร้อนเข้ายุค โลกเดือด ชะตากรรมมนุษย์จะเป็นอย่างไร? | KEY MESSAGES #94

    THE STANDARD
    Aug 18, 2023
     
  11. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,104
    ค่าพลัง:
    +10,246
    publicity101022_455_448.jpg
     
  12. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,104
    ค่าพลัง:
    +10,246
    4c9cb874149e584180cafa0fe603ef30.jpg
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,423
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    Sadhuka.jpg 16janteacherday.jpg
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,423
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    wanSinLoke.jpg
    สิ่งที่น่ากลัวกว่าภัยพิบัติ
    พระไพศาล วิสาโล

    ในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมาเกิดเหตุแผ่นดินไหวและภัยธรรมชาติมากมายทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อต้นปีที่ผ่านมาภัยพิบัติเกิดขึ้นใกล้บ้านเรามาก เริ่มจากญี่ปุ่นแล้วก็พม่า แม้ตอนนั้นอุทกภัยครั้งใหญ่ในเมืองไทยยังไม่เกิดขึ้น แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ผู้คนทั่วทั้งประเทศตื่นตระหนกกันมาก นั่นเป็นเพราะมีความกลัวตายเป็นพื้นฐาน แต่เรามักจะลืมไปว่าถึงแม้ไม่เกิดภัยพิบัติเลย เราก็ต้องตายทุกคน และหลายคนก็จะต้องตายก่อนเกิดภัยพิบัติครั้งหน้าด้วยซ้ำ ดังนั้นแทนที่จะมัวตื่นตระหนกถึงภัยพิบัติครั้งต่อไป ซึ่งจะเกิดที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ เราควรมาใส่ใจกับความจริงที่ตามติดเราไปทุกหนทุกแห่ง นั่นก็คือความจริงที่ว่าสักวันหนึ่งเราทุกคนต้องตาย ถึงจะไม่มีภัยพิบัติใด ๆ เกิดขึ้นในอีกร้อยปีข้างหน้า เราทุกคนก็หนีความตายไม่พ้น


    ดังนั้นเราจึงควรเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับความตายที่จะมาถึงดีกว่า เช่น หมั่นทำความดี หลีกหนีความชั่ว ปฏิบัติต่อคนรอบข้างด้วยความใส่ใจ ฝึกจิตให้ตระหนักรู้ถึงความไม่จิรังยั่งยืนของทุกสิ่ง และพร้อมปล่อยวางเมื่อเกิดความพลัดพรากสูญเสีย ถ้าทำเช่นนี้ได้ครบถ้วน ความกลัวตายก็จะลดลง และไม่ตื่นกลัวภัยพิบัติ กลับมองว่าภัยพิบัติเหล่านี้มีข้อดีด้วยซ้ำตรงที่ช่วยเตือนไม่ให้ประมาท เราควรมองภัยพิบัติทั้งหลายในแง่นี้บ้าง ไม่เช่นนั้นก็จะมัวตื่นตระหนกตกใจ จนไม่เป็นอันทำอะไร และพลาดโอกาสที่จะทำสิ่งดี ๆ ให้แก่ตนเองและผู้อื่น

    พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ควรเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติ เช่น มีการวางแผนบรรเทาสาธารณภัยที่รัดกุม เตรียมสิ่งของเครื่องใช้ในยามฉุกเฉิน เป็นต้น การเตรียมการดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราไม่ควรมองข้ามความจริงข้อหนึ่งก็คือ ภัยพิบัติไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ฝนแล้ง หรือคลื่นสึนามิ แม้จะรุนแรงเพียงใดก็ไม่น่ากลัวเท่ากับใจวิบัติ ถ้าใจวิบัติแล้วความเสียหายจะตามมามากมาย

    ใจวิบัติหมายถึงอะไร หมายถึงใจที่วิปริตผิดเพี้ยน คลาดเคลื่อนจากธรรม หรือถูกกัดกร่อนเผาลนด้วยความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ใจที่วิบัติสามารถทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมไม่ต่างจากสัตว์ และสามารถทำร้ายซึ่งกันและกัน จนทุกหนทุกแห่งกลายสภาพเป็นนรกได้ฉับพลัน แต่ถ้าใจไม่วิบัติแล้วแม้จะเจอภัยพิบัติแค่ไหนก็ยังพอจะประคับประคองกันไปได้ อย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่นหลังจากเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิแล้ว ความเดือดร้อนแพร่กระจายไปทั่ว แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ ที่ผู้คนกล่าวขานด้วยความชื่นชมว่า คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยยังมีวินัย มีน้ำใจต่อกัน ขนาดเกิดภัยพิบัติร้ายแรง ก็ยังไม่มีการปล้นสะดม ไม่มีการฉวยโอกาสที่กระหน่ำซ้ำเติมผู้เดือดร้อน

    เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองไทยแล้วจะเห็นว่าตรงกันข้าม ดังปรากฏเป็นข่าวเสมอว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนกันบนทางหลวง ผู้โดยสารบาดเจ็บติดอยู่ในรถ ช่วยตัวเองไม่ได้ ผู้คนที่อยู่ในละแวกนั้นแทนที่จะมาช่วยเหลือ กลับมารุมทึ้ง แย่งเอานาฬิกา สร้อยคอ เงินทองของผู้ประสบเหตุ คงคิดว่าเจ้าของทรัพย์เหล่านั้นเสียชีวิตแล้ว ก็เลยถือเอามาเป็นของตัวเสียเลย แต่ผู้โดยสารบางคนแม้ยังไม่ตาย ก็ยังมีคนมายื้อยุดนาฬิกาจากมือของเขา ทั้ง ๆ ที่เขาวิงวอนขอร้องว่าอย่าทำ นี้คือตัวอย่างของใจวิบัติที่ทำให้ผู้คนกลายเป็นยักษ์มาร ไร้เมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ หากใจวิบัติเกิดขึ้นกับคนทั้งประเทศ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบ้านเมืองจะร้อนรุ่มปานสักเพียงใด

    ภาพเหล่านี้เห็นยากในประเทศญี่ปุ่น แม้กระทั่งเวลามีการแจกข้าวแจกน้ำ ผู้คนก็เข้าคิวกันเป็นระเบียบ ไม่มีการแย่งแซงคิวกัน มีคนเล่าว่า วันแรกที่เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ คนนับหมื่นนับแสนสูญเสียบ้านเรือน ปรากฏร้านค้าต่างๆ ที่ไม่ประสบภัยพิบัติพากันเปิดร้าน และเอาอาหารมาแจกคนที่เดือดร้อน ถ้าเป็นที่อื่นหรือที่เมืองไทยร้านค้าก็อาจจะขึ้นราคา เพราะถือว่าได้โอกาสแล้ว ถึงจะแพงอย่างไรคนก็ต้องซื้อ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหรืออาหาร แต่ที่ญี่ปุ่นเหตุการณ์ดังกล่าวแทบไม่เกิดขึ้นเลย ซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่ง สินค้าตกมากองระเกะระกะเพราะแรงแผ่นดินไหว แต่ลูกค้าก็ช่วยกันเก็บของ แล้วก็หยิบของที่ตนต้องการซื้อไปต่อคิวจ่ายเงิน

    ในโตเกียวมีคนมากมายกลับบ้านไม่ได้ เพราะรถไฟฟ้าหยุดวิ่ง หลายคนนอนข้างทางเพราะโรงแรมเต็ม ก็มีคนจรจัดซึ่งเป็นคนยากจนไม่มีบ้าน เขามีน้ำใจเจียดเอากระดาษแข็งที่ใช้ก่อเป็นเพิง มาแบ่งให้คนเหล่านั้นมีที่นอน เพราะช่วงเดือนมีนาคมที่ญี่ปุ่นนั้นอากาศหนาวมาก ขณะเดียวกันเจ้าของร้านยังเอาขนมปังมาแจกฟรีแก่คนที่กำลังเดินกลับบ้านเพราะหารถไม่ได้ มีพนักงานรถไฟคนหนึ่งประทับใจเด็กนักเรียนมาก เพราะเด็กนักเรียนมาพูดกับเขาว่า “ ขอบคุณครับ ที่เมื่อวานคุณลุงพยายามอย่างสุดชีวิตทำให้รถไฟเดินรถได้อีกครั้ง ” พนักงานรถไฟได้ยินถึงกับน้ำตาคลอ เรื่องเหล่านี้ทำให้ผู้คนมีกำลังใจ ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้เกิดภัยพิบัติแต่ถ้าใจไม่วิบัติ ก็ยังสามารถพบสุขท่ามกลางความทุกข์ แม้จะมีความทุกข์แค่ไหนผู้คนก็ไม่หมดหวัง

    เรามักเป็นห่วงกังวลกับอันตรายที่อยู่นอกตัว เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม แต่กลับไม่ตระหนักว่า อันตรายที่น่ากลัวที่สุดนั้นไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่ใจของเรานั่นเอง เพราะถ้าใจของเราวิบัติเสียแล้ว ย่อมหาความสุขไม่ได้เลย แม้ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น มีความสะดวกสบายทุกอย่าง ก็ยังรู้สึกร้อนรุ่มจิตใจไม่เป็นสุข เพราะผู้คนต่างเบียดเบียนเอาเปรียบกัน

