จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    เหตุใดโลกทุกวันนี้จึงรุ่มร้อน

    ถาม เพราะเหตุใดโลกทุกวันนี้จึงรุ่มร้อน มีแต่จะแก่งแย่งชิงดีกัน รบราฆ่าฟันกันตลอดเวลา แม้ธรรมชาติก็พลอยเป็นใจ ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือเวลาตกก็ตกเสียจนเกินพอดีจนน้ำท่วมเป็นต้น ผู้คนล้มตายกันทีละมากๆ ด้วยภัยนานาประการ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

    ตอบ ในเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เมื่อใดที่คนในโลกเป็นคนมีศีลธรรม โลกนี้ก็สงบร่มเย็นเป็นสุข แม้ธรรมชาติก็อำนวยแต่ประโยชน์สุขทุกอย่าง แต่เมื่อใดที่คนในโลกมีอกุศลหนาแน่น เมื่อนั้นโลกนี้ก็จะร้อนเป็นไฟด้วยอำนาจของอกุศล ทำให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันทั่วไป และเมื่อถึงกลียุค คนก็จะเห็นกันว่าเป็นสัตว์ ไม่คำนึงว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติมิตร จะจับอาวุธเข้าฆ่าฟันกัน
    ดังที่ผู้ใหญ่ท่านเรียกว่าเป็นแดนมิคสัญญี ปัจจุบันนี้ก็เริ่มๆ จะใกล้ยุคนั้นเข้ามาแล้ว เพราะดูผู้คนโหดเหี้ยมผิดปกติ แม้แม่ก็ฆ่าลูกได้ง่ายๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็หนีไม่พ้นเรื่องของกิเลสอกุศลไปได้ เพราะยิ่งกิเลสหนาแน่นเท่าไร ผู้คนก็ขาดศีลธรรมมากขึ้นเท่านั้น เมื่อผู้ใดไม่มีศีลธรรม สิ่งร้ายๆ ทั้งหลายก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แม้ธรรมชาติก็พลอยซ้ำเติมให้ทุกข์ยากลำบากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะอกุศลวิบากของคนเหล่านั้น จึงทำให้ได้รับแต่สิ่งที่ไม่เจริญใจ จะนับว่าเป็นกาลวิบัติก็เห็นจะไม่ผิด เพราะทุกอย่างแทบจะวิบัติไปหมดสิ้น
    สรุปว่า ไม่ว่าคนหรือธรรมชาติที่ผิดปกติอยู่ทุกวันนี้ เพราะผู้คนในปัจจุบันส่วนใหญ่มีอกุศลหนาแน่นนั่นเอง


    ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-


    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓

    ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    นานาปัญหา
    โดย คณะสหายธรรม


    ๓๗. มรรคตัดกรรมใดในอดีตชาติหรือ

    ถาม มรรคจิตชื่อว่าอกาลิโก คือให้ผลทันที ไม่รอกาลเวลา มรรคนี้ไปตัดกรรมในอดีตชาติหรือไม่ ช่วยกรุณาอธิบายด้วย

    ตอบ ในปัญหานี้ขอเรียนให้ทราบดังนี้ มรรคจิต ชื่อว่าอกาลิโก เพราะทำให้ผลคือผลจิตอันเป็นวิบาก เกิดขึ้นทันทีในเวลาที่มรรคจิตดับลง โดยไม่มีจิตอื่นมาเกิดคั่น
    ส่วนที่ถามว่ามรรคตัดกรรมในอดีตชาติได้หรือไม่ ถ้าจะตอบรวมๆ กันก็ต้องบอกว่า มรรคตัดกรรมในอดีตไม่ได้ อย่างมรรคแรกคือโสดาปัตติมรรค เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมตัดกรรมที่จะนำให้เกิดในอบายได้ทั้งหมด อนาคามิมรรคย่อมตัดกรรมที่จะนำให้เกิดในกามสุคติภูมิได้หมด อรหัตตมรรคย่อมตัดกรรมที่จะนำให้เกิดในภพภูมิได้หมด
    เป็นที่น่าสังเกตว่า มรรคแต่ละมรรคที่ตัดกรรมบางส่วนได้นั้น ตัดเฉพาะกรรมที่ทำหน้าที่ปฏิสนธิ คือนำเกิดในอบายเป็นต้นเท่านั้น ไม่ได้ตัดกรรมที่จะเกิดในปวัตติกาล คือไม่ได้ตัดกรรมที่จะให้ผลหลังจากที่เกิดมาแล้ว เพราะมิฉะนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าก็คงไม่ต้องเสวยข้าวแดงสำหรับเลี้ยงม้า หรือท่านพระมหาโมคคัลลานะคงไม่ถูกโจรทุบตีจนร่างกายแหลกละเอียด ท่านพระสารีบุตรคงไม่ต้องอาพาธจนถ่ายเป็นโลหิตในเวลาใกล้จะปรินิพพานเป็นต้น แต่เมื่อพระอรหันต์ปรินิพพานแล้ว กรรมที่จะให้ผลทั้งในปฏิสนธิกาล และปวัตติกาลเป็นอันหมดโอกาสให้ผล คือไม่มีโอกาสให้ผลอีกเลย เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ท่านปรินิพพานแล้ว ท่านจึงไม่เกิดอีก

    ________________________________________

    ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔

    ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑

    พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ ๑๐
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • BlessDhamma.jpg
      BlessDhamma.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.5 KB
      เปิดดู:
      147
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2015
  4. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    .
    "ปัญญาวิปัสสนา มีสมาธิเป็นกำลัง"

    " .. สมาธิเป็นกำลังสำคัญมาก ถ้าไม่มีสมาธิแล้ว "วิปัสสนา" จะเอากำลังมาจากไหน

    "ปัญญาวิปัสสนา" มิใช่เป็นของจะพึงแต่งเอาได้เมื่อไร
    แต่เกิดจากสมาธิ ที่หัดได้ชำนิชำนาญ มั่นคงดีแล้ว ต่างหาก .. "

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    นานาปัญหา
    โดย คณะสหายธรรม


    ๓. เหตุใดเทวดาตายแล้วจึงอยากเกิดเป็นมนุษย์

    ถาม เคยได้ยินว่า เทวดาเมื่อตายแล้วก็ปรารถนาเกิดเป็นมนุษย์จริงหรือไม่
    เพราะมนุษย์เราตายแล้วก็ปรารถนาจะเป็นเทวดากันทั้งนั้น
    เหตุใดเทวดาจึงปรารถนาเกิดเป็นมนุษย์