    คนเราใจวิบัติได้ด้วยหลายสาเหตุ นอกจากความโลภ ความเห็นแก่ตัว อย่างที่ยกตัวอย่างเมื่อสักครู่แล้ว ความโกรธก็ยังทำให้ใจวิบัติได้ เพราะว่าเมื่อเกิดความโกรธเกลียดกันแล้ว เราก็สามารถทำร้ายคนรักหรือคนใกล้ชิดได้ เช่นสามีทำร้ายภรรยา ลูกทำร้ายพ่อ พี่ฆ่าน้อง เป็นต้น อย่าว่าแต่ทำร้ายคนอื่นแล้ว แม้แต่ตัวเอง หากใจวิบัติแล้ว ก็ยังสามารถทำร้ายตัวเองได้ เช่น ฆ่าตัวตายเพราะน้อยเนื้อต่ำใจในคนรัก หรือต้องการประชดพ่อแม่ด้วยอำนาจของความโกรธ หลายคนฆ่าตัวตายทั้ง ๆ ที่พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ มีชีวิตที่สะดวกสบาย ไกลจากภัยพิบัติใด ๆ แต่ถึงแม้จะไม่ได้ฆ่าตัวตาย ก็สามารถล้มป่วยเพราะความโกรธได้ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตกจนเป็นอัมพาตก็เพราะโกรธจัดจนคุมไม่ได้

    ความกลัวก็สามารถทำให้ใจเราวิบัติได้ เพราะเมื่อกลัวแล้วย่อมเกิดความตื่นตระหนกได้ง่าย ปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา ๆ จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ คนไข้บางคนพอรู้ความจริงจากหมอว่า ตนเองเป็นมะเร็ง อยู่ได้ไม่เกินสามเดือน ก็ตกใจ ทำใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าจะต้องตาย วิตกกังวลสารพัด จนเศร้าซึมไม่เป็นอันกินอันนอน ปรากฏว่าอยู่ได้แค่ ๑๒ วันก็ตาย และไม่ได้ตายสงบด้วย แต่ตายด้วยความทุรนทุราย

    ทั้งหมดนี้กล่าวอย่างสรุปก็คือ ใจวิบัติเพราะลืมตัว จึงปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ ความกลัวทำร้ายจิตใจ พอลืมตัวแล้วก็สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้นรวมทั้งทำร้ายตนเอง บางคนเกิดอารมณ์ชั่ววูบจนลืมตัว กระโดดลงจากตึกบ้าง ลงจากสะพานบ้าง วิ่งไปให้รถชนบ้าง บางทีก็ไปซื้อปืนมายิงตัวเองบ้าง ทำร้ายคนอื่นบ้าง

    ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำในตอนนี้ก็คือตั้งสติให้ดี อย่ากลัวหรือตื่นตระหนกกับภัยพิบัติจนลืมตัว หรือมองข้ามอันตรายที่ยิ่งกว่านั้นคือใจวิบัติ อันตรายชนิดนี้ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่ใจเรานี่แหละ ใจที่ควรจะสร้างสุขให้เรา แต่กลับกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของเรา อย่าลืมว่าไม่มีอะไรที่จะทำร้ายเราได้มากกว่าจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ “จิตที่ฝึกฝนผิดทางย่อมทำความเสียหายให้ยิ่งกว่าศัตรูต่อศัตรูหรือคนจองเวรต่อคนจองเวรจะพึงทำให้กันเสียอีก”

    ศัตรูทำร้ายศัตรูด้วยกัน หรือคนจองเวรกัน ก็ยังไม่ก่อความเสียหายเท่ากับใจที่ตั้งไว้ผิด ใจที่คลาดเคลื่อนจากธรรมหรือที่อาตมาเรียกว่าใจวิบัตินี้แหละ สามารถทำร้ายหรือสร้างความฉิบหายได้ยิ่งกว่าที่ศัตรูทำร้ายกัน แม้แต่โจรก็ทำร้ายเราได้ไม่เท่ากับใจของเราเองด้วยซ้ำ อย่างมากที่โจรแย่งชิงไปได้ก็คือทรัพย์สินเงินทองหรือเพชรนิลจินดาไป แต่เขาไม่สามารถแย่งชิงหรือขโมยความสุขไปจากใจเราได้ ในทำนองเดียวกันศัตรูด่าว่าเราไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้หรอก ไม่ว่าเขาจะพูดเสียงดังหรือสรรหาคำรุนแรงมาด่าเราเพียงใดก็ตาม ถ้าหากว่าใจเราไม่เปิดใจรับคำด่านั้น เราก็ไม่ทุกข์ แต่เพราะเราวางใจไม่ถูก คำพูดเพียงเล็กน้อยๆ ก็สามารถจะทำให้เราคลุ้มคลั่งเป็นบ้าหรือกลุ้มอกกลุ้มใจจนทำร้ายตัวเองได้