    ตอบ ปัญหาที่คุณถามมานี้เป็นความจริง
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเรื่องนี้ไว้ใน จวมานสูตร ขุ.อิติวุตตกะ ข้อ ๒๖๑-๒๖๒ ว่า
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดเทวดาผู้จะจุติจากเทพนิกาย เมื่อนั้นนิมิต ๕ ประการย่อมปรากฏแก่เทวดานั้น คือ
    ดอกไม้ย่อมเหี่ยวแห้ง ๑
    ผ้าทรงย่อมเศร้าหมอง ๑
    เหงื่อย่อมไหลออกจากรักแร้ ๑
    ผิวพรรณเศร้าหมองย่อมปรากฏที่กาย ๑
    ย่อมไม่ยินดีในทิพยะอาสน์ของตน ๑
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายทราบว่า เทพบุตรนี้จะต้องเคลื่อนจากเทพนิกาย ย่อมพลอยยินดีกะเทพบุตรนั้นด้วยถ้อยคำ ๓ อย่างว่า
    แน่ะท่านผู้เจริญ ขอท่านจากเทวโลกนี้ไปสู่สุคติ ๑
    ครั้นได้ไปสู่สุคติแล้ว ขอท่านจงได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้ว ๑
    ครั้นได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้วขอจงเป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยดี ๑”
    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นส่วนแห่งการไปสู่สุคติของเทวดาทั้งหลาย อะไรเป็นส่วนแห่งลาภที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว และอะไรเป็นส่วนการตั้งอยู่ด้วยดีของเทวดาทั้งหลาย พระเจ้าข้า”
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์แล เป็นส่วนแห่งการไปสุคติของเทวดาทั้งหลาย
    เทวดาครั้นเกิดเป็นมนุษย์แล้วย่อมได้ศรัทธาในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วนี้แล เป็นส่วนแห่งลาภที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว
    ก็ศรัทธาของเทวดาทั้งหลายเป็นคุณชาติตั้งลง มีมูลรากเกิดแล้ว ประดิษฐานมั่นคง อันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือใครๆ ในโลกพึงนำไปไม่ได้
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นส่วนแห่งการตั้งอยู่ด้วยดีของเทวดาทั้งหลาย”
    ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ได้ตรัสสรุปเป็นคาถาว่า
    “เมื่อใดเทวดาจะต้องจุติจากเทพนิกายเพราะความสิ้นอายุ เสียง ๓ อย่างของเทวดาทั้งหลายผู้พลอยยินดี ย่อมเปล่งออกไปว่า แน่ะท่านผู้เจริญ ท่านจากโลกนี้ไปแล้วจงถึงสุคติ จงถึงความเป็นสหายแห่งมนุษย์ทั้งหลายเถิด ท่านเป็นมนุษย์แล้วจงได้ศรัทธาอย่างยิ่งในพระสัทธรรม ศรัทธาของท่านนั้นพึงเป็นคุณชาติตั้งลงมั่น มีมูลเกิดแล้ว มั่นคงในพระสัทธรรมที่พระตถาคตประกาศดีแล้ว อันใครๆ พึงนำไปไม่ได้ตลอดชีวิต ท่านจงละกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และอย่ากระทำอกุศลกรรมอย่างอื่นที่ประกอบด้วยโทษ กระทำกุศลด้วยกายด้วยวาจาให้มาก กระทำกุศลด้วยใจหาประมาณมิได้ หาอุปธิมิได้ แต่นั้นท่านจงกระทำบุญอันให้เกิดอุปธิสมบัตินั้นให้มากด้วยทาย แล้วยังสัตว์แม้เหล่าอื่นให้ตั้งอยู่ในพระสัทธรรมในพรหมจรรย์
    เมื่อใดเทวดาพึงรู้แจ้งซึ่งเทวดาผู้จะจุติ เมื่อนั้นย่อมพลอยยินดีความอนุเคราะห์ว่า แน่ะเทวดา ท่านจงมาบ่อยๆ”

    ทั้งหมดนี้คือข้อความในพระสูตรนี้ และจากข้อความในจวมานสูตรนี้ ท่านผู้ถามก็จะเห็นว่า เมื่อเทวดาทั้งหลายเกิดนิมิต ๕ ประการอันแสดงว่าจะต้องจุติจากเทวโลกดังนี้แล้ว เทวดาทั้งหลายอื่นๆ ย่อมอวยพรให้เขาได้เกิดในมนุษย์ ซึ่งเขาถือว่ามนุษย์ภูมิเป็นสุคติภูมิของเทวดา เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วขอให้ได้ศรัทธาในพระสัทธรรม คือขอให้ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ฟังแล้วมีศรัทธาปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนนั้น เมื่อปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนนั้นแล้ว ขอให้ดำรงมั่นคงในพระธรรมนั้น นั่นคือขอให้ได้บรรลุมรรคผล คือโสดาปัตติผล เทวดาทั้งหลายหวังจะให้เทวดาผู้จะจุตินั้นสำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้วกลับไปเสวยสุขอยู่ในเทวโลกอีก จึงกล่าวว่า ดูก่อนเทวดา ขอท่านจงกลับมาสู่เทพนิกายนี้บ่อยๆ คือ ขอให้สำเร็จเป็นโสดาบันแล้วกลับมาในหมู่เทพอีกนั่นเอง
    ความจริงการเกิดเป็นมนุษย์นั้นมีโอกาสทำบุญทำกุศลได้ทุกอย่าง แม้การที่จะบรรลุเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าก็ต้องเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้

    ________________________________________

    ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ - การฝึกมโนมยิทธิ [ตอนเดียวจบ]

    https://www.youtube.com/watch?v=zHFvDq-hHtM
    Published on Jun 5, 2015

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ - การฝึกอารมณ์ให้เข้าถึงความเป็นพระอริยะแบ­บสุกขวิปัสสโก
    " คำนำ "ตู้พระธรรมหลวงพ่อฤาษีลิงดำ" นี้ เป็นการรวมธรรม ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านได้สั่งสอนเอาไว้ เป็นตอน ๆ คือ 1ม้วนเทปบ้าง 2 ม้วนเทปบ้างหรือหลายม้วนเทปบ้าง ข้าพฯ ผู้จัดทำ จึงจัดรวบรวม คำสั่งสอนที่ จบ ใน 1 ตลับเทปบ้าง 2 ตล้บเทปบ้าง หรือหลายม้วนเทปบ้างเอาไว้ใน " ตู้พระธรรมหลวงพ่อฤาษีลิงดำ " ด้วยความหัวงว่า..ท่านทั้งหลายจะได้สะดวกก­ับการ ค้นหา ในหลักธรรมของท่าน ซึ่งสมัยก่อนนั้น ข้าพฯ อยากจะฟังในเรื่องที่ ต้องการจะฟัง ก็ต้อง นั่งค้นหาแล้วหาอีก ให้ได้รับความสุข สงบจากธรรมทุกท่านเทอญ
    คลิ๊กฟังทั้งหมดhttps://www.youtube.com/watch?v=b9uJT...

    ฝึกมโนมยิทธิ ก่อนนอน.....ท่านจิตโต

    https://www.youtube.com/watch?v=FiRff8r5bfc
    Published on Aug 15, 2014

    - ฝึกวางอารมณ์
    - รักษาอารมณ์
    - เสวยอารมณ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    นานาปัญหา
    โดย คณะสหายธรรม


    ๓๑. ที่ว่ารัก รักนั้นประการใด

    ถาม ที่ว่ารัก รักนั้นประการใด

    ตอบ ตั้งแต่จำความได้ ทุกคนรู้จักคำว่า “รัก รัก รัก” กันทั้งนั้น รักพ่อแม่ พี่น้อง ลูกหลาน วงศาคณาญาติ รักเพื่อนพ้อง ญาติสนิทมิตรสหาย รักสินทรัพย์ เงินทอง ข้าวของ ตลอดจนสัตว์เลี้ยง แต่ก็ไม่มีรักใดที่ยิ่งใหญ่กว่ารักตนเอง
    ดังที่พระพุทธพจน์ที่ว่า “ความรักเสมอด้วยตนไม่มี” ที่พระพุทธองค์ตรัสเช่นนี้เพื่อสอนให้ทุกคนรู้ว่าเมื่อเรารักตัวของเราเองยิ่งกว่าใครๆ คนอื่นเขาก็รักตัวของเขายิ่งกว่าใครๆ เหมือนกัน ฉะนั้นจึงไม่ควรทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นให้ต้องได้รับทุกข์ฉันนั้น
    พระพุทธองค์ตรัสเรื่องเกี่ยวกับความรักไว้ว่า
    “ความโศกเกิดแต่ความรัก ภัยคือความกลัวเกิดแต่ความรัก ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้วจากความรัก ความกลัวจักมีแต่ที่ไหน”
    ก็ความรักอันเป็นเหตุให้เกิดความโศกและความกลัวนี้ เป็นความรักที่เนื่องด้วยโลภะตัณหาอันเป็นบาปอกุศล เป็นความรักที่เกิดจากความต้องการผูกพันรักใคร่ แต่ยังมีความรักอีกชนิดหนึ่งซึ่งปรารถนาจะให้ผู้อื่นได้รับความสุขโดยประการเดียว รักโดยไม่ต้องการผลตอบแทนใดๆ เป็นความรักที่บริสุทธิ์สะอาดเพราะมีอโทสะ ความไม่โกรธเป็นมูลราก จึงเป็นบุญกุศลความรักชนิดนี้คือ เมตตา
    ความรัก ๒ อย่างนี้ มีเหตุเกิดต่างกัน ผลที่ได้รับจึงต่างกัน ความรักชื่อว่าเมตตา เป็นประเสริฐ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทุกคนมีเมตตาต่อกัน ถ้าทุกคนมีเมตตาต่อกัน โลกนี้จะเต็มไปด้วยความสุข เพราะไม่มีใครเบียดเบียนประทุษร้ายใครๆ ให้เดือดร้อน
    พระพุทธเจ้านั้นมากไปด้วยพระเมตตา ทรงรักทุกคนแม้แต่ศัตรู เหมือนกับทรงรักพระราหุลราชโอรส พระองค์ทรงปรารถนาให้ชาวโลกได้อยู่เย็นเป็นสุข จึงทรงสอนให้มีศัลห้าเป็นประการแรกนั่น คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดประเวณี ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มสุราเมรัย เพราะเพียงการมีศีลห้าเพียงอย่างเดียว ชาวโลกก็จะมีแต่ความสุขหาประมาณมิได้ เพราะการไม่ฆ่าสัตว์นั้น ไม่ทำให้สัตว์ต้องบาดเจ็บล้มตายด้วยน้ำมือเรา เป็นการเอื้อเอ็นดูต่อสัตว์ เป็นการให้ชีวิตแก่สัตว์
    รองลงมาจากรักชีวิต ทุกคนรักทรัพย์สินสิ่งของของตน การไม่หยิบฉวยลักขโมยทรัพย์สินสิ่งของผู้อื่นโดยที่เขาไม่อนุญาต เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สิ่งของของผู้อื่น
    คนที่มีบุตรภรรยาสามี ก็รักบุตรภรยาสามีของตน การไม่ล่วงละเมิดในบุตรภรรยาสามีของผู้อื่น เป็นการให้ความบริสุทธิ์แก่บุตร ภรรยา สามีของผู้อื่น
    การไม่พูดเท็จ พูดแต่คำจริง เป็นการให้ความจริงแก่ผู้อื่น
    การงดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย สิ่งเสพติดมึนเมาทั้งปวง เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทุกสิ่ง คือให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตสัตว์ แก่ทรัพย์สินของผู้อื่น ให้ความบริสุทธิ์แก่บุตรภรรยาสามีของผู้อื่น ให้ความจริงแก่ผู้อื่น เพราะผู้ที่มึนเมาย่อมขาดสติ ขาดความยับยั้งชั่งใจ สามารถจะทำสิ่งชั่วร้ายได้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าบุตร ภรรยา สามีของตน ในที่สุดแม้แต่การฆ่าตนเองก็มิได้เว้น
    เพราะฉะนั้น การมีศีลห้าจึงเป็นการรักษาตนเองและรักษาผู้อื่นให้พ้นจากภัยเวร ผู้มีศีลห้าจึงต้องมีเมตตาประจำใจ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราว่าเรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นเขาก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น ทุกคนในโลกนี้ก็จะอยู่เป็นสุข แม้จากโลกนี้ไปแล้วก็อยู่เป็นสุขในโลกอื่น
    สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน พระคาถาธรรมบท ปิยวรรค ว่า
    บุญทั้งหลายย่อมต้อนรับบุคคลที่ทำบุญไว้ซึ่งจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่น เหมือนพวกญาติเห็นญาติที่รักที่จากไปต่างถิ่นแล้วกลับมา ย่อมต้อนรับด้วยความยินดี ฉะนั้น
    คือย่อมต้อนรับด้วยเครื่องบรรณาการอันเป็นทิพย์ คืออายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์และความเป็นใหญ่ทิพย์ ตลอดจนรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะอันเป็นทิพย์

    ชาวโลกทุกวันนี้ต่างอ้างว่ามีศาสนาประจำใจตน แต่ยังมากไปด้วยความโลภ อยากได้ทั้งอำนาจและทรัพย์สินที่มิใช่ของตนโดยไม่ชอบธรรม แม้เมื่อไม่ได้หรือได้ไม่พอก็ทำลายล้างกัน ไม่สนใจว่าใครจะเป็นจะตาย พิกลพิการ ขอให้ตนได้ในสิ่งที่ตนอยากได้เท่านั้น
    ความริษยา อาฆาต พยาบาท ก็เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงไม่แพ้ความโลภ การไม่ชอบหน้ากันเพียงคนสองคน ก็สามารถทำลายล้างคนเป็นแสนๆ ล้านๆ ได้ โลกทั้งโลกที่ต้องวุ่นวายเดือดร้อน ลุกเป็นไฟอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะความโลภและความริษยาอาฆาตของผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คน รวมทั้งผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่ประพฤติผิดธรรม ทอดทิ้งพ่อแม่ที่แก่เฒ่า แม้ผู้เป็นพ่อแม่ก็ทอดทิ้งลูกได้ตั้งแต่ยังแบเบาะ เพียงเพื่อให้พ้นความอับอายขายหน้าเท่านั้น
    ภัยอันตรายร้ายแรงที่เราคาดไม่ถึงว่าจะเกิด ก็ได้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเหตุให้ผู้คนนับแสนนับล้านต้องตายไปอย่างน่าสยดสยอง จะโทษใครเล่าถ้าไม่โทษการกระทำอันไร้เมตตาปราณีของพวกเราเองซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

    ขอมอบ พระพุทธภาษิต เป็นเครื่องเตือนใจเราทั้งหลายว่า
    เมื่อโลกสันนิวาสอันไฟ (คือราคะ โทสะ โมหะเป็นต้น) ลุกโพลงอยู่เป็นนิตย์ พวกเธอยังจะมัวร่าเริงบันเทิงอะไร เธอทั้งหลายอันความมืดคืออวิชชาปกคลุมแล้ว ทำไมจึงไม่แสวงหาประทีป(คือญาณปัญญา) เพื่อขจัดความมืดคืออวิชชานั้นเสียเล่า