    มีหลายคนที่ฆ่าตัวตายเป็นเพราะเขาได้ยินคำพูดที่ไม่ถูกใจเพียงไม่กี่ประโยค ซึ่งอาจจะไม่ใช่คำพูดที่รุนแรงเช่น คำพูดว่า “แม่ไม่มีเงินซื้อโทรศัพท์มือถือให้นะ” หรือ “ถ้าแกสอบตก พ่อจะตัดหางปล่อยวัดแล้ว” คำพูดแค่นี้สามารถทำให้คนบางคนทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายได้ ถามว่ามันเป็นคำพูดที่รุนแรงหรือเปล่า มันไม่รุนแรงเลย แต่เป็นเพราะผู้ฟังวางใจไว้ผิด พอฟังแล้วใจก็เลยวิบัติ พอใจวิบัติแล้วก็สามารถทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น รวมทั้งทำร้ายตัวเอง

     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,423
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)

    แต่ถ้าวางใจไว้ดี ใจไม่วิบัติ แม้เจอภัยพิบัติจมอยู่ในกองอิฐ ก็ยังเป็นปกติได้ ตอนเกิดแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น มีหลานกับยายสองคนถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังนานถึง ๙ วัน ไม่มีใครคิดว่าจะรอด แต่เจ้าหน้าที่กู้ภัยไปพบและช่วยไว้ได้ คนที่ถูกช่วยออกมาจากซากปรักหักพังก่อนคือ หลานอายุ ๑๖ ปี พอหลานรู้ว่ามีคนมาช่วยก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยความดีใจ แต่พอออกจากซากตึกได้ก็หมดแรงจนต้องนอนเปลขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ตรงกันข้ามกับยายอายุ ๘๐ ปีเดินออกมาสบายๆ ไม่มีอาการฟูมฟาย ไม่ต้องให้ใครพยุงหรือนอนเปล พูดถึงสภาพร่างกายแล้ว สองคนนี้แตกต่างกันมาก หลานแข็งแรงกว่ายายมาก แต่ทำไมหลานหมดสภาพทันทีที่ออกมาจากซากตึก ตรงข้ามกับยายที่เดินออกมาอย่างปกติ เป็นเพราะอะไร คำตอบอยู่ที่ใจนั่นเอง ใจของยายนั้นสงบตั้งแต่อยู่ในซากตึกแล้ว อาจเป็นเพราะมีความหวังว่าจะมีคนช่วยออกมาได้ หรือไม่ก็เพราะใจพร้อมจะตายตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเวลายายเจอเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็เลยไม่ได้ดีอกดีใจอะไรมาก และเมื่อใจสงบ ไม่วิตกกังวลร่างกายก็เลยเข้มแข็ง ไม่ทรุดหรือหมดสภาพ ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีอาหารกิน นี้ก็เช่นเดียวกับกรณีเหมืองถล่มที่ชิลีเมื่อปีที่แล้ว มีคนงาน ๓๓ คนถูกขังอยู่ใต้ดินลึกถึง ๖๐๐ เมตร นานถึง ๗๐ วัน ไม่มีใครรู้ว่าจะรอดหรือเปล่า ที่จริงโอกาสตายมีสูงมาก เพราะการช่วยเหลือทำได้ยากมาก แต่ว่าทุกคนก็รอดมาได้ ไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่กู้ภัยเก่งอย่างเดียว แต่เป็นเพราะคนที่ถูกขังใต้ดินนั้นเขาดูแลจิตใจของตนเองดี ส่วนหนึ่งเพราะต่างช่วยกันดูแลจิตใจของกันและกัน ทำให้ไม่ตื่นตระหนก เสียขวัญ หรือท้อแท้ เห็นได้ชัดว่าแม้เจอภัยพิบัติแต่ถ้าใจไม่วิบัติ ใจเป็นปกติ สามารถพบกับความสุขหรืออย่างน้อยก็ไม่ทุกข์ทรมานแม้จะอยู่ใกล้ชิดความตายอย่างยิ่งก็ตาม


    การรักษาใจจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเราหันมาให้ความสำคัญกับการรักษาใจ รู้จักประคับประคองใจไม่ให้วิบัติ เราจะไม่กลัวภัยพิบัติ และไม่กังวลด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่นิ่งเฉย ไม่ทำอะไรเลย ในสภาพอย่างนี้เราต้องไม่ประมาท ควรเตรียมการป้องกันเต็มที่ แต่ก็ไม่ควรทำด้วยความตื่นตระหนก ขณะเดียวกันก็รู้ว่าอันตรายเหล่านี้ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะควบคุมได้ แม้แต่พยากรณ์ก็ยังทำได้ยาก โดยเฉพาะ แผ่นดินไหว ไม่มีทางพยากรณ์ได้เลย ดังนั้นจึงพร้อมเผชิญกับมันตลอดเวลา มิใช่แต่ภัยพิบัติที่เกิดจากธรรมชาติเท่านั้น แม้ภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ เช่น ไฟไหม้ ก็ยังสามารถรักษาใจให้ปกติไม่อกสั่นขวัญแขวน หรือถึงจะไม่มีภัยพิบัติใดๆ เกิดขึ้นเลย แต่เป็นปรากฏการณ์ธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคนเช่น ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย แม้กระทั่งความตาย เมื่อเกิดขึ้นเราก็ยังสามารถรักษาใจได้ให้ปกติได้

    เราควรดูแลรักษาใจอย่างไรเพื่อไม่ให้ใจวิบัติ ขอกล่าวอย่างย่อ ๆ ดังนี้

    ๑.มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ความตื่นตระหนก ความกลัว ความโกรธ หรือความโลภ ครอบงำใจ เวลาได้ยินข่าวคราวหรือเสียงร่ำลือเกี่ยวกับภัยพิบัติ รวมทั้งคำพยากรณ์ต่าง ๆให้ตั้งสติให้ดี อย่าเพิ่งตื่นตระหนก หรือทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม สืบสาวหาความจริงก่อนว่า ความจริงเป็นอย่างไร หาไม่เราจะตกเป็นเหยื่อของข่าวลือ หรือทำให้ข่าวลือแพร่กระจาย พร้อมกันนั้นก็หมั่นเจริญสติอยู่เป็นประจำ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเพื่อจะได้มีสติ รักษาใจไม่ให้หวั่นไหวไปตามสิ่งที่มากระทบ

    ๒.อยู่กับปัจจุบัน อย่ามัวห่วงกังวลกับอนาคตหรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง การเตรียมตัวป้องกันเหตุร้ายเป็นสิ่งที่ดี แสดงถึงการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท แต่หากหมกมุ่นกับภัยพิบัติที่ยังไม่เกิด จนไม่รู้จักปล่อยวางเลย เราจะเป็นทุกข์โดยใช่เหตุ หรือกลายเป็นคนตีตนไปก่อนไข้ เมื่อเตรียมการเต็มที่แล้ว ก็ควรหันมาใส่ใจกับการอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด รวมทั้งมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย อย่ากังวลกับอนาคตภัยจนกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือเคร่งเครียด เพราะการกระทำเช่นนั้น นอกจากเป็นการนำความทุกข์มาทับถมตนหรือซ้ำเติมตนเองแล้ว ยังเป็นการละทิ้งความสุขที่มีอยู่โดยชอบธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่สรรเสริญ

    ๓.พร้อมยอมรับความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้น อะไรก็ตามเมื่อเกิดขึ้นแล้ว แม้เป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ ป่วยการที่เราจะตีโพยตีพาย โวยวาย หรือปฏิเสธผลักไส เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังทำให้เราเป็นทุกข์เพิ่มขึ้น สิ่งที่ควรทำคือยอมรับความจริง แล้วใคร่ครวญว่าควรจะทำอะไรต่อไป เช่น จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร เราจะทำใจพร้อมยอมรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นได้ก็ด้วยการหมั่นฝึกใจให้พร้อมยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกใจในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ เช่น รถติด ฝนตก เงินหาย ถูกตำหนิ ฯลฯ หากทำใจยอมรับสิ่งเหล่านี้ด้วยใจที่เป็นกลางได้ ก็จะช่วยให้เราสามารถเผชิญกับภัยพิบัติได้ด้วยใจสงบไม่ตื่นตระหนกหรือเสียขวัญ

    ๔.เจริญมรณสติอยู่เสมอ นั่นคือตระหนักถึงความจริงว่า ความตายเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน และสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา ความตายจึงอยู่ใกล้ตัวเรายิ่งกว่าภัยพิบัติใด ๆ ทั้งสิ้น และถึงแม้ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นเลย เราก็หนีความตายไม่พ้น แต่ความตายจะเกิดขึ้นเมื่อใดไม่รู้ อาจเกิดขึ้นกับเราวันนี้คืนนี้ก็ได้ ดังนั้นจึงควรถามตัวเองว่า หากวันนี้ต้องตาย เราพร้อมหรือไม่ที่จะจากโลกนี้ไป เราทำความดีสร้างบุญกุศลมาพอหรือยัง กิจธุระที่สำคัญทำเสร็จสิ้นหรือยัง และพร้อมปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ รวมทั้ง ทรัพย์สมบัติ ลูกหลาน พ่อแม่ คนรัก ตลอดจนร่างกายนี้หรือยัง หากไม่พร้อมก็ควรเร่งทำ อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ขณะเดียวกันก็ปฏิบัติกับทุกคนด้วยความใส่ใจโดยตระหนักว่าเขาอาจอยู่กับเราวันนี้เป็นวันสุดท้ายก็ได้ อย่าละเลยโอกาสที่จะทำดีกับทุกคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย

    ๕.มีน้ำใจต่อผู้อื่นเสมอ ยิ่งนึกถึงตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นทุกข์ง่ายมากเท่านั้น ตรงกันข้ามการนึกถึงผู้อื่นที่ทุกข์มากกว่าเรา จะช่วยให้เราทุกข์น้อยลง เห็นความทุกข์ของเราเป็นเรื่องเล็กกว่าเดิม สามารถทนกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้

    ตอนที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเมืองไทยเมื่อเร็ว ๆนี้ ผู้สื่อข่าวผู้หนึ่งซึ่งไปทำข่าวที่ปทุมธานีเล่าว่า ได้พบคุณลุงคนหนึ่ง กำลังลุยน้ำอยู่จึงรับขึ้นรถ คุณลุงเล่าว่าก่อนหน้านี้ได้ต่อเรือและรถหลายทอดมายังตัวเมืองปทุมธานี เพื่อหาซื้ออาหาร เพราะที่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๒๐ กิโลเมตรนั้นน้ำท่วมสูงมากจนหาซื้ออะไรไม่ได้ กว่าจะมาถึงตัวเมืองก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๔ ชั่วโมง ปรากฏว่าฟ้ามืดแล้ว ไม่สามารถหารถหรือเรือกลับบ้านได้ จึงต้องนอนค้างที่ตัวเมือง และกลับวันรุ่งขึ้น โชคดีที่เจอรถผู้สื่อข่าวกลางทาง คุณลุงเล่าว่าที่บ้านนั้นมีคนอาศัยอยู่หลายคน ต่างขาดแคลนอาหารกันทั้งนั้น เมื่อรถของผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึงจุดที่รถกระบะไม่สามารถลุยต่อไปได้ ก็ให้คุณลุงลุยต่อหรือหาเรือกลับบ้านเอาเอง ก่อนจากกันผู้สื่อข่าวซึ่งนำถุงยังชีพไป แจกจ่ายระหว่างทำข่าวด้วย ได้มอบถุงยังชีพให้คุณลุงหลายถุงเพราะทราบว่ามีคนอยู่ด้วยกันหลายคน แต่คุณลุงกลับขอรับไปเพียงถุงเดียว ด้วยเหตุผลว่า "ยังมีคนอื่นที่เขาต้องการอีกมาก" คุณลุงรู้ดีว่าถุงยังชีพเพียงถุงเดียวคงพอใช้ได้แค่วันสองวันเท่านั้น แต่คุณลุงเห็นว่าปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัวนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อนึกถึงความทุกข์ของผู้อื่นที่หนักหนากว่า

    ใจของเรานั้นหากปล่อยให้วิบัติ สามารถทำอันตรายแก่เราได้ยิ่งกว่าที่โจรผู้ร้ายจะทำได้ ในทางตรงข้ามหากดูแลรักษาใจให้ดี ใจก็จะกลายเป็นมิตรที่ประเสริฐที่สุดของเราได้ ไม่ว่าจะเจออันตรายร้ายแรงเพียงใด ก็ไม่หวั่นไหว หาสุขพบได้ท่ามกลางเหตุร้ายที่เกิดขึ้น หรือสามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้

    ไม่มีใครหรืออะไรสามารถให้สิ่งประเสริฐแก่เราได้มากเท่ากับใจที่วางไว้ถูก ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า “มารดาก็ทำให้ไม่ได้ บิดาก็ทำให้ไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ทำให้ไม่ได้ แต่จิตที่ฝึกฝนไว้ชอบย่อมทำสิ่งนั้นให้ได้ และทำให้ได้อย่างประเสริฐด้วย” ถ้าเราตั้งจิตไว้ถูก มีธรรมรักษาใจ ก็จะได้พบสิ่งที่ประเสริฐสูงสุดที่แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่สามารถให้ได้