    ________________________________________

    ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗

    ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
    *********************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    [​IMG];);39
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    [​IMG]
    รวมธรรมบรรยาย
    . สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช - เสียง : บรรยายธรรม
    คลิก...> รวมธรรมบรรยาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    นายฉลาดกับนายเฉลียว ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมาก ต่างชวนกันไปฝากตัวเป็นศิษย์ร่ำเรียนวิชากับอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง อาจารย์สอนวิชาความรู้ให้กับศิษย์ทั้งสอง เท่าๆ กัน โดยไม่ปิดบังอำพราง ต่อมาวันหนึ่งทั้งสองคน ขอลาอาจารย์กลับไปเยี่ยมบ้าน ระหว่างทางได้พบรอยเท้าขนาดใหญ่ของสัตว์ชนิดหนึ่ง นายฉลาดเอ่ยขึ้นว่า "รอยเท้าช้าง" นายเฉลียวกล่าวเสริมว่า "ใช่ ช้างตัวนี้ตาบอดข้างหนึ่ง" เมื่อเดินต่อมา เห็นรอยน้ำเปียกชื้นที่พื้นดินข้างทาง นายฉลาดก็เอ่ยขึ้นว่า "รอยปัสสาวะของผู้หญิง" นายเฉลียวก็กล่าวเสริมว่า "ใช่ ผู้หญิงคนนี้มีครรภ์ด้วย" หลังจากเดินต่อมาอีกพักใหญ่ ก็ได้พบช้างตาบอดข้างหนึ่ง และก่อนจะเข้าเขตหมู่บ้าน ก็ได้พบหญิงมีครรภ์คนหนึ่งเหมือนกับที่นายเฉลียวบอกทุกอย่าง
    เมื่อกลับมาที่สำนักของอาจารย์ นายฉลาดได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้อาจารย์ฟังในเชิงน้อยใจว่า อาจารย์ลำเอียงสอนวิชาให้นายเฉลียวมากกว่า อาจารย์จึงเรียกนายเฉลียวมาสอบสวน นายเฉลียวชี้แจงว่า ที่รู้ว่าช้างตาบอดข้างหนึง เพราะสังเกตุได้จากต้นไม้ใบหญ้าข้างทาง ถูกช้างน้าวกินเพียงด้านเดียว และที่รู้ว่า เป็นรอยปัสสาวะของหญิงมีครรภ์ ก็เพราะบริเวณรอบๆ มีรอยฝ่ามือทั้งสองข้างปรากฏอยู่ แสดงว่าหญิงคนนั้นใช้สองมือยันพื้น ช่วยพยุงตัวขณะลุกขึ้น
    นิทานธรรมะเรื่องนี้ให้ข้อคิดว่า
    ความฉลาดเป็นผลมาจากการอบรมศึกษา ก่อให้เกิดเป็นสัญญา คือ ความจำได้ หมายรู้ระยะสั้นๆ ทำให้มองสิ่งต่างๆ ได้อย่างเจาะจงและจำกัด แต่ความเฉลียวเป็นผลมาจากการพัฒนาสิ่งที่อบรมแล้ว ทำให้เกิดปัญญา ความรอบรู้ และญาณหยั่งรู้ระยะยาว สามารถมองสิ่งต่างๆ ในเชิงวิเคราะห์วิจัยได้อย่างสุขุมลุ่มลึก และคิดได้ครอบคลุมรอบด้าน ความฉลาดเปรียบได้กับมีไหวพริบปฏิพานดี แต่ความเฉลียวเป็นเครื่องเตือนสติ และเป็นตัวประคับประคองให้ไหวพริบปฏิพาน ดำเนินไปอย่างถูกต้อง ความฉลาดสามารถวัดระดับ เช่น ฉลาดน้อย ฉลาดมาก แต่ความเฉลียวไม่อาจวัดระดับได้ ตราบใดที่มีความเฉลียว ก็จะช่วยให้เกิดความฉลาดขึ้นได้ไม่มากก็น้อยตราบนั้น
    ดังนั้น ไม่ว่าเฉลียวจะดีกว่าฉลาดในด้านใดหรืออย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า คนฉลาดต้องไม่ขาดเฉลียว คนเฉลียวต้องคิดวิเคราะห์อย่างฉลาด ยิ่งฉลาดมาก และเฉลียวมาก ชีวิตของคนๆ นั้น ย่อมเจริญรุ่งเรืองยาวนาน อย่างแน่นอน นายฉลาดกับนายเฉลียว ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมาก ต่างชวนกันไปฝากตัวเป็นศิษย์ร่ำเรียนวิชากับอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง อาจารย์สอนวิชาความรู้ให้กับศิษย์ทั้งสอง เท่าๆ กัน โดยไม่ปิดบังอำพราง ต่อมาวันหนึ่งทั้งสองคน ขอลาอาจารย์กลับไปเยี่ยมบ้าน ระหว่างทางได้พบรอยเท้าขนาดใหญ่ของสัตว์ชนิดหนึ่ง นายฉลาดเอ่ยขึ้นว่า "รอยเท้าช้าง" นายเฉลียวกล่าวเสริมว่า "ใช่ ช้างตัวนี้ตาบอดข้างหนึ่ง" เมื่อเดินต่อมา เห็นรอยน้ำเปียกชื้นที่พื้นดินข้างทาง นายฉลาดก็เอ่ยขึ้นว่า "รอยปัสสาวะของผู้หญิง" นายเฉลียวก็กล่าวเสริมว่า "ใช่ ผู้หญิงคนนี้มีครรภ์ด้วย" หลังจากเดินต่อมาอีกพักใหญ่ ก็ได้พบช้างตาบอดข้างหนึ่ง และก่อนจะเข้าเขตหมู่บ้าน ก็ได้พบหญิงมีครรภ์คนหนึ่งเหมือนกับที่นายเฉลียวบอกทุกอย่าง
    เมื่อกลับมาที่สำนักของอาจารย์ นายฉลาดได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้อาจารย์ฟังในเชิงน้อยใจว่า อาจารย์ลำเอียงสอนวิชาให้นายเฉลียวมากกว่า อาจารย์จึงเรียกนายเฉลียวมาสอบสวน นายเฉลียวชี้แจงว่า ที่รู้ว่าช้างตาบอดข้างหนึง เพราะสังเกตุได้จากต้นไม้ใบหญ้าข้างทาง ถูกช้างน้าวกินเพียงด้านเดียว และที่รู้ว่า เป็นรอยปัสสาวะของหญิงมีครรภ์ ก็เพราะบริเวณรอบๆ มีรอยฝ่ามือทั้งสองข้างปรากฏอยู่ แสดงว่าหญิงคนนั้นใช้สองมือยันพื้น ช่วยพยุงตัวขณะลุกขึ้น
    นิทานธรรมะเรื่องนี้ให้ข้อคิดว่า
    ความฉลาดเป็นผลมาจากการอบรมศึกษา ก่อให้เกิดเป็นสัญญา คือ ความจำได้ หมายรู้ระยะสั้นๆ ทำให้มองสิ่งต่างๆ ได้อย่างเจาะจงและจำกัด แต่ความเฉลียวเป็นผลมาจากการพัฒนาสิ่งที่อบรมแล้ว ทำให้เกิดปัญญา ความรอบรู้ และญาณหยั่งรู้ระยะยาว สามารถมองสิ่งต่างๆ ในเชิงวิเคราะห์วิจัยได้อย่างสุขุมลุ่มลึก และคิดได้ครอบคลุมรอบด้าน ความฉลาดเปรียบได้กับมีไหวพริบปฏิพานดี แต่ความเฉลียวเป็นเครื่องเตือนสติ และเป็นตัวประคับประคองให้ไหวพริบปฏิพาน ดำเนินไปอย่างถูกต้อง ความฉลาดสามารถวัดระดับ เช่น ฉลาดน้อย ฉลาดมาก แต่ความเฉลียวไม่อาจวัดระดับได้ ตราบใดที่มีความเฉลียว ก็จะช่วยให้เกิดความฉลาดขึ้นได้ไม่มากก็น้อยตราบนั้น
    ดังนั้น ไม่ว่าเฉลียวจะดีกว่าฉลาดในด้านใดหรืออย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า คนฉลาดต้องไม่ขาดเฉลียว คนเฉลียวต้องคิดวิเคราะห์อย่างฉลาด ยิ่งฉลาดมาก และเฉลียวมาก ชีวิตของคนๆ นั้น ย่อมเจริญรุ่งเรืองยาวนาน อย่างแน่นอน สาธุค่ะ
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    [​IMG]กฎของธรรมดา
    1) อารมณ์ของธรรมดาจริง ๆ นี่ฉันจะบอกให้ คนที่ยอมรับนับถือการเกิดขึ้น การเสื่อมไปของร่างกาย การดับไปของร่างกายจริง ๆ โดยมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวมาก มีการกระทบจิตบ้างแต่ถือกฎของธรรมดา อารมณ์นี้มันจะรักพระนิพพาน เพราะอะไร เพราะมันเกลียดตัวเกิด เกิดนี่มันธรรมดาจริง ๆ แล้วมันเบื่อ
    เกิดขึ้นมาแล้ว ไอ้ตัวทุกข์มันตามมา ตอนนี้จะไม่พูดถึง ตัวทุกข์อริยสัจ พระพุทธเจ้าสอนตอนท้าย หาตัวธรรมดาเข้ามา แล้วมันก็แก่ บางทียังไม่ทันจะแก่เลย ความปรารถนาไม่สมหวังมันก็เกิด มันอิ่มแล้วมันก็หิวอยู่สบาย ๆ เดี๋ยวก็ร้อนหนัก ดีไม่ดีมันก็หนาวอีกแล้ว ดีไม่ดีอาการป่วยไข้ไม่สบายมันก็เกิด ตั้งแต่ตอนนี้มาเรายอมรับนับถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แล้วเราไม่หนักใจในเมื่อมันหิวเราก็กิน ไม่มีก็มนหิวกันไป เพราะอยากเกิดมาทำไม
    ทีนี้เราเห็นว่าการเกิดมันไม่ดีอย่างนี้ หาความเที่ยงไม่ได้ เต็มไปด้วยความทุกข์ด้วยประการทั้งปวง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น แต่กฎของธรรมดา มันบังคับว่าต้องเป็น ก็เลยสบายใจว่ามันต้องเป็นอย่างนี้
    ถ้าอาการเป็นอย่างนี้ปรากฏเราไม่หนักใจ เมื่อความแก่เกิดขึ้น ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น ความตายมีมาถึงไม่หนักใจถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
    พอถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาก็เลยนึกว่า เอ ไอ้เกิดนี่มันไม่ดีนะ มันเป็นอย่างนี้ ทางที่ไม่เกิดมีอยู่ก็คือพระนิพพาน ถ้าเราปลดขันธ์5 เสียได้เมื่อไร ถือว่า คำว่า เตสัง วูปสโม สุโข การเข้าไปสงบกายนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นสุข
    2) ถ้าหากเราไม่สนใจทุกอย่างในโลก ไม่สนใจกายของเราด้วย ไม่สนใจกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่สนใจวัตถุธาตุใด ๆ ด้วย คำว่าไม่สนใจในที่นี้จงอย่าไปคิดว่าเราไม่สนใจในร่างกาย เราไม่กินข้าว หิวก็ไม่กิน ร้อนก็ไม่อาบน้ำ หนาวก็ไม่ห่มผ้า อันนี้ไม่ถูก
    คำว่าไม่สนใจคือ ไม่ติดใจในมัน ให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริง ว่าร่างกายมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็มีความแปรปรวนเสื่อมไปในท่ามกลาง แล้วก็แตกสลายไปในที่สุด ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็มีอารมณ์คิดต่อไปว่าร่างกายนี้พัง เราไม่ต้องการร่างกายอย่างนี้อีก ร่างกายแห่งความเป็นคนก็ดี เทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี ไม่มีความสุขจริง เราไม่ต้องการ เราต้องการจริง ๆ คือ พระนิพพาน
    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททำอารมณ์ใจของท่านก่อนหลับก็ดี หรือว่าตื่นใหม่ ๆ ก็ตาม ไม่ต้องลุกขึ้นมานั่ง นอนแบบนั้น ตื่นใหม่ ๆ ใจกำลังสบาย สร้างความรู้สึกว่าร่างกายมันเสื่อม ร่างกายเป็นของน่าเบื่อ ร่างกายต้องตายในที่สุด เราไม่ต้องการร่างกายแบบนี้อีก เราต้องการจุดเดียวคือ นิพพาน จิตหวังจริง ๆ ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิงทำได้อย่างนี้ก่อนหลับหรือตื่นใหม่ ๆ ไม่ต้องนั่งนอนคิดใช้ปัญญา เวลานี้เกิดอารมณ์เบื่อ ชั่วขณะจิตเดียว ไม่หวังร่างกายเพียงแค่ขณะจิตเดียว จิตก็กลับฟื้นคืนสภาพคงที่ตามเดิม เพียงเท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ขอยืนยันว่าชาตินี้ก่อนท่าจะตาย ท่านจะเป็นพระอรหันต์ไปนิพพานแน่
    3) ร่างกายเราก็ดี ร่างกายเขาก็ดี วัตถุธาตุทั้งหมด ก็ดี ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่านกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด และร่างกายของแต่ละร่างกาย ก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มันไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นของเราเสียจริง ๆ
    4) ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรเกินธรรมดา ท่านสอนให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา วางทุกข์เสียให้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมดา อะไรก็ตามเถอะ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา มันเป็นธรรมดาของโลกทั้งนั้น ในเมื่อร่างกายเรามีอยู่ในโลกเท่านี้เอง
    5) ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ถ้ามันไม่เที่ยง เราจะเข้าไปยุ่งกับความไม่เที่ยงให้มันเที่ยงมันก็เป็นทุกข์ อารมณ์ของคนที่เป็นทุกข์มันก็เพราะไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
    6) จำไว้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง ถ้าเราเกาะความไม่เที่ยงมันก็ทุกข์ แต่ทว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตาม อนัตตามันก็เข้ามาถึง อย่ายึดอย่าถือว่ามันเป็นเรา เป็นของเราคิดไว้เสมอว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะอยู่กับมัน
    7) ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี นอกจากมันจะสกปรกแล้ว มันก็ไม่มีสภาวะเป็นเรา เป็นของเรา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะร่างกายเป็นกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง ที่มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการแตกสลายในที่สุด ที่เรียกกันว่า เมื่อมีเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความแก่ไปได้ ต้องมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ ต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความตายไปได้ ทรัพย์สินทั้งหลายที่เรามีอยู่ สิ่งที่รักอยู่ก็ต้องพลัดพรากจากกันไป
    8) ให้พยายามพิจารณาใคร่ครวญเสมอ ๆ ว่า สังขารนี้มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้ว ต่อไปก็แตกสลายทำลายไปหมด ไม่มีสังขารประเภทใดเหลืออยู่ พยายามหาเหตุผลในคำสอนนี้ให้เห็นชัด ดูตัวอย่างคนที่เกิดแล้วตาย ของที่มีขึ้นแล้วแตกทำลาย ดูแล้วคิดทบทวนมาหาตน และคนที่รักและไม่รัก ของที่มีชีวิตและไม่มี คิดว่านี่ไม่ช้าก็ต้องตาย ทำลายอย่างนั้น พิจารณาทบทวนอย่างนี้จนอารมณ์เห็นเป็นปกติ ได้อะไรมา เห็นอะไรก็ตาม แม้แต่เห็นเด็กเกิดใหม่ อารมณ์ใจก็คิดว่า นี่ไม่ช้ามันก็พัง ไม่ช้ามันก็ทำลาย แม้แต่ร่างกายเรา ไม่ช้ามันก็สิ้นลมปราณอะไรที่ไหน ที่เราคิดว่ามันจะยั่งยืนถาวรตลอดกาลไม่มี รักษาอารมณ์ให้เป็นอย่างนี้
    9) ถ้ารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาเสียแล้ว ความอาลัยในชีวิตมันก็ไม่มี เราศึกษาพระธรรมวินัยกัน ปฏิบัติสมถวิปัสสนาธุระกันก็เพื่อความดับไม่มีเชื้อ คือการตัดอาลัยในชีวิตเท่านั้น อารมณ์ที่จะตัดอาลัยในชีวิตได้ ก็มีอารมณ์รักธรรมดา คือ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา อย่าไปสนใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้มากนัก ไอ้เรื่องที่จะทำให้ถูกใจเราทุกอย่างมันไม่มีถ้าใจเราเลว แต่ว่าถ้าใจเราดีเสียอย่างเดียว ทุกอย่างในโลกมันไม่มีอะไรผิดใจเรา เพราะว่าเราทราบว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
    10) พิจารณาจนกว่าจะเกิดอารมณ์เป็น เอกัคคตารมณ์ คือ จิตมีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎธรรมดา เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตน หรือคนอื่นเป็นของธรรมดาไปหมด สิ่งกระทบเคยทุกข์เดือดร้อน ก็ไม่มีความทุกข์ความเร่าร้อน ไม่ว่าอารมณ์ใด ๆ ทั้งที่เป็นเหตุของความรัก ความโลภ ความโกรธ ความผูกพัน ยอมรับนับถือกฎธรรมดาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ อาการอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาแท้ ท่านว่า ครอบงำความเกิด ความดับ ความตายได้ เป็นต้น คำว่า ครอบงำ หมายถึงความไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ใครจะตายหรือเราจะตาย ไม่หนักใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตาย ใครทำให้โกรธ ในระยะแรกอาจหวั่นไหวนิดหนึ่ง ยอกจากระงับความหวั่นไหวที่เคยเกิด เคยหวั่นไหวได้แล้ว จิตยังมีความรักในพระนิพพานยิ่งกว่าสิ่งใด สามารถจะสละวัตถุภายนอกทุกอย่างเพื่อพระนิพพานได้ทุกขณะ มีความนึกคิดถึงพระนิพพานเป็นปกติ
    11) การที่เราจะได้ดีหรือไม่ได้ดี มันอยู่ที่ความจริงใจของเราเท่านั้น การเจริญพระกรรมฐานที่บอกว่าทำแล้วไม่ได้ดี ก็เพราะคนเราหาความจริงไม่ได้นั่นเอง ไม่ใช่มีอะไรยากลำบากอะไรที่ไหน เป็นของธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงหาอะไรมาสอนเรา นอกจากนำกฎธรรมดาที่เรามีอยู่ ให้เรามาใช้ปฏิบัติให้ถูกทางเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิจิต เราก็ใช้กันอยู่เป็นปกติ แต่ว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์เห็นว่า สมาธิแบบนั้นเป็นโลกียสมาธิ ไม่เป็นทางหมดทุกข์ องค์สมเด็จพระบรมครูต้องการให้เรามีความสุข จึงให้ใช้สมาธิด้านกุศลจิต คิดหากุศลเข้าใส่ใจไว้เป็นประจำ ให้จิตมันจำไว้เฉพาะด้านกุศลอย่างเดียวจนเป็นเอกัคคตารมณ์ เมื่อจิตทรงสมาธิได้ดีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็สอนวิปัสสนาญาณ มีอริยสัจ เป็นต้น ให้พิจารณาเห็นทุกข์ เหตุแห่งความทุกข์ ที่มันจะพึงมีขึ้นมาได้ ก็เพราะอาศัยตัณหา มีความผูกพันในร่างกาย ซึ่งมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็วางร่างกายเสีย เพื่อพระนิพพาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    ข้อคิดเล็กๆ...
    ยามบุญมา กาไก่กลายเป็นหงษ์