    ดังนั้นหากกลัวภัยพิบัติ ก็ต้องเร่งฝึกฝนจิตใจเพื่อป้องกันไม่ให้ใจวิบัติ หมั่นใส่ใจดูแลเพื่อให้ใจกลายเป็นสมบัติอันประเสริฐสุดของเรา ถ้าหากวางใจได้อย่างนี้ ภัยพิบัติจะกลับกลายเป็นคุณต่อเรา มิใช่เป็นโทษสถานเดียวอย่างที่ใครต่อใครกำลังหวาดกลัวอยู่ในเวลานี้

    :- https://visalo.org/article/NaturePaipibut.htm
     
  16. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,104
    ค่าพลัง:
    +10,246
    620c96bb44154511e801f9ba_800x0xcover_eLD2MNvH.jpg
     
  17. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,104
    ค่าพลัง:
    +10,246
    ecf01cc25f1e628632a84cc392d4429a.jpg
     
  18. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,104
    ค่าพลัง:
    +10,246
    6e00e4b61f44101a6368f6b6495f1d60.jpg
     
  19. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,104
    ค่าพลัง:
    +10,246
    6x296&_nc_cat=106&ccb=1-7&_nc_sid=5f2048&_nc_ohc=5QpO-0l6T1gQ7kNvgG7bq8v&_nc_ht=scontent.fkkc3-1.jpg
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,423
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    jitwwFlood01.jpg
    ธรรมะจากอุทกภัย

    พระไพศาล วิสาโล
    สิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองของเราในวันนี้ ไม่ว่าปรากฏการณ์ที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ถึงที่สุดแล้วมันกำลังบอกเราว่า เป็นเพราะเรากำลังขวางความจริง เริ่มที่เราขวางกระแสน้ำ เราไม่ได้ขวางอย่างเดียว แต่ว่าเราทำลายด้วย เราทำลายป่า เราถมคลอง เราทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับสายน้ำ ก็เลยเกิดภัยพิบัติขนาดนี้ แต่ภัยพิบัติขนาดนี้ไม่อาจกัดกร่อนจิตใจเราได้มาก ถ้าหากเรายอมรับความจริง ไม่เอาความต้องการของเรา หรือความยึดมั่นของเราไปขวางกระแสแห่งความจริง เราก็จะผ่านเหตุร้ายอันนี้ไปได้ ถึงแม้เราจะสูญเสียทรัพย์ แต่ใจเราไม่เสีย น้ำท่วมบ้านแต่ไม่ท่วมใจ

    อย่างไรก็ตาม ทำใจอย่างเดียวไม่พอ ทำใจก็คือยอมรับว่าน้ำจะท่วมแล้ว พร้อมที่จะเผชิญกับมัน ทำใจอย่างนี้ได้ก็ดีแล้ว แต่อย่าลืมเตรียมตัวด้วย คือปล่อยวางแล้ว ก็อย่าลืมขนของขึ้นที่สูงด้วย


    พุทธศาสนาไม่ได้บอกให้ทำใจเพียงอย่างเดียว ต้องทำกิจด้วย คือ เตรียมป้องกันหรือหาหนทางลดทอนความเสียหาย ถึงเราจะไม่ยึดติดทรัพย์สมบัติ ปล่อยวางได้ แต่อะไรที่สามารถขนย้ายให้ปลอดภัยได้ก็ควรทำ เหมือนกับเวลาเราเจ็บเราป่วย เราทำใจยอมรับได้ว่าความเจ็บป่วยนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ไม่ได้แปลว่า ไม่เยียวยารักษา ทำจิตและทำกิจ ต้องไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นตอนนี้สำหรับคนที่กำลังหาทางปกป้องทรัพย์สมบัติ ก็อย่าทำกิจอย่างเดียวควรทำใจเผื่อไว้ด้วยว่าอาจจะต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติ ส่วนผู้ที่ทำใจได้แล้ว ก็อย่าอยู่นิ่งเฉย ควรขนของขึ้นที่สูงได้แล้วตั้งแต่ตอนนี้ อย่าไปมองว่าเป็นความตื่นตูม เมื่อเราทำเต็มที่แล้วเราจะเสียใจไม่มาก เพราะว่าหนึ่ง ฉันทำเต็มที่แล้ว และสอง ทรัพย์สมบัติที่สูญเสียไปย่อมน้อยกว่าคนที่ประมาทหรือชะล่าใจ