    ยามบุญลง หงษ์เป็นกาน่าฉงน

    ยามบุญสูง หมูหมากลายเป็นคน

    ยามหมดบุญ คนเป็นหมาน่าอัศจรรย์


    ยามมั่งมี มากมาย มิตรหมายมอง

    ยามมัวหมอง มิตรมอง เหมือนหมูหมา

    ยามไม่มี หมดมิตร มุ่งมองมา

    ยามมอดม้วย หมูหมา ไม่มามอง



    รวบรวมโดย พี่ยูร
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    [​IMG]
    "สติกับปัญญาเป็นของสำคัญ" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    "สติกับปัญญาเป็นของสำคัญ"

    " .. สติเป็นของสำคัญมาก อย่าให้พลั้งเผลอได้ทุกเวลายิ่งดี จะเป็น "เครื่องหนุนทั้งสมาธิและปัญญา"
    ให้มีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็ว

    นักปฏิบัติผู้ใดพยายามรักษาสติไว้ได้ ผู้นั้นจะเป็นไปได้เร็วในธรรมทุกชั้น แม้ความเคลื่อนไหวทุก ๆ อาการ
    จงทำสติให้เป็นพี่เลี้ยงอยู่เสมอ จิตจะเหนืออำนาจไปไม่ได้ เพราะบ่อแห่งอำนาจวาสนาที่จะทำใจให้พ้นจากทุกข์ในชาตินี้ ขึ้นอยู่กับ "สติกับปัญญาเป็นของสำคัญ"

    จงพยายามทำสติธรรมดานี้ให้กลายเป็น "มหาสติ" ขึ้นมา และจงทำปัญญาธรรมดาให้กลายเป็น "มหาปัญญา" ขึ้นมาที่ดวงใจของเรา

    เมื่อสติมีกำลังจนเพียงพอแล้ว เราจะเดินปัญญาพิจารณา แม้กิเลสจะหนาแน่นเหมือนภูเขาทั้งลูก ก็ต้องทะลุไปได้โดยไม่ต้องสงสัย .. "

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    [​IMG]
    สุขใด ไหนจะเท่า
    ศุกร์, เสาร์, อาทิตย์

    **********
    เค้าบอกเนื้อคู่เรา เป็นคนต่างชาติ
    …..เราอยู่ชาตินี้…..เค้าอยู่ชาติหน้า

    **********
    คน “เตี้ย” มักจะ sex จัด
    .. เพราะคนเตี้ยมีความต้องการ…”สูง”

    **********
    เวลาที่ดีที่สุดของการบอกรักคือก่อน 9โมง
    เพราะมันยังไม่สายเกินไป

    **********
    ผุ้หญิงรักคนดี ชอบคนเลว แต่งงานกับคนรวย
    **********
    ตรงนิ้วมือมีแหวนเพชรหลายกะรัต
    ตรงเข็มขัดประดับพลอยเด่นนักหนา
    ทั้งตุ้มหูเพชรพลอยงามจับตา
    กุญแจมือพร้อมข้อหาลักขโมย

    **********
    เมื่อก่อน . . . ขับรถรับส่งฟรี
    เดี๋ยวนี้ . . . เฮ้ย! แท๊กซี่เอาอีนี่ไป
    เมื่อก่อน . . . ร้องไห้คอยกอดปลอบ ป่าวประกาศ ชอบบบคนอ่อนไหว
    เดี๋ยวนี้ . . . ร้องไห้ โอ้ย…เป็นไร อ่ะ กระแดะเข้าไป . . . อยากได้อะไรบอกดีๆ

    *********
    คบกับผมคุณไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
    นอกจากนามสกุล ^^

    **********
    ;37;aa44;aa26
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • TreePink.jpg
      TreePink.jpg
      ขนาดไฟล์:
      173.2 KB
      เปิดดู:
      1,051
    • Rice and Kapi.jpg
      Rice and Kapi.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.3 KB
      เปิดดู:
      86
    • kuyjup.jpg
      kuyjup.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.3 KB
      เปิดดู:
      70
  18. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    #ธรรมปัจจุบัน
    ปัจจุบันธรรม

    คือนักภาวนาจะต้องอยู่กับธรรมในปัจจุบัน(เท่านั้น)
    ฉะนั้น นักภาวนา ไม่มีคำว่า ทุกข์ใจแน่
    เพราะอยู่กับธรรมปัจจุบัน หรือ ปัจจุบันธรรม

    ว่าแต่ว่า ธรรมแบบไหน..
    ที่จะมาอยู่กับเรา กับปัจจุบันของเรา
    หรือกรรมอะไร.. กุศลกรรมหรืออกุศล

    ธรรมตรงนี้ พอจะแยกแยะกันออกไหม
    หากเรามีสติมากๆแล้ว ย่อมจะแยกแยะได้แน่
    เพราะตัวสตินี้แหละ..
    เสมือนเป็นตัวแยกสิ่งสกปรกออกมาจากจิต
    กล่าวคือ คอยแยกสิ่งที่ไม่ดี คอยกรองสิ่งที่ไม่ดี
    ก่อนที่จะส่งต่อให้กับจิตตนเอง
    ถึงว่า พระท่านบอกว่า ศีลหรือสตินั้น
    จะคอยชำระล้างจิตใจคนเราให้สะอาด
    ให้บริสุทธิ์ ต่อไปฯ ในวันข้างหน้านู้น

    #สรุปแล้ว..
    สติ เป็นเสมือนเครื่องกรองขั้นแรกสุด
    คือ กรองสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ก่อนจะเข้าถึงจิต

    และเราจะรักษาศีลได้ดี แค่ไหน..
    ก็ขึ้นอยู่ที่ตัวสติของคนๆนั้นแล้ว
    กล่าวอีกอย่างนึงคือ..
    หากสติของเราวันนี้ ยังคงอยู่ที่เดิม
    ฉะนั้น ศีลเราก็อยู่ที่เดิม ศีลไม่ละเอียด
    ก็เพราะว่า จิตเรายังไม่เอียดพอ
    ทำไม.. จิตเราถึงไม่ละเอียด
    คำตอบก็คือ.. สติเรา อยู่ที่เดิมหรือว่าอยู่ที่ไหน
    เราพยายามเจริญสติ ขยันสร้างสติตน ขนาดไหน
    #จงถามตนเองกันดูเถิด ว่าทำไม..
    การปฎิบัติของตน ถึงไม่ก้าวหน้า
    เหมือนซอยเท้าอยู่ที่เดิม ไม่เจริญในธรรมเลย
    ตอนนี้ พวกเราพอจะมีคำตอบให้กับตนแล้ว.. ใช่มั๊ย

    หากเราอยู่ปัจจุบันธรรม(ธรรมปัจจุบัน)กันแล้ว
    ก็ไม่น่าจะมีความทุกข์ใจอะไรอีกแล้วน๊า..
    สำคัญว่า.. ธรรมปัจจุบันของเรา คืออะไร
    ถามตนเองดูนะว่า..
    ตอนนี้ จิตเรากำลังหมกมุ่นอยู่กับสิ่งใด
    จิตเรากำลังสนใจอะไร ติดอยู่กับสิ่งใด
    เช่น กำลังด่าว่านินทา อาฆาต พยาบาทใครหรือไม่
    หรือ กำลังอยู่พระในจิต ธรรมในใจ

    #สรุปแล้ว..
    ธรรม หรือกรรมอันใดเล่า ที่เรา(จิต)กำลังอยู่กับสิ่งใด
    หากจิตเราอยู่ปัจจุบันธรรม ย่อมไม่ทุกข์ใจแน่นอน
    หากอยู่จริง ฉะนั้น คำว่า อดีตหรืออนาคต..
    ก็คงไม่น่ามาเกี่ยวข้องเป็นแน่แท้..
    และไม่มีคำว่า กังวลใดๆ
    เพราะขณะนี้ ตอนนี้..
    จิตเราปักอยู่กับธรรมอันใด กรรมอันใด

    #การสำรวมจิต ก็เช่นกัน
    จะเกิดขึ้นได้ด้วย..
    #สติกับจิตรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว
    นี่แหล่ะ.. การสำรวมใจ มันเกิดขึ้นตรงนี้
    หากวันนี้ สติไปทางนึง จิตไปทางนึง
    หากสติเราเป็นอยู่แบบนี้..
    แล้วเราจะไปตามหาความสุขจากที่ไหนได้หรือ..
    หาไม่เจอแน่นอน ..
    และหากพวกเราภาวนาเป็นแล้ว
    สติกับจิต.. ต้องไม่ให้ห่างกันเป็นแน่แท้
    (ลองไปถามพระอริยเจ้าท่านดูนะว่า..จริงมั๊ย)

    ส่วนผู้ที่กำลัง #เดินมรรค (ปฎิบัติธรรม)
    ซึ่งถือว่าเป็นการบูชาพระพุทธองค์อันสูงสุด
    ฉะนั้น ผู้ที่กำลังปฎิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
    จึงชื่อว่ากำลังเดินตามรอยพระพุทธบาทของพระพุทธองค์
    หรือ กำลังปฎิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์ทุกๆท่านอยู่ขณะนี้..
    ขอน้อมจิตกราบโมทนาสาธุ ผู้ที่ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ทุกๆท่านด้วย
    หากผู้ใดพบจิต หรือพบดวงธรรมของตนแล้ว.. ก็รักษาให้ดี
    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม..สาธุ
     
  19. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ขอโทษค่ะ ส่งบุญบอกต่องานผ้าป่ากับผู้ที่มีศรัทธาที่อยู่ใกล้ไกลทุกท่านะค่ะพี่ต้อย sunrise on the west side

    Pacific Hermitage | A Buddhist Monastery in the Columbia River Gorge
    Please join Luang Por Pasanno and Ajahn Sudanto and other monastics at this year’s Pah Bah to benefit the Pacific Hermitage. A Pah Bah ceremony is a special event organized by the lay community to gather together and offer support to the monastic community.

    The events span two days in White Salmon, WA; A half-day retreat Saturday September 19: 1:00 PM – 4:00 PM, followed by a Meal Offering & Pah Bah Ceremony on Sunday September 20th, including Dhamma Talks in Thai and English. Meal offering at 10:30 am, Pah Bah Offering Ceremony & Dhamma Talk starting at 1 pm.

    This is a festive gathering with the regional monastic and lay students of the late Ajahn Chah.
     
  20. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    วันนี้เปลี่ยนจากธรรมมาอ่านจิตพร้อมป้องกันตัวกันนะค่ะ วิธีเตรียมตัว หนีเอาตัวรอดก่อนจะเกิดคลื่นยักษ์ ทซึนามิ จากประสบการณ์ตรง รอดชีวิตจากเหตุการณ์ปี 2547(เกาะพีพี จ.กระบี่) ผู้เขียนไม่ใช่นักวิชาการ หรือนักวิทยาศาสตร์
    1.ก่อนจะเกิดทซึนามิ จะเกิดแผ่นดินไหวก่อน ที่หลายๆประเทศเริ่มระวังตัวคือความสั่นไหวที่ระดับ 6ริกเตอร์ขึ้นไป แผ่นดินไหวทุกๆครั้งจะไม่เกิดทซึนามิเสมอไป เกิดขึ้นเป็นบางครั้ง
    2.สัตว์สี่เท้า เช่น หมา แมว ช้าง แมวอาจจะคาบลูกอ่อนพาวิ่งขึ้นสู่ที่สูง
    3.น้ำในทะเลจะลดลงเร็วผิดปกติ น้ำขึ้น-น้ำลง ในมหาสมุทรวันละ2ครั้ง ขึ้น-ลง 1วันมี24ชั่วโมง ขึ้น1ครั้ง6ชั่วโมงลง1ครั้ง6ชั่วโมง สมมุติน้ำจากเต็มฝั่งใช้เวลาลดลงสุด6ชั่วโมง น้ำลงไปห่างจากฝั่ง60เมตรใช้เวลา6ชั่วโมง แต่ถ้าน้ำลงแบบผิดปกติคือ1นาทีหรือ10นาทีน้ำลดลงไป100-200เมตรจะเกิดคลื่นทซึนามิแน่ๆ
    4.ท่าเทียบเรือจอดเรือ น้ำจุดนั้นจะไม่เคยแห้งเลยลองถามชาวบ้านแถวนั้นดู เพราะก่อนสร้างท่าเทียบเรือ จะต้องหาทำเลที่น้ำลึกสุด แม้น้ำลงจะไม่เคยแห้ง ถ้าท่าเทียบเรือ น้ำแห้งจนติดพื้นทะเลในเวลารวดเร็ว (ภาพรวมนะ แต่บางแห่งอาจจะแห้ง)
    5.เวลาไปเที่ยวทะเล ถามคนท้องถิ่นก่อน ว่าทางหนีคลื่น อยู่ทางไหน??ถ้ารู้แล้ว เราไปเดินสำรวจเดินดูเลย (ผู้เขียน วานญาติมาช่วยทำงานเฝ้าร้านค้า ก่อนทำงานจะอธิบาย เกี่ยวกับการเอาตัวรอดให้ญาติเสมอ เคยเกิดแผ่นดินไหว2-3ครั้ง ขณะนั้นผู้เขียนไม่อยู่ที่ร้านค้า ญาติๆสามารถเดินไปที่ภูเขาที่สูงได้อย่างปลอดภัย