    เมื่ออุทกภัยเกิดขึ้น นอกจากการยอมรับความจริงว่ามันเกิดขึ้นแล้ว และรู้จักยกใจให้เหนือน้ำ แม้ว่าข้าวของจะอยู่ใต้น้ำไปแล้วก็ตาม อีกสิ่งหนึ่งที่น่าพิจารณาก็คือ ควรมองเหตุการณ์ครั้งนี้ในแง่บวกบ้าง มองในแง่บวกหมายถึงการรู้จักใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น มองว่ามันเป็นเครื่องสอนธรรมหรือสอนใจเรา สอนให้เราเห็นความไม่เที่ยง สอนใจให้เราตระหนักว่า ทรัพย์สมบัติทั้งปวงที่มีอยู่นี้ไม่มีสักอย่างที่เป็นของเราเลย ความพลัดพรากจากมันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าไม่ใช่วันนี้ก็ต้องเป็นวันหน้า โดยเฉพาะเมื่อถึงวันที่เราต้องตาย ควรใช้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้เราตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ให้เราตระหนักถึงเรื่องอนาคตภัยอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่กลัว ไม่ใช่กังวลกับมัน แต่ให้เตรียมตัวอยู่เสมอ

    การเตรียมตัวที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญคือเตรียมตัวตั้งแต่มันยังไม่เกิด หรือยังอยู่ไกล คนส่วนใหญ่มาเตรียมตัวก็เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วหรือเมื่อมันมาประชิดตัวแล้ว คนเรามักจะขยับทำอะไรก็ต่อเมื่อทุกข์มาประชิดตัว ถ้าไม่ทำเพราะความทุกข์บีบคั้น ก็ทำเพราะกลัวความทุกข์ แต่นั่นไม่ใช่วิธีของชาวพุทธ วิธีของชาวพุทธคือต้องรับมือกับมันตั้งแต่มันยังอยู่ไกล เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราเปรียบเหมือนม้า ๔ ประเภทที่ใช้เทียมรถ ม้าประเภทแรก เพียงแค่เห็นเงาสารถีชูปฏักขึ้น มันก็รู้ว่าจะเลี้ยวไปทางไหน ประเภทที่สองต้องโดนปฏักทิ่มหนังถึงจะรู้ ประเภทที่สามต้องโดนปฏักทิ่มไปถึงเนื้อถึงจะรู้ ประเภทที่สี่ต้องโดนปฏักทิ่มไปถึงกระดูกถึงจะรู้

    คนสี่ประเภทนี้คืออะไร ประเภทแรกคือคนที่เมื่อได้ยินว่ามีคนตาย ก็เกิดความสังเวชหรือความตื่นตัว เข้าหาธรรม ประเภทที่สองต่อเมื่อเห็นคนตายก็ค่อยตื่นตัว เข้าหาธรรม ประเภทที่สาม เมื่อพบว่าคนรัก คนใกล้ชิดตาย จึงค่อยตื่นตัวเข้าหาธรรม ประเภทที่สี่ ต่อเมื่อตัวเองใกล้ตายถึงจะตื่นตัว พระพุทธเจ้าสรรเสริญคนประเภทแรก คือเพียงแค่รู้ว่ามีคนตายก็เข้าหาธรรมแล้ว ไม่ต้องรอให้ความตายเกิดขึ้นกับคนรักหรือเข้ามาประชิดตัว คือไม่ได้ทำเพราะกลัวความทุกข์หรือถูกความทุกข์บีบคั้น

    อุทกภัยครั้งนี้นอกจากสอนใจเราเรื่องอนิจจัง ความไม่เที่ยง ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย และเตือนใจให้เราไม่ประมาทแล้ว ยังสามารถฝึกใจให้เราเข้มแข็ง ฝึกใจให้เรามีสติ ฝึกใจให้เรารู้จักปล่อยวาง ทั้งหมดนี้ล้วนมีประโยชน์เพราะเราจะต้องเจอภัยธรรมชาติอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เว้นแต่ว่าเราตายก่อนเท่านั้น

    พูดอีกอย่าง อุทกภัยครั้งนี้เปรียบเสมือนการบ้านที่ฝึกเรา ถ้าเราทำการบ้านข้อนี้ได้ เราก็มีโอกาสที่จะทำการบ้านข้อที่ยากขึ้นได้ แต่ถ้าเรายังไม่ผ่านการบ้านข้อนี้ ถ้าเราสอบตก แล้วเราจะหวังได้อย่างไรว่าเราจะสอบได้เมื่อมีเหตุการณ์ที่หนักกว่านี้ในอนาคต เหตุการณ์ที่หนักกว่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นภัยพิบัติ อย่างเช่นน้ำท่วมแผ่นดินไหว อาจจะเป็นภัยพิบัติส่วนตัวก็ได้ เช่นเมื่อคุณพบว่าคุณป่วยหนัก เป็นโรคร้าย เป็นมะเร็ง หรือว่าคุณกำลังจะตายไม่ว่าเพราะเหตุใดก็ตาม นี่เป็นภัยพิบัติส่วนตัวที่ทุกคนต้องเจอ

     

แชร์หน้านี้

Loading...