    6.สังเกตุ คนรอบข้างถ้าพวกเขาวิ่งมาจากฝั่งทะเลขึ้นภูเขา(แต่กระต่ายตื่นตูมก็มีมาก โปรดใช้วิจารณาญาณเอาเอง)
    7.ถ้าเห็นคลื่นน้ำที่ไม่ขาดสาย ยาวเหมือนกำแพง เตรียมขึ้นที่สูงเลย ปกติคลื่นทะเลธรรมดา ระยะห่างแต่ละคลื่นประมาณ40-1.20เมตรกระทบฝั่งมาแล้วสลายไป คลื่นลูกน้อยๆ แต่คลื่นยักษ์จะไม่สลาย มาอย่างเดียวยิ่งใกล้ฝั่งยิ่งสูงๆและกำลังแรง เหมือนน้ำในเครื่องซักผ้าหมุนรุนแรงมากๆ
    8.ถ้าเราอยู่ที่ฝั่งอันดามัน แล้วเกิดแผ่นดินไหวระดับ6ริกเตอร์ขึ้นไป ที่มหาสมุทรอินเดีย อินโดนีเซีย เกาะสุมาตรา ศรีลังกา พม่า(แถบชายฝั่ง)ฟังข่าวจากทางการ เตรียมตัวขึ้นสูงพื้นที่สูง
    9.ไฟฉาย น้ำดื่ม เตรียมใส่ไว้ในเป้ สำหรับหยิบฉวยได้ตลอดเวลา
    10.กรณีท่านอยู่ด้านอ่าวไทย แต่มีนักวิชาการเล่าว่า ไม่ค่อยเกิดเพราะน้ำตื้น กรณีนี้ถ้าแผ่นดินไหว ที่เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ระดับ6ริกเตอร์ขึ้นไปควรระวัง

    11.บางครั้งน้ำในทะเล ไม่ลดลงเลย ก็เคยเกิดคลื่นทซึนามิได้ ถ้าแผ่นดินไหวรุนแรง
    12. เตรียมโทรทัศน์ วิทยุ ที่พร้อมเปิดฟัง-ดูเสมอ จะได้ทราบข่าว อย่างทันเหตุการณ์ เพราะสถานีเกือบๆทุกช่องจะแจ้งข่าว
    13.ถ้าท่านนั่งอยู่ในเรือใกล้ๆฝั่ง เกิดแผ่นดินไหวแล้ว คลื่นยักษ์กำลังมา พาเรือออกทะเล ฝ่าคลื่นออกไปเลย จะปลอดภัยกว่า คลื่นชนิดนี้ยิ่งใกล้ฝั่งยิ่งรุนแรง
    14.ขณะที่เกิดคลื่น ที่ภาคใต้มี3ระลอกคลื่น ใช้ระยะเวลาไม่ห่างกันมากๆ อาจจะ10-20นาที(ผู้เขียนวิ่งไปบนเขา ไม่ได้ลงมาดู)คลื่นลูกที่หนึ่งมาถึงร้านค้า 50ซม.คลื่นลูกที่สองมาถีงร้านค้า1.50เมตรคลื่นลูกที่สามมาถึงร้านค้า1.70เมตร***ดูจากคราบน้ำที่กำแพงและเสาของร้านค้า*** คลื่นจะไม่มาทั้งวันทั้งคืน หยุดแล้วหยุดเลย คือ3ครั้งสงบ อาจจะมีแผ่นดินไหวเพิ่มเติม (อ๊าฟเตอร์ช๊อค)แต่ไม่เกิดคลื่น เพราะกำลังน้อยลงแล้ว
    14. ระวัง สัญญาณเตือนภัยคลื่นทซึนามิอาจจะช๊อตเอง เกิดเสียงดังประกาศหลายๆภาษาให้ผู้คนแตกตื่น ทั้งๆที่ไม่มีแผ่นดินไหว
    15.ระวัง เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง แต่สัญญาณเตือนภัยไม่ดัง เพราะไม่เคยดูแลเลยหลังจากติดตั้งมา ไม่เคยทดสอบลำโพงหรือสายไฟเลย หรือหนูอาจจะทำรังและกัดสายลำโพงขาด

    16.หลังจากเกิดแผ่นดินไหวแล้วเช่น ที่เกิดแผ่นดินไหวที่เกาะสุมาตรา ที่เกาะพีพี(จ.กระบี่)รู้สึกไหวเวลาประมาณ7โมงเช้า คลื่นยักษ์มา10.30น. คลื่นยักษ์ถล่มเกาะสุมาตราก่อนแล้วค่อยมาถึงประเทศไทย เวลาเดินขึ้นสู่ที่สูงเหลือเฟือ
    16. ถ้าไม่จวนตัวจริง อย่าขึ้นไปอยู่บนอาคารที่มีผู้คนมาก เพราะอาคารอาจจะถล่มลงมาได้ บางครั้งไม่เกิดคลื่น แต่อาคารถล่มอาจจะได้รับ การบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตได้ บางท่านไปยืนบนกำแพงอิฐบล๊อค เวลาคลื่นน้ำมากำแพงอาจจะถล่มได้
    17.ก่อนไปทะเล บอกและอธิบายกลุ่มที่ไปด้วยเสมอ เกี่ยวกับเรื่องคลื่นยักษ์ วิธีหนีเอาตัวรอด และวิธีสังเกตุ อาจจะเกิดขึ้นได้
    18.ถ้าท่านอยู่ในคลื่น ระวังสิ่งของแหลม คม ลอยมากับแรงคลื่นน้ำ ตู้กระจก เศษไม้ สังกะสี อาจจะพุ่งเสียบท่านได้...
    19.อย่าเชื่อข่าวโคมลอย อย่างไร้เหตุผล ทำนายอนาคต โม้ เสียมากกว่า เช่น จะเกิดคลื่นยักษ์ ปีโน้น เดือนโน้น วันที่เท่าโน้นเท่านี้
    20.ห้ามหยอกล้อ การวิ่งเป็นกลุ่มจากริมทะเลเข้าหาฝั่ง เพราะคนที่เคยอยู่ในสถานการณ์ทซึนามิจริงจะตกใจมากๆ
    21.อย่าเปิดดนตรี ที่มีเสียงเหมือนไซเรนตำรวจ เพราะเสียงไซเรนจะเหมือนกับเสียงสัญญาณเตือนภัยทซึนามิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      133.6 KB
      เปิดดู:
      75

แชร์หน้านี้

Loading...